จูบที่หก ‘คู่ชีวิตผมเป็นผู้ชาย’ ผมพูดอ้อมแอ้ม แต่ทำให้ตาของแม่เบิกกว้างด้วยความช็อกได้ในทันที
จินตนาการตอนคุณไปบอกคนในครอบครัวว่าคนที่จะลงเอยด้วยเป็นเพศเดียวกันดูสิ แล้วยิ่งผม...นายจุมพิต วิเศษกาล...ผู้เป็นทายาทเพศชายเพียงคนเดียวของตระกูลนี้
ใครรู้ใครก็ช็อกล่ะวะ
“ฮื้ออออออออออออ” แม่ซบหน้าลงกับฝ่ามือตัวเองแล้วปล่อยโฮออกมายกใหญ่ ผมยกมือขึ้นแตะไหล่แม่อย่างปลอบโยนด้วยความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จะบอกแม่ให้หายตะลึงได้ยังไงในขณะที่ตัวเองยังอยู่ในอาการเดียวกัน
“แม่ ผมรู้ว่าแม่ตกใจ” ผมพยายามปลอบ “ผมก็ตกจะ...”
“ฉันไม่ได้ตกใจ”
แต่จู่ๆ แม่ก็หยุดร้อง ถอนหายใจจนเหนียงกระเพื่อมหนึ่งที แล้วเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยสีหน้าที่เดาอารมณ์ยาก
“หา?”
“ฉันรู้นานแล้ว ฉันแค่ถามลองเชิงเธอเฉยๆ”
“อ้าว” กลายเป็นผมที่กลายเป็นฝ่ายเงิบอยู่คนเดียวซะงั้น “หมายความว่าไงแม่รู้นานแล้ว”
“ยายเธอเคยบอกแม่ ไม่รู้ว่าแกรู้ได้ไงเหมือนกัน แต่แกเคยบอกแม่นานแล้วว่าจุ๊บจะมีคู่ชีวิตเป็นผู้ชาย...ตั้งแต่จุ๊บยังเด็กแน่ะ”
“ตอนยังเด็กเหรอ” ผมพึมพำเบาๆ ด้วยความสงสัย นึกย้อนกลับไปแต่ไม่มีความทรงจำใดเลยที่ทำให้ผมนึกออกถึงการแสดงออกว่าหลงใหลเพศเดียวกันของตัวเองตอนไหน
“ถามอีกที จะไม่เปลี่ยนใจจริงๆ ใช่ไหม” แม่เหล่ตามองผมเหมือนครูจับผิดนักเรียนที่ลอกการบ้าน ทำเอาผมไปไม่เป็น เห็นท่าทางแบบนั้นแม่ก็ขำพรืดออกมา “ฉันล้อเล่นย่ะ ว่าแต่ไอ้หนุ่มที่ขยี้ปากเธอนี่ใครเหรอ”
“แม่ใช้คำน่าเกลียดมากอะ” ผมแหวกึ่งบ่ายเบี่ยงการตอบคำถาม
“ฉันครูคณิตนะยะไม่ใช่ภาษาไทย สรุปว่าใคร”
“แม่ จุ๊บว่าจุ๊บง่วงแล้วอ่ะ ไปนอนก่อนนะครับ” ผมลุกขึ้นพรวดทันทีแบบไม่มีพิรุธเลยจริงๆ แม่ยื่นมือหนามากะคว้าเอวให้ผมนั่งลงเหมือนเดิม ดีที่เด้งตัวหลบทัน
“ไอ้จุ๊บ อย่าหนีนะ”
“ฮ้าววววววววววว” ผมเดินกึ่งวิ่งไปที่บันไดและส่งเสียงหาวปลอมๆ ออกมา ได้ยินเสียงแม่บ่นไล่หลัง โกยอ้าวเข้าห้องได้ปุ๊บก็ล้มตัวลงบนเตียงท่ามกลางความมืด ตาจ้องมองดวงดาวพลาสติกเรืองแสงที่ติดทั่วเพดานห้อง แสงสีเขียวและฟ้าอ่อนส่องสว่างจากดวงดาวเหล่านั้น ผมมองมันด้วยท่าทีสงบนิ่ง ใจคิดไปถึงคำว่าคู่ชีวิตจากปากของแม่
“คู่ชีวิต” ผมกระซิบกับตัวเองในความเงียบ พอได้พูดจากปากตอนอยู่คนเดียวแบบนี้ก็รู้สึกว่ามันช่างเป็นคำที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน และในความยิ่งใหญ่นั้น...ผมมองไม่เห็นความเป็นไปได้เลยสักนิด
ผมคว้าหมอนขึ้นมาปิดหน้าแล้วตะโกนคลายความอัดอั้นใส่ปลอกผ้ารสปะแล่ม แค่คิดว่าเราเป็น ‘คู่’ กันแค่นั้นโดยที่ยังไม่มีคำว่า ‘ชีวิต’ ต่อท้าย ความรู้สึกหลากหลายก็ประดังประเดเข้ามาจนแทบข่มตานอนไม่ลง
คนธรรมดากับซูเปอร์สตาร์ของเมืองไทย
ผมกับเขาจะกลายเป็น ‘เรา’ เหรอ
เสียงดังโหวกเหวกจากด้านนอกปลุกผมในเช้าวันรุ่งขึ้น แสงสว่างที่ส่องลอดผ้าม่านเข้ามาทำให้ผมหันหน้าเข้าผนังอีกด้าน ผมคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา เพิ่งเจ็ดโมงสิบห้า เมื่อคืนนอนกระสับกระส่ายจนกว่าจะหลับลงก็ปาเข้าไปตีสาม นี่ได้หลับแค่สี่ชั่วโมงเองเหรอ
“มีใครเห็นส้นสูงสีแดงบ้าง” เสียงแหลมของป้าเด้าดังทะลุเข้ามาถึงในห้องนอนผม ดูเหมือนป้าจะหาของตัวเองไม่เจออีกแล้ว
ผมผ่อนลมหายใจ ยกโทรศัพท์ขึ้นมาเขี่ยแจ้งเตือนเล่น เจอกับเอสเอ็มเอสชวนดูคลิปไร้สาระ รูปสวัสดีตอนเช้าจากญาติฝั่งพ่อ และข้อความถามไถ่อาการป่วยจากน้องสีเขียวและเพื่อนร่วมรุ่น
แต่ไม่มีข้อความจากเขา
สักคำ
เดียว
ผมกดเข้าไปดูในบทสนทนาระหว่างเรา หน้าจอแสดงบทสนทนาล่าสุดคือตอนเขามาขอคาราไมล์ที่ห้อง...แล้วก็ไม่มีอะไรต่อ ผมเขี่ยมันขึ้นลงราวกับว่าทำแบบนั้นแล้วจะมีบทสนทนาเพิ่มขึ้นอีกประโยคสองประโยค สุดท้ายก็ถามตัวเองว่ากดเล่นทำไม จนยอมปิดมันในที่สุด
รู้สึกใจแป้ว แต่คิดอีกมุมก็เข้าใจธีร์ เจอเรื่องประหลาดเข้าไปขนาดนั้นเขาคงไม่กล้าจะคุย
เผลอๆ อาจจะมองผมเป็นตัวประหลาดไปแล้วด้วยซ้ำ
ผมทิ้งโทรศัพท์ไว้กับเตียงแล้วเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าล้างตา ทำทุกอย่างเสร็จก็ออกไปหาอะไรกินในห้องครัว เสียงช้งเช้งของแต่ละคนลอยมาตั้งแต่เท้ายังไม่ก้าวเข้าห้อง และพอไปถึงผมก็ต้องตะลึงกับสมาชิกที่วันนี้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันเหลือเกิน
แม่โอบในชุดเสื้อยืดสีฟ้าสดกับกางเกงโสล่งสีขาวกำลังคนอะไรสักอย่างในหม้อด้วยใบหน้ายิ้มแป้นอารมณ์ดีอย่างเคย ถัดออกไปคือป้าแก้วที่ยืนล้างจานอยู่ตรงซิงก์น้ำ บนโต๊ะอาหารตัวยาวมีลุงพร่ำในเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงแสล็คกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์หน้าเคร่ง แว่นกรอบสี่เหลี่ยมที่สะอาดไร้ที่ติคาอยู่บนสันจมูกโด่ง จีบในชุดเสื้อยืดย้วยๆ และมัดผมแกละกำลังกดโทรศัพท์เล่น ดวงตากลมโตที่ได้จากแม่มามองหน้าจอนั้นไม่วางตา รวมไปถึงป้าเด้ากับลุงโรเบิร์ตที่วันนี้แต่งตัวรับอรุณด้วยชุด...คนจีนยุคเก่า? หรือยุคใหม่? หรือยุคไหนผมก็ไม่แน่ใจนัก เพราะป้าเด้าสวมกี่เพ้าสีแดงเข้ากับผมทรงม้วนเป็นวงประดับด้วยปิ่นไม้ด้ามเล็ก กับลุงโรเบิร์ตที่ใส่เสื้อคอกระบอกสีแดงกับกางเกงขายาวสีเดียวกัน บนหัวมีหมวกทรงกลมที่เราชอบเห็นในหนังจีนบ่อยๆ...อันที่ผีดิบชอบใส่อะ
แปลกตาดีที่เห็นฝรั่งตาสีน้ำเงินแบบลุงโรเบิร์ตใส่ชุดแบบนี้ แต่มองไปมองมาก็เข้ากันดีกับชุดของภรรยาสาวผู้มีดวงตาเล็กและใบหน้าออกไปทางคนจีนแบบป้าเด้า อยู่ด้วยกันแล้วเหมือนพ่อค้าจากต่างแดนมาตกหลุมรักสาวเอเชียอะไรแบบนั้น
“จุ๊บบบบบบ” จีบเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นผม เด็กสาวตัวเล็กพุ่งตัวจากเก้าอี้มากอดผมแล้วหอมฟอดใหญ่
“ทำไรเนี่ย ขนลุก” ผมบอกแล้วพยายามรั้งหัวยัยเด็กนี่ให้ห่างจากตัว คือปกติก็เคยชินกับนิสัยชอบจับๆ ถูๆ เหมือนแมวของจีบนะ แต่ครั้งนี้มันจู่โจมเกินไปเหมือน...เหมือนมีจุดประสงค์อะไรสักอย่าง
“คิดถึงไง ไม่เจอกันตั้งหลายวัน” จีบอ้อน สะบัดหัวจนผมยาวที่ถูกมัดเป็นแกละสองข้างนั้นสะบัดไปมา ผมเหล่ตามองอย่างจับผิด
“แค่สามวัน ตอนปีหนึ่งไปอยู่หอเป็นปีกลับมาไม่เห็นจะกอดแบบนี้”
“แหม ก็ตอนนั้นมันไม่เหมือนกัน”
“มีอะไร” ผมเข้าประเด็น จีบค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาสบตาผมด้วยตาใสแป๋วกลมโตชวนเลี่ยนที่นานทีจะมองผมแบบนี้ (ปกติมีแต่ถลึงตาบ้าง ตบหัวบ้าง) เด็กสาววัยสิบเจ็ดปีใช้นิ้วจิ้มกันเหมือนเด็กๆ เวลาขอขนมแล้วพูดออกมาด้วยเสียงบีบเล็ก
“ที่เขาลือกันว่า...พระเอกวัยรุ่นวุ่นรักมาเรียนที่คณะจุ๊บนี่จริงปะ” คิดไว้แล้วว่าเป็นเรื่องนี้ สำหรับเด็กที่บ้าดารา(ชาย)แทบทุกคนและทุกเชื้อชาติมันคงมีไม่กี่เรื่องที่จะอ้อนผม ดาราที่ดังโคตรๆ อย่างธีร์จะหลุดวงจรความติ่งนี้ไปได้ก็คงแปลก
“ไม่”
“โกหก ยังเห็นคลิปเด้ากันเกลื่อนทวิตเตอร์อยู่เลย”
ทันทีที่จีบลั่นวาจา ผมได้ยินเสียงหันหน้าจากทุกคนบนโต๊ะอาหาร มันเหมือนในการ์ตูนญี่ปุ่นที่จะมีเสียง ‘ขวับ!’ ดังออกมาจากใบหน้าอยากรู้อยากเห้นเหล่านั้น วินาทีที่ยัยเด็กติ่งพูดอะไรบัดสีบัดเถลิงนั้นทุกคนก็ดันเงียบกะทันหันพอดี ฟัค
“ท่าเต้นรับน้องน่ะครับ” ผมยิ้มแห้งๆ ตอบทุกคนที่ดูอึ้ง เมื่อได้ยินคำตอบก็พยักหน้ารับอย่างโล่งใจและหันไปเจี๊ยวจ๊าวกันต่อ พอสถานการณ์เริ่มสงบ ผมล็อคคอจีบเข้ามากระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคน
“ต้องการอะไร”
“รูปพร้อมลายเซ็นบนดีวีดีซีรี่ย์บ็อกเซตครบชุด” เด็กบ้าบอกความจริงออกมาในที่สุด
“ได้” ผมรับปากทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำได้หรือเปล่าด้วยซ้ำ “แล้วอย่าพูดถึงเรื่องนี้อีก โดยเฉพาะเรื่องคลิปเด้าอะไรนั่น โอเค้?”
“Deal” จีบกระหยิ่มยิ้มอย่างร้ายกาจ
“ว่าแต่...มันเกลื่อนทวิตเตอร์จริงเหรอวะ”
“ติดเทรนด์ด้วย ไม่เชื่อเช็กดูในแท็ก #บั้นเด้านุ้งธีร์ ได้”
“ทุเรศชิบ” หมายถึงไอ้แท็กที่รวบรวมเรื่องนี้ไว้น่ะทุเรศชิบ
“แหมทำมาเป็นบ่นทุร่งทุเรศ หน้าแกในคลิปอะฟินกว่าคนดูอีก”
“ไอ้จีบ!” ผมยกมือขึ้นกะจะโบกหัวมันสักป้าบ แต่จีบเหวี่ยงหลบทันและสะบัดตัวจนหลุดจากการล็อกคอ แลบลิ้นสะใจใส่อีกต่างหาก
“กินอิ่มแล้ว ไปนอนต่อดีกว่า” เด็กมัดแกละจงใจบอกแล้วชิ่งเดินออกจากห้องครัว แต่ยังไม่วายร้องเพลงล่อหน้าล่อตาผมส่งท้าย “แมงมุมมันเดินยุ่มย่ามพอถึงสองยาม ขยุ้ม! ขยุ้ม!”
“ขยุ้มพ่องดิ” ผมว่าเสียงดังใส่ไอ้เด็กที่โยกตัวตามจังหวะเพลงไปมา แต่พอหันมาอีกด้านก็เจอพ่อมันจริงๆ...กรรม
“ละ...ลุงพร่ำหวัดดีครับ”
ชายวัยกลางคนในเสื้อเชิ้ตเรียบแปล้รับไหว้ผมด้วยหน้ายิ้มเจื่อนๆ “ไหนบอกลุงไปค่ายตั้งเจ็ดวัน นี่เพิ่งวันที่สี่เองไม่ใช่เรอะ”
"ไม่ค่อยสบายน่ะครับเลยกลับมาก่อน" ผมไม่อยากโกหก แต่ไม่แน่ใจว่าจะพูดเรื่องที่ค้นพบพลังตัวเองออกไปดีไหม คือมันอาจจะไม่ได้แปลกอะไรสำหรับลุงพร่ำ แต่ในความไม่แปลกนั้นก็มีความแปลกอยู่...เข้าใจใช่ไหม
"จุ๊บมันตื่นพลัง" แล้วแม่ก็ทำลายคำขี้จุ๊ลงซะไม่เหลือคราบ เรียกความสนใจจากลุงพร่ำที่ตาโตด้วยความตกใจ รวมไปถึงทุกคนที่อยู่ในห้อง
"เฮ้ย ลุงดีใจด้วย แล้วพลังของแกคืออะไรล่ะ" ลุงพร่ำถาม
"...หยุดเวลาครับ" ผมตอบอย่างไม่ชินปาก เรียกเสียงว้าวเบาๆ อย่างแปลกใจได้จากทุกคนยกเว้นแม่ ลุงพร่ำพยักหน้าขึ้นลงราวนึกภาพตาม แล้วก็ก้มลงมองข้อมือตัวเอง “อยากอยู่คุยต่อนะ แต่ลุงสายแล้ว เอาเป็นว่าดีใจด้วยจริงๆ ว่างๆ พาไอ้หนุ่มคนนั้นมาเที่ยวบ้างนะ”
ลุงตบไหล่ แล้วเดินออกไปพร้อมกับป้าแก้วที่ยิ้มแป้นส่งมา ปล่อยให้ผมเงิบค้างกว่าเดิมอยู่ตรงนั้นเพราะคำว่า...ไอ้หนุ่ม
นี่คนในครอบครัวรู้ ‘เรื่อง’ ของผมถึงขั้นไหนเนี่ย
ผมหันมองหน้าแม่ที่ทำตาโตเหมือนคนโดนจับได้ พลันก็ต้องส่ายหัว...นี่ไงสาเหตุ
“จุ๊บหลานรัก” แต่ยังไม่ทันได้คาดโทษกับหญิงร่างใหญ่ หญิงร่างเล็กในชุดกี่เพ้าสีแดงลายมังกรที่เพิ่งวางช้อนข้าวต้มลงก็อ้าแขนเป็นสัญญาณให้ผมเข้าไปสวมกอด ผมโน้มตัวอย่างงงๆ ได้ยินเสียงป้าเด้าพูดข้างหู
“ดีใจด้วยที่โดนสวนทวาร”
“ป้าเด้า!”
“เด้า ถั่มไมพูดกับหลานแบบนั้น” ลุงโรเบิร์ตดุภรรยาด้วยสำเนียงแปร่งๆ ในบางคำ “บางทีจุ๊บอาจจะเป็นคนสวนก็ได้ ใช่ไหมครับจุ๊บ”
“ลุง!” พอกันจริงๆ คู่นี้ ถึงว่าเป็นผัวเมียกันได้
“พอๆ พวกเธอหยุดลามปามเรื่องส่วนตัวลูกฉันเดี๋ยวนี้” แล้วแม่ก็สาดประกาศิตทำให้คู่เย่อกันสนั่นโลกายอมหุบปากแล้วหัวเราะคิกคักออกมาแทน ผมถอนหายใจออกมาทางจมูกอย่างเพลียใจ
“สรุปใครสวนใคร”
“แม่!”
“ล้อเล่น! แม่ล้อเล่นเอ๊ง แหมทำหน้าบูดเป็นตูดลิงไปได้ มาๆ นั่งกินข้าวต้มร้อนๆ ก่อน” แม่กดไหล่ผมให้นั่งลงตรงหน้าโต๊ะอาหาร แล้วยกข้าวต้มกุ้งหอมฉุยในชามมาเสิร์ฟให้ ผมยกมือไหว้ขอบคุณอย่างที่เคยทำแม้ว่าจะงอนแม่อยู่ก็ตาม เด็กดีนี่ครับ มารยาทต้องมาก่อนอารมณ์ส่วนตัวอยู่แล้ว อิๆ
“เขาเป็นใครเหรอจุ๊บ” ป้าเด้าเปิดประเด็นตอนผมตักกุ้งคำแรกเข้าปาก อ่ามมมม
“ใครครับ” ผมถาม
“คนที่เธอไปแลกจุลินทรีย์บนลิ้นกันไง”
“แค่ก!” ถึงกับสำลัก ป้าเด้าแม่งทำลายความฟินในการละเลียดกุ้งของผมมาก ผมหยิบทิชชู่มาเช็ดปากแล้วมองแม่ที่เพิ่งนั่งลงฝั่งตรงข้าม ยักคิ้วทำนองว่า ‘แกหนีคำถามนี้ไปไม่พ้นหรอก’
“ถามจริงนี่ทุกคนไม่รู้สึกแปลกใจบ้างเหรอ” ผมเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาหลังจากอาการสำลักทุเลา
“เรื่องอะไร” ป้าเด้าขมวดคิ้ว
“เรื่องที่...คู่ผมเป็น...ผู้ชาย” ผมพูดเสียงเบาแทบจะเรียกได้ว่ากระซิบ หากแค่นั้นก็ทำให้ป้าเด้าระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่นและยาวนานจนผัวป้าเองยังต้องขมวดคิ้ว ผมก็ขมวดคิ้ว...ขำอะไรขนาดนั้นวะครับ
“ไอ้จุ๊บ” ป้าเด้าตบไหล่ผมแรง...เจ็บนะป้า “ตลอดชีวิตฉันเคยเจอเรื่องแปลกกว่านี้มาเยอะมากกกก เยอะมากจริงๆ ฉันเคยวิ่งหนีเอเลี่ยน ได้กับผัวกลางดงไดโนเสาร์ เคยโดนควายเม็กซิโกขวิดด้วย นี่มันแค่สิวๆ...พูดจริงๆ มันก็ไม่แปลกเลยเถอะ แกไม่ต้องกังวล”
“Boy, This is 21st Century. No matter what gender you are, love is love. (ไอ้หนุ่ม นี่มันทศวรรตที่ 21 แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเพศไหน รักก็คือรัก)” ลุงโรเบิร์ตสมทบ ผมยิ้มบางด้วยความรู้สึกใจชื้นขึ้นนิดหน่อย หันมองแม่ก็พบว่าเจ้าของทรงผมบ็อบเทยิ้มและพยักหน้าอย่างให้กำลัง เธอพูดต่อว่า “โรเบิร์ตมันพูดอะไรของมันวะ ฟังไม่รู้เรื่อง”
เกือบดีแล้วแม่...เกือบแล้วครับ
“โรเบิร์ตมันบอกยุคนี้ชายรักชายไม่ใช่เรื่องผิด” ป้ากี่เพ้าตอบให้ “ว่าแต่ไอ้จุ๊บมันยังไม่ได้ตอบคำถามเราเลยนี่หว่า จุ๊บ สรุปว่าไอ้หนุ่มนั่นใครเหรอ”
“แม่ ผมเอาข้าวต้มไปกินในห้องได้ไหมอะ”
“ไม่ได้!” คราวนี้ทั้งแม่กับป้าเด้าประสานเสียงกันห้าม ป้าเด้าถึงกับลากชามของผมไปไว้ที่หน้าตัวเอง โธ่ จนมุมแล้วสินะผม
ผมเคาะนิ้วกับโต๊ะแล้วเป่าลมหายใจทางปากเชิงยอมแพ้
“เขาก็...ไม่ใช่คนดังอะไรหรอกครับ”
...แค่ไปที่ไหนก็มีแต่คนกรี๊ด
“ไม่ใช่ลูกของใครใหญ่โตด้วย”
...แค่พ่อกับแม่ของเขาเป็นดาวค้างฟ้าของวงการบันเทิงไทย
“เขาหล่อไหม”
“แม่!”
“จุ๊บ นี่ฉันจริงจังมากนะ”
“ก้ะ...ก็พอไปวัดไปวาได้มั้งครับ”
แบบที่ไปถึงปุ๊บสีกาทุกคนแทบจะไม่มีสมาธิจดจ่ออยู่กับการทำบุญเพราะมัวแต่มองเขาน่ะนะ
“ได้กันยัง”
“ป้าเด้า!”
“โอ้ยเลิกซึนสักทีได้ไหม เซ็กซ์มันคือเรื่องปกติของคนสองคนที่รักกันย่ะ ดูอย่างฉันกับโรเบิร์ตสิ เนอะที่รักเนอะ” ป้าเด้าหันไปขอแรงสนับสนุนจากสามีตัวเอง แต่ลุงโรเบิร์ตส่ายหัวไม่เห็นด้วย ทำให้ป้าต้องแจกมะเหงกไปที
“อาว!” ชายชาวออสซี่ร้องเสียงดัง “ผมพูดผิดตรงไหน เซ็กซ์ของเราไม่ได้เกิดเพราะความรักทุกครั้งซะหน่อย บางทีคุณก็ใช้กับเรื่องงานนะ”
“ก็ใช่ แต่คุณต้องเข้าใจว่าไม่ใช่ทุกคนที่เกิดมาพร้อมจิ๋มอันทรงพลังแบบนี้ ฉันก็ไม่ได้อยากเกิดมาพร้อมจิ๋มอันทรงพลังแบบนี้ แต่มีแล้วก็ต้องใช้ให้เป็นประโยชน์สิ ใช่ไหมจุ๊บ” หญิงวัยกลางคนหันมาถามความเห็น แต่ผมอ้าปากหวอใส่เพราะไม่รู้จะตอบไงเหมือนกัน
“สรุปได้กันยัง” เจ้าของจิ๋มทรงพลังถามต่อ
“ป้า ผมกับเขายังไม่ได้เป็นอะไรกันเลย”
“เธอชอบเขาไหม” แม่ที่ฟังมานานยิงคำถามจริงจังที่ทำให้ทุกคนบนโต๊ะเงียบ ผมมองหน้าอวบอิ่มของคนตรงหน้าผู้ยกมุมปากยิ้มเบาๆ สายตาที่มองผมอย่างทะลุปรุโปร่งเสมอนั้นทำให้ผมอ้ำอึ้ง
“แสดงว่าชอบ...” แม่เดาเมื่อผมไม่ได้ตอบอะไรออกไป ผมกัดริมฝีปากอย่างแก้ตัวไม่ถูก คือผมกับธีร์ก็เจอกันแค่ไม่นาน เวลาที่เราอยู่ด้วยกันอาจจะน้อยนิด แต่ต้องยอมรับว่าเวลาเหล่านั้นผมรู้สึกดี การกระทำของเขาทุกอย่างของเขามันทำให้ใจของผมเต้นแรง
ถ้าถามว่าผมชอบธีร์ไหม จะพูดว่าใช่ก็คงไม่ถูกนัก
แต่จะพูดว่าไม่...มันก็พูดได้ไม่เต็มปาก
“แล้วเขาชอบเธอไหม...” คำถามต่อมาของแม่ทำให้ผมคิดหนักมากกว่าเดิม ถ้าเป็นก่อนหน้าที่เราจูบกันทุกอย่างเหมือนจะบอกผมว่าความรู้สึกของเขาเป็นไปในทิศทางนั้น แต่ตอนนี้...
...ผมไม่แน่ใจ
“ผมไม่แน่ใจ” ผมตอบแม่ตามตรง แม่ยิ้มบางๆ ยื่นมือมาจับมือผม แล้วใช้โทนเสียงเหมือนครูกำลังสอนนักเรียน
“มีแค่ทางเดียวที่จะรู้”
“...”
“ถามเขาสิ”
(ต่อด้านล่าง)