จุ๊ บ ที { ตอนพิเศษ : จีบที | 30.5.2561 | Page 29 } (จบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: จุ๊ บ ที { ตอนพิเศษ : จีบที | 30.5.2561 | Page 29 } (จบ)  (อ่าน 203209 ครั้ง)

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
โอ้ย ต่อไปจะเป็นยังไงต่อล่ะเนี่ย สงสาร

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
เห้ออ

ออฟไลน์ Zestful

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ทำไมพี่จุ๊บทำกับน้องแบบเนนนนนนน้

แต่เข้าใจนะ ว่าหนีต่อไปมันไม่ได้อะไรเลยอ่ะ แล้วคือแม่ธีร์นี่ควรเป็นแม่ต่อไปอ่ออออ โอ๊ยยยย  :a5:

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
แม่ภาษาอะไรเนี่ย โอยยย น่ามคานสุดอ่ะ

ออฟไลน์ ตัวแม่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-1
    • เพจตัวแม่



จูบที่ยี่สิบหก


   ฉลองมิตรภาพของคุณกับ Thee Dumrongdech

   1 ปีทีเป็นเพื่อนกันบนเฟซบุ๊ก!



   น้าแตขับรถของเธอมาส่งผมกลับบ้าน ผมนั่งจิตหลุดตลอดทาง ยิ่งซึมหนักเข้าไปใหญ่เมื่อเห็นแจ้งเตือนว่าวันนี้เป็นวันครบรอบหนึ่งปีที่เขาเข้ามาในชีวิต

   หนึ่งปีที่ผ่านมามีอะไรเกิดขึ้นมากจริงๆ จากคนคุ้นหน้าเรากลายมาเป็นคนสนิท จากคนที่เคยเห็นในสื่อกลายมาเป็นคู่ชีวิต

   วันนี้ผมคืนเขาให้กลับไปเป็นแบบเดิมอีกครั้ง

   ผมกอดขอบคุณน้าแตที่เอ็นดูผมเหมือนลูกหลาน เมื่อถึงบ้านก็เจอสมาชิกในครอบครัวเกือบทุกคนที่มารวมกันอยู่ในห้องโถง ทุกคนดูโล่งใจมากทีเดียวที่ผมกลับบ้านสักที และแม้จะไม่มีใครว่าอะไร แต่ผมก็อดมองพวกเขาด้วยความรู้สึกผิดไม่ได้
 
   พวกเขาคืออีกเหตุผลที่ทำให้ผมไม่อยากหนี

   “กินอะไรมาหรือยัง” แม่ลุกจากโซฟาแล้วเดินเข้ามาหา ผมส่ายหัว เพราะหลังจากกลับจากวัดจนถึงตอนนี้ที่ตะวันใกล้ตกดินก็ไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย

   “แม่ทำข้าวต้มกุ้งไว้ในครัว ไปกินกัน” แม่ประคองมือบนหน้าผมอย่างอ่อนโยน หันไปพยักหน้าส่งสัญญาณให้คนอื่นว่าทุกอย่างเกี่ยวกับผมเรียบร้อยดี และดึงมือผมเข้าไปในครัว

   แม่ตักข้าวต้มให้ผมนั่งกินเงียบๆ และนั่งมองผมจากเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม แค่ปล่อยให้ผมกินอย่างนั้นและไม่พูดอะไร ทำให้ในห้องครัวมีเพียงแค่เสียงกุ๊งกิ๊งของช้อนกระทบชาม กับเสียงสูดหายใจของผมที่ควบคุมลำบากมากขึ้นทุกที

   แปลกดี การได้กลับมาบ้าน กินอาหารฝีมือแม่ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็อดไม่ได้ที่จะเปิดเผยความอ่อนแอในตัวเองออกไป

   “เธอ...” ผมกลืนข้าวไปพร้อมกับก้อนแข็งๆ ในลำคอ รู้สึกถึงความฉ่ำแฉที่ไหลอาบแก้มไม่รู้ตัว...ขี้แยให้แม่เห็นอีกแล้ว

   “จุ๊บทำพลาดอะแม่” ผมวางช้อน พยายามพูดให้ชัดเจนที่สุดแข่งกับแรงสะอึกสะอื้น “จุ๊บทำทุกอย่างพังไปหมด”

   แม่ยื่นมือมาจับสองมือผมแน่น ถ่ายความอบอุ่นของเธอลงบนมือนั้น “ไม่หรอก...”

   “ผมไม่น่าหนีไป แก้ปัญหาเองไม่ได้แล้วทำให้ทุกคนเป็นห่วง”

   “เธอ ไม่เป็นไรเลยเรื่องนั้น แค่เธอกลับมาแม่ก็ดีใจมากแล้ว”

   “จุ๊บทำให้ทุกอย่างแย่ลงจริงๆ” ผมเล่าทุกอย่างให้แม่ฟังตั้งแต่เริ่มหนีออกจากบ้านไป การที่เราไปกบดานที่บ้านอีกหลังของเขา การไปวัดที่ให้เรื่องยุ่งเหยิงขึ้น และการตัดสินใจที่อาจทำให้ธีร์เกลียดผมไปตลอดกาล

   “บางทีการจูบหยุดเวลาของเรามันอาจจะไม่ใช่พลังวิเศษอย่างที่เราคิด”

   “...”

   “บางทีมันอาจจะเป็นคำสาปที่ทำให้เรารักกันไม่ได้ อะไรแบบนั้นมั้งครับ”

   ผมปาดคราบน้ำตาออกจากแก้ม หยุดงอแงและยิ้มชืดให้แม่อย่างสิ้นหวัง หญิงท้วมวัยสี่สิบตรงหน้ามองผมอย่างเห็นใจ เธอลุกจากฝั่งตรงข้ามแล้วเดินมานั่งข้างผม

   “มีเรื่องนึงที่แม่ไม่เคยเล่าให้จุ๊บฟัง คือตอนสมัยสาวๆ แม่เคยเลิกกับพ่อด้วยนะ” แม่พูด สีหน้านึกย้อนถึงความหลัง “ช่าย เธออาจคิดว่าฉันกับพ่อเธอไม่เคยมีปัญหา เป็นคู่ชีวิตกันมันก็ไม่เลิกกันหรอก เพราะยังไงมันก็คู่กัน...แต่แม่เคยเลิกกับพ่อไปช่วงหนึ่ง ช่วงใหญ่ๆ เลยล่ะ เพราะที่บ้านพ่อเกลียดแม่มาก”

   “แล้วแม่ทำยังไงครับ”

   “ไม่ทำยังไงเลย ผ่านไปหกเดือนก็กลับมาหากัน”

   “แล้วที่บ้านพ่อเขาไม่ว่าอะไรเหรอครับ”

   “ไม่สน”

   ผมนิ่งไปเพราะคำตอบนั้น

   “บางทีเราก็ต้องสละอะไรบางอย่างให้ได้รักกัน พ่อเขาก็สละครอบครัวของเขา แม่ก็สละสิทธิ์การเป็นลูกสะใภ้ไปเลย”

   “...”

   “รู้ไหมแม่เรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์นั้น แม่เรียนรู้ว่าการเลิกกันครั้งนั้นมันงี่เง่ามาก เพราะมันพรากเวลาที่แม่กับพ่อควรจะอยู่ด้วยกันไปตั้งหกเดือน”

   “...”

   “จุ๊บ เราเป็นคู่กันก็จริง ความรักของเราไม่มีวันหมดอายุก็จริง แต่อย่าลืมว่าเวลาของเราแต่ละคนมันมีวันหมดอายุนะ”

   แม่พูด โคลงหัวเชิงบอกว่า ‘ดูแม่ตอนนี้สิ’

   “แต่มัน...มีบางเรื่องที่ใหญ่กว่าความรักมาก...”

   “แม่รู้ นี่ไงเหตุผลที่ทำให้แม่กับทุกคนรักเธอ” แม่เอื้อมมือสางเส้นผมที่ปรกหน้าผากของผมขึ้น “จุ๊บเป็นคนที่แคร์ทุกอย่าง ทุกอย่างจริงๆ และแม่ดีใจที่เลี้ยงเธอให้เป็นคนแบบนี้ได้...แต่บางครั้ง...บางครั้งนะ ถ้าเราแคร์อะไรหลายอย่างเกินไป เราจะไม่รู้เลยว่าเราควรแคร์สิ่งไหนมากที่สุด”

   “...”

   “แล้วเธอลองถามตัวเองว่า สิ่งที่เธอควรแคร์มากที่สุดตอนนี้ คือความคิดเห็นของคนอื่นเหรอ”

   “...”

   “สิ่งที่จุ๊บควรแคร์มากที่สุด ไม่ใช่ธีร์หรอกเหรอ”

   ผมเงียบ ปฏิเสธไม่ได้ว่าที่แม่พูดคือความจริง

   “แต่ตอนนี้เขาคงเกลียดจุ๊บไปแล้วมั้งครับ”

   แม่หัวเราะใจค้านคำพูดของผมกลายๆ และถามผมต่อ “รู้ไหมทำไมแม่รับเรื่องจุ๊บกับธีร์ได้เร็ว ทำไมแม่มั่นใจนักว่าธีร์จะเป็นคู่ชีวิตจุ๊บแน่ๆ”

   “เพราะ...แม่รู้มาก่อนตอนที่ยายบอก?” จากภาพในฝัน ยายบอกแม่ตอนนั้น

   แต่แม่กลับส่ายหัว

   “ก่อนหน้าที่ยายบอกก็ใช่ แต่แม่ก็คิดสงสัยมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเจอเหตุการณ์ที่ทำให้แม่มั่นใจว่าจุ๊บมีรักแท้” เธอเล่า “จำตอนที่ธีร์มาง้อที่บ้านได้ไหม ที่แม่ถามจุ๊บว่าอยากให้ไล่ธีร์กลับไปหรือเปล่า แล้วจุ๊บห้ามแม่ไม่ให้ทำแบบนั้น”

   “จำได้ครับ” ผมยิ้มขืน

   “ตอนนั้น จุ๊บยังให้อภัยธีร์ได้เลยนะ”

   “...”

   “แม่ว่าธีร์ให้อภัยจุ๊บได้แน่นอน”

   เสียงแจ้งเตือนของโทรศัพท์ดังขึ้น มันเป็นข้อความจากเบอร์ที่ผมไม่รู้จัก แต่ผมรู้ทันทีว่ามันถูกส่งมาจากเขา



(ต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ ตัวแม่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-1
    • เพจตัวแม่
(ต่อจากด้านบน)

   ‘จุมพิต นี่เราเองนะ   

   พวกเขาจะจัดงานแถลงข่าวพรุ่งนี้ เขาจะแก้ข่าวให้เรื่องของของเรากลายเป็นไวรัลโปรโมตหนังเรื่องใหม่ เรากำลังจะได้รับบทเกย์เรื่องแรก แต่เราไม่อยากทำ

   เราจะพูดความจริง แต่จะพูดถ้ามีนายอยู่ด้วย

   มาหาเราที่ตึก GMZ พรุ่งนี้ตอนห้าโมงเย็นนะ

   ทุกอย่างขึ้นอยู่กับนาย’


   
   เขาไม่เคยยอมแพ้ในตัวผม...แบบที่เคยพูดไว้ในครั้งแรกที่เขาบอกชอบผมจริงๆ

   “ธีร์ใช่ไหม” ผมพยักหน้า แล้วแม่ก็ยิ้มกว้างออกมา ยักไหล่อวบๆ เพื่อบอกว่า ‘นั่นไง้ ไม่ทันขาดคำ’

   “พรุ่งนี้เขาจะพูดความจริงกับนักข่าว เขาอยากให้ผมไปด้วย”

   “แล้วเธอจะไปใช่ไหม”

   ผมมองแม่กลับด้วยความหนักใจ แม้การคุยกับแม่จะทำให้ผมสบายใจขึ้นมาก...

   “ไปสิโว้ยยยย” แม่ใช้นิ้วคีบจมูกผมแล้วดึงแรงๆ เพื่อเรียกสติผมคืนมา

   “แม่จุ๊บเจ๊บบบบ” ผมร้อง “ไปกั๊บไป ไปแล้ว”

   “ดีมาก” แม่บังเกิดเกล้าปล่อยมือออกจากจมูกผม มันกลายเป็นสีแดงเหมือนคนเป็นหวัด

   "จำคำแม่ไว้นะ” แม่ประคองหน้าของผมอย่างจริงจังอีกครั้ง ในขณะผมยกมือขึ้นบังจมูกตัวเองเพราะกลัวแม่บีบอีกรอบ เธอแจะปากแล้วดึงมือผมออกช้าๆ เป็นเชิงว่าให้ตั้งใจฟัง

   “อย่าให้ใครมาบอกว่าเราเป็นใคร เรารักใครได้หรือไม่ได้ เธอมีความรัก เธอต้องปกป้องความรักของตัวเองไว้ เพราะไม่มีใครทำแบบนั้นได้นอกจากเธอแล้ว…

   “จูบวิเศษมันไม่ใช่คำสาป การรักกันของผู้ชายสองคนก็ไม่ใช่คำสาป อย่างน้อยสำหรับแม่มันก็เป็น...ไม่รู้สิ...พรวิเศษมั้ง” แม่ยักคิ้ว “พรวิเศษที่จะเสกให้ทุกคนเห็นว่าไม่ว่าจะเพศ ชื่อเสียง หรืออะไรก็ตาม มันไม่ได้ใหญ่ไปกว่าความรักหรอก”

   หญิงร่างท้วมตบแก้มให้กำลังใจเบาๆ สองที ผมกอดเธอตอบแทน “ขอบคุณครับแม่”

   แม่โอบป้องแขนรอบตัวผมกลับ ในอ้อมกอดอุ่นผมได้ยินเธอบอก

   “ไปเสกพรนั้นกัน”


   วันต่อมา

   ผมออกจากบ้านพร้อมกับแม่และจีบตั้งแต่บ่ายสาม เพราะเป็นวันหยุดทำให้การจราจรติดขัดขั้นที่จะทำให้เรากลายเป็นว้อในรถได้ แต่โชคยังดี เรามาถึงที่หมายก่อนเวลาครึ่งชั่วโมง

   ตึก GMZ เป็นตึกสูงยี่สิบสี่ชั้นตั้งตระหง่านใจกลางกรุง มันเป็นตึกทำการของค่ายความบันเทิงยักษ์ใหญ่ซึ่งเป็นบริษัทแม่ควบคุมต้นสังกัดของธีร์อีกที งานแถลงข่าวถูกจัดขึ้นที่ชั้นสิบสาม ซึ่งตอนนี้คลาคล่ำไปด้วยนักข่าวและแฟนคลับหลายร้อยคนที่ทำให้ทั้งชั้นดูแคบลงถนัดตา ทุกคนต่างรอเวลาที่พระเอกดังจะปรากฏตัว

   คำแก้ตัว ผลงาน รสนิยมทางเพศ และอนาคตในวงการของเขา จะเปิดเผยที่นี่ในไม่กี่นาที

   
   ‘ขอคุยก่อนแถลงข่าวได้ไหม ที่ดาดฟ้า - ธีร์’


   ธีร์ส่งข้อความมาให้ผมตอนเช้าด้วยเบอร์โทรศัพท์ที่แตกต่างเบอร์เมื่อวาน คิดว่าเขาน่าจะเปลี่ยนเบอร์ไปเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้ถูกจับได้ เพราะงั้นผมจึงขอให้แม่กับจีบรอที่ชั้นสิบสามชั่วคราว และไปตามคำขอของเขา

   ขณะขึ้นลิฟต์ ใจผมคิดสะระตะถึงความเป็นไปได้หลังจากที่เราแถลงข่าวออกไป หลายคำถามผุดขึ้นมาในความคิดอย่างห้ามไม่อยู่ ธีร์จะยังอยู่ในวงการอยู่ไหม เขาจะได้รับการยอมรับหรือเปล่า การแถลงข่าวครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อใครบ้าง อาจจะครอบครัวของเขา หรือครอบครัวของผม

   แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมปฏิญาณกับตัวเองแล้วว่าวันนี้จะไม่ทำให้เขาผิดหวังซ้ำอีก

   วันนี้เราเป็นจีนี่เอง มาให้เราง้อนะ :)

   ลมบนดาดฟ้าตีปะทะหน้าผมทันทีที่มาถึง ท้องฟ้าด้านบนย้อมสีมืดครึ้ม ดูเป็นสีเทาครึ้มของเมฆฝนมากกว่าสีของพลบค่ำ ข้างบนเป็นลานกว้างรูปตัวแอลที่โล่งเตียน หูแว่วเสียงฟ้าร้องเตือนสัญญาณฝนตกมาแต่ไกล


   ‘เราอยู่บนดาดฟ้าแล้วนะ’

 
   ผมส่งข้อความหาเบอร์แปลกของเขาทั้งสองเบอร์ เพราะไม่แน่ใจว่าธีร์กำลังใช้เบอร์ไหนอยู่กันแน่ วินาทีต่อมาเสียงข้อความเข้าดังห่างออกไปไม่ไกล

   แสดงว่าเขาอยู่บนนี้...

   ผมเดินไปสู่อีกด้านของดาดฟ้าที่ทอดยาวออกไป และเจอคนหนึ่งคนรอผมอยู่จริงๆ

   แต่ทำไมเป็น...



(ต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ ตัวแม่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-1
    • เพจตัวแม่
(ต่อจากด้านบน)

   “โฟกัส?”

   เพื่อนร่างท้วมผมบ็อบเทยิ้มกว้างให้เมื่อเห็นผม มันซ่อนมือข้างซ้ายไว้ข้างหลัง ส่วนอีกมือกำลังโบกโทรศัพท์เครื่องเล็กแบบที่เราสามารถหาซื้อได้จากร้านสะดวกซื้อ...เพื่อบอกว่าได้รับข้อความของผมแล้ว

   ทันใดนั้นก็มีข้อความตอบกลับมาหาผม มันถูกส่งมาจากอีกเบอร์ของธีร์


   ‘ไปทำอะไรบนดาดฟ้า? เราอยู่ชั้นสิบสาม’


   ผมเงยหน้ามองโฟกัสอย่างงุนงง สังเกตเห็นรอยยิ้มของเพื่อนที่ค่อยๆ หุบลง มันปล่อยมือข้างซ้ายให้เป็นอิสระจากการซ่อนแอบ

   ในมือนั้นถือปืนอยู่หนึ่งกระบอก

   “มึงเป็นคนส่งข้อความหากูเหรอ” ผมถาม

   “ใช่” เพื่อนผมบ็อบเทตอบ ยกปืนขึ้นมาสำรวจไกเล่นๆ “กูอยากคุยกับมึงให้เข้าใจ ไม่คุยยาวหรอก เสร็จแล้วเราลงไปงานแถลงข่าวด้วยกันได้เลย...กูแค่อยากขอมึงเรื่องเดียว”

   ผมกลืนน้ำลาย จ้องมองปืนกระบอกนั้นสลับกับหน้าโฟกัส “...มึงอยากได้อะไร”

   มันเป่าปลายกระบอกปืนเหมือนเป่าฝุ่น พูดกับผมอย่างชัดเจนขณะยังจับจ้องอยู่ที่ปืนกระบอกนั้น



   “มึงช่วยเลิกกับธีร์ให้หน่อยสิ”



TBC*
ไปพูดคุยติชมกรี๊ดกร๊าดได้ที่แท็ก #จุ๊บที ในทวิตเตอร์ได้นะคะ
ตัวแม่*

ออฟไลน์ ตัวแม่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-1
    • เพจตัวแม่



จูบที่ยี่สิบเจ็ด


   ผมเคยวิพากษ์ละครไทยว่าไม่สมจริง

   ในชีวิตจริงคงไม่มีพระเอกที่เพอร์เฟกต์มากแต่ชอบหายไปตอนวิกฤต นางเอกที่งี่เง่าจนทำให้ตัวเองจนมุม และนางร้ายที่เอาแต่ร้องวี้ดและวันๆ เอาแต่พูดถึงความต้องการของตัวเอง

   ในชีวิตจริงเราคงไม่เจอเหตุการณ์เหมือนตอนไคลแมกซ์ของละครน้ำเน่า...ที่นางร้ายจะไต่ระดับความร้ายถึงขั้นสุดยอดจนเกิดฉากขู่ฆ่านางเอก ก่อนที่อีกไม่นานพระเอกจะมาช่วยไว้ได้ทัน

   ตามมาด้วยประโยคเด็ด “พวกแกรักกันมากใช่ไหม!!” ก่อนใครสักคนต้องเจ็บตัว

   ผมไม่เคยเชื่อ และดูตอนนี้สิ

   ไอ้เชี่ยเอ๊ย ชีวิตจริงยิ่งกว่าละครจริงด้วย



   “ไอ้กัส...มึงใจเย็นนะ”

   พีคกว่าละครก็หักมุมว่าตัวร้ายคือเพื่อนผมนี่แหละ นี่มันเรื่องล้อเล่นหรือไงวะเนี่ยยยย

   ผมพยายามกล่อม ในขณะเดียวกันก็จับจ้องปืนในมือที่โฟกัสกำลังเช็คลูกกระสุน และดูเหมือนมันจะมีอยู่เต็มแม็กซ์ด้วย

   “แม่ธีร์บังคับให้มึงทำแบบนี้เหรอ”

   “ไม่มีใครบังคับกูทั้งนั้น” หลานสาวเจ้าของโรงงานผลิตอาวุธบอก “กูทำทุกอย่างแล้ว แต่แม่งก็ไม่สำเร็จสักที”

   “ฮะ?” โฟกัสทำอะไร?

   “มึงไม่ยอมเลิกกับธีร์สักที” มันพูด “กูอุตส่าห์ถ่ายรูปมึงกับธีร์ส่งไปให้แม่เขา เพราะรู้ว่าเขาไม่ปล่อยมึงสองคนให้คบกันแน่ๆ...”


    “อย่าโกหกพี่ เพราะมันมีภาพหลุดที่น้องกำลังจะจูบกันออกมา...เห็นหน้าไม่ชัดหรอก แต่มีชื่อน้องอยู่บนเสื้อเขา...จุมพิต วิเศษกาล นั่นใช่ชื่อน้องไหมคะ”


   บทสนทนาของพี่บุ๊คแวบเข้ามาในหัวผม บทสนทนาที่ผมไม่เคยเอะใจเพราะกำลังหนักใจเรื่องความสัมพันธ์ของเราอยู่

   เสื้อตัวนั้นธีร์ใส่ในงานวันเกิดผม...เราโดนแอบถ่ายตอนนั้น...ซึ่งตอนนั้นโฟกัสก็อยู่ด้วย


   “กูอุตส่าห์เป็นห่วงมึง เพราะไม่อยากให้หน้ามึงออกสื่อเลยส่งไปให้แม่ธีร์ดีกว่า แล้วตอนนั้นก็ดันมีภาพหลุดที่พวกมึงพลาดกันเองออกมาด้วย กูนึกว่าพวกมึงจะถอดใจ...”


   “กูรู้ว่ามึงไม่อยากทำแบบนี้หรอก แต่ลองห่างกับเขาดูสักพักไหมมึง...เผื่ออะไรมันจะดีขึ้น ภาพมันออกไปแบบนั้นแล้ว มึงกับธีร์มีแต่เสียนะ”


   คำห่วงใยของโฟกัสตอนนั้นจริงๆ คือการยุยงที่มันอยากให้เป็น

   
   “แต่พวกมึงก็ยังไม่เลิกกัน กูเลยต้องใช้แอพส่องมือถือมึงจนรู้ว่ามึงกับธีร์นัดกันที่นี่ไง”


   “แต่ถ้ามึงอยากได้อย่างอื่นแทนคำอวยพร กูมีแอพฯ นึงแนะนำน่าสนใจมาก ชื่อสปายโฟน มันเป็นแอพฯ ดักจับข้อมูลบนหน้าจอของแฟนเว้ย ใช้เวลาติดตั้งในเครื่องมึงกับเครื่องแฟนแป๊บๆ ใช้ได้เลย เผื่อมึงอยากเอาไปสืบว่าธีร์มีกิ๊กเปล่า เนี่ยกูก็ใช้ดูเครื่องผัวอยู่ แม่งเปิดเว็บโป๊ดูทั้งวัน”


   ไอ้สัด ตอนวันเกิดกูนึกว่ามันพูดเล่น มีแอพแบบนี้อยู่บนโลกจริงเหรอวะ



(ต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ ตัวแม่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-1
    • เพจตัวแม่
(ต่อจากด้านบน)

   “แล้วกูก็ใช้อีกเบอร์ปลอมเป็นธีร์ล่อมึงมา” โฟกัสเฉลยพร้อมรอยยิ้ม ตอนนี้ผมรู้สึกผีมากเพราะเหมือนตัวเองเป็นนางเอกละครที่งี่เง่าจนทำให้ตัวเองจนมุมจริงๆ

   “ทำไมวะโฟกัส...” ผมถามตรงๆ “ทำไมมึงถึงต้องทำขนาดนี้ ทำไมกูไม่เคยรู้อะไรเลย...”

   โฟกัสแค่นหัวเราะในลำคอ น่ะดูทำเข้า รู้ตัวไหมว่าเลียนแบบนางร้ายมากไปแล้ว

   “มึงจะรู้อะไรล่ะ มึงเคยสนใจกูที่ไหน พอธีร์เข้ามาก็ดิ้นริกๆๆๆๆ”

   เอ๊า กูโดนด่าอีก

   “ไม่จริง” กูไม่เคยดิ้นริกๆๆๆๆ โว้ยยยย “กูแคร์มึงตลอดนะโฟกัส”

   “ถ้ามึงแคร์กูมากพอมึงคงรู้ว่ากูชอบธีร์”

   คำพูดของโฟกัสสะกิดต่อมความทรงจำของผม...หรือที่ผ่านมาโฟกัสแสดงออกมาตลอด และผมทำเป็นมองข้ามไป


   “ไอ้จุ๊บ มึงกับน้องธีร์นี่ยังไงกัน”

   คำถามที่โฟกัสถามในค่ายตอนนั้น...

   “พูดถึงน้อง มึงไม่ชวนน้องเทคมึงมาเหรอ”

   “ไม่อะ”

   “โห่ ทำไมวะ น้องเทคมึงก็น้องเทคกูเหมือนกันนะเว้ย ชวนธีร์มาดิ หนุกๆ”


   คำชมที่เหมือนจะไม่มีอะไรในวันเลี้ยงน้องรหัส ทั้งวันนั้นโฟกัสยังปล่อยรูปหลุดของผมกับรองให้ธีร์เห็นอีก...

   
   “น้องธีร์ ไม่ไหวแล้วมั้งคะ”

   การแสดงความห่วงใยในงานกีฬาคณะ...

   
   “แล้ว...มึงกับธีร์อะเป็นไงบ้าง คบกันมากี่เดือนแล้วนะ”

      “เอ้อ ถึงตอนนี้กูยังไม่เชื่อเลยว่าคนที่กูติ่งจะชอบผู้ชาย”


      การถามถึงความสัมพันธ์ของผมกับธีร์และคำบ่นเสียดาย...


      “ใครว่ากูมาเพราะมึง กูมาเพราะธีร์ต่างหาก”

      คำแก้ต่างอย่างออกนอกหน้า...


   หรือจริงๆ ผมจะแคร์โฟกัสไม่มากพออย่างที่มันว่าจริงๆ

   “กู...กูนึกว่ามึงชอบแบบแฟนคลับ...”

   “ก็ใช่ แต่ถึงกูจะชอบยังไงมึงก็ไม่มีสิทธิ์เอาเขามาเป็นแฟนปะวะ มึงหรือผู้ชายคนไหนก็ไม่มีสิทธิ์ทั้งนั้น”

   ผมมองโฟกัสด้วยความอึ้ง ไม่คิดเลยว่าในใจของเพื่อนจะมีอะไรซ่อนไว้เยอะขนาดนี้ ในขณะเดียวกันผมก็รู้สึกเศร้าที่ผมไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับมันจริงๆ

   ผมเป็นเพื่อนสนิทมันนะ ให้ตายเหอะ

   “จริงๆ ความรักของพวกมึงก็ไม่จีรังหรอก คนประเภทมึงไม่รู้จักความรักด้วยซ้ำ ถึงธีร์ไม่ใช่ดาราวันหนึ่งมึงก็ต้องเลิกกัน แล้วธีร์ก็ต้องแต่งงานกับผู้หญิงบังหน้า มึงควรยอมทำตามที่กูบอกตอนนี้นะจุ๊บ แล้วมึงจะขอบคุณกูทีหลัง”

   ตอนนั้นเองที่ผมพอจะเข้าใจแล้วว่าโฟกัสทำแบบนี้ไม่ใช่แค่เพราะผมรักกับศิลปินที่มันชอบ

   แต่เพราะผมเป็นผู้ชาย

   “มึงอย่าเอากูไปเปรียบเทียบกับพ่อละ...”

   “หยุด” จู่ๆ โฟกัสก็ขึ้นเสียง แววตากราดเกรี้ยวทันทีที่ผมพูดถึงครอบครัวเก่าของมัน “ถ้ามึงพูดคำว่าพ่อเลี้ยง กูจะยิงมึงจริงๆ นะจุ๊บ”

   มันยกกระบอกปืนขึ้นสูงในระนาบเดียวกับอกผม ผมปิดปากตัวเองชั่วครู่

   “เลิกพูดถึงไอ้หมาตัวที่ซ้อมแม่กูได้แล้ว”

   “...”

   “แล้วก็เลิกคิดจะเอาเรื่องคู่ชีวิตปลอมๆ ของมึงมาอ้างด้วย กูไม่ได้เป็นเด็กอมมือที่จะเชื่อทุกเรื่องเพ้อเจ้อของมึง”

   ในตอนนี้ผมมองไม่เห็นเพื่อนสนิทที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขมาอีกต่อไป จู่ๆ ผู้หญิงทรงผมบ็อบเทที่เล็งปืนอยู่ตรงหน้าก็กลายเป็นคนที่ผมไม่รู้จัก

   คำถามที่เกิดขึ้นในใจผมไม่ใช่คำถามว่ามิตรภาพห้าปีของผมกับโฟกัสจะจบลงวันนี้เหรอ

   มันคือคำถามว่ามิตรภาพห้าปีของเราเกิดขึ้นจริงหรือเปล่า หรือเป็นแค่เรื่องเพ้อเจ้อเรื่องหนึ่งของผมเท่านั้นเอง

   มันทำให้ผมรู้สึกแย่จนร้องไห้ไม่ออก

    “โฟกัส...” ผมยกสองมือขึ้นเหนือหัวอย่างรักตัวกลัวตาย คิดจะใช้น้ำเย็นเข้าลูบแทน “กูขอละ พอเถอะนะ...”


   “กูไม่อยากทำแบบนี้เลยจุ๊บ กูสาบาน” มันพูด กระบอกปืนยังจ่ออยู่ที่อกผม “แต่ถ้ามึงไม่ยอมเลิก กูว่ามึงคงต้องลงเอยแบบพ่อเลี้ยงกู”

   “กูเป็นเพื่อนมึงนะ...”

   “ถ้ามึงเห็นกูเป็นเพื่อนมึงต้องเลิก”

   มันปลดไก

   “แค่พูดออกมาคำเดียวแล้วทุกอย่างจะจบ”

   ผมสูดลมหายใจลึก หูแว่วเสียงฟ้าร้องครืนและรู้สึกได้ถึงเมฆฝนที่เคลื่อนมาเหนือหัว สายตาจับจ้องแต่ปลายกระบอกปืนที่พร้อมจะปลดลูกกระสุนเพื่อปลิดชีวิตผมได้ทุกเมื่อ

   ถ้าผมพูดออกมาคำเดียวทุกอย่างก็จะจบ ถ้าผมแค่รับปากว่าจะเลิกกับธีร์โฟกัสก็จะได้สิ่งที่ต้องการ

   แต่มันดันไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการน่ะสิ

   “ไม่” ผมตอบพร้อมรอยยิ้ม

   “ฮะ?”

   “กูบอกว่า...กูจะไม่เลิกกับธีร์”

   โฟกัสอึ้งไปกับคำตอบของผมชั่วครู่ จังหวะนั้นผมจะกระโดดเข้าไปแย่งปืนมาจากมือมัน ทว่าเสียงเรียกจากด้านหลังก็ดังขึ้นเสียก่อน

   “พี่จุ๊บ...”

   ผมไขว้เขวไปกับการปรากฏตัวของธีร์ ตั้งท่าจะยึดปืนจากมือโฟกัสแต่อีกฝ่ายเร็วกว่า โฟกัสใช้แขนคว้าคอผมไว้แล้วล็อคไว้ จ่อปืนมาที่ขมับผม

   บ๊ะ! ให้มันได้อย่างนี้สิวะ

   “พี่จุ๊บ!” ธีร์เพิ่งสังเกตเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น เขาอยู่ในชุดสูทสีดำที่ยิ่งขับผิวขาวสว่างจนหล่อโคตรๆ เหมือนเคย แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือตอนนี้ผมจะอ๊องแล้วครับ

   “พี่โฟกัส อย่ายิงนะครับ” ธีร์ยกสองมือขึ้นห้าม ค่อยๆ ตะล่อมมาหาเรา

   “ถอยออกไป” โฟกัสบอกธีร์และดึงผมให้ถอยหลัง ผมทายได้เลยว่าประโยคต่อไปที่โฟกัสจะพูดก็คือ... “ถ้าเข้ามาพี่ยิงไอ้จุ๊บจริงๆ ด้วย”

   ผมทายถูกครับไอ้สัดเอ๊ย ไม่ได้รางวัลอะไรเลยด้วย แต่อาจมีความตายที่ยังรออยู่ ฮือ

   “ใจเย็นๆ นะ มีอะไรค่อยๆ พูดกันครับ” ธีร์ยังเกลี้ยกล่อมต่อไป

   “พูด” โฟกัสกระซิบข้างหูผม “บอกเลิกกับธีร์ตอนนี้แล้วกูจะเลิกเอาปืนจี้มึง พูดสิ”

   “แค่ก...มึงล็อกคอกูอยู่ กู...พูดไม่ได้” ผมบอกโฟกัส แล้วมันก็ปล่อยผมให้เป็นอิสระ กลายเป็นว่าตอนนี้มีปืนจ่ออยู่ที่ท้ายทอยของผมแทน

   “พูด”

   ผมกลืนน้ำลายและมองธีร์ด้วยความลำบากใจ เขามองผมกลับด้วยแววตาตื่นตกใจพอกัน

   “ธีร์...” ผมกระแอม พยายามส่งซิกด้วยการย่นคิ้วให้เขา “เรา...เอ่อ...เรา...เล้อ...”

   เสียงลมหวีดหวิวบนดาดฟ้า ตามมาด้วยเสียงคำรามของก้อนเมฆด้านบน จังหวะนี้แหละ!

   “หลบ!”

   ผมตะโกนบอกธีร์และย่อตัวลงอย่างรวดเร็ว กะจะตุ๊ยท้องโฟกัสด้วยศอกและวิ่งเข้าไปจูบเขาเพื่อหยุดเวลา แต่ผมก็ทำพลาดอีกเป็นครั้งที่สอง โฟกัสเหวี่ยงตัวหลบทันทำให้ผมเซไปชนผนังอีกฝั่งจนแขนแตก

   “มึงจะไม่พูดใช่ไหมจุ๊บ” โฟกัสเล็งปืนมาหาผมที่คลานหนีด้วยความกลัว

   “มึง อย่า...” อย่าพูดคำนั้นออกมา มึงอย่าแม้แต่จะคิด

   “รักกันมากนักใช่ไหม!”

   ไอ้ซั้ดดดดดดดดดดดดดดด

   โฟกัสเตรียมกดยิง ผมยกมือบังตัวเองไว้เต็มที่แม้จะรู้ว่าไม่ได้ช่วยอะไรเลย ทว่าทันใดนั้นธีร์ก็พุ่งเข้ามาจากด้านหลัง เขาใช้กำลังคว้าแขนโฟกัสไว้และพยายามแย่งปืนออกมาจากมือให้ได้

   “ธีร์ ปล่อย”

   “พี่โฟกัส นั่นเพื่อนพี่นะ!”

   ทั้งคู่ยื้อยุดฉุดกระชากกันอย่างไม่มีใครยอมใคร โฟกัสที่แรงน้อยกว่าผู้ชายร่างใหญ่อย่างธีร์เริ่มร้องโอดโอยออกมาเพราะแรงบิดของเขา ทำท่าจะแพ้คนเป็นดาราอยู่มะร่อมมะร่อ

   ปัง!

   และในวินาทีที่ไม่มีใครคาคคิด เสียงปืนก็ดังขึ้น

   ทั้งคู่มองกันด้วยแววตาตกใจ โฟกัสหอบหายใจแรงและพูดออกมาว่า “พี่...พี่ไม่ได้ตั้งใจ...”

   วินาทีต่อมา ร่างของธีร์ล้มลงแทบเท้าของผม ตรงช่วงท้องมีเต็มไปด้วยเลือดสีแดงฉาน



(ต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ ตัวแม่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-1
    • เพจตัวแม่
(ต่อจากด้านบน)

   ราวกับเสียงลมบนดาดฟ้าเงียบไปชั่วขณะ

   เหมือนมีคนมากระชากวิญญาณของผมออกจากร่างครู่หนึ่งจนรู้สึกวูบโหวงว่างเปล่า จากนั้นก็ยัดมันกลับมาให้ผมเผชิญสภาพความเป็นจริง

   ผมได้ยินโฟกัสพึมพำไม่เป็นภาษา มันควบคุมสติตัวเองไม่ได้อีกต่อไปหลังจากสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะนี่ไม่ใช่สิ่งที่มันคิดเอาไว้

   นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมคิดเอาไว้

   “กู...กูไม่ได้ตั้งใจ” ผมมองโฟกัสที่ตอนนี้โดนความรู้สึกผิดกัดกินในฉับพลัน มันหยิบปืนขึ้นมา และในวินาทีนั้นที่คิดว่าโฟกัสจะยิงผมให้ได้อีกครั้ง ผมก็หลับตาปี๋

   แต่มันแค่หยิบปืนและวิ่งออกไปจากดาดฟ้าเพราะอยากหนีความผิด

   เสียงหายใจถี่ของคนที่นอนบนพื้นดึงความสนใจผม เลือดจากตัวเขาไหลออกมาแผ่เป็นวงกลมกว้างบนเนื้อผ้าสีขาวด้านใน ผมมองภาพนั้นอย่างลนลานและนึกขึ้นได้ว่าควรจะเรียกรถพยาบาล จึงจัดการต่อสายในวินาทีนั้น

   “ธีร์” ผมเข้าไปคุกเข่าข้างเขาหลังจากวางสาย “รถพยาบาลกำลังมานะ ธีร์ต้องอดทน”

   “จุมพิต...” ธีร์เรียกผมเสียงขาดๆ หายๆ เขาหายใจแรงขึ้นอย่างน่ากลัว มือข้างหนึ่งกุมไว้ที่หน้าท้อง อีกข้างไขว่คว้าหาผมตรงหน้า

   ผมคว้ามือเขาไว้แล้วจับแน่นด้วยสองมือของตัวเอง แววตาของธีร์มีความหวาดกลัวจนผมรู้สึกแย่ที่ไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้เลย

   “ธีร์ต้องอดทนนะ แป๊บเดียว เราสัญญา” ผมพูดไปขณะที่น้ำตารื้นขึ้น

   “อย่าร้องไห้...” เขากระซิบ “ขี้แยอีกแล้ว”

   “เราเปล่าร้อง” ผมบอกทั้งที่ตัวเองกำลังสะอึกสะอื้นใหญ่ “ธีร์จะไม่เป็นอะไร...ต้องไม่เป็นไรสิเนอะ”

   เขายิ้ม วินาทีต่อมาก็นิ่วหน้ารุนแรงเพราะความเจ็บปวด “พี่จุ๊บ...”

   “อื้อ”

   “เรากลัวไม่ได้บอก เพราะงั้นเรา...”

   “ไม่ต้องกลัว เดี๋ยวธีร์ได้บอกเราแน่ๆ ตอนหายดีแล้ว” ผมรีบพูดกับเขา ฝืนยิ้มอย่างเป็นกำลังใจ

   “เรา...เราอยากบอกจริงๆ” ธีร์ดื้อ ทำให้ผมเงียบฟังเขาในที่สุด “เราดีใจที่นายมาวันนี้”

   “ฮื่อ เราอยากมา”

   “เราดีใจจริงๆ” เขาหัวเราะแหะ “ถ้าเราได้ออกไปให้สัมภาษณ์ได้ก็คงดี เราจะบอกความจริงกับทุกคน”

   “ธีร์ต้องได้ให้ทำแน่นอน อดทนตอนนี้แป๊บเดียวแหละ”

   “ถ้าเราตาย พี่จุ๊บจะหาแฟนใหม่ในสิบนาทีเหมือนที่เคยบอกไหม”

   “อย่าพูดแบบนี้” ผมดุเขาเสียงแผ่ว “ธีร์ไม่ตายหรอก ในทีวีกว่าธีร์จะตายตั้งสองชั่วโมงเลยนะ”

   เขาหัวเราะออกมาผ่านริมฝีปากสีซีด “นั่นมันละครไหมคุณ”

   “เราไม่หาหรอก” ผมเป่าลมร้อนใส่มืออันเย็นชืดของเขา “เราจะไม่หาใครแล้วทั้งนั้น”

   “ดีจัง” เขาพูด แล้วนิ่วหน้าแรงอีกหน ทันใดนั้นที่ผมรู้สึกว่าตาของธีร์หรี่เล็กลงมากขึ้นเรื่อยๆ เสียงหอบหายใจที่เคยรุนแรงก็แผ่วลงอย่างน่าตกใจ ผมเขย่ามือเขาเพื่อเรียกสติ แต่ปฏิกิริยาตอบสนองของธีร์กำลังเหลือน้อยลงไปทุกที

   “พี่จุ๊บ...เรารู้สึกเหมือนจะไม่ไหว” เขากระซิบ

   “อย่าเพิ่งหลับ” ผมบอกเสียงสั่นเพราะเขาทำท่าจะหมดสติ “อยู่กับเราก่อน”

   “...”

   “ธีร์”

   “ยังอยู่” เขาบีบมือผม ทว่าหลับตาแน่น “อย่าร้องไห้ไง ไม่เห็นแต่ยังได้ยินนะ”
   
   ผมพยายามเม้มริมฝีปากไว้เพื่อให้เสียงสะอื้นดังลอดออกไปน้อยที่สุด แต่มันทำได้ยากเหลือเกิน

   “ไหนสัญญากับเราแล้วไงว่าจะรักษารอยยิ้มของคนที่เรารัก”

   ผมหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา “เรายิ้มอยู่”

   “ดีแล้ว...”


   “...”


   “...”


   “ธีร์...”


   “...”



   “...ธีร์!!!”



   ผมเขย่ามือเรียกสติเขาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่มีแรงบีบกลับ ธีร์นอนนิ่งไปโดยไม่มีการตอบสนอง ผมพยายามเงี่ยหูฟังเสียงลมหายใจของเขาที่รวยรินลงในทุกวินาที แนบหูฟังเสียงเต้นของหัวใจตรงอกข้างซ้ายของเขาที่แผ่วเบาลง...จนกระทั่งเงียบสนิท

   ถ้าชีวิตจริงจะเป็นยิ่งกว่าละคร นี่คือส่วนของคำว่ายิ่งกว่านั้น

   ไม่มีสัญญาณล่วงหน้า ไม่มีคำล่ำลายืดยาว ไม่มีการต่อเวลาให้พูดบทน้ำเน่าหลายชั่วโมง

   นี่คือตอนที่ผมเสียธีร์ ดำรงเดชไป



TBC*

ขอบคุณคนที่ติดตามอ่านมาตลอดเลย อัพๆ หยุดๆ เดินทางมายาวนานเหลือเกินสำหรับ #จุ๊บที
อัพครั้งต่อไปจะอัพจนจบเลยนะคะ
ถึงตอนนี้อย่าด่าเราเยอะ รับรองว่า มันจะไปไกลเกินกว่าที่คุณคิด 5555555

ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
ตัวแม่*

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Piima

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 660
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
แงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง ม่ายอาววว

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
เด่วๆ คืนไร บ้าบอ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ fahdekkom

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ไม่นะธีร์ต้องไม่เป้นอะไรนะ

ออฟไลน์ Zestful

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
โอยยยย จรัยยยย

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
อ๊ากกกกกค้างงงง ใครก็ได้ช่วยธีร์ด้วย คุณแม่พี่จุ๊บไงมีพลังย้อนเวลาไม่ใช่เหรอ หรือว่าไม่ทีพ่อพี่จุ๊บแล้วทำไม่ได้ ไม่น้าาาา

ออฟไลน์ สาว801

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
เดี๋ยวสิ มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ

ออฟไลน์ ดาวลูกไก่

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ธีร์ กลับมาก๊อนนนน ลูกกกก อย่าเป็นอะไรนะ อย่าทิ้งพี่จุ้บ โฟกัสโว้ยย เกลียดจัง ธีร์จะไม่ตายใช่มั้ยคะ ฮือออ

ออฟไลน์ ตัวแม่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-1
    • เพจตัวแม่



จูบที่ยี่สิบแปด

   ความทรงจำหลังจากนั้นของผมออกจะขาดตอน

   จำได้ว่าร้องไห้จนหายใจไม่ทัน พลางตะโกนไม่ยอมรับความจริงแข่งกับเสียงลมฟ้า รับรู้ได้ถึงความฉ่ำแฉะของสายฝนด้านบน แต่ตัวเองก็ยังนั่งกอดร่างเขาอยู่ตรงนั้น

   จำได้ว่ามีคนมาพาเขาไป อาจจะเป็นเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาล หรือไม่ก็บอดี้การ์ด ในระหว่างนั้นแม่ของเขาที่พุ่งเข้ามาทำร้ายร่างกายผม ตะโกนกลางสายฝนว่าผมทำอะไรให้ลูกเขาเป็นแบบนี้ แต่ผมไม่ได้รู้สึกอะไรจากการกระทำของเธออีกแล้ว เหมือนวิญญาณมันหลุดลอยไป สิ่งที่ทำคือการยื้อร่างเขาไว้จนหลุดมือ

   แล้วภาพก็ตัด รู้ตัวอีกทีผมก็ตื่นขึ้นมาในห้องของตัวเองในเวลาห้าทุ่มกว่า เสื้อผ้าถูกเปลี่ยนกลายเป็นเสื้อผ้าแห้งสนิท ความคิดแรกต่อสิ่งที่เกิดขึ้นคือคิดว่าฝัน

   จนเห็นข่าวที่หมอของโรงพยาบาลออกมายืนยันว่าธีร์ ดำรงเดชเสียชีวิตแล้วจริงๆ สาเหตุจากการที่เขาเสียเลือดมากเพราะโดนยิงโดนจุดสำคัญบริเวณช่องท้อง

   วินาทีนั้นความรู้สึกเหมือนกระชากหัวใจออกจากอกก็กลับมาอีกครั้ง

   “จุ๊บควาย มึงนี่มันควายจริงๆ!!!”

   ผมนั่งฟูมฟายโทษตัวเองอยู่ที่พื้นห้อง แหลกลาญ แตกสลาย ไม่สนใจเสียงเคาะประตูอย่างร้อนใจของแม่และคนอื่นๆ ที่เป็นห่วง ทันใดนั้นประตูก็ถูกเปิดออกด้วยกุญแจสำรองที่พวกเขามี ผู้ใหญ่คงคิดว่าผมจะทำอะไรบ้าๆ อย่างการทำร้ายตัวเองเพราะการตายของธีร์

   แม่เป็นคนแรกที่เข้ามาถึงตัวผม เธอพยุงตัวผมขึ้นมานั่งบนเตียง ท่ามกลางการมุงของสมาชิกคนอื่นในครอบครัว

   “จุ๊บ ได้ยินแม่ไหม” แม่ถามเหมือนผมไม่ได้อยู่ตรงนั้น อาจเพราะแววตาของผมมันดูตายด้านและล่องลอย “จุ๊บ ฟังแม่นะ แม่รู้ว่าเธอรู้สึกยังไงตอนนี้ แม่เคยผ่านมันมาแล้ว แต่ตอนนี้จุ๊บต้องมากับแม่ก่อน”

   แม่ปาดน้ำตาออกจากแก้มผม และดึงตัวผมออกจากห้องไปทางห้องครัว

   “มีคนรอเจอเธออยู่”



   แม่พาผมไปที่ห้องใต้บันได ถ้านับเฉพาะความเป็นจริง นี่คือครั้งที่สองที่ผมได้เข้ามาในนี้กับแม่ และเป็นครั้งแรกที่สมาชิกในครอบครัวทุกคนเข้ามาด้วยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา แม้แต่คนที่ไม่ประสีประสาเรื่องพลังวิเศษอย่างจีบซึ่งเอาแต่ถามพ่อแม่ตัวเองว่าทำไมไม่มีใครเคยบอกเกี่ยวกับห้องลับในบ้านมาก่อนเลย เหมือนผมตอนเข้ามารอบแรกเด๊ะ

   เราผ่านประตูกล เดินบนทางลาดแคบๆ ที่มีดวงไฟสีส้มติดพอให้มองเห็นพื้น กลิ่นไม้เก่าและกลิ่นหอมประหลาดยังคงมาทักทายจมูกของเราเหมือนครั้งก่อน ห้องใต้บันไดกว้างดูแคบลงเมื่อทุกคนในบ้านเข้ามาในนี้ มันยังคงมีโซฟาสีแดงตั้งติดอยู่กับตู้กระจกสนิมจับ มีนาฬิกาหลากหลายแบบนับพันเรือนติดอยู่กับผนังโดยรอบ ทว่ามีหลายอย่างที่แตกต่างออกไปเช่นกัน

   อย่างแรกคือนาฬิกานับพันเรือนในห้องหยุดเดินพร้อมกัน...เหมือนกับภาพในฝันของผม ทุกเรือนหยุดไว้ที่เวลาห้าทุ่มครึ่ง
   ต่อมาคือโพรงกลางห้อง เดิมทีมันเป็นโพรงที่ถูกกรอบด้วยอิฐสีส้มและมีรูปของตาทิศกับยายหอมอยู่ด้านบน กลางโพรงที่เคยเป็นปูนเปลือยกลับกลายเป็นโพรงลึกซึ่งมีม่านควันปริศนาลอยวนอยู่

   อย่างสุดท้าย สองคนในรูปเหนือโพรงนั้นอยู่ในห้องกับเราตอนนี้

   ยายหอมอยู่ในเสื้อคอกระเช้าสีชมพูบานเย็น ท่อนล่างเป็นผ้าซิ่นสีน้ำตาลอ่อนฉลุลายสวย ในปากยังคงเคี้ยวหมากแดงหนุบหนับ ยายยืนอยู่หลังโซฟาข้างตาทิศที่อยู่ในชุดสีขาวล้วนอย่างกับเทวดา เขายังไว้หนวดจิ๋มเหนือริมฝีปาก สีหน้าเคร่งแบบเดียวกับในรูปทุกกระเบียด

   “แม่!? พ่อ!!? ผะ..ผีล้อกกกกกกกกกกกกกกกกก” ป้าเด้าร้องเสียงดังทำเอาผมตกใจไปด้วย เธอทำท่าจะวิ่งกลับขึ้นไปบนห้องครัวแต่ลุงโรเบิร์ตคว้าคอเธอไว้ซะก่อน

   ยายหอมถุยหมากลงกับพื้น เดินเข้าไปหาป้าเด้าที่ยกมือไหว้ปลกๆ อยู่หลังสามีตัวเอง ทุกคนก็ดูอึ้งปนกลัวไม่แพ้กันยกเว้นแม่ผมที่ดูจะรู้เรื่องอยู่แล้ว(ได้ไง?)

   ใครเห็นคนที่ตายไปแล้วเป็นสิบปีที่คิดว่าผีกันทั้งนั้นล่ะวะ

   “ผีเหรอ” ยายแจกมะเหงกใส่หัวลูกสาวคนโตของตัวเอง “นี่ ผีมันทำอย่างนี้ได้ไหม ตอบข้าซิอีเด้า”

   “โอ๊ย” ป้าเด้ายกมือลูบหัวที่ฟูไปด้วยเส้นผมตัวเอง อ้าปากหวอเพราะงุนงงเต็มที

   “แม่...ยังไม่ตายเหรอ” ลุงพร่ำพึมพำถามด้วยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ ยายหอมหันไปเหล่ตาใส่

   “ถ้าข้าตายข้าจะมายืนคุยกับเอ็งตรงนี้ได้ไงนายพร่ำ”

   ทุกคนยังดูไม่เชื่อ ผลัดกันเข้าไปจับตัวยายหอมเพื่อเช็คว่ายังมีเนื้อหนัง จนยายหอมแว้ดขึ้นมาอีกรอบตามประสาคนเป็นใหญ่ที่สุดในบ้านวิเศษกาล

   “ข้ายังไม่ตายโว้ยยยยยย”

   แล้วทุกคนก็เชื่อทันที เสียงคำรามของแกยืนยันว่านี่แหละยายตัวจริงเสียงจริง

   “หอม อย่าลืมเวลา” ตาทิศเตือนให้ยายหอมนึกขึ้นได้ขณะลูกหลานทุกคนเข้าไปไหว้ไปกอด แล้วยายก็เรียกชื่อผมออกมา

   “จุ๊บ” แกมองหาจนเจอผม กวักมือให้เข้าไปหา “เวลากำลังจะหมดแล้ว เราต้องรีบ”

   ยายจับมือผมแน่น ขณะที่ผมขมวดคิ้วงงเพราะไม่เข้าใจสิ่งที่เธอพูดเลย

   “เอ็งต้องไปช่วยคู่ชีวิตของตัวเอง”

   “อะไรนะครับ?”

   “ธีร์ไง เอ็งช่วยชีวิตธีร์ได้”

   ห้าทุ่มสามสิบนาที เรื่องมหัศจรรย์ของผมเริ่มต้นขึ้นในห้องใต้บันได





(ต่อด้านล่าง)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ตัวแม่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-1
    • เพจตัวแม่
(ต่อจากด้านบน)

   คู่กันแล้วมันแคล้วกันยาก แต่ถ้ามันมีเหตุให้แคล้วกันจริงๆ ยายจะรออยู่ที่ห้องใต้บันได

   ผมเข้าใจประโยคที่ยายพูดไว้ในฝันอย่างแจ่มแจ้งก็ตอนนี้

   หลังทุกคนหายจากอาการอึ้งกิมกี่ ยายหอมกับตาทิศก็เรียกสมาชิกในครอบครัวมานั่งล้อมวงกันตรงโซฟา แกเริ่มเล่าความลับของตัวเองและตระกูลวิเศษกาลให้ฟัง

   เรารู้กันดีว่ายายหอมกับตาทิศเป็นต้นตระกูลของวิเศษกาล พวกเขาสองคนเป็นต้นสายของการมีพลังควบคุมเวลาจากการ ‘แสดงความรัก’ รูปแบบต่างๆ แต่สิ่งที่เราไม่รู้คือจริงๆ แล้วตาทิศต้นตระกูลเราคนนี้เป็นเจ้าแห่งกาลเวลา ทำหน้าที่ควบคุมดูแลมิติเวลาในโลก

   ตาทิศบอกเราว่า การแสดงความรักของเรามันมีพลังที่ซ่อนอยู่มากกว่านั้น

   “นอกจากพลังปกติที่เอ็งทำได้กันอยู่แล้ว เรามีอีกพลังหนึ่ง...ข้าไม่รู้จะพูดยังไงให้ดี...ทุกคนชุบชีวิตของคู่ตัวเองได้”

   “หาาาา” สองถึงสามคนในกลุ่มลูกหลานส่งเสียงนี้ออกมา

   “แต่ต้องเป็นในกรณีพิเศษมากๆ อย่างกรณีของไอ้จุ๊บ” ตาทิศพูดบ้าง

   “ยังไงเหรอพ่อ” ป้าแก้วถาม

   “พลังนี้ไม่ได้ช่วยรักษาโรค มันแค่ช่วยให้คนที่ตายไปแล้วฟื้นขึ้นมาเท่านั้น ที่สำคัญ ไม่มีใครในครอบครัวเราที่เคยทำได้มาก่อน”

    มีแค่สองคนในครอบครัวของเราที่จากไป คือยายหอม และพ่อของผม ตาทิศเล่าว่าตอนยายหอมป่วยด้วยโรคชรา...ครั้งสุดท้ายที่ผมได้เห็นยายเมื่อสิบปีก่อน ทั้งตาทิศและยายหอมต่างรู้ว่ายายหอมจะต้องโบกมือลาโลกใบนี้ เพราะอย่างนั้นตาทิศจึงฉวยโอกาสหอมแก้มก่อนที่ยายจะหมดลมหายใจ และขโมยตัวยายหอมไปไว้ในมิติเหนือกาลเวลา

   ในมิตินั้นที่โรคภัยและความชราไม่สามารถทำอะไรยายหอมได้ ยายหอมสามารถอยู่กับตาทิศได้ตลอดกาล แต่ยายหอมจะไม่สามารถกลับมายังมิติเวลาปัจจุบันที่เราทุกคนอยู่ได้ เพราะอายุขัยในโลกนี้ของยายหมดไปแล้ว

   “พูดตรงๆ ก็คือข้าไม่มีกายหยาบ ถ้ากลับมาในโลกที่พวกเอ็งอยู่ ข้าจะหายไปตลอดกาล”

   “แล้วทำไม...แม่ถึงมาอยู่ในห้องนี้ได้ล่ะ” ป้าเด้าถาม

   “พ่อแกทำห้องนี้ให้เวลาหาเราไม่เจอ” ตาทิศจำลองห้องนี้ให้เสมือนอยู่ในมิติที่เหนือกาลเวลา...นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมนาฬิกาทุกเรือนในห้องหยุดเดินพร้อมกันหมด “แต่ข้าก็มีเวลาจำกัดแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้นแหละ”

   “แม่หมายความว่า...อยู่ในมิติเหนือกาลเวลา แม่ก็จะเป็นอมตะเหรอ?” ลุงพร่ำซัก ยายหอมพยักหน้า แล้วพูดต่อว่า “ข้าท่องไปได้ทุกมิติที่กาลเวลาเข้าไม่ถึง อย่างความฝัน หรือมิติที่มันซ้อนกับโลกที่เอ็งอยู่ ข้าแค่ติดต่อกับเอ็งไม่ได้เท่านั้น” นั่นอธิบายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในฝันของผม

   “ข้ากับทิศเห็นอดีต ปัจจุบัน อนาคต รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นตอนไหน แต่ก็ไม่ได้แปลว่าสิ่งที่เห็นมันจะแม่นยำทั้งหมดหรอก ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ตลอด พวกเอ็งเคยได้ยินเรื่องกรวยแห่งกาลเวลาไหม?”

   “อะไรนะคะ ฆวยแห่งกาลเวลา” ...ป้าเด้า

   “หูตึงอย่างเดียวไม่ได้นะเนี่ย จิตใจต้องหยาบโลนด้วย”

   “แม่อะ!” ป้าเด้าหวีดแล้วเงียบไป ผมที่เครียดๆ อยู่เกือบหลุดขำ

   “กรวยแห่งกาลเวลา...สิ่งต่างๆ เป็นไปได้เสมอตามการกระทำของเรา ถ้าเราทำสิ่งนี้ ผลลัพธ์ก็จะได้อย่างหนึ่ง แต่ถ้าเราไม่ทำ ผลลัพธ์ก็จะกลายเป็นอีกอย่างหนึ่ง” แม่โอบอธิบาย

   “ถูกต้อง” ตาทิศยืนยัน “การชุบชีวิตที่พูดถึงก็ใช้หลักการเดียวกัน”

   “มันคือการแสดงความรักครั้งสุดท้ายหลังจากคู่ของเราตายไปแล้ว” ยายหอมเสริม “แต่อย่างที่ข้าบอก มันไม่ใช่การรักษาโรค ตอนตาทิศช่วยข้าไว้มันก็ไม่ใช่การชุบชีวิต เพราะตาทิศทำก่อนที่ข้าจะหมดลมหายใจ หรือตอนที่...”

   “...ตอนที่พ่อผมเสีย” ผมพูด “พ่อรู้ว่ายังไงพ่อก็ต้องตาย ถึงแม่ชุบชีวิตขึ้นมายังไงมะเร็งก็ยังอยู่ในตัวพ่อของผม”

   ยายกับแม่พยักหน้าให้ แม่หันมาพูดต่อว่า “แต่ไม่เหมือนกับกรณีของธีร์นะจุ๊บ”

   “...”

   “ธีร์ยังมีโอกาสรอดเพราะมันเป็นอุบัติเหตุ เขาตายเพราะถึงมือหมอช้าไป”

   “เอ็งยังมีโอกาสช่วยชีวิตคู่ของตัวเอง” ยายหอมบอก “แต่มันอาจจะต้องแลกกับอะไรบางอย่าง”

   “อะไรเหรอครับ” ผมถาม ยายมองผมกลับด้วยสีหน้าจริงจัง

   “หลังจากเขาฟื้นแล้ว พวกเอ็งสองคนจะใช้พลังจากการจูบไม่ได้อีกต่อไป”

   “เหมือนเอาพลังที่เป็นครึ่งหนึ่งของชีวิตเอ็งไปแลก” ตาทิศพูด “เพื่อให้เขากลับมามีชีวิต เอ็งต้องยอมเสียสละครึ่งหนึ่งของชีวิตตัวเอง”

   “อะไรมันจะต้องเสียสละเบอร์นี้วะ” ป้าเด้าแหว “ขนลุกเลยเนี่ย”

   “ขนลุกกับพลังของรักแท้?”

   “เปล่า ปวดขี้”

   ผมขนลุก ไม่ใช่เพราะปวดขี้แบบป้าเด้า แต่เพราะรู้ว่าตัวเองมีโอกาสจะช่วยให้ธีร์กลับมามีชีวิตอีกครั้ง

   ใจหนึ่งท่วมท้นกับความเป็นไปได้ที่จะได้ช่วยเขา แต่ใจหนึ่งเกิดคำถามว่า...ถ้าครั้งนี้ผมทำมันพังอีกล่ะ

   “จำที่เราเคยคุยกันได้ไหม” แม่คงเห็นสีหน้าไปไม่เป็นของผมจึงจับไหล่ผมแน่น แล้วพูดเรียกสติ

   “เธอมีความรัก เธอต้องปกป้องความรักของตัวเองไว้ เพราะไม่มีใครทำแบบนั้นได้นอกจากเธอแล้ว”

   “...”

   “นี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้ทำแบบนั้นแล้วนะจุ๊บ”

   “และเอ็งต้องรีบหน่อย เพราะเวลาของคนตายไม่คอยเรานะ” ยายบอก “และถ้าเอ็งอยากช่วยเขาจริงๆ เอ็งต้องทำก่อนเวลาของวันใหม่จะมาถึง”

   “นั่นคือก่อนเที่ยงคืนเหรอครับ?” ผมถาม แล้วยายก็พยักหน้า ผมเงยหน้าขึ้นเวลาบนนาฬิกาแล้วหัวใจหล่นวูบ

   ผมมีเวลาแค่ครึ่งชั่วโมง

   “จุ๊บ...” แม่เรียกผม พยักหน้าเพื่อบอกว่าตอนนี้แหละ ผมคิดหนักไปครู่หนึ่ง สูดหายใจลึกหลังจากตัดสินใจได้

   เอาวะ เป็นไงเป็นกัน

   “ผมจะไปช่วยธีร์” ผมประกาศกับสมาชิกในครอบครัว “แต่ผมคงต้องขอความช่วยเหลือจากทุกคน”



(ต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ ตัวแม่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-1
    • เพจตัวแม่
(ต่อจากด้านบน)

   ผมอธิบายแผนการที่คิดไว้ในหัวให้ทุกคนฟัง ประเมินจากสถานการณ์ตอนนี้...ร่างของธีร์ยังอยู่ที่โรงพยาบาลใจกลางเมืองอยู่ ซึ่งผมไม่รู้ว่าอยู่จุดไหนของโรงพยาบาล ผมว่ามันคงดีถ้าเรามีคนแว้บไปสอดแนมที่โรงพยาบาลก่อน และมีการยืดเวลาออกไปให้ผมมีเวลาพอที่จะเข้าถึงตัวเขา

   เพราะฉะนั้นผมจึงขอความช่วยเหลือจากลุงโรเบิร์ตและป้าเด้าให้ท่องเวลาไปดูสถานการณ์ตอนที่ธีร์ถึงมือหมอเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว สืบดูว่าอยู่ห้องไหน และขอลุงพร่ำและป้าแก้วให้ช่วยแชร์พลังยื้อเวลาให้ผมเพิ่มสักสองชั่วโมงเพื่อให้ได้มีเวลาเดินทางไปช่วยทัน

   “ไม่ได้” คำเดียวของยายทำเอาแผนการของผมพังครืน “เวลาของคนตายจะยืดออกไม่ได้เหมือนของเรา มันนับถอยหลังไปเรื่อยๆ แล้วจะหมดตอนเที่ยงคืนหนึ่งนาทีเท่านั้น”

   ปวดหัว จะทำยังไงให้ทันดีวะเนี่ยยยย

   “งั้นให้พี่เด้าท่องเวลาไปตอนธีร์โดนยิงแล้วช่วยเขาดีไหม” ลุงพร่ำบอก

   “ไม่ได้ เพราะพี่ทำได้แค่ท่องเวลาไปสังเกตการณ์เฉยๆ เปลี่ยนแปลงอะไรในอดีตไม่ได้” ป้าเด้าตอบ

   “แล้วถ้าหาก...เราทุกคนไปโรงพยาบาลพร้อมกันแล้วช่วยกันหาล่ะ” แม่เสนอ “ถ้าพี่เด้ากับพี่โรเบิร์ตแชร์พลังให้เราทุกคนให้ไปโรงพยาบาลพร้อมกัน ณ เวลานี้เลย แล้วไปช่วยกันหาที่นู่น ก็น่าจะทันหรือเปล่า”

   ทุกคนมองหน้ากันและคิดตาม พิจารณาแล้วว่าก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดจริงๆ

   เราตัดสินใจทำตามคำแนะนำของแม่ทันที ทุกคนทยอยกอดบอกลายายหอมกับตาทิศและขึ้นไปข้างบนทีละคน จนเหลือผมเป็นคนสุดท้าย

   “รักแท้จะช่วยเราเสมอในเวลาที่เราต้องการมันที่สุด” ยายบอก แล้วก้มลงหอมหน้าผากผมเบาๆ “ทำให้สำเร็จ ข้าจะดูอยู่เสมอ และถ้าช่วยได้ข้าก็จะทำ”

   “ถ้ายายไม่บอกจุ๊บคงไม่มีวันได้ทำ ขอบคุณครับยาย”

   ผมยกมือไหว้ตากับยาย มองภาพของทั้งคู่เดินกลับเข้าไปในโพรงที่มีม่านควันกำบังอยู่ด้วยใจหวิวไหว...ทำไมมันให้ความรู้สึกเหมือนผมจะได้เจอท่านเป็นครั้งสุดท้ายยังไงก็ไม่รู้

   ทันทีที่ทั้งคู่หายไป นาฬิกาในห้องทุกเรือนก็กลับมาเดิน

   ผมมีเวลาครึ่งชั่วโมง แค่ครึ่งชั่วโมงที่จะช่วยชีวิตธีร์ ดำรงเดช



   “ไม่อยากเชื่อเลยว่าชีวิตนี้ฉันจะได้มาเห็นอะไรอย่างนี้” แม่โอบโอดครวญ

   “แม่ หนูกลัวววว ทำไมหนูต้องมาทำแบบนี้ทั้งๆ ที่ไม่รู้เรื่องอะไรที่ยายพูดเลยสักนิด” ตามมาด้วยเสียงแจ๊ดแจ๋ของจีบ ได้ยินแล้วก็ผมสงสารน้อง จีบอยากช่วยผมแม้ว่าจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย

   “เดี๋ยวแม่เล่าให้ฟังทีหลัง แต่ตอนนี้ขอปิดตาก่อน กลัวๆๆ” ป้าแป้งบอกจีบ

   “เงียบเถอะน่า พวกเธอก็ผ่านอะไรแบบนี้มาแล้วทั้งนั้น ฉันกับรอเบิร์ตต้องเป็นฝ่ายอายหรือเปล่ายะ”

   ป้าเด้าเอ็ด ตอนนี้เราทุกคนอยู่ในห้องครัว กำลังเอื้อมมือแตะตัวเธอกับลุงโรเบิร์ตเพราะทั้งคู่กำลังจะแชร์พลังแห่งการท่องเวลามาให้ทุกคน ด้วยเวลาที่จำกัด เราตกลงว่าจะเดินทางด้วยวิธีนี้กัน

   ติดแต่ว่าเราต้องมาทนเห็นป้ากับลุงจึ๊กกะดึ๋ยกัน ง่ะ

   “อะ ไม่บอกจะถอดละนะนะ ถอดหัวใจออกมาดู” ป้าเด้าร้องเพลงออกมาราวกับอารมณ์ดีเหลือเกิน

   “ป้า หยุดร้องเพลงเถอะแล้วรีบทำเถอะครับ” ผมกลัวววว กลัวป้านี่แหละ

   “จุ๊บ นี่ฉันช่วยเธออยู่นะ” ป้าเด้าแหว “รีบก็ได้ โรเบิร์ต มา”

   ผมปิดตา และมั่นใจว่าทุกคนก็ปิดตาเหมือนกัน นิ้วผมจิกอยู่ที่แขนป้าเด้าเหมือนจิกผีถ้วยแก้ว สักพักเธอก็ขยับนิดนึงและตะโกนออกมาว่า “โรงพยาบาลธนเวช ตอนนี้!”

   เกิดเสียงวิ้งขึ้นในหูผม วินาทีต่อมาผมก็มาโผล่ที่หน้าห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล

   “แง้”

   “อะไรอีกไอ้จีบ” ป้าแก้วถาม

   “ลุงโรเบิร์ตไม่ยอมรูดซิปซะที”

   ผมส่ายหัวหน่าย ปล่อยมือจากป้าเด้าและดิ่งตรงเข้าไปในโรงพยาบาล ทุกคนตามผมมาจากด้านหลัง ยกเว้นป้าเด้ากับลุงโรเบิร์ตที่บอกว่าจะย้อนเวลากลับไปดูว่าก่อนหน้านี้ร่างของธีร์ถูกเข็นไปไว้ที่ห้องไหน

   แต่พอเข้ามาด้านใน ผมก็ต้องเจอกับกลุ่มแฟนคลับธีร์ราวยี่สิบคนที่ยังรวมตัวกันอยู่ตรงโซนนั่งรอรับยาด้านล่าง แต่ละคนมีดวงตาที่ดูรู้ว่าผ่านการร้องไห้อย่างหนัก บางคนก็ยังร้องอยู่จนถึงตอนนี้ ถึงจะเป็นแฟนคลับกลุ่มที่ไม่ใหญ่เท่าไร แต่ผมว่าจะขอผ่านคงยาก

   “มึง นั่นมันคนในรูปนี่” แฟนคลับคนหนึ่งสังเกตเห็นผมแล้วสะกิดให้คนอื่นดูตาม

   “มีคนบอกว่าเขาอยู่ในเหตุการณ์ตอนที่พี่ธีร์ตาย”

   “ใช่ๆ”

   “ฆาตกร!” ทันใดนั้นมีคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา พาให้คนที่เหลือลุกฮือขึ้นอย่างกับกองกำลังพิทักษ์ธีร์ ดำรงเดช

   ผมก้าวถอยหลัง จีบเห็นท่าไม่ดีเลยเดินเข้ามากำบังผมไว้ เธอพยายามใช้น้ำเย็นเข้าลูบ

   “เราชื่อจีบ เป็นแฟนคลับธีร์เหมือนกัน จำเราได้ไหมเราไปทุกงานเลย” ลูกพี่ลูกน้องตัวเล็กพยายามเกลี้ยกล่อม “เราแค่ขอผ่านทางไปเฉยๆ ใครรู้บ้างว่าตอนนี้พี่เขาอยู่ที่ไหน เราอยากมาส่งพี่เขาเป็นครั้งสุดท้าย”

   “จะไปไหน!”

   “ไม่ให้ไป!”

   “แค่นี้ยังทำร้ายพี่ธีร์ไม่พออีกเหรอ!”

   แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล แฟนคลับของธีร์เริ่มหาสิ่งของรอบข้างแล้วเขวี้ยงมาทางเราแล้ว   เราเหล่าวิเศษกาลวิ่งหาที่กำบัง
   “พอเถอะค่ะ!” เสียงหนึ่งดังขึ้น แล้วเอิงเอย นางเอกคู่บุญของธีร์และน้องคณะของผมก็วิ่งเข้ามาในวง การปรากฏตัวของเธอหยุดทุกการกระทำ “เอิงขอนะคะ พอได้แล้ว”

   เอิงเอยหยิบเปลือกกล้วยลูกหลงบนหัวของตัวเองออก เป็นท่าหยิบเปลือกกล้วยออกจากหัวที่สวยที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น

   “พวกพี่ๆ น้องๆ คิดว่าธีร์จะสบายใจเหรอคะถ้ามาเห็นภาพนี้ ธีร์จะดีใจเหรอคะที่ได้เห็นคนที่เขารักทำร้ายกันเอง”ทุกคนถึงกับกริบ “ความรักมันก็คือความรัก ความรักของธีร์กับพี่ผู้ชายคนนี้ก็เหมือนความรักของแฟนคลับกับธีร์ ก็เหมือนความรักที่มนุษย์กับมนุษย์นั่นแหละค่ะ...”

   แล้วเอิงเอยก็เริ่มร้องไห้และพร่ำเกี่ยวกับความดีของพระเอกดัง ทำให้แฟนคลับธีร์ต่างเดินเข้ามาโอ๋ ผมอยากเข้าไปหาเธอเหมือนกัน แต่เอิงเอยส่งสัญญาณมือที่บอกให้รีบไปเสียก่อน

   ผมกับทุกคนย่องกันมาจนถึงลิฟต์ และถึงกับต้องผงะเมื่อลิฟต์เปิดออกมาเป็นพี่บุ๊ค ผู้จัดการร่างอ้วนซึ่งวันนี้อยู่ในชุดไทยอย่างเคย

   ใบหน้าของพี่บุ๊คเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบของมาสคาร่าซึ่งน่าจะผ่านการร้องไห้มาเหมือนกัน ฝั่งนั้นดูตกใจที่เห็นเรา

   แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร เสียงของป้าเด้ากับลุงโรเบิร์ตที่โผล่มาด้านหลังก็ดังขึ้นซะก่อน

   “ชานฮกๆ” ลุงโรเบิร์ตวิ่งตามเรามาแบบหอบๆ เห็นได้ชัดว่าเพิ่งโผล่มาจากอดีตกันมา

   “แก๊ อยู่ชั้นหก” อ๋อ ป้าเด้าพูดก็เข้าใจละ “ธีร์อยู่ในห้องชันสูตรชั้นหก”

   ผมอ้าปากหวอ พี่บุ๊คที่อยู่ในลิฟต์ก็เช่นกัน

   “พวกแกจะทำอะไรน่ะ” พี่ผู้จัดการพูดเสียงดัง

   “อ้าว แล้วกะเทยอ้วนนี่ใคร หน้าคุ้นๆ” ป้าเด้าสันนิษฐาน “เฮ้ย นี่มันผู้จัดการธีร์นี่ ที่รักความเป็นไทยแล้วชอบด่าดาราใส่สั้นอะ”

   “ก็มันน่าเกลียด” พี่บุ๊คโวย จากนั้นก็กลับเข้าเรื่อง “ตะ...ตกลงแกจะไปทำอะไรธีร์”

   “พวกเธอขึ้นลิฟต์อีกตัวไปเลย เดี๋ยวยัยนี่ป้ากับโรเบิร์ตจัดการเอง” ป้าเด้าบอกผม แล้วพุ่งเข้าไปปิดปากพี่บุ๊คที่ทำท่าจะวิ่งออกมาขัดขวางเรา ผมกับคนอื่นรีบเข้าไปลิฟต์อีกตัวและกดชั้นหก ประโยคสุดท้ายที่ผมได้ยินป้าเด้าคุยกับพี่บุ๊คคือ “เกลียดดาราใส่สั้นนักเหรอ ดูนี่หน่อยสิจ๊ะ”

   ไม่อยากจินตนาการเลยว่าเกิดอะไรขึ้นในลิฟต์ตัวนั้น

   ผมก้มมองเวลาข้อมืออย่างร้อนใจ ตอนนี้ห้าสิบนาทีแล้ว...ผมเหลือเวลาอีกแค่สิบนาทีในการช่วยเขาให้รอดจากความตาย
 
   “ใจเย็น...เราจะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน”

   แม่จับมือที่สั่นเครือของผมแน่นเพื่อให้ความมั่นใจ จังหวะเดียวกันนั้นประตูลิฟต์เปิดออก   

   พิมพ์ผกา ดำรงเดชยืนอยู่ตรงหน้าเรา




ออฟไลน์ ตัวแม่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-1
    • เพจตัวแม่




จูบที่ยี่สิบเก้า


   แม่ของธีร์เบิกตาโตทันทีที่เห็นหน้าผม ด้านหลังเธอมีบอดี้การ์ดร่างใหญ่อยู่สองคน ถัดออกไปคือผู้ชายตัวสูงเครายาวอีกคนที่ผมไม่เคยเจอมาก่อน แต่คุ้นหน้าเหลือเกิน

   “แกกล้ามาที่นี่ได้ยังไง”

   เธอเฉดทันทีที่ผมเดินออกจากลิฟต์ เพราะครั้งสุดท้ายที่เราเจอกันเธอก็ตะโกนกร้าวใส่ผมว่าเป็นคนทำให้ธีร์ตาย

   ผมแอบเห็นป้ายห้องชันสูตรศพอยู่รำไร ย้ายสายตามาจับจ้องใบหน้าสวยหวานของเธอ ตัดสินใจยกมือขอดีๆ

   “ไม่ว่าคุณอาจะเชื่อผมหรือไม่เชื่อ แต่ผมสามารถทำให้ธีร์ฟื้นขึ้นมาได้ ครั้งนี้ผมขอจริงๆ ครับ” ผมบอกกับเธอตามตรง

   คุณต่ายแค่นหัวเราะ “เธอเสียสติไปแล้วหรือไง รู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมา”

   “ผมขอแค่เข้าไปในห้องชันสูตร หนึ่งนาทีก็ได้ครับ เวลาผมเหลือน้อยแล้ว”

   “ไม่ดะ...หยุดนะ!”

   ผมรู้อยู่แล้วว่าเธอจะปฏิเสธแน่นอน จึงออกตัววิ่งจากตรงนั้นดิ่งเข้าไปหาห้องชันสูตร ทันใดนั้นความชุลมุนก็บังเกิดขึ้น แม่ของธีร์สั่งบอดี้การ์ดให้เข้ามาจับตัวผมไว้ ขณะที่สมาชิกในครอบครัวคนอื่นก็พยายามสกัดพวกเขาไม่ให้ถึงตัวผมให้ได้

   “พี่จุ๊บ วิ่ง! โอ๊ย!” ขาของผมชะงักทันทีเมื่อได้ยินเสียงร้องของจีบ เธอพยายามเข้าไปขวางทางบอดี้การ์ดแต่โดนปัดให้พ้นทางอย่างง่ายดาย

   “ไม่ต้องห่วง วิ่งไป!” แล้วลุงพร่ำก็เข้าไปสู้ต่อ แต่ชายผอมแห้งตัวคนเดียวหรือจะสู้คนร่างบึ้กถึงสองคน ไม่นานลุงพร่ำก็ล้มลงกับพื้น

   ผลัวะ!

   แล้วจู่ๆ หมัดของใครคนหนึ่งก็ซัดบอดี้การ์ดคนนั้นจนเซ

   “แกทำผัวฉัน” ป้าแก้วพูดเสียงเย็น “และลูกฉัน!” แล้วแกก็เตะกลางหว่างขาอีกรอบจนบอดี้การ์ดคนนั้นล้มทั้งยืน

   เหยดดดดดดด ป้าแก้วทำได้ไงวะเนี่ยยย

   “ฉันเป็นลูกสาวเจ้าของค่ายมวยโว้ยยยย”

   หญิงร่างผอมบางบอกแล้วหันไปจัดการกับบอดี้การ์ดอีกคนอย่างคล่องแคล่ว ผมนี่แทบจะปรบมือให้เลย แต่ไม่มีเวลาไง้

   ขาก้าววิ่งต่อ ป้ายห้องชันสูตรอยู่ห่างออกไปไม่ถึงสิบเมตร แม่ของธีร์เห็นท่าไม่ดีจึงวิ่งตามผมมาเอง ในขณะที่ผู้ชายเครายาวข้างหลังนิ่งเฉย “คุณมัวทำอะไรอยู่ รีบมาช่วยกันสิ” พิมพ์ผกา ดำรงเดชตะโกนใส่ชายคนนั้น หากเขาแค่มองตรงมาที่ผมอย่างเห็นใจ ส่ายหัวและตอบภรรยาตัวเองแบบปลงๆ

   “ขัดขวางเขาตอนเป็นแล้วอย่าไปขัดขวางเขาตอนตายอีกเลย เด็กมันรักกัน คนที่เสียคนรักไปเขาก็ต้องเสียใจไม่ต่างจากเราหรอก ให้เขาเข้าไปเถอะ”

   ผมจำเขาได้แล้ว เขาเป็นอดีตช่างภาพดังชื่ออำมาตย์ ดำรงเดช...พ่อของธีร์

   “ฝันเถอะ” เธอวิ่งเข้ามาอย่างปราดเปรียวจนเกือบถึงตัวผม แต่จู่ๆ ก็ล้มลงกระแทกกับพื้น...เป็นภาพที่หาดูยากสำหรับคนทั่วไปมากเลยนะ ต่าย พิมพ์ผกาล้มหน้าฟาดเนี่ย

   “เธอนั่นแหละฝัน” หญิงร่างท้วมคนที่สกัดขาเธอพูดด้วยเสียงเย็บเยียบ แล้วแม่ของผมก็ทิ้งตัวลงนั่งทับในทันที “ข้ามศพฉันไปก่อนเถอะ แต่คงยากหน่อย เพราะตอนนี้ฉันข้ามเธออยู่”

   คุณต่ายดิ้นไม่หลุด ทำได้เพียงกรีดร้องเสียงแหลมออกมาอย่างไม่ห่วงภาพพจน์นางเอกอีกต่อไป เธอหมดฤทธิ์ในที่สุด

   “ไปจุ๊บ ไปช่วยผัวให้ได้ ช่วยไม่ได้จะขึ้นคานตลอดชีวิตนะ ไป๊!!!”

   แม่ตะโกนให้กำลังใจ (?) เมื่อผมวิ่งมาถึงหน้าห้อง รู้สึกถึงหัวใจที่เต้นตึกรุนแรงเหมือนจะหลุดออกมาจากอก ผมก้มมองนาฬิกาอีกครั้งและพบว่าตอนนี้ห้าทุ่มห้าสิบเจ็ด...ผมเหลือสามนาที...


   สามนาที


   ผมเป่าลมออกจากปากเหมือนนักมวยกำลังจะขึ้นสังเวียน บิดลูกประตูและเข้าไปในห้องชันสูตร ซึ่งเป็นห้องโล่งกว้างที่มีเพียงเตียงเหล็กตั้งอยู่ตรงกลาง บนเตียงนั้นมีร่างของเขาที่คลุมด้วยผ้าสีเขียวเข้มผืนยาวไว้




(ต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ ตัวแม่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-1
    • เพจตัวแม่
(ต่อจากด้านบน)

   อากาศเย็นผิดปกติ บรรยากาศในห้องเงียบสงัดจนได้ยินเสียงรองเท้าของผมกระทบกับพื้นก้องกังวานไปทั่วห้อง ระหว่างนั้นเองภาพวันเก่าๆ ของเราสองคนถูกฉายขึ้นมาในหัวผม ราวกับมีคนกรอเล่นความทรงจำระหว่างเราในทุกย่างก้าวที่ผมเข้าใกล้


   “ขอถ่ายรูปคู่ด้วยได้ไหม”

   วันสุดท้ายของการใช้ชีวิตม.ปลายของผม วันนั้นเราคุยกันครั้งแรก


   
   “ชื่อไรครับ”

   “ธีร์ครับ”

   “ธีร์ ดำรงเดชเหรอ”


   แล้วโลกก็เหวี่ยงเขากลับมาหาผมอีกครั้งหลังเวลาผ่านไปหนึ่งปี แถมยังอัพสกิลการเข้าถึงยากด้วยการเป็นดาราระดับซูเปอร์สตาร์ของเมืองไทย



   “ชื่อจริงชื่อจุมพิตเหรอ?”

   “ใช่ แปลกปะ”

   “เจ๋งออก ฟังดู...น่ารักด้วย”


   ด้วยความเป็นดาราดังเนี่ยแหละ เลยไม่คิดว่าจะจีบไง


   “ถึง...คนที่เขียนถามพี่จุ๊บว่ามีแฟนหรือยังเมื่อเช้า”

   “...”

   “อย่ายุ่ง...ของกู”


   จะคิดว่าจีบจริงจังก็ตอนเนี้ย



   “แต่จะว่าไป...นิเทศก็มีสิ่งที่เราชอบนะ”

   แล้วก็ตอนเนี้ย



   “น่านะ…จูบกับเรามันก็ไม่แย่นักหรอกมั้ง”

   รู้ตัวอีกทีก็เสียจูบเฉย อะไรวะเนี่ย



   “แต่เทียบความกลัวกับความชอบแล้ว ความชอบมันมีมากกว่า”

   ยังจำประโยคที่เคยบอกไว้ตอนวันเฟรชชี่ไนท์ที่สครับบ์มาเล่นคอนเสิร์ตได้ พอๆ กับจำจูบกลิ่นบุหรี่ในวันนั้น และจำการตั้งใจหยุดเวลาครั้งแรกของเรา



   “จะให้เราพูดอีกกี่รอบก็ได้ เราชอบพี่จุ๊บ เราชอบพี่จุ๊บ เราชอบพี่จุ๊บ”

   วันที่เราไปนั่งเปลือยใจกันบทชิงช้าสวรรค์เก่าๆ ในสวนสนุกร้าง ก็จำได้ว่าวันนั้นธีร์บอกมันชัดเจนกว่าครั้งไหน



   “ผมชอบลูกชายคุณอามาก และผมจะไม่ทำเขาเสียใจอีกแล้วครับ ผมสัญญา”

   ไม่เคยลืมคำที่เคยพูดไว้กับพ่อของเราในวันที่เราตกลงเป็นแฟนกัน ทรงพลังอย่างกับมาสู่ขอ



   “เพราะเราจะอยู่กับพี่จุ๊บนี่แหละ ไม่ว่าจะดีหรือแย่”

   คำสัญญาที่ให้กันไว้



   “ดูแลรอยยิ้มของคนที่เรารักด้วย”

   และคำสัญญาที่ผมให้เขา



   “แต่เรารักปราสาทที่นายช่วยกันสร้างมากไง ปกป้องมันไว้ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย”

   รวมทั้งความสัมพันธ์ของเราที่เขาพยายามจะรักษามันไว้สุดกำลัง แต่ผมทำพังในวันต่อมา



   “ทำไมยังเป็นเรา...ทั้งๆ ที่เราเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง”


   “เพราะพี่จุ๊บมีจูบวิเศษ”



   เพราะทุกเรื่องราวของเราคือส่วนที่มีค่าที่สุดในชีวิตของผม...ไม่ว่าเรื่องราวนั้นจะดีหรือแย่
   เพราะเขาคือส่วนหนึ่งของผม
   วันนี้ผมจะใช้จูบวิเศษที่เป็นส่วนหนึ่งของตัวเองทำให้เขากลับมามีชีวิต



   ผมเปิดผ้าคลุมศพสีเขียว เผยให้เห็นใบหน้าของธีร์ที่ซีดเซียวกว่าปกติ กระนั้นเขาก็ยังไม่เหมือนคนที่ไร้ลมหายใจ...เขาเหมือนคนที่หลับไปมากกว่า

   “ตื่นนะธีร์” ผมก้มลงกระซิบข้างหูเขา “ตื่นมาฟังคำขอโทษของเรา ตื่นมาบอกรักเรา ตื่นมาฟังเราบอกรัก เราจะบอกธีร์ทุกวันเลย”

   ผมใช้มือลูบผิวหน้าเย็นจัดของเขา เตรียมตัวก้มลงเพื่อประกบริมฝีปาก...

   ผลัวะ!


(ต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ ตัวแม่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-1
    • เพจตัวแม่
(ต่อจากด้านบน)

   “นี่ไงคะ มีคนบุกรุกห้องชันสูตรจริงๆ” โฟกัสปรากฏตัวหลังประตูบ้านนั้น มาพร้อมกับทีมแพทย์และพยาบาลหลายคนที่มันคงจะไปแจ้งว่าผมกับคนในครอบครัวบุกขึ้นมาที่นี่ นอกจากพวกเขาแล้วยังมีร.ป.ภ.ที่แออัดกันอยู่หน้าห้อง รวมไปถึงแม่ของธีร์ บอดี้การ์ด และสมาชิกในครอบครัวของผมที่ส่งเสียงเชียร์ให้จูบแข่งกับเสียงห้ามของพวกเขา

   โอย ให้มันได้อย่างนี้สิวะ

   “น้อง ก้าวถอยหลังออกห่างจากศพเดี๋ยวนี้” ร.ป.ภ.ยกปืนขึ้นมาขู่ ผมเหล่มองนาฬิกา ตอนนี้เวลาห้าทุ่มห้าสิบเก้านาทีสามสิบสี่วินาที

   ผมเหลือเวลาอีกไม่กี่วินาทีเท่านั้น

   “น้อง! พี่บอกให้ก้าวถอยหลังออกจากศพ เดี๋ยวนี้!” ร.ป.ภ.ก้าวเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว ขายาวของเขาอีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงตัวผม เวลาเดินถอยหลังมากขึ้น...

   แล้ววินาทีที่ไม่มีใครคาดคิด เกิดเสียงระเบิดประหลาดขึ้นในห้อง มันเป็นเสียงระเบิดเบาๆ คล้ายเราเป่าหมากฝรั่งจนแตก

   “จุ๊บ จูบเลย ตอนนี้!” แล้วร่างของยายหอมก็ปรากฏตัวขึ้นในอากาศ สร้างความเหวอแดกให้กับทุกคนที่กำลังกรูกันเข้ามาในห้องจนต้องหยุดชะงัก รวมทั้งผม

   “จูบ!”

   ผมมองยายหอมด้วยความระทึก เคลื่อนสายตาไปมองครอบครัวที่ร้องเย้วๆ กันใหญ่ และย้ายไปสบตากับแววตาอันเกรี้ยวกราดของอดีตเพื่อนสนิทที่เป็นคนฆ่าธีร์กับมือ

   สิบวินาทีสุดท้าย

   “จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่” ผมพูดกับฝูงชน เจาะจงไปยังโฟกัส เห็นความไม่ยอมรับยังฉายชัดอยู่ในดวงตาคู่นั้น “แต่ความจริงจะเป็นความจริงเสมอ”

   ห้าวินาทีสุดท้าย

   “ผมนี่แหละคู่ชีวิตของธีร์ ดำรงเดช”

   เวลาเที่ยงคืนตรง ผมประกบริมฝีปากลงบนปากของธีร์...จูบครั้งนี้แนบแน่นยิ่งกว่าครั้งไหนๆ



   

   ความเงียบกลืนกินเราในฉับพลัน

   ผมค่อยๆ ลืมตา ใบหน้าของธีร์ยังแนบชิดอยู่กับหน้าผม เขาหลับตาแน่น และก็ยังไม่มีเสียงลมหายใจ

   ผมถอนจูบออก สังเกตว่าทุกสิ่งรอบตัวตอนนี้อยู่ในสภาวะของการหยุดเวลาอีกครั้ง ทีมร.ป.ภ.กับแพทย์ยังคงสีหน้าเหวอไว้ ทีมกองเชียร์ด้านหลังยังอ้าปากค้าง แม่ของธีร์กับโฟกัสเบิกตาโต และตำแหน่งที่ยายหอมเคยปรากฏตัวกลับกลายเป็นความว่างเปล่า เหลือไว้แค่ฝุ่นผงบนพื้นห้อง

   ผมเศร้า ยิ่งเศร้าเข้าไปใหญ่เมื่อรู้ว่าธีร์ยังไม่หายใจ         

   ลองเขย่าตัวเขา แนบหูฟังเสียงหัวใจเต้นอยู่หลายวินาที แต่ทำยังไงเขาก็ยังไม่ฟื้นกลับมา

   “ธีร์...” น้ำตารื้นขึ้นอีกครั้งตอนหนุนอกกว้าง หรือที่ผมทำไปมันไม่...

   “เว้ย!”

   “แว้กกกกกกก!!!”

   จู่ๆ ธีร์ก็กระเด้งตัวขึ้นมาแล้วหอบหายใจแรง ทำให้ผมตกใจจนกระเด้งตามเขา คนเป็นดาราลืมตาโพลง สองมือจับๆ คลำๆ ไปที่ช่วงท้อง สักพักก็นิ่วหน้าออกมา

   เขาฟื้น!

   “พี่จุ๊บ...” เขาเรียกผมตะกุกตะกัก พ่นลมหายใจแรงราวกับไม่ได้หายใจมานานแสนนาน (ที่จริงเขาก็เป็นแบบนั้น) “เราโดนยิง...เราโดนยิง...”

   การพึมพำของเขาทำให้ผมหัวเราะทั้งน้ำตา “ใช่ ตายด้วย”

   “เราตายแล้วเหรอ” ธีร์จับหน้าตัวเอง ชี้มาที่ผม “พี่จุ๊บก็ตายด้วยเหรอ แล้วนี่อะไรเนี่ย” ดาราหนุ่มพยักเพยิดไปทางกลุ่มคนแข็งกระด้างที่กระจุกกันอยู่ตรงประตู “นี่เวลาหยุดเหรอ...โอ๊ป”

   ผมไม่ตอบอะไรแต่พุ่งเข้ากอดเขาเต็มแรง งื้อ คิดถึงจังไอ้ผิวหลอดไฟ

   “พี่จุ๊บ...ไรเนี่ย...”

   “เรานึกว่าเราจะเสียธีร์ไปแล้ว” ผมพูดกับเขา พยายามกลั้นความตื้นตันที่มาในรูปแบบน้ำตาสุดพลัง...ก็ไม่อยากให้เขาด่าว่าขี้แยอีกนี่หว่า “เรากลัวว่าจะไม่ได้บอก เรารัก-โคตรรรรรักธีร์เลย”

   ธีร์ดูทึ่งที่จู่ๆ ผมก็กอดและบอกรักอย่างบ้าคลั่ง แต่ไม่นานเขาก็โอบแขนรอบตัวผมบ้าง เรากอดกันจนหนำใจผมก็เริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดตั้งแต่เขาโดนยิงให้ฟัง

   “หมายความว่าเราจะไม่มีพลังอีกแล้วเหรอ”

   “ไม่มีแล้ว”

   “แล้วช่วยชีวิตแบบนี้ก็ทำได้รอบเดียว ถ้าตายรอบหน้านี่ก็แย่แล้วดิ”

   “คราวหน้าก็อย่าทะเล่อทะล่าเข้าไปแย่งปืนใครอีกสิ”

   “โห่ พูดแบบนี้ได้ไง เรายอมตายแทนพี่จุ๊บนะตอนนั้นอะ”

   “ก็รู้ไง” ผมบอก “...ถึงไม่อยากให้ทำอีก”

   ธีร์ยิ้มล้อ “ร้องไห้ขี้มูกโป่งเลยอะดี๊”

   “โคตร” ผมยอมรับความจริงกับเขา “ขอโทษที่ทำทุกอย่างพังก่อนหน้านี้ และไม่อยากพูดแบบนี้หรอก แต่ขอบคุณ...”

   “...”

   “ที่ช่วยชีวิตเรา”

   “เราไม่เคยโกรธ ส่วนเรื่องช่วยชีวิต...เป็นพี่จุ๊บก็ต้องทำเหมือนกัน” ธีร์พูด “เออ จริงๆ ก็เพิ่งทำไปนี่หว่า” เขาเสมองกลุ่มคนที่นิ่งค้างใกล้ตัว “สรุปว่าต่อไปนี้เราจะไม่เจอภาพแบบนี้อีกแล้วใช่ไหม”

   “เศร้าเหรอ”

   “รู้สึกดีต่างหาก” เขาบอก “ต่อไปเราจะไม่ต้องจูบหยุดเวลาเพื่อหนีจากคนพวกนี้อีกแล้ว”

   “ฮื่อ...”

   “จูบเราจะได้เป็นจูบธรรมดาเหมือนชาวบ้านเขาสักที”

   ผมกับเขาหัวเราะขณะมองภาพรอบตัวเหล่านั้น แล้วก็ปล่อยให้ความเงียบครอบคลุมอยู่หลายวินาที

   “ถ้าเราหยุดเวลาไม่ได้ ธีร์ว่าเรื่องของเรามันจะยากขึ้นกว่านี้ไหม” ผมละสายตาจากคนอื่นแล้วหันมองหน้าเขา ธีร์ทำท่านึกคิด แล้วยักไหล่

   “น่าจะงั้น” เขาย่นริมฝีปาก “เราว่ามันคงมีทั้งยากทั้งง่าย แต่ไม่ว่าจะเป็นไง เราจะหาทางออกด้วยกัน โอเคไหม”

   ผมยิ้มค่อย “...โอเค”

   เราคิดหาวิธีที่ทำให้เวลากลับมาเดินอีกครั้ง แล้วตระหนักว่ามันคงเป็นวิธีไหนไปไม่ได้นอกจากการจูบกัน จูบที่ทำให้ผมกับธีร์กลับสู่เวลาของโลกความจริงส่งแสงสีส้มเรืองรองออกมาในบริเวณปากเรา เป็นจูบวิเศษครั้งสุดท้ายที่ให้ความรู้สึกลึกซึ้งและสดใหม่ราวกับจูบแรก

   หรืออาจเพราะมันเป็นจูบแรกจริงๆ ของเรา

   จูบแรกที่ไร้ความคาดหวัง จูบแรกที่กล้าบ้าบิ่น จูบแรกที่ได้เป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่



   จูบ เพื่อแสดงความรักที่มีต่อกัน แค่นั้นจริงๆ




ออฟไลน์ ตัวแม่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-1
    • เพจตัวแม่


จูบสุดท้าย


   เพียงแค่จูบเดียว ทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง   


   หลังธีร์กลับมาจากความตาย มันก็สร้างความช็อคระดับใหญ่หลวงให้กับทีมแพทย์ ร.ป.ภ. แฟนคลับ ร่วมถึงประชาชนทั่วฟ้าเมืองไทย แต่ใครก็ช็อคได้ไม่เท่าคุณต่าย-พิมพ์ผกา ดำรงเดช แม่ของเขาที่เห็นจูบชุบชีวิตนั้นต่อหน้าต่อตา

   เมื่อธีร์ตื่นขึ้นมา เขาได้รับการรักษาเพิ่มเติมจากมือแพทย์จนกระทั่งปลอดภัย การมีชีวิตอีกครั้งของเขาเป็นเรื่องที่เล่าจากปากก็ไม่มีใครเชื่อ แต่หลักฐานมันจำนนอยู่ทนโท่ ทันทีที่เรื่องนี้แพร่ออกไปมีกระแสจวกรุนแรงจากประชาชน ที่จวกทั้งสื่อมวลชน ทั้งพี่บุ๊ค ทั้งแม่ของธีร์ว่ากุเรื่องธีร์ตายทั้งหมดขึ้นเพื่อกลบกระแสข่าวเกย์

   จวกไปถึงทางโรงพยาบาลว่าร่วมมือเมคเรื่องโกหกทั้งหมด จนคนข้างในต้องแอบปล่อยคลิปในห้องชันสูตรออกมาเพื่อยืนยัน แต่ก็ยังไม่วายโดนจวกว่าเป็นเซตอัพทั้งเพ


   แต่คนที่โดนจวกหนักที่สุดเห็นทีจะเป็นเขา ซึ่งตั้งแต่ฟื้นจากความตายก็ดูไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านกับกระแสสังคมรอบตัวทั้งนั้น

   “เวรกรรมมันแค่วนกลับมาเฉยๆ” ธีร์บอก จุดมุ่งหมายเดียวของเขาคือการคุยกับแม่ให้รู้เรื่องว่าตัวเองไม่ต้องการชื่อเสียงหรือชีวิตแบบเดิมอีกแล้ว

   ธีร์ ดำรงเดชคนเดิมตายไปแล้ว

   ผมอยู่ในเหตุการณ์ตอนที่ธีร์คุยกับแม่ มันเป็นสถานการณ์บีบคั้นหัวใจพอสมควร แม้เธอจะเห็นกับตาว่าผมทำให้ธีร์ฟื้นคืนชีพเพื่อพิสูจน์คำว่าคู่ชีวิตได้ แต่ปณิธานเรื่องการงานและการขัดขวางความรักของผมกับธีร์ก็ยังอยู่

   ธีร์พยายามใช้น้ำเย็นเข้าลูบ เขาดูควบคุมสติตัวเองได้มากกว่าแม่ของเขา แต่ผมก็เข้าใจเธอเหมือนกัน เพราะนี่อาจจะเป็นการโต้เถียงจากธีร์ครั้งแรกตั้งแต่เขาเกิดมา

   “ถ้าแกพูดออกไป แกจะทำลายชีวิตแม่ทันที อยากเป็นอย่างนั้นหรือเปล่าล่ะ”

   “แต่ถ้าผมไม่พูดอะไร ผมก็จะไม่ได้ใช้ชีวิตตัวเองสักที ผมไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นเหมือนกันครับ”

   ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครยอมใคร พิมพ์ผกา ดำรงเดชสาดคำดุด่าใส่เขากระหน่ำ แตกต่างที่ตอนนี้ธีร์ไม่อยู่ฟังแล้ว เขาแค่เก็บของที่จำเป็นออกจากบ้าน ท่ามกลางเสียงตะโกนกร้าวจากผู้เป็นแม่ว่าเขาเป็นลูกเนรคุณ

   ธีร์ย้ายมาอยู่ที่บ้านผมชั่วคราว ส่วนผมก็เป็นเจ้าบ้านและแฟนที่ดีพอที่จะให้เขาแชร์ห้องนอนด้วย วันแรกที่ธีร์ย้ายเข้ามาอยู่ คนในครอบครัวผมยังคงเศร้ากับการจากไปของยายผู้สละชีวิตตัวเองเพื่อให้ผมช่วยชีวิตธีร์ไว้ทัน หลังจากเก็บอัฐิยายที่หลงเหลืออยู่ในห้องชันสูตรเข้าโกฐเรียบร้อย ทุกคนก็อยู่ในอาการเศร้าปนปลง แต่ก็ยังใจดีมากพอที่จะจัดปาร์ตี้ยินดีต้อนรับธีร์เข้าสู่บ้านวิเศษกาล

   “ยินดีต้อนรับสู่ครอบครัวที่ประหลาดที่สุดในโลก” ผมบอกกับเขาแบบปลงๆ

   “ลูกจะอยู่นานเท่าที่ลูกอยากอยู่ แม่ไปซื้อเตียงเข้าห้องจุ๊บใหม่ก็ได้ จะได้ทำอะไรกันสะดวก” แม่ผมเสนออย่างน่าตี แถมยังเรียกธีร์ว่า ‘ลูก’ อย่างสนิทสนม เชื่อเขาเลยครับ เลี้ยงผมมายี่สิบปีเรียกผมว่า ‘เธอ’ แต่เรียกธีร์ว่า ‘ลูก’ เนี่ยนะ ความน่าเอ็นดูมันต่างกันขนาดนั้นเลยหรือไงฟะ

   “ไอ้จุ๊บเว่อร์ ไม่ได้ประหลาดขนาดนั้นซะหน่อย” ป้าเด้าได้ยินที่ผมพูดจึงรีบแก้ แกแปะป้ายฟิวเจอร์บอร์ดที่เขียนชื่องานปาร์ตี้ติดกับฝาบ้าน ก่อนจะไปคร่ำครวญกับคาราโอเกะของแกต่อไป

   บนฟิวเจอร์บอร์ดเขียนว่า ‘สุขสันต์วันฟื้นคืนชีพ’


   ครับป้าเด้า...ไม่ประหลาดเลยคร้าบ



(ต่อด้านล่าง)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-02-2018 09:29:29 โดย ตัวแม่ »

ออฟไลน์ ตัวแม่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-1
    • เพจตัวแม่
(ต่อจากด้านบน)

   สองวันหลังจากย้ายเข้ามาอยู่ ธีร์ตัดสินใจว่าถ้าไม่มีใครจัดแถลงข่าวให้ ก็จะแถลงข่าวด้วยตัวเอง โดยเขาอาศัยความช่วยเหลือจากแฟนคลับที่ใกล้ตัวที่สุด...ไอ้จีบผู้เป็นหนึ่งในแอดมินเพจ Thee Dumrongdech Official นั่นเอง

   และทันทีที่ปล่อยคลิปแถลงข่าวออกไป...


   ช็อคทั้งวงการ! ธีร์ ดำรงเดชรับว่าชอบผู้ชาย!

   ย้ำ-ไม่คิดลาออกจากวงการ แค่อยากไปทำสิ่งที่ตัวเองชอบ



   พาดหัวข่าวนี้แตกเป็นหัวข้อข่าวบนเว็บคลิกเบทหลักร้อย แต่ละหัวข้อก็มีคนเข้าอ่านหลักล้าน แถมยังถูกแชร์อยู่บนหน้าฟีดทุกวันซ้ำกันนานเกือบหนึ่งเดือน ทั้งที่ใจความในข่าวก็ไม่มีอะไรมาก แค่เอาคลิปแถลงการณ์ที่ธีร์ปล่อยเองมาแปะ และถอดคำพูดของเขาจากคลิปนั้นเป็นตัวหนังสือ


   ‘สวัสดีครับทุกคน ผมธีร์ ดำรงเดชเองนะครับ

   ปกติไม่ค่อยได้เล่นเฟซบุ๊กเท่าไหร่ ยิ่งมาพูดในเพจแบบนี้ก็ไม่เคยเหมือนกัน

   แต่วันนี้ผมจำเป็นจริงๆ ที่ต้องออกมาพูดถึงบางประเด็นที่หลายคนอาจเข้าใจผิดกัน

   อยากจะเขียน แต่กลัวทุกคนคิดว่าผมไม่ได้เขียนเอง เลยอัดเป็นคลิปมาให้ดูแล้วกัน

   จากที่เคยมีภาพหลุดของผมกับผู้ชายอีกคน แล้วมีข่าวออกมาว่าผมชอบผู้ชาย

   เพื่อให้เข้าใจตรงกัน ผมจะยืนยันกับทุกคนตรงนี้ว่าทุกอย่าง ‘เป็นเรื่องจริง’ ครับ

   ผมมีแฟนเป็นผู้ชายคนหนึ่งคนนอกวงการ

   และผมภูมิใจมากๆ ที่จะพูดว่าผมเป็นแฟนเขา



   ผมรู้ว่าดาราไทยไม่ค่อยออกมาพูดแบบนี้กันบ่อย แทบจะไม่มีเลย

   และผมก็รู้ด้วยว่ามารยาทของดาราทั่วไปเวลาทำอะไรผิดจะต้องขอโทษที่ทำให้ผิดหวัง

   ผมรู้ว่าอาจจะมีแฟนคลับบางคนผิดหวัง

   แต่ผมจะไม่ขอโทษอะไรทั้งนั้น

   ผมจะไม่ขอโทษเพราะความชอบของตัวเองที่ไม่ได้ผิดอะไรเลย

   ผมเข้าใจถ้าบางคนจะเกลียดผมเพราะสิ่งที่ผมเป็น

   แต่ผมก็ไม่อยากให้คุณรักในสิ่งที่ผมไม่ได้เป็นมาตลอดเหมือนกัน



   เพราะนี่ไม่ใช่การเลือกผู้ชายแทนที่จะเลือกผู้หญิง

   แต่ผมเลือกความชอบของตัวเองมากกว่าความชอบของคนอื่น


   
   ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าหลังจากโพสต์คลิปนี้ไป อนาคตในวงการผมจะเป็นยังไง

   ผมเองอยากหันไปเรียนอะไรที่ตัวเองสนใจจริงๆ เหมือนกัน

   ยังไงก็ตาม ผมขอบคุณสำหรับความรักที่พวกคุณทุกคนมีให้ และผมจะดีใจถ้าคุณยังมีให้ต่อจากนี้

   เพราะต่อไปคงไม่มีธีร์ ดำรงเดชที่ตอบคำถามสื่อด้วยคำตอบเดิมๆ หรือทำเป็นคุยสนุกกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ

   คงไม่มีธีร์ที่เต้นเก่ง พูดชัด หรือเป็นแบบอย่างที่สมบูรณ์แบบของเยาวชน

   เหลือแต่ธีร์ที่เป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ที่จะทำสิ่งที่อยากทำ รักคนที่อยากรัก

   ถ้าหากคุณไม่โอเคกับผมแบบนั้น ก็ไม่เป็นไรเหมือนกันครับ



   ขอบคุณที่ดูมาถึงตรงนี้

   อ้อ ถ้าทำได้ผมอยากให้ทุกคนงดการซักถามแม่ คนใกล้ตัว และผู้จัดการของผมเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยครับ

   พวกเขาไม่เกี่ยวอะไรด้วย นี่คือการตัดสินใจของผมเอง

   ขอบคุณครับ’



   จนแล้วจนรอด ธีร์ก็ยังเป็นคนดีมากพอที่จะปกป้องแม่และคนที่ได้น่าจะได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้

   หลังจากคลิปถูกปล่อยออกไป ความนิยมจากแฟนคลับเก่าของธีร์ลดลงมาเกือบครึ่ง แต่ครึ่งหนึ่งนั้นก็ถูกแทนที่ด้วยประชาชนคนหน้ามืดที่งมงายเรื่องธีร์ตายแล้วฟื้น แฟนคลับกลุ่มใหม่เหล่านี้ถึงกับมาออที่หน้าบ้านผมเพื่อมาขอหวยจาก ‘คนตายแล้วฟื้น’ จนโดนป้าเด้าไล่ตะเพิดไปหลายรอบ

   ตลกดีเหมือนกันที่ไม่กี่วันก่อนเรายังโดนด่าเรื่องจูบในวัดจนเกิดอาเพศ แต่ไม่กี่วันต่อมาคนก็แห่มาสรรเสริญเพราะปาฏิหาริย์

   สถานการณ์ตอนนี้จะพูดว่าธีร์ออกจากวงการแล้วทำได้ไม่เต็มปาก เขากลายเป็นคนที่เดินถนนก็มีแต่คนรู้จัก แต่ก็ไม่มีผลงานใดๆ ออกมา


   ใช้คำว่าลาพักอาชีพนักแสดงคงเหมาะสมที่สุดล่ะมั้ง


(ต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ ตัวแม่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-1
    • เพจตัวแม่
(ต่อจากด้านบน)

   สองอาทิตย์หลังจากเปิดตัวว่าชอบผู้ชาย ผมกับธีร์ก็มีโอกาสเดินทางไปในทัณฑสถานหญิงย่านชานเมือง เป็นสถานที่ที่ผมไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้มา แต่ผมต้องมา เพียงเพราะอยากคุยกับเธอ

   ...เพื่อนที่ผมเคยสนิทที่สุดตั้งแต่ม.ปลาย

   โฟกัสโดนเรียกหมายจับจากคำให้การของธีร์ เธอหนีหายไปได้หลังเขาฟื้น แต่ด้วยความร่วมมือของแฟนคลับเดนตาย(คนที่ยังหลงเหลือ)ของพระเอกหนุ่ม พวกเขาช่วยตำรวจหาตัวโฟกัสจนเจอเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา พร้อมกับของกลางคือปืนที่ใช้ก่อเหตุ

   โฟกัสถูกดำเนินคดีข้อหาพยายามฆ่าและถูกส่งตัวมารับโทษทันที นอกจากนี้ ตำรวจยังสอบปากคำเธอจนพบความจริงเชื่อมไปถึงคดียิงคู่เกย์พ่อเลี้ยงกับคู่ขาเมื่อหลายปีก่อน โฟกัสสารภาพว่าเป็นคนลงมือเอง แต่ตอนนั้นแม่แท้ๆ อาสารับผิดแทน

   บางทีแม่โฟกัสอาจผิดที่สอนโฟกัสให้คิดเกลียดชายรักชายเข้าไส้

   บางทีพ่อเลี้ยงโฟกัสอาจผิดที่แต่งงานกับแม่เธอเพื่อบังหน้า เพราะไม่กล้าเปิดเผยตัวว่าชอบผู้ชาย

   หรือบางทีอาจไม่มีใครผิดเลย แต่ค่านิยมทางเพศต่างหากที่ผิด เพราะมันสอนให้เรามองรสนิยมที่แตกต่างว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาด

   อยู่ที่นี่โฟกัสถูกบำบัดจิตไปพร้อมกับการบำเพ็ญประโยชน์ เอาแต่ร้องไห้เมื่อเห็นผมกับธีร์เข้ามาเยี่ยม เธอพูดกับเรานับคำได้ ในดวงตาแดงก่ำมีความทุกข์ทรมานฉายชัดตลอดเวลา

   น้ำตาของเธอแทนความรู้สึกผิดได้เป็นอย่างดี

   “มึงยังเป็นเพื่อนกูอยู่นะกัส” ผมกุมมือเพื่อนอย่างให้กำลังใจ แต่เธอชักมือกลับ

   “พวกมึงกลับไปเถอะ แล้วอย่ากลับมาอีก กูขอร้อง”

   “กูให้อภัยมึงนะโฟกัส...เราให้อภัยมึง”

    ผมทำได้เพียงบอกเธอแบบนั้น และปลีกตัวออกมาจากทัณฑสถานด้วยความรู้สึกห่อเหี่ยว

   “แย่เหมือนกันเนอะ” ธีร์เปรย

   “แย่ดิ แต่เราเนี่ยแหละแย่กว่า” ผมพูดกับเขา “อยู่ด้วยกันมาหลายปี แต่เราไม่รู้จักเขาเลย เขาแม่งเป็นเพื่อนที่ดีมากด้วยอะ เสียดายที่การเป็นเพื่อนมันพังลงแค่เพราะเราชอบธีร์” ผมพ่นลมหายใจ ธีร์บีบไหล่ผมอย่างให้กำลังใจ

   “เสียดายที่ความไม่รักมันทำลายความรักป่นปี้หมดเลย”

   “วันนึงเขาปล่อยทุกอย่างได้ วันนั้นเขาคงมีความสุขเองมั้ง”

   “อือ เราอยากให้ถึงวันนั้นเร็วๆ”



   พอเราขับรถกลับมาถึงบ้าน ผมก็เจอกับผู้หญิงร่างสูงในชุดเดรสสีขาวมายืนด้อมๆ มองๆ อยู่หน้าประตูบ้านของเรา ตอนแรกผมนึกว่าเป็นพวกงมงายที่มาขอหวยจากธีร์อีกครั้ง

   แต่พอเพ่งดูดีๆ แล้ว ผู้หญิงคนนั้นคือ...ต่าย พิมพ์ผกา

   เห็นสีหน้าลำบากใจของเขาแล้วผมจึงอาสาลงจากรถไปเจรจาแทน ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าเธอจะมาก่อสงครามยกใหม่หรือเปล่า แต่ดูทรงแล้วไม่น่าใช่   

   แม่ของธีร์ดู...เปลี่ยนไป เธอปล่อยผมเผ้าให้รุงรังและสวมเสื้อผ้าที่ไม่ได้เพอร์เฟ็กต์ทุกกระเบียดนิ้วอย่างเคย แถมยังมีสีหน้าดีใจมากๆ ที่เห็นผม แต่พอมองเลยผ่านผมไปเห็นธีร์ที่นั่งรออยู่ในรถด้านหลังก็ทำหน้าจ๋อย

   ผมยกมือไหว้เธอ นางเอกละครในตำนานปากสั่นผ่าวเหมือนมีหลายอย่างในใจที่อยากพูดกับผมเหลือเกิน

   แต่ยังไม่ทันทำอะไรเธอก็ปล่อยโฮออกมา ปล่อยแบบโฮตัวสั่นจนผมเหวอ

   “ฉันรู้ว่าลูกไม่อยากคุยกับฉัน แต่เธอช่วยฉันหน่อยได้ไหม” เธอพึมพำออกมาท่ามกลางน้ำตาที่ไหลพรากๆ “ฉันจะไม่ขัดขวางพวกเธออีก ฉันจะไม่ให้ให้เขาทำอะไรที่ไม่อยากทำแล้วทั้งนั้น...ฉันแค่อยากให้เขากลับบ้าน”

   น้ำตาของเธอทำให้ผมใจอ่อน แต่ผมก็รู้อยู่ในอกว่านี่คือสิ่งที่ควรทำ จึงเข้าไปเกลี้ยกล่อมธีร์ให้คุยกับแม่ตัวเองได้ในที่สุด

   ภาพทั้งคู่กอดกันด้วยการยอมรับทำให้รู้สึกว่าตัวเองคิดถูก

   ผมมั่นใจว่าทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไปในทางที่ดี




(ต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ ตัวแม่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-1
    • เพจตัวแม่
(ต่อจากด้านบน)

   วันคืนผันเวียน ฤดูกาลเปลี่ยนผ่าน ในที่สุดก็เข้าสู่ช่วงเปิดเทอมใหม่เสียที ผมกลายเป็นนักศึกษานิเทศศาสตร์ปีสามผู้โชคดี(หรือร้าย)เพราะไปไหนก็มีแต่คนซุบซิบในฐานะแฟนหนุ่มที่ทำให้ธีร์ ดำรงเดชประกาศลาวงการ

   ส่วนตัวต้นเรื่องอย่างเขา...อดีตคนที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในคณะเราเมื่อปีที่แล้ว...กลายเป็นนักศึกษาปีหนึ่งอีกครั้งที่สถาบันเดิม เพิ่มเติมคือได้เรียนในคณะที่เขาใฝ่ฝันอย่างสถาปัตยกรรมศาสตร์ จากการสนับสนุนของครอบครัวของเขาเอง

   มีแฟนเป็นเด็ก’ถาปัตย์ เอาไปอวดแล้วเท่สัด แต่ผมไม่อวดหรอก อิๆ

   “จุ๊บ มาหาแม่แป๊บนึงสิ”

   คืนก่อนเปิดเทอมที่ผมกำลังวิดีโอคอลกับธีร์อยู่และเตรียมตัวจะนอน (เขายอมกลับไปอยู่บ้านของตัวเองแล้ว แต่บางวันก็แอบแว้บมาอยู่กับผมบ้าง) จู่ๆ แม่ก็เรียกผมให้ตามไปที่ห้องโถง ตอนแรกนึกว่าจะตามมาให้นวดไหล่แป้นแล้นเล่น แต่แม่สุดที่เลิฟกลับยื่นซองจดหมายบางอย่างมาให้ผม

   “อั่งเปาเหรอครับ”

   “อั่งเปาบ้านเธอซองสีน้ำตาลเหรอจ๊ะ”

   ผมหัวเราะ รับซองจดหมายนั้นมาถือ มันจ่าหน้าซองด้วยลายมือไทยโบราณว่า ‘จุ๊บ’

   “วันนี้แม่เพิ่งได้มีโอกาสไปทำความสะอาดห้องใต้บันได แล้วเจอนี่” แม่บอก “แม่ไม่รู้ว่ายายทิ้งไว้ตอนไหน อาจจะเป็นวันที่เราพากันไปช่วยธีร์ หลังจากเราขึ้นจากห้องนั้นกันหมดแล้ว”

   ผมแกะซองออกดู ในนั้นมีกระดาษสีน้ำตาลอ่อนขนาดเกือบเท่าเอสี่เหน็บไว้อยู่ ผมปิดฉับทันที

   “เอ้า ปิดทำไมล่ะ”

   “ตื่นเต้น ถ้ามันเป็นพินัยกรรมล่ะครับ ถ้าผมได้ตังจากยายแบบ...สิบล้าน” ผมยิ้มแฉ่ง แม่พูดว่าฝันเถอะ แล้วทำท่าจะแจกมะเหงก

   ผมยอมเปิดอ่านแต่โดยดี แล้วก็ต้องตกใจตั้งแต่หัวจดหมาย...ถ้าไม่ใช่ยายหอมเขียนไม่ได้นะเนี่ย



ไม่ใช่ไอ้จุ๊บ

ห้ามอ่าน




ยังจะสาระแนอีก





ถ้าเป็นไอ้จุ๊บ

นี่ไม่ใช่พินัยกรรม


   (อ้าว รู้ด้วยว่าผมจะคิด ฮือ)



   ไอ้จุ๊บหลานรัก


   เอ็งคงได้อ่านจดหมายฉบับนี้หลังจากที่ข้าลาโลกนี้ไปจริงๆ แล้ว ข้าขอโทษที่ไม่ได้บอกเอ็งล่วงหน้า แต่ทุกครั้งที่ข้าดูอนาคตของเหตุการณ์ในห้องชันสูตรนั้น ไม่ว่าจะดูจากเวลาไหน เอ็งก็ไม่มีทางจะช่วยชีวิตของคู่เอ็งทันได้เลย

   เพราะฉะนั้นข้าจำเป็นจะต้องช่วย อย่างที่ข้าเล่าเรื่องกรวยแห่งกาลเวลาให้ฟัง ตัวแปรแม้เพียงเล็กน้อยเปลี่ยนความเป็นไปได้ของเหตุการณ์นั้นได้เสมอ และเอ็งไม่ต้องรู้สึกผิดไป ข้าเต็มใจช่วย และข้าคุยกับปู่เอ็งเรื่องนี้แล้ว

   ไอ้จุ๊บ คนเราอยู่คู่กันค้ำฟ้าไม่ได้หรอก วันหนึ่งเราก็ต้องจากคู่ของเรา ไม่จากเป็นก็จากตาย วันหนึ่งเอ็งหรือคู่ก็ต้องเป็นเหมือนข้าหรือพ่อของเอ็งที่ต้องตายจากไป แต่วันนี้เอ็งได้โอกาสที่สอง สิ่งที่ข้าอยากจะบอกก็คือ ดูแลโอกาสนี้ให้ดี

   ข้ารู้ว่าเอ็งเป็นคนจิตใจดี แต่บางครั้งเอ็งก็ยอมแพ้ง่าย และห่วงความรู้สึกคนอื่นจนลืมนึกถึงความรู้สึกของตัวเองกับคนที่รัก มันทำให้เอ็งโดนเอาเปรียบ และบางครั้งมันทำให้ความรักของเอ็งแย่ลง

   สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องดูแลความรักของตัวเองให้สม่ำเสมอ ยืนหยัดที่จะสู้เพื่อความรักของตัวเองบ้างถ้าจำเป็น บางครั้งรักแท้อาจไม่ได้หมายถึงตอนจบที่สมบูรณ์แบบ แต่หมายถึงเราได้ทุ่มเทให้กับมันดีที่สุดในเวลาที่เรายังทำได้ ไม่ต้องคิดหาเหตุผลเยอะ มองหาเหตุผลง่ายๆ แค่เพราะมันมีค่ากับชีวิตเอ็งแค่นั้นแหละ

   ต่อไปนี้จะไม่มีพลังวิเศษอะไรมาตัดสินว่าเอ็งสองคนเป็นคู่ชีวิตกันอีกแล้ว พวกเอ็งต้องพิสูจน์กันเอง


   เอ็งอาจจะรู้สึกว่าเรื่องมหัศจรรย์หายไปจากชีวิต แต่ข้าว่าเรื่องมหัศจรรย์มันก็เกิดขึ้นได้ทุกวัน แค่เราสังเกตเห็นมันมากพอ

   แค่รอยยิ้มของใครสักคนที่ทำให้ให้เรายิ้มตามได้ แค่นั้นมันก็มหัศจรรย์แล้วนะ เอ็งว่าไหม



   รักกันให้ยาว และอย่าเป็นควาย (รอบสอง)

   ยายหอม





(ต่อด้านล่าง)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-02-2018 20:29:48 โดย ตัวแม่ »

ออฟไลน์ ตัวแม่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-1
    • เพจตัวแม่
(ต่อจากด้านบน)

   “เป็นไง” แม่ถามหลังจากผมมันอ่านจบ

   “ยิ่งกว่าพินัยกรรมอีกครับ” ผมตอบ “รู้สึกโชคดีจังที่ได้เกิดเป็นลูกบ้านนี้” ผมหอมแก้มและอวยพรให้เธอฝันดี เดินตัวปลิวกลับเข้าห้องตัวเองพร้อมรอยยิ้มปรี่


   [ไปทำไรมา ทำไมตาเยิ้มเชียว] ธีร์ยังอยู่ในสาย ผมส่ายหัวปฏิเสธแล้วมองเขาเงียบๆ [อะไร...]

   “เปล่า”

   [น่ะ มีอะไรไม่พูดอีกล้าว]

   “เราแค่รู้สึก...อยากจูบธีร์เฉยๆ”

   เขาทำหน้าทึ่ง เพราะร้อยวันพันปีผมไม่ขอเขาโจ่งแจ้งแบบนี้เลย

   [พี่จุ๊บ เดี๋ยวเราออกไปหา]

   “ฮะ?”

   [นายมาปลุกอารมณ์เราตอนดึกแบบนี้ทำไม รับผิดชอบเลย]

   เดี๋ยวๆๆ “แค่บอกว่าอยากจูบเนี่ยนะ” มันไม่ใช่แล้วปะว้า

   [ไม่รู้แหละ มาเปิดประตูบ้านให้ด้วย]

   แล้วเขาก็วางสายไป อีกครึ่งชั่วโมงก็มาถึงบ้านผมในชุดเตรียมจะนอนเต็มที่ เขายืนพิงรถด้วยท่าทางที่คิดว่าเท่เต็มที ผมเดินเข้าไปหาเขาด้วยท่าทางสบายๆ

   “เซอร์วิสแฟนอะไรขนาดนี้วะ”

   “เป็นแฟนที่ดีไง” เขายักคิ้ว และก้มหน้าลงมามอบสิ่งที่ผมต้องการให้อย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง
 
   “ขับรถมาครึ่งชั่วโมงเพื่อจูบๆ เดียวเนี่ยนะ” ผมแซว

   “ใครว่าเรามานี่เพื่อจูบๆ เดียว”

   เขายิ้มเจ้าเล่ห์ มือไม้เริ่มเลื้อยเป็นปลาหมึก ผมปล่อยให้เขาทำเพราะตัวเองกำลังตักตวงอยู่ในความหวานของรสจูบอีกครั้ง จมอยู่ในห้วงแห่งความมหัศจรรย์ที่ธีร์สร้างขึ้นด้วยริมฝีปากหนึ่งคู่นั้น ซ้ำแล้วซ้ำเล่า



   หากมีอะไรที่การสูญเสียพลังจูบหยุดเวลาจะสอนผม

   มันคือการที่ผมได้เรียนรู้ว่า...ถ้าหยุดเวลาไม่ได้ ก็ไปใช้ให้มันคุ้มค่าที่สุดแล้วกัน



 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด