จุ๊ บ ที { ตอนพิเศษ : จีบที | 30.5.2561 | Page 29 } (จบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: จุ๊ บ ที { ตอนพิเศษ : จีบที | 30.5.2561 | Page 29 } (จบ)  (อ่าน 203139 ครั้ง)

ออฟไลน์ ตัวแม่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-1
    • เพจตัวแม่



จูบที่เก้า


   ผมรู้สึกผิดหวัง...ใครโดนแบบนั้นเข้าก็คงผิดหวัง

   แต่อย่างน้อยมันก็สอนให้รู้ว่า...ในเวลาที่เราคิดว่าเรารู้จักคนๆ หนึ่งดีพอ ความจริงเราอาจไม่ได้รู้จักเขามากขนาดนั้น

   หรือบางที ผมอาจไม่เคยรู้จักธีร์ ดำรงเดชเลยสักนิด


 
   “ครับ กลับดึกหน่อยนะแม่ เจอกันที่บ้านครับ”

   ผมกดวางสายจากแม่ที่บอกว่ากำลังจะกลับจากโรงพยาบาล มืออีกข้างหวดเข้าแก้มขวากะจะคร่าชีวิตยุงลายตัวที่ดูดเลือดผมอยู่สองนาน แต่ปรากฏว่าคว้าน้ำเหลว ไอ้ยุงผีบินหลบทัน ผมเลยโชว์โง่ตบหน้าตัวเองเต็มแรงไปหนึ่งที

   “โอ๊ย”

   โฟกัสที่นั่งข้างๆ ขมวดคิ้วงุนงง “มึงง่วงเหรอจุ๊บ”

   “เปล่า... เมื่อไหร่อาจารย์จะออกมาว้า เลือดกูจะหมดตัวแล้วเนี่ย”

   สามทุ่มแล้ว ผมยังอยู่ที่คณะ เช่นเดียวกับเพื่อนร่วมรุ่น พี่ปีสาม และน้องปีหนึ่งจำนวนหนึ่ง กิจกรรมเชียร์ถูกสั่งให้งดชั่วคราวเนื่องจากเหตุการณ์เมื่อวาน และตอนนี้เรากำลังรอฟังชะตากรรมอยู่หน้าห้องประชุมของผู้บริหาร ที่ซึ่งแสงไฟริบหรี่ เซ็งแซ่ไปด้วยเสียงบ่น และเสียงตบยุง

   มือถือผมสั่น จังหวะนั้นในใจหวังว่าจะเป็นคนที่ผมโทรหาตลอดทั้งวัน ดาราวัยรุ่นคนนั้นที่ผมคิดว่าผมรู้จักเขาดี

   ธีร์แยกออกว่าอะไรถูกผิด และเขาจะต้องรู้ว่าสิ่งนี้มันไม่ถูกต้อง เขาจะไม่หายไปเฉยๆ แล้วทิ้งทุกอย่างไว้แบบนี้ เมื่อวานเรายังคุยกันเรื่องการปรับปรุงตัวอยู่เลย...

   พอยกหน้าจอขึ้นกลับพบว่าเป็นข้อความจากป้าสุดที่รัก


   เด้าผู้เร้าใจ: จะไปอียิปต์

   เด้าผู้เร้าใจ: เอาไรปะ

   เด้าผู้เร้าใจ: ผ้าห่อมัมมี่?

   เด้าผู้เร้าใจ: ขี้แมว?



   ผมถอนหายใจกึ่งขำกึ่งหน่าย ยังไม่ทันพิมพ์ตอบเสียงประตูเปิดก็ดังขึ้น คณบดีก้าวออกมาด้วยสีหน้าตึงเครียด วินาทีนั้นทุกเสียงบ่นเงียบลง ผมเก็บโทรศัพท์ทันที

   ชายวัยกลางคนในชุดเสื้อเชิ้ตสีอ่อนเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเรียบนิ่งอย่างเคย เขาหยุดยืนอยู่ตรงหน้ากลุ่มรุ่นพี่ปีสามซึ่งรวมตัวกันอยู่ใกล้ประตูห้องที่สุด นักศึกษาเกือบร้อยชีวิตลุกขึ้นยืนรอฟังชะตากรรมของกิจกรรมเชียร์ในคณะ บรรยากาศรอบข้างเงียบจนน่ากลัว

   ผมได้ยินเสียงยุงบินวนเวียนอยู่ข้างหู มั่นใจว่าครั้งนี้ผมต้องคว้ามันไว้ได้แน่ๆ แต่ก็ไม่กล้าแม้แต่จะเอื้อมมือปัด

   คณบดีขยับกรอบแว่น เขาเม้มปากด้วยความลำบากใจก่อนจะเริ่มพูดกับพี่ประธานเชียร์ที่อยู่ด้านหน้าสุดของแถว

   “คณะผู้บริหารลงความเห็นกันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต้องเป็นไปตามระเบียบของมหา’ลัย เรื่องที่เกิดขึ้นร้ายแรงและส่งผลเสียต่อตัวมหา’ลัยมากเพราะข่าวออกไปด้วย” เขาเม้มริมฝีปากอีกครั้ง “และ...อาจารย์จำเป็นต้องให้ประธานเชียร์พักการเรียนเพื่อแสดงความรับผิดชอบ”

   ความตื่นตกใจปรากฏบนใบหน้านักศึกษาทุกคน ทันใดนั้นคำถามจากประธานเชียร์ที่เพิ่งโดนลงโทษหมาดๆ ก็ดังขึ้น

   “โอเคครับ ผมพักการเรียน แต่แผนเชียร์หลังจากนี้ก็ยังเหมือนเดิมใช่ไหมครับ”

   อีกครั้งที่ความกดดันพุ่งไปยังชายวัยกลางคนจนเขาไม่สามารถปิดความลำบากใจบนสีหน้าได้ “อาจารย์พยายามช่วยแล้วจริงๆ แต่มหา’ลัยลงมติว่ากิจกรรมเชียร์ของคณะเราในปีการศึกษานี้...คงต้องยกเลิก”

   ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบสงัด คณบดีพูดจบก็เดินไปตบไหล่พี่ประธานเชียร์ที่ยังนิ่งค้างอยู่ตรงนั้นและรับปากว่าพรุ่งนี้เช้าจะสื่อสารกับบอร์ดของมหา’ลัยเพื่อพิจารณาลดโทษอีกครั้ง แล้วเขาก็เดินฝ่าเหล่านักศึกษาเข้าลิฟต์ไป ครู่เดียวเท่านั้นเสียงก่นถึงความไม่ยุติธรรมก็ดังเซ็งแซ่

   ผมรู้สึกแย่กว่าเดิม ในขณะเดียวกันก็ฉุน แบบนี้มันไม่โอเคเลยสักนิด

   ผมล้วงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋า ตัดสินใจโทรหาต้นเรื่องอีกครั้ง สัญญาณรอสายยาวนาน และเป็นแบบนั้นจนสายตัดไป

   กดโทรอีกครั้ง ในจังหวะที่เสียงลิฟต์ดังขึ้น การปรากฏตัวของคนที่ก้าวออกมาก็ทำให้ทั้งโถงเงียบสนิท

   ผมมองไม่เห็นในตอนแรกเพราะมัวแต่จดจ่ออยู่กับโทรศัพท์ ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวคือคณบดีกลับมาอีกครั้งเพื่อแจ้งข่าวสารบางอย่าง กระทั่งผมได้ยินเสียงเรียกเข้าเป็นเพลงแสนคุ้นหู เคล้าไปกับจังหวะสัญญาณรอสายของตัวเอง

   ฉันเพียงอยากขอหยุดเวลาไว้ก่อน เพียงชั่วคราวหากเธอรับรู้ว่ามันไม่ง่ายดายเท่าเดิม

   เพลงนั้นจากวันเฟรชชี่ไนท์ดังขึ้น พร้อมกับการกลับมาของเขา

   คู่เวรคู่กรรมคนนั้นที่ผมรู้จักดี



   ธีร์ยังคงน่ามองเหมือนอย่างเคยแม้จะอยู่ในสารรูปที่มันไม่ควรจะน่ามองเลย เขาใส่ชุดนักศึกษาผิดระเบียบ ปล่อยชายเสื้อลุ่ยออกนอกกางเกงและไม่ได้สวมเนคไท รอยช้ำจางๆ ตรงมุมปากกับผ้าก๊อซผืนบางตรงหางคิ้วกลับทำให้เขาดูเท่ขึ้นแทนที่จะดูแย่ ในมือข้างหนึ่งถือถุงพลาสติกที่ใส่อะไรบางอย่างไว้

   ผมกดวางสาย วินาทีนั้นเสียงเรียกเข้าของเขาก็หยุดลง

   ธีร์เดินเข้ามาหยุดอยู่ที่ปลายทางเดิน ในขณะที่อีกด้านหนึ่งคือเหล่านิเทศชนที่เหลือที่ค่อยๆ ขยับตัวเข้าไปชิดกันเป็นกลุ่มใหญ่ ภาพตอนนี้เหมือนสงครามการประจันหน้าระหว่างเด็กปีหนึ่งที่คิดต่อกรกับรุ่นพี่และเพื่อนกว่าร้อยชีวิต วัดกันที่จำนวนคนคงไม่ยุติธรรม   

   แต่ถ้าวัดกันที่อำนาจ ตอนนี้คนเป็นดาราได้เปรียบกว่าอยู่แล้ว

   “มึงยังจะกล้าโผล่หน้ามาอีกเหรอ” น้องโต้งประธานรุ่นถามเสียงกร้าวเหมือนธีร์ไปตีคนในครอบครัวตัวเอง หัวร้อนอะไรปานน้าน

   พี่ประธานเชียร์อาจจะเห็นท่าไม่ดีเลยรีบก้าวเข้าไปกันน้องสองคนไว้ก่อน แต่บอกตรงๆ ผมก็หวั่นกับทีท่าพี่เขาเองด้วยเหมือนกัน เพราะเขาคือคนที่ต้องโดนลงโทษทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรผิดเลยสักนิด ส่วนตัวการที่ทำผิดก็กำลังยืนสบตากับเขาตรงหน้า แววตาฝั่งนั้นก็นิ่งไม่ได้แสดงความรู้สึกใด

   “คุณจะมาหาเรื่องใครอีกครับ” พี่ประธานเชียร์ถามเสียงเย็นเยียบ แต่ธีร์กลับจ้องเงียบไม่ตอบอะไร ทำให้คนโดนพักการเรียนแค่นหัวเราะประชดและทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างให้อีกฝ่ายสำนึก ใจผมก็ภาวนาให้เขาแสดงท่าทีสำนึกออกมาสักที เรื่องทุกอย่างมันจะได้ง่ายกว่านี้อีกนิด

   ภาพในหัวผมคือธีร์โดนว้ากจนกองลงกับพื้นแล้วตอนนั้น แต่ก่อนที่จะมีใครพูดอะไรออกมา เด็กหนุ่มตรงหน้าก็ทำบางอย่างที่สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคน

   อยู่ๆ ธีร์ก็คุกเข่าลงกับพื้น และก้มหัวให้กับรุ่นพี่ตรงหน้า เขาไม่ได้พูดอะไรหากเราก็รู้ในสิ่งที่เขาต้องการสื่อโดยอัตโนมัติ

   ธีร์ก้มอยู่อย่างนั้นเกือบนาที ในขณะที่พี่เชียร์ตรงหน้าก็อึ้งกินไปตามๆ กัน...รวมทั้งผม

   สุดท้ายเขาก็ลุกขึ้นยืนเหมือนเดิม ยืดตัวตรงและพูดออกมาด้วยโทนเสียงธรรมดา ทว่ากังวาน

   “ผมรู้ว่ามันอาจไม่ได้ช่วยอะไรมาก และการมาพูดตอนนี้มันอาจไม่ได้ช่วยอะไรเลย”

   “...”

   “แต่ผมขอโทษ ผมรู้ว่าผมล้ำเส้น ทั้งกับรุ่นพี่และเพื่อนทุกคน”

   ธีร์ไม่ได้พยายามมาก แววตาของเขาไม่ได้ฉายแววของความรู้สึกผิดจนใครต่อใครมองแล้วต้องเห็นใจ แต่ผมแน่ใจว่านั่นเป็นการกระทำที่จริงใจที่สุดที่เขาพอจะทำได้แล้ว

   “ป่าน...ใช่ไหม” เขาเดินแทรกตัวไปหาน้องผู้หญิงคนที่โดนลูกหลงจากเหตุการณ์เมื่อวาน เด็กหญิงผมยาวที่ยืนเกาะกลุ่มอยู่กับน้องปีหนึ่งอีกหลายสิบคนซึ่งธีร์จำชื่อได้โดยไม่แม้แต่จะชายตามองป้ายชื่อสักนิด

   “สิ่งที่เราทำมันไม่ใช่สิ่งที่ผู้ชายควรทำกับผู้หญิง และเราเสียใจที่ทำแบบนั้นกับเธอว่ะ”

   “...”

   “กูเสียใจที่ทำกับพวกมึงทุกคน” เขาหันไปพูดกับเพื่อนคนที่เหลือ ยื่นถุงพลาสติกสีขาวในมือแล้วแกะออกต่อหน้าทุกคน ด้านในมียาทาแผลหลายชนิดกองรวมกันอยู่ในนั้น

   “ไม่ได้ทำให้แผลพวกนั้นหายไปหรอก แต่...มันน่าจะทำให้แผลหายเร็วขึ้น”

   แววตาแสดงความเห็นใจเริ่มปรากฏบนดวงตาของน้องปีหนึ่งหลายคน ในขณะที่น้องบางคนยังดูออกว่าโกรธจากแววตาที่แข็งกร้าว โดยเฉพาะน้องโต้งประธานรุ่นที่จู่ๆ ก็เดินเข้าไปปัดถุงในมือธีร์ทิ้ง

   ถุงพลาสติกสีขาวหลุดออกจากมือ ขวดยาและปลาสเตอร์ปะแผลหล่นกระจายไปบนพื้น เสียงร้องด้วยความตกใจดังมาจากหลายทิศ น้องโต้งเดินเข้าไปประจันหน้าธีร์ใกล้ขึ้น มองหน้าคนเป็นดาราด้วยแววตาหาเรื่อง

   “มึงจะมาไล่ต่อยเขาไปทั่วแล้วก็เอายามายื่นให้ แบบนี้มันไม่ง่ายไปหน่อยเหรอวะ”

   “ตบหัวแล้วลูบหลังปะ”

   “สายเกินไปหรือเปล่า พี่เขาโดนพักการเรียนเพราะมึงนะรู้ยัง”

   มีเสียงสมทบจากน้องผู้ชายหลายคนในกลุ่มที่ไม่เห็นด้วย รวมไปถึงเสียงของฝั่งที่รับคำขอโทษของธีร์ก็ดังขึ้นเช่นกัน

   “ให้อภัยดิ น้องเขาก็สำนึกผิดแล้วนะ”

   “เพื่อนกันอย่าโกรธกันนานเลยแก”

   “เอางี้ ให้เรื่องมันจบ เราขอเสียสละให้ธีร์ไปนอนห้องเราคืนนึง!” เสียงเจื้อยแจ้วจากน้องผู้หญิงคนหนึ่งทำให้ทุกคนเงียบและหันขวับไปมองทันที แล้วก็พบว่าเป็นน้องเก๋ไก๋สไลเดอร์อดีตประธานสีเขียวของผม...เจริญแล้วครับน้อง ว่าแต่ข้อเสนอนั่นมันเกี่ยวอะไรกับห้องเชียร์ฟะ

   “อุ่ย ผิดเวลาไปหน่อย ขอโทษค่ะ” น้องยิ้มแหย และก่อนจะเกิดความวุ่นวายและทุกคนแบ่งฝักแบ่งฝ่ายมากกว่านี้ เสียงของคนๆ หนึ่งที่ผมไม่คิดว่าเขาจะออกมาปกป้องธีร์ก็ดังขึ้นซะก่อน

   “น้องครับ พอเถอะนะ”

   พี่ประธานเชียร์ที่เพิ่งถูกสั่งให้พักการเรียนพูดเสียงหนักแน่น เขาเดินเข้ามาคั่นกลางระหว่างเด็กหนุ่มดาราดังกับฝั่งที่เหลือ ยกมือขึ้นดันทั้งคู่ออกห่างจากกันช้าๆ อย่างประณีประนอม สร้างความเงิบให้แก่ทุกคนไปตามๆ กัน

   “น้องรู้ไหมว่าพี่เปิดห้องเชียร์ขึ้นมาทำไม” เขาหันไปถามน้องโต้งที่กำลังตกอยู่ในอาการเหวอ ผู้เป็นประธานรุ่นมองหน้ารุ่นพี่ตาปริบๆ แล้วส่ายหัวช้าๆ “ใช่ ห้องเชียร์เป็นสถานที่ที่ฝึกวินัยให้น้องปีหนึ่ง แต่สิ่งที่พี่อยากเห็นมากกว่าวินัย คืออยากให้น้องทุกคนสามัคคีกัน

   “แล้วดูตอนนี้สิ นี่แหละสิ่งที่พี่ไม่อยากให้เกิดขึ้นที่สุด” เขาปรนลมหายใจด้วยความผิดหวัง “โอเคพี่เสียดายที่ต่อจากนี้จะไม่ได้รับน้องอีก แต่ช่างแม่งห้องเชียร์ ช่างเรื่องพี่โดนพักการเรียน พี่โอเคกับผลของทุกอย่างแล้ว แต่สิ่งที่พี่ไม่โอเคคือที่น้องทะเลาะกันแบบนี้ เข้ามาพร้อมกัน ควรจะรักกัน ช่วยเหลือกัน เราควรเป็นเพื่อนกันหรือเปล่า”

   นาทีนั้นฝ่ายต่อต้านธีร์ก็ต่างก้มหน้าละอายใจกับความหุนหันพลันแล่นเกินเหตุของตัวเอง หลายคนพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดเตือนสติของอดีตประธานเชียร์ที่นาทีนี้เราไม่สงสัยเลยว่าทำไมเขาจึงถูกเลือกเป็นผู้นำของพี่และน้องทุกชั้นปี

   เมื่อพี่เขาเห็นว่าทุกคนดูใจเย็นลง เขาเดินเข้าไปตบบ่าธีร์เบาๆ

   “กูดีใจที่มึงคิดได้นะ กูรับคำขอโทษของมึง มึงแม่งใจ” ธีร์ยิ้มเจื่อนให้รุ่นพี่ตอบ กระซิบขอบคุณแผ่วเบา จากนั้นพี่ประธานเชียร์ก็หันไปบอกกับคนที่เหลือ

   “เป็นเพื่อนกันอย่าโกรธกันนานเว้ย ถือว่าพี่ขอ”   

   เขาเข้าไปตบบ่าน้องโต้งและน้องปีหนึ่งอีกสองสามคน พูดประโยคทิ้งท้ายว่า ‘ไม่มีห้องเชียร์แล้วรุ่นนี้อาจจะเป็นนิเทศรุ่นที่สนิทกันที่สุดก็ได้ ใครจะรู้’ แล้วกลับหลังหันเดินออกจากตรงนั้น ทำให้พี่ปีสามผู้ใส่เสื้อสีแสดเอกลักษณ์ของนิเทศศาสตร์และปีสองกรูกันเข้าไปให้กำลังใจธีร์และน้องปีหนึ่งคนอื่นก่อนจะเดินตามกันไป

   น้องผู้หญิงคนที่โดนลูกหลงจากการกระทำของธีร์เก็บยาที่เกลื่อนกลาดกับพื้นขึ้นมาและกระซิบขอบคุณเขา แน่นอนว่ามีทั้งเพื่อนรุ่นเดียวกันหลายคนที่แสดงความเข้าใจ หากก็ยังมีบางส่วนที่ดูออกว่ายังไม่ให้อภัยเขาง่ายๆ อย่างเช่นน้องโต้งที่เดินออกไปเฉยๆ แบบไม่พูดอะไรสักคำ

   คิดในแง่ดี ไม่พูดอะไรก็ยังดีกว่าสาดความหัวร้อนใส่กันล่ะนะ

   “มึง กลับละปะ” โฟกัสถามผม ขณะที่คนบนระเบียงเริ่มบางตาลงเรื่อยๆ

   “มึงกลับก่อนเลย กู...อยากอยู่นี่สักพัก”

   “จะอยู่คุยกับน้องอะดี้” มันแซว ผมยู่ปากไม่ตอบอะไร โบกมือลาโฟกัสและเพื่อนคนอื่นที่กลับไปก่อน ราวกับเรานัดกันในใจ เพราะธีร์ก็ยังยืนอยู่ที่เดิมไม่กลับไปไหนเช่นกัน เรารอจนกระทั่งมั่นใจว่าระเบียงกว้างนี้เหลือแค่เรา ฝั่งนั้นเป็นฝ่ายที่เดินเข้ามาหาผม

   เขาอ้าปาก แต่ผมชิงพูดก่อน

   “ไม่ต้องพูดแล้วว่าขอโทษ วันนี้พูดเยอะไปแล้วเน้อ”

   เขายิ้มมุมปาก โปรยเสน่ห์ออกมาแม้ว่าไม่ได้ตั้งใจจะโปรยอย่างเดิม “จะถามว่าปกติเป็นคนนอนดึกไหมต่างหาก”

   ผมขมวดคิ้ว “ทำไมถามงั้น”

   “จะชวนไปทำอะไรก่อนนอน”

   “ฮะ?”

   “ปะ”

   “บอกก่อนดิว่าจะพาไปไหน”

   “ไม่บอก”

   “งั้นไม่ไป”

   “โห่ ไม่พาไปปล้ำหรอกน่า” เขาแหวอย่างน่าตี “มาไหม”

   เขายักคิ้วติดผ้าก๊อซหนึ่งจึ้กแล้วยื่นมือออกมาเชิงขออนุญาต ผมมองฝ่ามือกว้างนั้นแล้วทำท่าลังเลใจอยู่หลายวินาที

   มีคำตอบอยู่ในใจอยู่แล้วแหละ แค่อยากแกล้งให้เขาเก้อเล่นเฉยๆ

   “ไปก็ได้” ผมยักคิ้วตอบ ส่งมือให้เขาจับแต่โดยดี



(ต่อด้านล่าง)
ไปกรี๊ดกันมันส์ๆ ที่แท็ก #จุ๊บที ในทวิตเตอร์กันจ้ะ

ออฟไลน์ ตัวแม่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-1
    • เพจตัวแม่

   ใช้เวลาอยู่ในรถของเขาที่แล่นออกมาแถบชานเมืองไม่กี่นาที รู้ตัวอีกทีเราก็มายืนอยู่หน้าซุ้มประตูเหล็กสนิมเขรอะบานใหญ่ ทางเข้าของสวนสนุก ‘Land of Dreams’ ที่เคยโด่งดังเมื่อหลายสิบปีก่อน กระทั่งโดนพิษทางเศรษฐกิจทำเจ๊ง และถูกปล่อยร้างมาจนถึงปัจจุบัน

   ธีร์ดูคุ้นชินกับสถานที่ เขาสะเดาะกลอนประตูเก่าๆ นั้นด้วยกุญแจที่หามาได้ยังไงก็ไม่รู้ ดึงโครงประตูใหญ่ให้เปิดออกพร้อมเสียดเอี๊ยดอ๊าด ก้าวเท้าเข้าไปด้วยความกระฉับกระเฉง

   แต่ผมยังยืนนิ่งอยู่กับที่

   ผมไม่เคยมาที่นี่มาก่อน แม้ตอนที่มันเป็นสวนสนุกที่กำลังรุ่งเรือง หรือตอนที่เหลือแค่โครงสร้างให้ระลึกถึงอย่างตอนนี้ ผมเคยได้ยินข่าวลือว่าที่นี่กลายเป็นที่ชุมนุมของพวกขี้ยา บางครั้งก็เกิดอาชญากรรม ที่สำคัญขึ้นชื่อเรื่อง...ผีดุ

   จะว่าป๊อดก็ได้ แต่สัญชาตญาณบอกว่ามันไม่ใช่ที่ที่ควรเข้าไปเลยอ่าาาา

   “เป็นไรไป” ธีร์ถามเมื่อสังเกตว่าผมไม่ได้เดินตามไปด้วย

   “กำลังคิดจริงจังว่าธีร์จะพามาปล้ำ จริงจังมาก”

   เขาหัวเราะออกมา “คิดมาก ไปหาที่คุยเฉยๆ”

   “เราจำเป็นต้องคุยที่นี่ชะ...ใช่ไหม” ไอ้จุ๊บ! เสียงสั่นเพื่ออะไร เด็กนี่รู้หมดว่ามึงป๊อดอ่า “เราเคยได้ยินเรื่องแบบว่า...มีคนมาพี้ยากัน หรือมาทำอะไรแปลกๆ ละก็เรื่อง...น่ากลัวๆ”

   ถึงคราวนี้ธีร์ระเบิดหัวเราะเสียงดังกว่าเดิมอีก ณ จุดนี้ผมรู้เลยว่าภาพพจน์พี่เทคสุดเท่ผู้เป็นที่พึ่งให้กับน้องผู้มาพร้อมกับพลังจูบหยุดเวลาที่แก้ไขปัญหาทุกอย่างได้ถูกทำลายลงแล้ว (เคยมีด้วยเรอะ)

   เขาหัวเราะจนหอบ ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากมองนิ่งๆ กึ่งรำคาญ มันมีอะไรน่าขำตรงไหน คนกลัวนะโว้ยยยยย

   “โอ...เค โอเค” ในที่สุดเด็กผิวหลอดไฟก็หยุดได้ “เมื่อก่อนมีคนมาเล่นยาที่นี่จริง แต่ตำรวจกวาดล้างไปหมดแล้ว เขาล็อกแน่นหนาจนใครเข้าไม่ได้แล้ว เห็นไหม” ธีร์ชูโซ่ที่คล้องกับแม่กุญแจขนาดใหญ่เป็นเครื่องยืนยัน

   “ที่เรามีกุญแจเพราะยามของที่นี่ให้มา” เขาตอบคำถามในใจผม “เมื่อก่อนแอบมาปีนเข้าจนเขาจับได้บ่อยๆ จนกลายเป็นเพื่อนกัน เขาเลยแก้ปัญหาด้วยการให้กุญแจมาซะเลย”

   “เฉย”

   “ไม่มีใครมาที่นี่บ่อยเท่าเราแล้วล่ะ เชื่อสิ” คนตัวสูงยืนพูด “ส่วนเรื่องน่ากลัวที่จุ๊บพูด หมายถึงผีปะ...”

   “มั้ง”

   “อาจจะมีก็ได้ แต่เราก็ไม่เคยเจอนะ”

   “ช่วยได้มากเลยธีร์ ขอบคุณมาก” ผมประชดหน้านิ่ง เขายิ้มแป้น

   “ไม่มีหรอกน่า เราอยู่นี่ทั้งคน ไม่ต้องกลัวหรอก”

   “แน่ใจนะว่าเข้าไปแล้วเราจะไม่เจอปัญหา”

   “อยู่กับเราพี่จุ๊บเคยเจอปัญหาเหรอ”

   ผมมองเขานิ่ง...ยังไม่รู้ตัวอีก

   “โอเคๆ เราสัญญาว่าจะไม่เจอปัญหา” ธีร์ยกมือขึ้นยอมแพ้และพูดยืนยันอย่างหนักแน่น ผมโคลงหัวแล้วก้าวเท้าตามเขาไป ผ่านกำแพงรั้วไม้เลื้อยสู่อาณาเขตของสวนสนุกร้างในความมืด โชคยังเข้าข้างที่มีแสงสลัวของพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวเหนือหัว และแสงจากโทรศัพท์ของเขานำทาง

   อากาศเย็นแต่เหงื่อผมผุดอย่างกับหน้าร้อน เราเดินผ่านหลักฐานของอดีตที่เคยสร้างความสนุกสนานให้เด็กและผู้ใหญ่มากมาย ที่นี่ถือเป็นสวนสนุกขนาดกลางซึ่งมีพื้นที่ไม่ถึงไร่ แบ่งสันปันส่วนเครื่องเล่นที่มีไม่ถึงสิบเครื่องกับพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจได้เป็นอย่างดี เราพบน้ำพุรูปปั้นตัวการ์ตูนที่เคยเป็นแลนมาร์กต้อนรับนักท่องเที่ยวตั้งอยู่บริเวณด้านหน้า หากตอนนี้ประติมากรรมนั้นกลายเป็นซากปรักหักพังและจมอยู่ในน้ำขังไปแล้ว เดินผ่านม้าหมุนสนิมเขรอะ รางรถไฟเหาะที่หักครึ่ง บ้านผีสิงที่เพิ่มดีกรีความน่ากลัวขึ้นไปเพราะมันอาจมีผีสิงอยู่จริงๆ หรือแม้แต่หัวมาสคอตของตัวการ์ตูนที่วางเกลื่อนกลาดตามมุมต่างๆ ทำให้ผมรู้สึกเหมือนโดนมองด้วยสายตาลึกลับตลอดเวลา นี่ถ้าจะมีตัวไหนขยิบตาให้จะไม่แปลกใจเลยนะ เพราะบรรยากาศมันโคตรเอื้อให้เป็นแบบนั้นเลยเชี่ยเอ้ยยยยย (สติแตก)

   ด้วยความที่เป็นคนไม่กลัวผี ผมจึงฉวยโอกาสแต๊ะอั๋งธีร์ด้วยการเกาะแขนเขาแน่นไปตลอดทาง พระเอกซีรี่ส์ดังไม่ทำอะไรนอกจากหันมาขำ ส่ายหัวเบาๆ และจูงผมไปจนถึงจุดหมาย

   ไม่กี่นาทีเราก็มายืนอยู่หน้า ‘จุดหมาย’ ของเขา…ชิงช้าสวรรค์ไซส์ตระหง่านตาที่มีความสูงราวตึกสามชั้น...ไม่ก็สี่

   ผมมองหน้าธีร์ที่กำลังแหงนมองเครื่องเล่นตรงหน้าอยู่ เขาเอ่ยปากถามผมขณะที่ยังจ้องอยู่แบบนั้น

   “กลัวความสูงไหม”

   “อย่าบอกนะว่าจะขึ้นไป” ผมแหวทีเล่นทีจริง

   “กลัวสินะ” ธีร์กระซิบ เออสิว้อยยย

   “ระหว่างความสูงกับผีกลัวอันไหนมากกว่ากัน” เขาละสายตาจากชิงช้าสวรรค์แล้วถามผมสีหน้าจริงจัง ใจผมอุทานว่าไอ้ฉิบหาย ชั่วขณะนั้นก็รู้สึกขาสั่นล่วงหน้าไปแล้ว

   “เราจำเป็นต้องทำ...”   

   “เอากระเป๋ามาให้เราสะพายดีกว่า” เขายื่นมือมาขอกระเป๋าสะพายบ่าของผม แต่สักพักก็ชักมือกลับ “หรือจะรอเราอยู่ข้างล่างนี่พร้อมเพื่อนๆ พี่ๆ ก็ตามใจ”

   ผมมองซ้ายมองขวาในความมืดแล้วเริ่มระแวงถึง ‘เพื่อนๆ พี่ๆ’ ของธีร์ขึ้นมา กัดฟันกรอดด้วยความจำใจ ยื่นกระเป๋าสะพายให้เขา คนตัวสูงรับมันไปสะพายพาดบ่าอย่างคล่องตัว แล้วดันตัวผมขึ้นบนโครงสร้างของเครื่องเล่นใหญ่

   “อย่าหันกลับมามองนะ” เขากำชับ แล้วเราก็เริ่มปีนป่าย ใจผมเต้นรัวเป็นกลองชุดตอนเราคลานขึ้นสูงขึ้นเรื่อยๆ กระนั้นผมก็ทำตามที่เขาบอก ไม่มองลงไปและพยายามจดจ่อกับคำพูดของเขาด้านล่างที่ชวนคุยตลอดทาง

   “ไม่ต้องกลัวนะ เราตามท้ายจุ๊บมาติดๆ...ตูดน่าตีดีจัง”

   และนั่นคือคำพูดที่ผมควรจะจดจ่อ...โว้ยยยยยย

   ไม่ถึงสิบนาทีเราก็มาถึงยอดของชิงช้า มันไม่เชิงเป็นยอดซะทีเดียว แต่เป็นเหมือนแผ่นเหล็กแข็งแรง (ปะวะ) ที่ผมเดาว่าช่างจะใช้เหยียบตอนใช้สร้างหรือซ่อมกลไกของเจ้าเครื่องเล่นยักษ์นี่ มันอยู่ในระดับที่ต่ำกว่ากระเช้าชิงช้าตัวที่สูงที่สุดหน่อยนึง ผมค่อยๆ พาดขาที่สั่นเทาไปบนแผ่นเหล็กนั้น ใจหล่นวูบตอนที่ทิ้งน้ำหนักลงแล้วได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดของมัน แต่พอมายืนเต็มตัวก็...ไม่เป็นไรแฮะ

   ตั้งตัวได้ก็ยื่นมือช่วยพยุงธีร์ขึ้นมา เขากระโดดลงแผ่นเหล็กอย่างคล่องแคล่ว พอยืนได้เต็มหน่วยก็ทอดสายตามองไปในความว่างเปล่า อ้าแขนกว้างแล้วสูดหายใจลึก ท่าทางผ่อนคลายเหมือนกับอยู่บนยอดภูเขาอะไรแบบนั้น

   “โคตรดีเลย” เขากระซิบพร้อมกับเสียงสายลมหวีดหวิวโชยเข้ามา ผมหันมองภาพตรงหน้าบ้างอย่างกลัวๆ กล้าๆ แต่แล้วก็เข้าใจว่าทำไมมันถึงโคตรดี

   ผมเห็นวิวของทั้งเมืองได้จากจุดที่เรายืน มันสูงมากพอที่เราจะทอดสายตามองผืนฟ้าสีดำขมุกขมัวซึ่งมีริ้วเมฆม้วนตัวกลบกันเหมือนสำลีบดบังพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว เราสามารถเห็นไฟสีสวยจากบนตึกระฟ้าส่องประกาย เส้นถนนคดเคี้ยว แสงของชีวิตบนถนน ดวงไฟจากบ้านเรือนผู้คนอยู่ไกลๆ ไล่มาจนถึงแหล่งชุมชนย่านชานเมืองที่ต้นไม้ชุกชุมจนดูเหมือนผืนป่าขนาดย่อม

   เรายังสังเกตเห็นพื้นที่ทั้งหมดของสวนสนุกได้จากตรงนี้ รั้วกำแพงเก่า เครื่องเล่นผุพัง เศษซากความสุขในความทรงจำใต้แสงจันทร์สีสลัว

   แรงสะกิดที่ขาขวาดึงผมให้ออกมาจากภวังค์ หันไปก็พบว่าธีร์นั่งทิ้งขาลงเรียบร้อยแล้ว ผมค่อยๆ หย่อนก้นลงบ้าง

   “เราชอบมาที่นี่บ่อยๆ” เขาเปรย ผมพยักหน้ายอมรับในคำพูดของเขาโดยอัตโนมัติ “เมื่อก่อนตอนยังเด็กเราก็ชอบอ้อนแม่นมให้พามา แอบออกมาตอนแม่ออกไปถ่ายละคร ที่นี่คือสวรรค์ช่วงสุดสัปดาห์ของเราเลยเว้ย จำได้ว่าชอบขึ้นรถไฟเหาะมาก แอบขึ้นทั้งๆ ที่ส่วนสูงไม่ถึง แล้วก็เจอเพื่อนเยอะมาก”

   ผมลอบมองเขานิ่งๆ ขณะที่แววตาของธีร์กำลังวาวโรจน์ไปด้วยความสนุกในวัยเด็ก   

   “แต่เล่นได้ไม่กี่ปีมันก็ปิด” เขายิ้มเจื่อน แววตาหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด “ตอนนั้นเริ่มเรียนมอต้นได้มั้ง โคตรเศร้า นอนร้องไห้อยู่ในห้องหลายวันเลย”

   “ร้องไห้จริงอะ อ่อนว่ะ” ผมแซวสมทบ ธีร์ยิ้มอย่างไม่ยินดียินร้ายแล้วเถียงออกมา

   “มันมีความสุขจริงนะเว้ย พี่จุ๊บเคยรู้สึกไหมว่าเวลาบางช่วงของเรามันก็มีค่ามากๆ จนเราอยากสตัฟฟ์มันไว้ตลอด เวลานั้นสำหรับเราคือช่วงที่เคยมาที่นี่เนี่ยแหละ”

   “เอ๊า อยู่ๆ ก็ปรัชญาเฉ้ย” ผมไม่เลิกล้อ ธีร์ส่ายหัวยอมแพ้แล้วเสหน้ามองวิวอย่างโกรธๆ ซึ่งแม่ง...น่ารัก
   
   “นายไม่เข้าใจหรอก”

   “ล้อเล่นน่า” ผมง้อ “เข้าใจดิ ตอนเด็กๆ เราก็เคยไปเที่ยวทะเลแล้วประทับใจมากเหมือนกัน”

   มุมปากช้ำแย้มรอยยิ้มออกมานิดหนึ่งเหมือนพอใจ ระหว่างนั้นมือของเขาก็ล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อควานหาบางสิ่ง แต่จู่ๆ ธีร์ก็หยุดและหันมามองผม

   ฮึ?

   “เราชอบสูบบุหรี่ตอนมาที่นี่” ดาราหนุ่มเฉลย “แต่เราเคยสัญญากับพี่จุ๊บไว้แล้วว่าจะไม่สูบต่อหน้า”

   “มันเสี้ยนมากไหมอะ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ไม่เป็นไรนะ” ผมบอกไปตรงๆ เพราะไม่อยากให้เขาต้องมาทนทรมานเพราะความต้องการของตัวผม

   “เราโอเคน่ะ” เขาโคลงหัวทั้งที่คิ้วยังขมวดแน่น “มันแค่รู้สึก...น้ำลายหนืดๆ เฉยๆ”

   “มีหมากฝรั่งหรืออะไรพอช่วยได้ไหม” ผมถาม ชั่วขณะนั้นก็นึกอะไรออก ว่าแล้วก็เปิดกระเป๋าของตัวเองที่ธีร์สะพายไว้หลวมๆ แล้วควักบางอย่างออกมา

   “จูปาจุ๊ปส์?”

   “อื้อ ไม่รู้ช่วยได้เปล่า แต่น่าจะทำให้ลดอาการอยากได้...มั้งนะ”

   “จูปาจุ๊ปส์เนี่ยนะ”

   “จูปาจุ๊ปส์ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้ตลอดแหละ”

   เขาเลิกคิ้วเหมือนไม่เชื่อ แต่ก็ยอมรับมันไปจากมือผม มือกว้างค่อยๆ บรรจงแกะห่อกระดาษออกอย่างตั้งใจ ตอนนั้นเองที่ผมตระหนักว่าการได้มองดูผู้ชายที่คนทั้งประเทศตกหลุมรักนั่งแกะห่อจูปาจุ๊ปส์มันเป็นภาพอะไรที่หาดูยากจริงๆ

   “อาาาา รู้สึกดีขึ้นจริง” เขาบอกทั้งๆ ที่ยังแกะไม่เสร็จ

   “ยัง!”

   “อ้าว ต้องกินก่อนเหรอ” ยังจะกล้าตบมุข ผมถอนหายใจอย่างเพลียๆ แล้วพยักหน้าแบบขอไปที

   “อะ รู้สึกดีขึ้นจริง” ธีร์เพ้อหลังจากดันลูกอมรสหวานอมเปรี้ยวเข้าปาก “จะว่าไปนี่ก็นี่ก็เหมือนกันเนอะ”

   “นี่กับนี่ไหน” ผมงง

   “นี่” เขาคายจูปาจุ๊ปส์ออกมามอง แล้วชี้มันมาที่ผม “กับนี่”

   “ฮะ?”

   “ช่วยให้รู้สึกดีได้เหมือนกันไง”

   “โอ่โห้” ไม่รู้จะตอบอะไรได้แต่โห คารมไอ้เด็กนี่เหลือร้ายคงเส้นคงวาจริงๆ “กินไปๆ”

   เขาหัวเราะคัก แล้วดันจูปาจุ๊ปส์เข้าปากเหมือนเดิม ผมแค่นหัวเราะกับตัวเองอย่างเหนื่อยหน่าย ฉับพลันก็ได้ยินเสียงนาฬิกาข้อมือบอกเวลาห้าทุ่มดังขึ้น...ดึกพอสมควรแฮะ

   “ปกติก็ชอบมาที่นี่ดึกๆ น่ะเหรอ” ผมเปิดบทสนทนาภายใต้เสียงดูดจ๊วบจ๊าบของธีร์ นี่ดูดจริงจังไปปะเนี่ย

   “ก็เวลาเครียดๆ” เขากัดลูกอมเสียงดังกร๊อบ “วันไหนที่ถ่ายละครหนัก แต่ผู้กำกับไม่ให้ผ่านสักที วันไหนที่โดนพี่บุ๊คเฉ่ง หรือวันไหนที่แม่ด่า ก็ชอบมานั่งสูบบุหรี่เฉยๆ”

   “แล้ววันนี้ออกมาได้ไง เขาไม่ตามหากันให้วุ่นเหรอ”

   “หนีมาได้” คนมีจูปาจุ๊ปส์คาปากสารภาพ “ปิดไฟห้องนอนเหมือนหลับ แต่ที่จริงรอคนในบ้านหลับให้หมดแล้วย่องออกมาเงียบๆ”

   “อย่างกับในละคร”

   “แม่เราเขาห่วงหน้าตัวเองย่นมากกว่าสวัสดิภาพการนอนของเราอีก”

   เขาบอกหน้าตายทำให้ผมขำออกมา ยิ่งเห็นผมหัวเราะก็ตีหน้างงว่าผมขำอะไร...กลายเป็นว่าผมงงว่าเขาพูดเอาขำหรือพูดจริง โอ๊ย งงวุ้ย

   “พูดถึงแม่ธีร์แล้วเราก็สงสัย” ผมตัดความงงด้วยการตั้งคำถามใหม่ “ต่าย พิมพ์ผกาเคยด่าลูกตัวเองด้วยเหรอ”

   คนที่กล่าวถึงนางเอกแถวหน้าของเมืองไทยที่มีภาพลักษณ์ดีงามมาตลอด เธอแต่งงานกับโจ้ อำมาตย์ ดำรงเดช ช่างภาพชื่อดังของเมืองไทยและมีลูกชายคนเดียวคือธีร์ ครอบครัวนี้ได้รับรางวัลครอบครัวตัวอย่างจากกระทรวงวัฒนธรรมหลายปีติดต่อกัน แม้แต่พ่อแม่ของผมก็ยังเคยชื่นชมและเอาเป็นแบบอย่างด้วยซ้ำ

   ธีร์หันมามองผมด้วยแววตาเนือยๆ นัยว่า ‘ถามจริง?’

   “ปกติเราไม่ค่อยพูดเรื่องครอบครัวตัวเองกับใครหรอก แทบจะไม่พูดเลยด้วยซ้ำ” คนเป็นดาราบอก ชั่วขณะนั้นผมก็รู้สึกว่าตัวเองล้ำเส้นขึ้นมาทันที

   “ถ้าธีร์ไม่สบายใจจะพูด...”

   “ไม่ๆ กำลังจะบอกว่าปกติเราไม่พูดเรื่องครอบครัวกับใคร แต่ถ้าเป็นพี่จุ๊บเราโอเค”

   ผมไม่ตอบอะไร

   “พี่จุ๊บเรียนนิเทศ คงเข้าใจวงการบันเทิงดีระดับหนึ่งแล้วมั้ง” เขายิ้มแหย “ครอบครัวดีเด่น บุคคลน่าเอาเป็นแบบอย่าง...เราไม่รู้ว่าคนอื่นจะเป็นเหมือนเราไหม และเราก็ไม่ตัดสินดาราคนอื่นนะ…

   “แต่สำหรับเรา ภาพจริงๆ ของครอบครัวเราไม่ได้สวยแบบนั้นหรอก”

   “...”

   “จะเริ่มเล่ายังไงดี นึกภาพออกไหมว่าเราเติบโตมากับการเตรียมตัวกับการอยู่หน้ากล้องตลอดเวลา เราเรียนดนตรีตั้งแต่ห้าขวบ เรียนการแสดงตั้งแต่เจ็ดขวบ เริ่มถ่ายแบบตอนสิบสี่ เข้าวงการจริงจังตอนสิบเจ็ด...

   “น้องธีร์ ไปถึงกองต้องไหว้ทุกคนก่อนอันดับแรกนะครับ ธีร์ ยิ้มให้พี่นักข่าวเยอะๆ นะลูก ธีร์ ห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะเด็ดขาด ธีร์ ถ่ายรูปกับนางเอกคู่จิ้นนี่เอาแต่พองาม แค่พอให้เรียกกระแสพอนะครับ ธีร์ เวลารับรางวัลให้พูดถึงผู้มีพระคุณทุกท่านแล้วค่อยมาปิดท้ายที่พ่อแม่นะ ตามสคริปต์ที่เราท่องกันไว้...

   “ตอนได้รางวัลครอบครัวยอดเยี่ยมทุกปี ประโยคที่แม่เราให้สัมภาษณ์ว่าแม่จะสนับสนุนเราในทุกๆ สิ่งที่เราทำมันไม่จริงหรอก แม่แค่สนับสนุนเราในทุกๆ สิ่งที่แม่เลือกต่างหาก”

   ผมมองใบหน้าด้านหน้าตอนที่เขากำลังเล่าไปด้วย สังเกตเห็นความอ่อนล้าในแววตาขณะที่เขากำลังพรั่งพรูความจริงในมุมของผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ในวงการบันเทิงตั้งแต่เกิด นึกขัดใจตัวเองที่อยู่ๆ ก็ดึงเข้าประเด็นละเอียดอ่อน ในขณะเดียวกันก็รู้สึกดีที่เขาระบายออกมา

   แปลกดีที่คำพูดจากความอัดอั้นพวกนั้นไม่ได้เจือไปด้วยความโกรธแค้นหรือตัดพ้อชีวิต ธีร์แค่เล่าออกมาด้วยโทนเสียงปกติ...ราวกับชินชากับเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นแล้ว

   และนั่นทำให้ผมยิ่งเห็นใจเขามากขึ้นอีก

   “บางทีเราก็สงสัยว่าเราอาจเป็นอย่างที่เขาพูดกัน” เด็กหนุ่มดารากัดจูปาจุ๊ปส์อีกครั้ง “เราก็ไม่เคยพูดกับแม่เรื่องนี้จริงจังหรอก แต่ตอนก่อนเราเข้าวงการมันมีข่าวลือว่าจริงๆ เราเป็นเด็กเก็บมาเลี้ยง”

   “ไม่มั้ง” ผมจับแขนเขาอย่างปลอบใจ

   “ใครจะรู้” เขายักไหล่ “อาจจริงก็ได้ นั่นอาจอธิบายได้ว่าทำไมเราเจอแม่ในที่ทำงานมากกว่าที่บ้าน นั่นอาจเป็นเพราะเขาไม่เห็นเราเป็นลูกหรือเปล่า พี่จุ๊บรู้ไหมว่าตอนที่เขาตัดสินใจจะแยกกันอยู่ เขาไม่ถามอะไรเราเลยสักคำ อ้อ ลืมไปว่าออกสื่อแล้วพวกเขายังรักกันดี จริงๆ พ่อกับแม่เราแยกกันอยู่มาสองปีแล้วน่ะ...ไงล่ะครับครอบครัวตัวอย่าง”

   ผมชะงัก ต่างจากธีร์ที่หลับตาแค่นหัวเราะเหมือนเล่าเรื่องตลก ภาพครอบครัวของธีร์บนหน้าสื่อที่มีแต่ความสมบูรณ์แบบถูกทำลายลงด้วยคำบอกเล่าของเขาราบคาบ ผมจินตนาการภาพบรรยากาศในบ้านเขาแล้วรู้สึกเสียดแปลบขึ้นมาเสียอย่างนั้น อาจรู้สึกได้ไม่เท่ากัน แต่ผมว่ามันคงไม่ง่ายกับการเผชิญกับความเงียบที่น่าอึดอัด ไหนจะความกดดันที่เขาต้องแบกรับ และความเหงาจากการที่บอกใครไม่ได้

   “บางทีเราก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นหุ่นที่โดนชักใยอยู่ จริงๆ นะ”

   “...”

   “เมื่อเช้าพี่จุ๊บก็เห็น ตอนที่แม่โผล่ไปคณะกับพี่บุ๊ค แก้ต่างแทนเรา แล้วเราไม่ได้พูดอะไรเลย”

   “...”

   “มันไม่ใช่เราไม่อยากพูด แต่เราพูดไม่ได้ เราไม่มีสิทธิ์จะทำแบบนั้น”

   “...”

   “ไม่มีโอกาสพูดอะไรแถมยังโดนคนทั้งคณะเกลียดอีก มันโดดเดี่ยวเหมือนกันนะเว้ยการเป็นหุ่นเนี่ย” เขาจ้องตาผมขณะเอ่ยประโยคนั้น ริมฝีปากแย้มกว้างแต่แววตาไม่ได้ยิ้มตามไปด้วย “เราไม่ได้ดึงดราม่าอะไรเลยนะเว้ย มันแค่เล่าแล้วสบายใจแปลกๆ อย่าทำหน้ามองเราเหมือนเป็นลูกหมาตกน้ำแบบนั้นดิ”

   ผมคลายรอยขมวดบนคิ้ว ประหลาดใจในความเข้มแข็งของคนตรงหน้า ในขณะเดียวกันก็คาดหวังให้เขาอ่อนแอบ้างก็ได้
   
   “ข้อแรก ธีร์ไม่ใช่หุ่นสำหรับเรา” ผมบีบมือเขาคล้ายตอกย้ำความหมายที่พูด ไม่รู้ว่าช่วยได้มากเท่าไหร่ แต่อยากน้อยมันก็เป็นสัญญาณว่าผมอยู่ข้างเดียวกับเขา

   “ข้อสอง คนทั้งคณะไม่ได้เกลียดธีร์ พูดตามตรงวันนี้เราภูมิใจในตัวธีร์มากนะ ยิ่งได้มาฟังก็ยิ่งภูมิใจ ขอบคุณจริงๆ ที่” ยังเป็นคนที่เราคิดว่าเรารู้จักดี และให้โอกาสเราได้รู้จักมากขึ้นด้วยการ “...เล่าให้เราฟัง”

   “ขอบคุณเหมือนกันที่อยู่ฟัง” เขาบีบมือผมตอบ อีกมือหนึ่งดึงก้านจูปาจุ๊ปส์ที่ถูกกัดจนหมดออกไปจากปาก “รู้สึกดีขึ้นเยอะเลย”

   “ถ้าอยากรู้สึกดีอีกเมื่อไหร่ก็บอก เราฟังได้ตลอดเวลาแหละ”

   ผมเสนอ ตบตักเขาสองทีแล้วสูดหายใจรับลมเย็นๆ ที่พัดผ่านเข้ามาเป็นช่วง ทันใดนั้นเองเสียงเครื่องยนต์ดังกังวานจากเหนือหัวก็ดังขึ้น เครื่องบินลำหนึ่งบินหวือผ่านเราไปจนผมใจหล่นวูบ เชี่ย โคตรเฉียด โคตรใกล้

   จังหวะนั้นเองที่หูแว่วคำพูดของธีร์...อะไรสักอย่าง...เขาพูดอะไรกับผมสักอย่าง ทำให้ผมละสายตาจากพาหนะรูปนกปีกใหญ่ที่พุ่งทะยานเข้าหาดวงจันทร์แล้วถามเขากลับ

   “อะไรนะ”

   “เรา $(*$(*D*” อ่านปากไม่ออก เสียงเครื่องบินก็อยู่ใกล้เกินไปจนไม่ได้ยินอยู่ดี ผมยกนิ้วขึ้นจุ๊ปากบอกเขาให้รอให้เสียงเครื่องบินเงียบไปก่อน สักพักทุกอย่างก็กลับมาเหมือนเดิม

   “ตะกี้ว่าไงนะ” ผมเงี่ยหูฟังอีกครั้ง และรอบนี้ได้ยินถ้อยคำของเขาชัดเจนเต็มสองรูหู



   “เรารักพี่จุ๊บว่ะ”



(ต่อด้านล่าง)
ไปกรี๊ดกันมันส์ๆ ที่แท็ก #จุ๊บที ในทวิตเตอร์กันจ้ะ

ออฟไลน์ ตัวแม่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-1
    • เพจตัวแม่
“เล่นอะไร” ผมสตั๊นไปแป๊บนึง ได้สติก็เสตามองอีกฝ่ายอย่างทีเล่นทีจริง คนผิวขาวสว่างไม่ทำอะไรไปมากกว่าการยืนยันคำนั้นด้วยรอยยิ้มเล็กๆ และกะพริบตาปริบๆ

   “ไม่ได้เล่น” เขาแก้ “เราล้อเล่นกับหลายเรื่อง แต่ไม่ใช่เรื่องนี้นะ”

   “...”

   “จะให้เราพูดอีกกี่รอบก็ได้ เรารักพี่จุ๊บ เรารักพี่จุ๊บ เรารักพี่จุ๊บ”

   “เดี๋ยวๆๆ” ผมหัวเราะ “ทำไมอยู่ๆ ก็พูดอะไรแบบนี้”

   “ก็เรารักพี่จุ๊บจริง”

   “แล้ว?”

   “เป็นแฟนกันไหม”

   เดี๋ยววววว เดี๋ยววววววว เรามาถึงจุดนี้ได้ยังไง ผมละสายตาจากเขาแล้วก้มหน้างุดเพราะหวังว่าการไม่มองเขามันจะช่วยให้ความร้อนบนหน้าหายไปได้ การพูดอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าของเด็กนี่มันทำให้อุณหภูมิในร่างกายผมเปลี่ยนเร็วยิ่งกว่าอากาศเปลี่ยนอีก กูจะเป็นไข้ไหมครับคืนนี้

   “จริงจังป้ะเนี่ย” ผมถามเขากลับแต่ก็ยังไม่(กล้า)สบตาตอบ

   “เราดูไม่จริงจังตรงไหน” เขายื่นมือมาจับคางผมเบาๆ แล้วดึงให้ไปสบตากับเขาช้าๆ “เป็นอะไรไป หน้าเราไม่น่ามองเหรอ”

   “เปล่า แค่ยังงงๆ ว่าอยู่ๆ เรามาคุยเรื่องเราได้ไง ตะกี้ธีร์แบบ...เออ เราเปลี่ยนอารมณ์ไม่ทัน”

   เขาหัวเราะ “โอเค เราจู่โจมไปหน่อย”

   “ไม่หน่อยนะ”

   “เราแค่มีความคิดว่าเรากับพี่จุ๊บก็รู้จักกันมาประมาณนึง เราก็แสดงออกมาตลอดว่าชอบพี่จุ๊บ เราชอบแบบชอบจริงๆ ขนาดมีเรื่องจูบกระชากวิญญาณอะไรนั่นเข้ามา เราก็ยังชอบ”

   “...”

   “เราชอบที่พี่จุ๊บเป็นคนเห็นความรู้สึกของคนอื่นสำคัญ แม้บางครั้งมันจะสำคัญกว่าความรู้สึกของตัวเอง เราชอบที่นายเป็นคนมีเหตุผล สอนเราให้ไม่ใช้อารมณ์ตัดสินทุกอย่าง เราชอบคุยกับพี่จุ๊บเพราะสบายใจ ซึ่งมีไม่กี่คนที่เราจะรู้สึกแบบนั้นด้วย เราชอบหน้าเวลานายหลับบนตักเรา เพราะนายอ้าปากน้ำลายยืด เห็นแล้วขำดี”

   “เกือบดีแล้ว”

   “พี่จุ๊บเป็นเหมือนจูปาจุ๊ปส์สำหรับเราว่ะ” คู่ชีวิตเอ่ย “เรามั่นใจ และเราก็คิดว่า...ถ้าความสัมพันธ์ของเราจะขยับขึ้นได้มันคงดี”   

   “...”

   “...”

   “...อย่าเงียบดี้ เราหวิวนะ” เขาพูดเชิงอ้อน “หรือพี่จุ๊บไม่ได้คิดแบบเรา...”

   “ไม่ๆ” ผมรีบแย้งเพราะกลัวเขาเข้าใจผิด แต่วินาทีต่อมาก็ตระหนักว่าตัวเองผิดที่รีบพูดไปนิด ธีร์ส่งสายตา ‘ฮั่นแน่’ มาให้ผมใหญ่

   “เราประทับใจ ภูมิใจ...”

   “ไม่อยากได้ใจบ้างเหรอ”

   “เออ ก็อยาก” อ้อนมากเจอตอกกลับแบบนี้เขาก็เงิบไปเหมือนกัน...สม หึๆ

   “เรารู้สึกอย่างเดียวกับธีร์แหละ เชื่อเราเถอะว่าเรารู้สึกแบบนั้นจริงๆ”

   “...เชื่อ”

   “แต่มันก็มีหลายอย่างที่ใหญ่กว่าความชอบของเรามาก เราอยากเรียนรู้ด้านอื่นของธีร์เยอะขึ้น ที่สำคัญกว่านั้นคือเราอยากให้ธีร์รู้จักเราให้เยอะกว่านี้จริงๆ” ผมอธิบายให้คนตรงหน้าฟัง “ชีวิตเราก็มีเรื่องที่ยากเหมือนกับธีร์น่ะล่ะ มันมีบางคนที่เราต้องห่วงถ้าเราตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง”

   “ที่บ้านไม่โอเคใช่ไหม?” เขาเดา ผมพยักหน้ายอมรับโดยดี

   “พ่อเราไม่ค่อยพอใจอะไรที่เราทำเท่าไหร่...เราแค่ไม่อยากให้เรื่องของธีร์เป็นอีกเรื่องที่ทำเขาผิดหวัง ไม่ใช่เพราะเราไม่อยากเป็นแฟนธีร์ แต่เพราะเราจริงจังกับเรื่องนี้มากนะ”

   “...”

   “มันจะเป็นอะไรไหมถ้าเราอยากอยู่อย่างนี้ไปสักพัก จนกว่าเราจะมั่นใจว่าพร้อมบอกที่บ้านจริงๆ”

   “สรุปว่านั่นคือคำปฏิเสธเหรอ” เขาถามด้วยแววตาน้อยใจ ผมส่ายหัวยืนยัน

   “มันคือคำสัญญาว่าจะตกลง”

   สายลมโชยพัดผ่านมาอีกครั้งขณะที่เราประสานตากันนิ่ง ในความเงียบเราได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดของสังกะสีที่ต้านลมจากด้านล่าง ยอมรับตามตรงว่าผมกลัวใจธีร์จะไม่ยอมรับเหตุผลนั้น และกลายเป็นอีกคนที่ผิดหวังในสิ่งที่ผมทำเหมือนกัน เขาไม่พูดอะไรไปหลายวินาที สักพักก็สูดหายใจลึก และถอนออกมายาวๆ

   “โอเค”

   “โอเค?”

   “เราจะรอวันที่พี่จุ๊บตกลง”

   ฟู่ววววว โล่งใจฉิบหายเลยวุ้ยยยย

   “ขอบคุณที่ให้โอกาสเรา” ผมยิ้มกว้าง แต่ยังไม่วายแหวเขาเพิ่ม “ว่าแต่...ขอเป็นแฟนบนชิงช้าสวรรค์เนี่ยนะ”

   “ทำไมอะ เป็นแฟนปุ๊บแล้วตกลงไปตายก็คุ้มนะ”

   “ไอ้บ้า” ดูเขาสิ “ไม่กลัวเราหัวใจวายตายบ้างเหรอตะกี้”

   “จุ๊บชินกับเราแล้วแหละ” ธีร์กล่าวหา “เหมือนชินกับจูบเราไง”

   “อย่าแม้แต่จะคิด” ผมพูดดักไว้ก่อนเพราะเขาชอบขโมยจูบผมปุบปับในทุกครั้งที่พูดอะไรประมาณนี้ แล้วคนข้างๆ ที่ยื่นหน้าเข้ามาจริงๆ ก็เหมือนถูกดักกลางทางให้ค้างเติ่ง ริมฝีปากที่กะว่าจะมาประทับบนริมฝีปากผมก็ทำท่าจูจุ๊บค้างไว้แบบนั้น
 
   น่าขำ แต่ก็สงสาร

   “รอเก้อเป็นแฟนแล้วยังต้องรอเก้อจูบอีกเหรอ” เขายังไม่ดึงหน้ากลับที่เดิม หากแต่พ่นประโยคที่ทำให้รู้สึกละอายใจชอบกล ผมมองริมฝีปากสีชมพูสดใสที่กลายเป็นสีม่วงนวลเพราะแสงจันทร์และความมืด อาการชั่งใจกำเริบอีกหน

   เฮ้อ...ก็ได้วะ

   นาทีที่ผมจะยื่นหน้าจะเข้าไปจูบตอบ ธีร์ก็ยกมือขึ้นมาจับหน้าผมแผ่วเบาแล้วกดลงช้าๆ ผมหลับตาเตรียมพร้อมจะรับความปรารถนาของเขา แต่ก็ต้องแปลกใจที่ริมฝีปากไม่ได้รับการตอบรับใดๆ

   ...แต่กลับเป็นหน้าผากที่รับจุมพิตนั้นแทน

   “เราไม่อยากหยุดเวลาไว้ให้นานกว่านี้” คนขโมยจุ๊บบนเหม่งพูดหลังถอนฝีปากออก “เราอยากให้เวลาผ่านไปเร็วๆ จะได้เป็นแฟนกับพี่จุ๊บเร็วๆ”

   ผมถอนหายใจออกมาแกล้มเสียงหัวเราะ รู้สึกถึงความอบอุ่นบนผิวสัมผัส ธีร์จุ๊บๆ หอมๆ พื้นที่เหนือคิ้วของผมต่อจากนั้นอีกสองสามรอบ...เหมือนคนได้ทีก็เอาใหญ่ แต่เอาเถอะ นาทีนั้นผมไม่อยากจะห้ามอะไรอีกแล้ว   

   “อย่ายอมแพ้ในตัวเรานะ”

   ...เพราะเราก็จะไม่ยอมแพ้ในตัวธีร์เหมือนกัน





   

Rong Kanchanaburirum

พี่จุ๊บครับ

Rong Kanchanaburirum

ผมประกวดเดือนหอคืนพรุ่งนี้

Rong Kanchanaburirum

มาเชียร์ผมด้วยนะ

   Jub Joompit

   โอเคครับ เดี๋ยวพี่ไป

Jub Joompit

สู้ๆ นะน้อง

Rong Kanchanaburirum

สู้คร้าบบบ

(สติ๊กเกอร์กระต่ายไฟท์ติ้ง)



   ผมวางโทรศัพท์ไว้กับโซฟาเฝ้าไข้ แล้วเดินไปรินน้ำใส่แก้วสีใสเผื่อว่าพ่อต้องการมัน วันนี้เป็นวันหยุด ผมว่างๆ เลยมาเฝ้าพ่อเป็นเพื่อนแม่เพราะวันธรรมดาไม่มีเวลามาทำแบบนี้ รู้อะไรไหมครับ...อาการมะเร็งในตัวพ่อผมดีขึ้นมากแล้ว และมีวี่แววว่าจะหายขาดและกลับบ้านได้ในเร็ววัน

   ผมวางแก้วไว้ข้างเตียง อยากจะช่วยแม่ปรนนิบัติแต่ก็กลัวตัวเองจะเกะกะเลยถอยมาอยู่ที่โซฟาเหมือนเดิมดีกว่า ภาพของแม่ที่กำลังป้อนข้าวต้มให้พ่อทำให้ผมนึกถึงธีร์ สงสัยว่าวันหยุดแบบนี้เขาจะทำอะไร เวลานั้นเองที่บทสนทนาของพ่อกับแม่ซึ่งกำลังวิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่เกิดขึ้นบนจอทีวีดึงความสนใจผมไป และทำให้รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ชอบกล

   “ละครสมัยนี้ทำไมมีแต่อะไรอย่างนี้เนี่ย” พ่อบ่นไปขณะกำลังเคี้ยวข้าว ตาจ้องมองโทรทัศน์ที่กำลังฉาย ‘วัยรุ่นวุ่นรัก’ ซีรี่ย์ที่ทำให้ธีร์ดังเป็นพลุแตกจากบทพระเอกของเรื่อง ซึ่งตอนนี้กำลังฉายฉากร่วมรักของคู่เกย์ในเรื่องที่รับบทโดยดาราวัยรุ่นหน้าใหม่ ‘ฮัท’ กับ ‘ต๊อด’ อยู่

   “ทำไมอะ น่ารักดีออก” แม่ของผมโต้ เหลือบสายตามามองผมนิดหน่อยเพื่อบอกเป็นนัยว่าสนับสนุน

   “น่ารักยังไง พ่อดูยังไงมันก็ผิดธรรมชาติ ผู้ชายกับผู้ชายมันไม่ควรจะมาหวานแหววใส่กันแบบนี้ มันไม่ใช่วิสัย” พ่อบ่นแล้วกดรีโมทเปลี่ยนช่อง ผมกำลังโล่งใจที่ละครไม่ตัดไปฉากธีร์โผล่มาเพื่อเขาจะไม่ต้องได้เห็นแล้ววิพากษ์วิจารณ์ต่อ แต่กลายเป็นว่าเปลี่ยนช่องไปกลับเป็นสกู๊ปสัมภาษณ์ของเขาที่โดนนักข่าวรุมใหญ่

   “เนี่ย หน้าใสๆ แบบนี้ก็คงเป็นเกย์กับเขาเหมือนกันมั้ง” คราวนี้พ่อพูดถึงธีร์เต็มๆ ทำเอาใจผมตกลงไปที่ตาตุ่ม

   “ไม่หรอก คนนี้เป็นพระเอกน้องใหม่ ลูกต่ายพิมพ์ผกาที่พ่อชอบไง เนี่ยเห็นว่าเพิ่งเข้าเรียนปีหนึ่งคณะเดียวกับจุ๊บด้วย ใช่ไหมจุ๊บ” แม่หันมาถามผมที่ทำหน้าเหลอหรา เพื่อความเนียนผมก็เออออไปตามเรื่อง

   “ครับ”

   “เป็นลูกดาราอยู่แล้วจะมาเรียนนิเทศอีกทำไม แม่ก็สอนอยู่บ้านได้มั้ง เอาที่ไปให้คนที่เขาอยากเรียนจริงๆ เถอะ”

   ผมได้แต่เงียบ ภาวนาให้พ่อเปลี่ยนช่องไปอีกครั้ง และโชคดีที่พ่อทำอย่างที่หวัง หน้าจอทีวีกลายเป็นข่าวเครื่องบินโดยสารจากญี่ปุ่นที่ตกกลางทะเลเพราะโดนผู้ก่อการร้ายไฮแจ๊ค...ประเด็นของธีร์หลุดออกไปแล้ว...

   ผมพ่นลมหายใจ นั่งพิงโซฟาด้วยความรู้สึกโหวงเหวงในช่องอก ความยากอย่างแรกของผมคือการทำให้พ่อยอมรับว่าคู่ชีวิตของผมเป็นผู้ชาย และมันยากมากขึ้นอีกเท่ากับการทำให้พ่อยอมลดอคติต่อคนหน้าใสๆ ในจอทีวีนั้น...แค่คิดก็เหนื่อยใจแล้ว

   ชั่วขณะที่กำลังคิดมาก อยู่ๆ เสียงเปิดประตูห้องก็เรียกความสนใจของทุกคนในห้อง ไม่ป้าเด้าก็ลุงพร่ำมาเยี่ยม...ผมคิด

   หากสีหน้าตกใจของพ่อกับแม่กลับทำให้ผมต้องรีบหันไปมองว่าใครมา

   “สวัสดีครับ”

   คนตัวสูงในชุดสีดำอำพรางความโดดเด่นปรากฏตัวพร้อมกระเช้าผลไม้เยี่ยมคนป่วยขนาดใหญ่ เขาถอดหมวกแก๊ปสีแดงและแว่นกันแดดออกขณะที่ก้าวเข้ามา ผิวขาวเจิดจ้าและแววตาเป็นประกายถูกเปิดเผยพร้อมรอยยิ้มกว้างและคำทักทายอย่างนอบน้อม ท่าทางเดียวกับในจอโทรทัศน์เมื่อกี้นี้เป๊ะ


   “ผมชื่อธีร์ ธีร์ ดำรงเดช...เป็นแฟนพี่จุ๊บครับ”




โปรดติดตามตอนต่อไป

สาส์นจากตัวแม่*
1. ไม่ได้อัพมาประมาณ 1 ปี (รู้ว่าขอโทษจนคนอ่านเบื่อแล้ว แต่เชื่อเถอะว่าเราขอโทษและเสียใจจริงๆ ค่ะ)
2. จะกลับมาอัพต่อแล้ว และจะอัพต่อจนจบนะคะ
3. จะอัพทุกๆ วันพุธค่ะ
4. จะไม่ทิ้งน้องจุ๊บแล้ว สัญญา
5. รักคนอ่าน ขอบคุณที่รอออ หรือลืมไปแล้วว่ารออออ 5555

ไปกรี๊ดกันมันส์ๆ ที่แท็ก #จุ๊บที ในทวิตเตอร์ หรือไปสกรีมกันที่เพจ ตัวแม่ จ้ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-10-2017 00:12:03 โดย ตัวแม่ »

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

ออฟไลน์ momonuke

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
ตามค่าา :katai4: :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
ขอกรี๊ดต้อนรับการกลับมาของพี่จุ๊บน้องธีรฺ์และตัวแม่ค่าา ขอบคุณที่มาต่อนะคะเรายังรอเสมอ ได้อ่านตอนนี้ก็โล่งใจทิ้งท้ายไว้ตอนที่แล้วคิดว่าจะดราม่าซะอีก น้องธีร์ยังขี้หยอดเหมือนเดิมแถมตอนนี้รุกเร็วด้วย แต่เหมือนพี่จุ๊บจะบอกว่าลองดูกันไปก่อนไม่ใช่้หรอคะไหงน้องธีร์มาเปิดตัวเป็นแฟนของพี่จุ๊บกับพ่อแม่เขาแบบนี้ละคะเนี่ย เพิ่งโล่งใจว่าไม่มีดราม่าก็ขออย่าให้มีเลยนะคะ อยสกเห็นคู่นี้ได้เป็นแฟนกันเร็วๆสักที

ออฟไลน์ Chiffon_cake

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 712
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1544/-12
เวลคัมแบ็คเน้อออ  :katai2-1:

ออฟไลน์ kkoyz

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
กรี๊ดดดดด น้องธีร์กลับมาแล้ว ดีใจมากกก

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ระบำฉลองการกลับมาของจุ๊บที :110011: :z7: :110011: :z7:
กลับมาคราวนี้น้องธีร์ปล่อยระเบิดใส่พี่จุ๊บกับคนอ่านอีกแล้ว 55555555
จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ อย่าหายไปนานอีกนะ

ออฟไลน์ ดาวลูกไก่

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ฮือออ คิดถึงคู่นี้มากๆเลยค่ะ ดีใจที่กลับมาา  :z3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: จุ๊ บ ที { จูบที่เก้า | UPDATE 4.10.2560 | Page 18 }
« ตอบ #519 เมื่อ: 05-10-2017 23:47:57 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
^^

ออฟไลน์ wonderbe

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 754
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-2
น้องจุ๊บคัมแบ็คคคค

ออฟไลน์ Supak-davil

  • สาว Y = Why I don't have a boyfriend ??????????
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ถึงแม้จะหายไปนาน
แต่กลับมาได้ฉ่ำปอดมาก
ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ Mafiaziip

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
เพิ่งได้อ่าน คือดีใจที่ไรท์กลับมาลงต่อ เป็นกำลังใจให้นะไรท์

เนื้อเรื่องน่าสนใจมากๆ คือไปยิ้มไป เขินไป คือเราอินตามตลอดเลย

น้องธีร์พี่จุ๊บสู้ๆ  :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9
 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ตัวแม่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-1
    • เพจตัวแม่



จูบที่สิบ



   จนถึงตอนนี้ มีหลายสิ่งที่ผมพอจะรู้เกี่ยวกับธีร์ ดำรงเดช

   1. เขาเป็นลูกชายคนเดียวของพิมพ์ผกา ดำรงเดช นางเอกในตำนานของเมืองไทยที่แต่งงานกับอำมาตย์ ดำรงเดช ช่างภาพชื่อดังที่ตอนนี้ผันตัวไปทำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์

   2. ผมรู้จักเขาตั้งแต่ม. 5 และเขาคือหนึ่งในคนที่มอบดอกกุหลาบให้ผมตอนเรียนจบ

   3. เขาเข้าวงการบันเทิงหลังจากนั้น ดังเป็นพลุแตกจากการเป็นพระเอกซีรี่ส์วัยรุ่นชื่อดัง

   4. เมื่อจบมัธยมปลาย ธีร์เลือกเข้าเรียนปี 1 ที่นิเทศศาสตร์ YU คณะเดียวกับผม

   5. เขาดันเป็นคนที่มีพลังหยุดเวลาได้เมื่อจูบกับผม

   6. แม่ผมบอกว่าคนที่ทำแบบนั้นกับเราแล้วเกิดพลังขึ้นได้ ก็คือคู่ชีวิตของเรา นั่นทำให้ธีร์กลายเป็นคู่ชีวิตของผมไปโดยปริยาย

   7. เขาขอให้ผมเป็นพี่เทคให้ด้วย (โลภมากชะมัด)

   8. เขาไม่ชอบการถูกบังคับ

   9. เขาเพิ่งขอผมเป็นแฟนเมื่อคืนก่อน เราตกลงกันว่าจะดูกันไปสักระยะ

   10.  ผมว่าเขาแยกไม่ออกระหว่างข้อบังคับกับข้อตกลง



   พิจารณาจากรูปการณ์แล้ว นี่มันควรจะเป็นเรื่องล้อเล่น

   “ผมชื่อธีร์ ธีร์ ดำรงเดช...เป็นแฟนพี่จุ๊บครับ”

   ทั้งประโยคแนะนำตัวของเขา ทั้งใบหน้าตื่นตะลึงของพ่อแม่ที่อ้าปากค้างจนแมลงวันบินเข้าไปไข่ได้ ทั้งอารามตกใจของตัวผมที่เบิกตาโตเท่าไข่ห่าน นี่มันควรจะเป็นเรื่องล้อเล่น หรือไม่ก็ฉากในความฝันของสาวๆ ทั่วประเทศที่บังเอิญถูกเซตขึ้นเพื่อเซอร์ไพร์สพวกเธอเพราะนี่คือรายการวาไรตี้ดาราสักรายการ

   แต่มันไม่ควรจะเกิดขึ้นกับผม

   ไม่ใช่ตอนนี้

   และโชคร้ายที่มันดันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นอย่างที่คิด

   แม่เป็นคนแรกที่ได้สติ เอื้อมมือรับกระเช้าของฝากจากธีร์ด้วยสองมือที่ดูก็รู้ว่ากำลังควบคุมไม่ให้มันสั่นแรงเกินไป ตามด้วยพ่อของผมที่ยกมือขึ้นรับไหว้หลวมๆ แต่ตายังกะพริบปริบๆ ไม่เชื่อภาพตรงหน้า จู่ๆ การปรากฏตัวของดาราดังก็เป็นเหมือนการปาระเบิดที่ไม่มีเสียงเข้ามาในห้อง

   ใครตายเหรอครับ ไม่เห็นต้องถาม

   “ขอโทษนะครับที่เข้ามาเยี่ยมแบบไม่ได้บอกล่วงหน้าเลย” พระเอกชื่อดังพูดอย่างนอบน้อม “พอดีถามจากพยาบาลข้างล่างแล้วเขาบอกเป็นชั่วโมงเยี่ยมไข้พอดี”

   “มะ...ไม่เป็นไรจ้ะ” แม่ของผมกระซิบ ยังคงติดอยู่ในวังวนของความเงิบ

   “พี่จุ๊บเล่าเรื่องเคยเล่าเรื่องครอบครัวให้ผมฟังหลายเรื่องเลย” เขายิ้มกว้าง “ในที่สุดก็ได้เจอพ่อแม่พี่จุ๊บสักที ยังไงผมฝากตัวด้วยนะครับ”

   เรื่องมันชักจะบานปลายไปกันใหญ่ สังเกตจากสีหน้าของพ่อแม่ที่ยิ้มเก้อๆ ให้แล้วผมก็รู้สึกกระอักกระอ่วนไม่ต่างกัน ผมว่าตัวเองต้องทำอะไรสักอย่าง

   “ธีร์” ผมกระแอม “เดี๋ยวเราขอคุยด้วยแป๊บนึงสิ”

   ผมเดินเข้าไปบีบแขนของเขานิดๆ เป็นการให้สัญญาณ ส่งยิ้มเย็นให้ด้วยความรู้สึกคุกรุ่นในช่องอก ธีร์หันมามองหน้าผมด้วยสีหน้าสงสัยราวกับเรื่องที่เขาทำมันไม่ผิดเลยสักนิด แต่ก็ยอมเดินตามแรงจูงของผมออกห้องมา

   ผมลากเขาเข้าไปในซอกเล็กๆ ระหว่างห้องคนป่วย แล้วโน้มหน้าจูบเขาเพื่อหยุดเวลาไว้ตรงนั้น ริมฝีปากเราประกบกันโดยไร้ความโหยหาใดๆ อย่างครั้งก่อนหน้า...อย่างน้อยก็สำหรับผม

   สีหน้าของธีร์เปลี่ยนไปทันทีที่ผมถอนริมฝีปากออก แววตาเต็มไปด้วยคำถาม “มีอะไรเหรอ”

   “ทำไมทำแบบนี้” ผมพยายามควบคุมเสียงตัวเองไม่ให้ดังเกินไปแม้จะรู้ว่าไม่มีใครได้ยิน ผมไม่อยากดุ ไม่อยากโกรธ หรือสร้างความขัดใจระหว่างเราทั้งคู่เพิ่มเติมอีกแล้ว เราเพิ่งผ่านการทำความรู้จักและปรับความเข้าใจต่อกันมาไม่นาน และผมไม่อยากให้ความรู้สึกดีๆ ที่กำลังจูนกันติดต้องถูกทำลายลง

   “พี่จุ๊บเคยบอกว่าการคุยกับคนในครอบครัวเรื่องของเรามันยาก”

   “แล้ว?”

   “เราก็เลยอยากทำเรื่องยากให้มันง่าย”

   คำตอบบวกกับท่าทางไม่รู้สึกรู้สาของธีร์ทำให้ผมฉุน ไม่แน่ใจว่าเขาเด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจเส้นแบ่งของความเหมาะสมและการไม่มีกาละเทศะหรือเปล่า แต่มันคงไม่ใช่ เขาอายุน้อยกว่าผมแค่หนึ่งปี ชีวิตก็น่าจะผ่านความยากลำบากเรื่องครอบครัวมาเหมือนกัน...เรื่องอะไรควรหรือไม่ควรทำแค่นี้ธีร์น่าจะคิดได้

   โดยเฉพาะประเด็นละเอียดอ่อนซึ่งเราตกลงกันแล้ว ผมย้ำกับเขาแล้วว่าเรื่องนี้สำคัญ และมันมีผลต่อความสัมพันธ์ของเราโดยตรง

   แต่เขาก็ยังทำ

   “เราอยากให้เรื่องของเราก้าวหน้า เราทำผิดตรงไหน” ธีร์ถามผมด้วยแววตาฉงน สีหน้าเหมือนเด็กเอาแต่ใจที่ไปขโมยของคนอื่นแล้วกำลังกลบเกลื่อนความผิดตัวเอง

   “มันไม่ใช่เรื่องก้าวหน้าไม่ก้าวหน้า ธีร์กำลังหลงประเด็น...” ผมส่ายหัวด้วยความผิดหวัง “จะทำอะไรก็ได้เราไม่ว่า แต่ไม่ใช่การมาบอกพ่อแม่เราว่าธีร์คือแฟนเราแล้วทุกอย่างมันจะไปได้สวย”

   “...”

   “มันไม่ได้ง่ายแบบนั้น...เรานึกว่าวันก่อนที่คุยกันธีร์เข้าใจแล้วซะอีก”

   “เราเข้าใจ”

   “เข้าใจแต่ธีร์ก็เลือกที่จะทำแบบนี้”

   “เราคิดว่าเราแก้ไขมันได้ไง”

   “ธีร์ นี่พ่อแม่เรานะเว้ย เรารู้สิว่าเขาเป็นยังไง”

   “แต่...”

   “เราบอกว่าจะจัดการเองก็คือจัดการเอง เข้าใจไหมว่าเราไม่ต้องการความช่วยเหลือ” ผมเริ่มหัวเสีย ธีร์เงียบไปครู่หนึ่ง เขาดูอึ้งไปที่จู่ๆ ผมก็เสียงดังขึ้น หากต่อมาก็พ่นประโยคที่เป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายของผมออกมา

   “ทำไมทุกครั้งที่เราทำอะไรเพื่อพี่จุ๊บแล้วมันต้องกลายเป็นเรื่องผิดพลาดตลอดเลยวะ”

   “นี่แหละปัญหาของธีร์” สติผมขาดผึง รู้สึกถึงเสียงของตัวเองที่ดังก้องไปบนโถงทางเดินและไต่ระดับมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็หยุดความร้อนในช่องอกที่ดันออกมาคล้ายจะระเบิดไม่ไหว “ธีร์ไม่ยอมรับมัน ธีร์ไม่เคยรู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองผิด ไม่เคยเข้าใจอะไรสักเรื่องแล้วคิดเองเออเอง ทำอะไรโดยไม่ปรึกษาเราก่อนสักครั้ง ใช่ ธีร์หวังดี แต่กี่ครั้งแล้วที่เราต้องคุยกันแบบนี้ กี่ครั้งที่ความหวังดีของธีร์ทำให้เราต้องมาตามแก้ปัญหา”

   “...”

   “เรารู้ว่าธีร์ไม่ชอบให้บอกทำอะไรได้หรือทำอะไรไม่ได้...แต่ธีร์ทำแบบนี้ไม่ได้ว่ะ”

   “...”

    “ไม่ใช่ตอนนี้ ไม่ใช่แบบนี้”

   ผมพูดเสียงอ่อนลง ผ่อนลมหายใจหอบจากการโพล่งคำพูดออกมาเหมือนอ้วกนั้น แทนที่จะโล่งใจความเจ็บปวดกลับกัดกินหัวใจของผมพอๆ กับความรู้สึกผิด เรามองหน้ากันในความเงียบใต้แสงสะท้อนของกำแพงสีขาวในมุมลับอยู่ครู่หนึ่ง สบตากับดวงตาที่สะท้อนความผิดหวังในแต่ละฝ่ายออกมาไม่ต่างกัน

   เราไม่ควรจะมาทะเลาะกันแบบนี้เลย ไม่เลยสักนิด แต่เราไม่มีทางเลือก ถ้าไม่พูดแบบนี้ ผมกับธีร์ก็คงต้องมีสถานการณ์แบบนี้ด้วยกันอยู่เรื่อยๆ

   “เราไม่อยากไล่นะ” ผมเอนตัวพิงผนัง กัดริมฝีปากล่างอย่างกลั้นใจ “แต่ธีร์กลับไปก่อนได้ไหม...เรื่องพ่อกับแม่เราจัดการเอง”

   แววตาตกใจปรากฏขึ้นบนดวงตาของเด็กหนุ่มดาราไม่กี่วินาที จากนั้นเขาก็เม้มริมฝีปาก พยักหน้าเหมือนรับผลกรรมที่ตัวเองก่อ

   “เราว่าพี่จุ๊บไม่ได้อยากเป็นแฟนเราหรอก”

   แต่ก็ยังพูดประโยคที่สนับสนุนการกระทำของเขาออกมา...จนถึงตอนนี้เขาก็ยังคิดว่าตัวเองไม่ผิด จนถึงตอนนี้เขาก็ยังคิดว่าผมรักเขาไม่มากพอ…

   ผมแค่นหัวเราะ ไม่ได้เถียงอะไรออกไปเพราะมันคงไม่มีประโยชน์แล้วจริงๆ

   “เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้เราเป็นอะไรกัน”

   “...”

   “แฟนก็ไม่ใช่ พี่น้องก็พูดได้ไม่เต็มปาก”

   “...”

   “เราพยายามทำสิ่งที่เราคิดว่าถูก แต่ถ้านี่เป็นสิ่งที่เราสมควรจะได้รับ...” เขายิ้มประชดทว่าแววตาตัดพ้อชัดเจน “เราไปก็ได้”

   ใบหน้าของธีร์เคลื่อนเข้ามาใกล้แต่ผมไม่ได้รู้สึกถึงความพิศวาสใดอีกต่อไป ริมฝีปากของเราแตะกันราวกลั้นใจแล้วก็ผละออกจากกันอย่างรวดเร็ว ผมหลับตาฝืนความเจ็บปวด รู้สึกราวกับคู่สามีภรรยาที่จูบกันตามหน้าที่ ยังแสดงความรัก แต่ก็ไร้เยื่อใยต่อกันโดยสิ้นเชิง

   เวลากลับมาเดินเหมือนเดิม เขาสวมแว่นกันแดด ดันหมวกลงมาปิดต่ำเพื่อบดบังสายตาผู้คน กลับหลังหันออกไปโดยไร้คำลา

   นั่นเป็นครั้งแรกที่การจูบกับธีร์ ดำรงเดชไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดี

   สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกราวรานกว่านั้นคือ...แม้ผมจะอยากรั้งเขาไว้มากแค่ไหน ผมก็รั้งเขาไว้ไม่ได้อยู่ดี




(ต่อด้านล่าง)
อยากสกรีมกันมันส์ๆ ไปที่แท็ก #จุ๊บที ในทวิตเตอร์น้าค้า

ออฟไลน์ ตัวแม่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-1
    • เพจตัวแม่


   “เขาไม่ใช่แฟนจุ๊บนะครับ”

   นั่นคือคำที่ผมบอกพ่อกับแม่ ก่อนจะขอตัวออกมาจากห้องพักผู้ป่วยแล้วขังตัวเองอยู่ในสภาวะหลบหน้าทุกคนรอบตัวไปหนึ่งวันเต็มๆ ผมรู้สึกผิดกับสิ่งที่พูดกับธีร์ ในขณะเดียวกันก็รู้สึกฉุนและอยากโทรหาเขาอีกครั้งตอนที่เราใจเย็นลงแล้วทั้งคู่ แต่ความดื้อรั้นในตัวก็รั้งผมไว้ จังหวะเดียวกันนั้นก็อยากเปิดอกคุยกับพ่อแม่แล้วสารภาพทุกอย่าง แต่ความกลัวก็ตีตื้นขึ้นมาล้นใจจนทำอะไรไม่ได้

   หลายความรู้สึกประดังประเด จนสุดท้ายก็หลับไปทั้งอย่างนั้น จำได้ว่าเมื่อคืนผมได้ยินเสียงแม่เคาะประตู ตามมาด้วยประโยคแสดงความห่วงใยที่ฟังก็รู้ว่าแม่เข้าใจ...แต่ผมก็ยังไม่พร้อมจะคุยกับใครจริงๆ

   ตื่นขึ้นมาอีกทีในตอนเย็นของอีกวันเพราะเสียงโทรศัพท์ของคนที่โทรมาเตือนนัดที่ผมลืมไปสนิท

   [พี่จุ๊บ ถึงยังครับ]

   “นี่ใครนะ”

   [รองครับพี่ อีกครึ่งชั่วโมงจะขึ้นละนะครับผม]

   “เอ้อออออออออออออ” จำได้แล้วว่าเป็นน้องรหัสที่กำลังมีประกวดใหญ่ในวันนี้ ผมเออออและโกหกไปว่ากำลังเดินทาง ทั้งๆ ที่ตัวยังติดอยู่กับเตียง

   รู้ตัวอีกที ผมก็หนีการแก้ตัวกับที่บ้านมายืนอยู่ท่ามกลางเด็กมหา’ลัยหลายชั้นปีที่กำลังกรี๊ดกร๊าดกันอยู่ภายในหอประชุมใหญ่ ข้างกายคือโฟกัสเพื่อนสนิทที่มานี่เพราะน้องรหัสผู้หญิงของเธอที่ชื่อฝันหวานดันเป็นผู้เข้าประกวดดาวหอพักเหมือนกัน เราเลยแท็กทีมกันมาเชียร์น้องปีหนึ่งใต้การปกครอง แม้ว่าใจผมจะคำนึงไปถึงน้องอีกคนแทบจะตลอดเวลาก็ตาม...

   “จุ๊บ นั่นน้องรหัสมึงจริงเหรอวะ เชี่ยยยย เคะสัสสสสส”

   โฟกัสเรียกให้ผมมองคนที่เพิ่งจะปรากฏกายบนเวทีพร้อมกับผู้เข้าประกวดเดือนหอพักอีกห้าคน เขาเป็นตัวแทนของหอพักชายหมายเลขสามซึ่งเป็นหนึ่งในหกหอพักชายสังกัดมหาวิทยาลัย (หรือที่เด็กมอเรียกสั้นๆ ว่าหอใน) อธิบายก่อนว่ามหาวิทยาลัยของผมไม่ได้บังคับให้เด็กปีหนึ่งทุกคนให้อยู่หอใน แต่สำหรับคนที่อยู่นั้นก็จะได้เข้าร่วมกิจกรรมต้อนรับน้องใหม่ของหอพักซึ่งจัดขึ้นทุกๆ ปี ได้แก่งานที่ทุกๆ หอจะต้องส่งตัวแทนมาประกวดหาดาว-เดือนหอพัก...ซึ่งก็คืองานนี้นั่นเอง

   ธีร์ กาญจนบุรีรัมย์ หรือน้องรอง (ยังงงกับการตั้งชื่ออยู่เลยให้ตาย) ขึ้นเวทีด้วยรอยยิ้มกว้างโดดเด่น แม้ส่วนสูงจะน้อยที่สุดในหมู่ผู้เข้าประกวด และกล้ามจะใหญ่ได้ไม่เท่าคนอื่น แต่ใบหน้าสวยได้รูปของเขาและท่าทางการแสดงออกที่มั่นใจนั้นเรียกเสียงกรี๊ดจากสาวๆ ในหอประชุมได้พอสมควร คนตัวเล็กเคลื่อนไหวร่างกายด้วยท่าทางคล่องแคล่วในการแสดงเปิดที่เป็นเพลงจังหวะคึก เป๊ะมากจนดูรู้ว่าซ้อมมาหนักแน่นอน

   ผมมองเพลิน ยอมรับว่าน้องรหัสตัวเองเป็นจุดดึงดูดสายตาที่ไม่เป็นสองรองใครเหมือนชื่อมันจริงๆ กระทั่งการแสดงดำเนินมาถึงช่วงสุดท้าย แสงสปอร์ตไลท์ตามจับผู้เข้าประกวดรายคนที่จะเดินเข้ามาแนะนำตัวยังจุดหน้าสุดของเวที ห่างจากที่ที่ผมกับเพื่อนยืนอยู่ไม่กี่วา

   เมื่อถึงคราวรอง ผมส่งเสียงเชียร์ให้น้องรหัสตัวเองเต็มที่จนบางทีอาจจะดังไปนิด เขาสังเกตเห็นผมที่อยู่ขอบเวทีท่ามกลางเรือนคนนับผม

   รองยิ้มให้ผม ความดีใจฉายออกชัดทางแววตา อีกไม่กี่วินาทีก็เหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าต้องพูดใส่ไมโครโฟน

   “สวัสดีครับ ผมธีร์ กาญจนบุรีรัมย์ ชื่อเล่นชื่อรอง เป็นตัวแทนหอสาม มาจากคณะนิท่ด ถุ้ยยยย คณะนิเทศศาสตร์คร้าบบบบบ” เหมือนประหม่าจนพูดผิดพูดถูก แต่ก็เรียกเสียงกรีดครางจากมวลชนดังลั่น....ส่วนผมส่ายหัวแล้วขำกับความเปิ่นนั่น เมื่อกี้กูยังชมว่ามึงเป๊ะอยู่เลยนะโว้ยยย

   ช่วงเวลาหลังจากนั้นจนถึงงานจบ สายตาของเขาก็มองมาที่ผมบ่อยจนแม้แต่คนดูคนอื่นก็รู้สึก ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากยิ้มเป็นกำลังใจให้ และไม่น่าเชื่อว่าแม้รองจะล้น และชอบทำอะไรเงอะๆ งะๆ บนเวที แต่สุดท้ายเขาก็คว้าตำแหน่งรองเดือนหอมาได้(เฉย)...อาจเพราะความเงอะๆ งะๆ นั้นมันดูแล้วน่ารักในสายตากรรมการก็เป็นได้

   ผมรอเขาจนงานกระทั่งงานเลิก บนเวทียังมีคอนเสิร์ตของศิลปินต่อ แต่รองแว้บออกมาหาผมกับโฟกัส-ซึ่งน้องรหัสก็ได้ตำแหน่งรองชนะเลิศมาเหมือนกันที่ข้างเวที

   “พี่จุ๊บ” เจอกับปุ๊บเด็กนี่ก็กระโดดกอดผมปั๊บไม่อายสายตาคน ทำเอาผมไปไม่เป็น

   “ยินดีด้วยๆ” ผมไม่ได้กอดตอบ แต่ตบหลังเขาสองที สังเกตเห็นสายตาของโฟกัสที่มองมาเหมือนเห็นละอองความมุ้งมิ้งเกิดขึ้นระหว่างผมกับน้องรหัส ผมย่นคิ้วปฏิเสธให้มัน

   “ยินดีอะไร ผมได้ที่สองอะ” คนหน้าสวยถอนกอดแล้วเบ้ปากบอกผมเหมือนเด็กๆ “ไม่เท่เท่าที่หนึ่งหรอก”

   “บ้า เก่งแล่ว” ผมปลอบ

   “ครับ ยังไงขอบคุณที่มานะ เนี่ยถ้าพี่จุ๊บไม่มาก็ไม่ได้ตำแหน่งหรอก” คนหน้าสวยถอนกอดออกแล้วบอกผม “ว่าแต่จะให้รางวัลอะไรผมอะ”

   ผมหัวเราะออกมา แต่สีหน้ารองเหมือนรอคำตอบอยู่ทำผมตกใจ “พูดจริง?”

   รองเดือนหอพยักหน้าอย่างโคตรจริงจังมากๆ...ชิบหายแบ้วววว

   “อ่า...เดี๋ยวพาไปเลี้ยงข้าวเลย” ผมสัญญากับน้อง

   “โหยยยยผมล้อเล่น” รองยิ้มกว้างที่หลอกผมได้สำเร็จ “แต่ถ้าเลี้ยงจริงก็ไปนะครับ อิๆ”

   “แสบนะมึงอะ” ผมแซว กำลังจะรับปากว่าไว้จะไปเลี้ยงคราวหลังจริงๆ แต่เสียงของโฟกัสก็ขัดขึ้นซะก่อน

   “ไปๆ ไปกันคืนนี้เลย” เพื่อนผมบ๊อบเทของผมชวน “เนี่ยเดี๋ยวจะไปเลี้ยงฝันหวานพอดี สัญญากับน้องไว้ว่าหลังงานจะพาไปกินข้าวแถวมอ มึงไปด้วยกันเลยดิ น้องได้ตำแหน่งพอดี ต้องฉลองเว้ย”

   ผมหรี่ตามองเพื่อนเชิงตำหนิที่ไม่ถงไม่ถามสุขภาพการเงินกูซ้ากคำ แต่ด้วยความเป็นพี่ที่ดีและโคตรจะขี้เปย์ ผมจึงหันไปถามน้องรหัสว่า

   “จะไม่อยู่ดูคอนเสิร์ตใช่ไหม”

   อีกฝ่ายพยักหน้ารัวๆ กลับมา “อยู่ดูพี่จุ๊บดีกว่าเป็นไหนๆ”

   “เช” ผมตอบรับ รู้สึกหน้าร้อนแปลกๆ “งั้นไปฉลองกัน”


(ต่อด้านล่าง)
ไปสกรีมกันมันส์ๆ ได้ที่แท็ก #จุ๊บที ในทวิตเตอร์น้าค้า

ออฟไลน์ ตัวแม่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-1
    • เพจตัวแม่

   ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงต่อมาเราก็มาถึงร้านของการเฉลิมฉลอง ผม โฟกัส รอง และน้องฝันหวาน(ที่หน้าโคตรหวานสมชื่อ)โดยสารมาในรถคันเดียวของเพื่อนสนิท ทว่าพอถึงหน้าร้านปุ๊บ ผมหันหน้ามองไอ้โฟกัสทันที

   “กัส ไหนมึงบอกร้านข้าวอ่า”

   “เนี่ยก็ร้านข้าว” โฟกัสพยักเพยิดไปทางตึกชั้นเดียวที่ทาสีดำสนิททั้งหลัง ข้างหน้ามีการ์ดยืนคุมอยู่ใต้ชื่อร้าน ‘Paradise’ แออัดไปด้วยเด็กมหา’ลัยและวัยทำงานที่เดินเข้าเดินออกกันเป็นว่าเล่น เสียงอึกทึกของเพลงบีทหนักดังทะลุกระจกเข้ามาตั้งแต่เรายังไม่ได้ก้าวขาออกรถดี...เจริญแล้วจ้า “มันเป็นร้านข้าวที่มีเหล้าไงมึง”

   ครับเพื่อน...ขอบคุณที่แต่งประโยคความซ้อนให้กูฟัง

   “เราโอเคกันใช่ไหมอะ” ผมหันไปถามน้องๆ สองคนที่นั่งเบาะหลัง ซึ่งไม่สนใจกูเลยเพราะกำลังตื่นตาตื่นใจกับผับดังอยู่ “น้องจะเข้าได้เหรอมึง” ผมหันมาถามเพื่อนต่อ

   “กูรู้จักกับลูกเจ้าของ พาเข้าได้”

   “จริงเหรอคะพี่กัสสส” ฝันหวานถามมาด้วยเสียงงุ้งงิ้ง “งั้นหนูไม่รอพ่อใครมาตัดริบบิ้นแล้วนะคะ ไอ้รอง ลุย!”

   แล้วทั้งคู่ก็ลงไปจากรถด้วยความรวดเร็ว ผมถามเพื่อนด้วยความงงๆ “น้องมึงยังปกติอยู่ใช่ไหม”

   “ปกติพอๆ กับน้องมึงอะ ฮ่าๆๆๆ”

   “เออดี”

   “พูดถึงน้อง มึงไม่ชวนน้องเทคมึงมาเหรอ” โฟกัสถามถึงทำให้ความทรงจำเกี่ยวกับเขาฉายชัดขึ้นมาในหัวของผมอีกครั้ง อุตส่าห์ลืมไปได้สักพักแล้วนะพับผ่า

   “ไม่อะ”

   “โห่ ทำไมวะ น้องเทคมึงก็น้องเทคกูเหมือนกันนะเว้ย” โฟกัสแหว มันคือหนึ่งคนที่ไปลงชื่อเป็นพี่เทคของธีร์เมื่อวันรับขวัญน้องของปีสอง “ชวนธีร์มาดิ หนุกๆ”

   “ไม่เอา” ผมไม่กล้าบอกเหตุผลที่แท้จริงว่าเราเพิ่งทะเลาะกันออกไป ปกติผมจะบอกโฟกัสทุกเรื่อง แต่ตอนนี้ผมก็ยังไม่อยากเล่าเรื่องความสัมพันธ์ที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของผมกับธีร์ให้เพื่อนสนิทฟัง...ไม่ใช่กลัวว่าจะถูกเอาไปแพร่งพรายอะไรหรอก เพียงแค่มัน...อธิบายยากจริงๆ

   ความสัมพันธ์ของเรามันยังอยู่ในขั้นคาราคาซังที่แม้แต่ตัวผมเองยังไม่อยากนิยามมันเลย

   “ดาราเข้าผับ เดี๋ยวก็เป็นข่าวอีก” สุดท้ายผมก็บอกเหตุผลนี้ไป ทำให้เพื่อนสนิทถึงบางอ้อแต่โดยดี เราออกจากรถและตรงดิ่งเข้าผับใหญ่ที่เป็นศูนย์รวมความบันเทิงของเหล่านักท่องราตรีต่างวัย โฟกัสพาเราทุกคนซึ่งอายุยังไม่ถึงเข้ามาได้อย่างง่ายดาย ‘Paradise’ ตกแต่งด้วยสไตล์ลอฟต์ดูเท่กว่าผับทั่วไป แถมยังแบ่งพื้นที่ไว้เป็นโซนอย่างชัดเจน เริ่มจากประตูผับเข้ามาจะเห็นบาร์ที่มีนักดื่มนั่งเรียงรายกันอยู่ ถัดเข้าไปจะเป็นโซนสำหรับทานอาหาร และด้านในสุดคือแดนซ์ฟลอร์ที่บรรเลงดนตรีสดและเล่นเพลงจากดีเจสำหรับสายเต้น

   เราได้โต๊ะโซนอาหารที่ยังพอได้ยินเสียงเพลงจากห้องด้านใน ทุกคนสั่งอาหารมาเต็มโต๊ะ พร้อมด้วยเบียร์อีกทาวเวอร์ใหญ่ จากคำขอของน้องรอง-รองเดือนหอที่ดูเสี้ยนแอลกอฮอล์เสียเหลือเกิน สงสัยคืนนี้ผมคงต้องดูแลบางคนเป็นพิเศษแน่ๆ

   “รอง ไหวเหรอ” ผมถามหลังจากรองกดเบียร์แก้วแรกใส่แก้วตัวเองแบบเพียวๆ

   “พี่ ผมคอแข็งมาก กินบ่อยฮะๆๆ” รองรับปาก แล้วเริ่มซดเบียร์เข้าไปอึกใหญ่โดยที่ข้าวยังไม่ถึงท้องสักเม็ด

   สิบห้านาทีต่อมา

   “ผมหวายยยยยยยยยยยย” คนเมาแอ๋หน้าแดงพูดเสียงดังจนเกือบจะถึงขั้นโวยวาย ไอ้เชี่ยเอ้ยยยยย กูโคตรขำ สิบห้านาทีที่แล้วยัง ‘กินบ่อยฮะๆๆ’ อยู่เลย

   “รอง ใจเย็นๆ เว้ย ค่อยๆ กิน” ผมเรียกสติคนตาเยิ้มท่ามกลางเสียงหัวเราะของฝันหวานกับโฟกัสที่หัวเราะไม่หยุดมาหนึ่งนาทีแล้ว...ไอ้พวกนี้ก็อันตราย หรือมันจะเป็นสัญญาณที่บอกว่าไอ้จุ๊บต้องดูแลทุกคนวะ

   “เอ้า ชน!”

   หมดแก้วที่สองไปไม่ทันไรรองก็เริ่มแก้วที่สามของตัวเอง...และตามมาด้วยแก้วที่สี่...แก้วที่ห้า...แก้วที่หก...เรื่อยๆ จนหมดคืน

   และมันเป็นจริง ผมใช้เวลาส่วนมากในการกินข้าวสลับกับดูแลทุกคนที่เฮฮากับการเฉลิมฉลองเสียเหลือเกิน เราเล่นเกมหมุนขวด แลกความลับ และเกมอื่นในวงเหล้ากันจนกระทั่งผับปิด น้องทั้งสองคนเมาแอ๋ ยังดีที่ไอ้โฟกัสยังมีสติพอที่จะเดินตัวตรงๆ และขับรถกลับได้ มันไปอ้วกในห้องน้ำทีหนึ่งและกลับมาให้ผมเช็คสติจนมั่นใจ เราจึงตัดสินใจที่จะกลับไปส่งน้องๆ ที่มหา’ลัยกัน

   ผมนั่งรอโฟกัสที่แบกน้องฝันหวานไปที่รถอยู่หน้าผับ รอบกายมีคนบางตา ผมไม่ได้ดื่มเลยจึงสังเกตเห็นความวายป่วงที่น่าขำของคนเมารอบตัวชัดๆ หนักสุดคงจะเป็นคนข้างๆ

   ลมหายใจของคนตัวเล็กมีกลิ่นห่าเหล้าคละคลุ้ง ผิวขาวตั้งแต่ใบหน้าจนถึงลำคอนั้นกลายเป็นสีแดงแจ๋เพราะฤทธิ์เหล้า ใบหน้ารูปสวยหลับตาพริ้มขณะพิงไหล่ของผม มีรอยยิ้มเปื้อนมุมปากที่พึมพำออกมาเป็นภาษาบ้างบางคำ หรือบางครั้งก็เรอออกมาจนผมอดขำไม่ได้

   “พี่จุ๊บๆ” อยู่ๆ คนข้างๆ ก็โคลงหัวขึ้นมาเรียก

   “ว่าไง ไหวปะเนี่ยรอง กินน้ำป่ะ” ผมเอื้อมมือหยิบน้ำข้างตัวขึ้นมา แต่รองเดือนหอพักกลับส่ายหัวรัวๆ

   “ไหวฮับ” เขาตอบรับ “ผมแค่อยากเล่นเกม”

   “เกมอะไรอีก เล่นมาทั้งคืนยังไม่พออีกเหรอ” ผมหัวเราะ

   “ยังไม่พอๆ” คนเมาคะยั้นคะยอ “มาเล่นเกมแลกเปลี่ยนความลับกันอีกรอบดีกว่า เล่นบนโต๊ะตะกี้ไม่หนุกเลย ผมขอถามว่าพี่จุ๊บกับธีร์นี่เป็นอะไรกัน”

   คำถามของรองทำให้ผมเงียบไป

   “รอง แกเมาละ”

   “แลกความล้าบๆๆๆ” เขาโยเยเป็นเด็กๆ งอแงอยู่อย่างนั้นเหมือนรอให้ผมตอบคำถามสักที

   “...”

   “...”

   “...ไม่ได้เป็นอะไรกัน”

    “ค่อยโล่งใจหน่อย” คนหน้าแดงกระซิบ

   “ว่าอะไรนะ”

   “บอกว่าค่อยโล่งใจหน่อย”

   “เฮ้ย...” ผมชะงัก “ละ...โล่งใจทำไม”

   “ผมจะได้มีความหวัง”

   “...”

   “...”

    “...นี่ล้อเล่นใช่ไหม”

   “ตามกติกาต้องแลกเปลี่ยนความลับกันอีกข้อ”

   “...รอง ไม่เอาเว้ย”

   “พี่จุ๊บจำกระดาษที่ถามตอนค่ายเจ็ดวันได้ไหม ที่ถามว่าพี่จุ๊บมีแฟนยัง”

   “ไม่ได้ กลับบ้านกันเถอะ รถโฟกัสมาแล้ว”

   ผมบอกน้องทั้งๆ ที่ไม่มีรถคันไหนมาจอดเทียบท่าสักคัน บอกไปแบบนั้นเพราะอาจกลัวประโยคที่คนเมากำลังจะพูดถัดมา...กลัวว่าสิ่งที่เขาพูดจะเป็นเหมือนที่ใครต่อใครบอกว่า...คนเมามักจะพูดความจริง



   “ผมเป็นคนเขียนกระดาษแผ่นนั้นเอง”



โปรดติดตามตอนต่อไป

ไปสกรีมกันมันส์ๆ ได้ที่แท็ก #จุ๊บที ในทวิตเตอร์น้าค้า

ออฟไลน์ Piima

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 660
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ว้ายยยยยยยยยยยยยยย

ทำไมฮอตเฟ่อละ

ออฟไลน์ Pirepear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
แอบสงสารธีร์ แต่ก็เข้าใจพี่จุ๊บนะ ธีร์ต้องใจเย็นกว่านี้อ่ะ รองน่ารัก หมั่นไส้อิพี่ ฮอตเวอร์นะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: จุ๊ บ ที { จูบที่สิบ | UPDATE 11.10.2560 | Page 18 }
« ตอบ #529 เมื่อ: 11-10-2017 23:04:45 »





ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
โธ่ดราม่าซะแล้วก็เข้าใจธีร์นะว่าอยากคบกับพี่จุ๊บเร็วๆแต่ก็ต้องเข้าใจด้วยว่าบางทีชีวิตอาจจะไม่ได้ง่ายเหมือนละครมันต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไป ส่วนพี่จุ๊บเองก็รู้ว่าฉุนที่น้องทำอะไรไม่คิดแต่ก็น่าจะพูดกันตรงๆแบบดีๆสาดอารมณ์ใส่กันมีแต่แย่กับแย่อะ ส่วนน้องรองนั้นตอนแรกเราคิดเอาไว้ว่าจะหล่อๆคมๆแมนๆซะอีกไม่คิดเลยว่าน้องจะเคะ แบบนี้มาจีบพี่จุ๊บจริงๆเหรอไม่ใช่แอบชอบธีร์แล้วทำเป็นจีบพี่จุ๊บเพื่อให้เขาแยกกันหรอกนะ

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
ถถถถ จุ๊บเอ๊ยยยย ธีร์ใขร้อนไป แต่จุ๊บก็พูดไม่ชักเจนเองนิ ทำท่าเหมือนยอมน้อง เพราะเป็นคนดีสินะ ใจดีตลอดเลย

ออฟไลน์ colorofthewind21

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1657
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-1
เอ้าหน่วงไปอีกดราม่าไปอีกกก แงงง มีรองเข้ามาอีกกก ชีวิตพี่จุ๊บควายนั้นหนักหนาสาหัส

ออฟไลน์ Mafiaziip

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
รองงงงงงว่าแล้ววววน้องรองงงงงงงงงง !!!!!!

ตอนนี้ก็ดราม่าปวดจิตปวดใจเหลือเกิน  :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
ไม่เอาหน่วงใจแบบนี้ ใจคอไม่ดีเลย สงสารน้องธีร์

ออฟไลน์ Sky

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 944
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-2
น้องธีร์ หนูเปิดตัวแรกมากลูก อ๊ายยยยยยยย :-[

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4
น้องธีร์กำลังจะโดนแย่งแล้วๆ

ออฟไลน์ TanyaPuech

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +531/-23
ตามอ่านจนทัน สนุกมาก แรกๆน่ารักมากกกก อ่านไปกรี๊ดไป

พล็อตแฟนตาซีแต่สนุก น่าสนใจมาก  ชอบป้าเด้าสุดละ 555 ป้าแกฮาจริง

ตอนล่าสุดนี่สงสารธีร์  และก็เข้าใจจุ๊บ

คนนึงคิดมากไป คนนึงคิดน้อยไป

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
 :pig4:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ตอนที่แล้วเพิ่งจะเคลียร์กันไป ตอนนี้ทะเลาะกันอีกแล้ว  :sad4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด