จุ๊ บ ที { ตอนพิเศษ : จีบที | 30.5.2561 | Page 29 } (จบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: จุ๊ บ ที { ตอนพิเศษ : จีบที | 30.5.2561 | Page 29 } (จบ)  (อ่าน 203171 ครั้ง)

ออฟไลน์ Piima

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 660
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
โอ้ยยย บีบหัวใจกับตอนนี้เหลือเกินค่ะ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ ตัวแม่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-1
    • เพจตัวแม่



จูบที่ยี่สิบ

( จุ๊บ )



   งานศพของพ่อเป็นไปอย่างเรียบง่าย เราจัดขึ้นที่บ้านของเราเอง โดยได้รับความร่วมมือจากคนในบ้านและชาวบ้านในละแวกนั้น

   สิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจคือจำนวนคนมางานของพ่อที่ผมคิดว่าคงมีไม่เยอะ แต่วันจริงกลับมีคนเข้าหมุนเวียนเข้ามาไม่ขาดสาย ทั้งเพื่อนในขณะของผม ข้าราชการผู้ใหญ่จากกรมตำรวจ คนรู้จัก และญาติฝั่งพ่อที่ผมไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน เป็นครอบครัวใหญ่อีกครอบครัวที่ผมไม่เคยรู้ว่ามี

   แม่เล่าให้ฟังว่าเหตุผลที่ผมไม่เคยเห็นหน้าพวกเขา เพราะฝั่งนั้นตัดญาติกับเรา ตั้งแต่ที่พ่อไปแสดงความหัวขบถใส่พ่อแม่ของตัวเองด้วยการแต่งงานกับหญิงสาวที่พวกเขาไม่เห็นด้วย ซึ่งก็คือแม่

   “บ้านพ่อเป็นผู้ดีเก่า รวยมากเลยนะ” แม่เล่า “ตอนแรกเกือบจะไม่ได้แต่งกับแม่แล้วเพราะโดนคลุมถุงชน แต่พ่อยื่นคำขาดว่าจะแต่งกับแม่เท่านั้น ฝั่งนั้นเลยตัดพ่อออกจากกองมรดกเลย”

   “แม่ต้องสวยมากแน่ๆ ตอนนั้น” พ่อผมถึงได้ทิ้งสมบัติสองหมื่นแสนมาหา

   “อ้าว แน่นอนสิจ๊ะ” ไม่เคยปฏิเสธอะแม่ผม “ตอนนี้ก็ยังเซี้ยะ”

   เราจัดงานสามวันสามคืนด้วยกันก่อนจะเคลื่อนพลไปเผาที่วัดใกล้บ้าน ความตลกคือในวันเผา เราจัดเลี้ยงอาหารคนในงานด้วยสเกลใหญ่พอๆ กับเลี้ยงคนทั้งหมู่บ้าน มันทำให้ผมนึกถึงคำที่พ่อเคยพูดไว้ว่าถ้าผมได้รางวัลจากการประกวดแล้วพ่อจะปิดซอยเลี้ยง

   ได้ทำอย่างที่พ่อบอกจริงๆ แต่ดันเป็นการเลี้ยงงานศพ

   ตลกดี แต่ผมบังคับใจให้ขำไม่ได้เลย


   
   ผมยืนมองควันสีดำที่ลอยออกจากปล่องอยู่หน้าเมรุกับแม่ เสียงคร่ำครวญดังมาจากทุกทิศทุกทาง พอๆ กับเสียงปลอบประโลมด้วยความห่วงใยจากคนใกล้ตัว ทว่าน่าแปลกที่ผมกับแม่ไม่มีน้ำตาสักหยด อาจเพราะเราอยากให้คนที่จากไปหมดห่วง อาจเพราะเราอยากแสดงความเข้มแข็งในวันที่ทุกคนคาดหวังให้เราเป็นแบบนั้น หรือบางทีสำหรับผมมันอาจจะเศร้าเกินไปจนไม่สามารถแสดงความรู้สึกอะไรออกมา

   “ขอบคุณมากนะมึง ขอบคุณมากนะรอง ขอบคุณมากนะครับทุกคน”

   ผมบอกโฟกัส น้องรอง และเพื่อนร่วมคณะที่กำลังจะลากลับกัน ในงานเหลือคนอยู่แค่หยิบมือ มีเพียงแม่ ผม และคนในครอบครัวที่รอเคลียร์งานทุกอย่างหลังจากเผา

   เรารอกันจนควันหมดจากปล่อง ชั่วขณะนั้นผมเกิดนึกอยากถามสิ่งที่ติดค้างในใจกับแม่

   “แม่...จุ๊บอยากรู้จริงๆ...แม่รู้เรื่องทั้งหมดอยู่แล้วใช่ไหมครับ ตอนที่เขาป่วย ตอนที่เขากลับบ้านมาทำเหมือนว่าหายป่วยแล้ว แม่รู้ใช่ไหมว่าเขาจะตาย”

   แม่โอบมองผมด้วยแววตาของความร้าวราน เหยียดยิ้มที่ดูก็รู้ว่าฝืนเหลือเกิน

   “แม่เคยผ่านเวลานี้มาแล้วด้วยใช่ไหม”

   “ไม่เคยมาไกลขนาดนี้” แม่ตอบ “แต่ใช่ แม่รู้ว่าพ่อจะตาย”

   “ทำไมแม่ไม่เคยบอกผม”

   “แม่รู้ว่าจุ๊บโกรธ แม่ขอโทษ แต่พ่อไม่ให้แม่บอกจริงๆ”

   “ผมไม่เข้าใจพ่อเลย...”

   “เขาไม่อยากให้จุ๊บกังวลไงลูก”

   “จุ๊บรู้ครับ แต่พอนึกย้อนกลับไปแล้วจุ๊บก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นลูกที่แย่ จุ๊บน่าจะใช้เวลากับเขามากกว่านี้ จุ๊บน่าจะ...ทำให้เขาภูมิใจได้มากกว่านี้”

   “จุ๊บฟังแม่” แม่ประคองมือผมขึ้นมา บีบแน่นจนผมรับรู้ถึงไอร้อนจากมือคู่นั้น “จุ๊บไม่เคยทำให้พ่อผิดหวัง พ่อเขาภูมิใจในตัวจุ๊บมากนะ”

   แล้วแม่ก็กอดผม อ้อมกอดวิเศษในอ้อมแขนที่พ่อเคยโอบไว้มันแน่นหนาและอบอุ่น อ้อมกอดที่เป็นเหมือนคำสัญญาว่ายังมีคนที่รักอยู่ตรงนี้ และทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี   

   “จุ๊บไม่โกรธแม่” ผมกระซิบด้วยเสียงสั่นเครือ วินาทีนั้นรู้สึกเหมือนน้ำตาที่กลั้นไว้นานกำลังกลับมา “ไม่เคยโกรธ...”
   เราปรับความเข้าใจกัน กอดกันเนิ่นนานเพราะความเข้าใจนั้น และสลับกันปลอบโยนอีกฝ่าย จนกระทั่งผมได้ยินเสียงรองเท้าส้นเตี้ยของใครสักคนที่ขยับเข้ามาใกล้เรา

   ผมถอนตัวจากอ้อมกอด มองคนมาใหม่ด้วยตาบวมเป่งและน้ำมูกยืดยาว ธีร์อยู่ในชุดสูทสีดำกับกางเกงสีเดียวกันทับเสื้อเชิ้ตสีขาว เขายกมือไหว้แม่แล้วเข้ากอดเธอบ้าง พอผละออกก็กระตุกยิ้มบางที่มุมปากเพราะสภาพผม

   “เด็กขี้แย...” เขาดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาจากสูทชั้นในแล้วเช็ดขี้มูกให้

   “เรานึกว่าธีร์ไม่มาซะอีก” ผมรับผ้าเช็ดหน้าของเขามา ไหนๆ ก็ยื่นให้แล้วก็ขอสั่งขี้มูกเลยแล้วกัน

   “มาตั้งแต่เริ่มแล้ว แต่หลบมุมอยู่” เขาบอกด้วยเหตุผลที่ผมคุ้นชิน ยกมือขึ้นมาสางผมหยักศกของผมให้เข้าที่ “โอเคไหม”

   ผมชูนิ้วโป้งให้เขาทั้งๆ ที่ตาแดง คนเป็นดาราส่ายหน้า ตบปุบนหัวผมเบาๆ แล้วก็เอนตัวเข้ามากอด วงแขนของเขาแตกต่างจากของแม่ มันคืออ้อมกอดที่ทำให้ผมรู้สึกถึงความแข็งแกร่ง...และปลอดภัย

   “เราเสียใจด้วยจริงๆ” ประโยคนั้นเหมือนพูดกับทั้งผมและแม่ ผู้ที่ตอนนี้กำลังมองเราแล้วยิ้มแก้มปริ

   “พวกเธอสองคนน่ารักเกินไป แม่คิดถึงพ่อเลยเนี่ย ฮื่อ” ก่อนจะคร่ำคราญและเข้ามากอดสมทบอีกคน

   ในห้วงความอบอุ่นนั้น ผมรู้สึกว่าทุกอย่างกำลังจะดีขึ้น มันอาจจะไม่ได้ดีขึ้นทันที แต่มันจะดีขึ้นได้แน่นอน


   
   ผมใช้เวลาปิดเทอมที่เหลือไปกับการเก็บตัวอยู่กับห้อง อ่านหนังสือ ดูหนัง ออกไปช่วยป้าแก้วทำขนมบ้างตามสภาพอารมณ์ หลีกเลี่ยงการออกจากบ้านเพราะไม่อยากเจอใคร โฟกัสและเพื่อนคนอื่นมาหาที่บ้านบ้างเพราะผมก็ทำได้แค่นั่งคุยแป๊บๆ แล้วก็กลับเข้าห้องตัวเอง

   ทุกคนบอกให้ผมกลับไปใช้ชีวิตสนุกสนานแบบจุ๊บคนเดิม แต่การทำแบบนั้นทำให้ผมนึกถึงพ่อ ช่วงเวลาก่อนหน้านั้นที่ผมใช้ชีวิตไปทำสิ่งต่างๆ มากมายยกเว้นการดูแลเขา มันทำให้ผมไม่อยากออกไปไหนเลย

   แม่กับคนในครอบครัวก็เป็นห่วง กลัวผมจะเป็นซึมเศร้า แม้ผมจะบอกทุกคนว่าผมไม่น่าเป็นห่วงขนาดนั้น ซึ่งในความเป็นจริงก็คือผมไม่น่าเป็นห่วงจริงๆ

   แค่อยากอยู่เงียบๆ รอให้เวลาเยียวยาความเศร้าในทุกวัน

   มันคงมีวันที่ผมกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้

   “วันนี้!”

   หนึ่งอาทิตย์หลังจากพ่อเสีย จู่ๆ ธีร์ก็บุกเข้ามาในห้องผมตั้งแต่เช้าตรู่ ผมสะลึมสะลือมองเขา นี่มันเพิ่งกี่โมงเองเนี่ย...

   “เราจะพาพี่จุ๊บควายไปเที่ยว ตื่นเต้นไหมมมมมม”

   ธีร์เข้ามาเขย่าตัวผมเบาๆ เชิงปลุกให้ลุกไปอาบน้ำด้วยเอนเนอจี้เหมือนโด๊ปคาเฟอีนเกินควร แต่ผมเนือยเกินกว่าจะ ‘สดใส’ ไปกับเขาเลยพลิกตัวไปกอดหมอนข้างอีกด้าน

   “วันหลังนะ” ผมบอกเสียงอ่อย

   “จุมพิต อย่าขี้เซา”

   “วันหลังๆ ไปแน่สัญญา”

   “ไม่” เขายื่นคำขาด แล้วพลิกตัวผมกลับมาเหมือนเดิม  ผมหรี่ตามองผ่านขี้ตา เห็นสีหน้าจริงจับง  “วันนี้วันเกิดนาย และเราจะไม่ยอมให้เสียเวลาวันนี้ไปเฉยๆ แบบทุกวันละ เราโดดซ้อมมาเพื่อพาออกไปข้างนอก ไม่ว่าพี่จุ๊บจะอยากไปหรือไม่อยากก็ตาม”

   “คร่อก” แกล้งกรนใส่แม่ง

   “ถ้าหลับต่อจะลักหลับแล้วนะ”

   “ฟรี้...คร่อก...ฟรี้...แจ้บๆ”

   “อืม เปิดซิงในวันแรกที่อายุยี่สิบปีพอดีเลย” เขาพูดเสียงต่ำ และจู่ๆ มือของธีร์ก็เคลื่อนมาจับตรงปลายบ็อกเซอร์ผม และรูดมันลงในเสี้ยววินาที

   “เชี่ย!” ผมเด้งตัวขึ้นมาปิดปิกาจูตัวเองแทบไม่ทัน ธีร์หัวเราะในลำคออย่างผู้ชนะ

   “ไปแล้ว”


   ไปก้ได้โว้ยยยยย





(ต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ ตัวแม่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-1
    • เพจตัวแม่
(ต่อจากด้านบน)

   “วันนี้นายเป็นอะลาดิน เดี๋ยวเราเป็นจีนี่เอง”

   ธีร์ยื่นหน้ากากอะลาดินที่ผมเคยให้เขากลับมา วันนี้เขาสวมสเวทเตอร์สีแดงสดทับเสื้อกล้ามสีขาวด้านใน ท่อนล่างเป็นกางเกงขายาวสีน้ำตาลเข้มกับรองเท้าผ้าใบแนวสปอร์ตแบบที่ชอบ และสะพายกระเป๋าเป้ใบใหญ่ไว้หลวมๆ มันทำให้ตัวเขาดูโตขึ้นจนไม่เหลือคราบ ‘ดาราเด็ก’ ที่ผมชินปากอีกต่อไป (จริงๆ หมายถึงเซ็กซี่ขึ้น แต่ไม่พูดตรงๆ หรอก) ต่างจากผมที่ใส่เอี๊ยมสียีนส์ธรรมดาๆ ทับเสื้อยืดสีเหลืองด้านใน ดูไปเหมือนเราเริ่มสับสนว่าใครเป็นพี่เป็นน้อง แต่ช่างเหอะ

   “โอเชี่ยนเวิร์ลด์? อารมณ์ไหนเนี่ย”

   ผมแหว หลังจากที่เขาพาผมขึ้นรถและไม่ยอมบอกว่าจะไปที่ไหน ผมเลยหลับใส่เป็นการประท้วง รู้ตัวอีกทีตัวเองก็มายืนสวมหน้ากากอยู่หน้าตึกรูปถ้ำสีเทาใหญ่ ที่ซึ่งเป็นสถานที่ในความทรงจำวัยเด็ก

   “พามาทัศนศึกษาเหรอ” ผมกลั้วหัวเราะ คนเป็นดารายักคิ้วให้เชิงบอก ‘เดี๋ยวก็รู้’

   พอไปถึงหน้าประตูก็เห็นป้ายปิดปรับปรุงแปะอยู่ หือ?

   “ลุงครับ ผมมาแล้ว” เขาเปิดหน้ากากออกแล้วหันไปคุยกับยามต่อสองสามคำ ไม่นานลุงยามร่างอ้วนฉุก็มาเปิดประตูให้เราเข้าไป อ้าวเฮ้ย

   “ไม่ใช่ว่าปิดปรับปรุงเหรอ” ผมถามธีร์หลังจากลุงยามปล่อยให้เราเข้ามา

   “จริงๆ ก็ปิดอยู่”

   “แล้วเขาปล่อยให้เราเข้ามาได้ไงอะ”

   “พี่จุ๊บ เราเป็นใคร” เขาตอบด้วยสีหน้าเหนือ เท่านั้นผมก็เข้าใจว่านี่คือหนึ่งในอภิสิทธิ์ของธีร์ ดำรงเดช

   ภายในอควาเรียมดูกว้างใหญ่ขึ้นเยอะเพราะมีเราแค่สองคนอยู่ ดูเหมือนที่นี่กำลังปิดปรับปรุงจริงๆ เพราะอุโมงค์กระจกเหนือหัวเราถูกเช็ดจนสะอาด น้ำก็ใสแจ๋วผิดกับสีเขียวอื๋อที่ผมเคยเห็นตอนเด็ก อุปกรณ์ตกแต่งใต้น้ำที่จำลองให้เป็นโลกใต้ทะเลนั้นก็ดูเหมือนจริง ติดแต่ว่า...มันไม่มีปลา

   “ปลาหายไปไหน”

   “ไม่ได้พามาดูปลาซะหน่อย”

   “เอ้า ละพามาทำไมเนี่ย”

   ธีร์ไม่ตอบผม เขาเดินออกไปที่มุมโน้นมุมนี้ของอุโมงค์ เหมือนกำลังหาพิกัดอะไรสักอย่าง

   “หาอะไรเหรอ”

   “ตรงนี้แหละ” เขาบอก แล้วกวักมือเรียกผมไปที่ซอกๆ หนึ่งที่อยู่เกือบสุดปลายอุโมงค์ “มืดดี”

   “จะปล้ำเราเหรอ”

   เขาถอนหายใจอย่างละเหี่ย “ถ้าจะปล้ำอะไม่บอกหรอก จะทำเลย”

   ผมส่งสายตาไม่ไว้ใจ แต่ก็ยอมเดินเข้าไปอยู่ดี สังเกตเห็นเขาหยิบของก้อกแก้กๆ ออกจากกระเป๋าเป้ใบโตที่สะพายมาด้วย และพบว่าสิ่งที่หยิบออกมาคือ...โน้ตบุ๊ก

   เอาโน้ตบุ๊กมาทำไมฟะ

   “รู้ว่าสงสัย แต่รอแป๊บ เครื่องมันเปิดช้า” คนผิวสว่างพูดตัดหน้า ผมเลยทิ้งความสงสัยไว้สักครู่แล้วไปจับจ้องที่ผิวของเขาแทน...คนอะไรอยู่ในที่มืดผิวก็ยังขาวจ้าได้แบบนี้ ผมเริ่มจะคิดจริงจังแล้วว่าเขากินหลอดไฟ หรืออย่างน้อยก็สารที่อยู่ในหลอดไฟเข้าไปจริงๆ...

   “มาละ” เขาวางโน้ตบุ๊กลงกับพื้น เอนตัวพิงกับกระจกสีฟ้าใสด้านหลัง “มานั่งกับเราตรงนี้เร็ว”

   ผมยอมเขยิบเข้าไปนั่งข้างเขา สังหรณ์ใจว่าน่าจะจะโดนอำอะไรสักอย่างอีก แต่ภาพบนหน้าจอกลับทำให้ผมอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก...ธีร์นี่แม่งโคตรธีร์เลยจริงๆ


   “ไททานิคกลางน้ำไง”


   ธีร์พยักเพยิดไปที่หน้าจอที่กำลังฉายไททานิคอยู่ แล้วผายมือไปรอบๆ บอกว่าเราอยู่กลางน้ำ แล้วเราเป็นแบบนั้นจริงๆ

   “ไง อึ้งไปเลยอะเด้”

   “คิดได้” แล้วผมหัวเราะออกมา ใจหนึ่งก็ระอาแต่มันหยุดขำไม่ไหว

   “ความฝันเป็นจริงแล้ว” เขายักคิ้วให้รัวๆ อย่างคนขี้อวด “ไม่ต้องไปเมืองนอกละเนี่ย”

   ผมหัวเราะอยู่หลายนาทีจนเจ็บแก้ม ส่วนเขาก็มองผมแล้วก็หัวเราะตาม และไม่ว่าอะไรจะดลใจเขาให้คิดและทำแบบนี้ ผมก็รู้สึกขอบคุณทั้งนั้น



   เพราะนี่คือการหัวเราะครั้งแรกในรอบสัปดาห์ของผมเลย



โปรดติดตามตอนต่อไป

มาพรุ่งนี้ค่า

ตัวแม่*

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
ขอบคุณนักเขียนสุดขยันค่ะ มาทุกวันแบบนี้ปลื้มใจจริงๆค่ะ ตอนนี้ธีร์ดูโตขึ้นนะอย่างน้อยก็ไม่งอแงและหัดเอาใจเขามาใส่ใจเราแล้ว เห็นตอนนี้แล้วเชื่อว่าธีร์จะดูแลพี่จุ๊บได้ และหวังว่าจะเป็นแบบนั้นจริงๆ นี่ก็ไม่รู้ว่าจะหวานก่อนดราม่ามารึเปล่านี่

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ธีร์ช่วยดูแลจุ๊บด้วยนะ

ออฟไลน์ ดาวลูกไก่

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
เราเชื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้น ถ้าทั้งสองคนผ่านไปด้วยกันน แต่ก็มองไม่เห็นว่าจะผ่านด่านแม่ธีร์ไปได้ยังไง เป็นกำลังใจให้ค่าาาาา  :katai2-1:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ทุกอย่างจะต้องดี

ออฟไลน์ Piima

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 660
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
อยู่เป็นกำลังใจให้พี่จุ๊บเค้านานๆ นะลูก

ออฟไลน์ ตัวแม่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-1
    • เพจตัวแม่



จูบที่ยี่สิบเอ็ด



   เราออกจากโอเชี่ยนเวิร์ลด์หลังจากดูไททานิค (กลางน้ำ) จบ  เผชิญกับอากาศที่ร้อนตับแตกเพราะเป็นเวลาพระอาทิตย์ตรงหัวพอดี เราหาร้านข้าวข้างทางนั่งกิน โดยเลือกร้านที่คนไม่เยอะมากเพราะกลัวตกเป็นเป้าสายตา ก่อนจะพบว่ายังไงก็ตกเป็นเป้าสายตาอยู่ดี แหม เล่นใส่หน้ากากอะลาดินกับจีนี่ตอนกินข้าวแบบนี้ ไม่โดนจับไปส่งโรงพยาบาลบ้าก็บุญโขแล้วครับ

   ช่วงบ่ายธีร์บอกว่าจะพาผมไปเที่ยวอีกที่ ซึ่งเขาก็ไม่บอกเหมือนเดิมว่ามันคือที่ไหน คราวนี้ผมไม่ได้รู้สึกง่วงเลยไม่ได้หลับประท้วงเขา แต่เล่น ROV ประท้วงขณะที่เขากำลังฝ่าวิกฤตรถติดในกรุงเทพฯ แทน สะใจ

    อยู่บนถนนอยู่เกือบชั่วโมงธีร์ก็เลี้ยวเข้าถนนเส้นหนึ่งที่เขาดูจะชำนานทาง แต่...เดี๋ยวนะ...ผมว่าผมเคยเห็นที่นี่...ในอินเตอร์เน็ต

   “สวัสดีมีความสุข?”

   ค่ายใหญ่ที่เขาเป็นดาราในสังกัด เป็นค่ายที่ผลิตทั้งหนัง ละคร เพลง และปั้นไอดอลมากมายมาออกสู่สายตาประชาชน เป็นบริษัทที่รุ่นพี่คณะส่วนมากของผมจบมาแล้วจะทำงานที่นี่ และแน่นอนว่ามันเป็นความฝันของผมเช่นกัน

   ธีร์ขับรถเข้าไปในอาณาเขตของบริษัท สองข้างทางถูกปกคลุมไปด้วยร่มเงาของไม้ยืนต้นให้ความร่มรื่น เข้าไปปุ๊บเราเจอตึกสำนักงานสองชั้นตั้งอยู่ด้านหน้าสุด ถัดเข้าไปข้างในเป็นสตูดิโอที่ใช้ถ่ายงานซึ่งมีลักษณะคล้ายโกดังขนาดใหญ่อยู่สี่โกดัง

   พอถึงจุดตรวจเขาก็เปิดหน้าให้ยามดู และได้รับอภิสิทธิ์แบบธีร์ ดำรงเดชเช่นเคย นี่ถ้าไม่ได้เป็นดาราจะคิดว่าเป็นผู้บริหารของบริษัทรักษาความปลอดภัยนะเนี่ย ดีลยามโคตรเก่ง

   “จริงๆ จะมาตึกใหญ่” เขาบอก “แต่เดี๋ยวแว้บไปสตูดิโอถ่ายแป๊บนึง นัดกิ๊กไว้” ขี้โม้

   “พามาถึงนี่ไม่กลัวเป็นข่าวเหรอ”

   “กลัวดิ ระวังตัวอยู่เนี่ย” แล้วเขาก็ทำท่าก้มหัวตอนขับรถแบบเหนียมๆ ถึงมันจะน่ารักแต่ผมก็กลัวรถชนจังครับ

   เราเข้ามาถึงโกดังที่อยู่ลึกที่สุด มันเป็นโกดังใหญ่ที่แม้มองไกลๆ ก็เห็นคนขวักไขว่ชัดเจน ธีร์แอบจอดรถไว้ข้างๆ และลงจากรถมาด้วยท่าทางแบบสายลับ 007 (ทำเพื่อใคร)

   “พี่จุ๊บ” เขากระซิบ ดึงมือผมไปหลบในเงาไม้ติดกับโกดัง “คนเยอะเกินไปว่ะ เดินเข้าไปทั้งหน้ากากเขาไม่ให้เข้าแน่ๆ แต่ถ้าถอดหน้ากากเป็นข่าวแน่ๆ”

   “มาหาใครเนี่ย” ผมตั้งท่าสงสัย ทว่าเขากลับมองซ้ายมองขวาเหมือนต้องการเช็คต้นทาง

   “เราต้องจูบกัน...เดี๋ยวนะ...ตอนนี้แหละ”

   เขากระซิบ ถอดหน้ากากตัวเองออกอย่างรวดเร็วแล้วดึงหน้ากากผมออกบ้าง แต่หน้ากากดันติดอยู่กับจูปาจุ๊ปส์ที่ผมอมค้างไว้อยู่เราเลยมีความทุลักทุเลหน่อยๆ

   พอถอดออกได้ธีร์ก็ยื่นหน้ามาจูบผมอย่างรวดเร็ว หากแต่...ก่อนหน้าที่เวลาจะหยุดเดิน ผมรู้สึกเหมือนได้ยินบางอย่าง
   
   เสียงเหมือน...ชัตเตอร์กล้อง

   “ได้ยินไหม”

   “อะไรเหรอ?”

   ผมมองไปรอบๆ หลังจากถอนริมฝีปากจากเขา ตรงที่เราอยู่เป็นต้นไม้แห้งๆ ต้นหนึ่งที่ไม่ได้ ‘ปิดบัง’ เราได้อย่างที่ควรจะเป็น อันที่จริงมันเป็นต้นไม้แห้งที่ปลูกอยู่ในที่โล่งติดกับผนังของโกดัง ถัดออกไปก็เป็นที่โล่งซึ่งมองเห็นโกดังถัดไปอยู่ไกลๆ

   อาจเพราะเวลาหยุดทำให้ผมมองไม่เห็นการเคลื่อนไหวของสิ่งผิดปกติใดๆ...หรือบางทีผมอาจจะหูฝาดไปเอง

   “มีอะไรเปล่าพี่จุ๊บ”

   “เปล่าๆ” ผมตอบธีร์ ตัดสินใจว่าคงไม่โดนแอบถ่ายหรืออะไรพรรค์นั้นหรอก...คิดว่านะ

   แล้วพระเอกดังก็จูงมือผมเข้าโกดัง เดินผ่านทีมงานในสตูดิโอมากมายที่ถูกทำให้หยุดนิ่งจากการหยุดเวลาของเรา ผมค่อนข้างตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศด้านในเพราะนี่เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ได้เข้ามาในสถานที่แบบนี้...กล้อง ฉาก ไฟ ราวตากเสื้อผ้านักแสดง มอนิเตอร์ผู้กำกับ ทุกอย่างมันทำให้ผมลืมสนใจไปเลยว่าผมมาทำอะไรที่นี่

   “พี่จุ๊บ ทางนี้” เสียงเรียกของธีร์จากห้องแต่งตัวทำให้ผมหลุดจากภวังค์ ผมก้าวเข้าไปถึงหน้าห้อง แต่ธีร์ปิดประตูบังผมซะก่อน

   “หลับตาก่อน” เขายิ้มกริ่ม

   “ทำไมต้องหลับตา”

   “เหอะน่า” ผมยอมหลับตาตามที่เขาบอก ลีลาจริงๆ วันนี้

   ธีร์ใช้มือปิดตาผมอีกครั้ง และดันหลังผมให้เดินเข้าไปในห้องแต่งตัวช้าๆ “อย่าเพิ่งลืมตานะ” เสียงล็อคประตูดังแกร๊ก แล้วสัมผัสนุ่มๆ ก็ถูกประทับลงบนริมฝีปาก

   “แท่นแท้น” ธีร์ร้อง แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรก็มีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งร้องออกมาซะก่อน

   “เฮ้ย” เสียงแบบนี้...โครงหน้าลูกครึ่งแบบนี้...

   “พี่วีสวัสดีครับ” ธีร์ยกมือไหว้ผู้หญิงร่างเล็กตรงหน้า “ขอโทษที่ถือวิสาสะเข้ามาแบบไม่ได้บอกก่อน ผมแบบว่า...มีเวลาจำกัดน่ะครับ แฮ่ๆ”

   เธอดูตะลึง แต่ก็ยิ้มให้ ส่วนผมอึ้งแดกไปแล้ว

   “ไม่เป็นไรๆ” เธอบอกด้วยน้ำเสียงเพราะอย่างกับนางฟ้า “น้องคนนี้ใช่ไหม...ที่บอกว่าจะขอมาถ่ายรูปกับเราด้วย”

   “ใช่ครับ พี่จุ๊บ”

   “หวัดดีน้องจุ๊บ”

   วี วิโอเลตทักผม...เรียกชื่อผม...นี่มันต้องเป็นฝันแน่ๆ

   “เอ๊า เร็วดิ” ธีร์โคลงหัวเร่งแล้วเข้ามากระซิบข้างหูผม “รีบถ่ายรูปเร็ว เราล็อคประตูอยู่ เดี๋ยวคงมีคนพยายามเข้ามาแน่ๆ”

   แล้วเขาก็จับไหล่ผมและดันให้ไปยืนข้างๆ วี สิ่งแรกที่ผมทำคือการยกมือไหว้เธออย่างเงอะๆ งะๆ จนอีกฝ่ายหลุดขำ โอ๊ย สาบานว่ามันคือการหลุดขำที่น่ารักที่สุดในโลกเลย

   และบ่ายแก่วันนั้น ในห้องแต่งตัวของสตูดิโอที่ไม่มีใครรู้ว่าเราแอบลักลอบเข้ามา ผมได้ถ่ายรูปแบบไหล่ชนไหล่กับศิลปินหญิงที่ชอบที่สุดในชีวิต

   ด้วยความช่วยเหลือของธีร์ ดำรงเดช



   
   “โห นี่ถ้าเป็นผู้ชายเราหึงไปละนะเนี่ย”

   ธีร์แซวเพราะเห็นผมเลื่อนดูรูปถ่ายคู่กับวีในโทรศัพท์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

   “คนอะไร โคตรน่ารัก”

   “รู้”

   “โคตรน่ารัก แบบโคตรรรรรรน่ารักจริงๆ นะ”

   “ตอนนี้ไม่ใช่ผู้ชายเราก็หึงละ” เขาทำเสียงดุเหมือนเสือหวงเหยื่อ (?) เลี้ยวรถเข้าจอดในลานใต้ตึกสำนักงานใหญ่

   “รออยู่นี่แป๊บนึงนะ เราไปเอาเอกสารแค่แป๊บเดียว” เขากำชับ ถอดหน้ากากแล้วออกจากรถไป ผมเลื่อนดูรูปถ่ายคู่กับวีอีกสี่ห้ารอบเขาก็กลับมา...แป๊บเดียวจริงๆ ด้วยว่ะ

   “เราขับรถต่อละ อ่านนี่ให้ฟังหน่อยดิ”

   ธีร์เข้ามาในรถแล้วยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลซองหนึ่งให้ ผมหันไปมองเขาด้วยความงง “ก็...เดี๋ยวถึงบ้านแล้วค่อยเปิดอ่านก็ได้มั้ง”

   “เถอะน่า อ่านให้ฟังหน่อย มันเป็นสัญญาสำคัญมากเลยอะ เราอยากรู้ไวๆ”

   อะไรของเขาวะ

   “ก็ได้” ผมค้อนเขาอย่างฉุนๆ ที่ต้องล้มเลิกการเลื่อนดูรูปคู่กับวีจนได้ ยอมรับเอกสารนั้นมาแล้วก็ต้องสะดุดกับชื่อที่จ่าหน้าซอง

   ถึง คุณจุมพิต วิเศษกาล

   “อ่านดังๆ นะ” ธีร์บอก ขณะเคลื่อนรถออกจากประตูทางออกสำนักงาน

   “ทำไมซองถึงจ่าหน้าถึงเราล่ะ”

   “อยากรู้ก็เปิดอ่านเลย”

   ผมแกะซองเอกสารออก มันจะมีกี่ความเป็นไปได้กันที่ค่ายหนังใหญ่จ่าหน้าซองถึงผม...ผมที่เป็นนักศึกษาเรียนฟิล์มธรรมดาๆ เนี่ยนะ

   “เรียน คุณจุมพิต วิเศษกาล” ผมเริ่มอ่าน และพบว่าในจดหมายเขียนถึงผมจริงด้วย “จากที่คุณได้ส่งใบสมัครและพอร์ทโฟลิโอมาให้ทางสวัสดีมีความสุขพิจารณา เพื่อเข้ามาฝึกงานในสายงานนิเทศศาสตร์ ตำแหน่งผู้ช่วยผู้กำกับและเขียนบท หลังจากที่ทางเราได้พิจารณาแล้ว...เดี๋ยวๆๆๆ” ผมร้องอย่างงุนงงผสมตื่นเต้น นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ยยยย

   “ฮ่าๆๆ อ่านต่อสิ”

   “หลังจากที่ทางเราได้พิจารณาแล้ว เราขอแจ้งว่าคุณผ่านการพิจารณา และเรายินดีที่จะรับคุณเข้าเป็นนักศึกษาฝึกงานในช่วงปิดเทอมถัดไป ห๊าาาาาาาาา!?”

   “เจ๋ง”

   “ถ่ายรูปกับวี ฝึกงานกับสวัสดีมีความสุขในวันเดียวกัน นี่เราฝันแน่ๆ” ผมร้องออกมาแล้วตบหน้าตัวเองแรงๆ ที...ไอ้เหี้ยเจ็บสัด ไม่น่าเลย

   “พี่จุ๊บไม่ได้ฝัน”

   “แต่เดี๋ยวเรางง ได้ฝึกงาน...ได้ได้ไง เราไม่เคยส่งใบสมัครไปให้เขาเลย”

   “ก็บางที” ธีร์ทำท่านึก “อาจมีจีนี่สักคนทำให้ก็ได้...มั้ง”    

   ผมถอนหายใจ แต่ไม่ใช่การถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่ายหรอก “ธีร์ทำให้ใช่ไหม”

   “ฮื่อ” คนเป็นดารายิ้มรับ “เราแค่คิดว่ามันคงดีถ้าพี่จุ๊บได้ไปฝึกงานในสายงานที่ตัวเองชอบ แล้วสวัสดีมีความสุขก็เทรนด์งานดีมากๆ อันนี้ไม่ได้พูดจากมุมมองของคนในเลยนะ” เขาหัวเราะ

   “ธีร์...”

   “ไม่ๆๆ เราไม่ได้ใช้เส้นอะไรเลยนะสาบานได้ เราแค่กรอกใบสมัครให้ แล้วแนบลิงก์หนังสั้นที่พี่จุ๊บทำให้เขาพิจารณา งานนี้โปร่งใสล้วนๆ”

   “เรายังไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย” ผมแหว “เราแค่อยากจะบอกว่าขอบคุณ นี่มันฝันเราเลย”

   “เรารู้ เราถึงได้สนับสนุนไง” เขาเอียงตัวมาซบไหล่ผมแค่ครู่หนึ่งแล้วผละออกไปขับรถต่อ “สุขสันต์วันเกิดพี่จุ๊บ”
 
   “ไหน วันนี้จะมีเซอร์ไพร์สอะไรมากกว่านี้อีกไหม บอกมา”

   “โห แค่นี้ก็เหมือนให้ของขวัญไปทั้งปีแล้วปะ”

   “ไม่มีอะไรแล้วนะ แน่ใจนะ”

   “ไม่มี”





(ต่อด้านล่าง)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ตัวแม่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-1
    • เพจตัวแม่
(ต่อจากด้านบน)

   “เซอร์ไพร์ส!!!!!!!”

   แต่...ทันทีกลับมาถึงบ้าน ผมก็เจอกับฝูงชนมากมายที่มารอเซอร์ไพร์สเราอยู่ที่บ้านในตอนเย็น

   ผมหันขวับไปมองธีร์ด้วยสายตา ‘กูว่าแล้ว’ แต่อีกฝ่ายทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้และเดินเข้าไปช่วยคนอื่นจัดงานเฉย ไม่รู้ไปนัดแนะกันตอนไหน แต่คนในครอบครัวและเพื่อนฝูงใช้เวลาที่ผมออกไปช่วยกันเนรมิตสวนหน้าบ้านให้เป็นลานปาร์ตี้วันเกิดขนาดย่อม เขาตกแต่งต้นไม้ด้วยไฟหลากสี ทำปิ้งย่างบาร์บีคิวกินกัน มีเครื่องดื่มและขนมสมนาคุณจากป้าแก้ว และมีคาราโอเกะไว้เพื่อตอบสนองความต้องการของป้าเด้าล้วนๆ (ดูได้จากการที่ป้าแกครองไมค์ตั้งแต่งานเริ่มตอนหกโมงลากยาวจนถึงสามทุ่มก็ยังร้องไม่หยุด)

   คืนนั้นมีหลายคนเข้ามาร่วมอวยพรผม ทั้งเพื่อนพี่น้องจากคณะเดียวกัน

   “พี่จุ๊บ แฮปปี้เบิร์ธเดย์นะครับ”

   “ขอบคุณนะรอง”

   “แฮปปี้เบิร์ธเดย์เว้ยมึง”

   “ขอบคุณมากไอ้โอ”

   เพื่อนของธีร์อย่างเอิงเอย

   “สุขสันต์วันเกิดค่าพี่จุ๊บ มีความสุขมากๆ ได้ทุกสิ่งที่หวังเลย อ้อ...แล้วนี่ป่านค่ะ” เอิงเอยถือโอกาสแนะนำเด็กสาวตัวเล็กหน้าตาจิ้มลิ้มให้ผมรู้จัก เธอเข้ามากระซิบกับผมเบาๆ ว่า “แฟนหนูเอง”

   คนในครอบครัวของผม

   “แม่ไม่ขอให้อะไรมาก ขอให้ลูกแม่มีความสุขกับทุกอย่างที่ทำก็พอ สุขสันต์วันเกิดนะเธอ”

   “ผมรักแม่ครับ”

   “หมาจะเกิดชิงหมาเกิด ว้ายยยยยยยยยยย ใครเปิดเพลงนี้ให้ฉันร้อง” และนั่นแหละ...การอวยพรจากป้าเด้าของผม

   เพื่อนสนิท

   “มึงก็รู้ว่ากูไม่เคยอวยพรวันเกิดมึงสักปี ปีนี้ก็ไม่เว้น”

   “ฮะๆ ไม่เป็นไรมึง”

   “แต่ถ้ามึงอยากได้อย่างอื่นแทนคำอวยพร กูมีแอพฯ นึงแนะนำน่าสนใจมาก ชื่อสปายโฟน มันเป็นแอพฯ ดักจับข้อมูลบนหน้าจอของแฟนเว้ย ใช้เวลาติดตั้งในเครื่องมึงกับเครื่องแฟนแป๊บๆ ใช้ได้เลย เผื่อมึงอยากเอาไปสืบว่าธีร์มีกิ๊กเปล่า เนี่ยกูก็ใช้ดูเครื่องผัวอยู่ แม่งเปิดเว็บโป๊ดูทั้งวัน”

   “ไอ้โฟกัส...กูโอเคเว้ย”

   “เชอะ”

   และที่ขาดไม่ได้ก็คือเขา ที่ผมคิดแล้วว่าคงทำอะไรแบบคนธรรมดาคนอื่นไม่ได้

   “และต่อไปนี้ขอเชิญพบกับการแสดงพิเศษของ ว้าย พูดออกไมค์ไม่ได้เดี๋ยวเพื่อนบ้านได้ยิน” ป้าเด้าเอาไมค์ออกห่างจากตัว และประกาศด้วยเสียงแหบเหมือนเป็ด “การแสดงพิเศษของน้องธีร์ ดำรงเดชข่าาาา”

   ทุกคนในงานปรบมือ แล้วธีร์ปรากฏตัวออกมาในสูทสีดำพร้อมกับกีต้าร์หนึ่งตัว เท่านั้นแหละใจผมรู้เลยว่ามันต้องทำอะไรเสี่ยวแต่เขินอีกแน่นอน

   “สุขสันต์วันเกิดพี่จุ๊บ เพลงนี้ให้นาย”

   พูดแค่นี้แต่ทำสาววายในงานดิ้นพราดๆ (วงเล็บ จีบและโฟกัส) เสียงกรี๊ดดังขึ้นชั่วขณะ แล้วทุกอย่างก็เงียบลงเหลือแค่เสียงกีต้าร์ กับเสียงร้องที่เขาเปล่งออกมาอย่างตั้งใจ



   “รอยยิ้มของเธอแค่ครั้งเดียว ทำฉันให้ลืมเรื่องราวที่ผ่านเข้ามา ทำให้ได้รู้ว่า อะไรที่สำคัญกว่า สิ่งใดจะมาทดแทน”



   เขาร้องเพลงของสครับบ์เพลงนั้น เพลงที่เราเคยร้องด้วยกันในวันเฟรชชี่ไนท์เมื่อเกือบหนึ่งปีที่แล้ว


   “เสียงของเธอแค่ครั้งเดียว ทำฉันให้ลอยล่องไป ไกลสุดสายตา มีอะไรมากกว่า ที่เคยได้พบมา เกินกว่าคำบรรยาย”



   เพลงที่เป็นเหมือนเพลงของเรา ในวันที่ผมกับเขายอมเปิดใจกันครั้งแรก



   “หากตอนนี้ ลองหลับตา เห็นภาพเดิมอีกครั้ง”



   ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะจำรายละเอียดของทุกสิ่งที่ผมชอบได้ และใช้รายละเอียดเหล่านั้นให้มาดึงความสุขให้เกิดขึ้นในตัวผมอีกครั้ง หลังจากที่จมอยู่ในห้วงความเศร้าเรื่องพ่อมานานนับสัปดาห์



   “ฉันเพียงอยากขอหยุดเวลาไว้ก่อน เพียงชั่วคราวหากเธอรับรู้ว่ามันไม่ง่ายดายเท่าเดิม ฉันเพียงอยากขอเก็บรอยยิ้มนี้ก่อน รู้ว่ามีความหมายบางอย่าง”



   ถามว่าเพี้ยนเหมือนรอบที่ผ่านๆ มาไหม...เพี้ยนเหมือนเดิม



   “ขอแค่เราได้นึกถึงเวลานี้”


   แต่มันก็เป็นความไม่สมบูรณ์แบบที่ผมรักหมดใจ

   เสียงปรบมือเกรียวกราวเมื่อเพลงจบ ชายหนุ่มผู้ต้นคิดทุกอย่างของวันนี้คืนไมค์ให้ป้าเด้าแล้วเดินตรงมาหาผมท่ามกลางสายตาของทุกคนที่มองอยู่ ผมใจเต้นตึกๆ ตักๆ ได้ยินเสียงเชียร์ให้จูบ รู้สึกว่านี่จะเหมือนงานแต่งงานเกินไปแล้วโว้ยยยย

   ทว่าธีร์กลับไม่ได้เข้ามาจูบ เขามีแค่ทำท่าเหมือนจะจูบผมด้วยการค้อมหน้าผากตัวเองมาชนหน้าผากผมเบาๆ...แต่แล้วก็ยกออก เสียงโห่ของแฟนๆ ดังตามมา ไม่เซอร์วิสต์เลยโด่

   “ไม่ต้องขอบคุณหรอก เราเต็มใจทำ” เขาบอกทั้งๆ ที่ผมยังไม่ทันได้พูดขอบคุณอะไรไปสักคำ “อ่อ และตะกี้นายอาจไม่ทันเห็นเสื้อเราเพราะอยู่ไกลเกินไป เราอยากอวดเสื้อมากเพราะมันมีแค่ตัวเดียวในโลก”

   แล้วเขาก็เปิดสูทให้ดู เผยให้เห็นเสื้อสีขาวสกรีนด้วยตัวหนังสือสีแดงลายเดียวกับเสื้อแฟนคลับเขาเอง

   แต่ตัวหนังสือกลับเขียนว่า ‘I LOVE JOOMPIT WISETKAN’

   คิดแล้วว่าคงทำอะไรแบบคนธรรมดาคนอื่นไม่ได้...แต่ไม่ได้คิดว่าจะมาขนาดนี้

   “ลงทุนโคตร” ผมขำ “ลงทุนขนาดนี้หวังอะไรปะเนี่ย”

   “มีให้ไหมล่ะครับ”

   “อยากได้อะไร”

   “ไปขึ้นห้อง ตอนนี้เลย”

   “กลัวแล้ว”

   “ล้อเล่น ฮ่าๆ ไม่อยากได้อะไรหรอก แค่สัญญาอะไรกับเราอย่างหนึ่งพอ”

   “อะไรล่ะ”

   “ดูแลรอยยิ้มของคนที่เรารักด้วย”

   ผมหัวเราะ เพราะจำประโยคนั้นที่ผมเคยขอไว้กับเขาได้ชัดเจน “รับทราบครับ”

   “ปะ” ทันใดธีร์ก็แบฝ่ามือของเขามาเหมือนขอมือผม...ไปทำอะไร

   “ฮะ?”

   “ไปเต้นกัน”

   “เต้นไหน”

   “เต้นเนี่ย” เขาโคลงหัวให้กับป้าเด้าที่กำลังสะเด่ากับเพลงมันส์ๆ อยู่หน้าจอเช่นเดิม “สร้างรอยยิ้มไง”

   “เพลงสาวบางโพเนี่ยนะ” 

   “หนุกออก” เขาทำหน้าคึก แล้วเริ่มโยกตัวไปมา ผมส่ายหัวอย่างยอมใจ ฝากโทรศัพท์ไว้กับโฟกัสเสร็จสรรพแล้วออกไปเปิดฟลอร์ร่วมกับธีร์ในเพลงที่ป้าเด้าและคนอื่นช่วยกันร้อง เราเต้นอย่างเก้ๆ กังๆ กับจีบและเอิงเอย สังเกตเห็นรอยยิ้มของแม่ที่มองมาอย่างภูมิใจ สัมผัสเสียงหัวเราะที่เคยหายจากบ้านหลังนี้ไปช่วงหนึ่ง

   ถ้าพ่ออยู่ ผมว่าคืนนี้พ่อก็คงยิ้มไม่ต่างกัน

   “เหม็นขวยรักโวยยยยย”

   หนึ่งเหตุผลที่ทำให้เรายิ้มออก อาจมาจากคำแซวภาษาไทยที่ผิดๆ ถูกๆ ของลุงโรเบิร์ต

   “รอเบิร์ต ยูต้องพูดว่าความ! เหม็นความรักโว้ยยยยยยยยย! งี้” ป้าเด้าแก้ให้

   “อ้อ โอเค้ เหม็นควายรักโวยยยย”

   “ความ! กูบอกว่าความ! โอ้ยพอๆ มึงไม่ต้องพูดอะไรแล้วววว”
   


(ต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ ตัวแม่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-1
    • เพจตัวแม่
(ต่อจากด้านบน)

   งานเลี้ยงเลิกราในตอนเที่ยงคืน หลังจากส่งแขกทุกคนกลับบ้าน ผมขออาสาและยืนยันกับทุกคนว่าจะเป็นคนเคลียร์เศษซากของความสนุกสนานในคืนนี้เอง โดยมีธีร์อยู่ช่วย

   ตอนรับปากก็ไม่ได้คิดว่ามันจะเยอะ แถมเบียร์ที่โดนป้าเด้ามองกิน (โดยที่แม่ผมมองแรงอยู่ห่างๆ) ก็ออกฤทธิ์ของมันซะเต็มเหนี่ยว ผมเลยใช้ความพยายามมากพอควรในการจัดการทุกอย่าง สุดท้ายก็ต้องตกเป็นภาระของไอ้หนุ่มดารามากกว่าอยู่ดี

   ทุกคนเข้านอนกันหมดแล้ว ผมกับธีร์เพิ่งล้างจานใบสุดท้ายเสร็จตอนเกือบตีสอง เราอยู่กันแค่สองคนในห้องครัว และใช้เวลานานมากทีเดียวที่ผมจะรู้ตัวว่าเขาใช้เวลามองผมตอนล้างจานอยู่นาน...และอาจจะนานเกินไป

   “อะ...อะไร” ผมพูดตะกุกตะกักเมื่อเห็นสายตานั้น

   ธีร์มองผมนิ่งๆ อยู่พักหนึ่ง ยิ้มออกมาและส่ายหน้าปฏิเสธ “เราไม่เคยเห็นพี่จุ๊บเมา ตลกดี” เขาหยิบผ้าเช็ดมือมาซับมือให้ผม

   “ไม่ได้เมาซะหน่อย”

   “ล้างจานใบเดียวใช้เวลาตั้งสิบนาทีน่ะนะไม่เมา”

   “นานขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมพูดเหมือนถามตัวเอง ธีร์หัวเราะออกมา พริบตานั้นผมก็รู้สึกว่าตัวเองละสายตาออกจากรอยยิ้มบนริมฝีปากของเขาไม่ได้เลย

   รู้ตัวว่าจ้องมันนานไปผมจึงเบนสายตาไปสบตาเขา พบว่าคนตรงหน้ามองผมกลับเช่นเดียวกัน

   เขาค่อยๆ ดึงผ้าเช็ดมือออกจากมือผมแล้วทิ้งมันไป จากนั้นสองมือกว้างก็ยกขึ้นประคองกรามผมอย่างแผ่วเบา ตัวของเขาดันให้ตัวของผมติดกับขอบอ่างล้างจาน ลมหายใจอุ่นไร้กลิ่นแอลกอฮอล์รดริมฝีปาก

   ผมจำไม่ได้ว่ากี่ครั้งแล้วที่เราสองคนจูบกันแบบที่ไม่ได้อยากจูบกันจริงๆ หากใช้มันไปเพื่อผลประโยชน์ในสถานการณ์อื่น

   แต่ไม่ใช่ครั้งนี้

   เพราะริมฝีปากของเขาเป็นสิ่งที่ผมโหยหามากเหลือเกิน

   อาจเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ หรือความต้องการลึกๆ ในใจทำให้ผมกล้าที่จะเอี้ยวคอเขาลงมา เราโผเข้าจุมพิตกันด้วยความดื่มด่ำ รุนแรงราวกับเรากำลังจมน้ำลึกและจูบนั้นคืออากาศ เราไม่ได้ใส่ใจด้วยซ้ำว่ามันจะทำให้เวลารอบข้างหยุดหรือเดินต่อไป เพราะรสชาติของริมฝีปากอีกฝ่ายกำลังดึงเราให้ดำดิ่งลึกลงไปในพื้นที่ที่เวลาไม่สามารถทำงานได้อีกแล้ว

   สัมผัสแรงตวัดจากปลายลิ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไอร้อนจากตัวเขาถูกถ่ายทอดจนแผ่ซ่านไปทั่วร่างของผม มือของเราช่วยกันปลดเปลื้องเสื้อผ้าของอีกฝ่าย โยนทิ้งไปบนพื้นสีขาวของห้องครัวอย่างไม่ใยดี

   เราทั้งคู่เปลือยท่อนบน ธีร์ใช้จุมพิตของเขาสำรวจไหปลาร้าและซอกคอของผม ในขณะที่มือกำลังเล่นสนุกกับตะขอกางเกงข้างล่าง

   แต่อยู่ดีๆ เขาก็ชะงักไป ผ่อนหายใจออกมารุนแรงเหมือนพยายามระงับอารมณ์ตัวเองเอาไว้

   “มีอะไรหรือเปล่า” ผมกระซิบถาม

   “เราควรหยุดไหม ก่อนมันจะเลยเถิดไปมากกว่านี้” เขาหัวเราะออกมาเบาๆ “ดึกแล้ว เราว่าเราควรกลับบ้านได้แล้ว”

   “ไม่...อย่า...” ผมใช้สองมือจับใบหน้าเขาอย่างอ้อนวอน “อยู่กับเราต่อนะ”

   “...”

   “อยู่กับเราคืนนี้”

   ธีร์นิ่งไปพักหนึ่งเหมือนกำลังแปลกใจกับคำขอร้องของผม ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาเคยเป็นคนที่ขอร้อง และผมเป็นฝ่ายที่ไม่กล้าทำมาตลอด...

   “แน่ใจนะ”

   ผมก็คว้าคอของเขาลงมาประกบริมฝีปากแทนคำตอบ รับรู้ถึงความพุ่งพล่านของเขาที่มีมากขึ้นทวีคูณ ธีร์ปลดกางเกงทั้งชั้นนอกและชั้นในของผมออกอย่างรวดเร็ว ช้อนตัวผมขึ้นนั่งบนขอบอ่างล่างจาน แล้วไล้สายตามองไปทั้งร่างจนทำให้ผมรู้สึกหน้าร้อน

   “สวย...” เขายิ้มมุมปาก แล้วไล่พรมจูบตั้งแต่ปลายคางของผมไล่ลงต่ำเรื่อยๆ จนไปถึงจุดสำคัญ ริมฝีปากปากและฝ่ามือของเขาร่วมแรงกันช่วยปลุกมันให้ตื่นขึ้นมา และในวินาทีที่ผมไม่ได้ตั้งตัว เขาก็กลืนกินส่วนนั้นโดยสายตายังจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของผม

   “อ้ะ...เดี๋ยว...ธีร์...”

   “ชู่ว”

   “ธีร์...อา...อย่าทำแบบนั้น”

   “รู้สึกดีใช่ไหม...”

   ดี...ดีมากเลย “อึ้...อือ...”

   “ดี...” เขาใช้เวลากับช่วงล่างของผมด้วยจังหวะไม่ช้าและไม่เร็ว มันนุ่มนวลจนทำให้ผมเผลอปล่อยตัวให้จมอยู่กับห้วงความสุขนั้นและภาวนาไม่อยากให้มันจบลง ทว่าธีร์ถอนปากออกหลังจากทำมันได้สักพัก เขาลุกขึ้นจูบปากผม อุ้มตัวผมลงจากเค้าน์เตอร์ห้องครัว และวางตัวผมลงบนเสื้อผ้าของเราทั้งคู่ที่ป้องกันเราจากพื้นกระเบื้องเย็นเฉียบ

   ธีร์ปลดกางเกงขายาวและชั้นในของตัวเองออก พิงตัวกับตู้เย็นซึ่งอยู่ในตำแหน่งที่ประจันหน้าผม นิ้วของเขากำลังเล่นสนุกกับธีร์น้อยอย่างเย้ายวนราวกับหลอกล่อให้ผมร่นเข้าไปหา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมได้เห็นมันเต็มตา แต่มันเป็นครั้งแรกที่ผมได้จะได้ทำอย่างอื่นนอกจากการมองและการสัมผัสมัน หากอยู่ๆ ก็รู้สึก...หนักใจ    

   “ชอบอมยิ้มใช่ไหม” เขารูดมันลงจนเบ่งบานเต็มที่ แต่ยังไม่วายพูดอะไรที่ทำให้ผมหน้าร้อนได้อีกครั้ง

   “แท่งนี้ก็อมแล้วยิ้มนะ”

   ตอนนั้นเองที่ผมได้สัมผัสรสชาติของธีร์ครั้งแรก แม้จะต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการควบคุมจังหวะของช่องปากที่เล็กแคบของตัวเองที่ไม่พอดีกับความยิ่งใหญ่ของเขาสักนิด แต่ผมก็พร้อมจะทำมัน เพียงเพราะการได้ฟังเสียงของความสุขที่ธีร์เปล่งออกมา

   เราสองคนผลัดกันทำให้อีกฝ่ายสุขสมอยู่หลายนาที ก่อนที่เขาจะใช้ลิ้นของตัวเองไล้สำรวจร่างกายของผมไปจนถึงส่วนหลัง และทันใดนั้นการกระทำของเขาก็เปลี่ยนแปลงตัวผมไปตลอดกาล

   “ธีร์ เจ็บ...” ผมร้องออกมาเมื่อเขาเริ่มสนุกสนานกับการใช้นิ้วที่ส่วนล่าง เขาแหย่มันค้างไว้และค่อยๆ เพิ่มจำนวนนิ้วขึ้นเรื่อยๆ

   “อย่าเกร็ง”

   “ธีร์ ไม่...”

   “แป๊บเดียวก็ชินแล้ว”

   เขาพูดครั้งหนึ่งผมก็พยายามผ่อนคลายครั้งหนึ่ง ทุกครั้งที่ธีร์จี้ไปถึงจุดสำคัญความเสียวซ่านก็แผ่ไปทั่วร่างราวกับเป็นความหฤหรรษ์แสนทรมาน

   “แป๊บนะ” เขาหยุดแล้วพยายามมองหาตัวช่วย “พี่จุ๊บมีเจลอะไรไหม”

   “มีแต่น้ำยาล้างจาน ซึ่งห้ามเด็ดขาด” เขาหัวเราะกับคำตอบของผม แล้วคลานไปเปิดตู้เย็น

   “ทำอะไรน่ะ”

   “แยมคงไม่ได้ ชีสก็กลิ่นเปรี้ยวไป เราว่าคงเหลือตัวเลือกสุดท้าย” เขาคว้านมข้มหวานแบบบีบออกมาจากตู้เย็น  ก่อนที่ผมจะได้แย้งอะไร เขาก็บีบมันลงบนไปนิ้วและไซ้มันเข้าไปอีกครั้ง

   เย็น แต่อย่างน้อยความเหนอะของมันก็ทำให้การรุกรานของเขาง่ายขึ้น ซึ่งทอนความเจ็บปวดของผมให้น้อยลง ธีร์ดูสนุกกับการทดลองนั้น เขาลงมือ ‘กิน’ นมข้มหวานจากปลายทางจนชื้นแฉะ พอหนำใจเขาก็ยกขาผมขึ้น แกะถุงยางเข้าสวมและเริ่มดันมันเข้ามา

   แต่อาวุธของเขามันไม่เหมือนลิ้นหรือนิ้ว ขนาดของมันไม่สมดุลกับความคับแคบที่ไม่สามารถขยายได้ทันท่วงที ถึงแม้ธีร์จะใช้ความนุ่มนวลและเริ่มต้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่มันไม่มีทางไหนที่เขาจะทำมันสำเร็จได้เลย

   “ธีร์ เราเจ็บ”

   “พี่จุ๊บอย่าเกร็ง มองเราสิ” ผมเงยหน้าของเขา รู้สึกขอบตากำลังร้อนขึ้นเพราะความทรมาน “มองเรา...” เขาก้มลงมาจูบผม ถึงจะเป็นรสจูบที่สุดยอดแค่ไหนผมก็ไม่สามารถเอาใจออกจากความเจ็บปวดได้เลย

   “อ้ะ”

   “อดทนนิดนึง”

   “ไม่...เอา...”

   “จูบเรา” เขาถาโถมริมฝีปากลงมาอีกครั้ง และในจังหวะนั้นที่เขาดันมันเข้ามาจนสุด แต่ความทรมานนั้นมันมากเกินจะทนไหว ทำให้ผมผละริมฝีปากออกแล้วร้องออกมาเสียงดัง

   ผมรู้สึกถึงความฉีกขาดจากเบื้องล่าง ธีร์ยังปลุกอารมณ์ของผมด้วยการจูบต่อไป ทว่าผมกลั้นน้ำตาไม่ไหวแล้วจริงๆ

   “พี่จุ๊บ...” เขาชะงักไป หยุดแรงขับเคลื่อนของร่างกายทั้งหมด “เจ็บมากเลยเหรอ”

   ผมไม่ตอบเขา เอาแต่กัดฟันและร้องไห้...ทำได้แค่ร้องไห้ออกมาเท่านั้น...

   “เราไม่ทำแล้วโอเคไหม”

   “ขอโทษ...”

   “ไม่ๆ เราสิต้องขอโทษ” เขากระซิบ ถอนร่างกายออกจากร่างของผม “ไม่เป็นไรแล้วนะ”

   เขาดูเครียด และนั่นทำให้ผมรู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูก “ธีร์จะ...กลับบ้านไหม เราไม่อยากให้ธีร์ไป”

   “ไม่” เขาส่ายหัว มองผมแบบเด็กๆ “เราจะนอนที่นี่กับพี่จุ๊บแหละ นอนเฉยๆ ไม่ทำอะไรทั้งนั้น โอเคไหม”

   ผมพยักหน้า แล้วเขาก็อุ้มผมขึ้นจากพื้นเข้าสู่ห้องนอน


(ต่อด้านล่าง)


ออฟไลน์ ตัวแม่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-1
    • เพจตัวแม่

   เช้าวันต่อมา

   ผมตื่นเกือบเที่ยงเพราะอาการแฮงค์โอเวอร์จากปาร์ตี้เมื่อคืน พอตื่นมาก็เห็นโน้ตจากเขาติดอยู่ข้างเตียง


   ‘ต้องรีบไปทำงานนะ โดดติดกันสองวันไม่ได้

   เมื่อคืนอาบน้ำแล้ว แต่เช้านี้อาบอีกทีก็ได้ (อย่าขี้เกียจเหมือนเรา)

   เผื่อนมข้นหวานมันล้างออกยาก ต้องล้างหลายๆ รอบ

   รัก

   - ธีร์’


   อาการปวดจากแผลฉีกขาดเมื่อวานยังหนึบอยู่ที่ส่วนหลังของผม แต่พอออกจากห้องมาผมโดนป้าแก้ววานให้ไปซื้อวัตถุดิบทำขนมมาตุนสำหรับล็อตของวันต่อไป ผมจึงต้องทนเดินเป๋ (อันที่จริงพยายามเดินไม่เป๋ เพราะกลัวคนอื่นรู้ว่าทำอะไรมา) แล้วควบ ‘ไอ้เต๋า’ เวสป้าสีแดงคันเก่าที่เป็นมรดกตกทอดจากพ่อไปโลตัสแถวบ้าน

   ซื้อของเสร็จสรรพ นึกขึ้นได้ว่าวันนี้ยังไม่ได้โทรหาธีร์ แต่ด้วยความที่หอบของพะรุงพะรังเยอะเกินไปจึงคิดเอาไว้ว่ากลับบ้านแล้วค่อยโทรทีเดียวดีกว่า

   หากระหว่างทางที่กำลังเดินกลับรถ ผมก็รู้สึกถึงความไม่ปกติของบางอย่าง

   รู้สึกเหมือน...มีคนกำลังเดินตาม

   บอกก่อนว่าเป็นคนไม่เชื่อเรื่องผี แต่บางครั้งสัญชาตญาณเรามันเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ และตอนนี้สัญชาติญาณของผมมันบอกว่ามีบางอย่างหรือบางคนตามอยู่จริงๆ

   ทว่าหันไปข้างหลังไปกี่ครั้งก็ยังไม่เจอใคร

   อีกสิบก้าวที่จะถึงรถ เสียงโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้นซะก่อน หน้าจอแสดงว่าธีร์โทรมาทำให้ผมถ่ายน้ำหนักของทั้งหมดไปที่มือข้างเดียวและกดรับ...กะบอกว่าสักแป๊บจะโทรกลับ

   “ฮัลโหลธีร์...”

   จังหวะนั้นเองที่รถตู้คันหนึ่งเข้ามาจอดเทียบข้างๆ ตัว

   ประตูรถถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว ฉับพลันผู้ชายในชุดสีดำหลายคนก็เข้ามาจับตัวผมไว้!

   แก๊งลักเด็กคือคำแรกที่ปรากฏขึ้นในหัวผม ด้วยความฝังใจกับข่าวเมื่อหลายสิบปีก่อนที่จะมีแก๊งรถตู้มาจับเด็กๆ ไปเรียกค่าไถ่ ความตราตรึงของเรื่องราวนั้นยังจำฝังใจผมมาจนถึงทุกวันนี้

   แต่วันนี้ผมไม่ใช่เด็ก และบ้านไม่ได้รวยถึงขนาดจะเรียกค่าไถ่ได้ ตาถั่วขนาดไหนถึงจับกูเนี่ยยยย

   “อ้า!” ผมพยายามร้องให้คนช่วย แต่พี่เบิ้มในชุดดำช่วยกันปิดปากผมไว้แล้วพาผมขึ้นรถในเวลาไม่กี่วินาที มีคนหนึ่งยึดมือถือที่ผมเพิ่งกดรับสายธีร์ไป และอีกสองคนที่เก็บของทำขนมทั้งหมดขึ้นรถมาด้วย

   “ช่วยด้วย” ผมอ้าปากร้องทันทีที่มันเปิดโอกาสให้พูด แต่สายเกินไปเพราะมันปิดประตูรถเรียบร้อยแล้ว

   “พวกมึงเป็นใครวะ” ตะโกนถามด้วยความเกรี้ยวกราด หากไม่มีใครตอบรับสักคน นอกจากเสียงชู่วปากเบาๆ ให้ผมเงียบจากคนที่นั่งเบาะข้างหน้า

   “เธอไม่รู้จักฉันจริงๆ เหรอ”

   ใบหน้าคมคายสวยไม่สร่างเอียงกลับมามองผมจากตำแหน่งหน้า ริมฝีปากสีแดงสดเหยียดยิ้มอย่างเป็นมิตร หากแววตาแสดงความเย็นชานั้นมองแล้วหนาวไปถึงขั้วกระดูก


   “คุณต่าย...”


โปรดติดตามตอนต่อไป

มาพรุ่งนี้ค่า
ตัวแม่*

ออฟไลน์ nittanid33333

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เรือร่มกลางหนอง...ทองจะไปไหน งื้ออออ
สู้ๆนะ

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
ว้ากกกกกค้างงงง แม่ธีร์จะทำอะไรเนี่ยทำไมถึงร้ายกาจกันแบบนี้ ต้องจับพี่จุ๊บไปข่มขู่แน่ๆ ใกล้จะจบแล้วไม่เอาดราม่าได้ไหมคะ งืออ พี่จุ๊บต้องเข้มแข็งนะอย่าหลงกล ธีร์รักพี่จุ๊บนะ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ ดาวลูกไก่

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
แงงง ขุ่นแม่มาแล้วจ้าาา ฮือออ หวานกันได้ไม่เท่าไหร่ พี่จุ้บก็ยังเจ็บ ขุ่นแม่โปรดเมตตา  :katai1:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
แม่ธีร์มาแล้ว ทำไงดี

ออฟไลน์ ตัวแม่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-1
    • เพจตัวแม่



จูบที่ยี่สิบสอง


   ผมเห็นเธอในทีวีตั้งแต่ยังจำความได้

   ผมยาวสนิทสีดำยาวถึงกลางหลัง ผิวขาวสะอาดไม่เคยมีรอยหมองคล้ำ ร่างบางระหงแบบคนดูแลสุขภาพเป็นอย่างดี ความสวยไม่สร่างกับน้ำเสียงอ่อนหวาน และท่าทางแบบกุลสตรีไทยที่คนทุกรุ่นจะหลงรัก ทว่าสิ่งเหล่านั้นก็ไม่ใช่เหตุผลหลักที่ทำให้เธอกลายเป็นตำนานของวงการบันเทิง ทว่ามาจากภาพลักษณ์และชื่อเสียงที่เธอสั่งสม การวางตัวให้เป็น ‘แบบอย่าง’ ของประชาชน

   แม้ผมจะเกิดไม่ทันยุคที่เธอเป็นนางเอก แต่ทุกบทบาทของเธอที่ผมทันเห็นก็ยังเป็นตัวละครเด่น และทุกตัวละครจะมีอุปนิสัยที่คล้ายคลึงกัน คือเป็นตัวละครฝ่ายดี

   ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งจะได้สัมผัสด้านที่ไม่เคยเห็นของพิมพ์ผกา ดำรงเดช



   “ขอโทษด้วยนะที่ลงไปรับเธอมาแบบเสียมารยาทอย่างนั้น ถือซะว่ามานั่งรถกับฉันเล่นแล้วกัน ใช้เวลาไม่นานหรอก”

   แม่ของธีร์อธิบายกับผมด้วยเสียงหวานนุ่ม หากก็ฟังดูเป็นคำสั่ง ทันใดนั้นเองคนอีกคนที่นั่งในเบาะข้างหน้าถัดจากเธอก็แสดงตัวออกมาบ้าง...พี่บุ๊ค ผู้จัดการของธีร์หันมายิ้มเย็นทักทายผม

   “แต่ก่อนที่จะคุย รับสายลูกชายฉันแล้วบอกว่าเธอไม่เป็นอะไร”

   เธอยื่นโทรศัพท์ของผมที่ธีร์ยังโทรซ้ำเข้ามาให้ เพราะล่าสุดผมทำได้แค่รับสายเขา แล้วจู่ๆ ก็โดนจับขึ้นรถมา

   “ฮัลโหลน้องธีร์...” ผมเลือกใช้สรรพนามเปลี่ยนไปเพื่อให้แม่ของเขาได้ยินโดยเฉพาะ

   [พี่จุ๊บ ตะกี้เป็นอะไรเนี่ย ทำไมรับสายแล้วเงียบไป]

   “เปล่าๆ พอดีพี่ซื้อของอยู่ แล้วทำมือถือตก”

   [ทำไมอยู่ๆ ถึงเรียกตัวเองว่าพี่เนี่ย ปกติใช้...]

   “อ้อ โทรมาเรื่องรูปในกล้องใช่ไหม”

   [รูปอะไร รูปโป๊เหรอ นายพูดเรื่องไรเนี่ย]

   “อ๋อต้องเอาไปส่งอาจารย์แล้ว โอเค เดี๋ยวพี่กลับบ้านไปแล้วส่งให้เลยนะ”

   [เดี๋ยว นี่มันระ...]

   “แค่นี้นะครับน้อง บาย”

   ผมกดวางสาย กะจะเก็บมันกลับลงในกระเป๋ากางเกง แต่แม่ของธีร์ยื่นมือมาขอไว้เสียก่อน “คุยเสร็จเดี๋ยวฉันคืนให้”

   “แต่ว่า...”

   “ฉัน จะ คืนให้” แววตาของเธอดุดันกว่าเดิมทำให้ผมยอมยื่นโทรศัพท์ให้เธอแต่โดยดี นางเอกรุ่นแม่สีหน้าแช่มชื่นขึ้นเมื่อได้ไป

   “ต้องบอกว่าน่าประทับใจมากทีเดียวที่เธอพยายามใช้คำพูดแบบพี่น้องกับธีร์แบบนั้น” นางเอกรุ่นแม่เปรย “...แต่ทริคตื้นๆ แบบนั้นหลอกฉันไม่ได้หรอก”

   ใจผมหล่นวูบ หากพยายามปั้นสีหน้าตัวเองเพื่อหลอกเธอต่อไป

   “เดี๋ยวพี่บุ๊คมีอะไรจะคุยกับเธอ” แม่ของธีร์บอก “หวังว่าคงไม่ต้องให้ฉันต้องพูดอะไรเพิ่มเติมอีกนะ” ประโยคหลังเหมือนเธอหันไปพูดกับพี่บุ๊คมากกว่า

   “ค่ะพี่ต่าย” พี่บุ๊ครับคำ ทันใดนั้นเขาก็สั่งให้รถจอดเพื่อที่จะย้ายจากเบาะหน้ามานั่งข้างๆ ผม    

   “จุ๊บ น้องชื่อจุ๊บใช่ไหม”

   เขาถาม เขยิบร่างท้วมเข้าใกล้ผมและยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ผมได้กลิ่นน้ำหอมสะอาดจากตัวพี่บุ๊ค วันนี้เขาใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสโล่งลายไทยตามสไตล์ แต่ทรงผมโมฮอคด้านบนกลับดูอินเตอร์ คาดว่าน่าจะอยากผสมผสานความตะวันออกกับตะวันตกอยู่ในตัวเอง

   “ใช่ครับ”

   “ก่อนเราคุยกัน สัญญากับพี่ได้ไหมว่าจะไม่โกหกพี่ เพราะพี่อยากช่วยจริงๆ”

   “ครับ” ผมรับคำ ฉีกยิ้มเพื่อจะได้ไม่ดูน่าสงสัย

   “พี่จะไม่อ้อมค้อมนะน้องจุ๊บ” พี่บุ๊คสูดหายใจตั้งสติ “น้องคบกับน้องธีร์หรือเปล่า”

   “คบ?” ผมเอียงคอทำหน้าสงสัย แต่ในใจเต้นโครมครามจนเหมือนมันจะหลุดออกจากอก รับรู้ได้ถึงเม็ดเหงื่อแห่งความวิตกที่กำลังซึมออกทางหน้าผาก

   พี่บุ๊ครู้ แม่ของเขารู้

   ....ได้ยังไง

   “ผมเป็นพี่เทคของเขาที่มหา’ลัยครับ”

   “เหรอคะ” ตุ๊ดผู้จัดการถามด้วยเสียงเจื้อยแจ้ว แต่สีหน้าไม่ได้เจื้อยแจ้วตามเลย “งั้นอธิบายกับพี่ได้ไหมว่าทำไมถึงภาพหลุดของน้องกับธีร์ตอนกำลังจะจูบกันออกมา”

   “...”

   “พี่จะไม่ให้ดูภาพหรอกนะ แต่มีสายส่งมาให้พี่ดู แลกกับเงินห้าหมื่น ไม่อย่างนั้นรูปจะหลุดไปอยู่ในมือนักข่าว”

   “ผม...ผมไม่รู้ว่าพี่พูดถึงอะไร ธีร์มีภาพหลุดเหรอครับ” ผมยังทำไก๋ พี่บุ๊คถอนหายใจ

   “เมื่อวานธีร์โดดซ้อมคอนเสิร์ตที่กำลังจะมีในอาทิตย์เพื่อไปเที่ยวกับน้องใช่ไหม อย่าคิดว่าพี่ไม่รู้ พี่เป็นผู้จัดการเขานะคะ” เขาพูดต่อ “อย่าโกหกพี่ เพราะมันมีภาพหลุดที่น้องกำลังจะจูบกันออกมา...เห็นหน้าไม่ชัดหรอก แต่มีชื่อน้องอยู่บนเสื้อเขา”

   “...”

   “จุมพิต วิเศษกาล นั่นใช่ชื่อน้องไหมคะ” ผมพยักหน้ารับช้าๆ แล้วแถต่อ

   “ธีร์แค่...แค่เอาของขวัญวันเกิดมาให้ผมเฉยๆ ครับ ไม่มีอะไรทั้งนั้น”

   “เอาของขวัญวันเกิดไปให้ก็เลยค้างบ้านน้องด้วยเลยใช่ไหม”

   “ผม...ไม่รู้ว่าพี่พูดเรื่องอะไร”

   “ไหนเราสัญญากันแล้วว่าจะไม่โกหก” พี่บุ๊คเผลอเร่งระดับเสียงจนออร่าแห่งเป็นมิตรหายวับไปในพริบตา เขาถอนหายใจให้ผมฟังอีกครั้ง ปั้นหน้ายิ้มที่ดูยังไงก็รู้ว่าไม่จริงใจ “แต่โอเค ถ้าน้องพูดแบบนี้พี่ก็จะเชื่อ”

   ผมกระแอมสู้ ไม่ได้รู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดง่ายขึ้นสักนิด “...ครับ”

   “ถ้าน้องยืนยันว่าไม่ได้คบกับธีร์และเป็นแค่พี่น้องกันจริงๆ เพื่อความบริสุทธิ์ใจ ต่อไปนี้พี่อยากให้น้องเลิกเจอกันได้ไหมคะ”

   “พี่ครับ...” ผมส่ายหัวอย่างไม่เข้าใจ กลั้วหัวเราะ “มันไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลย”

   “พี่ว่าเกี่ยว” พี่บุ๊คยิ้มย่อง “ถ้าน้องบริสุทธิ์ใจจริงๆ จะทำให้พี่ได้ไหม”

   “...”

   “พี่ไม่ได้ ‘ขอ’ ให้น้องทำเฉยๆ นะ ทางพี่มีค่าตอบแทนให้ด้วย ถ้าน้องตัดขาดจากธีร์ได้จริงๆ...พี่จะให้ทุนการศึกษา สักห้าหมื่นเป็นไง จ่ายค่าเทอมที่คณะได้หลายเทอมเลยนะ”

   ผมจ้องเขาอย่างไม่เชื่อสายตา นี่มันใช้เงินฟาดหัวกันชัดๆ

   “ผมรู้ว่าพี่กำลังทำอะไรอยู่นะครับ แต่ผมขอยืนยันอีกครั้งว่าผมกับธีร์เป็นแค่พี่น้องกัน” ผมยื่นคำขาด

   “บุ๊ค พอเถอะจ้ะ พี่ว่าน้องเขาคุยไม่รู้เรื่องแล้ว”

   พอพี่บุ๊คทำท่าจะล่อซื้อผมต่อ คนที่นั่งเบาะหน้าก็ขัดเขาขึ้นเสียก่อน

   พิมพ์ผกา ดำรงเดชหันมามองหน้าผมด้วยสีหน้าเรียบตึงในตอนแรก เธอค่อยๆ คลี่ยิ้มและมองผมด้วยแววตาเอ็นดู แต่คำพูดจากนั้นกลับทำให้ผมรู้สึกชายิ่งกว่าโดนตบ

   “ฉันพยายามจะพูดให้เธอเข้าใจง่ายที่สุด ฟังดีๆ แล้วก็คิดตามถ้าเธอเป็นอย่างที่ฉันพูด แต่ถ้าเธอไม่ใช่แบบนั้นก็ทำเป็นหูทวนลมไปแล้วกัน...”

   ผมลอบกลืนน้ำลาย หูได้ยินคำของเธอที่เปล่งออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ

   “เธอเรียนนิเทศศาสตร์ คณะเดียวกับเขา เธอน่าจะเข้าใจวงการบันเทิงดี บอกฉันหน่อยว่าในความเข้าใจของเธอ ภาพลักษณ์มันสำคัญกับการเป็นดาราแค่ไหน...”

   ผมเม้มริมฝีปาก “น่าจะ...สำคัญมากครับ”   

   “สำหรับฉัน ภาพลักษณ์มันคือทุกอย่าง

   “เป็นเลสเบี้ยน มีแฟนเป็นผู้หญิง ก็ยังเล่นบทรักผู้ชายได้อย่างไม่ขัดเขิน แต่ถ้ามีข่าวว่าเป็นเกย์ หรือคบผู้ชายออกมาปุ๊บ โอกาสในการเล่นบทที่เป็นผู้ชายจริงๆ กลับกลายเป็นศูนย์ ไม่ต้องพูดถึงบทพระเอกหรอก ที่จะเล่นได้ก็คงบทเกย์จริงๆ ซึ่งก็ยากอยู่ดี เพราะสังคมสมัยนี้อยากให้เอาผู้ชายแท้ๆ มารับบท”

   “...”

   “อย่าเข้าใจผิด ฉันไม่ได้มีปัญหากับการที่ผู้ชายรักกัน แต่ถึงฉันจะมีมันก็เป็นส่วนน้อยที่ทำให้ฉันทำแบบนี้ เพราะนี่มันใหญ่กว่าเรื่องความรักมาก นี่เป็นเรื่องชีวิตของคนๆ หนึ่ง และคนๆ นั้นคือลูกของฉัน”

   แล้วรอยยิ้มของเธอก็ค่อยๆ จืดจางลง เหลือเพียงใบหน้าเรียบเฉยกับแววตาที่มองผมราวกับสิ่งของ
 
   “คนที่ฉันเลี้ยงเขาให้เตรียมพร้อมสู่วงการบันเทิงมาทั้งชีวิต มันจะถูกหยุดเพราะเด็กผู้ชายกะโปโลแค่คนเดียวไม่ได้”

   “...”

   “หวังว่าเธอคงเข้าใจ”

   “...”

   “หรือถ้าเธอไม่เข้าใจ ครั้งหน้าที่ฉันพาเธอขึ้นรถ เราจะไม่ได้มานั่งคุยกันแบบนี้แน่ๆ”

   “...ผม...ผมไม่รู้จริงๆ ว่าคุณพูดถึงเรื่องอะไรอยู่”

   บอกแบบนั้นทั้งที่ความกลัวกำลังครอบงำจิตใจผม ความคิดตอนนี้วนเวียนอยู่กับสิ่งที่คนมีอำนาจตรงหน้าจะทำได้เพื่อปกป้องลูกชายของตัวเอง

   มากไปกว่านั้นคือการปกป้องตัวเธอเอง การมีข่าวออกมาว่าลูกชายที่กำลังดังเป็นเกย์จะทำให้ภาพทั้งหมดที่เธอเคยสร้างมาพังครืน และมันอาจสืบสาวไปถึงเรื่องภายในครอบครัวที่ไม่มีใครเคยรู้

   มันอาจทำให้คนตั้งคำถามกับพิมพ์ผกา ดำรงเดชว่าจริงๆ เธอเป็นคนแบบไหนกันแน่

   “ปล่อยเขาไปตอนนี้ หรือทำลายชีวิตเขา เธอเลือกเอง”

   “...”

   “เลือกให้ดี”

   ทันใดนั้นเองรถตู้ก็หยุดแล่น เราวนกลับมายังจุดที่เธอจับผมขึ้นรถที่เก่า พี่บุ๊คเปิดประตูรถให้ผม และยัดนามบัตรเล็กๆ แผ่นหนึ่งลงในมือ “เผื่อว่าน้องเปลี่ยนใจ โทรหาพี่ได้ตลอดเวลานะ”

   ข้าวของทั้งหมดของผมถูกยกลงมาด้วยเมื่อลงจากรถ เหลือเพียงแค่สิ่งเดียวเท่านั้นที่ยังไม่ได้คืน
   
   นางเอกรุ่นแม่ยิ้มให้ผมด้วยรอยยิ้มเดียวกับตอนขึ้นมา เธอยกโทรศัพท์มือถือของผมให้ดู หน้าจอแสดงรายชื่อคนที่ออกโทรล่าสุด

   “พี่น้องเขาไม่คุยกันทุกวันแบบนี้” แล้วเธอก็โยนมันออกนอกรถมาตกข้างตัวผม “จะได้เป็นหลักฐานที่บอกว่าทำโทรศัพท์ตกไง”

   ประตูปิดลง และรถก็เคลื่อนออกไปจากตรงนั้น ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู แรงกระทบกระเทือนทำให้กระจกหน้าจอแตกร้าว...

   ไม่ต่างกันกับความสัมพันธ์ของผมและธีร์ตอนนี้





(ต่อด้านล่าง)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ตัวแม่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-1
    • เพจตัวแม่
(ต่อจากด้านบน)

   [หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้...]

   ธีร์ปิดเครื่อง ทำให้ผมไม่สามารรับรู้ความเป็นไปของเขาหรือเล่าเรื่องที่เพิ่งเจอให้ฟังได้เลย พอกลับบ้านมาจิตใจผมก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จึงอ้างกับป้าแก้วว่ามีเรื่องด่วนต้องทำนิดหน่อย ข้อเสียหนึ่งที่แม้แต่ผมตัวเองยังไม่ชอบคือเป็นคนแคร์คนอื่น แต่พอเกิดปัญหากับตัวเองผมจะไม่ค่อยแสดงออกให้ใครรู้ เพราะกลัวจะแชร์ความไม่สบายใจไปให้คนอื่น และในเวลาที่ความคิดของตัวเองตีกันจนยุ่งเหยิงแบบนี้ ถึงจะอยากสงบสติอารมณ์แค่ไหนแต่ไม่สามารถทำได้เลย

   หรือจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับธีร์?

   ผมกดโทรหาเพื่อนสนิทเพราะทนไม่ไหว โฟกัสรับสายและบอกว่าเธออยู่ที่ห้างสรรพสินค้าไม่ไกลจากบ้านผม ยินดีที่จะฟังเรื่องทุกอย่าง

   ผมออกจากบ้านอีกครั้ง คราวนี้เลือกนั่งรถไฟฟ้าเพราะมีสถานีที่เชื่อมต่อกับห้างพอดี แล้วอยู่ๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นจุดสนใจของคนในรถไฟฟ้า

   ออกจากสถานีมาก็รู้สึกถึงสายตาแปลกๆ ที่มองมาตลอดทาง เริ่มมีเสียงซุบซิบจากรอบข้างจนผมมั่นใจว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่ๆ

   “จุ๊บ” โฟกัสเรียกผมเมื่อไปถึงร้านที่เรานัดกัน มันยกหน้าจอโทรศัพท์ให้ดูและยิงคำถามใส่ทันที  “มึงเห็นนี่ยัง”

   ความรู้สึกปั่นป่วนเกิดขึ้นในตัวผมเมื่อเห็นภาพนั้น

   มีคนแอบถ่ายตอนที่ผมกับธีร์กำลังจะจูบกัน

   จากมุมของภาพน่าจะเป็นผนังสีเทาของโกดังที่ไหนสักแห่ง มันถูกถ่ายจากระยะไกล แต่หากซูมดูก็ชัดมากพอที่จะรู้ว่านั่นคือหน้าเหวอๆ ของผมกับใบหน้าด้านข้างของเขา

   
   “ได้ยินไหม”

   “อะไรเหรอ?”

   ผมมองไปรอบๆ หลังจากถอนริมฝีปากจากเขา ตรงที่เราอยู่เป็นต้นไม้แห้งๆ ต้นหนึ่งที่ไม่ได้ ‘ปิดบัง’ เราได้อย่างที่ควรจะเป็น อันที่จริงมันเป็นต้นไม้แห้งที่ปลูกอยู่ในที่โล่งติดกับผนังของโกดัง ถัดออกไปก็เป็นที่โล่งซึ่งมองเห็นโกดังถัดไปอยู่ไกลๆ



   มันต้องเป็นตอนนั้นแน่ๆ

   เกลียดเทคโนโลยีก็วันนี้ ใครเป็นคนต้นคิดที่ทำให้กล้องมือถือชัดขึ้นเรื่อยๆ วะ

   “แชร์กันว่อนเน็ตเลย...” โฟกัสบอก นั่นทำให้ผมเข้าใจว่าถึงมีสายตาแปลกๆ มองมาตลอดทาง

   “มึง...โอเคปะเนี่ย”

   ผมส่ายหัว ทรุดตัวลงนั่งและยกมือทึ้งผมตัวเองอย่างอับจนหนทาง “กูควรทำไงดี...”

   “จุ๊บ มึงต้องใจเย็นๆ”

   “กูไม่รู้จะเย็นได้ยังไงแล้วมึง คือ...” ผมเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เพิ่งเกิดขึ้นให้โฟกัสฟัง และมันก็ตอบรับด้วยสีหน้าทึ่งไม่ผิดจากที่คิด “กูไม่นึกเลยว่าต่ายพิมพ์ผกาจะเลือดเย็นขนาดนั้น น่ากลัวสัด”

   “เป็นมึงมึงจะทำยังไงวะ”

   เพื่อนสนิททำท่านิ่งคิดไปสักพัก แล้วพูดออกมาอย่างกระอักกระอ่วน

   “กูรู้ว่ามึงไม่อยากทำแบบนี้หรอก แต่ลองห่างกับเขาดูสักพักไหมมึง...เผื่ออะไรมันจะดีขึ้น”

   “...”

    “ภาพมันออกไปแบบนั้นแล้ว มึงกับธีร์มีแต่เสียนะ”



   โฟกัสมาส่งผมกลับบ้านตอนดึก หลังจากที่เราช่วยกันคิดหาทางออกจนปวดหัว สุดท้ายเราก็ตระหนักว่ามันไม่มีทางไหนจริงๆ ที่เราจะแก้ไขเรื่องนี้ได้

   ไม่อยากยอมรับ แต่การห่างกับเขาเป็นหนทางเดียวที่ผมคิดได้เหมือนกัน พิจารณาจากสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว...บางครั้งการไม่เจอกันมันอาจทำให้อะไรดีขึ้น

   ติดที่ว่าผมไม่รู้จะพูดกับเขายังไง และเขาจะยอมรับมันได้ไหม

   แม้แต่การติดต่อเขาตอนนี้ ผมยังทำไม่ได้เลย

   ผมกลับเข้าบ้าน เลื่อนอ่านฟีดข่าวของโซเชียลมีเดียทุกช่องทางที่ชาวเน็ตเริ่มขุดคุ้ยเรื่องนี้ ภาพหลุดของธีร์กลายเป็นประเด็นที่ติดเทรนด์อันดับหนึ่งมาตั้งแต่สองชั่วโมงที่แล้ว และดูเหมือนจำนวนคนที่พูดถึงก็มากขึ้นเรื่อยๆ


   iammhee (@mheelovethee)
   เรารู้จักคนในภาพค่ะ ชื่อพี่จุ๊บ เรียนปีสองคณะเดียวกับเราเอง เท่าที่รู้แกเป็นหนึ่งในพี่เทคของธีร์ เคยเห็นอยู่ด้วยกันที่คณะ

      ditthawat (@dhitthawat_v)
      อยากแฉ

      littlening (ning_jirattika)
      ใช่คนที่เคยอยู่ในคลิปเต้นเพลงแมงมุมใน #บั้นเด้านุ้งธีร์ ปะคะ

      iammhee (@mheelovethee)
      ใช่ๆๆ คนนั้นเลย

      littlening (@ning_jirattika)
      เขาเป็นเกย์ปะ

      iammhee (@mheelovethee)
      ไม่แน่ใจแต่คนรู้จักในคณะเยอะอยู่นะคะ แต่เท่าที่สังเกตมาก็ไม่เห็นพี่เขามีแฟน

      littlening (@ning_jirattika)
      @dhittawat_v แฉเรื่องอะไรเหรอคะ เล่า

      ditthawat (@dhitthawat_v)
      @ning_jirattika เห็นอี๋อ๋อกับธีร์มานานแล้วครับ อยู่ในคณะก็ทำเป็นคนชอบช่วยเหลือน้อง แต่ก็ตีสนิท      กับธีร์จนคนอื่นเข้าหาไม่ได้ จริงๆ คงอยากเด่น

      PoonnyTheeClub (@poony_)
      เราเคยดูหนังสั้นที่เขาทำส่งประกวด มีธีร์ไปแสดงนำให้ด้วยค่ะ ตามไปดูในยูทูปชื่อ Joompit Visetkan

      TD’s Army (@ths_army)
      @poony_ จุมพิต วิเศษกาล ชื่อจริงเขาหรือเปล่า

   
   ฉิบหายคือคำเดียวที่ผุดขึ้นในหัวของผมเวลานี้ เรามาถึงจุดที่แฟนคลับของธีร์ขุดคุ้ยประวัติของผมแล้ว

   ทันใดนั้นเอง เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ก็ดังจนผมสะดุ้ง ชื่อบนหน้าจอทำเอาผมใจเต้นอย่างปั่นป่วน

   “ธีร์!”



(ต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ ตัวแม่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-1
    • เพจตัวแม่
(ต่อจากด้านบน)

   [พี่จุ๊บ อย่าเพิ่งพูดอะไร] ปลายสายบอกผม [ตอนนี้เราอยู่หน้าบ้านพี่จุ๊บ ออกมาหาเราหน่อย]

   ผมทำตามที่เขาบอก ย่องฝ่าความมืดออกไปเพราะไม่อยากทำให้คนในบ้าน(แตก)ตื่น และพบรถสีขาวของเขาจอดเลียบทางเท้าหน้าบ้านอยู่จริงๆ

   ผมมองหาเขา แล้วก็โดนแรงฉุดกระชากเบาๆ จากเงามืด ตอนแรกนึกว่าจะจับไปอีกครั้ง หากกลิ่นน้ำหอมสะอาดของเขาทำให้ผมจำได้

   และวินาทีนั้นเองที่ผมโผกอดธีร์แน่น นึกขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้เขามาอยู่ตรงนี้

   “เราโทรหาไม่ติดทั้งวัน นึกว่าธีร์จะโดนอะไร”

   “ขอโทษ เราไม่ได้รับสายใครเลย” คู่ชีวิตบอก “แม่ขังเราไว้กับบ้าน ยึดโทรศัพท์เราไป แต่เราหนีออกมาได้ ตอนนี้เรารู้เรื่องทุกอย่างแล้ว”

   “หนีออกมา หมายความว่าไงหนีออกมา?”

   “พี่จุ๊บ เดี๋ยวเราอธิบายทุกอย่างทีหลัง แต่ตอนนี้ฟังเราก่อน” คนเป็นดาราจ้องลึกเข้าไปในตาผม “เราอยากให้พี่จุ๊บไปเก็บเสื้อผ้ากับของจำเป็น แล้วไปกับเรา”

   “ไปไหน?”

   “เรามีที่ของเราอยู่”

   “ธีร์...” ผมเรียกชื่อเขาอย่างลำบากใจเพราะรู้ว่าเขากำลังจะทำอะไร “รูปที่หลุดออกไปมันชัดมากเลยนะ เราว่าสิ่งที่เราควรทำตอนนี้คือ...ไม่รู้สิ...อยู่ห่างกันสักพัก”

   เขาดูอึ้งไป แล้วถามด้วยน้ำเสียงตัดพ้อว่า “นายอยากให้เป็นแบบนั้นเหรอ”

   “ไม่ๆๆ” ผมปฏิเสธพัลวัน “อย่าเข้าใจผิด เราไม่อยากห่างกับธีร์เลยเราสาบาน เราแค่อยากให้ธีร์มีชีวิตที่มีความสุขที่สุด”

   “แล้วนายคิดว่าการทำงานในวงการมันมีความสุขเหรอ” เขาถามโดยไม่ต้องการคำตอบ น้ำเสียงประชดและน่าสงสารในเวลาเดียวกัน “พี่จุ๊บ เลิกมองเราเป็นเด็กได้แล้วนะตอนนี้”

   “...”

   “พี่คือความสุขเดียวของเรานะ”

   ผมเม้มริมฝีปากด้วยความลำบากใจที่ปิดไม่มิด ตรรกะในสมองของผมสั่งให้ทำสิ่งที่ถูกต้อง และทุกคนจะได้ไม่มีปัญหา และในใจผมก็ทวงถามว่าแล้วความรู้สึกของเราล่ะ มันไม่มีค่าพอที่จะทำตามเลยใช่ไหม

   “ฟังเรานะ แม่รู้แล้วว่าเราหนีออกมา กำลังมีคนตามเรามาที่นี่…”

   “...”

   “เราต้องหนีไปด้วยกัน เดี๋ยวนี้เลย”



   ไม่ว่าผมจะตัดสินใจยังไง ทุกอย่างก็จะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล


โปรดติดตามตอนต่อไป

ออฟไลน์ me12inzy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
หาใครมาตีแสกหน้าคุณแม่ดาราหน่อยจ้า ไม่อยากให้ทุกอย่างที่ทำมาให้ธีร์พัง หลอกดูก

ถามลูกเธอรึยังว่าอยากได้รึเปล่า

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
เป็นกำลังใจให้จุ๊บกับธีร์ผ่านอุปสรรคครั้งนี้ไปให้ได้นะ

ออฟไลน์ Piima

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 660
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
อ้ายยยยยยยยยยย ต่ายคือใคร

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
อื้อหือออ นี่ใกล้จะจบแล้วจริงๆใช่ไหมคะ ทำไมแลดูยุ่งเหยิงอะไรขนาดนี้ พี่จุ๊บก็นะทำไมไม่บอกให้คนในครอบครัวรับรู้ละเราเชื่อว่าแม่พี่จุ๊บและคนอื่นๆจะช่วยได้นะ ส่วนธีร์ก็เข้าใจที่น้องรู้สึกกดดันจนต้องเลือกทางนี้แต่จะหอบผ้าหอบผ่อนหนีไปอีกถึงเมื่อไหร่ละ หนีไปยังไงเรื่องก็ไม่มีวันจบหรอกนะ ต้องแก้ที่สาเหตุจริงๆของมัน เอาใจช่วยทั้งคู่นะจับมือฝ่าไปให้ได้

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ Piima

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 660
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
พากันหนี่แล่วว ว้ายๆ

ออฟไลน์ ตัวแม่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-1
    • เพจตัวแม่



จูบที่ยี่สิบสาม


   ความรักทำให้เรากลายเป็นคนโง่เขลา

   ไม่ว่าดีหรือแย่ เราก็อยู่จะข้างๆ กัน...เคยสัญญากันไว้แบบนั้น ผมให้ค่ามันด้วยการทำตามสัญญามาตลอด

   ไม่เว้นแม้กระนั้นครั้งนี้

   ผมหอบเสื้อผ้าไม่กี่ชุดและของจำเป็นไม่กี่ชิ้นใส่กระเป๋า และหนีตามเขามากลางดึก ทั้งที่ไม่รู้เลยว่าปลายทางที่เราจะไปที่ไหน

   ไม่รู้เลยว่าปลายทางของเรื่องของเราอยู่ตรงไหน

   ความรักทำให้เรากลายเป็นคนโง่เขลา และนี่อาจเป็นการตัดสินใจที่โง่เง่าที่สุดในชีวิต



   ผมใช้เวลาอยู่บนรถของธีร์หลายชั่วโมง เราเดินทางผ่านความเงียบเหงาของถนนเมืองใหญ่สู่ถนนเส้นนอกที่ผมรู้สึกคุ้นตาอย่างน่าแปลก ธีร์เปิดกระจกรับลมอบอ้าวจากด้านนอก เปิดวิทยุในรถที่เล่นเพลงคันทรีย์เก่าๆ เพื่อกลบความกลัวในใจ เราคุยกันน้อยมากระหว่างทาง

    รู้ว่าไม่ควร แต่ผมก็อดใจไม่ได้ที่จะไถหน้าจอโทรศัพท์ดูไปเรื่อยๆ ขณะที่นั่งไปกับเขา สลับกับการเหลือบมองหน้าของคนขับเป็นพักๆ ใบหน้าขาวสว่างสะท้อนแสงไฟสีส้มจากข้างถนนดูนิ่งประหลาด มองไม่ออกว่าคิดอะไร

   เขาเป็นแบบนี้มาสักพักหลังจากผมเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง ทั้งการโดนแม่เขาจับตัวไปคุย และรูปหลุดนั้น

   
   กระทู้ที่ A12345687 สรุปว่าธีร์ ดำรงเดชเป็นเกย์หรือเปล่าคะ

   จากรูปที่หลุดออกมา หน้าเขาชัดมากเลย
   ก่อนหน้านี้ก็เคยให้สัมภาษณ์ประเด็นนี้ แล้วบ่ายเบี่ยงตลอด เอาประเด็นคู่จิ้นตัวเองมาตอบคำถาม
   แต่มีรูปหลุดออกมาแบบนี้เจ้าตัวไม่เห็นจะออกมาพูดอะไร
   สรุปว่าเขาเป็นเกย์จริงๆ ใช่ไหมคะ อยากรู้อย่างแรงกล้าค่ะ


   จากคุณ: กุลสตรีนิรนาม
   เขียนเมื่อ: เมื่อวานนี้ 23:56:41


   ความคิดเห็นที่ 1

   รูปตัดต่อปะคะ มันชัดนะแต่มันเห็นแค่ข้างๆ ไม่อยากฟันธง

   จากคุณ: Aria_love
   เขียนเมื่อ: วันนี้ 00:01:02

   ความคิดเห็นที่ 2

   จะเป็นอะไรก็เรื่องส่วนตัวเขาปะ

   จากคุณ: ปี๋เห็ด
   เขียนเมื่อ: วันนี้ 00:12:41


   ความคิดเห็นที่ 3

   ไม่เป็นนะคะ พิสูจน์มาเมื่อคืนค่ะ

   จากคุณ: มองหน้าก็รู้ว่าผู้ชายรุมตอม
   เขียนเมื่อ: วันนี้ 00:14:10


   ความคิดเห็นที่ 4

   ข้างบนมโนหนักมาก ไปขี้ไป

   จากคุณ: Don’t mess with me bitches
   เขียนเมื่อ: วันนี้ 00:25:35


   ความคิดเห็นที่ 5

   หนูกับเพื่อนๆ ชาวพันติ๊ปขอยืนยันว่า พี่ธีร์ไม่ได้เป็นเกย์ ไม่ได้เป็นตุ๊ด ไม่ได้เป็นกะเทย เพราะพี่ธีร์ให้สัมภาษณ์ยืนยันทุกครั้งว่า ไม่ได้เป็นๆ กำลังคุยๆ กับพี่เอิงเอยอยู่
   พี่ธีร์เป็นผู้ชายแท้ที่สุภาพ อ่อนโยน อัธยาศัยดี แต่งตัวดี เลิกยัดเยียดความเป็นเกย์ให้พี่เขาสักทีเถอะค่ะ
   หนูกับเพื่อนๆ เป็นคนฉลาด มีการศึกษา พวกหนูดูออกนะว่าใครเป็นเกย์ ใครไม่เป็นเกย์ เพื่อนๆ หนูยืนยันว่าพี่ธีร์ที่เป็นชายแท้แน่นอน เคยเจ้าชู้มากด้วย
   เพื่อนหนูเคยเล่าว่าพี่ธีร์เคยจีบเพื่อนของเพื่อนหนูด้วย
   พี่เค้าเป็นคนดี เป็นคนเก่ง มีความสามารถ ไม่เคยทำความเดือดร้อนให้ใคร
   ทำไมต้องใส่ร้ายพี่เค้าคะ
   ทำไมต้องตัดต่อรูปจนพี่เค้าต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงด้วย อิจฉาพี่เค้าใช่ไหมล่ะ อยากหาพวกใช่ไหมล่ะ
   คนที่ใส่ร้ายพี่เขา เอาเวลาที่มาคิดร้ายกับคนอื่น ไปคิดเรื่องดีๆ ให้สังคมบ้างนะคะ
   ขอบคุณค่ะ

   จากคุณ: ชะนีพันติ๊ป
   เขียนเมื่อ: วันนี้ 00:55:42


   ความคิดเห็นที่ 6

   ไม่ทราบค๊ แล้วก็ไม่แคร์ส์
   เป็นอะรัยขอให้เป็นคนดีก้อพอ
   ตัดสินเขาที่ผลงานดีกว่าไม๊ค๊


   จากคุณ: ThingThee
   เขียนเมื่อ: วันนี้ 01:03:25




(ต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ ตัวแม่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-1
    • เพจตัวแม่
(ต่อจากด้านบน)

   ทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงคลื่น กลิ่นเค็มในอากาศทำให้ผมรู้ว่าเราเข้าใกล้ทะเล เส้นทางข้างหน้าของเราเป็นถนนเลียบชุมชนที่เต็มไปด้วยแสงสีและสถานบันเทิงที่ไม่เคยหลับไหล ขับไปได้สักพักธีร์ก็เลี้ยวเข้าอีกทางซึ่งเป็นถนนไม่ได้ลาดยาง มีต้นไม้ใหญ่ปลูกขนาบไว้สองข้าง ไร้แสงสว่างของแสงไฟเหมือนที่ผ่านมา

   ธีร์ขับฝ่าความมืดเข้าสู่อีกชุมชนหนึ่งที่เงียบสงบ หูแว่วเสียงแมลงปีกแข็งและได้กลิ่นความเหนียวเหนอะที่ใกล้เข้ามาทุกที ไม่นานคนเป็นดาราก็เลี้ยวจอดที่ประตูทางเข้าของบ้านหลังหนึ่ง ในความมืดสลัวผมมองไม่เห็นรายละเอียดของมันเท่าไหร่นัก พอจะสังเกตได้ว่าตัวบ้านมีสองชั้น สีขาว และอยู่ติดหาด

   ผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาเปิดประตูให้เรา เธอโถมตัวเข้ากอดธีร์ทันทีที่เจอ

   “น้าแต...” ธีร์เรียกชื่อเธอ “ดีใจที่ได้เจอครับ”

   “ขวัญเอ๊ยขวัญมานะลูก” ‘น้าแต’ กอดแน่นขึ้นและตบไหล่เขาเบาๆ เธอเป็นผู้หญิงตัวเล็กอายุราวสี่สิบ สูงเท่าไหล่ธีร์ ตัดผมสั้นรองทรง ตากลมโตและปากเล็กสวยของเธอช่างดูคุ้นเคย เหมือนผมเคยเห็นที่ไหนสักแห่ง...

   “น้าแต นี่พี่จุ๊บแฟนผมครับ” ธีร์หันมาแนะนำ “พี่จุ๊บ นี่น้าแต น้าแท้ๆ เราเอง”

   แล้วเธอก็พุ่งเข้ามากอดผมบ้างอย่างไม่ได้ตั้งตัว ผมกอดตอบอย่างขัดเขิน ตอนที่ได้เห็นหน้าเธอชัดๆ ผมก็ถึงบางอ้อ...เธอคือต่าย-พิมพ์ผกาที่หน้าคมกว่า และสีผิวคล้ำกว่านั่นเอง

   “คิดถูกแล้วที่มาที่นี่กัน” น้าแตพูดกับเรา “สองคนจะอยู่นานเท่าที่อยากอยู่เลย น้าจะไม่บอกใครแน่นอน โดยเฉพาะยัยพี่สาวนางมารของน้าเอง”

   น้าแตฉีกยิ้ม แล้วพาเราเข้าไปในบ้านที่ข้างในกว้างกว่าที่ผมคิด บ้านของเธอทาด้วยสีขาวทุกซอกทุกมุม ด้านล่างมีห้องนั่งเล่นติดกับห้องครัว และมีห้องนอนหนึ่งห้องอยู่ทางปีกซ้าย ส่วนชั้นสองมีห้องนอนของน้าแตและห้องทำงานศิลปะของเธอ ธีร์เล่าว่าน้าแตทำงานเป็นศิลปินประเภทวาดภาพสีน้ำมัน ภาพของเธอมีมูลค่าสูงและเป็นที่โปรดปรานของชาวต่างชาติ ถึงขนาดที่ขายรูปๆ หนึ่งก็อยู่ได้เป็นปี

   น้าแตเคยมีแฟนที่อยู่กินด้วยกัน และเสียไปเมื่อสามปีที่แล้ว เธอเลยหันหน้าเข้าทางธรรมและใช้ชีวิตอย่างสมถะ (ธีร์ย้ำว่าน้าแตชอบเข้าวัดมากๆๆๆๆ แบบแทบจะเข้าทุกวัน) และแน่นอนว่าเธอไม่ถูกกับพี่สาวของตัวเอง เพราะเคยโดนเหยียดหยามที่ทำงานเกี่ยวกับศิลปะ แต่ถึงจะเกลียดยังไงน้าแตก็รักธีร์เหมือนลูกคนหนึ่ง

   “ขับรถมาคงเพลียมาก เดี๋ยวนอนกันก่อนแล้วพรุ่งนี้เช้าค่อยตื่นมาคุยแล้วกันนะ”

   น้าแตบอกเราอย่างเข้าใจ เธอพาเราเข้าไปในห้องนอนเล็กๆ ที่ผนังด้านหนึ่งเป็นกระจกใสเผยให้เห็นวิวทะเลด้านนอก ในห้องมีเตียงขนาดหนึ่งคนนอนอยู่หนึ่งเตียง กับโซฟาสีดำตัวใหญ่อีกหนึ่งตัว

   “เอ้อ ลืมไปเลย นอนเตียงเดียวกันได้ไหมอะ นี่ได้กันยังเนี่ย” น้าแตถามแบบไม่ต้องการคำตอบ จากนั้นเธอก็หัวเราะ ทำหน้าผมนี่แดงไปถึงหู “ยัดๆ กันหน่อยแล้วกัน ไอ้นั่นชนไอ้นี่ ไอ้นี่ชนไอ้นั่น ไม่เป็นไรหรอกเนาะ” แล้วก็หัวเราะอย่างสะใจอีกรอบก่อนจะออกไป ทะลึ่งซะจนผมคิดว่าเธอคงไม่ใช่คนธรรมมะธรรมโม แหม่ นี่มันป้าเด้าชัดๆ

   ผมมองธีร์แล้วหันไปมองเตียง เล็กขนาดนั้นอะไรๆ ก็ควรจะชนกันอยู่หรอก

   “เดี๋ยวเรานอนโซฟาเอง” เขาบอก “...พี่จุ๊บจะได้นอนสบายๆ”

   “เอางั้นเหรอ”

   “จะเอางั้นหรือจะให้เอาจุ๊บ” ไอ้นี่... “คืนนี้เพลียอะไม่ไหว”

   ผมชูนิ้วกลางใส่ รู้สึกจั๊กจี้ตูดขึ้นมาโดยพลัน แต่กระนั้นก็ยอมนอนบนเตียงตามที่เขาบอก

   “พรุ่งนี้น่าจะได้ตื่นเช้านะ”

   “ตื่นมากินข้าวเหรอ”

   “ตื่นมาใส่บาตร”

   “บ้า”

   “เฮ้ย พูดจริง” เขากลั้วหัวเราะ “เรามาทีไรก็ทำแบบนั้นทุกที”

   “ไม่เชื่อหรอก” ผมแหว แล้วก็รู้สึกว่าเสียงคลื่นจากข้างนอกช่างกล่อมโสตประสาทได้ดีเหลือเกิน



   แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เราได้ตื่นขึ้นมาใส่บาตรจริงๆ

   “แก้งๆ แก้งๆ ตื่นได้แล้วจ้าาาาาาา”

   น้าแตเข้ามาปลุกเราในห้องตั้งแต่ตอนที่แสงของวันใหม่ยังไม่ทันแยงตาเราดี เพื่อให้ผมกับธีร์แหกขี้ตาเดินตามเธอมาหน้าบ้าน อากาศข้างนอกเย็นกำลังดี แสงอาทิตย์ที่กำลังจะโผล่พ้นจากขอบฟ้าย้อมให้ฟ้ากลายเป็นสีม่วงปนเหลืองสว่าง เราตักบาตรกับพระเก้ารูปที่ดูเหมือนจะคุ้นชินน้าแตดี เพราะเธอซักถามถึงอาหารที่ทำใส่บาตรเมื่อวาน

   หลังตักบาตรเสร็จเราตัดสินใจว่าจะไม่หลับต่อ ผมกับธีร์จึงช่วยน้าแตเข้าครัวทำอาหารเช้า เป็นข้าวต้มกุ้งง่ายๆ แต่รสชาติอร่อยเหลือเชื่อ เราเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้น้าแตฟัง ในตอนนั้นเองที่เธอประกาศกร้าว (ไม่หรอก จริงๆ คือการขอความร่วมมืออย่างน่ารัก) ให้เราสองคนลืมเรื่องที่เกิดขึ้นไปสักพัก และปล่อยใจให้กับทุกอย่างที่นี่เหมือนกับเรามาพักผ่อน


   ‘แม่ ผมมาพักผ่อนที่ต่างจังหวัด ปลอดภัยดีครับ บอกทุกคนว่าไม่ต้องเป็นห่วง’


   ผมส่งข้อความถึงแม่หลังจากปฏิเสธที่จะรับสายจากเธอและทุกคนที่โทรเข้ามา เช่นเดียวกับธีร์ที่ปิดมือถือของเขาหนีโลกแห่งความเป็นจริง นั่นคือสิ่งที่เราทำที่นี่ วันนั้นทั้งวันเราทิ้งความเป็นจริงไว้เบื้องหลัง ปิดปากแน่นเรื่องอนาคตของความสัมพันธ์ และปล่อยตัวปล่อยใจไปกับเสียงคลื่น หาดทรายขาว กับศิลปะการก่อกองทรายที่เราช่วยกันสร้าง

   “ทะเลที่นี่เหรอที่ธีร์บอกว่าเจอรักแรก”

   “ใช่ๆ ที่นี่เลย” ผมมองทอดออกไปบนผิวน้ำกว้าง สังเกตเห็นเกาะรูปร่างประหลาดเกาะหนึ่งที่ตั้งไกลออกไป มันเป็นเหมือนแท่นเขาที่ก่อต่อตั้งตรง แล้วมีหินทรงโค้งขนาบข้าง...

   “เกาะนั้นมันเหมือน...อะไรหว่า”

   “จู๋” คนเป็นดาราตอบยิ้มๆ “จริงๆ นา ชาวบ้านเขาเรียกกันว่าเกาะจู๋ใหญ่ ดูจากรูปทรงมันสิ”

   “ไม่ใช่ละ”

   “เอ้า ไม่เชื่ออีก” แน่นอนว่าเป็นเรื่องโกหกทั้งเท แต่ถึงผมจะเห็นค้านก็ไม่สามารถมองมันเป็นอย่างอื่นไปได้แล้ว ฟัค “หรือนายจะเรียกว่าเกาะธีร์ก็ได้ เราไม่ถือ”

   ผมเลิกใส่ใจกับคำพูดสองแง่สองง่ามของเขา แล้วไปเพ่งที่การกระทำของเขามากกว่า

   “รู้ใช่ไหมว่าตอนเย็นน้ำจะขึ้น แล้วมันจะพังทุกอย่างที่เราสร้างมาทั้งหมด”

   ผมเตือนเพราะธีร์เล่นสร้างกำแพงทรายเสียสูง สูงยิ่งกว่าปราสาททรายที่เราสร้างด้วยกันอีก

   “รู้สิ” คนผิวสว่างตอบ

   “แต่เรารักปราสาทที่นายช่วยกันสร้างมากไง ปกป้องมันไว้ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย”

   “ถึงพรุ่งนี้มันจะหายไปหมดน่ะเหรอ”

   เขาพยักหน้า “ถึงพรุ่งนี้มันจะหายไปหมดก็ตาม”

   ผมมองเขาด้วยความเอ็นดู ตัดสินใจลงไปก่อกำแพงช่วยอีกแรง


(ต่อด้านล่าง)

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด