จูบที่ห้า ครั้งยังเด็ก หลายคนคงเคยรู้เรื่องราวของเจ้าหญิงกับเจ้าชายที่พบกัน มีช่วงเวลาดีๆ ร่วมกัน รักกันภายในเวลาอันสั้น และตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกันชั่วนิรันดร...แบบที่ไม่แคร์คำปรามาสหรือตรรกะอันใดทั้งสิ้น เรื่องราวของความรักแท้เหล่านี้มักจะลงเอยด้วยการจูบเสมอ
ในเทพนิยายที่เรารู้จักนั้น การจูบเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของตอนจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง
แต่สำหรับผม มันคือจุดเริ่มต้น
และนี่ไม่ใช่เทพนิยาย
นี่คือโลกความเป็นจริงในประเทศที่มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นได้ทุกวัน ตั้งแต่เรื่องเล็กอย่างจิ้งจกสองหัว ไปจนถึงเรื่องใหญ่อย่างคนตายแล้วฟื้น
ไม่มีเจ้าหญิงหรือเจ้าชาย
มีเพียงแค่ชายหนุ่มธรรมดากับดาราดังที่ปากแตะกันแล้วดันเกิดเรื่องประหลาดระดับบิ๊กเบิ้ม
“แม๊!”
ผมวิ่งเข้าบ้านทันทีที่รถของโฟกัสจอดเทียบกับฟุตบาท ความกระหายใคร่รู้ทำให้ผมแอบหนีออกจากค่ายในกลางดึกของคืนที่สาม เหตุผลที่ฝากโฟกัสกลับไปบอกทุกคนคืออาการไข้ขึ้นสูงกะทันหัน ไม่มีการเก็บข้าวของ หรือล่ำลาใคร แม้แต่เขาผู้ร่วมชะตากรรม
ผมยังจำทุกวินาทีของเรื่องประหลาดหลังจากผมกับธีร์จูบกันได้
ช่วงเวลาแบบวอทเดอะฟัค
‘เชี่ยไรวะเนี่ย’ ผมอุทาน เริ่มสังเกตเห็นรายละเอียดของความมหัศจรรย์จากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ รอบตัว เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งตรงปลายห้องงอตัวนิ่งอยู่กลางอากาศ เส้นผมสลวยของเธอชี้ตั้งเหมือนช็อตกระโดดในภาพถ่าย ฝอยน้ำลายของน้องผู้ชายแถวหน้าคนหนึ่งพุ่งจากปากที่อ้ากว้างหัวเราะ หากเวลาไม่ถูกหยุดไว้...หยดน้ำลายเล็กใหญ่เหล่านั้นคงปลิวไปแปะบนหน้าของน้องผมเปียที่นั่งข้างๆ แน่นอน
ผมค่อยๆ ใช้นิ้วคีบแมลงวันตัวหนึ่งที่บินนิ่งข้างหู ได้ยินเสียงหึ่งๆ แสดงถึงสัญญาณชีวิต ผมย้ายร่างของมันให้ห่างออกไปจากตำแหน่งเดิมราวหนึ่งวา พอปล่อยก็คิดว่ามันคงบินหนี แต่แมลงวันตัวนั้นกลับค้างอยู่เหมือนเดิม
นั่นทำให้ผมค้นพบว่า...ตัวเองมีความสามารถในการเคลื่อนย้ายสิ่งต่างๆ เมื่อเวลาหยุด
‘สาระแนใช่ไหม’ จู่ๆ ธีร์ก็ร้องก้องห้องโถง ‘หรือคนอวดผี หรือรายการอะไรก็ได้ พี่ครับผมยอมแล้วครับ หยุดแกล้งผมเถอะครับ’
เขายกมือไหว้ปลกๆ อย่างยอมแพ้ ถ้าเป็นในสถานการณ์อื่นผมคงหลุดขำกับท่าทางแบบนั้นไปแล้ว แต่ตอนนี้มันช่างหน้าสิ่วหน้าขวาน ทั้งทุกอย่างรอบตัวยังนิ่งอยู่กับที่...เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่านี่ไม่ใช่การเซตฉากแกล้งดาราอย่างที่เขาคิด
แต่เราก็ยังไม่หมดหวัง ผมปรบมือเสียงดังหนึ่งทีกะจะให้ทุกคนตกใจ ธีร์ปรบตาม จากนั้นเราก็ทำทุกอย่างที่คิดว่าจะเปลี่ยนสิ่งที่เป็นอยู่ได้ ผมคว้าไม้กลองแล้วตีไม่หยุด ธีร์ดึงตัวเด็กผู้ชายคนหนึ่งออกจากที่นั่งแล้วยกเขาทำท่าขัดสมาธิกลางอากาศ
‘เฮ้ย...’ แต่เด็กผู้ชายคนนั้นก็ยังลอยหวืออยู่แบบนั้น ผมหันมองใบหน้าแต้มสีของธีร์เลิกลั่ก เราต่างรู้ว่าสิ่งที่ทำช่างไร้ประโยชน์
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ หรือตามจริงแล้วมันอาจไม่ได้ผ่านไปเลย ผมกับธีร์กลับมานั่งตำแหน่งเดิมตอนเต้นแมงมุมอย่างจนปัญญา ในตอนนั้นเองที่ผมสังเกตเห็นสิ่งแปลกปลอมบนข้อมือขวาของตัวเอง
‘พี่จุ๊บควาย ที่ข้อมือนายมี...’ ธีร์เป็นคนทัก ผมก้มลงมองตามที่เขาบอกและพบว่าข้อมือขวาของตัวเองมีแสงสีส้มสว่างเรือนรางออกมา อันที่จริงมันเป็นตัวเลขหกหลักคล้ายกับตัวเลขบอกเวลาที่เราเห็นตามหน้าปัดนาฬิกาดิจิตอล เป็นตัวเลขสีส้มจางที่ถ้าไม่มองดีๆ ก็คงไม่เห็น
16:06:45 ตัวเลขนั้นนิ่งเหมือนกับสิ่งรอบตัวเรา ผมยกมือขึ้นถูๆ แต่มันไม่ได้หายไป...ราวกับใครบางคนฝังชิพบอกเวลาไว้ใต้ข้อมือผม
ผมขมวดคิ้วแล้วหันไปสบตาธีร์อย่างงุนงง ทว่าเขาเด้งตัวเองออกห่างแล้วส่งสายตาหวาดๆ กลับมาให้
‘อะไร’ ผมถาม
‘นายไม่ได้เป็นหุ่นยนต์หรือพ่อมดที่ทำให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นใช่ไหม’
ผมกลอกตา ‘ประสาทละ เกิดเชี่ยไรขึ้นยังไม่รู้เลยเนี่ย’
ดาราเด็กยังคงมีสีหน้าไม่ไว้วางใจ เขากลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่ง ถอนหายใจเฮือกใหญ่เหมือนตัดสินใจอะไรได้ สักพักก็ลุกขึ้นคุกเข่าแล้วพุ่งหน้าเข้ามาหาผม
‘ทะ...ทำไร!’ ผมร้องอย่างลนลาน ธีร์จับไหล่ผมไว้แน่นแล้วยื่นริมฝีปากเข้ามาใกล้ ผมสัมผัสถึงกลิ่นลูกอมรสสตรอเบอรี่จางๆ ยกมือขึ้นดันหน้าเขาจนปากเบ้
‘ก็ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นเพราะเราจูบกัน ไม่คิดเหรอว่ามันอาจจะกลับมาเหมือนเดิมก็ได้ถ้าเรา...จูบกันอีกรอบ’ เขาพูดนิ่งๆ
‘มะ...เหมือนเดิมกะผีน่ะดิ บ้าเหรอวะจูบกันแล้วหยุดเวลาได้’ ผมแย้งเสียงแข็ง
‘เอ้า ก็มันดูจะเป็นแบบนั้น’ ธีร์ยักไหล่ ‘ลองดูก็ไม่เสียหายสักหน่อย’
‘บ้า...บ้ากันไปใหญ่...’ ผมกระซิบแต่ตัวเองก็ไตร่ตรองถึงสิ่งที่เขาพูด จริงอยู่ที่เหตุการณ์บ้าๆ นี้เกิดหลังจากเราจูบกัน แต่มันเป็นไปได้เหรอที่แค่การจูบของเราจะทำให้ทุกอย่างนิ่งแบบนี้ ผมไม่ใช่ผู้วิเศษ...ธีร์นี่ยิ่งไม่ใช่ใหญ่เลย…
แต่ถ้าไม่ใช่เพราะเรา...มันจะเป็นเพราะอะไรได้อีก
‘หรือว่า...ที่ไม่กล้าทำนี่เพราะกลัวจูบ’ ธีร์แหวยิ้มๆ ทำให้ผมรีบออกปากตอบทันที
‘ไม่ใช่เว่ย’
‘งั้นเพราะอะไรล่ะ’
‘มัน...’
‘อย่าบอกนะว่าที่เราจูบกันตะกี้คือจูบแรกอะ’
‘…’
‘เฮ้ย จริงเหรอ’
‘แปลกหรือไง’
เขามองผมอย่างพิจารณานิดหน่อย แล้วแย้มรอยยิ้มออกมา ‘ไม่แปลก’
‘ไม่แปลกแล้วยิ้มทำไม’
‘ไม่ได้ยิ้มเพราะมันแปลกซะหน่อย’ เขายิ้มกว้างกว่าเดิม ‘ยิ้มเพราะดีใจที่ได้เป็นจูบแรกต่างหาก’
และนั่นคือเรื่องประหลาดประหลาดล่าสุดของวัน...ธีร์ ดำรงค์เดชทำให้ผมหน้าร้อนได้แม้ในสถานการณ์ประหลาดที่สุดในโลก
ผมหลบตาก้มหน้างุด หูได้ยินเขาถามต่อ
‘สรุป...เรา...จะลองจูบกันไหม’
‘…’
‘น่านะ…จูบกับเรามันก็ไม่แย่นักหรอกมั้ง’
‘ไม่ใช่แบบนั้น’ ผมกระซิบแย้ง ‘แต่มัน...มันแค่...’
‘…?’
‘มะ...ไม่ค่อยสันทัด’
‘นึกว่าเรื่องอะไร’ เขาถอนหายใจด้วยความขบขัน ‘ไม่เก่งไม่เป็นไร...เดี๋ยวสอน’
และในชั่วขณะที่ผมไม่ได้ตั้งตัว เด็กธีร์ประคองหน้าผมขึ้นช้าๆ ผมจับข้อมือเขากะจะเบือนหน้าหนีด้วยความไม่พร้อม แต่ธีร์เร็วกว่า ริมฝีปากของเขาจู่โจมเข้าประทับบนริมฝีปากผมอย่างแนบแน่น คำห้ามของผมเลยถูกกลืนลงไปกับรสจูบหวานนั้น เช่นเดียวกับห้วงลมหายใจ
การจูบครั้งที่สองของเรามันไม่ใช่แค่ปากแตะๆ กันเหมือนครั้งแรก มันคือความดูดดื่มลืมตัว ผมหลับตาด้วยความเขินปนเคลิ้ม ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังลั่นห้อง
ผมผละออกจากธีร์และมองไปรอบๆ สังเกตว่าทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว เสียงกรีดร้องกัมปนาทจากคนดู สัมผัสได้ถึงแรงดันที่ไหล่ที่ยังดันให้เราขยุ้ม เกิดเสียงไมค์ของพิธีกรที่ตกลงพื้นและส่งเสียงหวีดหนวกหู แม้กระทั่งน้องผู้หญิงผมเปียที่โดนสะเก็ดน้ำลายจากน้องผู้ชายกระเด็นใส่ใบหน้าก็บ่นออกมาด้วยความรังเกียจ รวมไปถึงสีหน้างุนงงจากเด็กอีกคนที่ธีร์เคยยกตัวเขาลอยกลางอากาศ
ผมหน้าซีด ก้มลงมองข้อมือตัวเองแล้วเห็นเวลาบนข้อมือเดินต่อ สบตากับธีร์ที่อกสั่นขวัญแขวนกับเหตุการณ์ตรงหน้าเหมือนกัน ในขณะที่ทุกคนเรียกร้องให้พี่จุ๊บควายกับน้องธีร์เต้นแมงมุมกันอีกรอบ
เราตระหนักว่าการจูบแล้วหยุดเวลาได้นั้นคือเรื่องจริง
“แม๊!”
ผมก้าวเท้าเข้าบ้านหลังโต หลังจากที่โทรหาที่พึ่งสุดท้ายเวลาเจอเรื่องราวในชีวิตเมื่อตอนเย็น ผมเล่าเรื่องความแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นให้แม่ฟัง แม่ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา นอกจากบอกให้กลับบ้านให้เร็วที่สุด
หญิงกลางคนวัยสี่สิบในทรงผมบ็อบเทนั่งรอการมาถึงของผมอยู่ตรงห้องโถง เธอลุกขึ้นทันทีที่ผมก้าวผ่านบานประตู
“แม่ครับ มันเกิดอะไร...”
“ชู่ววววววว” แม่ยกนิ้วชี้ขึ้นแตะปากเหมือนส่งสัญญาณให้ผมเงียบ เวลาสี่ทุ่มของบ้านเราเงียบสนิท มีเพียงเสียงทีวีที่กำลังเปิดเพลงภาษาต่างประเทศซึ่งน่าจะดังมาจากห้องยัยจีบด้านบน “เดี๋ยวคนอื่นตื่นกันหมด ตามแม่มา”
แล้วผู้หญิงที่ผมรักที่สุดในโลกก็ดึงตัวผมผ่านห้องโถง ห้องนอนของพ่อแม่ ห้องผม ห้องของป้าเด้ากับลุงโรเบิร์ต และสุดทางที่ห้องครัวที่มีขนาดกว้างพอสมควร มีโต๊ะไม้สักสีน้ำตาลเข้มขนาดรองรับคนได้กว่าสิบคนวางไว้ตรงกลาง รอบๆ เต็มไปด้วยอุปกรณ์ทำครัวซึ่งถูกแขวนเรียงราย เตาอบ เตาไฟ เครื่องล้างจาน แต่แม่แทรกตัวเข้าไปในซอกเล็กๆ ระหว่างตู้เย็นสูงกับเครื่องล้างจาน ตรงนั้นเป็นพื้นสี่เหลี่ยมขนาดสองคนยืน
แม่บอกให้ผมยัดตัวเองเข้าไปในซอกนั้นด้วย เธอยกมือขึ้นดันผนังสีครีมเล็กๆ และทันใดนั้นผนังก็เด้งตัวออกมาแล้วเลื่อนไปด้านขวา เผยให้เห็นทางเดินลึกลงไปด้านใน
“แม่ จุ๊บไม่ยักรู้ว่าบ้านเรามีห้องใต้ดินด้วย”
“มีสิ” แม่กระซิบ “เธอไม่รู้เพราะมันยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสมไง”
“แล้วตอนนี้เหมาะสมแล้วเหรอครับ” ผมถามอย่างเจ้าหนูจำไม ผู้หญิงทรงผมบ๊อบเทยักคิ้วให้ผมแล้วดึงผมเข้าไปด้านใน เลื่อนประตูกลปิดเหมือนเดิม ผมเจอกับทางลาดแคบๆ ที่มีไฟดวงเล็กๆ สีส้มติดระหว่างทาง ด้านในมีกลิ่นไม้เก่าๆ ผสมกับกลิ่นหอมบางอย่างที่ผมไม่รู้ว่ามาทางอะไร เราเดินลงทางลาดมาจนถึงสุดท้ายก็พบกับห้องๆ หนึ่ง มีโซฟาเก่าๆ ตั้งอยู่กับโต๊ะกระจกตัวหนึ่ง แต่สิ่งที่ทำให้ผมตื่นตาตื่นใจคือ...นาฬิกา
นาฬิกากว่าพันเรือนห้อยเรียงรายรอบห้องซึ่งมีสไตล์ไม่เหมือนกันเลยสักเรือนเดียว มันมีทั้งแบบแขวน แบบใช้เข็มบอกเวลา และนาฬิกาดิจิตอล มีทั้งที่ทำจากไม้ พลาสติก หรือแม้กระทั่งโลหะ
ตรงกลางของห้องคือโพรงบางอย่างที่ถูกกรอบด้วยอิฐสีส้ม ด้านในมีแค่ปูนเปลือยทำให้ผมสงสัยว่าจะสร้างโพรงนี้ขึ้นทำไม เหนือโพรงขึ้นไปมีรูปของคนสองคนแขวนอยู่ ยายหอมผู้เป็นต้นตระกูลวิเศษกาล...กับผู้ชายอีกคน
ชายแก่หัวขาวโพลนผู้ไว้หนวดติ๋มรูปสี่เหลี่ยมเหนือริมฝีปาก ผมเจอเขาในชีวิตแค่ครั้งเดียวเท่านั้นคือตอนที่ยายกำลังจะตาย แต่ผมจำเขาได้
ปู่ของผมที่ชื่อทิศ
“มานั่งสิ” แม่ตบบนเบาะโซฟาสีแดงหลังจากที่ตัวเองหย่อนก้นลงไปแล้ว ผมนั่งลงแล้วสำรวจรอบๆ อย่างงุนงง
“นี่ห้องใครอะแม่”
“ไม่ใช่ของใคร แต่ตอนยายอยู่ยายชอบมาที่นี่บ่อยๆ” แม่บอก แล้วรีบเข้าเรื่องทันทีด้วยสีหน้าตื่นเต้น “สรุป...เธอไปจูบคนอื่นมาแล้วเวลาหยุดเหรอจุ๊บ”
“ใช่ครับ...” ผมยอมรับ “คือมันโคตรแปลกเลยแม่ ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น จุ๊บไม่ใช่แฮร์รี่พอตเตอร์นะ ตลอดชีวิตก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองพลังพิเศษอะไร...แล้วเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ยะ...”
“จุ๊บ” แม่เรียกยิ้มๆ ก่อนที่ผมจะพูดจบดี ส่งสายตาเอ็นดูราวบอกว่าผมนี่ช่างไม่รู้อะไรเอาเสียเลย “เธอมีพลังวิเศษ”
“หะ...หา?”
“พูดให้ถูกคือ...ครอบครัวเรามีพลังวิเศษกันทุกคน เราแค่รอให้มันแสดงออกมา”
ผมมองหน้าแม่อย่างไม่อยากจะเชื่อ กะจะถามว่าแม่โดนผีเข้าสิงหรือกินยาผิดหรือเปล่า แต่แม่มองผมแล้วพูดดักไว้ก่อน
“ฉันไม่ได้กินยาผิดย่ะ” เวรกรรม รู้ทันอีก “อะ ถ้าไม่เชื่อ ยกตัวอย่างจากอะไรที่เห็นได้ชัดที่สุด...เธอไม่สงสัยเลยเหรอว่าคนที่ตำแหน่งใหญ่และมีท่าทีจะทำงานหนักอย่างลุงเธอทำไมกลับบ้านตรงเวลาตอนสี่โมงเย็นทุกวัน”
“...”
“หรือป้าเด้าของเธอ...ทำไมต้องแต่งตัวแปลกๆ ตลอดเวลา...”
“ผมนึกว่านั่นเป็นสไตล์จี๊ดจ๊าดของป้าซะอีก”
“ก็ถูก แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น” แม่ตัดบทเมื่อเห็นว่าผมเริ่มนอกเรื่อง
“ประเด็นคือ...มันมีเหตุผลที่นามสกุลของเราคือวิเศษกาล”
“...”
“ทำหน้างงไอ้นี่” แม่เบิ้ดกะโหลกผมหนึ่งทีจนผมต้องยกมือขึ้นมาลูบหัวตัวเองป้อยๆ แล้วตัดพ้อ
“ก็ผมไม่เข้าใจอ้ะ”
“มันแปลว่าเวลาที่แสนวิเศษไงล่ะ”
“เวลาที่แสนวิเศษ?”
“ใช่...เวลาที่แสนวิเศษ”
แม่ยิ้ม แล้วเริ่มเล่าเรื่องราวของนามสกุลที่ผมอยู่กับมันมาทั้งชีวิต แต่จริงๆ แทบไม่รู้จักมันเลยให้ฟัง
ครอบครัววิเศษกาลของเรามีบรรพบุรุษคือยายหอมกับปู่ทิศ ซึ่งทั้งคู่เกิดขึ้นและมีชีวิตอยู่ตั้งแต่สมัยใดก็ไม่แน่ชัด ขนาดแม่ของผมยายหอมยังไม่เคยเล่าเรื่องราวต้นกำเนิดของครอบครัวของเราให้ฟัง เพียงแค่บอกเฉยๆ ว่า...ครอบครัวของเรามีพลังวิเศษกันทุกคน
ซึ่งแต่ละคนจะมีพลังที่แตกต่างกัน และจะใช้ได้เมื่ออยู่กับคู่ของตัวเองเท่านั้น ตัวบ่งบอกพลังวิเศษนั้นแปรผันตามชื่อของแต่ละคนในครอบครัว ซึ่งถูกตั้งตามการแสดงออกทางความรักของแต่ละคน
อย่างคนใกล้ตัวผมที่สุด...แม่โอบกับพ่อกรณ์
พ่อกับแม่ของผมมีความสามารถในการย้อนเวลา...เมื่อทั้งสองกอดกัน
แม่โอบกับพ่อกรณ์เจอกันตอนเรียนมหา’ลัย เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน แม่เรียนคณะครุศาสตร์ ส่วนพ่อเรียนโรงเรียนนายร้อยตำรวจที่อยู่ฝั่งตรงข้ามมหา’ลัย ตอนแรกทั้งคู่ไม่ชอบขี้หน้ากันด้วยซ้ำ พ่อของผมเป็นสิงห์อมควันที่คิดว่าทำแล้วเท่ ส่วนแม่เป็นยัยเด็กเรียบร้อยที่ให้อารมณ์ลูกคุณหนู ทั้งคู่เจอกันที่ป้ายรถเมล์ที่เป็นทางผ่านกลับบ้าน เกลียดกันไปเกลียดกันมาก็เกิดชอบพอกันเสียอย่างนั้น
“แล้วแม่รู้ว่าตัวเองมีพลังเมื่อไหร่”
“วันนั้นฝนตก...”
วันนั้นฝนตก ทั้งคู่เจอกันเหมือนเดิมที่ป้ายรถเมล์ ขณะที่กำลังยืนรอและคุยกันกระหนุงกระหนิง รถยนต์คันหนึ่งก็แล่นเอาน้ำขังบนพื้นขึ้นสาดทั้งคู่เปียกมะล่อกม่อแล่ก พ่อกรณ์กอดแม่โอบไว้เพื่อรับน้ำขังที่สาดมาส่วนมาก เสื้อเชิ้ตสีขาวเปียกโชกในด้วยน้ำสกปรก
‘ดูสิเปียกหมดแล้ว’ แม่โอบบอกขณะที่ยังอยู่ในอ้อมกอด ‘นี่ถ้าย้อนเวลากลับไปก่อนจะโดนได้คงดี จะได้หลบทัน’
และนาทีนั้น โลกทุกอย่างรอบตัวก็ผันเปลี่ยน ทั้งคู่ย้อนเวลากลับไปตอนที่รถยนต์คันนั้นยังไม่แล่นมาบนน้ำขัง และหลบทันในที่สุด นาทีนั้นเขาต่างรู้ว่าสิ่งมหัศจรรย์กำลังเกิดขึ้น
หลังจากนั้นไม่กี่ปี ทั้งคู่ก็ตัดสินใจแต่งงานกัน และมีผมขึ้นมา แม่ของผมเป็นครูสอนคณิตศาสตร์ที่โรงเรียนประถมใกล้บ้านเรา ส่วนพ่อเป็นนายตำรวจใหญ่ที่ สน. กลางเมือง
แม่โอบกับพ่อกรณ์มีความสนุกสนานปนขัดใจในการใช้พลังแต่ละครั้งพอสมควร ในกรณีของพ่อที่บางครั้งอาจทำคดีพลาด พ่อก็จะไปหาแม่ตอนพักเที่ยงที่โรงเรียนและขอย้อนเวลากลับไปทำคดีนั้นใหม่ ส่วนแม่หากว่ามีคาบเรียนไหนที่เด็กประถมมีท่าทีว่าจะเรียนไม่รู้เรื่อง แม่ก็จะไปหาพ่อที่ สน. พร้อมกับย้อนเวลาไปสอนเด็กพวกนั้นอีกรอบ
การขัดใจกันที่พูดถึง ก็มักจะมาจากบางวันที่แม่ทำให้เด็กเข้าใจบทเรียนไม่ได้ แต่วันนั้นพ่อกลับทำคดีได้ยอดเยี่ยม หากถามถึงลำดับความสำคัญงานของพ่อก็ต้องสำคัญกว่า แต่ด้วยความเป็นแม่และเมีย...พ่อก็ต้องศิโรราบและย้อนเวลากลับไปทำคดีเพื่อให้แม่ได้สอนเด็กอีกรอบ
แม่เล่าว่าตัวเองก็เหมือนผม แปลกใจกับเรื่องประหลาดที่ไม่เคยรู้มาก่อนในตอนแรก เราเคยตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน ตอนนั้นแม่ก็เคยนั่งอยู่ที่ของผม ส่วนที่ของแม่เป็นยาย
แต่คนที่ไม่เคยประหลาดใจกับอะไรเลยเพราะรู้ตั้งแต่แรก...คือป้าเด้า
ในยุคที่ป้าเขามีประณิธานในหัวใจคือต้องตามหาคนที่มีเพศสัมพันธ์กับตัวเองแล้วแสดงพลังออกมาให้ได้ เพราะยายหอมเคยเล่าให้ป้าเด้าฟังตั้งแต่เกิด (และหลังจากนั้นก็รู้ว่าตัวยายเองตัดสินใจผิดที่บอก) ป้าเด้าผู้ก๋ากั่นพบกับลุงโรเบิร์ตที่เป็นฝรั่งมาเที่ยวเมืองไทยตอนทั้งคู่อายุสิบเก้าปี ในความสัมพันธ์แบบ...วันไนท์แสตนด์
ตอนแรกก็ไม่เกิดอะไรขึ้น แต่ระหว่างทางที่กำลังทำอะไรกันอยู่นั้นทีวีในโรงแรมก็สาระแนเปิดสารคดีเกี่ยวกับแกะนิวซีแลนด์ในยุคปลาย 90’ ขึ้นมา ตอนนั้นเองที่ป้าเด้าเผลอดูและกระซิบเบาๆ ว่าอยากไปนิวซีแลนด์
รู้ตัวอีกที ทั้งคู่ก็โผล่ท่ามกลางดงแกะที่กำลังกินหญ้าสีเขียวสดในทุ่งกว้าง
ความสามารถพิเศษของป้าเด้ากับลุงโรเบิร์ต...คือท่องเวลา
ตอนนั้นป้าเด้ารู้ว่าตัวเองปล่อยโรเบิร์ตไปไม่ได้ ทั้งคู่เลยคบหาดูใจกันและแต่งงานหลังจากนั้นสองปี โรเบิร์ตทำงานเป็นช่างภาพ ในขณะที่ป้าเด้าเป็นคอลัมน์นิสต์ของหนังสือท่องเที่ยว ป้าเด้าเป็นหมันตั้งแต่เกิด แต่ทั้งคู่ก็มีความสุขกับชีวิตคู่และการใช้พลังของตัวเองไปเที่ยวในสถานที่ที่พื้นดินโลกพอจะปูถึงเพื่อกลับมาเขียนคอลัมน์ท่องเที่ยว อดีตกับอนาคตอยู่ใกล้แค่เอื้อม
“ป้าเธอไม่ค่อยไปอนาคต” แม่บอกผม “เขาบอกว่าไปครั้งหนึ่งแล้วตัวเองแต่งตัวแปลกแยก ในร้อยปีข้างหน้ามั้ง ทุกคนบนโลกใส่แต่ชุดเกราะ แถมยังมียานแปลกๆ มาไล่ยิงแกอีกต่างหาก แกเลยไม่คิดจะไปอีกเลย”
“แกท่องเวลาได้นี่คือเหตุผลที่แกชอบแต่งตัวแปลกๆ ป่ะแม่”
“ใช่ แกแต่งตัวเข้ากับยุคสมัยที่จะไป” แม่พูด “มีอีกอันที่แกไม่กล้าไปอีกเลย คือยุคโลกล้านปี ก็แกเผลอไปพูดว่าให้โผล่กลางดงไดโนเสาร์ พอไปถึงแกกับพี่โรเบิร์ตก็โผล่กลางดงจริงๆ...”
แต่...เป็นดงทีเร็กซ์ ไดโนเสาร์กินเนื้อตัวใหญ่ที่เป็นตัวเอกของเรื่องจูราสสิกปาร์ค แวบแรกที่ป้าเด้ากับลุงโรเบิร์ดปรากฏตัวคือทีเร็กซ์เกือบสิบตัวกำลังยื้อแย่งซากอาหารกันอยู่ แววตาของนักล่าหันมามองสิ่งแปลกปลอมที่แต่งตัวคอสเพลย์ตัวละครเอกเรื่องจูราสสิกปาร์ค
‘โรเบิร์ต ฉันว่าเราต้องกลับ...’ ป้าเด้ากระซิบขณะที่เริ่มเห็นทีเรกซ์ขยับตัว
‘เราเพิ่งมาได้ไม่ถึงนาที’
‘ไม่สนแล้ว มีอะไรกับฉันเดี๋ยวนี้ มันจะงาบหัวตูอยู่แล้วโว้ยไอ้โรเบิร์ตตตตต!’ ป้าเด้ากรีดร้องลั่นขณะที่ทีเร็กซ์ตัวสีเทาเลื่อมหลายตัวกำลังย่างสามขุมเข้ามา ตัวของทั้งคู่สัมพันธ์กันได้สักพักก็กลับมาที่บ้านในสภาพหัวฟูในเวลาแบบเส้นยาแดงผ่าแปด
ผมขำ รู้สึกทึ่งกับความสามารถของลุงป้า
“แล้ว...ลุงพร่ำอะครับ” ผมถามต่อถึงสมาชิกครอบครัวที่แก่รองลงมา
“ยื้อเวลา” แม่โอบเล่าถึงผู้จัดการบริษัทเทคโนโลยีชื่อดัง ‘ลุงพร่ำ’ ผู้เป็นพ่อของจีบและสามีของป้าแก้ว
ทั้งคู่พบรักกันในสถานที่ทำงานในวัยสามสิบกว่า ตอนนั้นลุงพร่ำยังเป็นพนักงานแผนกออกแบบผลิตภัณฑ์ธรรมดาๆ ในบริษัทใหญ่มาพบกับป้าแก้วผู้เป็นเซลล์ขายอุปกรณ์ไอที ทั้งคู่ต้องทำงานร่วมกันอย่างยาวนานจึงเกิดสายสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน และพัฒนามาเป็นความรักในที่สุด
เรื่องแปลกประหลาดของลุงพร่ำและป้าแก้ว เกิดขึ้นในครั้งแรกที่ลุงบอกรัก ในสถานการณ์ที่ทั้งคู่กำลังจะจากกันเพราะการสนทนาทางธุรกิจเสร็จสิ้น
‘อยากให้เวลาหยุดอยู่แบบนี้นานๆ’ เขาพูดในอ้อมกอด ‘ถ้าต่อเวลาไปได้สักชั่วโมง สองชั่วโมง สามชั่วโมง สี่...ก็คงดี’
‘เรายังนัดเจอกันได้ไงพร่ำ’
‘มันไม่เหมือนกัน ผมเสียดายเวลาที่ผ่านมา ผมยังไม่ได้บอกความรู้สึกจริงๆ ของผมต่อคุณเลย’
‘บ้า พูดอะไร’
‘ผมรักคุณนะแป้ง’
จากนั้นทั้งคู่ก็ติดอยู่ในเวลาหกโมงเย็น เป็นเวลา...หนึ่ง...สอง...สาม...สี่ชั่วโมงถ้วน
ลุงพร่ำกับป้าแป้งแต่งงานกันหลังจากนั้นหนึ่งปี แล้วก็มีไอ้จีบออกมากวนใจหลังจากผมคลอดได้สามปี ตอนนี้ลุงพร่ำกลายเป็นคนทำงานตำแหน่งใหญ่ แต่ป้าแก้วออกมาทำอาชีพแม่บ้าน ที่ผมสงสัยมาตลอดคือเขากลับบ้านตรงเวลาอยู่เสมอ แท้จริงแล้วเขาแค่...ยื้อเวลาออกไป
“มีครั้งหนึ่งก่อนวันหยุดช่วงสงกรานต์มั้ง ลุงเธอมาบอกรักป้าตอนสามโมงเย็นประมาณสามรอบเพราะพนักงานยังไม่ปิดโปรเจกต์ แก้วเดินมาบอกกับฉันว่าติดอยู่สามโมงเย็นของวันที่สิบสองเมษามาเกือบสองวันแล้ว ฉันล่ะสงสาร สงสารทั้งแก้วต้องมาติดอยู่ในวันนั้นนานๆ สงสารทั้งพนักงานที่คงสงสัยว่าเมื่อไหร่จะสี่โมงเย็นสักที”
ผมพยักหน้าให้แม่อย่างเข้าใจ แล้วถามต่อ
“แม่ แล้วความสามารถของยายอะ”
“ยายเธอไม่เคยบอก” แม่ตอบ ผมขมวดคิ้วอย่างเสียดาย “ส่วนจีบ...คงต้องรอเวลาที่เจอคนๆ นั้นจริงๆ มั้ง เธอก็อย่าไปบอกน้องก่อนวัยอันควรล่ะ เดี๋ยวจะเป็นเหมือนป้าเด้า”
ผมหัวเราะ “โอเคครับ”
“อืม ทีนี้ก็เข้าใจแล้วเนอะ...”
“แม่ ผมสงสัยอย่างหนึ่ง คือแบบ...เราจะรู้ได้ไงว่าคนไหนเราใช้พลังได้หรือไม่ได้อะ ผมหมายถึง...พลังมันต้องใช้ตอนอยู่กันสองคนใช่ไหม แล้วทำไมคนที่ผมต้องใช้ด้วยถึง...เป็นคนๆ นั้นล่ะ”
ผมถาม ชั่วขณะนั้นก็นึกถึงใบหน้าของธีร์ขึ้นมาในหัว แม่โอบยิ้มกว้างตอบแล้วพูดประโยคที่ทำให้ผมไปไม่เป็น
“พลังของเรา เราใช้ได้กับคนเดียวเท่านั้น คือคู่ชีวิตของเรา”
“...”
“เธอค้นพบพลัง หมายถึงเธอเจอคู่ชีวิตแล้ว”
ธีร์ ดำรงค์เดชคนนั้น
เด็กหนุ่มดาราผิวขาวจ้าที่ติดหมวกแก๊ปและการแต่งตัวสีฉูดฉาดคนนั้น
เด็กหนุ่มที่ขโมยจูบแรกของผมคนนั้น
...คือคู่ชีวิตของผมเหรอ?
“แล้ว...บอกแม่ได้ไหม ผู้หญิงคนไหนน้ามาขโมยหัวใจลูกชายแม่” แม่ถามต่ออย่างมีอารมณ์ขัน ผมขยับปากเพราะไม่แน่ใจว่าจะพูดออกไปดีหรือเปล่า
“เร็วสิ อย่าปล่อยให้แม่ตื่นเต้น”
“...”
“จุ๊บ...”
“แม่...”
“...”
“คู่ชีวิตผมเป็นผู้ชาย”TBC*อยากกรี๊ดอยากพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องไปคุยกันที่ #จุ๊บที ในทวิตเตอร์น้า