Love Surgery2ปฎิบัติการร้ายของผมกับนาย(ว่าที่)คุณหมอ[แบบสอบถาม (จบ)][29/09/2016]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

หากนิยายเรื่องนี้จะรวมเล่ม

สนใจ
1 (33.3%)
ไม่สนใจ
2 (66.7%)

จำนวนผู้โหวตทั้งหมด: 3

ผู้เขียน หัวข้อ: Love Surgery2ปฎิบัติการร้ายของผมกับนาย(ว่าที่)คุณหมอ[แบบสอบถาม (จบ)][29/09/2016]  (อ่าน 10244 ครั้ง)

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
 


____________________________________________________



Love Surgery2 ปฎิบัติการร้ายของผมกับนาย (ว่าที่) คุณหมอ



ยินดีต้อนรับเข้าสู่ตำนานรักบทใหม่ของว่าที่คุณหมอนะคะ หวังว่านิยายเรื่องนี้จะถูกใจท่านผู้อ่าน แอบแต่งไวนานแลวค่ะนี่เอามาลงเปนบ่วงรัดคอตัวเองหน่อยให้รีบๆแต่งให้จบซะเปนเรื่องสั้นหละมั้งคะไม่ยาวแบบพี่ศิน้องกร อารมณ์นิยายเรื่องนี้ออกแนวเหวี่ยง ๆ วีน ๆ มากกว่าหวานฉ่ำแบบเรื่องเก่าของฝากด้วยนะคะ


นิยายเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องอ่านภาคแรกมาก่อน ก็สามารถอ่านรู้เรื่องได้ค่ะ แค่จะดึงตัวละครมาจากอีกเรื่องนี่เป็นไทม์ไลน์อนาคตค่ะหลังจากเรื่องราวของพี่ศิและน้องกรสองปี ถ้าไม่ได้อ่านภาคแรกออกจะงงเล็กน้อยถึงปานกลางและอาจจะถึงมากที่สุดเกี่ยวกับตัวละครนะคะ




ลืมแจงค่ะสามารถอ่านภาคแรกได้ที่ลิงค์นี้ค่ะ

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39148.0

P_Sokiss




สามารถติดตามข่าวสารและนิยาย แฟนฟิคเรื่องอื่น ๆ ได้ที่

https://www.facebook.com/WIFACs-Work-Page-376396462412920/


Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-11-2016 10:23:56 โดย S_oKiss »

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0


Intro


คนเรามักมีสัญญาในสมัยเด็กหรือไม่คนเราก็มันจะมีความฝันตอนเด็กว่าโตขึ้นนั้นพวกเขา (รวมถึงตัวผมด้วย) อยากเป็นอะไรเพียง แต่ตอนนี้ผมกำลังทำลายความฝันของผู้ชายคนหนึ่งอยู่ ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจเขานะครับว่า ทำไมคน ๆ นี้ถึงต้องยึดติดกับอดีตด้วยหรือทำไมเขาต้องยึดติดกับคำมั่นสัญญาบ้า ๆ บอ ๆ และน่าอายในวัยเด็กมากมายขนาดนี้


ผมมองเขาคร่ำครวญมาเกือบจะสิบนาทีแล้วหละครับเสียงทุ้มพูดพร่ำเป็นภาษาไทยบ้าง ภาษาอังกฤษบ้าง ซึ่งผมก็ไม่ได้รู้สึกรำคาญหูอะไรหรอกนะครับนั่นอาจจะเป็นเพราะผมรู้ว่าเขาเป็นลูกครึ่งไทย – อังกฤษก็ได้หละมั้งครับ มันจึงทำให้ผมยอมรับพฤติกรรมที่เขาทำกับภาษาไทยแบบนี้ ทุก ๆ ท่านคงจะสงสัยสินะครับว่าผมเป็นใครและคนที่นั่งอยู่เบื้องหน้าผมคือใครผมขอแนะนำตัวก่อนเลยนะครับ ทุก ๆ คนน่าจะได้ยินชื่อผมในเรื่องราวของเพื่อนผมมาแล้วเพราะผมชื่อเจมส์ครับ ผมเป็นเพื่อนสนิทสุดเลิฟกับนายรณกรนั่นเอง แต่ทุก ๆ คนคงยังไม่รู้จักชื่อจริงของผมใช่ไหมหละครับ งั้นก็ไม่ต้องรู้จักต่อไปเถอะครับผมไม่อยากจะแนะนำตัวเท่าไหร่เอาเป็นว่าผมชื่อเจมส์ หรือเพื่อนเจมส์ที่ทุก ๆ คนคุ้นเคยแล้วกัน


ส่วนคนที่นั่งอยู่เบื้องหน้าผมพวกคุณทุกคนก็น่าจะคุ้นเคยกับเขานะครับเพราะคน ๆ นี้เป็นเพื่อนของแฟนเพื่อนสนิทผมหรือจะพูดให้เข้าใจว่าเขาเป็นเพื่อนกับคุณพี่ศิรวิทย์นั่นเองซึ่งเขาชื่อพี่เตอร์ครับ (ความจริงแล้วผมจำชื่อเล่นเต็ม ๆ ของเขาไม่ได้เหมือนกันรู้สึกว่าพี่ศิจะเรียกคน ๆ นี้ว่าเต๋อครับ)


และเหตุผลที่ผมกับพี่เขาต้องมานั่งประจันหน้ากันแบบนี้ก็เป็นเพราะเรื่องราวบางอย่างที่เกิดขึ้นในอดีตและผมก็ต้องการแก้ไขความทรงจำที่ผิดของพี่เตอร์แกครับ (อ่อ ลืมบอกไปอีกอย่างตอนนี้ผมขึ้นขั้นปีที่ 3 แล้วส่วนพี่เตอร์แกตอนนี้อยู่ปี 6 ใกล้จะจบเต็มทนแล้วหละครับ)


มันเป็นเรื่องราวในอดีตที่ผมก็จำไม่ค่อยจะได้แต่เฮียแกดันจำได้ดีซะเหลือเกิน หนำซ้ำยังยึดมั่นถือมั่นในคำสัญญานั่นจนเข้าขั้นโคม่า และมันอาจจะหนักหนาจนทำให้ก้านสมองเขาตายไปเลยก็เป็นได้ครับ ผมรู้สึกว่าพี่เขาเป็นคนที่ยึดติดกับอะไรจะยึดติดแบบสุด ๆ และไม่ยอมปล่อยสิ่งที่ตัวเองยึดติดด้วยครับ


แต่ตอนนี้พอพี่เขารู้ความจริงทั้งหมดแล้วเขาคงอาจจะตัดใจและละทิ้งในคำสัญญาหรือความฝันสมัยเด็กพวกนั้นไปก็ได้หละมั้งครับ ผมนั่งเท้าคางมองใบหน้าขาวตามประสาหนุ่มลูกครึ่งหากแต่ดวงตานั่นคมเข้มตามฉบับหนุ่มไทย


ผมทอดถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่และตัดสินใจจะลุกออกจากโต๊ะและวางเงินค่าชานมเย็นที่ผมดื่มไป ให้พี่เตอร์แกช่วยจ่ายตอนที่เขาร้องห่มร้องไห้เสร็จแล้ว ทว่ามือกร้านข้างหนึ่งของพี่เขากลับเอื้อมมือมาจับท่อนแขนของผมเอาไว้พร้อมกับดึงร่างของผมให้ทรุดนั่งลงไปกับเก้าอี้อีกครั้ง


“My little princess” เสียงทุ้มเอ่ยถ้อยคำออกมาโดยสำเนียงที่นั้นตรงตามฉบับเจ้าของภาษา หากแต่คำพูดนั่นทำเอาผมขนลุกซู่ไปทั้งตัว ซ้ำมันทำให้ผมนี่แทบจะลุกขึ้นไปต่อยหน้าพี่เขาแรง ๆ เพื่อปลุกเขาให้ตื่นจากความฝันสมัยเด็กนั่นสักทีครับ แต่ผมก็ต้องอดใจเอาไว้และยอมนั่งนิ่ง ๆ ฟังคำพูดของพี่เขาต่อไปเรื่อย ๆ ซึ่งไอคำพูดที่พี่เขาพร่ำเพ้อออกมามันก็เป็นประโยคเดิม ๆ หละครับอย่างเช่นไอคำว่า ‘My little princess’ คำนี้พี่เขาพูดออกมาบ่อยมาก หรือจะเป็นคำว่า ‘ไม่จริงน่าไม่มีทางเป็นแบบนั้นไปได้ นี่มันไม่ใช่ความจริง’


จนในท้ายที่สุดผมก็เริ่มที่จะหมดความอดทนแล้วหละครับผมค่อย ๆ ใช้มือแงะนิ้วที่พี่เตอร์แกจับข้อมือผมไว้ทีละนิ้ว ๆ แต่ไอมือปลาหมึกเจ้ากรรมของพี่เตอร์แกกลับจับมือของผมแน่นยิ่งกว่าเก่า เอาหละครับคราวนี้ผมเริ่มหงุดหงิดจริง ๆ ซะแล้วสิ (ความจริงคือผมหงุดหงิดมานานมากแล้วครับแต่ก็ต้องอดทนไว้) ที่จริงแล้วผมเป็นคนที่มีความอดทนสูงมากนะ แต่ดูเหมือนพี่เตอร์แกมีสกิลทำลายความอดทนมากเกินไป จนตอนนี้ผมเริ่มสถบออกมาเป็นคำพูดหยาบคายแล้วหละครับ แต่ไอคนที่ทำให้ผมหงุดหงิดก็ยังคงไม่รู้สึกตัวสักที ใจผมก็ไม่อยากจะทำอะไรเขาหรอกนะเพราะเขาเป็นรุ่นพี่เป็นคนรู้จัก เป็นเพื่อนของแฟนเพื่อนผมและเขาเป็นพี่ชายข้างบ้านผมในตอนเด็กแต่นี่มันก็ชักจะมากเกินไปแล้วหละครับ


พี่แกพร่ำเพ้อออกมาจนตอนนี้คนทั้งร้านหันมามองผมกับพี่เตอร์แกหมดแล้ว ผมค่อย ๆ นับหนึ่งถึงสิบในใจอยู่เบา ๆ เพื่อให้ความโกรธและอาการหงุดหงิดพวกนี้หายไปแต่ดูเหมือนมันไม่ช่วยอะไรผมเลยสักนิดเดียว


และในที่สุดความอดทนอดกลั้นของผมก็หมดลง ผมนี่กระชากแขนออกจากมือแกร่งนั้นทันทีพร้อมกับยันกายตนลุกขึ้นยืนและเดินดุ่ม ๆ ออกจากร้านกาแฟแถวมหาวิทยาลัยของผมทันที


ผมไม่รู้ว่าร่างสูงกว่าผมนั่นจะเดินตามผมมาไหม แต่ที่รู้ ๆ ผมคงไม่เข้าร้านกาแฟร้านนี้อีกนานเลยหละครับ เพราะทุกคนในร้านเล่นจ้องมาที่ผมเป็นตาเดียว ซ้ำไอคนที่นั่งอยู่กับผมใช่ว่าเขาจะไม่ดังผู้ชายคนนั้นเป็นถึงเดือนคณะแพทย์ชั้นปีที่ 6 เลยนะครับ และถ้าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้มันไม่ลือไปทั่วมหาวิทยาลัยผมขอให้ทุก ๆ คนเอามีดมาปาดคอของผมเลยครับ


เพราะผมมั่นใจมากว่าเรื่องที่เดือนคณะแพทย์ชั้นปีที่ 6 มานั่งพร่ำเพ้ออะไรใส่ผม ซึ่งเป็นประธานรุ่นคณะวิศวกรรมศาตร์ปี 3 และว่าที่ประธานสโมฯ คณะวิศวะ ต้องดังไม่แพ้เรื่องของไอเพื่อนกรตอนที่โดนบังคับให้มันไปสารภาพรักกับพี่ศิเลยหละครับ


ผมเดินดุ่ม ๆ ตรงไปยังที่จอดรถมอเตอร์ไซค์ของผมก่อนจะตวัดขาขึ้นคร่อมและขับมันกลับหอพักของผม


ผมรู้นะครับว่าทุกคนอยากจะรู้เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้ ว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร เกิดขึ้นได้ยังไงและจุดเริ่มต้นของมันคืออะไร คือถ้าให้ผมเล่ามันก็จะยาวครับ (และมันก็ไม่ยาวแบบธรรมดา เพราะมันยาวมาก ๆ เลยหละครับ) ซึ่งผมคงไม่จำเป็นต้องถามทุก ๆ คนก็ต้องบอกว่าให้ผมเล่าให้ฟังแต่ถ้าผมบอกว่าผมไม่เล่าให้ฟังหละจะทำไม พวกคุณจะปิดสมุดบันทึกของผมเล่มนี้เลยเหรอครับ ถ้าเกิดอยากปิดก็เชิญเลยผมไม่ได้แคร์อะไรอยู่แล้ว


แต่ถ้าพวกคุณยังคงถือบันทึกของผมแล้วกำลังอ่านบันทึกของผมอยู่ ผมก็จะยอมเล่าให้ฟังก็ได้ แต่เป็นการเล่าคร่าว ๆ นะครับ ว่าทำไมพี่เตอร์แกถึงมาพร่ำเพ้ออะไรใส่ผม


ส่วนพวกเรื่องราวในอดีต…ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ถ้าผมมีอารมณ์ผมจะเล่าให้ฟังก็แล้วกัน ซึ่งตอนนี้พวกคุณอย่าหวังอะไรมากจากผมนะครับเพราะผมกำลังอารมณ์ไม่ดี


ดังนั้น! การเล่าเรื่องของผมอาจจะไม่ดีมาก (และคงไม่มีมุกเยอะเหมือนที่ไอกรมันเล่า) ซึ่งผมเล่าออกไปมันจะสนุกหรือไม่สนุกมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกคุณหรอกครับ เพราะคุณเป็นแค่ผู้ฟังส่วนผมเป็นคนเล่าและที่สำคัญผมเป็นเจ้าของเรื่องราวที่พวกคุณทุก ๆ คนอยากรู้


ด้วยเหตุผลทั้งหมดนั้น ทำให้คุณไม่มีสิทธิมาพูดขั้นเวลาที่ผมเล่า คุณไม่มีสิทธิเสนอความคิดเห็นอะไร คุณไม่มีสิทธิที่จะเอ่ยถามคำถามอะไรกับผม (เพราะถ้าถามมาให้ตายยังไงผมก็ไม่บอก) และสุดท้ายที่ผมจะบอกพวกคุณก่อนที่ผมจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้คุณฟัง พวกคุณจงจำไว้ว่าหน้าที่ของพวกคุณทุกคนคือฟังอย่างเดียวเท่านั้นครับ


และเมื่อทุกคนยอมรับข้อตกลงที่ผมพูดไปทั้งหมดแล้ว ผมก็ขอกล่าวย้อนไปถึงช่วงที่ผมเพิ่งขึ้นปีสามใหม่ ๆ หมาด ๆ ซึ่งจุดเริ่มต้นที่ทำให้พี่เตอร์แกมาคร่ำครวญใส่ผมมันก็ผ่านมาเพียงแค่อาทิตย์สองอาทิตย์เท่านั้นเอง





TBC

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
รอพี่เตอร์อยู่น้าาาาาาาา :mew2:

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0



Chapter 1


หลังจากที่ผมตกลงกับพวกคุณทุกคนที่อยากรู้เรื่องราวของผมผมก็จะขอเกริ่นเรื่องเลยแล้วกันนะครับ เรื่องราวที่ทำให้พี่เตอร์แกมาร้องห่มร้องไห้กับผมมันเริ่มขึ้นในวันแรกของวันเปิดเทอมที่ 1 ของชั้นปีที่ 3 ของผมเลยหละครับ (ซึ่งผมคิดว่าถ้าผมย้อนเวลากลับไปได้ผมคงจะไม่เอาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือพัวพันกับพี่เตอร์แกเป็นอันขาด)


วันนั้นซึ่งเป็นวันแรกของการเปิดเทอมอาจารย์ที่สอนพวกเรานั้นมักจะปล่อยไวเพราะท่านจะให้แต่พวกครอสซีลีบัสและอธิบายเกี่ยวกับรายวิชาคร่าว ๆ ว่าในแต่ละอาทิตย์พวกท่านจะสอนอะไรมั่ง และด้วยเหตุผลข้างต้นที่ผมกล่าวมาทั้งหมดมันจึงทำให้ผมและพวกเพื่อน ๆ มาสิงสถิตที่คอนโดของไอกรมันครับ (เอาจริง ๆ ก็มีแค่ผมกับไอบาสเท่านั้นหละครับที่มานั่งเล่นนอนเล่นที่คอนโดไอกร แล้วถ้าถามถึงเพื่อน ๆ คนอื่นหละก็พวกนั้นเขากลับบ้านกลับช่องไปหมดแล้วหละครับ) ซึ่งทุก ๆ คนก็ทราบกันดีอยู่แล้วใช่ไหมหละครับว่าไอกรมันตกลงคบกับพี่ศิไปประมาณชาติเศษแล้ว ดังนั้นการที่ผมกับไอบาสจะไปสิงสถิตที่คอนโดไอกรก็ต้องเปลี่ยนไปเป็นสิงสถิตในห้องของพี่ศิแกแทนครับ โดยสมาชิกที่นั่งในห้องของพี่ศิตอนนี้มันก็ไม่ได้มีพวกผมกลุ่มเดียว เพราะนอกจากพี่ศิ ไอกร ผม และไอบาส สี่คนมันก็ยังมีสมาชิกที่คุ้นหน้าคุ้นตากันอีกสองคนครับ นั่นก็คือพี่วิดาวคณะแพทย์ปีที่ 6 และพี่เตอร์ผู้เป็นเดือนคณะแพทย์ชั้นปีที่ 6 โดยทั้งสองคนนั้นเป็นเพื่อนสนิทของพี่ศิแกครับ


ดังนั้นภายในคอนโดสุดหรูสองห้องนอน สามห้องน้ำ หนึ่งห้องครัว หนึ่งห้องนั่งเล่น (ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าผมจะอธิบายสภาพห้องของพี่ศิไปทำไม) ก็มีคน 6 คนนั่งอยู่ภายในโดยสามคนแรกนั่นก็คือผม ไอบาส ไอกร นั่งเล่นนอนเล่นอยู่บนโซฟา และสามคนหลัง พี่ศิ พี่วิ พี่เตอร์กำลังนั่งทำรายงานอยู่บนโต๊ะที่ตั้งไว้อยู่ริมระเบียง ซึ่งดูเหมือนว่าทั้งสามคนนั้นจะอยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเองไปแล้วหละครับ (ท่าทางงานของพวกพี่ ๆ เขาน่าจะเยอะมากเลยต้องรีบปั่นกันจนหัวหมุน) ซึ่งพวกผมก็เป็นรุ่นน้องที่ดีกันนะครับเพราะผม กับไอบาสไม่ได้ไปกวนพี่ ๆ เขาสองคนแม้กระทั้งไอกรซึ่งเป็นแฟนหนุ่ม (น้อย) ของพี่ศิเขามันก็ยังไม่ไปสนใจใยดีอะไรแฟนของมันเลยสักนิด  (ผมนี่ดีใจแทนพี่ศิแกจังเลยหละครับพี่แกนี่ช่างได้แฟนดีคอยเป็นห่วงเป็นในอีกฝ่ายจริง ๆ  …อันนี้ผมประชดนะครับอย่าได้คิดจริงจัง)


และหลังจากพวกผมทั้งสามคนนอนกลิ้ง นั่งกลิ้ง กันอยู่หน้าโทรทัศน์เวลามันก็ล่วงเลยมาถึงช่วงเที่ยงวันแล้วหละครับ โดยเวลานี้ถ้าเป็นคนปกติเขามักจะหิวข้าวกันแล้ว ใช่ครับผมเป็นคนปกติและตอนนี้ก็เริ่มที่จะหิวข้าวแล้ว ซึ่งสหายทั้งสองคนของผมมันก็เกิดอาการหิวข้าวเช่นเดียวกัน ดังนั้นพวกเราทั้งสามคนก็ลุกขึ้นและเดินเข้าครัวไปเพื่อหาอะไรทานกัน โดยของกินที่อยู่ในครัวก็มีแต่พวกขนมขบเคี้ยวเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไอกรมันซื้อมาทิ้งไว้กินเล่นในห้องของพี่ศิครับ


ด้วยทรัพยากรทั้งหมดที่มีอยู่ภายในห้องจึงทำให้พวกผมได้แต่เอากองขนมขบเคี้ยวพวกนั้นมานั่งกินเล่นแก้หิวกันไปก่อนและรอให้พวกพี่ ๆ ทั้งสามคนนั้นทำงานกันเสร็จถึงจะได้ออกไปหาอะไรกินกัน (ซึ่งผมเชื่อว่างานของพวกพี่ ๆ เขาคงต้องใช้เวลาอีกนานมากพอดูเลยหละครับ โดยเฉพาะงานของพี่วิกับพี่เตอร์ ไม่ใช่เพราะว่างานเขาเยอะกว่าพี่ศิหรอกนะครับ แต่มันเป็นเพราะพวกพี่ ๆ สองคนนั้นเป็นคนประเภทสมาธิสั้นมากกว่าคนปกติจึงทำให้บางทีพวกพี่วิกับพี่เตอร์จะลุกขึ้นมาทำอะไรแปลก ๆ กันครับ โดยล่าสุดที่พี่ ๆ ทั้งสองคนนั้นทำคือการวิ่งมาแล้วแลนดิ้งใส่พวกผมที่นั่งจุ่มกันหน้าโทรทัศน์ หลังจากพวกพี่แกทั้งสองคนนอนกลิ้งเล่นกันจนพอใจเขาก็ลุกขึ้นไปทำรายงานกันต่อครับ นี่มันเป็นการกระทำของคนสมาธิสั้นที่แปลกสิ้นดีครับ)


และทั้งหมดที่กล่าวไปจึงทำให้พวกผมก็ต้องนั่งอดทน (อดข้าว) รอพวกพี่ ๆ เขาทำงานให้เสร็จและออกไปหาอะไรกินกันที่ห้างสรรพสินค้าแถวคอนโดกันครับ ซึ่งพวกผมก็นั่งเล่นนอนเล่นกันไปจนตอนนี้เวลาล่วงเลยไปถึงบ่ายสามโมงครึ่ง (ไอกรนี่ร้องโอดโอยหิวแล้วหิวอีกจนไม่รู้มันจะร้องเป็นภาษาอะไรแล้วหละครับ แต่ก็ไม่มีใครคิดจะสนใจ มันก็เลยประชดโดยการ กินขนมที่กองอยู่บนโต๊ะหมดเลยและตอนนี้มันก็นอนหลับไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วยครับ) รายงานนรกของพี่ศิและของเพื่อน ๆ เขาก็เสร็จสักทีครับ ไอผมที่เห็นอย่างงั้นก็แทบจะโห่ร้องออกมาด้วยความดีใจมือข้างหนึ่งผมถูกเอื้อมไปปลูกไปกรที่นอนหลับส่วนเท้าของผมก็ยันไอบาสเบา ๆ เพื่อปลุกให้มันตื่น ซึ่งผมก็ทำแบบนั้นไปสักพักจนในที่สุดพวกมันทั้งสองคนก็ตื่นครับ (ความจริงแล้วพวกผมสามารถออกไปหาอะไรกินกันก่อนได้ครับแต่ไอกรมันไม่ยอมมันบอกว่ามันจะไปกินกับแฟนเพราะมันไม่อยากเสียเงินเองผมก็เลยต้องจำใจทนรอเป็นเพื่อนมันแบบนี้ไง)


“ไอกร ไอบาสลุกขึ้นได้แล้วเว้ยพวกพี่ ๆ เขาทำงานกันเสร็จแล้ว จะได้ออกไปกินข้าวกันสักที” ผมเอ่ยปากพูดพร้อมกับยันกายลุกขึ้นยืน มือทั้งสองข้างของผมนั้นถูกยกขึ้นไปเหนือศีรษะก่อนจะบิดไปมาเพื่อคลายความปวดเมื่อยจากการนั่งอยู่เป็นเวลานาน ซึ่งพวกเพื่อน ๆ ทั้งสองคนของผมก็พยักหน้าตอบรับพร้อมกับกันกายขึ้นตามผมเช่นกัน


และเมื่อไอกรลุกขึ้นยืนมันก็เดินกระโดดดี้ด้าไปหาพี่ศิแฟนของมัน ส่วนไอบาสมันก็ใช้มือข้างหนึ่งยีผมยุ่ง ๆ ของมันให้เข้าทรงส่วนอีกข้างมันก็ยกขึ้นมาป้องปากหาวน้อย ๆ


เราทั้งสามคนค่อย ๆ สาวเท้าเข้าไปหาพวกกรุ่นพี่ก่อนจะเอ่ยปากพูดชักชวนกันไปหาอะไรกินกันข้างนอก ซึ่งไอคนเสนอให้พวกเราทั้งหกคนออกไปหาอะไรกินข้างนอกมันก็คือไอกรนั่นเอง


“พี่ศิ…กรหิวอ่ะออกไปหาอะไรกินกันนะ” ผมยืนมองเพื่อนสนิทตัวเองอ้อนแฟนตัวเอง แล้วผมรู้สึกขนลุกและรู้สึกตลกนิด ๆ แต่ผมก็สะกดกลั้นอารมณ์พวกนั้นไว้ไม่งั้นผมอาจจะตายด้วยน้ำมือของแฟนเพื่อนได้


“ได้ครับกร…อยากกินอะไรหละเรา” เสียงทุ้มที่แสนอ่อนโยนของพี่ศิเอ่ยตอบไอกร ซึ่งไอเพื่อนกรของผมที่ได้ยินประโยคพวกนั้นก็ทำตัวกระดี้กระด้าซะจนน่าหมั่นไส้ ตัวผมนี่ก็คันปากอยากจะเอ่ยแซวเอ่ยด่าไอกรมันซะเหลือเกินแต่ดูเหมือนไอความรู้สึกหมั่นไส้มันจะไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวที่มีความรู้สึกแบบนั้น เพราะหลังจากที่ผมตัดสินใจจะเอ่ยปากพูดออกไปเสียงแหลมเล็กของหญิงสาวคนเดียวในห้องก็เอ่ยดังขึ้นพร้อมกับร่างผมบางเดินเข้าไปกระแซะไหล่เพื่อนสนิทของตน


“ต้ายตาย...ศิขาจะสวีทหวานกับแฟนนี่ไม่เกรงใจเพื่อนเลยนะคะเนี่ย แฟนอ้อนนิดอ้อนหน่อยก็ตามใจแฟนซะแล้ว เกรงใจพวกเราสี่คนที่ยังโสดบ้างได้ไหมคะ เพื่อนศิขา” พี่วิพูดพร้อมหันกลับมามองพวกผมที่ยืนกอดอกมองคู่รักที่ถือว่าดังที่สุดในมหาวิทยาลัยอยู่ แต่ดูเหมือนว่าคุณพี่เตอร์แกจะคัดค้านนะครับเพราะทันทีที่พี่วิแกพูดจบลงน้ำเสียงทุ้มของพี่เตอร์แกก็เอ่ยสวนออกไปแทบจะทันที “ไอวิแกไม่ต้องมาเอาฉันเข้าไปเกี่ยวด้วยคนโสดอะไรกัน คนไม่มีแฟนอะไรกันฉันมีคู่หมั้นแล้วต่างหากหละไอวิ”


ผมที่ได้ฟังคำพูดพวกนั้นของพี่เตอร์ผมก็เลิคคิ้วขึ้นด้วยความฉงน แต่ดูเหมือนว่าพี่ศิกับพี่วิแกจะชินชาซะแล้วหละครับกับคำพูดพวกนี้ เพราะพี่วิแกไหวไหล่เพื่อแสดงให้เห็นว่าเธอไม่รับรู้อะไรกับเรื่องพวกนั้นส่วนพี่ศิแกก็ส่ายหัวไปมาเบา ๆ “นี่พวกแกไม่คิดว่าฉันจะมีคู่หมั้นหรือว่าที่เจ้าสาวหรือไงวะฉันมีนะเว้ยคู่หมั้น ‘She is my little princess’ สำหรับฉันเลยนะเว้ย ฉันไม่ได้เพ้อฝันนะเค้ากับฉันสัญญากันไว้แล้วว่าถ้าโตขึ้นเราจะแต่งงานกัน” พี่เตอร์แกเอ่ยเถียงปาว ๆ พร้อมกับหยิบกระเป๋าเงินของตัวเองขึ้นมาไว้แนบอก ท่าทางพี่เตอร์เขาจะเก็บรูปของเธอคนนั้นเอาไว้ในกระเป๋าเงินตลอดเวลาเลยหละมั้งครับเขาถึงได้ดูหวงแหนกระเป๋าเงินใบนั้นมากขนาดนี้


แต่ดูเหมือนพี่วิกับพี่ศิแกจะไม่ได้ใส่ใจอะไรกับอาการเพ้อของพี่เตอร์เขาเลยสักนิดแต่ละคนนี่ส่ายหัวไปมาด้วยความปลง พร้อมกับค่อย ๆ พากันเดินออกห่างจากพี่เตอร์ที่ยังคงพร้ำเพ้อไปเรื่อย ๆ แต่พี่แกก็เดินตามพวกผมออกมานะครับแต่ก็ยังคงพูดถึงเจ้าหญิงตัวน้อยของเขาไม่หยุดปากเช่นกัน และกว่าพี่เขาจะยอมหยุดพูดนั่นก็คือตอนที่พี่ศิแกเอาขนมปังที่เหลืออยู่บนโต๊ะหน้าโทรทัศน์ยัดใส่ปากพี่เตอร์แกไปนั่นหละครับเขาถึงจะเงียบ


พวกเราทั้งหกคนค่อยๆ แออัดยัดเยียดเข้าไปในลิฟท์เพื่อลงไปยังชั้นลานจอดรถ ซึ่งเราทั้งหกคนก็ตกลงกันไว้แล้วหละครับว่าใครจะนั่งรถใครเพราะรถทั้งหมดมี 3 คันครับ คันแรกเป็นของพี่ศิคันนั้นไม่ต้องพูดก็รู้ว่าใครนั่งไปกับใคร ส่วนคันที่สองเป็นรถของพี่วิเขาครับคันนั้นไอบาสเสนอตัวไปนั่งกับพี่เขาเรียบร้อย ส่วนคันสุดท้ายคือรถของพี่เตอร์ครับและคนซวยที่ต้องไปนั่งรถคันนั้นนั่นก็คือผมเองครับ


ผมหลับตาลงพร้อมกับก้มหน้าก้มตารับชะตากรรมและเดินไปยังรถเบนซ์สีดำสนิทของพี่เตอร์ พร้อมกับเปิดประตูและก้าวเท้าขึ้นไปนั่งบนที่นั่งข้างคนขับ (ส่วนพี่เตอร์หนะเหรอครับแกก็นั่งเรียบร้อยอยู่บนที่นั่งคนขับแล้วหละครับ)


พวกคุณไม่ต้องถามนะครับว่าทำไมเราหกคนถึงใช้รถ 3 คันไปห้างสรรพสินค้ากัน เพราะผมกำลังจะบอกพวกคุณอยู่นี่ไงครับ
เหตุผลที่พวกเราทั้งหกคนนั่งแยกรถกันมานั่นก็เป็นเพราะ…พี่วิกับพี่เตอร์แกอยากลองรถคันใหม่ที่พวกเขาแต่ละคนเพิ่งได้มาครับ ดังนั้นพวกผมทั้งหกคนก็เลยแยกกันนั่งรถทั้งสามคันกันไปห้างสรรพสินค้า


แต่ถ้าถามผมว่าผมอยากนั่งรถสุดหรูคันนี้หรือไม่ผมขอตอบเลยว่า ‘ผมไม่อยากนั่งครับ’ เพราะจะขับรถไปทำไมตั้งหลายคันทั้ง ๆ ที่จุดหมายที่เราจะไปเป็นที่เดียวกันแท้ ๆ เราทั้งหกคนนั่งกันแบบเบียด ๆ ในรถฟอจูเนอร์ของพี่วิไปกันก็ได้ครับไม่เห็นต้องเปลืองน้ำมันขับรถไปถึงสามคันเลย


แต่ก็นะผมก็ไม่ได้อยากจะเข้าใจตรรกะอะไรของคนรวยหรอกครับ เขาอยากจะทำอะไรก็ทำไปเพราะยังไงคนที่จ่ายค่าน้ำมันรถก็ไม่ใช่ผมอยู่ดี นั่ง ๆ ไปเถอะยังไงเจ้าของเขาก็อยากจะขับไป


ผมนั่งไขว้หางเท้าคางมองบรรยากาศด้านนอกไปสักพักในที่สุดเจ้ารถเบนซ์คันงามของพี่เตอร์แกก็วนเข้าไปในลานจอดรถของห้างสรรพสินค้า พี่เตอร์วนรถไปมาสักพักในที่สุดเราก็เจอที่ว่างสำหรับจอดรถครับพี่เตอร์แกค่อย ๆ ถอยรถเข้าไปจอดยังที่ว่างนั่น และเมื่อเครื่องยนต์ดับสนิทผมก็รีบเปิดประตูเพื่อออกจากรถคันงามคันนี้ทันที


ความจริงแล้วผมไม่ค่อยชอบที่แคบ ๆ สักเท่าไหร่หรอกครับ และถ้าให้ถามถึงเหตุผลว่าทำไมผมถึงไม่ชอบที่แคบ ๆ นั่นก็เป็นเพราะตอนเด็ก ๆ ผมเคยถูกแกล้งขังอยู่ในที่มืดและแคบบ่อย ๆ มันก็เลยเป็นเรื่องฝังใจทำให้ผมเกลียดที่แคบ ๆ และมืดไปเลย ซึ่งด้วยเหตุผลที่ผมกล่าวมาทั้งผมมันก็ทำให้ผมไม่ค่อยชอบที่จะขับรถสักเท่าไหร่นัก (ถึงแม้ไอกรมันมักจะให้ผมขับบ่อย ๆ ก็เถอะ)


  ผมยืนรอพี่เตอร์ที่จัดแจงลอครถของตัวเองไปสักพัก ในที่สุดเราทั้งสองคนก็ได้เดินเข้าไปในตัวห้างสักที โดยเพื่อน ๆ ของผมและรุ่นพี่อีกสองคนนั้นยืนรออยู่ในตัวห้างเรียบร้อยแล้วหละครับ พี่เตอร์นี่เป็นคนที่ทำอะไรช้าจริง ๆ แต่ผมก็ได้แต่บ่นในใจเท่านั้นหละไม่กล้าบ่นให้พี่แกฟังหรอกเดี๋ยวจะโดนพี่แกเขม่นเอา


ผมรีบสาวเท้าเดินเข้าไปหาพวกเพื่อน ๆ ของผมพร้อมกับใช้มือทั้งสองข้างเข้าไปโอบคอของเพื่อนกรและเพื่อนบาส พร้อมกับเอ่ยปากถามคำถามเบสิคที่ทุกคนมักจะถามกันสามเวลาต่อวัน “กินไรดีวะกร” ว่าไงหละครับนี่เป็นคำถามที่เบสิคดีไหมหละครับคำถามนี้


ซึ่งไอคนที่โดนถามคำถามนี้ก็พลิกตัวกลับมาตอบผมอย่างไวว่องเลยหละครับว่ามันอยากจะกินอะไร “เสต็กครับคุณเพื่อนเจมส์ เพื่อนกรอยากกินเสต็ก” ไอกรหันมาตอบผมด้วยรอยยิ้มก่อนที่มันจะก็วิ่งไปเกาะแขนพี่ศิแฟนของมัน


ภาพสวีทหวานแหว๋วของไอกรกับพี่ศิพวกผมที่เหลือทั้ง 4 คนเห็นบ่อยจนชินกันแล้วหละครับ แต่นอกจากการดูภาพสวีทหวานพวกนั้น ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่เราเคยชินกันนั่นก็คือถ้อยคำพูดแซวของพี่วิเขานั่นหละครับ พี่ศิกับไอกรสวีททีไรพี่วิแกก็จะสรรหาคำมาพูดแซวทุกครั้งเลยหละครับและเท่าที่ผมเคยฟังมาเนี่ยคำพูดของพี่วิที่พี่เขาพูดออกมานั้น ผมไม่เคยได้ยินประโยคซ้ำกันเลยสักครั้ง


ผมไม่รู้ว่าพี่แกไปได้ยินประโยคพวกนี้มาจากใครหรือไปสรรหาคำพูดพวกนั้นมาจากไหนด้วยสิ…แต่ช่างมันเถอะครับถึงรู้ไปผมก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร เอาเป็นว่าตอนนี้เราไปเดินหาร้านเสต็กตามที่เพื่อนกรของเราอยากกินกันดีกว่าและไอร้านเสต็กที่ว่านั่นก็คงเป็นไปไม่ได้เลยนอกจากซิสเลอร์ครับ ซึ่งมันเป็นร้านแรกที่ผมไม่คิดจะเข้าเลยหละครับ


1.ด้วยราคาที่แพงบรรลัย2.ผมไม่ชอบกินเสต็กเพราะมันเลี่ยนครับ และด้วยสองเหตุผลนี้ทำให้ผมเลี่ยงที่จะเข้าร้านเสต็กครับ แต่บางทีก็เข้าบ้างเพราะไอเจ้าเพื่อนกรมันอยากกินเหมือนอย่างตอนนี้ครับ ผมก็เลยทอดถอนลมหายใจแล้วเดินเข้าร้านเสต็กตามคู่รักแห่งปี (พี่ศิและไอกร) ไป


การเข้าร้านอาหารซิสเลอร์ครั้งนี้คงทำให้แบงค์ห้าร้อยสีม่วงสดใสในกระเป๋าเงินของผม…คงปลิวออกไปอีกใบแน่นอนเลยหละครับ แถมตอนนี่เป็นช่วงเปิดเทอมใหม่เสียด้วยต้องเตรียมเงินไว้เลี้ยงเหล้าเลี้ยงข้าวพวกน้องรหัสกับหลานรหัสอีกแย่ชะมัด ไอกรนะไอกรดันมาอยากกินอะไรของแพงตอนต้นเดือนวะเนี่ย ผมเดินพึมพำเบา ๆ ไปที่โต๊ะก่อนจะทรุดตัวนั่งลงไปที่โซฟาและกระเถิบเข้าไปด้านในสุด และเมื่อทุกคนจับจองที่นั่งกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วผมก็ขอพูดถึงที่นั่งของแต่ละคนหน่อยแล้วกันนะครับ ถ้าเรียงจากที่นั่งด้านในสุดก็จะเป็นตัวผมกับไอกรที่นั่งกันคงละฝั่งครับ และถัดจากกรจะเป็นพี่ศิส่วนฝั่งผมจะเป็นพี่เตอร์ครับและหลังจากพี่เตอร์กับพี่ศิก็จะเป็นพี่วิและไอบาสตามลำดับครับ


ซึ่งการเข้ามาในร้านอาหารแบบนี้ปกติจะมีไอกรคนเดียวที่เป็นคนสั่งอาหารครับแต่ไม่รู้พี่ศิแกไปสั่งสอนไอกรยังไงตอนนี้ไอกรมันสั่งของเท่าที่มันกินแล้วพออิ่มเท่านั้นหละครับมันไม่ได้สั่งแหลกลานเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ก็ดีเหมือนกันพวกผมจะได้กินในสิ่งที่อยากกินจริง ๆ สักที ปกติต้องคอยเก็บกวาดในสิ่งที่ไอกรสั่งมาจนไม่ได้กินอะไรอย่างที่ตัวเองอยากกินสักที แต่เรื่องพวกนั้นก็โยนมันทิ้งไปเถอะครับเรามาพูดถึงเมนูอาหารที่คนทั้งโต๊ะสั่งกันดีกว่า ซึ่งคนแรกที่สั่งก็เป็นไอกรครับมันเปิดประเดิมเมนูหนักท้องมาเลยครับนั่นก็คือ ขาหมูเยอรมันทอดและไส้กรอกหมู ตามด้วยฟิชแอนด์ชิฟและมันก็ไม่ลืมที่มันจะสั่งน้ำส้มของโปรดมันต่อท้ายครับ คนที่สั่งถัดมาก็คือพี่ศิเขาสั่งแซลมอนเทอริยากิครับและหลังจากนั้นทุก ๆ คนก็สั่งต่อ ๆ กันไปครับ หลังจากนั้นเราก็รออาหารกันสักสิบกว่านาทีในที่สุดอาหารที่พวกเราสั่งทั้งหมดก็ถูกนำมาเสริฟบนโต๊ะ ส่วนพวกสลัดบาร์และซุปพวกรุ่นพี่นี่ตักมาเผื่อพวกผมแล้วหละครับ โดยเฉพาะพี่ศิแกตักสลัดมาให้ไอกรซะพูนจานแถมพี่ศิเขายังบังคับให้ไอกรกินให้หมดจานเลยหละครับ ช่างน่าสงสารจริง ๆ เพื่อนเอ๋ย ส่วนจานสลัดและซุปของผมนั้นผมนั่งทานกับพี่เตอร์แกครับเพราะพี่เตอร์แกบอกว่าเขาตักมาเผื่อ  ซึ่งผมก็ไม่ปฏิเสธที่จะกินครับผมนั่งหั่นสต็กเข้าปากไปพลางตักน้ำซุปทานไปจนในที่สุดอาหารมื้อเย็นที่รวบอาหารมื้อกลางวันก็หมดจานครับ


ท่าทางแต่ละคนไม่ค่อยต่างกันสักเท่าไหร่ครับ เพราะทุกคนนี่นั่งพึ่งพุงกันทั้งนั้นโดยเฉพาะไอกรกว่ามันจะกินสลัดจนหมดจานมันสั่งน้ำส้มเพิ่มไปอีกสามแก้วครับ ซึ่งเหตุผลที่มันทำอย่างนั้นก็เป็นเพราะมันกินสลัดไปพลางกรอกน้ำส้มเข้าปากไปครับ มันถึงได้นั่งบวมน้ำเอาหัวซบบ่าพี่ศิอยู่แบบนั้นนั่นไง ผมได้แต่ส่ายหัวไปมาด้วยความระอาก่อนจะใช้มือหยิบกระเป๋าใส่เงินขึ้นมาเพื่อจ่ายค่าอาหารมื้อนี้


ซึ่งแต่ละคนก็ทำเหมือนกันหมดนะครับยกเว้นไอกร รายนั้นนอกจากจะมีบ่าแกร่งต่างหมอนแล้วมันยังมีกระเป๋าเงินส่วนตัวคอยจ่ายค่าข้าวน้ำให้อีกพูดไปก็น่าอิจฉามันเหมือนกัน แต่ก็นะถ้าให้ผมต้องไปหาแฟนหล่อ ๆ รวย ๆ แบบพี่ศิของไอกรมันผมยอมเป็นคนจ่ายเงินค่าข้าวค่าน้ำเองดีกว่า อันที่จริงผมก็ไม่ได้แอนตี้ความรักอะไรแบบนี้หรอกครับแต่ถ้าให้มันเกิดขึ้นกับตัวเอง อันนี้ก็ขอปฏิเสธแล้วกันผมยิ่งเป็นลูกชายคนเดียวของบ้านอยู่ถ้าเกิดไม่มีลูกหลานสืบสกุลผมอาจจะโดนบิดาและมารดาฆ่าเอาได้ครับ
ผมหยิบแบงค์ห้าร้อยออกมาวางไว้กลางโต๊ะเป็นคนแรกหลังจากนั้นก็เป็นพี่เตอร์ พี่วิ ไอบาสและพี่ศิตามลำดับหลังจากนั้นเงินที่วางกองอยู่กลางโต๊ะก็ถูกรวบรวมโดยพี่ศิและพี่เขาก็ยื่นมันไปให้พนักงาน (อาหารมื้อนี้ยอดทั้งหมดรวม ๆ แล้วประมาณสองพันปลาย ๆ เกือบจะสามพันบาทครับ เห็นไหมแพงบรรลัยเลยแต่ถือว่าซื้อความสุขแล้วกันนะครับ) หลังจากนั้นพวกเราก็รอกันไปสักพักพนักงานก็เอาเงินมาทอนให้ครับ หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจพวกเราทั้งหกคนก็พากันออกจากร้านและแยกย้ายกันกลับบ้านกลับหอ แต่ผมกับไอบาสต้องกลับไปเอามอเตอร์ไซค์ที่คอนโดของไอกรครับพวกผมสองคนก็เลยติดรถพี่ศิไปที่คอนโดด้วยแต่ก่อนที่ผมจะได้สาวเท้าเดินออกจากร้านไปพลันสายตาผมก็หันไปเจอกระเป๋าเงินที่ตกอยู่ใต้โต๊ะที่พวกผมทั้งหกคนนั่งกันอยู่ ผมก็เลยก้มลงไปหยิบมันขึ้นมาและเดินออกไปเพื่อจะนำมันไปคืนให้กับเจ้าของ (คงสงสัยหละสิครับว่าทำไมผมถึงรู้ว่าใครเป็นมัน นั่นก็ผมเป็นเพราะผมเห็นมันอยู่ในมือพี่เตอร์แกบ่อย ๆ เวลาแกพร่ำเพ้อถึง ‘My little princess’ ของแกครับ) แต่ดูเหมือนว่าผมจะใช้เวลาเก็บกระเป๋าเงินใบนั้นนานเกินไปหละครับเพราะตอนนี้พี่วิกับพี่เตอร์แกแยกย้ายกันไปแล้วและตอนนี้หน้าร้านก็มีแต่พี่ศิ ไอกร และไอบาสที่ยืนรอให้ผมออกมาจากร้านเท่านั้น


ท่าทางภาระผมจะเพิ่มขึ้นมาแล้วหละครับนั่นก็คือการเอากระเป๋าเงินไปคืนให้พี่เตอร์ ที่จริงก็อยากจะฝากพี่ศิไปหรอกนะครับแต่ดูผมจะใช้พี่แกเกินไปเอาเป็นว่า…พรุ่งนี้ผมค่อยเอาไปคืนให้พี่เตอร์แกที่โรงพยาบาลก็แล้วกัน ช่วงเช้าของวันพรุ่งนี้ผมไม่มีเรียนเสียด้วยสิเอาไปให้คนไม่หนักหนาอะไร เมื่อคิดได้เช่นนั้นผมก็เดินตามคนทั้งสามคนที่เดินนำผมไปและมุ่งตรงกลับไปยังคอนโดของไอกรก่อนจะขับมอเตอร์ไซค์ของตัวเองกลับหอ


ความจริงแล้วเรื่องคืนกระเป๋าเงินให้พี่เตอร์ผมไม่ได้กลัวว่าตัวเองจะรบกวนอะไรพี่ศิแกหรอกครับแต่ผมแค่อยากเห็นหน้าของ ‘My little princess’ ที่พี่เตอร์แกรักนักรักหนาครับ





TBC - Chapter 1-2

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0



และเมื่อผมเดินทางไปถึงห้องของตัวเองผมก็จัดการทิ้งตัวลงนอนบนเตียงพร้อมกับหยิบกระเป๋าเงินของพี่เตอร์แกขึ้นมา ใจหนึ่งผมก็อยากเปิดดูนะครับว่าเด็กคนนั้นเป็นใครแต่อีกใจผมก็ไม่อยากที่จะเข้าไปล่วงเกินพื้นที่ส่วนตัวของพี่เตอร์เขา และทุก ๆ คนที่อ่านมาถึงบรรทัดนี้พวกคุณไม่ต้องคิดว่าผมแอบชอบแอบหลงรักอะไรพี่เตอร์แกนะครับเพราะผมบอกแล้วไงว่าถึงผมจะไม่แอนตี้ความรักระหว่างผู้ชายกับผู้ชาย แต่ถ้าให้ผมมีความรักแบบนี้ผมขอปฏิเสธครับ ส่วนเหตุผลจริง ๆ ที่ผมอยากรู้ว่าเด็กผู้หญิงที่พี่เตอร์แกถวิลหานั่นคือใครก็มาจาก...ความรู้สึกอยาก ‘เจือก’ ล้วน ๆ ครับ ไม่มีเหตุผลอะไรมากกว่านี้ครับ (อย่าจิ้นหรืออย่ามโนกันนะครับทุกคน ผมไม่ตลกด้วย)


และด้วยความอยาก ‘เจือก’ ที่ล้นเหลือ มันจึงทำให้ผมตัดสินใจเปิดกระเป๋าเงินของพี่เตอร์แกออกพร้อมกับกวาดสายตามองไปทั่วกระเป๋า โดยรวมก็จะมีแต่พวกบัตรนิสิต บัตรสมาชิกคลับต่าง ๆ บัตรเครดิตและบัตรATM ผมเอานิ้วไล่หยิบบัตรแต่ละใบขึ้นมาดูแต่มันก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ (ก็ผมไม่ใช่พวกขโมยนี่ครับผมแค่อยาก ‘เจือก’ นิด ๆ หน่อย ๆ เอง) จนกระทั่งนิ้วของผมไล่ไปโดนกระดาษโฟโต้ที่มีความด้านเป็นเอกลักษณ์ของกระดาษชนิดนี้ ผมใช้นิ้วคีบมันขึ้นมาพร้อมกับใช้สายตาเพ่งพินิจไปที่รูปถ่ายใบนั้น
สายตาของพลางไล่มองตามโครงหน้าของเด็กชายตัวสูงที่มีเรือนผมสีน้ำตาล นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนเด็กผู้ชายคนนี้น่าจะเป็นพี่เตอร์แกหละมั้งครับ หลังจากที่มันพินิจมองใบหน้าของพี่เตอร์แกเสร็จสายตาของผมก็เบนไปมองเด็กอีกคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พี่เตอร์เขา เด็กคนนั้นมีดวงตากลมโตสีดำสนิทและเช่นเดียวกันกับเส้นผมของเขาก็เป็นสีดำเช่นกัน ท่าทางเด็กคนนี้น่าจะเป็น ‘My little princess’ ของพี่เตอร์เขานะครับ


แต่พอผมมองดูดี ๆ แล้วเด็กคนนี้ก็หน้าตาคุ้น ๆ อยู่เหมือนกันนะครับ มันคลับคล้ายคลับคราเหมือนใครสักคนที่ผมรู้จักเลยหละครับ


ผมใช้นิ้วตนนิ้วยันคางตัวเองนึกอยู่นานสองนานแต่ทำยังไงผมก็นึกไม่ออกจนในท้ายที่สุดผมก็ต้องเดินไปหยิบโน๊ตบุ๊คคู่ใจที่ใช้มาตั้งแต่สมัยชั้นปีที่ 1 ขึ้นมาและเปิดอัลบั้มภาพครอบครัวไล่ตั้งแต่ภาพสมัยผมยังเด็กจนถึงตอนโต แต่ผมโชคดีครับผมไม่ต้องใช้สายตาไล่มองภาพนับร้อยนับพันภาพในอัลบั้ม เพราะภาพแรกที่ผมกดดูผมก็เจอเด็กคนที่อยู่ในภาพใบนั้นกับพี่เตอร์เลยหละครับ


เด็กตัวเล็กที่มีใบหน้าน่ารักน่าชัง ดวงตาและเรือนผมสีดำสนิท ริมฝีปากเล็ก ๆ ที่รอยยิ้มออกมานั้นยิ่งทำให้ทุกคนรู้สึกว่าเด็กคนนั้นน่ารักมากกว่าเก่า…


ไอผมก็ว่าแล้วว่าทำไมผมถึงคุ้นหน้าคุ้นตาเด็กคนนี้เป็นอย่างดี…เพราะคำตอบของคำถามนั้นมันแน่ชัดอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์สุดที่รักของผมแล้วหละครับ


เด็กน้อยที่พี่เตอร์แกพร่ำเพ้อถึงและเรียกเข้าว่า ‘My little princess’ แถมนอกจากนั้นพี่เตอร์และเด็กคนนั้นยังมีสัญญาต่อกันว่าโตขึ้นพวกเขาจะแต่งงานกัน เด็กคนนั้น…คือผมเอง


มันไม่มีเรื่องอะไรที่นรกแตกเท่ากับเรื่องนี้อีกแล้วหละครับ คือผมไม่เคยจำได้นะว่าตัวของผมเคยไปสัญยง สัญญาอะไรกับใครไว้ และยิ่งไอเรื่องสัญญาว่าจะแต่งงานเนี่ยผมยิ่งจำได้แน่ชัดเลยหละครับว่าผมไม่เคยไปสัญญากับใครเขาไว้ ไอผมนี่ไล่ดูรูปที่แสกนลงคอมแต่ละภาพเลยนะครับตั้งแต่ผมเป็นเด็กทารกยันโตจนเรียนปริญญาตรีชั้นปีที่สามผมไม่เคยเจอภาพของตัวเองที่ถ่ายภาพคู่กับพี่เตอร์แกเลยสักภาพเลยครับ


แต่ใช่ว่าในคอมของผมไม่มีแล้วที่บ้านผมจะไม่มี ผมรีบผละตัวออกจากคอมพร้อมกับคว้าโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมากดโทรหาพระมารดาที่ (น่าจะ) อยู่ที่บ้านทันทีเลยหละครับ


ผมถือสายโทรศัพท์รอสักพักและในที่สุดพระมารดาของผมก็รับโทรศัพท์สักที “ไงเจ้าลูกตัวแสบ วันนี้เกิดอะไรขึ้นเนี่ยถึงโทรหาแม่ตอนตะวันยังไม่ตกดินได้” เสียงของแม่เอ่ยทักผมครับ ซึ่งสมควรที่คุณแม่ของผมจะตกใจหละครับเพราะผมไม่เคยโทรกลับบ้านหรือโทรหาท่านเวลาราว ๆ นี้ (ปกติผมมักจะโทรหาท่านตอนสองถึงสามทุ่มครับ)


“แม่เจมส์อยากรู้ แม่จำตอนที่เราอยู่ตอนเชียงใหม่ได้ป่ะตอนนั้นเจมส์ได้ไปสนิทกับใครหรือเปล่าพอดีเจมส์มีเรื่องสงสัยอ่ะ” ผมเลือกที่จะไม่ตอบคำถามของแม่นะครับเพราะผมเลือกที่จะถามคำถามที่ผมคาใจออกไป ทุกคนน่าจะสงสัยสินะครับว่าผมพูดถึงตอนอยู่เชียงใหม่ทำไม ผมไม่เคยเล่าใช่ไหมครับว่าตอนเด็ก ๆ ผมเคยอยู่เชียงใหม่ คือผมเคยอยู่เชียงใหม่ตั้งแต่เกิดจนขึ้นเรียนจบอนุบาลสามครับ (พอดีพ่อกับแม่ของผมเขาพบรักกันที่เชียงใหม่ทั้ง ๆ ที่ทั้งสองคนเป็นคนกรุงเทพทั้งคู่ก็เลยแต่งงานกันที่โน่นมีผมที่โน่นก่อนจะได้ย้ายกลับลงมาทำงานที่กรุงเทพครับ) และหลังจากผมจบอนุบาลสามพ่อ (ที่รับราชการตำรวจ) กับแม่ (ที่รับราชการเป็นครูชั้นมัธยมต้น) ของผมก็ขอทำเรื่องของย้ายกลับมาที่กรุงเทพได้ ผมก็เลยกลับได้มาเรียนชั้นประถมหนึ่งในภาคกลางและได้เจอไอกร ไอบาส ไอไฮซ์และกานต์ครับ


“ทำไมถึงอยากรู้หละลูก ตอนนั้นเป็นช่วงที่เจมส์ไม่อยากจำมากที่สุดเลยไม่ใช่เหรอไง” มันก็ใช่นะครับที่ผมไม่อยากจะจำเลยว่าตอนนั้นผมโดนเด็ก ๆ ที่โรงเรียนอนุบาลในเชียงใหม่กลั่นแกล้งอะไรบ้างและพวกเค้าจะแกล้งผมด้วยเหตุอะไร แต่เรื่องนั้นกับเรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกันครับเรื่องที่ผมอยากรู้นั่นก็คือทำไมพี่เตอร์แกถึงมีภาพที่ถ่ายคู่กับผมด้วยเนี่ย แถมท่าทางผมจะสนิทสนมกับพี่เตอร์แกมากเลยด้วยครับดูได้จากในภาพ


แต่…ผมขอสารภาพตามตรงเลยนะครับ ผมนี่จำไม่ได้เลยว่าตอนที่ผมยังอยู่เชียงใหม่ผมเคยมีคนที่สนิทมากขนาดไปสัญยง สัญญาว่าจะแต่งงานกับเขาในตอนโตเลยนะครับ


“เจมส์แค่อยากรู้อะแม่เจมส์เคยมีเพื่อนรุ่นพี่ที่สนิทกันมาก ๆ ไหม” ผมเริ่มขี้เกียจเล่นถามตอบกับแม่ผมแล้วหละครับก็เลยใช้น้ำเสียงเร่งเร้าเพื่อให้ได้คำตอบ แต่ดูเหมือนว่าแม่ของผมจะรู้ว่าผมร้อนใจนะครับแกยิ่งบ่ายเบี่ยงแถมหลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามผม
“แค่อยากรู้งั้นไม่ต้องรู้ก็ได้ใช่ไหม แม่ก็ไม่อยากให้ลูกนึกถึงอดีตพวกนั้นถึงมันจะมีทั้งเรื่องไม่น่าจำและมีทั้งเรื่องน่าจดจำก็เถอะนะลูก งั้นแม่ขอไม่เล่าให้ฟังแล้วกันนะจะเจมส์” ไอประโยคแรกที่แม่เขาเอ่ยตอบผมมานั้นทำเอาผมแทบจะเหวี่ยงโทรศัพท์มือถือของตัวเองทิ้งจากชั้น 4 เลยครับ แต่ไอประโยคหลังนี่มันทะแม่ง ๆ นะครับเหมือนแม่ของผมแกจะรู้อะไรเกี่ยวกับผมตอนที่ผมอยู่เชียงใหม่นะ


“แม่..อย่าเล่นดิเจมส์อยากรู้จริง ๆ นะเล่าให้ลูกชายฟังหน่อยนะครับ” ผมเริ่มใช้น้ำเสียงออดอ้อนแม่ของผมจนในที่สุดแม่ของผมก็ยอมแพ้ครับ เธอก็ยอมเล่าเรื่องของผมสมัยตอนที่ผมอยู่ที่เชียงใหม่ครับ


“ลูกคนนี้นี่น้าก็ได้ ๆ เดี่ยวแม่เล่าให้ฟัง” แม่ของผมค้าแพ้ลูกอ้อนของผมครับแต่ให้ทำบ่อย ๆ มันก็ไม่ไหวเหมือนกันแอบขนลุกนิด ๆ เอาเถอะเรามาฟังแม่ของผมเล่ากันดีกว่าแล้วพวกคุณห้ามทำเสียงดังนะครับถ้าเกิดทำให้ผมรำคาญนี่เชิญปิดบันทึกของผมแล้วไปนั่งไกล ๆ เลย


“เจมส์ก็พอจำได้ใช่ไหมว่าตอนลูกอยู่อนุบาลหนูโดนเพื่อน ๆ แกล้งบ่อยใช่ไหมหละ ตอนนั้นนี่เราร้องไห้กลับบ้านมาทุกวันเลย แต่พอลูกขึ้นชั้นอนุบาลสองหนูก็เลิกร้องไห้กลับมาบ้านแถมนอกจากเลิกร้องไห้แล้วยังหัวเราะและยิ้มกลับบ้านมาเสียอีก มันก็เลยทำให้แม่เกิดอาการสงสัยแม่ก็เลยตัดสินใจแอบตามไปดูหนูหลังเลิกเรียนแล้วรู้ไหมตอนนั้นแม่ไปเจออะไรเข้า” แม่ผมหยุดเล่าไปสักพักเหมือนกับหยุดให้ผมย้อนกลับไปนึกถึงเรื่องราวในอดีตแต่ผมขี้เกียจคิดครับเลยเร่งให้แม่แกเล่าต่อไว ๆ ซึ่งไอการเร่งเร้าของผมนั้นทำให้ท่านหัวเราะคิกคักออกมาเสียยกใหญ่ผมนั่งฟังเสียงหัวเราะของแม่ไปสักพักจนในที่สุดเธอก็หยุดหัวเราะและพร้อมที่จะเล่าเรื่องราวให้ผมฟังต่อ


“แม่ไปเจอลูกเล่นกับเด็กผู้ชายคนหนึ่งจะ เขาเป็นลูกครึ่งด้วยนะเขาเป็นเด็กที่น่ารักมากแถมเอาใจใส่ลูกและคอยปกป้องลูกจากพวกที่แกล้งหนูด้วยแม่นี่ปลื้มใจเลยหละ แม่ยังแอบคิดเลยนะว่าถ้าหนูเป็นผู้หญิงนี่แม่จะยกหนูให้เขาไปเลยนะแต่ติดที่หนูเป็นผู้ชายนี่หละแม่ก็เลยนั่งเสียใจจนถึงทุกวันนี้” แม่ของผมพูดออกมาพลางทอดถอนลมหายใจไอผมนี่ได้ยินประโยคนั้นทำเอาผมเผลอตัวร้องว้ากใส่สายโทรศัพท์เลยหละครับ อารมณ์แบบทำไมแม่ถึงคิดแบบนั้นผมเป็นลูกชายนะและที่สำคัญคนที่แม่จะยกผมให้มันก็เป็นเด็กผู้ชาย แต่ท่านก็ไม่ได้สนใจอะไรในเสียงหวีดร้องของผมนะครับ เธอยังคงเล่าเรื่องของผมต่อไปด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความขบขัน


“หลังจากที่ลูกเล่นกับพ่อหนูคนนั้นไปแม่ก็เลิกที่จะห่วงลูกจะเพราะหนูมีองครักษ์คอยปกป้องแล้วจะ และหลังจากนั้นไม่นานพ่อหนูคนนั้นก็เริ่มเข้ามาเล่นกับหนูในบ้านของเรา เล่นกันกุ๊กกิ๊ก ๆ น่ารักมากแม่นี่ถ่ายภาพเก็บไว้หลายรูปเลยหละ แล้วพ่อหนูคนนั้นก็มาขอรูปถ่ายพวกนั้นไปรูปสองรูปด้วยหละจะแถมตอนนี้นี่แม่ยังเก็บไว้อยู่เลยนะเนี่ย แต่ว่าลูกมาขอให้แม่เล่าแบบนี้ทำเอาแม่อยากไปค้นรูปของหนูสมัยเด็ก ๆ เลยหละ” คุณแม่ท่าพูดไปบ้างก็หัวเราะไปครับ แต่ไอตัวผมนี่ขมวดคิ้วจนแทบจะเป็นปมเลยแล้วหละ แต่ผมก็อดทนนะครับถ้าเกิดโวยวายใส่ท่านไปศพผมอาจจะไม่สวยได้ (ก็ตามที่บอกว่าแม่ผมเป็นครูท่านมีวิธีลงโทษเด็ด ๆ เยอะครับ)


“แม่มีรูปด้วยเหรอเดี๋ยวตอนเจมส์กลับบ้านไปเจมส์ขอดูหน่อยนะแม่” ผมพูดตอบแม่กลับไปซึ่งเธอก็ส่งเสียงตอบตกลงมานะครับ แต่ดูเหมือสมาธิของเธอไม่ได้อยู่ที่โทรศัพท์แล้วหละครับการส่งเสียงตอบเบา ๆ มาแบบนี้แสดงว่าตอนนี้ท่านกำลังดูอัลบั้มภาพของผมตอนเด็ก ๆ อยู่แน่นอนเลยหละครับผมฟังท่านกรีดร้องใส่โทรศัพท์มาเป็นระยะ ๆ จนในที่สุด ท่านก็ส่งเสียงร้องออกมาสุดเสียงแล้วพูดกรอกหูผมด้วยน้ำเสี่ยงสั่นเครือปนเขินอายว่า


“เจมส์ลูก! ภาพ ๆ นี้หนูไปถ่ายตอนไหนเนี่ยแม่ไม่เห็นจำได้เลยเอะหรือว่าแม่เป็นคนกดถ่ายเอง” น้ำเสียงของท่านเต็มไปด้วยความตื่นเต้นจนผมนี่ถึงภาพของท่านออกเลยหละครับ ซ้ำเธอขอเปลี่ยนจากการคุยโทรศัพท์เป็นการคอลสไกป์แทนเลยหละครับ (สไกป์เป็นโปรแกรมแชทโปรแกรมหนึ่งเหมือนไลน์ วอทแอฟอะไรจำพวกนั้นครับซึ่งมันจะสามารถวิดีโอคอลได้ ซึ่งตอนนี้ไอสไกป์มันมาแทน MSN ที่ถูกปิดไปครับ) เมื่อคุณแม่เธอเรียกร้องมาแบบนั้น ผมผู้เป็นลูกที่เชื่อฟังพ่อเชื่อฟังแม่ก็ไม่อยากจะขัดใจแกครับ ผมก็เลยจำใจคลานขึ้นเตียงไปเปิดคอมออนสไกป์อีกครั้งครับ ซึ่งแม่ของผมก็กดคอลมาหาผมทันทีที่ผมออนเลยหละครับ


“ไงลูกแม่ไปเจอของเด็ดมาหละ” ผมนอนมองใบหน้าของแม่ที่ยิ้มกว้างพร้อมกับโบกมือเชิงบอกกับแม่ว่าให้รีบเอามาให้ผมดูไว ๆ ซึ่งท่านก็ไม่ได้ทำให้ผมรอนานครับเพราะภาพในนั้นอยู่ในมือของเธอและมันก็กำลังปรากฏอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ของผมเป็นที่เรียบร้อยหละครับ


ภาพนั้นเป็นภาพของเด็กชายสองคน…ไม่สิ…มันเป็นภาพของเด็กชายคนหนึ่งกับเด็กอีกคนหนึ่งที่มองแบบผิวเผินแล้วดูจะระบุเพศไม่ได้กำลังจูบกันอยู่ครับ ทันทีที่ผมเห็นภาพ ๆ นั้นผมนี่แทบร้องออกมาเป็นภาษารัสเซียเลยครับ แต่ก็ด้วยความเกรงใจเพื่อนร่วมห้องที่นอนเล่นคอมกันอยู่อย่างผมก็เลยได้แต่ถลึงตาใส่จอคอมและปิดมันทันที
คราวนี้จากการคุยสไกป์เปลี่ยนเป็นกลับมาคุยโทรศัพท์และสถานที่คุยไม่ใช่ในห้องของผมแล้วครับ เพราะตอนนี้สถานที่ที่คุยเปลี่ยนมาเป็นที่ระเบียงแล้วหละครับ


“แม่เด็กผู้ชายอีกคนในภาพนั้นอย่าบอกนะว่าเป็นเจมส์” ผมเอ่ยถามท่านด้วยน้ำเสียงวิตก ซึ่งภายในใจของผมกำลังภาวนาให้เด็กผู้ชายที่ระบุเพศไม่ได้มันไม่ใช่ผมครับ แต่ดูเหมือนว่าไอคำภาวนาของผมมันจะไม่เป็นผมครับเพราะคุณแม่ของผมตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสดใสว่า “ใช่แล้วจะเด็กน่ารัก ๆ อีกคนในรูปคือลูกนั่นหละ แต่ว่า…นอกเหนือจากการถ่ายภาพ ๆ นี้แม่รู้สึกว่ามันจะมีอะไรมากกว่านั้นนะแต่แม่นึกไม่ออกนี่สิ”


หน้าผมนี่ซีดสนิทซ้ำตอนนี้สมองผมเริ่มที่จะไม่รับรู้อะไรแล้วหละครับผมยืนถือโทรศัพท์ฟังแม่ของตัวเองพูดบ่นไปจนในที่สุด ท่านก็พูดประโยคที่ทำให้ผมตกใจมากกว่าเดิมเสียอีก “อ่อ…ใช่แล้ว! ใช่แล้ว! แม่จำได้หมดแล้วจ้า! ตาหนูคนนั้นเขาขอแม่ว่า เค้าอยากได้เจมส์ไปเป็นเจ้าสาวเขาขอเจมส์กับแม่ด้วยใบหน้าจริงจังเลยนะจะ ซ้ำลูกก็กอดแขนพ่อหนูคนนั้นแน่นเลยเหมือนกับว่าถ้าแม่ไม่อนุญาตลูกจะไม่ยอมปล่อยเขาไปแบบนั้นหละ ในท้ายที่สุดแม่ก็ต้องตบปากรับคำตกลงยกลูกให้เป็นเจ้าสาวของตาหนูคนนั้นไป”


สิ้นเสียงของแม่ผม…อันตัวของผมนี่แทบจะเป็นลมร่วงลงจากระเบียงเลยครับ แต่ดูเหมือนเรื่องราวสุดช็อคมันไม่หมดแค่นั้นครับเพราะสิ่งที่คุณแม่ท่านพูดออกมาต่อจากประโยคนั้นแทบจะทำให้ผมปีนระเบียงแล้วกระโดดลงไปนอนกองที่พื้นเลยหละครับ
“แล้วก็นะเจมส์ไม่ใช่แค่แม่กับพ่อรู้เรื่องที่ตาหนูคนนั้นของเราจากแม่เท่านั้นนะจ๊ะ พ่อแม่ของตาหนูนั่นก็รู้เรื่องด้วยนะจะ แถมเค้ายังตอบตกลงรับลูกเป็นว่าที่สะใภ้ของเขาด้วยหละลูก แต่ว่าที่หนูโทรมาหาแม่นี่ต้องการอะไรกันจะหรือว่าแอบไปถูกใจสาวหรือหนุ่มคนไหนเข้า เลยมาถามว่าตัวเองมีคู่หมั้นตั้งแต่สมัยเด็กหรือเปล่า” เมื่อถ้อยคำแม่วิ่งเข้าสู่โสตประสาทการรับฟัง มันทำเอาผมอยากจะเอาหัวโขกขอบระเบียงตาย ๆ ไปเลยหละครับ แต่กระนั้นผมก็ใจไม่กล้าพอที่จะทำก็เลยได้แต่ยืนคุยกับแม่ของตัวเองไปสักพักจนในที่สุดท่านก็ยอมวางสายไป ส่วนผมก็เดินกลับเข้าห้องไป แต่ในขณะที่ตัวผมเดินกลับเข้าไปในห้องภายในสมองของผมก็ไม่ได้มีแต่ความว่างเปล่านะครับเพราะตอนนี้ สมองของผมกำลังประมวลผลว่าผมจะทำยังไงกับเหตุการณ์ในอดีตเรื่องนี้นี้ดี
ข้อแรกที่ผมคิดได้นั่นก็คือพูดให้พี่เตอร์แกเลิกคิดเลิกฝันถึง ‘My little princess’ ของแก (ซึ่งในที่นี้ผมรู้ตัวแล้วว่าคน ๆ นั้นคือผมแต่พี่แกยังคงไม่รู้)


และข้อสองนั่นก็คือการบอกให้พี่เตอร์แกรู้ ๆ ไปเลยว่าไอ ‘My little princess’ ของแกเป็นผู้ชาย และผู้ชายคนนั้นไม่ใช่คนอื่นคนไกล เพราะคน ๆ นั้นคือผมนั่นเอง


ผมนั่งคิดนอนคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่นานสองนาน จนในที่สุดผมก็ตัดสินใจเลือกข้อแรกครับแต่ผมก็ยังไม่ทิ้งข้อสองนะเพราะถ้าเกิดไอข้อแรกใช้ไม่ได้ผลผมก็จะตัดสินใจไปใช้ข้อที่สองทันที อย่างน้อยมีแผนสำรองเอาไว้ใช้ก็ไม่เสียหายครับเมื่อคิดได้อย่างนั้นความง่วงก็เข้าครอบคลุมสติของผมและทำให้ผมจมสู่ห้วงนิทราไป




และมาถึงตอนเช้าวันแห่งการกำหนดชะตากรรมของผมวันนี้ผมตื่นแต่เช้าตรู่เลยหละครับและเหตุที่ทำให้ผมตื่นเช้านั่นก็เป็นเพราะผมต้องเอาเจ้าสิ่งที่อยู่ในมือของผมไปคืนให้กับคน ๆ หนึ่งและนอกจากนั้นผมก็ยังต้องพูดให้พี่เตอร์แกตัดใจจากผู้หญิง? ในฝันสมัยเด็กของเขาด้วย ผมยืนด้อม ๆ มอง ๆ อยู่หน้าคณะแพทย์อยู่นานสองนานในที่สุดเป้าหมายที่ผมต้องการจะเจอก็เดินทางมาถึงครับ (นี่ผมมาเร็วเกินไปเหรอเนี่ยแค่มาถึงตอนหกโมงเช้าเองนะ)


เมื่อเห็นเป้าหมายผมก็ตัดสินใจเดินดุ่ม ๆ เข้าไปหาพี่เตอร์แกทันทีพร้อมกับยกกระเป๋าเงินในมือให้พี่เขาดู เมื่อพี่เตอร์แกเห็นสิ่งของที่อยู่ในมือของผมพี่แกแทบจะถลาเข้ามากอดขาของผมเลยหละครับ ท่าทางพี่แกจะหวงกระเป๋า…ไม่สิต้องเรียกว่าพี่เตอร์แกหวงสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าเงินนี้น่าจะถูกต้องกว่า


“น้องเจมส์เก็บไว้ให้พี่เหรอครับขอบคุณนะ ถ้าพี่ไม่มีมันชีวิตนี้พี่คงอยู่ไม่ได้” ผมได้แต่ฟังประโยคนั้นอย่างปลง ๆ และใช้สายตามองความเว่อร์ของพี่เขาแต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรผมยังคงยืนนิ่งอยู่แบบนั้น แต่ในขณะที่มือของพี่เตอร์แกเคลื่อนที่มาหมายจะหยิบกระเป๋าเงินใบนั้นผมกลับกระชากมันเอาไปซ่อนเอาไว้ด้านหลังเสียงก่อน


ซึ่งการกระทำของผมนั้นทำให้ผู้เป็นเจ้าของกระเป๋าเงินใบนั้นงงเป็นอย่างมาผมนิ่งเงียบแบบนั้นอยู่สักพักในที่สุดผมก็ยอมเปิดปากพูดออกไปได้สักที


“พี่เตอร์...คนในรูปหนะเลิกยุ่งกับเขาจะดีกว่านะ” ผมพูดไปพลางก้มหน้าไปมันจึงทำให้ผมไม่เห็นสีหน้าของพี่เขาแต่ผมก็จับอารมณ์ของพี่เตอร์แกจากน้ำเสียงได้นะครับว่าพี่เขาเอยตอบผมกลับมาด้วยอารมณ์แบบไหน


“Why?? ทำไมครับน้องเจมส์ทำไมถึงพูดให้พี่เลิกยุ่งกับเธอคนนั้น” เสียงทุ้มที่เอ่ยออกมานั้นเต็มไปด้วยความสงสัยและคงมีความไม่พอใจเจือปนอยู่ด้วย ซึ่งผมคาดเดาเลยว่าใบหน้าของหนุ่มลูกครึ่งคนนี้คงแสดงสีหน้าตกใจออกมามิใช่น้อยเลยครับที่ได้ยินคำพูดที่ผมพูดไป ไอผมก็อยากจะบอกเหตุผลจริง ๆ ออกไปอยู่หรอกนะ แต่ถ้าพูดเรื่องหน้าอายแบบนั้นออกไปผมก็บ้าแล้วครับ ใครหน้าไหนมันจะไปกล้าบอกว่าเด็กในภาพนั่นคือตัวเอง (มันเป็นรูปเลิฟซีนเชียวนะครับ!) ซ้ำไอผมก็ไปรับปากตอบตกลงแต่งงาน ยอมเป็น ‘เจ้าสาว’ ของเค้าซะอย่างดีแถมมีพยานรู้เห็นเป็นแม่บังเกิดเกล้าของผม และพ่อแม่บังเกิดเกล้าของพี่เตอร์แกด้วย เรื่องนี้ผมจะไม่บอกพี่เตอร์เขาเด็ดขาด…นอกจากผมจะไร้หนทางแล้วจริง ๆ


“เลิกยุ่งกับเขาเถอะน่าเขาไม่ใช่คนที่พี่อยากแต่งงานด้วยจริง ๆ หรอก” ผมพูดใส่อารมณ์ยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งอีกฝ่ายก็เริ่มใช้อารมณ์โกรธโต้กลับมาไม่ต่างจากผมครับ


ไอเราก็รู้นะว่าการพูดให้ตัดใจจากคนที่ตัวเองฝังใจรักมาเป็นสิบปีมันดูน่าเกลียดแต่ในเมื่อคนที่เขาปักใจรักเป็นผู้ชายแถมคน ๆ นั้นมันก็คือผม…ไม่ว่าจะยังไงผมขอยอมต่อต้านสุดฤทธิ์ให้พี่เตอร์แกเลิกชอบ เลิกคิดเรื่องแต่งงานและไปเจอคนที่เหมาะสมกับแกมากกว่าผมดีกว่าครับ


“น้องเจมส์พี่ว่าเราสองคนคงพูดไม่รู้เรื่องกันแล้วนะครับ น้องมาบอกให้พี่เลิกสนใจเธอคนนั้น น้องเจมส์เป็นอะไรกับเธอคนนั้นเหรอครับ” คำถามนี้กระแทกเข้ามาในใจผมอย่างรุนแรงครับ พี่เตอร์ครับถ้าผมบอกเหตุผลและความสัมพันธ์ของคนในภาพให้พี่ฟังได้ป่านนี้ผมบอกพี่ไปนานแล้วครับแต่นี่มันบอกไม่ได้ไงเลยไม่พูด


“…ผมคิดว่าพี่เลิกยุ่งกับเธอเถอะครับถ้าพี่ไม่เลิกยุ่งแล้วจะหาว่าผมไม่เตือน” ผมพูดกระแทกเสียงใส่พี่เตอร์แกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะเอากระเป๋าเงินที่ซ่อนไว้ข้างหลังไปแปะไว้ที่แผ่นอกของพี่เขาและเดินดุ่ม ๆ ออกมาโดยที่ไม่สนใจเสียงร้องเรียกของพี่เตอร์เลยสักนิด


เอาเป็นว่าตอนนี้ผมคิดว่าคำพูดของผมคงสำเร็จไปขั้นแล้วหละมั้งครับอย่างน้อยที่ผมพูดไปแบบนั้นอาจจะทำให้พี่เตอร์แกคิดว่าคนในภาพนั้นมีเจ้าของแล้วหรือเป็นคนไม่ดี แต่ถ้าวิธีแกปัญหาอย่างแรกมันใช้ไม่ได้แล้วหละก็…แผนที่สองก็คงต้องถูกงัดออกมาใช้ด้วยแล้วหละครับ

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
นี่เรียกว่า แผน แล้วเหรอน้องเจมส์
สงสารพี่เตอร์อ่ะ รักปักใจมานาน อิอิ

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0



Chapter 2


คำถาม…พวกคุณเคยเจอคนที่คุณพูดเตือนเขาแล้วเขาไม่เชื่อหรือไม่ฟังบ้างไหมครับ ถ้าคุณไม่เคยเจอผมแนะนำให้มาเจอกับพี่เตอร์แกครับ เพราะนับจากวันนั้น (ก็ไอวันที่ผมเอากระเป๋าเงินไปคืนพี่เขานั่นหละครับ) พี่เตอร์แกก็ตามติดผมตลอดแต่ไอที่ตามติดไม่ใช่ว่าแกจะตามหาเรื่องผมนะครับ แต่ที่พี่แกตามผมเนี่ยเพราะพี่เขาตามเพราะอยากถามเรื่องราวของเด็กในรูปว่าเด็กในรูปนั้นคือใคร เธอเป็นยังไงมั่งแล้วเจมส์รู้จักเธอใช่ไหม เจมส์ช่วยพาพี่ไปเจอเขาได้หรือเปล่า หรือไม่ก็ถามแนว ๆ ว่าเธอคนนั้นมีแฟนแล้วเหรอถึงไม่อยากให้พี่ไปยุ่งกับเธอ ซึ่งสภาพการแบบนี้มันเกิดขึ้นมาราว ๆ อาทิตย์กว่าสองอาทิตย์ได้แล้วหละครับ ซึ่งไอการเกาะติดทุกฝีก้าวแบบนี้ของพี่เตอร์…มันทำให้ผมเกิดอาการรำคาญ รำคาญมาก รำคาญสุด ๆ รำคาญแบบไม่ไหวแล้วครับ
และด้วยความรู้สึกรำคาญของผมมันเริ่มปะทุขึ้นมันก็เลยทำให้ผมตัดสินใจนัดพี่เตอร์แกมาคุยกันตัวต่อตัวในร้านกาแฟที่ผมเพิ่งเดินออกมานี่หละครับโดยบทสทนาทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นมีดังนี้ครับ



ผมนัดพี่เตอร์แกราว ๆ สี่โมงครึ่ง (ซึ่งเวลานั้นเป็นเวลาเลิกเรียนของผมและพี่เตอร์แกก็พอจะราวด์ผู้ป่วยเสร็จแล้วด้วยครับ) ที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งแถว ๆ มหาวิทยาลัยโดยผมเป็นฝ่ายมาถึงก่อนก็เลยต้องนั่งรอพี่เขาแต่ผมก็รอพี่เตอร์แกไม่นานนะครับก็แค่ไม่กี่สิบนาที (ประชดครับ) พี่เตอร์ที่ท่าทางเหนื่อยหอบก็เปิดประตูเข้ามาในร้านและรีบสาวเท้าเดินมานั่งทางฝั่งตรงข้ามผมทันที ใบหน้าของพี่เตอร์แกดูมีความสุขมากเลยครับ


พี่เตอร์คงคิดว่าผมจะแนะนำเธอคนนั้น (ซึ่งมันเป็นผมในทุกวันนี้) ให้แกได้รู้จัก…แต่เสียใจด้วยครับเพราะที่ผมนัดพี่เตอร์แกมาในวันนี้ ก็นัดมาเพื่อทำลายความฝันพร้อมกับลบล้างคำสัญญาสมัยเด็กของผมกับเขาครับ


“สวัสดีน้องเจมส์...เธอคนนั้นอยู่ไหน ‘My little princess’ ของพี่หนะ” พอมาถึงโต๊ะพี่เตอร์แกก็เอ่ยปากถามหาเจ้าหญิงน้อยของพี่เขาเลยครับ ความจริงผมก็อยากจะตะโกนบอกพี่เขาไปตรง ๆ เลยนะว่า ก็นั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ไงหละ แต่มันก็ทำแบบนั้นไม่ได้เพราะถ้าเกิดใช้เสียงดังตะคอกใส่แบบนั้น คนทุกคนในร้านต้องรู้หมดแน่ ๆ เลยหละครับว่ารักแรกและรักเดียวของเดือนคณะแพทย์ศาสตร์คนนี้เป็นผู้ชายและผู้ชายคนนั้นไม่ใช่คนอื่นคนไกลเลยครับเพราะมันเป็นผมนี่เอง


“นั่งก่อนเถอะพี่เตอร์อย่ารีบร้อน เดี๋ยวได้เจอแน่เจมส์ไม่โกหกพี่หรอก” ครับผมไม่โกหกพี่เตอร์เขาหรอก แต่ถ้าพี่เตอร์แกเจอเจ้าหญิงน้อยที่ตอนนี้ตัวไม่น้อยแล้วของพี่...พี่เตอร์จะทำใจรับได้หรือเปล่านี่ไม่รู้นะครับ


“โหยน้องเจมส์ครับจะไม่ให้พี่ใจร้อนได้ยังไง พี่รอเธอคนนั้นมาเป็นสิบปีเลยนะกว่าจะได้เจอ กว่าจะได้พบพี่ไม่รู้มาก่อนเลยว่าคนใกล้ตัวของพี่จะรู้จักเธอคนนั้นด้วย” ยิ่งผมพูดให้พี่เตอร์แกใจเย็นพี่เตอร์แกก็ยิ่งเพ้อฝันหนัก ตอนนี้คาดว่าสติของพี่เตอร์แกจะล่องลอยไปแล้วหละครับ


ผมควรดึงพี่แกกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงดีไหม…หรือว่าผมควรทิ้งให้พี่เตอร์แกเพ้อฝันต่อไปดี แต่ถ้าผมเลือกทางไหนพี่เตอร์แกก็คงผิดหวังอยู่ดีแค่ระยะเวลาที่จะผิดหวังมันต่างกัน ทางเลือกแรกพี่เตอร์แกจะผิดหวังไวและทำใจได้ไว ส่วนทางเลือกที่สองพี่เตอร์แกจะผิดหวังช้าและยิ่งรู้เรื่องช้าความฝังใจมันจะเยอะและจะทำให้พี่เตอร์แกต้องใช้เวลาทำใจนาน


ซึ่งผมก็เป็นคนที่ใจดีมากพอนะครับเพราะผมเลือกทางเลือกแรกให้พี่เตอร์แกครับ แต่ตอนนี้ผมไม่รู้จะเริ่มเรื่องยังไงแล้วหละสิเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวังและความยินดีของพี่เตอร์มันทำเอาผมพูดไม่ออกครับ ผมไม่อยากเป็นตัวทำลายความฝันและความรักอันมั่นคงของพี่เตอร์เลยจริง ๆ


แต่มันช่วยไม่ได้เพราะไอรักแรกและรักเดียวของพี่เขามันคือผม…และผมก็ไม่ได้อยากไปเป็นเจ้าสาวของใครอีกแล้วครับดังนั้นต่อให้ผมต้องทำร้ายจิตใจของผู้ชายคนหนึ่งผมก็จะทำครับ แต่ก็ขอรับปากผู้อ่านทุกคนด้วยนะครับว่าผมจะทำร้ายจิตใจของพี่เตอร์แกให้น้อยที่สุด (เท่าที่จะทำได้) ครับ


โดยวิธีการที่ผมจะบอกให้พี่เตอร์รู้ว่าไอ ‘My little princess’ ของพี่แกคือผมนั่นก็คือผมจะใช้รูปเพื่อเล่าเรื่องราวครับ ซึ่งผมคิดว่าการให้ดูรูปพัฒนาการของผมตั้งแต่ประถมหนึ่งยันประถมหกคงให้พี่แกเดาออกว่า เธอคนนั้นที่อยู่ในในของพี่เตอร์แกเป็นผู้ชายและหลังจากนั้นก็ค่อยบอกพี่เค้าอีกทีว่าคน ๆ นั้นคือผม เพื่อให้พี่เขาเลิกสนใจและเลิกวาดภาพความฝันตัวเขาแต่งงานกับเด็กคนนั้นสักที


เมื่อผมตัดสินใจได้แบบนั้นมือข้างหนึ่งของผมก็ควานหารูป (ที่ช่วงวันหยุดผมไปค้นมาจากบ้านโดยมีผู้ช่วยค้นเป็นพระมารดาของผมแต่ผมไม่ได้เอารูปที่ผมสมัยเด็กโดนพี่เตอร์แกจูบมาหรอกนะครับคือผมยังคงมียางอายอยู่) ออกมาถือไว้ พอพี่เตอร์แกเห็นภาพเป็นตั้งที่อยู่ในมือของผมพี่แกก็ทำตาลุกวาวเลยหละครับ


พี่แกคงคิดว่าสิ่งที่อยู่ในมือผมคือรูปของเธอคนนั้นกระมัง แต่ก็ต้องแสดงความเสียใจกับพี่เตอร์แกด้วยถึงแม้มันจะเป็นรูปของ ‘My little princess’ ของพี่เขาแต่มันก็ไม่ใช่รูปภาพในปัจจุบันและที่สำคัญไปกว่านั้นคนที่ปรากฏอยู่ในภาพก็ไม่ใช่ผู้หญิงด้วยครับ


“พี่เตอร์ก่อนที่ผมจะให้พี่ดูพี่ช่วยสัญญากับผมหน่อยได้ไหมว่าพี่จะไม่โวยวายอะไรเสียงดังเมื่อเห็นมัน” ผมเอ่ยข้อตกลงให้พี่เตอร์แกฟังซึ่งพี่เขาก็พยักหน้าตอบรับครับ ท่าทางพี่เตอร์แกนี่อยากจะเห็นรูปพวกนั้นเต็มแก่แล้วหละครับ ไอผมก็ไม่ได้อยากจะใจร้ายซ้ำซากก็เลยเริ่มเรียงภาพตั้งแต่ผมย้ายบ้านมาอยู่กรุงเทพทีละภาพให้พี่เตอร์แกดู


ซึ่งภาพแรกที่ผมเรียงให้พี่เตอร์แกดูนั้นมันก็คือภาพที่ผมย้ายมาเรียนที่กรุงเทพตอนประถมหนึ่งครับแต่ในภาพผมไม่ได้ใส่ชุดนักเรียนพี่เตอร์แกก็คงยังไม่รู้ว่าคนในภาพนั้นเป็นเด็กผู้ชาย และทันทีที่ผมละมือออกจากภาพพี่เตอร์แกก็ถลาเข้ามาหยิบภาพใบนั้นและจ้องมองอย่างเอาเป็นเอาตาย…บางทีผมก็อยากจะบอกพี่เตอร์แกไปนะครับว่า ‘เวลามองภาพของคนที่ชอบไม่ต้องทำหน้าน่ากลัวปนโรคจิตแบบนั้นก็ได้เพราะมันทำลายภาพพจน์เดือนคณะแพทย์ชั้นปีที่หกจนป่นปี้เลยครับ’


ผมนั่งรอให้พี่แกชื่นชมรูปภาพของผมตอนชั้นประถมหนึ่งไปสักพักรูปภาพใบที่สองก็ถูกยื่นไปให้พี่เตอร์แกดู ภาพ ๆ นี้เป็นภาพตอนที่ผมอยู่ชั้นประถมสองครับ ใบหน้ายังมีเค้าโครงของเด็กผู้หญิงอยู่ แต่ทุก ๆ คนก็น่าจะมองออกแล้วนะครับว่าคนในภาพนั้นเป็นเด็กผู้ชาย แต่ทุก ๆ คนที่มองออกนั้นไม่รวมพี่แตอร์แกครับ…


แต่ผมก็ยังไม่ยอมแพ้ครับรูปภาพใบที่สามก็ถูกยื่นไปตรงหน้าพี่เตอร์แกซึ่งในภาพนั้นผมเริ่มตัดผมสั้นแล้วหละครับและสภาพร่างกายก็เริ่มบงบอกแล้วว่าคนในภาพนั้นเป็นเด็กผู้ชาย…ทุกท่านคิดว่าพี่เตอร์แกมองออกไหมครับ…ถ้าคุณตอบว่ามองไม่ออกนั่นคือคุณตอบถูกครับ ผมนี่จนปัญญาเลยจริง ๆ และในขณะที่ผมนั่งสิ้นหวังอยู่นั้นพี่เตอร์แกก็เอ่ยถามคำถามใส่ผมครับซึ่งคำถามนั่นทำเอาผมแทบจะหาพัดกระดาษ (ที่มันฟาดแล้วเสียงดัง ๆ หนะครับ) เอามาฟาดใส่หัวพี่เตอร์แกไปเต็มแรงสักที “เจมส์ครับอย่าบอกนะครับว่า ‘My little princess’ สุดที่รักของพี่เป็นน้องสาวของเจมส์”


เอิ่ม…ผมจำได้นะครับว่าผมเคยบอกพวกพี่ ๆ เขาไปแล้วว่าผมเป็นลูกคนเดียวแล้วพี่เตอร์แกไม่ได้จำเลยหรือยังไง ทันทีที่ผมได้ยินคำถามของพี่เตอร์ผมนี่ถึงขั้นนั่งก้มหน้ากุมขมับเลยครับ


‘พี่เตอร์ครับผมควรพูดว่าพี่เตอร์ซื่อ หรือว่าพี่เตอร์บื้อดีครับหรือพี่เตอร์เป็นมันทั้งสองอย่างรวมกันเลย?’


“พี่เตอร์ครับ...ผมเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าผมเป็นลูกชายคนเดียว” ผมพูดซ้ำให้พี่เตอร์แกนึกออกซึ่งเขาก็พยักหน้าตอบรับนะครับ สายตาของพี่เตอร์ไล่มองภาพในมือของพี่แกอยู่นานจนกระทั้งพี่เตอร์แกปล่อยภาพทั้งหมดลงกับโต๊ะและเงยหน้าขึ้นมาถามผมด้วยสีหน้าเศร้าใจแบบสุด ๆ


“หรือว่าเจมส์...เป็นแฟนของ ‘My little princess’ …” เสียงที่พี่เตอร์เอ่ยออกมานั้นเบาบางราวกับว่าคนกำลังจะขาดใจ ส่วนผมทันทีที่ได้ยินประโยคนั้นก็ถึงกับกลั้นขำไม่ได้เลยครับ ผมนี่หลุดหัวเราะออกมาเสียงดังแต่ก็ต้องค่อย ๆ เงียบเสียงหัวเราะลงเพราะพี่เตอร์แกทำหน้าราวกับหัวใจแตกสลายไปแล้วหละครับ


สีหน้าของพี่เตอร์นี่ทำเอาผมต่อไม่ถูกเลยครับผมก็เลยตัดสินใจตอบปฏิเสธออกไปทันที “เปล่าครับเจมส์ยังไม่มีแฟนและก็คงไม่มีวันเป็นแฟนกับ ‘My little princess’ ของพี่เตอร์แน่นอนครับ” ใครบ้าจะไปเป็นแฟนกับตัวเองได้ ถ้าเกิดมีใครเป็นได้ช่วยบอกผมด้วยนะครับผมอยากเห็นหน้าคน ๆ นั้นจริง ๆ


และคำตอบที่ผมเอ่ยตอบพี่เตอร์ไปนั้นทำให้ใบหน้าหล่อเหลาของหนุ่มลูกครึ่งหากแต่คมเข้มแบบหนุ่มไทยก็คลี่รอยยิ้มกว้างออกมาอีกครั้งครับ


แต่ไอรอยยิ้มนั่นจะปรากฏอยู่บนใบหน้านั่นได้นานสักเท่าไหร่กันเชียว…เชื่อเถอะครับถ้าพี่แกรู้ความจริงพี่เตอร์คงไม่ได้แค่หัวใจสลายครับ ท้องฟ้าและโลกอันแสนสดใสภายในหัวใจพี่เตอร์คงถล่มลงมาเละเทะแน่นอนครับ ท่าทางพี่เตอร์แกจะวาดฝันวิมานบนอากาศไว้เยอะน่าดูเลยหละครับ


“ดูรูปต่อไปเลยนะพี่…” ผมบอกเขาซึ่งผมไม่ได้รอคำตอบของพี่เตอร์เขาหรอกครับภาพต่อไปคือภาพของผมที่อยู่เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่สี่ครับ แต่ภาพที่ตามไปติด ๆ กันเลยคือภาพของผมที่เรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ห้าและปีที่หกครับ ถ้าส่งภาพที่มีเค้าลางของเด็กผู้ชายมากขนาดนี้ผมเชื่อว่าพี่เตอร์น่าจะมองออกแล้วนะครับว่าคนในภาพนั้นเป็นผู้ชาย แต่จากที่ผมสังเกตจากสีหน้าของพี่เตอร์แก เขายังมีความลังเลอยู่ในใจครับ ‘นี่พี่ยังมองไม่ออกอีกเหรอครับว่า ‘My little princess’ สุดเลิฟของพี่นั้นเป็นผู้ชาย’


ไอผมนี่จนปัญญาแล้วครับผมก็เลยได้แต่นั่งเงียบอยู่นานสองนานจนกระทั้งพี่เตอร์แกเอ่ยถามถึงภาพต่อ ๆ ไป ซึ่งผมไม่ให้พี่แกดูภาพบ้าบอไร้สาระพวกนั้นแล้วหละครับสู้บอกพี่แกไปตรง ๆ เลยจะดีกว่า ผมนั่งเอนตัวพิงไปกับพนักพิงด้านหลังพร้อมกับยกขาขึ้นมานั่งไขว่ห้างมองใบหน้าของพี่เตอร์ที่เต็มไปด้วยความงุนงง


“น้องเจมส์ครับมีภาพเธอคนนั้นตอนโตไหมครับ พี่รับได้นะถ้าเธอคนนั้นจะเปลี่ยนไปเป็นทอม” โอเคครับเก็ตตอนนี้พี่เตอร์แกคิดไปแล้วครับว่าเจ้าหญิงของเขานั้นกลายเป็นทอมไปแล้ว ผมควรให้พี่แกคิดแบบนั้นต่อไปดีหรือควรเฉลย ๆ ให้พี่แกรู้ความจริงไปเลยดีครับ มันมีสองทางเลือกให้ผมเลือกแต่ผมก็ไม่อยากใจร้ายหลอกพี่เตอร์แกอีกผมก็เลยจัดการเลือกที่จะพูดความจริงออกไป
แม้มันจะทำให้พี่เตอร์แกช็อค หัวใจสลาย วิมานในอากาศล่มแต่พี่แกก็ได้รู้ความจริงนะครับว่าคนที่พี่เขาตามหานะพี่เขาได้เจอแล้ว แถมเจอมานานแล้วด้วย


“พี่เตอร์…ถ้าเจมส์บอกอะไรพี่ไป…พี่อย่าตกใจนะ” ผมพูดเน้นเสียงใส่พี่เตอร์แกซึ่งพี่เขาก็พยักหน้าตกลงรัว ๆ เลยหละครับท่าทางแกจะอยากรู้มากว่าเธอคนนั้นคือใคร เห็นแบบนี้แล้วผมรู้สึกผิดชะมัดที่จะทำลายความฝันวัยเด็ก (ยันโต) ของพี่เขาแบบนี้
…แต่ยังไงสักวันหนึ่งความจริงมันก็ต้องปรากฏครับ เพราะงั้นผมก็บอกให้พี่เค้ารู้ ๆ ไปเลยจะได้หมดเรื่องหมดราวสักที และพี่เตอร์แกก็จะได้ไปหารักใหม่ที่เหมาะสมมากกว่ามาเพ้อฝันลม ๆ แล้ง ๆ อะไรแบบนี้ครับ


“พี่เตอร์คนในภาพ ๆ นั้นพี่เตอร์เจอเขาแล้วนะพี่แต่แค่พี่เตอร์ไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง” ประโยคที่ผมเอ่ยพูดออกไปทำให้พี่เตอร์แกมองผมตาแทบถลนครับ และหลังจากที่พี่เตอร์แกตั้งสติได้คราวนี้มือทั้งสองข้างของพี่เตอร์นี่เอื้อมมาคว้าบ่าทั้งสองข้างของผมแล้วเขย่าผมรัว ๆ เลยครับ ริมฝีปากหนานั้นเร่งเอ่ยถามเลยครับว่าคน ๆ นั้นคือใคร


“น้องเจมส์ครับ ถ้าพี่เคยเจอแล้วคน ๆ นั้นคือใครเหรอครับบอกพี่เถอะพี่อยากเจอเธอคนนั้นมาตลอดบอกให้พี่รู้สักนิดก็ยังดี นะเจมส์พี่ขอร้องหละ” โถ่ว…พี่เตอร์พูดซะน่าสงสารเลยนะครับ….แต่ต่อให้พี่ไม่พูดแบบนี้ผมก็ตัดสินใจจะบอกความจริงทุกเรื่องให้พี่เตอร์รู้อยู่แล้วหละครับ


“ผมบอกแน่ครับพี่แต่ช่วยปล่อยผมก่อนได้ไหมครับผมนั่งไม่ถนัด” ผมพูดพร้อมกับค่อย ๆ แกะมือของพี่เตอร์ออกจากบ่า ผมนั่งจัดทรงเสื้อเล็กน้อยก่อนจะค่อย ๆ พูดความจริง (อันแสนน่าช็อค) ออกไป


“พี่เตอร์ครับ ความจริงพี่เตอร์เจอเขาตั้งแต่สองปีก่อนแล้วหละพี่เตอร์ก็แค่ไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง แต่ก็ไม่ผิดที่พี่เตอร์ไม่รู้ตัวหรอกครบเพราะคน ๆ นั้นถ้าพี่เตอร์รู้ว่าเขาเป็นใคร พี่เตอร์คงตกใจน่าดูเพราะตอนนี้เขาไม่เหมือนเดิมเลยแม้แต่นิดเดียว” ผมพูดแบบนี้ออกไปพี่เตอร์แกก็เริ่มใช้ความคิดแล้วหละครับ แกคงคิดถึงผู้หญิงที่แกเคยเจออยู่หละมั้งครับว่ามีใครบ้างแต่ในท้ายที่สุดพี่เตอร์ก็ยอมแพ้และรอให้ผมเฉลยครับ


“…เจมส์ครับบอกพี่เถอะครับถึงเธอคนนั้นจะเปลี่ยนไปมากมายขนาดไหนพี่ก็รับได้ครับ” พี่เตอร์แกพูดออดมาจากหัวใจแต่ผมพูดสวนหมัดตรงใส่พี่เตอร์ไปเลยครับ


“พี่เตอร์...รับได้เหรอถ้าคน ๆ นั้นหนะจริง ๆ แล้วเขาเป็นเด็กผู้ชาย” ประโยคนี้ที่ผมเอ่ยออกไปมันทำให้พี่เตอร์แกชะงักค้างพร้อมกับบอกให้ผมทวนคำพูดอีกรอบหนึ่งเลยครับ “เจมส์ครับ...ช่วยพูดอีกรอบหนึ่งได้ไหมครับเมื่อสักครู่พี่ได้ยินไม่ชัด”


ซึ่งผมก็ไม่ปฏิเสธที่จะพูดอีกรอบครับ แถมคราวนี้ผมพูดเสียงดังฟังชัดและอักขระนี่ครบถ้วยควบกล้ำนี่เปะทุกคำครับ “พี่เตอร์ครับ…พี่เตอร์จะรับได้เหรอครับถ้าคน ๆ นั้นที่พี่เฝ้ารอมาตลอด จริง ๆ แล้วเขาเป็นเด็กผู้ชาย”


สิ้นประโยคนี้มือของพี่เตอร์ที่นั่งเท้าคางอยู่นี่ร่วงไปอยู่บนตักของพี่เตอร์เลยครับ ท่าทางพี่เตอร์นี่น่าจะตกใจมาก ไม่มากธรรมดามากถึงมากที่สุดเลยหละครับ และจุดไคลแม็กของเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ตรงนั้นครับเพราะจุดไคลแมกมันอยู่ตรงนี้ครับ มันอยู่ตรงที่ผมต้องบอกพี่เตอร์แกไปว่าเจ้าหญิงน้อยหรือ ‘My little princess’ นั่นคือผมเอง ผมใช้เวลาทำใจอยู่สักพักจนในที่สุดผมก็กลั้นใจเอ่ยออกไป “พี่เตอร์ครับ…อย่าเพิ่งสติหลุดครับเพราะมันมีเรื่องที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นอีกจำที่ผมบอกไปได้ไหมครับว่า พี่เตอร์เจอเขามาตั้งนานแล้วแต่แค่ไม่รู้ตัว” ผมเอ่ยถามพี่เตอร์ออกไป ซึ่งสติที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดของพี่เขาก็บังคับใบหน้าในคมนั้นพยักหน้าขึ้นลงเพื่อเป็นการบอกให้ผมรู้ว่าเขายังคงจำที่ผมพูดไปเมื่อก่อนหน้านี้ได้ เมื่อพี่เตอร์ยังพอมีสติหลงเหลือผมก็เลยตัดสินใจใส่ประโยคจัดหนักใส่พี่เตอร์แกไปเลยครับ


“คน ๆ นั้นคือผมเอง…คือผมก็เพิ่งรู้ตอนที่เก็บกระเป๋าเงินของพี่ได้ก็เลยไปถามแม่มา…แล้วผมก็เลยได้รู้ว่าตอนเด็ก ๆ ผมสนิทกับพี่ชายคนหนึ่ง ซึ่งคน ๆ นั้นเค้าก็คือพี่เตอร์นั่นหละ” เอาหละครับคราวนี้เจอจัดหนัก พี่เตอร์สมองชัตดาวน์เป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ ตอนนี่สติแกหลุดออกจากร่างไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนผมก็ได้แต่นั่งมองพี่เตอร์ที่สติหลุดลอยไปด้วยความเป็นห่วงหละมั้ง
แต่ถึงกระนั้นความจริงก็เป็นสิ่งไม่ตายถ้าพี่เขาไม่รู้ตอนนี้ก็ต้องรู้ในอนาคต ผมสู้พูดให้เค้าเสียใจก่อนเลยดีกว่าครับพี่เขาจะได้ไม่เสียเวลาเพ้อฝันกับความรักสมัยเด็ก ๆ และทำให้พี่เตอร์เขาเตรียมตัวไปเจอความรักใหม่ได้ไว ๆ


ทว่าผมกลับคาดเดาผิดครับ การยึดติดกับความรักครั้งแรกของพี่เตอร์แกต่ำไปครับเพราะหลังจากผมนั่งมองพี่เตอร์แกเศร้าไปได้สักพักผมก็ตัดสินใจหยิบกระเป๋าเงินออกมาจ่ายค่าชาเย็นครับแต่ทันทีที่ผมลุกขึ้นและเตรียมตัวจะเดินออกจากร้านกาแฟนี้ไป พี่เตอร์แกก็กระชากแขนให้ผมทรุดนั่งลงอีกครั้งพร้อมกับพร่ำเรียกชื่อของผมที่เขาตั้งให้ซ้ำไปซ้ำมา (ก็ไอคำว่า ‘My little princess’ นั่นหละครับ)


จนท้ายที่สุดผมก็ทนพี่เตอร์แกพร่ำเพ้อออกมาไม่ไหวก็เลยดึงแขนตัวเองออกจากการเกาะกุมของเขาและเดินออกจากร้านไปโดยไม่คิดที่จะหันกลับไปมองพี่เตอร์แกเลยครับ เอาเป็นว่าตัวผมขอให้พี่เตอร์พบรักใหม่ที่ดีกว่ารักเก่านะครับผมขออวยพร



เอาหละนั่นก็คือเรื่องทั้งหมดที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่เกิดขึ้นครับ ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมพี่เตอร์แกถึงยึดติดตัวผมในสมัยเด็กมากนัก แต่ตอนนี้พี่เตอร์เขาก็รู้ความจริงอะไรทั้งหมดแล้ว ผมคิดว่าเขาคงตัดใจได้ไม่ยากแต่ก็คงต้องใช้เวลาสักพักหละครับสภาพจิตใจของพี่เตอร์แกถึงจะกลับมาเป็นปกติ (มั้ง) จะเอายังไงก็เอาเถอะครับตอนนี้อดีตของพี่เตอร์กับอดีตของผมมันจบไปแล้วครับ (สำหรับผมนะ)


ซึ่งช่วงระยะเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาพี่เตอร์แกไม่โผล่หน้ามาให้ผมเห็นเลย ถึงแม้ผมจะไปสิงสถิตที่คอนโดของไอกรบ่อยแต่ผมก็ไม่ได้เข้าไปอยู่ในห้องของพี่ศิหรอกครับ ใจหนึ่งก็กลัวจะเจอพี่เตอร์อีกใจก็กลัวมองหน้าพี่เขาแล้วรู้สึกผิด ผมก็เลยขออยู่ในห้องของกรมันแทนส่วนไอกรมันก็ไปนั่งเล่นนอนเล่นที่ห้องของแฟนมันครับ แต่ก็นะครับถึงผมไม่ทำแบบนั้นผมก็ไม่ได้เจอพี่เตอร์แกครับ เพราะนับจากวันนั้น (เท่าที่ผมแอบถามพี่วิแกมา) พี่เตอร์ก็เหมือนกับไร้หัวใจไร้จิตวิญญาณมาเรียนตอนเช้าก็จริงแต่เมื่อเลิกเรียนแล้วก็รีบกลับบ้านกลับหอทันที ตัวพี่วิแกก็สงสัยนะครับว่าอะไรที่ทำให้พี่เตอร์แกเฮิร์ทหนักขนาดนี้ พอผมได้ยินแบบนั้นความรู้สึกผิดมันข้าครอบงำทันที แต่ช่วยไม่ได้นี่ครับผมพยายามบอกให้พี่เตอร์แกเลิกฝันถึงคน ๆ นั้นไปแล้วพี่เตอร์แกก็ไม่เชื่อแถมไล่บี้ไล่ถามจนผมต้องบอกความจริงไปอันนี้เป็นความต้องการของพี่เตอร์เองผมก็ทำอะไรไม่ได้ครับ (แต่ถ้าให้ผมสารภาพตรง ๆ นั้นครับผมก็ไม่กล้าบอกพวกพี่ ๆ เขาเหมือนกันว่าไอตัวต้นเหตุที่ทำให้พี่เตอร์แกกลายเป็นแบบนั้นมันก็คือตัวผมเองนี่หละ ผมถึงได้ปิดปากเงียบแบบนี้ไป)


เอาเป็นว่าตอนนี้เรื่องของพี่เตอร์ตัดจบไปเถอะครับเรามาพูดถึงเรื่องกิจกรรมที่เป็นประเพณีของน้อง ๆ ปีหนึ่งกันดีกว่าครับ ถ้าใครเรียนมหาวิทยาลัยแล้วหรือไม่ก็เพิ่งเข้าปีหนึ่งทุก ๆ คนก็ต้องเจอกับกิจกรรมประชุมเชียร์ซึ่งไอการประชุมเชียร์บางทีก็จะมีฝึกร้องเพลงสันทนาการแต่บางที่ก็จะมีกลุ่มรุ่นพี่หน้าโหด ๆ ดุ ๆ คอยว้ากใส่รุ่นน้องเพื่อนสอนพวกเขาให้รู้ถึงความรักความสามัคคีกันในชั้นปี ซึ่งครั้งนี้ผมผู้อยู่ปีสาม (เอาเป็นว่าพวกผมทั้งกลุ่มรวมถึงสาวพรีมด้วย) ก็ได้รับหน้าที่อันมีเกียรติในการทำหน้าที่เป็นพี่ว้าก พี่ระเบียบ พี่สตาฟ หรือพี่อะไรต่อมิอะไรที่มหาวิทยาลัยอื่นเรียกกันครับ


และตอนนี้ผมกับเพื่อน ๆ ก็ยืนล้อมพวกน้อง ๆ ที่ยืนจัดแถวกันอย่างเป็นระเบียบหน้าสโลปครับ ซึ่งการเป็นพี่ว้ากนั้นมันต้องตีหน้าเข้มเหมือนเตรียมตัวไปฟัดกับใครได้ตลอดเวลาใช่ไหมครับ ดังนั้นผมกับพวกเพื่อน ๆ ก็เลยต้องยืนกอดอกทำหน้าเข้มกันไป ส่วนปากก็พูดพลางให้น้อง ๆ ร้องเพลงให้มันดัง ๆ หน่อย หรือไม่ก็พูดหาเรื่องพวกน้อง ๆ ให้มีอารมณ์อยากต่อยหน้าพวกผมครับ
ไอผมก็ไม่ค่อยชอบวิธีการนี้สักเท่าไหร่นักไอว้ากน้องเนี่ย ตอนปีหนึ่งที่ผมโดนว้ากผมนี่แทบจะลุกไปต่อยหน้ารุ่นพี่แต่ยังดีที่มีพวกเพื่อน ๆ ห้ามไว้เลยอยู่รอดปลอดภัยมาถึงทุกวันนี้ (ไม่โดนรุ่นพี่แบนหรือคว่ำบาตรครับ) ดังนั้นผมจึงไม่คิดจะสนับสนุนวิธีการว้ากน้องครับ แต่ให้ทำยังไงได้หละครับเพื่อนผมทั้งรุ่น พ่วงรุ่นพี่ปีสี่ไปอีกเกือบพันเค้าบอกให้จัด ผมซึ่งเป็นประธานรุ่นปีสามก็ต้องยอมจัดการประชุมเชียร์และจัดให้มีพิธีว้ากน้องครับ (คือแบบว่าถ้าขืนไม่จัดชีวิตของผมอาจจะไม่ปลอดภัยได้ เนื่องจากผมไปทำตัววอนเท้าของเพื่อน ๆ และเหล่ารุ่นพี่ แล้วพวกคุณเคยได้ยินคำพูดพวกนี้ไหมครับ… ‘พวกกรูโดนแล้วพวกรุ่นต่อ ๆ ไปก็ต้องโดน’ ไอประโยคนี้นั่นหละครับจึงทำให้เพื่อน ๆ คนอื่น ๆ อยากจัด แต่กลุ่มผมนี่ไม่อยากจะจัดเลยครับเพราะเหนื่อยก็เป็นกลุ่มของประธานรุ่นนี่นาเลยรับภาระหนักกัน แต่ไอพวกปากบอกไม่อยากจัดนี่ เสนอตัวกันมาเป็นพี่ที่คอยว้ากน้องกันหน้าสลอนเลยครับโดยเฉพาะไอกร รายนั้นนี่ลงชื่อสมัครเป็นพี่ว้ากคนแรกเลยทีเดียว คาดว่ามันคงแค้นจัดด้วยความกวนประสาทของมันเลยทำให้มันโดนพี่ว้ากลงโทษบ่อยมาก ซึ่งมันคงจะไปกวนประสาทน้องและหาเรื่องลงโทษน้องเหมือนกับที่มันเคยโดนแน่นอนครับ)


เอาเป็นว่าเรื่องพวกนั้นโยนมันทิ้งไปครับมันเป็นอดีต ตอนนี้เราต้องอยู่กับปัจจุบันครับผมยืนกอดอกพร้อมกับเดินวนไปรอบ ๆ แถวที่จัดอย่างเป็นระเบียบของรุ่นน้อง ผมใช้สายตา (ที่คิดว่ามันน่ากลัวที่สุดแล้ว) กวาดมองไปทั่วทั้งแถว (เพื่อหาเหยื่อมารองรับอารมณ์ของพวกเพื่อน ๆ ของผม) และในที่เหยื่ออารมณ์? ของเหล่าพี่ว้ากก็ปรากฏครับ ซึ่งความผิดของน้องคนนั้นนั่นก็คือมือถือ (เจือก) ดังขึ้นมาในตอนที่ทุก ๆ คนเงียบสนิท  งานนี้น้องคนนี้คงจะโดยมิใช่น้อยเลยหละครับ ผมใช้สายตาพร้อมกับกระดิกนิ้วเรียกรุ่นน้องคนนั้นออกมายืนหน้าแถวก่อนจะออกปากสั่งให้น้องคนนั้นหมอบลงไปกับพื้นครับ (นี่โชคดีนะน้องที่ตอนนี้มันมืดแล้วถ้ายังเป็นช่วงกลางวันน้องอาจจะโดนคอนกรีตเผาตายได้) และหลังจากสั่งให้รุ่นน้องนอนหมอบไปกับพื้นเรียบร้อยพวกผมก็เริ่มที่จะเอ่ยปากกล่าวต่อว่ารุ่นน้องคนนั้น เพื่อให้เป็นเยี่ยงแต่อย่าเอาอย่างครับ


“พวกคุณดูนะครับ! เพื่อนของพวกคุณไม่ให้เกียรติพวกผม ผมออกมาดูพัฒนาการของพวกคุณว่าพวกคุณแสดงความรักสถาบันมามากขนาดไหนแต่นี่ผมกับเจอเพื่อนของพวกคุณไม่ให้เกียรติดังนั้นเพื่อนของพวกคุณต้องโดนทำโทษ หวิดพื้นห้าสิบปฏิบัติ” ผมตะโกนเสียงดุออกไปซึ่งทำให้รุ่นน้องแต่ละคนหน้าซีดเป็นแถว ๆ บางคนนี่ถึงกับน้ำตาคลอในความโหดของผม แต่การลงโทษมันไม่จบที่รุ่นน้องคนนี้หรอกครับ เพราะในขณะที่รุ่นน้องกำลังวิดพื้นแบบขึ้นสุดลงสุดนั้นผมก็เอ่ยตะคอกออกมาอีกว่า “พวกคุณรักเพื่อนของคุณไหม…” ซึ่งน้อง ๆ ทุกคนก็ตอบกันว่า ‘รัก ครับ/ค่ะ’ ดังนั้นผมจึงสั่งให้รุ่นน้องผู้รักเพื่อนที่เหลือลุกนั่งสามสิบทีครับ “ถ้ารักก็…กอดคอลุกนั่งสามสิบปฏิบัติ”




v
v
v
v
v
v
v


ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0


เมื่อผมสั่งรุ่นน้องเริ่มส่งเสียงโอดครวญกันผมก็เลยจัดให้อีกยี่สิบทีตามคำเรียกร้อง “ห้าสิบปฏิบัติ!” คราวนี้เสียงร้องเงียบกริบพร้อมกับรุ่นน้องทุก ๆ คนเขยิบเข้าไปกอดคอกันและลุกนั่งอย่าง (ไม่ค่อยจะ) พร้อมเพรียง


อันนี้ผมบอกตามตรงเลยนะครับผมไม่ได้หวังว่าจะเอาคืนอะไรน้อง ๆ เลยรุ่นผมนี่โดนหนักไหมขอบอกว่าโดนหนักกว่านี้เยอะอันนี้ถือว่ายังเล็กน้อยครับเพิ่งวันแรก ๆ ต้องโดนแค่น้ำจิ้ม ๆ ก่อน


และผมกอดอกมองรุ่นน้องแต่ละคนลุกนั่งกันเสร็จผมก็จัดการเรียกรุ่นน้องที่โทรศัพท์มือถือดังให้ลุกขึ้นยืนพร้อมกับสั่งให้หันไปขอโทษเพื่อน ๆ ที่ต้องโดนทำโทษยกรุ่นครับ (รุ่นน้องคนนี้เป็นผู้ชายครับ) ไอรุ่นน้องคนนี้จ้องหน้าเอาแบบกินเลือดกินเนื้อเลยหละครับ แต่ผมก็ไม่คิดจะสนใจหรอกหน้าที่ของพี่ว้ากคือทำการทำให้รุ่นน้องทุกคนกลัวรวมไปถึงเกลียดขี้หน้าเลยด้วยซ้ำ


“ขอโทษเพื่อน ๆ ซะ…คุณทำให้เพื่อนของคุณต้องลำบาก ผมเคยบอกแล้วใช่ไหมถ้ามีใครในรุ่นทำผิดต้องรับผิดชอบยกรุ่น เมื่อคุณทำให้รุ่นของคุณโดนทำโทษหน้าที่ของคุณก็คือการขอโทษเพื่อน ๆ ของคุณ ไม่ใช่มายืนจ้องหน้าผมแบบนี้” ผมตะคอกใส่หน้ารุ่นน้องคนนี้แบบจะ ๆ ซึ่งท่าทางที่น้องมันแสดงออกมามันคงจะแค้นผมเอาเรื่องเลยครับ แต่ทำไงได้หละตามที่ผมได้บอกไปหน้าที่ของพี่ว้ากคือการทำให้ทุกคนกลัว ทำให้ทุกคนเกรงใจพวกกรุ่นพี่ (และถึงขั้นเกลียด) ดังนั้นต่อให้น้องมันไม่พอใจผมก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ


และหลังจากที่ผมสั่งไอรุ่นน้องคนนี้ก็ยืนจ้องหน้าผมอย่างเอาเป็นเอาตายสักพัก (มันจ้องจนพี่ว้ากคนอื่น ๆ ต้องมาล้อมมันหนะครับเพราะพวกเพื่อน ๆ ผมมันกลัวว่าไอเด็กคนนี้มันจะต่อยหน้าผม) มันก็ยอมหันไปก้มหัวขอโทษเพื่อน ๆ ของมัน “ขอโทษที่ทำให้ลำบากครับ” เมื่อมันเอ่ยขอโทษจบไอกรก็ไล่ให้รุ่นน้องคนนั้นกลับไปยืนที่เดิม สภาพของมันที่เดินกลับไปยืนนั้นนี่ผมขอบอกว่าดูไม่ค่อยได้ครับเพราะเสื้อผ้านิสิตขาวสะอาดตาเปื้อนไปด้วยฝุ่นที่อยู่ที่พื้น ส่วนเนื้อตัวเต็มก็ไปด้วยเหงื่อ (อากาศมันร้อนอยู่แล้วครับยิ่งโดนสั่งให้ทำโทษให้เหงื่อออกอีกมันยิ่งร้อนเป็นสองเท่าสามเท่า)


แต่ทำไงได้หละครับ..น้องเค้าผิดเองที่ไม่รู้จักกาลเทศะ เวลาแบบนี้มันต้องปิดมือถือหรือไม่ก็ปิดเสียงไม่ใช่ปล่อยมันร้องดังขึ้นมาตอนที่ทุกคนกำลังยืนนิ่งเงียบกันอยู่แบบนี้ ดังนั้นเรื่องนี้โทษผมไม่ได้ครับ


และหลังจากที่ผมทำโทษน้องคนนั้นเสร็จก็ถึงเวลาพักของผมครับ พวกผมพี่ว้ากปีสามเดินเรียงแถวเดินกลับไปหลังรุ่นน้อง (เรียกว่าซ่อนจะดีกว่าครับ) พวกปีสองที่ทำหน้าที่คอยฟอลโล่ (หรือเรียกว่าดูงานก่อนจะไปเป็นพี่ว้ากในปีหน้า) ก็เดินออกมาคุมพวกรุ่นน้องแทน


ผมเดินดุ่ม ๆ เข้าไปในห้องที่ได้จัดเตรียมไว้พร้อมกับควานหาขวดน้ำขึ้นมาดื่มเพื่อดับกระหาย และในขณะที่ผมกำลังกระดกขวดน้ำดื่มมือของไอเพื่อนคนไหนก็ไม่รู้ตวัดมาฟาดที่หัวผมหนึ่งทีจนทำเอาผมนี่สำลักน้ำจนเกือบตาย “เล่นเชี่ยไรวะกรูเกือบตาย” เมื่อผมหายสำลักน้ำผมก็หันไปมองไอคนที่ใช้มือตบหัวทันทีซึ่งคน ๆ นั้นคือรองประธานรุ่นหรือไอเพื่อน (เวร) กรนั่นเอง


“ไอเจมส์มรึงทำพวกกรูตกใจแทบตาย คิดว่าจะมีวางมวยซะแล้วกับไอน้องปีหนึ่งคนเมื่อกี๋ แต่ไอเด็กคนนั้นก็แสบใช่ย่อยนะมรึงกล้ามองหน้ารุ่นพี่ปีสามด้วยสายตาแบบนั้น” ไอเพื่อนกรที่รักพูดประโยคแรกด้วยน้ำเสียงกังวลหากแต่ประโยคหลังของมันนี่กระดี้กระด้าเต็มที่เลยครับ อารมณ์แบบมันเจอรุ่นน้องที่จะเจริญรอยตามมันแล้วอะไรแบบนั้น (ผมไม่เคยบอกใช่ไหมว่า กรตอนประชุมเชียร์ชั้นปีที่ 1 มันก็จ้องหน้ารุ่นพี่แบบนี้เหมือนกัน แต่ที่ไม่เหมือนก็คือไอกรไม่ได้จ้องด้วยสายตาแค้นเคืองแบบนั้น แต่สายตาที่มันจ้องคือสายตาที่เต็มไปด้วยความขบขันพร้อมกับตบบ่ารุ่นพี่แล้วพูดเบา ๆ ว่า ‘เหนื่อยไหมพี่เก็กโหดเนี่ย’ หลังจากประโยคนั้นไอกรก็โดนสั่งวิดพื้นอีกร้อยทีและมันก็ไม่ได้เข้าห้องเชียร์อีกเลย (รุ่นพี่กันมันครับเพราะถ้ามันเข้าไป ห้องเชียร์จะไม่เป็นห้องเชียร์อีกต่อไปเพราะความกวนประสาทจนทำให้พี่ว้ากแกหลุดขำ มันเลยโดนแบนจากห้องเชียร์และเปลี่ยนไปนั่งคุยกับรุ่นพี่หลังไมค์แทน ซื่งไอหลังไมค์ที่มันไปนั่งคุยคือพวกเจ้น้ำหวานแล้วก็เฮีย ๆ ของพวกผมนั่นหละ และหลังจากประชุมเชียร์จบไอกรก็เลยกลายเป็นไอคุณน้องกรที่รุ่นพี่ทั้งคณะรู้จักกันไปทั่วครับ ผมยังแปลกใจเลยไอตัวที่โดนแบนออกจากห้องเชียร์อย่างไอกรกลับต้องไปเก็กหน้าขรึมเป็นพี่ว้ากในห้องเชียร์ได้…นี่ถือเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของไอกรเลยครับ ผมคาดว่ามันคงวิ่งไปอวดพี่ศิของมันน่าดูเลย แต่กว่าจะมันทำได้ถึงขนาดนี้มันโดนเสี้ยมโดนสอนไปเยอะครับ)


“น้องมันผิดก็ต้องทำโทษจะให้กรูปล่อยไปแบบนั้นก็ใช่ที ถ้าไม่สอนให้รู้ว่าแบบไหนสมควรแบบไหนไม่สมควรมันก็ยังคงไม่เข้าใจคำว่ามารยาทกับคำว่ากาละเทศะหรอก” ผมหันไปตบหัวไอกรคืนพร้อมกับหยิบทิชชู่ที่วางอยู่ด้านข้างมาซับหน้าของตัวเบา ๆ ไอกรมันเล่นซะผมเปียกไปทั้งหน้าเลยครับแต่ก็ดีคลายร้อนไปได้หน่อยหนึ่ง


“ที่มรึงพูดมันก็จริง…แต่มรึงไอเจมส์ปากบอกไม่อยากให้มีไอพี่ว้าก ๆ เนี่ย แต่มรึงนี่เข้าถึงคำว่าพี่ว้ากคนแรกเลยนะเฮ้ยนี่วันที่สามของการประชุมเชียร์เองนะมรึง เล่นรุ่นน้องโหดขนาดนี้เลยเหรอวะ” ไอบาสสาวเท้าเดินมาท้าวแขนที่บ่าของผมอีกมือหนึ่งก็ยกขวดน้ำขึ้นดื่มไปด้วย


“ทำอะไรก็ต้องทำให้เต็มที่…รุ่นพี่รุ่นน้องที่ดูอยู่จะไม่ได้ว่าเอา” ผมไหวไหล่พร้อมกับใช้มืออีกข้างหนึ่งยกแขนของไอบาสออกจากบ่า “เอาออกไปมันหนักหวะ”


หลังจากที่พวกเราว้ากเกอร์ปีสามนั่งพักดื่มน้ำกันจนเสร็จขั้นตอนต่อไปก็คือการไปว้ากน้องครั้งสุดท้ายครับก่อนที่จะปล่อยพวกน้อง ๆ กลับบ้านกลับหอกัน


ถึงแม้กิจกรรมประชุมเชียร์จะเลิกมืดจนถึงดึก (เราเลิกกันตั้งแต่สามทุ่นจนถึงเที่ยงคืนครับ) แต่พวกเราก็คอยดูแลพวกน้อง ๆ นะครับยกตัวอย่างเช่นถ้าน้องคนไหนไม่มีรถหรือมอเตอร์ไซค์ขับกลับหอพวกที่มีรถมอเตอร์ไซค์จะขับไปส่งครับ (อันนี้สำหรับน้อง ๆ ที่นอนในหอในนะครับ ส่วนน้อง ๆ ที่นอนหอนอกแล้วไม่มีรถส่วนตัวพวกรุ่นพี่ที่นอนหอนอก (ที่นอนหอเดียวกัน) ก็จะพาพวกน้อง ๆ ไปส่งครับ แต่พวกน้อง ๆ ไปกลับพวกเราจะปล่อยน้องเค้าเร็วครับให้น้องกลับบ้านโดยที่ท้องฟ้ายังไม่มืด


แต่พวกสตาฟฝ่ายต่าง ๆ เช่น พวกผมที่เป็นพี่ว้าก น้อง ๆ ฝ่ายสันฯ ก็จะยังคงนั่งประชุมกันต่อครับและกว่าจะได้กลับไปนอนกันนี่ร่วมตีหนึ่ง ตีสองครับเอาเถอะไว้ผมจะอธิบายให้พวกคุณฟังต่อก็แล้วกันนะครับว่ากิจกรรมประชุมเชียร์นี้มีอะไรบ้าง แต่ตอนนี้พวกผมขอไปจัดการว้ากน้องอีกสักรอบแล้วกันนะครับ…ไว้เจอกันที่สโลฟครับ



การเป็นพี่ว้ากสิ่งสำคัญนอกจากความน่าเกรงขามนั่นก็คือเสียงอันทรงพลัง แต่ในตอนนี้เสียงของผมมันเริ่มจะหมดแล้วหละครับ (มิน่าหละเพื่อน ๆ ของผมถึงเอาน้ำมะนาวผสมน้ำผึ้งมาให้ดื่มเอา ๆ แต่พรุ่งนี้ผมจะเซย์โนว์ ไม่ดื่มมันอีกต่อไปแล้วหละครับ เพราะขอบอกเลยว่าไอน้ำมะนาวผสมน้ำผึ้งเนี่ยมันไม่มีประโยชน์หรือช่วยผมอะไรเลยสักนิดครับ)


การตะคอก ตะโกนบ่อย ๆ นานนับชั่วโมงนี่ทำให้เสียงของผมหายไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งตอนนี้ผมก็ขอแทคมือเปลี่ยนให้ไอบาสมาทำหน้าที่เป็นเฮดว้ากน้องแทนแล้วหละครับ ส่วนตัวผมหนะเหรอขอกลับเข้าหลังเวทีและไปหาอะไรที่มันชุ่มคอดื่มก่อนแล้วกันนะครับ


ผมสาวเท้าเดินออกจากสโลฟพร้อมกับเลี้ยวเข้าไปในห้องพักของว้ากเกอร์ โดยภายในนั้นมีพวกฟอลโล่ปีสองนั่งพักกันอยู่ครับ น้อง ๆ ปีสองแต่ละคนค่อย ๆ ทยอยกันยกมือไหว้ผมกันครับ ซึ่งผมก็ยกมือรับไหว้นะแต่ผมไม่มีเสียงที่จะพูดตอบอะไรพวกน้อง ๆ เขาแล้วหละครับ และหลังจากผมรับไหว้พวกรุ่นน้องเสร็จผมก็สาวเท้าเดินไปหามุมเงียบ ๆ แอร์ตกใส่เยอะ ๆ เพื่อนั่งพักเสียงครับ
ผมนั่งพักเสียงไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดเวลาก็ล่วงเลยมาถึงสามทุ่มครึ่งครับซึ่งมันได้เวลาปล่อยให้น้อง ๆ กลับบ้านกลับช่องกลับหอ หรือน้องจะไปต่อก็ช่างหัวน้องครับ ซึ่งไอตอนเลิกประชุมเชียร์ในแต่ละวันพวกพี่ว้ากชั้นปีสามและฟอลโล่ชั้นปีสองต้องไปยืนทำหน้าดุใส่น้อง ๆ เพื่อทำให้น้องเข้ากลัวครับ (ส่วนว้ากเกอร์ปีสี่และปีสูงจะลงในวันหลัง ๆ ครับ และถ้าพวกรุ่นพี่ลงความบรรลัยจะมาเยือนพวกน้อง ๆ ครับ เพราะว้ากปีสูงจะว้ากกันหนักมากจนน้อง ๆ ไฮเปอร์ขึ้นกระจายแต่ก็ยังเบากว่าปีผมนะครับเนี่ยการประชุมเชียร์ปีนี้)


ผมยันกายลุกขึ้นพร้อมกับสาวเท้าเดินไปที่หน้าสโลฟซึ่งผมก็ยืนอยู่ตรงกลางแถวเลยหละครับ (ที่ผมต้องยืนอยู่ตรงกลางก็เพราะผมเป็นเฮดว้ากปีสามครับแต่ไอเรื่องที่ต้องยืนเด่นอยู่ตรงกลางก็ไม่เท่าไหร่แต่ความบรรลัยมันต่อจากนั้นครับ เพราะผมผู้ซึ่งเป็นเฮดว้ากต้องประกาศอะไรให้รุ่นน้องฟัง และพวกคุณทุกคนก็รู้นะครับว่าผมมีเสียงซะที่ไหนครับ ไอจะสะกิดให้เพื่อนพูดให้ ก็ดูเหมือนเสียฟอร์มผมก็เลยตัดสินใจพูดประกาศเองครับ ก็แค่บอกว่าให้น้องแต่งตัวมาเรียบร้อยและวันเวลาที่นัดครับ)


“พวกคุณทุกคนได้กระเป๋ากันครบหรือยัง ถ้าครบแล้วช่วยเงียบเสียงด้วย!” ประโยคแรกผมเอ่ยพูดเชิงห้ามปรามด้วยน้ำเสียงที่เข้มกว่าปกติ ซึ่งน้อง ๆ แต่ละคนก็เงียบเสียงตามที่ผมสั่งนะครับและเมื่อไม่มีเสียงรบกวนผมก็เลยเปิดปากพูดต่อ


“การประชุมเชียร์วันนี้ มีคนไม่รู้จักกาลเทศะผมจะไม่ถือโทษโกรธพวกคุณ แต่พรุ่งนี้! ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกผมจะสั่งลงโทษจะเพิ่มเป็นสองเท่า! เข้าใจไหม” การปิดเชียร์ก็ต้องพูดรวมสรุปสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละวันครับและเมื่อน้องทุกคนตอบคำถามของผมแล้วหลังจากนี้ก็เป็นการประกาศนัดวันเวลาที่จะประชุมเชียร์กันครั้งต่อไป (ซึ่งวันนัดมันก็คือพรุ่งนี้หละครับเวลาก็เวลาเดิมไม่รู้ว่าจะพูดเตือนน้อง ๆ ไปทำไม) “ในวันพรุ่งนี้ยังมีการประชุมเชียร์อยู่ พวกคุณทุกคนต้องมา และถ้ายอดน้อยกว่าวันนี้ผมจะสั่งทำโทษอีกเช่นกัน เข้าใจไหม” ผมตะคอกเสียงถามรุ่นน้องอีกครั้งซึ่งครั้งนี้ทุก ๆ คนก็ต้องรับกับอย่างพร้อมเพรียง ช่างเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจจริง ๆ เลยหละครับ


และเมื่อผมได้รับคำตอบจากพวกรุ่นน้องผมก็ทำการประกาศเลิกเชียร์วันนี้ครับ “ถ้าเข้าใจ…เลิกแถวได้!” ผมตะโกนเสียงดังและเมื่อสิ้นเสียงร่างของผมก็หันหลังเตรียมตัวเดินกลับเข้าไปในตึกคณะ แต่ก็ไม่ทันที่ผมจะได้เคลื่อนตัวออกจากแถวและรุ่นน้องก็ยังไม่ได้แยกแถวรถเบนซ์สุดหรูคันหนึ่งก็พุ่งทะยานเข้ามาจอดบริเวณด้านข้างสโลฟ


ซึ่งไอรถคันนี้ผมรู้จักเจ้าของมันเป็นอย่างดีครับนั่นก็เป็นเพราะคนที่เป็นเจ้าของมันคือคนเพื่อนรุ่นพี่สมัยเด็กของผม เป็นคนที่ผมทำให้หัวใจดวงน้อย ๆ ของเขาแตกสลายและที่สำคัญเป็นอดีตว่าที่เจ้าบ่าวของผมครับ และเมื่อรถเบนซ์คันนั้นหยุดอยู่นิ่งไม่กี่วินาทีต่อมาร่างสูงของเดือนคณะแพทย์ศาสตร์ (ชั้นปีที่หก) ก็เดินลงมาจากรถพร้อมกับสาวเท้าเดินตรงมาที่ผม ไอตัวผมจะหนีมันก็จะเสียฟอร์มพี่ว้ากสุดโหด แต่ถ้าไม่หนีความบรรลัยอาจจะเกิดขึ้นกับผมอีกครั้ง ทว่าไอตัวเลือกที่หนึ่งก็ถูกตัดไปครับเพราะไม่กี่วินาทีต่อมาร่างสูงของพี่เตอร์ก็เดินมาประชิดตัวผมพร้อมกับใช้มือแกร่งของเขากอบกุมมือข้างหนึ่งของผมไว้เพื่อไม่ให้ผมหนีไปไหน


สีหน้าของใบหน้าคมนั้นแสดงให้เห็นว่าตัวของพี่เตอร์นั้นจริงจังกับการกระทำที่เขาจะทำต่อไปนี้มาก เหมือนเวลานั้นหยุดหมุนแต่เพียงช่วงอึดใจร่างสูงนั้นก็เอ่ยพูดออกมาแต่มันไม่ใช่ถ้อยคำที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงธรรมดาครับนั่นก็เป็นเพราะพี่เตอร์แกตะโกนเสียจนดังลั่นเลยหละครับ (อารมณ์จะเอาให้รู้ทั้งคณะวิศวะและคณะข้างเคียงที่ยังประชุมเชียร์อยู่) ซึ่งถ้อยคำที่พี่เตอร์เอ่ยออกมาก็คือ
“เจมส์ครับ...ไม่ว่าเจมส์จะเป็นผู้ชาย หรือเจมส์จะไม่ชอบพี่แล้วแต่พี่ของประกาศไว้ตรงนี้ให้ทุก ๆ คนในคณะวิศวกรรมศาสตร์รู้เลยว่า พี่จะทำให้เจมส์กลับมาชอบและรักพี่อีกครั้งเหมือนเมื่อสมัยเด็กครับ และต่อจากนี้ไปพี่จะไม่ลังเลอะไรอีกแล้วครับ นั่นก็เป็นเพราะไม่ว่าเจมส์จะเป็นเพศไหนจะเป็นหญิงหรือชายยังไงเจมส์ก็ยังคงเป็น ‘My little princess’ อยู่ดี พี่รักเจมส์มากนะครับ! รัก…มาตลอดตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกันจนถึงวันนี้” เมื่อพี่เตอร์แกพูดทุกอย่างเสร็จเขาก็ปล่อยมือของผมพร้อมกับหันหลังเดินกลับขึ้นรถของตัวเองไป


ในใจของผมตอนนี้ผมอยากจะบอกพี่เตอร์ว่า ‘พี่เตอร์เป็นคนที่มาเร็ว เคลมเร็ว ซ่อมแล้ว…อย่างกับนักแสดงที่อยู่ในโฆษณาขายประกันภัยรถยนต์ยี่ห้อหนึ่งจริง ๆ เลยครับ’


แต่หลังจากที่สมองของผมประมวลผลทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย (ผมพยายามเรียบเรียงคนพูดของพี่เตอร์ครับ) ไอผมนี่แทบจะเป็นลมเลยครับที่เจอฉากสารภาพรัก (หละมั้ง) ที่ราวกับเป็นการประกาศให้คนทั้งโลกรู้ ให้ตายเถอะพี่เตอร์ทำไมพี่เป็นคนแบบนี้ ทำอะไรเว่อร์ ๆ และไม่รู้สถานการณ์เลยว่าตอนนี้มันสมควรพูดไหม


แต่กระนั้นผมรู้ชะตากรรมชีวิตของผมพรุ่งนี้แล้วหละครับ ผมท้าเลยถ้าเกิดข่าวนี้ไม่แพร่กระจายไปทั่วมหาวิทยาลัยผมให้พวกคุณเอามีดมาแทงผมเลยครับ




TBC

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ starlight

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
กรี๊สสสสสสส คิดถึงตัวละครพวกนี้มากกกกกกก

ออฟไลน์ nu-tarn

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 800
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-6
จัดการน้องเลยพี่เตอร์  :impress2:

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
5555 พี่เตอร์ลุยแล้วววววว

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0


Chapter 3
พวกคุณเคยคิดไหมว่า ไอความบ้าระห่ำของใครบางคนมันจะทำให้ตัวเองซวยถ้าพวกคุณไม่คิดผมขอให้คุณดูตัวของผมเป็นตัวอย่าง จากเฮดว้ากมาดขรึมกลายเป็นตัวตลกของรุ่นน้องทั้งชั้นปีไม่สิ กลายเป็นตัวตลกของคนทั้งคณะจะถูกกว่านะครับ (เริ่มเข้าใจความรู้สึกไอกรมานิดหน่อยแล้วหละครับตอนที่มันโดนล้อเรื่องระหว่างมันกับพี่ศิตอนชั้นปีที่หนึ่ง) เพราะว่าผมไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็จะมีแต่คนแซวหรือร้องทักจนตอนนี้ผมแทบอยากจะวางระเบิดตึกคณะทิ้งไปเลยครับ (เพราะทุก ๆ คนรู้จักผมครับและทุก ๆ คนก็รู้จักพี่เตอร์ด้วยเช่นกัน) แต่ที่จริงการโดนเพื่อน ๆ หรือรุ่นพี่รุ่นน้องที่รู้จักกันดีแซวหนะไม่เท่าไหร่ แต่การที่โดนน้องปีหนึ่งมองก่อนจะหันไปกระซิบกระซาบกันเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมรับไม่ได้ครับ


เพราะผมมีฐานะเป็นถึงเฮดว้ากปีสามแน่นอนควบตำแหน่งประธานรุ่นชั้นปีที่สามอีกต่างหากการโดนน้อง ๆ ปีหนึ่งจ้องมองมาราวกับว่าตัวของผมนั้นเป็นตัวตลกมันเป็นเรื่องที่ผมไม่อาจทนได้ครับ และหลังจากการคิดวิเคราะห์เพื่อแก้สถานการณ์นั้น เพื่อน ๆ ของผม (รวมกับเพื่อน ๆ ภาคอื่นที่เป็นว้ากเกอร์) ก็ได้ตัดสินใจปลดผมออกจากเฮดว้ากไม่สิเรียกว่าปลดผมออกจากการเป็นว้ากเกอร์ และไล่ไม่ให้ผมเข้ากิจกรรมประชุมเชียร์อีก



ซึ่งมันก็เป็นการดีครับที่ผมไม่ต้องทำงานหนักหรือรับหน้าที่อะไรหนัก ๆ อีก แต่หลังจากผมถูกปลดผมก็มีเรื่องที่ทำให้ต้องกังวลใจอยู่นิดหน่อย…นั่นก็เป็นเพราะคนที่รับหน้าที่เป็นเฮดว้ากต่อจากผมก็คือ ‘ไอเพื่อนกร’ … คุณไม่ต้องย้อนกลับไปอ่านหรือขยี้ตาเพื่ออ่านซ้ำหรอกครับเพราะคุณอ่านไม่ผิดหรอกเพราะเฮดว้ากคนต่อใหม่ที่มาแทนผมนั่นก็คือ ‘ไอคุณเพื่อนกร ไอคุณน้องกร ไอเชี่ยกร ไอกร’ นั่นเองหละครับ


งานนี้ไม่รู้ว่ากิจกรรมประชุมเชียร์จะรุ่งหรือจะล่มครับ…แต่ผมก็ขอให้มันเป็นอย่างแรกก็แล้วกันเพราะว่าผมไม่อยากเห็นประเพณีที่สืบทอดกันมาทีละรุ่น ๆ (ที่ผมอยากจะลบล้างมันไปแต่ก็ทำไม่ได้เพราะถ้าทำผมอาจจะโดนเพื่อน ๆ พี่ ๆ ฆ่าตายได้) เสียความศักดิ์สิทธิไปครับ


ดังนั้นวันนี้ผมก็จะขอแอบซุ่มดูหน่อยว่าไอเพื่อนตัวแสบของผมนั้นมันจะทำหน้าที่เฮดว้ากได้ดีขนาดไหนและนอกจากเรื่องนั้น ผมก็อยากจะรู้ว่าไอกรมันจะทำกิจกรรมประชุมเชียร์ปีนี้ล่มหรือเปล่า (ซึ่งผมก็ขอเหมือนเดิมครับขอให้มันไม่ล่มกลางคันเหมือนอย่างเมื่อวานที่มีพี่เตอร์เข้ามาป่วน จนผมต้องถุกปลดออกจากเฮดว้าก)


ผมค่อย ๆ เดินหลบไปแอบยืนด้านหลังแถวของรุ่นน้องปีหนึ่งพลางกอดอกมองเพื่อน ๆ ที่ทำหน้าที่เป็นว้ากเกอร์กันอยู่ การยืนอยู่ด้านหลังรุ่นน้องปีหนึ่งแบบนี้ทำให้พวกเขาไม่อาจที่จะเห็นผมได้ครับ ส่วนเหตุผลที่น้อง ๆ มองไม่เห็นผมหนะเหรอนั่นก็คือเขาไม่สามารถหันหลังมาได้นอกจากพวกรุ่นพี่ฝ่ายสันฯ หรือพวกว้ากเกอร์จะสั่งให้หัน ซึ่งผมเชื่อว่าเพื่อน ๆ ทั้งหลายมันจะไม่หักหลังผมโดยการสั่งให้รุ่นน้องกลับหลังหันมาทางผมครับ แต่ดูเหมือนว่าผมจะเชื่อใจเพื่อน (เวร) มาเกินไปเพราะในตอนนี้รอยยิ้มร้ายของไอกรมันกำลังส่งมาให้ผมพร้อมกับค่อย ๆ เปิดปากพูดสั่งรุ่นน้องออกมาว่า “ทั้งหมดกลับหลังหัน!”


เมื่อคำสั่งนี้ออกจากปากไอเพื่อน (เชี่ย) กร ความบรรลัยในชีวิตผมก็เกิดทันทีเพราะสายตาของเด็กปีหนึ่งทุกคู่ต่างพากันจ้องมองมาที่ผมแถมแววตาของแต่ละคนนั้นทำให้ผมรู้สึกแปลก ๆ ปนอาการเสียวสันหลังวาบเป็นพัก ๆ ซึ่งสายตาพวกนี้ก็จ้องมาที่ผมอยู่นานพอดูก่อนที่ไอเพื่อน (เชี่ย) กรจะสั่งให้รุ่นน้องก้มหน้าลง ซึ่งที่ไอกรมันทำแบบนี้นั่นก็เป็นเพราะมันจะส่งสายตาล้อเลียนมาให้ผมแบบนี้ไงหละครับ ซึ่งผมก็ไม่ยอมแพ้มันนะครับผมจัดการส่งนิ้วกลางกลับไปให้มัน (เวลาพี่ว้ากจะพักหน้ากันก็จะสั่งให้รุ่นน้องก้มหน้าลงคางชิดอกกันทั้งนั้นครับ) และเมื่อไอกรสั่งให้นอนก้มหน้าลงไปสักพักมันก็สั่งให้รุ่นน้องเงยหน้าขึ้นและหันหลังกลับไปยังด้านหน้าสโลฟเหมือนเดิม


ส่วนตัวผมที่โดนไอกรแกล้งก็ได้เข่นเคี้ยวฟันด้วยความแค้น แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากการเดินหลบฉากไปด้านหลัง (ที่จริงผมโดนลากไปด้านหลังมากกว่าครับเพราะเพื่อน ๆ ทุกคนคิดว่าน้อง ๆ มองหน้าผมแล้วจะไม่สนใจการประชุมเชียร์กัน) ผมก็ได้แต่จำใจเดินหลบฉากออกมาพร้อมกับเดินไปหาที่นั่งใต้คณะเพื่อรอให้การประชุมเชียร์นี้จบลง


มันรู้สึกแย่นิดหน่อยนะครับที่ได้แต่มองงานที่ตัวเองทุ่มเททำแทบเป็นแทบตายแบบนี้ แต่ก็ขอคิดในแง่ดีหน่อยแล้วกันเพราะอย่างน้อยผมก็ไม่ต้องเหนื่อยไปยืนตะคอก ตะโกนว่ารุ่นน้อง (ทั้ง ๆ ที่รุ่นน้องไม่ผิดอะไรเลยแต่พวกพี่ว้ากก็ต้องหาเรื่องด่าน้องต่อไป) ผมนั่งรอที่โต๊ะหินอ่อนพลางหยิบโทรศัทพ์มือถือของตัวเองออกมาเล่นเพื่อฆ่าเวลา แต่พอผมนั่งเล่นโทรศัพท์ไปได้สักพักเปลือกตาข้างขวาของผมก็กระตุกยิก ๆ เลยหละครับ มันเหมือนกับพยายามบอกผมว่าหลังจากนี้ไปความซวยหรือความบรรลัยจะเข้ามาหาผม แต่ผมก็คิดว่ามันเป็นความเชื่อที่งมงายครับแถมมันก็ไม่ได้มีหลักการวิทยาศาสตร์มาเกี่ยวข้องเลยสักนิดผมก็เลยทำใจปล่อยเบลอมันไปและก้มหน้าก้มตาเล่นเกมส์ในมือถือของตัวเองต่อ


และในขณะเดียวกันกับที่ผมหลบฉากจากสโลปมานั่งเล่นโทรศัพท์มือถือ รถยนต์คันงามสองคันก็ทยานเข้ามาจอดเทียบข้างตึกคณะวิศวกรรมศาสตร์พร้อมกับร่างสูงของบุรุษสองคนที่ค่อย ๆ ก้าวลงมาจากรถ หนึ่งคือชายหนุ่มที่มีใบหน้าคมเข้มที่ซ่อนไว้อยู่หลังกรอบแว่นตาสีดำสนิทซึ่งทุก ๆ คนในคณะวิศวะรู้จักกันดีเพราะเขาเป็นถึงแฟนของรองประธานรุ่นชั้นปีที่สามและเขาคนนั้นก็คือพี่ศิ หรือว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์ หิรัณศิริ ส่วนอีกหนึ่งเป็นชายหนุ่มที่พวกรุ่นน้องจะไม่ค่อยคุ้นหน้าคุ้นตาหากแต่เขาก็เป็นถึงเดือนคณะแพทย์ชั้นปีที่หก หนุ่มลูกครึ่งผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนและมีดวงตาสีฟ้ากระจ่างนั่นก็คือพี่เตอร์หรือว่าที่นายแพทย์รเณศ จี. แมคควิลเลนนั่นเอง และในตอนนี้ทั้งสองคนนั้นกำลังย่างก้าวเดินมาที่สโลฟแล้วหละครับ ซึ่งพี่ศิเขาก็เดินตรงไปหาแฟนสุดแสบของเขา (ซึ่งตอนนี้ยังคงทำหน้าที่เป็นเฮดว้ากสุดขรึมแต่ตอนนี้มันกำลังยิ้มกว้างและทิ้งหน้าที่เฮดว้ากไปคุยกับแฟนมันแล้วหละครับ)


ส่วนพี่เตอร์หนะเหรอเขากำลังกวาดสายตาไปรอบ ๆ พื้นที่เพื่อหาตัวของผมไงแต่หาให้ตายยังไงก็ไม่เจอหรอกครับเพราะผมหนะหลบฉากไปตั้งนานแล้ว ผมกำลังนั่งเล่นเกมส์ไป ความวุ่นวายของหน้าสโลฟก็เกิดขึ้นไป (ที่มันวุ่นวายก็เป็นเพราะเฮดว้ากตัวแสบเลิกสนใจงานตัวเองและแอบแวปไปคุยกับแฟนมันเป็นระยะ ๆ ซึ่งเป็นแบบนี้อยู่หลายรอบมาจนในที่สุดไอกรก็ถูกไล่ให้หลบฉากไป (เพราะมันห่วงคุยกับแฟนมากกว่าห่วงหน้าที่จริง ๆ เพราะแฟนมันมารอนี่หละเลยทำให้ไอกรเขินจนไม่กล้าว้ากครับ) และคนที่ได้รับเกียรติให้ขึ้นมาคุมว้ากเกอร์ทั้งหมดคนต่อไปนั่นก็คือไอบาสครับซึ่งมันก็ทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี ราวกลับว่ามันไม่ใช่เฮดว้ากที่ถูกแต่งตั้งขึ้นมาแทนเฮดว้ากสองคนก่อน


แต่การที่เฮดว้ากสองคนโดนปลดในเวลาใกล้เคียงกันมันทำให้กิจกรรมประชุมเชียร์วุ่นวายน่าดูครับแต่ทำไงได้…ที่เฮดว้ากทั้งสองคนถูกปลดไม่ใช่เพราะตัวเฮดเองแต่มันเป็นเพราะปัจจัยภายนอกอย่างเช่นแฟนมาคุมหรือมีคนที่หน้าหนา ๆ ที่มีโครงสร้างของหน้าคือคอนกกรีตเสริมเหล็กและฉาบทับด้วยปูนซีเมนต์อีกชั้นหนึ่งมาประกาศว่าจะจีบผมเมื่อคืนไงครับ เพราะพี่เตอร์แกนั่นหละครับที่มาทำให้กิจกรรมประชุมเชียร์ในปีนี้ของคณะวิศวะบรรลัยอย่างตอนนี้ไงครับ


พูดไปนึกไปก็รู้สึกโกรธแต่กระนั้นมันก็ทำอะไรไม่ได้แล้วหละครับเพราะเรื่องทุกอย่างมันผ่านมาแล้ว ผมก็ได้แต่จำใจยอมรับและก้มหน้าก้มตากดมือถือของตัวเองเล่นต่อไป (ต่อให้ไม่มีหน้าที่ผมก็ยังคงอยู่ที่คณะนะครับเพราะว่าผมเป็นถึงประธานรุ่นยังไงก็ทิ้งหน้าที่คอยประสานงานไม่ได้ซึ่งไอกรก็เช่นกัน) โดยไม่คิดว่าการที่ผมนั่งอยู่ในโลกส่วนตัวของตนแบบนี้จะทำให้ผมโดนใครคนหนึ่งถลาเข้ามากอดพร้อมกับพูดพร่ำภาษาอังกฤษออกมาเสียงยาวเหยียด


“There you are, my little princess! I've been looking for you everywhere. Here's  where you have been hiding.” ซึ่งคนโง่อังกฤษอย่างผมก็แปลได้แบบงู ๆ ปลา ๆ หนะครับ รู้สึกว่าพี่เตอร์แกจะพูดว่า ‘อยู่นี่เอง เจ้าหญิงน้อยของพี่  พี่หาเจมส์ทุกที่เลยนะ มาแอบอยู่ตรงนี้เอง’ พอผมเรียบเรียงประโยคในหัวเสร็จผมนี่แทบจะใช้มือของตัวเองเสยปลายคางของพี่เตอร์แกเต็มแรงเลยหละครับ แต่กระนั้นผมก็ทำได้แต่อดทนไว้และค่อย ๆ แงะมือพี่เตอร์ออกจากตัวของผม แต่เจ้ากรรมไอมือสุดปลาหมึกของพี่เตอร์กับกอดรัดผมไว้แน่อีกจนผมต้องพูดบอกให้แกปล่อยและปฏิเสธไอคำว่าแอบหลบพี่เขาด้วย


“ขอโทษเถอะครับพี่ผมไม่ได้แอบหรือซ่อนอะไรและที่สำคัญไปกว่านั้นพี่เตอร์ช่วยเอามือออกจากตัวผมด้วยครับ” ผมพูดออกไปอย่างใจคิดแต่พี่เตอร์แกเหมือนจะไม่รับรู้อะไรอีกแล้วเขาละมือข้างหนึ่งขึ้นมาแตะที่ริมฝีปากของผมพร้อมกับเอ่ยถ้อยคำที่ไม่ใช่ภาษาบ้านเกิด ‘ของผม’ ออกมาต่อ


“James, there's no need to hide because I'm gonna find you anyway.(เจมส์ไม่จำเป็นต้องหลบพี่หรอกครับ เพราะไม่ว่ายังไงพี่ก็จะหาเจมส์จนเจออยู่ดีนั่นล่ะ)” อีประโยคนี้ผมพอใช้สมองอันน้อยนิดเรียบเรียงได้ ผมถึงกับใช้ถ้อยคำรุนแรงใส่พี่เตอร์แกไปเลยครับ


“เงียบปากไปเลยพี่เตอร์!” คำพูดนี้ทำเอาพวกเพื่อน ๆ ของผมที่ลงมาพักสะดุ้งไปเป็นแถบ ๆ แต่ด้วยใบหน้าที่โครงสร้างทำด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กและฉาบทับด้วยปูนซีเมนต์กับไม่รู้สึกรู้สาอะไรสักนิดแถมยังพูดประโยคที่ชวนกวนประสาทผมออกมาเสียอีก


“Shh...don't scold like that, princess.” สิ้นประโยคนี้จะเป็นรุ่นพี่ รุ่นน้อง เพื่อนของแฟนเพื่อน หรือเพื่อนสมัยเด็กผมก็ไม่ไว้หน้าแล้วหละครับ ผมกำมือแน่นพร้อมกับออกแรงต่อยเสยคางพี่เตอร์แกไปอย่างแรง และการกระทำนั่นของผมทำให้มือของพี่เตอร์แกปล่อยจากตัวของผมและทรุดตัวลงไปกุมคางของตัวเองทันที


ผมได้แต่มองภาพ ๆ นั้นเพียงช่วงครู่ก่อนที่จะหันหลังกลับเดินไปหยิบกระเป๋าและสาวเท้าออกมาจากที่ตรงนั้นทันที ซึ่งภาพที่เป็นฉากหลังในขณะที่ผมเดินสาวเท้าออกมานั้น นั่นก็คือเพื่อน ๆ และรุ่นพี่บางคนต่างวิ่งกันไปดูอาการของพี่เตอร์ที่ทรุดตัวลงไปนั่งที่พื้น


แต่ผมก็ไม่คิดที่จะสนใจอะไรพี่เขาหรอกครับเพราะเขาทำตัวเองครับผมบอกให้พี่แตอร์แกปล่อยมือแล้ว แต่เขาก็ไม่ยอมปล่อย คนที่ไม่ยอมฟังคำพูดของคนอื่นก็ต้องเจอแบบนี้หละครับ ผมเร่งสาวเท้าเดินออกจากใต้ตึกคณะก่อนจะเดินตรงไปหาลูกสุดรักสุดหวงที่ผมเฝ้าทนุถนอมมันมาตั้งแต่ผมอยู่ปีหนึ่ง ซึ่งนั่นก็คือรถมอเตอร์ไซค์ของผมเอง เมื่อร่างของผมเดินไปถึงลูกรักผมก็ตวัดขาขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์และขับออกไปทันที (จะว่าผมทิ้งงานก็ว่ากันไปเลยครับแต่ผมคงไม่อาจอยู่ในที่ที่มีพี่เตอร์แกอยู่ร่วมด้วยได้อีกแล้ว…เพราะผมกลัวจะเผลอต่อยหรือซัดพี่เตอร์ไปอีกหนะสิครับ) สถานที่ที่ผมจะไปตอนนี้ก็เดาไม่ยากครับเพราะผมกำลังซิ่งรถกลับไปที่หอพักนิสิตของตัวเองนั่นหละ เอาเป็นว่าวันนี้การป่วนการประชุมเชียร์คณะวิศวะของว่าที่แพทย์ทั้งสองเขาทำได้สำเร็จครับเพราะหลังจากที่ผมหนีกลับหอ โทรศัพท์จากเพื่อน ๆ ที่ก็ต่อสายตรงโทรมาหาผมพร้อมกับตะคอกใส่หูผมว่า ‘เชี่ยเจมส์มรึงกับไอเชี่ยกรโดนแบนจากห้องเชียร์แล้วไม่ต้องมาอีกแล้วนะไอการประชุมเชียร์หนะ ถ้าเลิกเรียนกลับหอไปได้เลย กรูกับพวกสตาฟที่เหลือคิดวิเคราะห์กันมาอย่างดีแล้วมรึงกับไอกรมาห้องเชียร์แล้วความบรรลัยมันเกิด สามีของพวกมรึงแม่มวุ่นวายพี่ว้ากดูไม่น่านับถือ ถ้าอยากจะมาก็มาวันสุดท้ายที่ปิดเชียร์เลย’ และเมื่อปลายสายพูดจบมันก็กดวางสายทันที โดยที่พวกมันไม่คิดฟังคำอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นเลยจากปากของผมเลยสักนิดเดียว

‘ไอคุณพี่เตอร์ครับ…วันพรุ่งนี้พี่กับผมหนะ…คงมีเรื่องต้องคุยกับพี่กันยาวน่าดูเลยหละครับ’ ผมนึกถ้อยคำพวกนี้ในใจพร้อมกับใช้มือของตัวเองตบตีหมอนเพื่อระบายอารมณ์โกรธที่มันคั่งค้างอยู่ในใจ




TBC

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ตอนล่าสุดนี่พี่เตอร์เหมือนพระเอกนิยายยุคโบราณเลยอ่ะ เลี่ยนแท้... (โดยเฉพาะตอนที่พูดภาษาบ้านเกิดกับเจมส์) ฮา

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
โหหหหห พี่เตอร์ อึด ถึก ทนของแท้เลยค่ะ :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0


รุ่งอรุณของวันใหม่แสงแดดสีทองนั้นสาดส่องผ่านม่านกั้นสีฟ้าสดเข้ามา ทำร่างที่หลับใหลอยู่บนเตียงต่างพากกันลืมตาตื่น ซึ่งรุ่งอรุณของวันนี้คงจะเป็นวันที่ดีของใครหลาย ๆ คน แต่มันก็มิใช่วันที่ดีสำหรับผมครับ เพราะภายในสมองของผมตอนนี้รวบไปถึงเมื่อคืนนี้ต่างคิกหาวิธีการและแผนการที่จะทำให้พี่เตอร์เลิกยุ่งวุ่นวายกับผมอยู่ครับ และผมก็คิดถึงหลายร้อยวิธีแต่ด้วยใบหน้าของพี่เตอร์ที่มีโครงสร้างเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กพร้อมกับฉาบด้วยปูนซีเมนอีกชั้นหนึ่ง วิธีง่าย ๆ พวกนั้นมันคงไม่คนาความหนาของหน้าพี่เตอร์แกหรอกครับผมเชื่อได้


หลังจากที่ปรับสายตาตนให้ชินกับแสงแดดยามเช้า สักครู่ผมก็ยันกายลุกขึ้นจากเตียงพร้อมกับตรงไปอาบน้ำเป็นคนแรก ผมใช้เวลาอาบแต่งตัวราว ๆ สิบถึงสิบห้านาทีและเมื่อเข็มสั้นชี้เหลื่อมกับเลขเจ็ดและเข็มยาวชี้ที่เลขหก ผมก็อยู่ในเสื้อช็อปพร้อมที่จะไปเข้าเรียนครับ


ผมค่อย ๆ สาวเท้าเดินตรงไปยังเตียงอีกสองเตียงที่ตั้งถัดจากที่นอนของผม ผมกอดอกมองสภาพสหายทั้งสองอยู่สักพัก ไม่นานนักผมก็ทนเห็นใบหน้าที่หลับอย่างมีความสุขของเพื่อนทั้งสองคนไม่ไหวมือทั้งสองข้างนั้นถูกยื่นไปจับชายผ้าห่มที่อยู่บนเตียงทั้งสองก่อนจะกระชากมันออกจากร่างที่นอนหลับนั่นทันที


เมื่อลมแอร์อันแสนหนาวเหน็บ? สัมผัสกับตัวสหายผู้เป็นรูมเมทของผมทั้งสองคนก็สะดุ้งตื่น ทั้งสองคนนั้นมองหน้ากับเลิกลั่ค ก่อนจะค่อย ๆ พากันหันมาจ้องมองที่ผม ซึ่งผมก็คลี่รอยยิ้มตอบพวกมันไปนะครับแต่รอยยิ้มที่ผมส่งไปให้มันนั้นเป็นรอยยิ้มที่สุดแสนกวนประสาทครับ


“เชี่ยเจมส์ครับอย่ากวนดิว่ะเช้านี้กรูไม่มีเรียน” เสียงนี้เป็ยเสียงโวยวายของไอบาสครับซึ่งผมก็รู้นะครับว่ามันไม่มีเรียนแต่ไอไฮซ์นี่มันกลับลุกขึ้นมาแล้วเอ่ยขอบคุณผมครับ “ใจหวะ” ที่มันเอ่ยตอบผมแบบนั้น นั่นก็เป็นเพราะว่าถ้าเกิดผมไม่ปลุก มันก็คงไปเข้าเรียนสายครับพอดีไอไฮซ์มันมีเรียนตอนแปดโมงเช้าถ้าไม่ตื่นตอนนี้นี่มันไปเรียนสายแน่นอน (และถ้ามันไปเรียนสายผมบอกเลยว่าชีวิตมันคงจะดับอนาจแน่นอนผมเอาหัวเป็นประกันเลย อาจาร์ยคณะแพทย์ใช่ว่าจะไม่เคร่งซะเมื่อไหร่หละ)


ซึ่งผมก็พยักหน้าตอบไอไฮซ์ส่ง ๆ ไปครับ แต่เป้าหมายที่แท้จริงของผมนั่นก็คือผมอยากคุยกับไอบาสมันมากกว่า (พอดีตอนเช้าผมไม่มีเรียนครับใส่ช็อปไปงั้น ๆ หละ) และเมื่อไอไฮซ์มันเดินเข้าห้องน้ำไปผมก็ถลาขึ้นเตียงพร้อมกับเขย่าคอไอบาสมันอย่างแรงให้มันหายเมาขี้ตา


“เชี่ยบาสมรึงต้องช่วยกรูนะ” ผมพูดไปพลางเขย่าไอบาสจนตัวโคลง แต่บาสที่เมาขี้ตาอยู่มันก็ไม่ลืมตามาคุยกับผมครับ ซ้ำตอนนี้มันกลับไปหลับสนิทอีกรอบแล้วครับ


‘ไอเพื่อนรัก ไอเพื่อนเวรตอนมรึงมีปัญหากรูนี่ช่วยมรึงตลอดพอมาตอนนี้กรูมีปัญหามรึงไม่ลืมตามาช่วยกรูเลยเหรอ’ ไอผมนี่กร่นด่ามันภายในใจก่อนจะปล่อยคอให้บาสร่วงลงไปนอนกองที่เตียงอีกครั้ง เพื่อนใกล้ตัวเบอร์หนึ่งไม่สามารถช่วยอะไรผมได้ ดังนั้นผมต้องไปหาเพื่อนใกล้ตัวเบอร์สองครับแต่ผมไม่ใคร่อยากจะไปหามันสักเท่าไหร่เลยครับ


เมื่อตัวเลือกแรกมันช่วยผมไม่ได้ตัวเลือกที่สองก็ต้องมาแทนตัวเลือกที่หนึ่ง ผมใช้มือควานหาโทรศัพท์มือถือตัวเองในกระเป๋ากางเกงก่อนจะกดโทรไปหาเพื่อน (เวร) กรครับ


ผมถือสายโทรศัพท์รอสักพักเสียงงัวเงียของกรมันก็ดังมาตามสายครับ “ฮัลโหลมีไรไอเชี่ยเจมส์กรูง่วงกรูจะนอน” ซึ่งผมก็ไม่สนใจในคำประท้วงของไอกรมันหรอกครับเพราะว่าผมเอ่ยตอบกลับมันไป (แกมบังคับนิด ๆ) ให้มันเปิดห้องเตรียมรอรับผม “มรึงไม่ต้องง่วง ไม่ต้องนอน ไม่ต้องอะไรทั้งนั้นเดี๋ยวกรูจะไปหามรึงและคืนนี้กรูจะนอนห้องมรึงด้วยเตรียมห้องไว้ให้กรูด้วยนอกจากจะนอนกรูมีเรื่องจะปรึกษายาวเหยียดเลยหวะ” สิ้นประโยคนี้ผมก็จัดการกดวางสายทันทีเพื่อไม่ให้ไอกรมันพูดเถียงหรือเอ่ยปากปฏิเสธอะไรผม


เมื่อสิ่งที่หวังสำเร็จผลผมก็จัดการแพคกระเป๋าเสื้อผ้าเตรียมบุกห้องของไอกรมัน (แม้เจ้าของมันจะไม่ต้อนรับผมแต่ผมก็มีกุญแจห้องของมัน ยังไงผมก็บุกเข้าไปได้อยู่ดี) และเมื่อเตรียมพวกเสื้อผ้าเสร็จผมก็วิ่งถลาออกจากหอของตัวเองและสาวเท้ามุ่งตรงไปยังรถมอเตอร์ไซค์ลูกรักและขับบึ่งออกจากมหาวิทยาลัยไป


การขับมอเตอร์ไซค์ไปคอนโดใช้เวลามากกว่าการขับรถยนต์ไปครับแต่ผมก็ใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่หรอกครับเพราะผมใช้เวลาราว ๆ 15 นาทีก็ขับมอเตอร์ไซค์ไปถึงที่ และตอนนี้ตัวของผมก็ยืนอยู่หน้าห้อง 1403 ซึ่งห้องนี้นี่หละที่เป็นห้องของไอกรมัน (ส่วนห้องของพี่ศิเป็นห้องข้าง ๆ ครับ)


ซึ่งทุก ๆ คนก็รู้อยู่นะครับว่าตัวของผมนั้นมารยาทดีจัด แถมสัมมาคารวะนี่สุดยอด ผมก็เลยไม่พูดพร่ำทำเพลงผมคว้ากุญแจขึ้นมาปลดล็อคประตูห้องและเปิดโพล่งเข้าไปเลยครับ ซึ่งภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าของผมก็คือพี่ศิ…กำลังมอร์นิ่งคิสกับแฟนสุดที่รักอยู่ครับ แล้วทุกคนคิดว่าผมแคร์เหรอครับ…ถ้าคุณตอบไม่นั่นก็เป็นคำตอบที่ถูกต้องครับ ผมสาวเท้าเดินผ่านพี่ศิที่ไม่สนใจผมเช่นกันเข้าไปนั่งรอไอกร (ที่กำลังสวีทหวานกับพี่ศิ) ที่ห้องนั่งเล่น


อย่าถามนะครับว่าผมมียางอายไหม…ผมขอตอบว่าผมมียางอายอยู่นะครับ แต่ก็ไม่ใช่ตอนนี้นั่นก็เป็นเพราะว่าสิ่งที่กำลังวนเวียนอยู่ในหัวของผมมันกำลังตีกันยุ่งเหยิง และตอนนี้มันก็ใกล้จะระเบิดออกมาเต็มทนแล้วหละครับมันเลยทำให้ความกระดากอาย (ที่เห็นฉากหวานพวกนั้น) หายไปจนหมดเกลี้ยงเลยครับ ซ้ำไออาการหน้าตายของผมทำให้ทั้งสองคนรู้สึกกระดากอายแทนผมเลยหละครับ (แต่คนที่อายน่าจะมีแค่เพื่อนกรหละครับเพราะพี่ศิยังโอบเอวเพื่อนผมอยู่เลยตอนนี้)


ผมเหลียวมองพร้อมกับไหวไหล่ใส่ทั้งสองคนก่อนจะหันกลับไปกดเปิดรีโมทโทรศัพท์ดูฆ่าเวลา ที่ทุก ๆ คนคงสงสัยกันอีกหละสิครับว่าทำไมผมถึงทำแบบนั้นใส่ทั้งสองคน มันก็มีความหมายง่าย ๆ ครับเพราะว่าผมใช้ท่าทางเป็นคำพูดซึ่งท่าทางแบบนั้นของผมคือการบอกว่าเชิญพวกคุณทั้งสองคนทำอะไรสวีทหวานกันต่อไปได้ครับ แต่คิดเหรอว่าทั้งสองคนนั้นจะกล้าทำ…ผมไม่ต้องบอกก็คงรู้ ๆ กันนะครับว่าทั้งสองคนนั้นไม่กล้าสวีทหวานใส่กันต่อ (เพราะกรมันอาย) ผมนั่งไขว้ห้างจ้องทีวีด้วยท่าทางที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไร จนในที่สุดไอกรก็ส่งพี่ศิออกจากห้องพร้อมกับเดินเข้ามาหาผมที่นั่งอยู่บนโซฟา


“เชี่ยเจมส์จะเข้าห้องชาวบ้านเคาะประตูบ้างก็ดีนะเฮ้ย” ประโยคแรกไอกรก็เปิดด้วยการด่าผมเลยครับ ซึ่งบุคคลผู้มีมารยาทมากล้นอย่างผมหนะเหรอจะรู้สึกผิด ตอบเลยว่าไม่ครับ (มารยาทและการรู้จักกาละเทศะหนะผมมีแต่มันก็มีช่วงที่มันลดน้อยลงไปจนเกือบจะไม่มีอย่างเช่นตอนนี้ครับมารยาทของผมนี่หายหมด) แต่ก็ช่วยไม่ได้นี่ครับ ผมบอกมันแล้วว่าเดี๋ยวไปหามันก็น่าจะคำนวณเวลาที่ผมเดินทางมาถึงห้องของมันได้นี่


“กรูบอกมรึงแล้วว่า ‘เดี๋ยว’ กรูไปหามรึงก็น่าจะรู้นี่ว่าคำว่า ‘เดี๋ยวไปหา’ ของกรูมันเดี๋ยวขนาดไหน” ผมเอ่ยยอกย้อนกรมันไปครับ ซึ่งไอคำพูดนี้ทำเพื่อนตัวแสบยอมยกธงขาวเลยครับ ที่มันยอมแพ้เพราะรู้ว่าเดี๋ยวของมัน มันเดี๋ยวจริง ๆ และมันก็ก่ะจังหวะร่ำลาพี่ศิของมันผิดเองดังนั้น ความผิดนี้ของผมจึงกลายไปเป็นความผิดของไอกรมันแทนครับ เรียกง่าย ๆ ว่าผมโบ้ยความผิดให้ไอกรมันไป (ผมก็ไม่อยากจะอวดความสามารถอะไรหรอกครับพอดีสกิลแถผมมันเยอะ ผมก็มักจะแถไปจนกลายเป็นว่าตัวผมไม่ผิดไปซะอย่างนั้นครับ แต่สกิลนี้ก็ต้องเลือกใช้เหมือนกันส่วนมากผมจะใช้กับเพื่อน ๆ ครับ เพราะถ้าใช้กับอาจารย์เกรดผมอาจจะหายไปได้)


“เฮ้ออ...กรูนี่ไม่เคยเถียงชนะมรึงเลยจริง ๆ แล้วที่มาหาถึงที่นี่มรึงมีเรื่องอะไรหรือเปล่า” ไอกรมันทอดถอนลมหายใจออกมาเสียยาวเหยียด พร้อมกับเอ่ยถามคำถามที่แสนจะตรงใจของผมออกมา (ผมอยากให้มันถามคำถามนี้มานานแล้วหละครับเพราะผมจะได้เริ่มบ่น เริ่มด่า เริ่มพร่ำพรรณนาอะไรสักที)


“…มี…แถมมีเยอะมากด้วย” ผมเอาขาที่ไขว้ไว้ของตัวเองลงก่อนจะพลิกกายหันไปประจันหน้ากับไอกรมัน และเมื่อเพื่อนกรได้ยินคำตอบที่เอ่ยออกมาจากปากของผม มันก็ใช้สกิลแสนรู้ ? ของมันพูดสวนผมออกมาแทบจะทันทีที่ผมเงียบเสียงลง “เรื่องพี่เตอร์หละสิมรึง”


เป็นครั้งแรกที่ไอกรมันพูดได้ตรงใจผมครับ ใบหน้าของผมพยักหน้าขึ้นลงเบา ๆ เป็นคำตอบ ซึ่งไอเพื่อนกรแสนรู้มันก็เอ่ยออกมาต่อเป็นฉาก ๆ โดยที่ผมไม่จำเป็นต้องเล่าอะไรออกมาเลยสักคำ “ไอปัญหาเยอะมาก ๆ ของมรึงเนี่ยคงไม่พ้นเรื่องที่พี่เตอร์ไปตะโกนว่าจะจีบมรึงกลางประชุมเชียร์ใช่ไหมและนอกจากนั้น ก็คือเรื่องเมื่อวานที่พี่เตอร์แม่มไปตามหามรึงทั่วคณะแล้วก็ถลาเข้าไปกอดมรึงพร้อมกับพูดพร่ำอะไรด้วยอีกหละสิ” โถ่วเพื่อนกรแสนรู้ช่างพูดและคาดเดาอะไรได้ถูกใจเพื่อนเจมส์คนนี้จริง ๆ ผมจึงได้แต่พยักหน้าตอบมันรัว ๆ พร้อมกับเอ่ยถามเพื่อขอความคิดเห็นจากมัน


“กรูควรทำไงดีวะ เรื่องนี้แม่มกรูชักจะรำคาญแล้วนะเว้ย” ผมพูดพลางบ่นพึมพำออกมายาวเหยียด ซึ่งสหายกรของผมก็ได้แต่ตบบ่าของผมเบา ๆ แทบคำพูดปลอบ ทว่าเพื่อนกรของผมจะแสนรู้มากไปสักหน่อยเพราะหลังจากที่มันตบบ่าผมเพื่อนปลอบ มันก็เอ่ยถามคำถามที่สุดแสนจะจี้ใจดำของผมออกมา “เจมส์ ช่วยบอกกรูมาตรง ๆ ได้ป่ะ ก่อนหน้าที่มรึงกับพี่เตอร์จะเจอกันที่มหาลัยเนี่ย มรึงกับพี่เค้าเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า อารมณ์ผูกพันตั้งแต่สมัยเด็กแบบพี่ชายน้องชายข้างบ้านหรือมันอาจจะหนักมากจนกระทั้งมรึงไปสัญญาว่าจะแต่งงานกับพี่เขาอะไรแบบนี้หนะ มันน่าจะมีบ้างนะเฮ้ยไม่งั้นเค้าคงไม่ตามติดมรึงขนาดนี้หรอก ลองคิดหน่อยดิว่ามรึงเคยมีอดีตหรือไปทำกรรมอะไรกับพี่เตอร์เขาไว้เปล่า” ทำกรรมหนะไม่มี แต่สัญญานี่พูดไปเต็มปากเลยหวะเพื่อนกรเอ๋ย


ผมนั่งก้มหน้าไม่ยอมมองหน้าไอกร ซึ่งไอท่าทางแบบนี้ของผมไอกรมันรู้ดีครับเพราะถ้าผมทำแบบนี้เมื่อไหร่นั่นก็หมายความว่าผมกำลังมีเรื่องปิดบังอะไรอยู่ “ถ้าไม่เล่า…กรูไม่ช่วยและถ้าโกหกกรูก็ไม่ช่วยนะ” ตอนนี้สหายรักรณกรมันถือไพ่เหนือกว่าผมแล้วหละครับ มันยืนกอดอกจ้องหน้าผมพร้อมกับยักคิ้วน้อย ๆ เพื่อกวนประสาทผม


‘ใช่สิตอนนี้มรึงมันถือไพ่เหนือกว่ากรูแล้วนี่ไอกร อย่าให้กรูถือไพ่เหนือกว่ามรึงบ้างนะ’ ในใจผมคิดไปแบบนี้แต่การกระทำของผมที่แสดงออกไปกับเป็นอีกอย่างครับ


“กะ…ก็…ตอนเด็ก ๆ เราก็มีเรื่องอะไรกับพี่เขานิดหน่อย นิดหน่อยจริง ๆ นะ” ผมพูดเสียงสั่น ๆ ออกไปและที่น้ำเสียงของผมกลายเป็นแบบนั้น นั่นก็เป็นเพราะผมไม่อยากที่จะเล่าให้ใครฟังไม่สิผมไม่อยากให้ใครรู้เลยนอกจากตัวผม พี่เตอร์ พ่อแม่ผมแล้วก็พ่อแม่ของพี่เตอร์เขา แต่ตอนนี้มันเข้าตาจนจริง ๆ ผมต้องการที่ปรึกษาอย่างด่วนและไอที่ปรึกษามันดันกวน (ตรีน) ผมโดยมันบังคับให้ผมเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกมา (ซึ่งถ้าไม่เล่ามันก็จะไม่ให้คำปรึกษาแก่ผมครับผมก็เลยจำใจต้องเล่าออกไปไง)


“กรูว่าไม่นิดนะสหายท่าทางมรึงแบบนี้ กรูเชื่อว่ามันต้องมีเยอะมากกว่าที่กรูได้คาดคิดและคำนวณไว้เสียด้วย” ไอเพื่อนกร ไอรู้ดี ไอเพื่อนเวร ไอ… ผมนี่ไม่รู้ว่าจะด่าเป็นภาษาอะไรไอเรื่องที่เพื่อนไม่อยากเล่ามันก็อยากรู้จัง พอเรื่องที่ผมอยากให้มันรู้ (อย่างเช่นเรื่องเรียนอะไรพวกนี้) มันเจือกไม่อยากรู้และต่อให้มันอยากรู้มันก็ไม่ไหลเข้าหัวครับ


“มรึงแม่มชั่วไอกร…” ผมกร่นด่ามันไปสั้น ๆ ซึ่งไอคนที่ถือไพ่เหนือกว่ามันก็เงียหูฟังพร้อมกับทำท่าให้ผมพูดอีกครั้ง แต่ดูท่าทางแล้วถ้าผมพูดทวนคำพูดเดิมผมอาจจะโดนมันฆ่าได้ตายผมก็เลยคลี่ยิ้มจาง ๆ พร้อมกับเอ่ยถ้อยคำที่แสนสุภาพออกไป (แต่ก็น่าจะรู้นะครับว่าที่ผมทำหนะคือการประชด)


“ไม่มีอะไรครับ เพื่อนกรนี่แสนรู้จริง ๆ เพื่อนเจมส์ยังไม่ได้บอกอะไรก็มองได้ทะลุปรุโปร่งแล้ว สมกับเป็นว่าที่วิศวกรในอนาคตจริง ๆ เลยหละครับ” ผมให้เดาครับ ว่าไอกรมันรู้ไหมว่าผมประชด…และถ้าคุณคิดว่ามันรู้คุณคิดผิดครับ ไอกรมันซื่อบื้อมาก ซึ่งผมเชื่อว่าคุณคาดไม่ถึงแน่นอนว่ามันจะซื่อบื้อมากขนาดไหน (ผมยกตัวอย่างให้นะครับ ผมให้พวกคุณหลอกด่ามันไป สามอาทิตย์ต่อมามันยังคิดไม่ออกเลยว่าคำพูดพวกนั้นคือคำพูดหลอกด่ามัน คิดเอาแล้วกันว่ามันเป็นคนซื่อบื้อและมองโลกในแง่ดีขนาดไหน)


“แหมเพื่อนเจมส์ไม่ต้องชมเพื่อนกรมากขนาดนั้นก็ได้ เอาว่ามามีอะไรแต่ต้องเล่าให้เพื่อนกรรู้ก่อนด้วยนะว่าอดีตของเพื่อนเจมส์คืออะไร เกี่ยวพันอะไรกับพี่เตอร์ด้วย” ไอกรมันทำท่าเขินอายพร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ ผม แล้วบอกให้ผมเอ่ยเล่าเรื่องราวออกมา


ไอกรคนอย่างมรึงกรูควรเรียกว่าซื่อบื้อหรือไม่รู้จักโลกดีวะ…โดนประชดใส่มันยังยิ้มรับหน้าตายอีกแต่ก็ช่างมันเถอะครับ อย่างน้อยมันก็ยอมให้ผมปรึกษามันได้ (แต่ผมก็ไม่รู้ว่าการปรึกษาไอกรมันจะช่วยให้ผมหายไม่สบายใจหรือเปล่านะ แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีคนให้ปรึกษาหละครับ)


“กรูกับพี่เตอร์…เป็นเพื่อนสมัยเด็กกันหวะ คือมันเป็นช่วงกรูอยู่เชียงใหม่ตอนนั้นกรูอยู่อนุบาลแล้วโดนเพื่อน ๆ แกล้งบ่อยจน ตัวกรูไม่อยากไปโรงเรียนแต่วันหนึ่งในวันที่กรูขึ้นอนุบาลสองกรูก็ไปเจอพี่ชายคนหนึ่งเค้าอยู่ประถมสองในตอนนั้น เขาคอยปกป้องกรูมาตลอดจนกรูขึ้นอนุบาลสาม และความบรรลัยมันก็เกิดขึ้นตอนกรูอยู่อนุบาลสามนี่หละ ความจริงกรูก็จำไม่ได้หรอกนะว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกรูฟังมาจากแม่กรูอีกทีหวะ รู้สึกว่าเหมือนตอนนั้นกรูจะไปสัญญาว่าจะไปเป็นเจ้าสาวให้พี่เตอร์แกหวะ แต่เรื่องมันก็ไม่ได้จบอยู่แค่นั้นหวะ” ผมเงียบเสียงไปสักพักหนึ่งเพื่อจะจิบน้ำแก้กระหาย แต่ไอเพื่อนกรมันไม่ยอมให้ผมหยุดเล่าครับมันเกาะแขนของผมแน่นพร้อมกับเขย่าไปมาให้ผมเล่าต่อ ‘เออ…กรูขอกินน้ำก่อนได้ป่ะเดี๋ยวเล่าต่อให้ฟัง’ แต่ก็ได้แค่คิดในใจหละครับไอประโยคนี้


ผมจึงได้แต่จำใจวางแก้วน้ำเย็นลงพร้อมกับเอ่ยปากเล่าต่อ “คือที่เรื่องมันไม่ได้จบแค่คำสัญญาเด็ก ๆ ของกรูกับพี่เตอร์อะสิมรึง เพราะนอกจากพวกกรูจะสัญญากันแล้วพี่เตอร์แกไปขอกรูกับแม่อีก ขอไม่พอแม่กรูเสือกยกกรูให้เค้าอีกนอกจากนั้นพ่อแม่ของพี่เตอร์ก็รับรู้สุกสิ่งทุกอย่างแล้วยอมรับกรูเป็นลูกสะใภ้อีกหนะสิ…กรูไม่รู้ว่าพวกเค้าจริงจังมากขนาดไหนแต่เท่าที่กรูดูจากอาการพี่แตอร์ครอบครัวพี่แกคงจริงจังมากไม่แพ้กันแน่ ๆ เลยหวะ” ผมเล่าเรื่องราวที่ทำให้ผมหนักใจทั้งหมดออกไป


แต่ดูเหมือนว่าไอเรื่องราวที่ทำให้ผมหนักใจนั้นสำหรับกรมันคงเป็นเรื่องเล็กน้อยครับ และที่สำคัญมันยังหัวเราะเยาะผมออกมาเสียยกใหญ่ มือข้างหนึ่งของกรถูกเอื้อมมาตบบ่าของผมเบา ๆ พร้อมกับใช้สายตาสื่อคำพูดแทนเสียงว่า ‘เรื่องราวที่มรึงเล่ามาอย่างกับนิยายแจ่ม-beep- เลยหวะแต่น่ารักดีนะ มรึงไม่สนใจจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้สมัยเด็กเหรอ’


เมื่อผมตีความหมายของสายตาไอกรจบมือของก็ปัดมือของไอกรออกก่อนจะเคลื่อนที่ไปตบหัวของสหายกรมันอย่างแรง “นี่กรูมาปรึกษามรึงเพื่อหาทางออกให้พี่เตอร์เลิกยุ่งกับกรู ไม่ใช่มาให้มรึงตัดสินใจว่ากรูควรตกร่องปล่องชิดกับพี่เตอร์มัน!” ผมตะคอกเสียงใส่มันดังลั่น ซึ่งไอกรมันก็รู้ตัวนะครับว่ามันเล่นเกินไป มันเอ่ยคำพูดขอโทษออกมาเบา ๆ พร้อมกับทำตัวเป็นที่ปรึกษาที่ดีใหม่


“ขอโทษหวะ แต่แบบมรึงก็บอกพี่เขาไปตรง ๆ ดิวะ ว่าเรื่องในอดีตเป็นเรื่องของอดีตตอนนี้คือปัจจุบันเว้ย พี่เตอร์ไม่จำเป็นต้องยึดติดเรื่องในอดีตอะไรถึงขนาดนี้ เพราะอดีตส่วนอดีตและปัจจุบันมันส่วนของปัจจุบัน” ไอคำแนะนำนี้ของไอกรนั้นผมได้พูดกับพี่เตอร์ไปไม่รู้กี่ร้อยกี่พันรอบแล้วหละครับ ซ้ำผมยังบอกพี่เขาด้วยอีกกว่าตอนนี้ผมเป็นผู้ชายไม่ใช่เจ้าหญิงตัวน้อย ๆ ที่พี่เตอร์เฝ้าฝันถึงอีกต่อไปแล้ว นั่นก็เป็นเพราะว่าตอนนี้เจ้าหญิงน้อยของพี่มันคือไอเจมส์ หรือนายพีรกานต์…คนนี้ครับ…


“มรึงคิดว่ากรูไม่ได้บอกพี่เขาเหรอวะ ที่มรึงแนะนำมาเนี่ยกรูบอกพี่เตอร์เขาไปหมดแล้วแต่มันก็ยังเป็นแบบนี้ กรูเลยเครียดอยู่แบบนี้ไง ช่วยบอกกรูหน่อยดิมีวิธีไหนที่จะทำให้ผู้ชายเลิกยุ่งกับกรูได้บ้าง คือถ้ากรูเป็นผู้หญิงอาจจะมีรับพิจารณาพี่เขานะ แต่นี่กรูไม่ใช่ไงก็เลยต้องหาทางเลี่ยงพี่เตอร์เขาแบบนี้” ผมเอ่ยพูดกับไอกรออกไปราว ๆ นี้ แต่รู้สึกว่าผมจะลืมอะไรบางอย่างไป…แล้วไอเรื่องที่ผมลืมหนะมันเป็นเรื่องสำคัญสุด ๆ เลยหละครับ ซึ่งเรื่องที่ผมลืมนั้นก็คือ ‘ผมมาปรึกษาหาวิธีเลี่ยงการโดนผู้ชายจีบ แต่ไอที่ปรึกษาผมนั้นมันกลับถูกจีบโดยผู้ชายและตอนนี้ก็ตกร่องปล่องชิดเป็นแฟนกับผู้ชายคนนั้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วหละครับ’ แล้วนี่ผมจะได้วิธีเลี่ยงไหมเนี่ยหรือจะได้วิธีการวางตัวเวลามีแฟนเป็นผู้ชายแทน


“มรึงแน่ใจแล้วนะที่มากรู…” ไอกรพูดตอบผมมาเป็นประโยคสั้น ๆ ซึ่งอีประโยคนี้มันทำให้ผมลังเลอยู่เล็กน้อยแต่ก็ยังคงตัดสินใจปรึกษามันต่อ แต่เรื่องที่ปรึกษานั้นเปลี่ยนไปครับนั่นก็คือเวลาการโดนผู้ชายจีบเนี่ยผมควรทำยังไงดี และไอคำตอบของคำถามนั้นมันก็ช่างง่ายดายครับไอกรมันตอบมาด้วยถ้อยคำสั้น ๆ และตอนที่มันเอ่ตอบมานั้นดูเหมือนมันจะไม่คิดอะไรเลยสักนิด
“ก็ทำใจไงมรึง ถ้ามรึงใจอ่อนและหวั่นไหวนั่นก็คือมรึงชอบเค้า…จบนะ” เมื่อได้ยินคำตอบนี้ผมแทบจะก้มลงไปกราบไอกรมันเลยครับ เพราะผมไม่ต้องถามมันก็ได้มันรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณตัวเอง


“ไอกร…กรูพูดเลยว่ากรูไม่มีทางหวั่นไหวหรือใจอ่อนกับพี่เตอร์เด็ดขาดเว้ย!” ผมตะคอกตอบไอกรมันไป ซึ่งไอที่ปรึกษาของผมมันก็ยิ้มกรุ่มกริ่มพร้อมกับอวยพรให้ผมโชคดี


“โชคดีนะไอเจมส์ แต่กรูอยากเห็นมรึงกลืนน้ำลายตัวเองจังเลยหวะ” ไอประโยคแรกผมก็พอจะรับได้อยู่แต่ไอประโยคหลังนี่ทำเอาผมหยิบหมอนอิงที่อยู่ข้าง ๆ ฟาดใส่หน้าไอกรเต็มแรงเลยครับ


แล้วการปรึกษาปัญหาหัวใจกลายเป็นศึกฟาดหมอนอิงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วหละครับ ผมฟาดทางซ้ายไอกรเอี้ยวหลบไปทางขวา พร้อมกับตวัดหมอนอิงที่อยู่ในมืออีกข้างเหวี่ยงใส่หัวผม ศึกนี้ดำเนินไปราว ๆ สามสิบนาที ในที่สุดพวกผมสองคนก็หมดแรงแถมพร้อมใจกันตกลงโดดวิชาบ่ายกันเสียด้วย (จะว่าผมนิสัยเสียก็ว่าเลยครับแต่ตอนนี้ผมหนักทั้งใจหนักทั้งกายไม่มีแรงลุกไปทำอะไรแล้วหละครับ)


ผมนอนขดตัวอยู่บนโซฟา ส่วนไอกรก็เดินเข้าไปหาอะไรทานเล่นในห้องครัวไม่นานนักมันก็เดินออกมาพร้อมกับขนมขบเคี้ยวจานใหญ่ ซึ่งคาดเดาได้ว่าพี่ศิคงซื้อมาตุนให้มันแน่นอน


“แทนข้าวกลางวัน เดี๋ยวตอนเย็นกรูบอกให้พี่ศิทำอะไรให้กินแทนตอนนี้เอาแค่นี้ไปก่อน” ผมก็พยักหน้าตอบรับมันไปแล้วก็เอื้อมมือไปหยิบขนมในจานนั้นใส่ปาก พลันความคิดหนึ่งก็ลอยเข้ามาในสมองและปากมันก็ไวกว่าตามคิดอีกครับเพราะไม่ทันที่ผมจะได้คิดถึงผลดีผลเสียของคำถามนั้นปากของผมก็เอ่ยพูดนำออกไปแล้ว “เฮ้ย...กรมรึงตกลงปลงใจคบกับพี่ศิด้วยเหตุผลอะไรวะกรูอยากรู้ ไม่เอาตอนที่คบนะกรูแค่อยากรู้ว่ามรึงรู้สึกยังไงตอนนั้นแล้วทำไมมรึงถึงตัดสินใจคบกับพี่เขา”


คำถามนี้ผมคิดว่าจะทำให้ไอกรคิดหนัก ทว่ามันก็ใช้เวลาเพียงช่วงวินาทีเดียวเท่านั้นมันก็เอ่ยคำตอบกลับมาให้ผมอย่างรวดเร็ว “พี่ศิเขาไม่ไปขอกรูจากคุณป๊าคุณม๊าเหมือนพี่เตอร์ไปขอมรึงหรอกหวะ” แต่ไอคำตอบเสี้ยววินาทีของมันทำเอาผมหันไปถลึงตาใส่ในมือก็ง้างหมอนอิงที่ถือไว้เตรียมฟาดใส่หัวไอกรมัน “เฮ้ย ๆ กรูขอโทษเดี๋ยวตอบดี ๆ แล้วเอาอาวุธในมือมรึงวางลงไปก่อน” ไอกรรีบรนลานพูดผมก็จำใจวางหมอนอิงในมือของตัวเองลงพร้อมรอคำตอบใหม่ออกมาจากปากของมัน


“จะให้กรูพูดจริง ๆ เหรอมันน่าอายนะเว้ย…แต่เรื่องนี้กรูยอมบอกมรึงคนเดียวเลยนะเห็นว่าตอนนี้ชะตาชีวิตมรึงคล้าย ๆ กับกรูในสมัยก่อน” พอฟังประโยคนี้แล้วมันรู้สึกตงิด ๆ ในใจยังไงก็ไม่รู้สิครับ แต่ผมก็หวังไว้ว่าบทสรุปเรื่องราวของผมมันจะไม่เป็นเหมือนเรื่องราวของไอกรมันก็แล้วกัน เพราะถ้าบทสรุปของผมเหมือนกับของไอกรมันก็เท่ากับผมกลายเป็นแฟนกับพี่เตอร์ครับ ซึ่งข้อนี้ผมรับไม่ได้เด็ดขาด!


“คือตอนนั้นที่กรูตอบตกลงไปหัวสมองกรูเบลอไปหมดหวะ แต่ไอช่วงเวลาก่อนที่กรูจะตอบตกลงพี่ศิแกไปตอนนั้นหัวใจกรูมักจะเต้นแรงมาก ๆ เวลาอยู่กับเขา และกรูรู้สึกเขินทุกครั้งที่อยู่ใกล้ ๆ พี่เขาแต่ก็ไม่ใช่แค่เขินนะเว้ย นอกจากเขินแล้วยังรู้สึกสบายใจ มีความสุข...ในทุก ๆ วินาทีที่อยู่ใกล้และได้ทำอะไรร่วมกับพี่เขา คือพูดไปไม่รู้มรึงจะเข้าใจไหมแต่ความรู้สึกของกรูที่มีต่อพี่ศิมันเรียกว่าความรักหวะ” โหย…ประโยคนี้ถ้าพี่ศิมาได้ยินคงยินดีแทบตาย แต่ไอคนที่ได้ยินมันคือผม…ไอตัวผมก็ได้แต่พยักหน้าตอบรับไปส่ง ๆ เท่านั้นเพราะที่มันพูดความรู้สึกพวกนั้นออกมาผมไม่เข้าใจเลยสักนิดนั่นก็อาจจะเป็นเพราะว่าตัวของผมนั้นยังไม่เคยมีความรักมาก่อนก็ได้หละมั้งครับ


เราทั้งสองคนยังพูดคุยเรื่องพวกนี้ต่อไปอีกเรื่อย ๆ จนท้ายสุดเวลาก็ล่วงเลยมาถึงตอนเย็นซึ่งเป็นเวลากลับมาของพี่ศิครับ เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับบานประตูที่ถูกเปิดเข้ามาร่างสูงของว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์ค่อย ๆ ก้าวเดินเข้ามาเรื่อย ๆ ทว่าคนที่ก้าวเข้ามาในห้องนั้นไม่ได้มีแต่พี่ศิเพียงคนเดียว เพราะผมเห็นเงาของร่างสูงที่เดินตามหลังพี่ศิเขามาด้วยในตอนแรกผมก็ไม่คิดจะสนใจอะไรหรอกครับว่าเขาเป็นใคร จนได้ยินประโยค ๆ หนึ่งเข้า ประโยคที่ผมได้ยินนั้นทำเอาผมบรรลุเลยว่าคนที่เดินตามหลังพี่ศิเข้ามาคือใครและมันก็ทำให้ผมรู้ถึงจุดประสงค์ที่พี่ศิพาเขามาที่นี่ตอนนี้ และเวลานี้ (เพราะเมื่อเช้าผมไปขัดจังหวะพี่ศิกับไอกรสวีทกันเข้าพี่ศิเลยแก้เผ็ดโดยการเอาพี่เตอร์มาเจอกับผมไงครับ)


“สวัสดีน้องเจมส์ ‘My little princess’” สิ้นประโยคนี้ร่างสูงของหนุ่มลูกครึ่งอังกฤษก็ถลาเข้ามากอดผมพร้อมกับใช้วิธีทักทายตามประสาชาวต่างประเทศที่สนิทกัน นั่นก็คือแก้มทั้งสองข้างของผมโดนช่วงชิงไปโดยปลายจมูกของพี่เตอร์เขาครับ
ให้ตายเถอะครับแม้ตอนนี้อายุผมจะเกิน 20 แล้วแต่ผมมีสิทธิฟ้องปวีณาทันไหมครับผมโดนผู้ชายลวนลาม!





TBC

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
คิดว่าไม่ทันแล้วล่ะ เจมส์ 55555  :m20: :m20: :m20: :m20:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0


Chapter 4


แม้ว่าตอนนี้พี่ศิแค้นเคืองที่ผมขัดจังหวะการสวีทหวานเมื่อช่วงเช้ามากขนาดไหนแต่พี่ศิก็ไม่มีสิทธิที่จะทำแบบนี้กับผมนะครับ ทั้ง ๆ ที่พี่แกก็รู้ว่าในตอนนี้ผมหนีศัตรูทางธรรมชาติของผมที่มีชื่อว่ากลอสเตอร์อยู่ แต่ทำไมพี่ศิถึงทำร้ายเพื่อนสนิทของแฟนตัวเองโดยการพาเอาศัตรูธรรมชาติมาฆ่าผมถึงที่แบบนี้หละครับ ที่พี่ศิทำแบบนี้ผมทำใจไม่ได้จริง ๆ หลังจากนี้ไปผมจะยุให้ไอกรมันเลิกกับพี่ศิครับ แต่ปัดเรื่องพวกนั้นตกไปก่อนก็แล้วกันเพราะตอนนี้ผมอยากจะอธิบายสภาพของชายไทยวัย 20 กว่าปี 4 คนกำลังนั่งทำกิจกรรมอะไรอยู่ภายในคอนโดสุดหรู และก็คงไม่ต้องบอกอะไรเกี่ยวกับสองคนแรกนะครับนั่นก็คือพี่ศิกับไอเพื่อนกรทั้งสองคนกำลังนั่งสวีทกันอยู่พี่ศิทำงานไปไอกรก็ป้อนขนม นม เนยใส่ปากพี่ศิไป ส่วนอีกหนึ่งหน่อ (ที่ไม่ใช่ผม) ตอนนี้เขาแปรสภาพตัวเองเป็นโซฟากิตติมศักดิ์และลากผมไปนั่งอยู่บนโซฟาสุดพิเศษตัวนั้น หรือจะให้ผมพูดแบบเข้าใจง่าย ๆ และเอาใจสาว ๆ ที่กำลังนั่งอ่านบันทึกของผมอยู่นั่นก็คือ ‘ผมโดนพี่เตอร์หลุดหล่อ (ที่ไอกรบอกว่าเขาหล่อน้อยกว่าพี่ศิ) จับ (หรือบังคับ) ให้นั่งบนตักของพี่แกอยู่ครับ’ นอกจากเขาจะบังคับให้ผมนั่งบนตักแล้วมือกร้านทั้งสองข้างของพี่เขารวบเอวของผมไว้เสียแน่น แถมคางมนยังเอามาเกยที่บ่าของผมเสียด้วย


นี่ถ้าไม่ติดว่าอยู่ต่อหน้าพี่ศิและไอกรมัน ผมคงดิ้นหลุดแล้วกระโดดแบคคิกใส่พี่เตอร์แกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วหละครับ แต่นี่อยู่ต่อหน้ารุ่นพี่แถมเป็นเพื่อนสนิทเขาเสียอีกถ้าเกินผมทำอะไรรุนแรงมีดผ่าตัดของพี่เขาคงเอามาปักที่คอหอยผมสมใจแน่นอน
ผมยอมนั่งนิ่ง ๆ แบบนั้นไปอีกพักใหญ่ ๆ และไอที่ว่าพักใหญ่ ๆ นั่นก็คือขีดจำกัดความอดทนของผมครับ ซึ่งผมก็ไม่อยากจะพูดนะครับว่าตอนนี้ไอความอดทนทั้งหมดของผมจากเต็มร้อยตอนนี้มันลดลงไปอยู่ที่เลขศูนย์เป็นที่เรียบร้อยแล้วหละครับ และเหตุการณ์หลังจากนี้ก็ไม่ต้องพูดถึงนะครับว่ามันเกิดอะไรขึ้นเพราะทันทีที่ปรอทในสมองของผมอยู่จุดต่ำสุดผมก็พลิกตัวหันไปเสยคางของพี่เตอร์พร้อมกับดีดร่างออกมาจากอ้อมกอดนั้นและจ่ายค่านั่งโซฟากิตติมศักดิ์เป็นลูกเตะตรงไปที่ท้องพี่เตอร์หนึ่งที 
คราวนี้หละครับความวุ่นวายเข้ามาภายในคอนโดแห่งนี้อย่างเต็มรูปแบบร่างของผมถูกไอกรล๊อคไว้แล้วพาเข้าไปโยนไว้ในห้อง ส่วนพี่เตอร์ที่นั่งจุกอยู่บนโซฟาถูกพี่ศิลากศพไปโยนไว้อีกห้องหนึ่ง ซึ่งพี่แกก็ไม่ได้แต่ลากศพพี่เตอร์แกไปเก็บนะครับพี่ศิแกยังล็อคประตูห้องของพี่เตอร์เหมือนตั้งใจจะขังลืมพี่เตอร์แกเสียด้วย เมื่อภารกิจขังตัวนักโทษกลอสเตอร์เสร็จสิ้นว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์ก็เดินตามคนรักเข้ามาในห้องอีกห้องหนึ่งซึ่งเป็นห้องที่ผมกำลังนั่งสงบสติอารมณ์อยู่


และเมื่อผมควบคุมอารมณ์โกรธของตนได้คราวนี้ผมก็กลายเป็นนักโทษเจมส์ โดนบังคับให้นั่งอยู่กลางวง (ดีนะที่ไม่มีไฟส่องหน้าไม่งั้นผมคงรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในห้องสืบสวน) และโดนยิงคำถามรัว ๆ แบบไม่มีจังหวะให้ผมหายใจ แม้บางเรื่องผมจะเล่าให้ไอกรมันฟังไปบ้างแล้วก็เถอะแต่มันก็ยังมีเรื่องที่พี่ศิแกไม่รู้ นั่นก็เลยทำให้ผมต้องเล่าเรื่องราวใหม่แทบจะทั้งหมดและต้องใส่รายละเอียดแบบถี่ยิบลงไปด้วย เมื่อทั้งสองคนฟังจนได้ความผมก็ได้แต่นั่งก้มหน้าด้วยความเขินอายและลอบเหลือบตามองเป็นพัก ๆ ว่าทั้งสองคนนั้นแสดงสีหน้า หรือแสดงอาการอะไรออกมา แต่ดูเหมือนพวกเขาทั้งสองคนจะไม่รู้สึกประหลาดใจอะไรกับเรื่องพวกนี้เลยสักนิดซ้ำพี่ศิและไอกรเอื้อมมือมาตบบ่าผมคนละข้างและพูดใส่ผมด้วยรอยยิ้มว่า


“ไอเจมส์ / น้องเจมส์ ลองเปิดใจรับพี่เตอร์ / ไอเต๋อมันหน่อยเห็นบ้า ๆ แบบนั้นแต่ก็เป็นคนที่รักจริงหวังแต่และแน่วแน่ในคำสัญญานะ” เมื่อพูดจบผมอยากจะถลาตัวไปที่ระเบียงและกระโดดทิ้งตัวจากชั้นสิบสี่ลงไปนอนบนพื้นให้รู้แล้วรู้รอดจริง ๆ


ผมขมวดคิ้วพร้อมกับใช้เหตุผลและตรรกะเรียบเรียงเรื่องราวและความรู้สึกทั้งหมดที่อยู่ภายในใจ (และสมอง) โอเคผมยอมรับนะว่าผมไม่ได้รังเกียจพี่เตอร์ ผมดีใจเสียด้วยซ้ำที่เจอเพื่อนสมัยเด็กที่สนิทกันมาก แต่มันก็ใช่เรื่องหรือเปล่าที่ผมจะต้องยอมเป็นเจ้าสาวของพี่เขาตามคำสัญญาสมัยเด็กนั่นหนะ และก็ไม่ใช่ว่าผมจะไม่รู้ว่าพี่เตอร์แกเป็นคนดี แต่ตอนนี้จิตใจของผมยังคงยอมรับเรื่องราวทั้งหมดไม่ได้ และที่สำคัญกว่านั้นตอนนี้ผมยังจำไม่ได้เลยด้วยว่าในเวลานั้นผมสนิทพี่เตอร์มากมายขนาดไหน


เมื่อคู่รักแห่งปีมองสภาพผมที่ขมวดคิ้วจนเป็นปมแน่น ทั้งสองคนก็เปลี่ยนสภาพตัวเองจากการพูดแหย่ผมมาเป็นมาดเอาจริงเอาจังทันที


“เจมส์…กรูรู้นะมรึงทำใจรับเรื่องนี้ยากแต่ยังไงมรึงก็ให้โอกาสพี่เตอร์แกหน่อยได้เปล่าวะไม่ใช่ตั้งป้อมขู่แง่ง ๆ ไม่ให้พี่แกมาเข้าใกล้แบบนี้” ไอกรเริ่มใช้คำพูดแนะนำผม แต่ไอที่มันแนะนำมันก็เป็นสิ่งที่ผมก็คิดจะทำนะแต่ทันทีที่ผมเห็นสภาพและใบหน้ากวน ๆ ของพี่เตอร์แก…มือและเท้ามันไปไวก่อนปากจริง ๆ


“…กรูไมได้อยากตั้งป้อมขู่พี่เตอร์แกนะเฮ้ย…แต่มรึงมองหน้าพี่เตอร์ดิ…มรึงมองดูดี ๆ แล้วมรึงจะรู้ว่ามันน่าเอามือและเท้าไปถวายให้มากขนาดไหน” ผมพูดพลางทอดถอนลมหายใจออกมาซึ่งไอคำพูดนี้ของผมพี่ศิแกก็เห็นด้วยครับเพราะเมื่อผมพูดจบมือแกร่งทั้งสองข้างของพี่เขาก็ถูกตวัดขึ้นมากอดแนบอกใบหน้าคมพยักหน้าขึ้นลงเบา ๆ เพื่อบ่งบอกให้รู้ว่าเขาเข้าใจในสิ่งที่ผมพูด


“แต่ถึงหน้าไอเต๋อมันจะน่าเอามือเอาเท้าไปถวายใส่มากขนาดไหนแต่มันก็เป็นคนดีนะน้องเจมส์ ความจริงแล้วมันไม่ได้อยากจะกวนประสาทเราหรอกมันแค่ดีใจมาก ๆ ทำตัวไม่ถูกจนแสดงอาการเยอะหรือล้นออกมา” แม้พี่ศิจะเข้าใจและยอมรับในสิ่งที่ผมพูดก็ตาม แต่เขาก็ยังเข้าข้างเพื่อนเขาครับ


เออ…ผมก็รู้ว่าพี่เตอร์แกดีใจที่ได้พบคนในความทรงจำแต่…การกระทำหลาย ๆ ที่เขาแสดงออกมามันไม่เกินไปหน่อยเหรอวะครับ ทั้งกอด ทั้งหอม หลังไมค์แบบส่วนตัวไม่เท่าไหร่แต่นี่มันต่อหน้าประชาชีทั้งยังมีประโยคชวนสยองจนทำให้ผมกลายเป็นตัวตลกของคนทั้งคณะ…แบบนี้มันไม่มากไปหรือยังไงกัน ผมไม่ได้หน้าหนาแบบพี่เตอร์แกนะเฮ้ย


“…พี่ศิ นั่นไม่ใช่แสดงตัวออกมาไม่ถูกแต่นั่นมันเป็นการแสดงออกมาแบบมากเกินความจำเป็นครับพี่” ผมพูดสวนพี่ศิแกกลับไป ซึ่งไอคำพูดของผมทั้งสองคนฟังแล้วก็พยักหน้ายอมรับนะครับ แต่ทั้งสองคนก็ยังไม่ยอมหยุดครับพวกเขายังชักแม่น้ำทั้งห้าออกมาพูดให้ผมยอมรับและยอมให้พี่เตอร์แกจีบ จนในท้ายที่สุดการสนทนาและโน้มน้าวจิตใจของผมผ่านไปราว ๆ ครึ่งช่วงโมงในที่สุดผมก็ยอมครับ…


ไม่ต้องมาวุ่นถามนะครับว่าผมยอมอะไร อันนี้ไปถามพี่ศิกับไอกรมันเองและเมื่อผมยอมตกลงพี่ศิก็เดินออกไปปล่อยนักโทษนามว่ากลอสเตอร์ออกจากห้องขังและทันทีที่ไอรับการปล่อยตัว นักโทษ? กลอสเตอร์ก็รีบวิ่งถลาเข้ามาในห้องที่ผมนั่งอยู่พร้อมกับถลาเข้ามาเอาหัวไถบนตักของผมราวกับเป็นลูกหมาที่กำลังอ้อนเจ้าของอยู่


ไอการแสดงออกแบบนั้นของพี่เตอร์มันทำให้ผมนึกสงสัยขึ้นมาว่ามันน่าดีใจขนาดนั้นเลยหรือยังไงที่ผมยอมให้พี่เตอร์แกจีบเป็นเวลาสามเดือนเนี่ย…


เมื่อเรื่องราวทั้งหมดภายในห้องนี้จบลงทุกคนก็ออกไปนั่งที่ห้องนั่งเล่นและทำงานต่อ ส่วนผมก็ถูกลูกหมาพันธ์ไซบีเรี่ยน ฮัสกี้นามว่ากลอสเตอร์ประกบติด ถูไถ กอด หอมแก้มและอะไรต่อมิอะไรจนผมคิดว่าผมอาจจะเสียตัวต่อหน้าต่อตาเพื่อนสนิทและแฟนของเพื่อนสนิทซะแล้ว


หลังจากที่ผมนั่งอดทนอยู่บนตักของพี่เตอร์และยอมให้พี่เตอร์คลอเคลียกับตัวเองไปสักพัก นักโทษกลอสเตอร์ก็แปรเปลี่ยนไปเป็นว่าที่นายแพทย์กลอสเตอร์ตามสถานะเดิม และนั่งทำรายงายเตรียมส่งอาจารย์ในวันพรุ่งนี้ แล้วเมื่อองค์เข้าร่างพี่เตอร์ ร่างของผมที่ตอนแรกนั่งอยู่บนตักของพี่เตอร์ก็ถูกประคองแก้มอุ้มไปวางอยู่ข้าง ๆ จนผมคิดว่าตัวเองหมดหน้าที่เรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อผมคิดจะลุกไปไหนมาไหนมือแกร่งข้างซ้าย (ผมนั่งอยู่ทางด้านซ้ายของพี่เตอร์ครับ) ก็ยื่นมาจับท่อนแขนของผมอยู่เสมอ
แม้เขาจะไม่ได้พูดหรือถามอะไรก็ตามแต่ผมก็รู้ครับว่าเขาอยากถามอะไรผม จนทุกครั้งที่ผมจะลุกไปไหนมาไหนผมต้องพูดบอก (เรียกง่าย ๆ ว่าขออนุญาต) พี่เตอร์แกก่อนตลอดถึงตอนแรก ๆ จะน่ารำคาญ แต่ก็ไม่ได้เสียหายอะไรที่ผมจะบอกเขาว่าผมจะไปไหนและทำอะไร (ซึ่งผมก็ไม่ได้รู้เลยว่าการทำแบบนี้ของผมมันกลายเป็นความเคยชินจนทำให้ผมต้องทำแบบนี้ไปตลอดชีวิต)
จนท้ายที่สุดเวลาก็ล่วงเลยไปถึงสามทุ่มสองว่าที่นายแพทย์ทั้งสองก็ทำงานกันเสร็จเสียทีส่วนว่าที่วิศวกรสองคนนี่นั่งคออ่อนคอพับใกล้เป็นลมเพราะหิวข้าวครับ


เมื่อว่าที่นายแพทย์ทั้งสองคนเห็นสภาพของพวกผม ทั้งสองคนก็หลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ พี่ศิเอื้อมมือไปหยิกแก้มคนรักของตนเบา ๆ พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนกับแฟนตัวเอง ไอผมก็อยากจะส่งเสียงแซวหละนะครับแต่ก็แซวไม่ได้เพราะพี่เตอร์แกก็วางมือลงบนศีรษะของผมพร้อมกับลูบอย่างเบามือ นอกจากนั้นใบหน้าคมที่หันมามองผมนั้น แววตาและริมฝีปากนั่นส่งรอยยิ้มอ่อนโยนมาให้ผม


และทันทีที่ผมเห็นใบหน้าที่แสนอ่อนโยนนั้นทำเอาความรู้สึกอยากแซวชาวบ้านสะดุดกึกและความรู้สึกเขินอายเข้ามาแทนที่จนทำให้ผมต้องรีบตวัดหน้าหันหนีไม่ยอมสบตาหรือมองหน้าพี่เตอร์แกเลย


ซึ่งหลังจากมือกร้านของว่าที่นายแพทย์สองคนดึงแก้มและลูบหัวพวกผมจนพอใจแล้ว ทั้งสองคนนั้นก็อาสาเป็นพ่อครัวทำกับข้าวมื้อเย็นรวมไปถึงมื้อดึกให้ทานกัน ร่างสูงทั้งสองยันกายขึ้นจนสุดความสูงและสาวเท้ากันเดินไปยังห้องครัวโดยว่าที่นายแพทย์ทั้งสองไม่ได้รู้เลยว่าทั้งคู่ทำให้ว่าที่วิศวกรตัวร้ายสองคนรู้สึกอายแค่ไหน…


นี่อย่าคิดว่าผมใจอ่อนนะครับผมแค่อาย แค่อายเท่านั้นหละไม่ได้หวั่นไหวอะไรเลยสักนิดเดียว อ่านปากของผมนะครับว่า ‘ผม ไม่ ได้ หวั่น ไหว เลย สัก นิด เดียว’


ขอให้เข้าใจกันโดยพร้อมเพรียงนะครับทุกคน แต่ถ้าพวกคุณที่อ่านเรื่องราวนี้อยู่ไม่เข้าใจ โปรดกลับไปย้อนอ่านซ้ำอีกรอบนี่คือคำสั่งปฏิบัติ…


ถ้าทุกคนที่อ่านเข้าใจกันแล้วค่อยมาอ่านบรรทัดนี้นะครับ หลังจากที่ทั้งนิสิตแพทย์สองคนเข้าห้องครัวไปทำกับข้าวกันผมกับไอกรก็เขยิบมานั่งกองกันที่โซฟาตัวยาว ผมเอาหัวเอนไปซบที่บ่าของไอกรเบา ๆ ส่วนไอกรก็นั่งกอดเข่าดูโทรทัศน์ไปซึ่งมันก็สะดุ้งตัวน้อย ๆ ตามประสาคนกลัวผี (มันดูหนังผีอยู่ครับ) พวกเราทั้งสองคนนั่งซุกตัวไซร้บ่ากันไปไม่นาน ชายหนุ่มร่างสูง (แต่ดันสวมผ้ากันเปื้อนสีหวาน) ก็เดินออกมาจากห้องครัวและเรียกพวกผมให้ไปทานข้าวที่โต๊ะอาหาร


แต่พวกเขาก็ไม่ทันพูดได้จบประโยคหรอกครับผมกับไอกรก็ถลาไปนั่งที่โต๊ะและจัดการข้าวเย็น + ข้าวดึกอย่างรวดเร็วโดยไม่รอพ่อครัวสองคนที่อุตส่าห์ทำมาให้พวกผมทานเลยครับ


ผมตักข้าวพันเข้าปากก่อนจะหันไปเอ่ยปากชมพี่ศิออกไป “พี่ศิทำอะไรก็อร่อยเนอะ ถ้าไม่ติดว่าเป็นแฟนไอกรและไม่ติดว่าเป็นผู้ชายเจมส์จะขอจีบไปเป็นเจ้าสาว” ไอประโยคนี้ผมพูดออกไปโดยไม่คิดอะไร ซึ่งไอกรก็ไม่คิด พี่ศิแกก็ไม่คิดแต่ดันมีคนคิดครับ
ซึ่งไอคนคิดนั่นก็คือศัตรูโดยธรรมชาติของผมหรือพี่เตอร์นั่นเอง ใบหน้าคมนั้นบูดบึ้งพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนคนที่ใกล้จะร้องไห้ “…เจมส์ครับเจมส์เอาไอศิมาเป็นเจ้าสาวไม่ได้นะครับเจมส์ต้องมาเป็นเจ้าสาวของพี่ต่างหาก”


สิ้นประโยคนี้ผม ไอกรรวมถึงพี่ศิ พร้อมใจกันทำช้อนซ้อมในมือร่วงลงไปที่พื้นเลยหละครับเพราะว่าพวกเราทั้งสามคนไม่คิดว่าพี่เตอร์แกจะกลาพูดประโยคนี้ออกมา ผมไม่รูว่าแกไปเอาความมั่นอกมั่นใจมาจากไหนมากมาย แต่ผมก็มีเรื่องที่ต้องขอบคุณเขานะครับ (แต่ดูเหมือนไอสิ่งที่พี่เตอร์แกทำมันจะส่งผลอะไรกับชีวิตผมสักเท่าไหร่นักหรอกเรียกว่าไม่ส่งผลดีอะไรกับชีวิตผมเลยมากกว่า) ที่ทำให้ผมมีบุญได้เห็นคุณชายศิรวิทย์แฟนสุดเพอเฟกของเพื่อนสนิทหมดมาดคุณชายทำหน้าเหวอกับความมั่นใจ (ที่ออกนอกหน้า) ของเพื่อนตัวเอง




CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
เจมส์เริ่มหวั่นไหวอ่ะดิ พี่เตอร์เก็บอาการด้วยนะคะ 5555555

ออฟไลน์ Toon_TK

  • เ ด็ ก อ้ ว น
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 741
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-1

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0


และเมื่อผมรวมถึงสมาชิกที่เหลือทั้งสามคนคว้าสติกลับคืนมาได้ เสียงแรกที่ดังขึ้นนั้นก็คือเสียงโห่รองแซวของเพื่อนรักตัวดีของผม “แหม…พี่เตอร์ หวงไอเจมส์มันขนาดนี้ไม่แบกขันหมากไปสู่ขอมันที่บ้านซะพรุ่งนี้เลยหละครับ” สิ้นประโยคนี้ นองกรผู้น่ารักของพี่ศิก็โดนสายตาอาฆาตจากผม จนยอมนั่งนิ่ง ๆ สงบปากสงบคำไป แต่คู่สนทนาเจ้ากรรมดันไม่ได้คิดจะสงบปากตัวเอง หนุ่มลูกครึ่งส่งรอยยิ้มพิมพ์ใจสาว ๆ แต่สำหรับตัวของผมนั้นมันช่างน่าขนลุกกยิ่งนัก เสียงทุ้มเอ่ยออกมาอย่างจริงจังยิ่งกว่าเก่าและประโยคนั่นทำให้ผมใช้ช้อนในมือตักข้าวยัดปากพี่เตอร์ไปจนแทบจะทะลุคอหอย “นั่นสิน้องกรพูดถูกต้องทุกอย่างเลยครับแบบนี้สิไอศิมันถึงได้หลงนัก พี่ต้องคุยกับที่บ้านแล้วหละ พี่คิดว่าคงใช้เวลาสักอาทิตย์หนึ่งถึงจะเตรียมสินสอดได้ น้องเจมส์รอพี่สักนิดนะครับ พี่นี่ไม่เตรียมตัวเลยแย่จริง ๆ เลย น้องเจมส์อุตส่าห์ตอบตกตงลงแล้ว พี่ดันดีใจจนลืมเรื่องสำคัญพี่ขอโทรบอกคุณพ่อคุณแม่สักครู่นะครับ” พูดแล้วไม่ว่าเปล่ามือกร้านหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมาเตรียมโทรหาที่บ้านอีกดีนะที่ผมขัดขวางไปจนตอนนี้เจ้าตัวนั่งไอตัวงอเยื้องกับเก้าอี้ที่ผมนั่ง (ผมปฏิเสธที่จะนั่งข้างพี่เตอร์และปฏิเสธที่จะนั่งหันหน้าเข้าหาพี่แกด้วยครับคราวซวยของคู่รักแห่งปี พี่ศิและไอกรที่ต้องมานั่งแยกกันเพราะความเอาแต่ใจของผม)


หลังจากผมจงใจและตั้งใจทำร้ายพี่เตอร์เสร็จแล้ว ผมก็ปล่อยช้อนลงพร้อมกับยกมือทั้งสองข้างมาไขว้กันไว้ที่อก พร้อมทั้งแสดงสีหนึ่งที่บ่งบอกให้ทุกคนรู้ถึงความไม่พอใจ อันที่จริงผมเป็นคนเก็บอารมณ์และไม่แสดงออกมาทางสีหนานะแต่ครั้งนี่ ผมไม่ไหวจริง ๆ นอกจากนั้นผมก็เป็นคนที่ไม่ชอบพูดทำร้ายจิตใจใครด้วย ผมออกจะรักษาน้ำใจทุกคนเสียด้วยซ้ำ แต่กับคนที่พูดแล้วไม่รู้เรื่องผมขอยกไว้เป็นอีกกรณีหนึ่งแล้วกัน ซึ่งพี่เตอร์แกเข้าข่ายไม่สิ พี่เตอร์อยู่ในกรณีนั้นของผมพอดีเลยหละครับ “ตอบตกลงอะไรครับ ผมบอกแค่ว่าให้เวลาสามเดือน ให้พี่จีบผม” ผมพูดคำว่าจีบออกมาอย่างกล้ำกลืนเล็กน้อยถึงปานกลางแต่ไม่ใช่ผมรังเกียจนะครับแต่ที่กล้ำกลืนเพราะหน้าพี่เตอร์ที่แสดงออกมาหลังจากได้ยินคำนั้นมันช่างน่าเอาผ่ามือไปวางประทับแรง ๆ เสียจริง “ไม่ใช่ตอบตกลงว่าจะคบ เรื่องนั้นผมคิดว่า…ไว้หลังจากสามเดือนค่อยว่ากัน” ผมหยุดไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยจนจบประโยค นั่นก็เป็นเพราะผมเกือบจะหลุดคำว่า ‘ผมปฏิเสธพี่แน่นอนอยู่แล้วครับ’ ออกไปหนะสิ แลวทำไมผมถึงระวังคำพูดขนาดนั้นหนะหรือนั่นก็เป็นเพราะ ผมทำขอตกลงกับพี่ศิและไอกรไปว่า จะไม่พูดจาทำร้ายจิตใจพี่เตอร์แกรวมถึงขับพูดจาขับไล่ไสส่งพี่เตอร์ หรือทำร้ายร่างกายพี่เตอร์เด็ดขาดมิเช่นนั้น ข้อตกลงสามเดือนจะเป็นโมฆะ และพี่เตอร์แกจะตามจีบผมไปได้ตลอดชีวิตหรือจนกว่าผมจะตกลงคบกับพี่แก แต่เรื่องเอาช้อนแทงคอหอยพี่เตอร์เป็นกรณียกเว้น เพราะถ้าโดนท้วงผมจะบอกไปว่า ‘พี่เตอร์พูดมากเกินไปเลยป้อนข้าวแต่ใส่แรงมากไปนิดเลยทำให้พี่แกสำลักนิดหน่อย’


ดังนั้นเรื่องนี้ผมจะพลาดไม่ได้เด็ดขาด เพราะมันขึ้นอยู่กับชะตาชีวิตในอนาคต แม้ผมจะคิดว่าอาชีพหมอจะทำเงินดีมากจนอยากมีคู่ชีวิตเป็นหมอแต่ผมอยากอยู่ในกรณีที่ผมเป็น 'สามี' ไม่ใช่มีเค้าลางตั้งแต่ก่อนแต่งงาน? ว่าจะรับหน้าที่เป็น ‘ภรรยา’ แบบนี้ครับ
และหลังจากพี่เตอร์ไอจนตัวงอและยิ้มจนแก้มปริเสร็จแล้วการทานข้าวต่อก็เป็นไปได้ด้วยดีแต่สำหรับผมออกจะติดขัดสักเล็กน้อยเพราะผมต้องลุกขึ้นไปหยิบช้อนซ้อมมาใหม่เนื่องจากพี่เตอร์แกงอแงว่าจะเก็บ ‘ช้อน’ ที่ผมป้อนข้าวให้พี่แกไปหรือเรียกกันตามตรงว่าช้อนที่ผมได้ทำกับกระซวกคอพี่แกไป กลับบ้านเอาไว้ในคอลเลคชั่นเจ้าหญิงน้อยของพี่แก ซึ่งในตอนแรกที่ผมได้พบเจอหน้าพี่เขาผมก็คิดว่าเขานั้นประหลาดอยู่แล้วตอนนี้ผมบอกได้เต็มปากเลยครับว่าผู้ชายคนนี้ แม้จะเรียนคณะแพทยศาสตร์ หล่อเหลาดีกรีเดือนคณะ พ่วงตำแหน่งลูกครึ่งพูดไดสาม – สี่ภาษา ก็สมองไม่ปกติเป็นครับ


ทั้งสามคนที่เหลือบนโต๊ะอาหารได้แต่ถอนหายใจและนั่งทานข้าวกันจนหมด ผมและกรเลยรับหน้าที่ทำความสะอาดเครื่องครัวและจานชามที่ใช้แล้วส่วนชายหนุ่มว่าที่นายแพทย์ทั้งสองก็กลับไปนั่งก้มหน้าก้มตาทำหนาเครียดกับรายงานต่อ ตัวผมค่อย ๆ เขยิบไปข้าง ๆ เพื่อนสนิทแสนรักแสนรู้ของผมก่อนจะเอ่ยถามคำถามออกไป


“เพื่อนกร มรึงคิดดีแล้วเหรอที่สร้างข้อเสนอเรื่องที่ให้พี่เตอร์จีบกรูนี่ย” เสียงกระซิบเบา ๆ ลอยผ่านอากาศไปเข้าหูเพื่อนตัวแสบเพราะแม้ผมจะยอมตอบตกลงไปแล้วแต่เอาจริง ๆ ผมก็ไม่คิดว่ามันจะดีอะไรหรอกครับไอการยอมตอบตกลงให้ผู้ชายจีบเพื่อตัดปัญหาความวุ่นวาย ซ้ำผมยังคิดว่ามันออกจะทำร้ายจิตใจพี่เตอร์เขาด้วยที่ผมยอมให้เขาจีบเพื่อตัดปัญหา เห็นผมปฏิเสธพี่เตอร์เขาขนาดนี้แต่ผมก็ยังมีจิตใจงดงามนะครับเป็นห่วงพี่เตอร์เขา แต่ในฐานะเพื่อนร่วมโลกแต่ใช้คำนี้ดูจะใจร้ายไปหน่อย งั้นเอาเป็นเพื่อนของแฟนเพื่อนสนิท ยังดูห่างเหินไปอีกเหรอครับงั้นเอาเป็นเพื่อนสมัยเด็กก็ได้ครับ


สิ้นเสียงของผมไอกรกหันหน้ามามองผมพร้อมกับยิ้มก่อนจะริบหุบยิ้มไปทันที ผมเห็นนะที่มันยิ้มแบบนั้นไม่ใช่ไม่เห็นแต่ไอความอยากรู้มันมากกว่าการที่จะทำร้ายเพื่อนที่ยิ้มเยาะตัวเองครับ (เพราะไม่ต้องเดาก็รู้ว่าในสมองมันคิดว่าผมเป็นห่วงพี่เตอร์มาก กลัวไปทำร้ายจิตใจพี่เขาแต่จริงๆผมแค่กลัวทำร้ายจิตใจเพื่อนร่วมโลกเอ้ย…เพื่อนสมัยเด็กเท่านั้นเอง) “ถ้าแคร์เขาขนาดนี้ก็คบไปดิ ไม่เห็นพี่เตอร์แกจะเลวร้ายตรงไหนจากที่รู้จักพี่เตอร์แกมาสามปีแกก็รู้ไม่ใช่หรือไงวะเจมส์ แถมพี่แกเป็นสุภาพบุรุษออกออกจะให้เกียรติมรึงทุกระเบียบนิ้วจริงจังขนาดจะแบบขันหมากไปขอแกในอาทิยต์หน้า ไอเจมส์แกรู้ไหมพวกรุ่นน้องกรี๊ดพี่แกเยอะแยะ คิดไรมากคนแบบนี้มาหลงรักมรึงหัวปักหัวปำแบบนี้มันหายากนะเว้ย ไม่คว้าไว้แล้วจะเสียใจ” ไอกรทำเป็นพูดมาได้ว่าไม่คว้าไว้จะเสียใจ แล็วไอคำว่าแคร์ คำว่าเป็นห่วง มันไม่ใช่เลยสักนิด ผมแค่…กลัวทำร้ายเพื่อนสมัยเด็กเท่านั้นเอง ที่สำคัญเรื่องที่มีผู้ชายมาชอบนี่มันสมควรคิดหนักไม่ใช่หรือไงครับคุณเพื่อนที่รัก เรื่องเล็กน้อยตรงไหนกันเนี่ย ไอเรื่องที่มีผู้ชายมาหลงรักแบบโงหัวไม่ขึ้น



“ไอกร มรึงไม่ใช่กรูมรึงก็พูดได้สิครับเพื่อน” ผมตอบไปนิ่ง ๆ ซึ่งไอกรมันไม่นิ่งตามแถมขึ้นเสียงสูงตอกหน้าผมกลับอีกแต่ยังดีที่มันไม่ได้ใช้เสียงดังขนาดทำให้สองคนที่นั่งทำรายงานอยู่ในห้องนั่งเล่น (แต่ไม่ใช่ที่โซฟาเพราะตรงนั้นพวกผมจองกันไว้แล้ว) หันมาหรือเอ่ยถามว่าเกิดอะไรขึ้น


“ไม่ใช่กรูมรึงก็พูดได้…แลวไอเพื่อนเวรหน้าไหนเอากรูใส่พานถวายพี่ศิวะ ถ้าไม่ใช่มรึงกับไอบาส แหม…ไอประธานรุ่น ไอคนดี ไอคนรุ่นน้องเคารพนับถือ พ่อว่าที่เกียรตินิยม มรึงนี่ฉลาดแต่เรื่องเรียนเรื่องวิชาการ แต่เรื่องพวกนี้ดันโง่ คราวนี้กรูบอกเลยว่ากรูเชียร์พี่เตอร์สุดใจเพราะกรูรู้ว่าความรู้สึกของพี่เตอร์มันของจริง ส่วนความรู้สึกของมรึงกรูไม่รู้ว่ามรึงรูสึกยังไง แต่หลังจากสามเดือนมรึงค่อยถามตัวเองแล้วกันคิดว่าเวลาราว ๆ นั้นทำคงทำให้มรึงรู้ตัวแล้วหละไอเจมส์ว่าในใจมรึงคิดยังไงกับพี่เตอร์แก ก็แค่มรึงลืมความรู้สึกที่มรึงอยู่กับพี่เขาไปมรึงเลยปฏิเสธรอใหมรึงจำได้ก่อนเถอะ” ไอกรมันพูดออกมาทำเอาผมสะอึกที่สะอึกหนะไม่ใช่เรื่องที่มันด่าครับแต่ที่สะอึกคือเรื่องจับมันใส่พานนี่หละทำเอาปฏิเสธไม่ลง ใช่ครับเป็นผมนี่หละที่เอามันใส่พานถวายพี่ศิแบบไม่ถามความเห็น แต่เรื่องของมันจบแบบ Happy ending นี่ครับไม่เห็นว่ามันจะต้องเอามาด่าผมแบบนี้เลย แต่ส่วนของผมยังไง ก็ Bad ending เห็น ๆ มันยังทำท่าจะเชียร์พี่เตอร์สุดใจอีก ซ้ำยังมาพูดเหมือนรู้จักหัวใจผมดีกว่าตัวผมเองอีกเรื่องแบบนี้ไม่ใช่เจ้าของหัวใจเองไม่รู้หรอกครับ และตัวผมที่เป็นเจ้าของหัวใจตอบได้เต็มปากเต็มคำเลยว่า ผมกับพี่เตอร์คงเป็นเส้นสองเส้นที่มาบรรจบกันยากไม่สิ บรรจบกันไม่ได้เลยครับคงเป็นเส้นขนานกันไปตลอดชาตินั่นหละ


“เงียบแบบนี้ด่ากรูในใจอีกหละสิไอเจมส์ เอาเถอะกรูพูดอะไรไปมรึงก็ไม่ยอมรับหรอกรอให้เวลามาถึงแล้วมรึงจะรู้เอง แล้วถ้ารู้อย่าปฏิเสธมันหละไม่งั้นมรึงจะเสียใจไปตลอดชีวิต…อืมแต่ฉลาด ๆ อย่างมรึงน่าจะหาทางแกไดอยู่แล้วงั้นกรูขอเป็นคนนอกมองเงียบ ๆ แล้วกัน” พอไอกรพูดจบมันก็ล้างมือแล้วเดินจากไป พร้อมปล่อยให้ผมยืนงงกับคำพูดของมันในห้องครัวหน้าอ่างล้างจานที่ยังมีจานอยู่เต็ม


ผมคิดว่าที่กรมันพูดมันคงจริงจังและหาเรื่องไม่ทำงานบ้านต่างหากผมฟึดฟัดด้วยความโมโหแต่ในฐานะผู้อาศัย (ชั่วคราว และเกาะเขากินหนึ่งมื้อหรืออาจจะมากกว่านั้น) ทำให้ผมก้มหน้าก้มตาล้างจานทั้งหมดชดใช้ค่าข้าวที่กินไปจนกระทั่ง… ผมมีมารมาผจญ ซึ่งมารตัวนั้นไม่ใช่คนอื่นคนไกลนอกจากผู้ชายที่เป็นหัวข้อบทสนทนาของพวกผมเมื่อสักครู่ ผู้ชายที่พูดเรื่องน่าอายได้อย่างไรยางอาย แถมไม่กระดากปากตัวเองเลยสักนิด ใช่แล้วครับเขาคนนั้นคือ นิสิตแพทย์ชั้นปีที่ 6 นายรเณศ จี. แมควิลเลน ผู้ชายที่ผมอยากจับทุ่มลงจากคอนโดชั้น 14 แห่งนี้


ดูเหมือนเขาจะมาตามคำพูดขอร้องของไอเพื่อนเวร นายรณกรที่น่ารัก น่าชังของนิสิตแพทย์ชั้นปีที่หกอีกคนในห้องนี้หรือคือคุณพี่ศิรวิทย์ แต่ไม่ว่าไอกรมันจะน่ารัก น่าฟัด ขาวตี๋ ตามประสาลูกคนจีนขนาดไหน มันก็น่าเตะสำหรับผมเสมอ และยิ่งตอนนี้มันเป็นบุคคลรายที่สองที่ผมอยากจะทุ่มมันออกจากคอนโดชั้นที่ 14 ตามพี่เตอร์ไปติด ๆ เลยครับ แต่มันยังโชคดีที่แฟนมันอยู่ มิเช่นนั้นผมคงกระโดดไปบีบขมับ แล้วต่อยมันสักทีสองทีแล้วหละครับ นี่มันยังโชคดีที่มีแฟนคุ้มกะลาหัว ผมได้แต่เข่นเคียวฟันด้วยความโกรธแต่ผมก็ต้องทำตัวเป็นเด็กดีตามที่ได้รับปากเอาไว้


“มีอะไรเหรอครับพี่เตอร์” ผมเกริ่นนำด้วยประโยคคำถามแต่สิ่งที่ได้กลับมาไม่ใช่ประโยคคำตอบแต่เป็นมืออุ่น ๆ ของผู้ชายตรงหน้าที่เอื้อมมากุมมือของผมต่างหาก “กรบอกว่าเจมส์ทำจานตกแตกแล้วโดนเศษแก้วบาด เจ็บมากไหมครับ” เสียงทุมเจือด้วยความอ่อนโยน มือทั้งสองข้างนั้นพลิกมือผมไปมาด้วยความเป็นห่วง แม้ว่ามือของผมจะไม่มีแผลแต่อีกฝ่ายก็ไม่วางใจ เขาจูงมือผมไปนั่งที่โซฟาก่อนจะรีบวิ่งไปหากล่องปฐมพยาบาลมาเพื่อรักษาผม…ทั้ง ๆ ที่ผมไม่เป็นอะไรเลยสักนิดเดียว ว่าแล้วผมก็ตวัดสายตาหันไปมองเจ้าจอมกุเรื่องขึ้น แต่ก่อนที่ผมจะได้เอ่ยปากท้วงอะไรไอกรก็ทำเรื่องน่าตบให้ลงไปนอนดิ้นตายที่พื้น ซึ่งมันเอือมมือมาใช้ที่ตัดเล็บหนีบนิ้วผมจนผมร้องโอ้ยดังลั่นห้อง เท่านั้นหละครับคนที่วุ่นหากล่องยาอยู่นี่วิ่งสี่คูณร้อยมาหาผมในช่วงเสียววินาที ส่วนพี่ศิได้แต่ทำหน้าดุ ๆ ใส่แฟนตัวเอง บางครั้งผมก็อยากให้พี่ศิทำโทษแฟนตัวเองให้หนักกว่านี้นะครับไม่ใช่แค่ส่งสายตาดุแค่นี้


ผมรีบดึงมือตัวเองกลับมาแล้วกุมไว้ดีที่กรมันแกล้งหนีบนิ้วผมเบา ๆ จึงไม่เป็นแผล แต่ไอคนที่วิ่งสี่คูณร้อยมาพร้อมกับกล่องปฐมพยาบาลในมือนี่ทำเหมือนกับว่าผมแขนหักต้องรีบเขาเฝือกโดยด่วน “เจมส์ครับเป็นอะไรเหรอครับไปโดนแผลเข้าเหรอไหนพี่ขอดูหน่อย ถ้าเลือดออกมาต้องรีบห้ามเลือดนะครับ" ไอความเป็นห่วงนี่มันก็น่าดีใจอยู่หรอกครับแต่ว่าช่วยหันไปมองแฟนเพื่อนตัวเองด้วยว่ามันกลั้นหัวเราะจนมันจะขาดอากาศหายใจตายแล้ว ส่วนตัวเองก็ช่วยดูหน่อยนะครับว่ามือผมมันมีเลือดไหลหรือเปล่าไม่ใช่ว่าคิดไปเองเพราะโดนแฟนเพื่อนขอตัวเองหลอกแบบนี้


พี่เตอร์แกเชื่อคนง่ายแบบนี้ทำเอาผมคิดเลยหละครับว่า พี่เตอร์ใช้เงินยัดเข้าคณะนี้มาหรือเปล่า ทำไมถึงได้เชื่อคนง่ายขนาดนี้ครับพี่ ผมได้แต่ถอนหายใจพรอมกับโบกมือไปมาใหพี่เตอร์แกดู “ไม่มีแผลครับผมโดนกรแกล้งเห็นแบบนี้แลวปล่อยผมกลับไปล้างจานต่อได้หรือยัง” ผมได้แต่ถอนหายใจและทำท่าจะลุกขึ้นไปล้างจานต่อแต่ว่าที่นายแพทย์กลอสเตอร์ไม่เซนยินยอม ? ให้ผมลุกขึ้นไปทำงานต่อ แถมออกตัวอาสาล้างจานแทนอีก ผมควรดีใจสินะครับหรือผมควรเตรียมใจรับฟังเสียงบรรเลงของจานชามที่ตกลงพื้นแตกด้วยฝีมือพี่แกดี


แต่ดูเหมือนผู้เป็นเจ้าของห้องและภรรยา ? ของเจ้าของห้องจะไม่อยากให้เกิดบทเพลงอันแสนไพเราะขึ้นในห้องเพราะพี่ศิรีบลุกขึ้นแล้วรีบชวนให้ไอเพื่อนตัวดีของผมไปล้างจานกับตัวเองต่อ ส่วนเพื่อนเจ้าของห้องและเพื่อนแฟนเจ้าของห้องอย่างผมพวกเขาปล่อยให้นั่งสวีทหวานกันสองต่อสอง ? ในห้องนั่งเล่นทั้ง ๆ ที่ทังสองคนกำลังถึงเนื้อถึงตัวกันอยู่ผม ให้ตายเถอะครับฉากโคตรโรแมนติกเลย ครับ เพราะทุกครั้งที่ผมพยายามกระชากมือหนีจากการกอบกุม มือของพี่เตอร์แกก็คว้ามือผมกลับมาไว้แน่นในเวลาเพียงชั่วเสี้ยววินาที แถมทุกครั้งที่หนีมือที่กุมมือของผมไวยิ่งกุมแน่นขึ้นไปอีกแต่มันก็ไม่ได้แรงมากจนผมรู้สึกเจ็บแต่มันรู้สึกได้ถึงความห่วงใยที่ส่งผ่านมามากกว่า ไอตัวผมกอยากจะปฏิเสธความหวังดีนั่นหรอกนะครับ แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกคุ้นเคยกับฝ่ามือนี้อย่างน่าประหลาด ผมเบนสายตาหนีอีกฝ่ายไปอีกทางและเช่นกันพี่เตอร์แกก็ไม่กล้าที่จะสบตาผม เอาจริง ๆ เราทั้งสองคนไม่กล้าที่จะมองหน้ากันเลยมากกว่า


แต่ทำไมกันนะตัวผมที่ปฏิเสธมาตลอดกับเรื่อง ๆ นี้ และไม่ต้องการที่จะรื้อฟื้นอดีตอันแสนน่าอายพวกนั้นถึงไม่ปฏิเสธฝ่ามือนั่น หรืออาจจะเป็นเพราะว่าผมเคยชินกันมันในสมัยเด็กและได้กลับมาสัมผัสความเคยชินอันนั้นผมถึงไม่ยอมกระชากมือออกจากการกอบกุม ทว่าไอบรรยากาศหวาน ๆ กอยู่ไดไม่ถึง ห้านาทีหรอกครับบรรยากาศพวกนั้นก็แตกกระเจิง แต่ไม่ใช่เพราะไอกรแต่เป็นเพราะพี่ศิแกต่างหาก


แม้แกจะเชียร์และเอาใจช่วยเพื่อนแค่ไหนแต่เรื่อการเรียนห้ามละทิ้งครับ เพราะหลังจากที่พี่แกและไอกรล้างจานเสร็จร่างสูงนั่นก็เดินมากระชากคอเสื้อเพื่อนสนิทของตัวเองไปทำงานต่อทันที (งานของพี่ศิกับพี่เตอร์เป็นงานที่ต้องทำด้วยกันดังนั้นคนรักเรียนอย่างพี่ศิไม่ทิ้งการเรียนเพราะเรื่องเพื่อนจะจีบ…เอ่อ…ผู้ชายหรอกครับ เรียนเป็นเรียน จีบเป็นจีบ แม้ไอกรจะลากแขนพี่ศิไว้ก็รั้งไม่อยู่ครับ) ส่วนผมนี่รีบกระชากมือหนีพร้อมกับซ่อนใบหน้าที่เริ่มสับสนของตัวเองไว้แทบไม่ทัน และมันก็ไม่ทันครับ ทั้ง ๆ ที่เพื่อนรักเพื่อนเวรของผมที่ปกติมักจะตาถั่ว เบลอ ๆ มึน ๆ เมา ๆ อยู่เสมอแต่ทำไมวันนี้มันกับตาดี ดีเสียจนผมนี่อยากจะเอานิ้วสองนิ้วไปจิ้มตามัน


“ไง หวั่นไหว ไหวหวั่นหละสิครับเพื่อน” ประโยคสั้น ๆ แต่กัดกินไปถึงขั้วหัวใจออกจากปากเพื่อนรักผมนี่วิ่งเข้าไปประเคนศอกใส่มันทันที ใครหวั่นไหวครับ ไม่มีหรอกผมแค่คิดว่ามันเหมือนกับความรู้สึกบางอย่างในสมัยเด็ก เท่านั้นเองครับแต่นั้นจริง ๆ นะ แต่ดูเหมือนท่าทางผมมันคงไม่ได้แสดงออกอย่างงั้นสินะเพราะไอกรมันยังล้อผมไม่เลิก นิ้วมันก็มาวน ๆ จิ้มแก้มของผมอีก ไอผมจะทำรายแฟนของเจ้าของห้องกกลัวว่าจะโดนโยนออกไปจากห้อง (จริง ๆ คือผมกลัวโดนฆ่าชำแหละศพเลยหละครับถาไปทำอะไรแฟนสุดรักสุดหวงของว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์เข้า) ผมก็เลยได้แต่ปล่อยให้เพื่อนกรที่น่ารัก (สำหรับพี่ศิแต่สำหรับผมคือน่าตบ) กลั่นกำลงและหยอกล้อผมไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเวลาล่วงเลยเข้าหาทุ่ม ไอผมไม่ใช่คนที่จะง่วงนอนอะไรง่าย ๆ อยู่แล้วเพราะทำงานสโมรดึกผมเลยนั่งดูทีวีไป พร้อมกินขนมขบเคี้ยวไปส่วนไอกร รายนั้นฟุบไปกับโซฟาเป็นที่เรียบร้อยแล้วหละครับ ส่วนสมาชิกที่เหลือในห้องอีกสองคนก้มหน้าก้มตาทำรายงานกันไปนั่นหละครับ และท่าทางว่ามันคงไม่เสร็จในเวลาอันใกล้นี้ผมจึงทำหน้าที่ผู้อาศัยที่ดี ? เดินเขาครัวไปเทนำผลไม้แล้วเอาไปบริการเสริฟให้พวกเขาถึงที่ คนแรกก็ปกติดีอยู่หรอกครับ ส่วนอีกคนอย่างที่รู้ ๆ กันครับ แทบจะเก็บแก้วน้ำกลับบ้านถ้าไม่ติดว่าพี่ศิแกจองเขม็งอย่างเอาเป็นเอาตายถ้าพี่แกไม่วางแก้วลง


ผมก็ได้แต่มองนิสิตแพทย์ที่กำลังจะก้าวเข้าสู่คำว่านายแพทย์เต็มตัวอีกในเวลาไม่ถึงปีแล้วทอดถอนหายใจ พร้อมกับหลุดขำออกมาการกระทำของผมทำให้พี่ศิกับพี่เตอร์มองมาที่ผมอย่างงง ๆ ก่อนจะทั้งสองจะคลี่รอยยิ้มจาง ๆ มาให้ เท่าที่ดูพี่เตอร์ถ้าตัดความโอเว่อร์ออก ตัดความสติไม่ดีออก ? ผมคิดว่าเขาเป็นผู้ชายที่ดีคนหนึ่งเลยหละครับเสียแต่ผมเป็นผู้ชายและคิดว่าคงไม่หวั่นไหวอะไรกับผู้ชายด้วยกันแมจะโดนรุกจีบอย่างหนัก ดังนั้นผมก็ได้แต่นั่งสงสารพี่เตอร์แกไป เพราะความพยายามสามเดือนในการจีบผมคงไม่มีค่าอะไรเพราะคำตอบที่อยู่ในหัวผมคือการปฏิเสธพี่แกไม่ว่ากรณีใด ๆ ก็ตาม


ผมหยิบแก้วว่างเปล่าสองใบไปทำความสะอาดและเก็บมันเข้าที่พรอมกับปลุกเพื่อนสนิทที่ตอนนี้เขาเฝ้าพระอินทร์ไปไม่รู้กี่รอบให้ตื่นเพื่อให้มันกลับไปนอนที่ห้องของตัวเองจะได้ไม่รบกวนสองคนสองที่กำลังทำงานอยู่ (และมีเค้าลางว่าจะทำไปอีกนานสองนานเลยทีเดียว) แต่ไอกรมันหลับลึกกว่าที่คิดครับเพราะลำพังแค่ผมปลุกมันไม่ยอมตื่น ครับ (สงสัยพี่ศิ อุ้มมันไปนอนบ่อยจนรายนี้ปลุกให้ตื่นง่าย ๆ ไม่ได้ แต่จริง ๆ แล้วไอกรมันตื่นยากอยู่แล้วหละครับแต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรสำหรับผมที่คอยปลุกมันให้ตื่นหลังเรียนจบวิชาทุกวิชา) ผมเลยบรรจงใช้นิ้วมือของผมไปบีบจมูกของเพื่อนกรเต็มแรงแบบไม่มีกั้กเลยครับเอาให้มันตื่นเต็มตา มันไม่ตื่นเพราะเจ็บมันก็ตื่นเพราะขาดอากาศหายใจหละครับ


และเวลาก็ผ่านไปไม่ถึงนาที ร่างของไอกรที่นอนอยู่บนโซฟาก็เด้งตัวขึ้นมานั่งหายใจหอบจนตัวโยง แถมหันมามองผมด้วยสายตาอาฆาตแค้นเสียอีก นี่ผมผิดหรือไงที่ปลุกให้มันกลับไปนอนที่ห้องดี ๆ หรือตอนนี้มันย้ายสำมะโนครัวมาอยู่ห้องพี่ศิเรียบร้อยแล้วกันแน่ ผมส่ายหัวไปมาด้วยความระอา แต่มือก็ฉุดร่างของไอกรให้ลุกขึ้นตามเพื่อพามันออกไปนอกห้อง 1404 แต่ดูเหมือนเพื่อนผมตอนง่วงนอนคนนี้งี่เง่ากว่าที่คิดครับเพราะหลังจากมันลุกขึ้นมานั่งหายใจจนเต็มปอดแล้วมันกลมตัวลงไปนอนเหมือนเดิม ท่าเดิม มุมเดิม และหลับสนิทเหมือนผม ไอผมนี่เส้นเลือดโผล่ตามใบหน้าเลยครับ ครั้นจะปลุกแบบเดิมก็ไม่อยากจะทำเพราะกลัวฆาตกรรมเพื่อนสนิทตัวเองจนทายที่สุดพี่ศิ พ่อเทพบุตรของไอกรและเป็นเทวดาของผมก็เสนอตัวหิ้วไอกรหรือแปลอย่างง่ายคืออุ้มแฟนตัวเอง ไปส่งที่ห้องนอน


ภาพที่เห็นนี่ราวกับเจ้าชายอุ้มเจ้าหญิงเลยครับ แต่มันเสียอยู่อย่างเดียวเท่านั้นหละครับ ซึ่งจุดที่มันเสียนั่นก็คือแทนที่มันจะเป็นดั่งเทพนิยายเจ้าชายรักกับเจ้าหญิงนี่เป็นเจ้าชายกับเอ่อ…(ผมไม่อยากแทนไอเพื่อนคนนี้ว่ามันเป็นเจ้าชายเลยแต่แทนว่าเจ้าชายก็ได้ครับ) เจ้าชายรักกัน


ผมมองภาพ ๆ นั้นพรอมกับรอยยิ้มก่อนจะเดินตามพี่ศิไปเพื่อที่ผมจะได้ผักผ่อนเสียทีหลังจากที่วันนี้ผมได้เผชิญ ชะตากรรมแปลกประหลาดมาทั้งวัน รวมถึงต้องหลบคมมีดผ่าตัดของว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์ข้อหาขัดขวางความสุขส่วนตัวของพี่เขาเข้า (ก็ตอนที่ผมเดินเขามาในห้องตอนที่พี่เขากับลังจูบกับไอกรนั่นหละครับ)


แต่ไม่ทันที่ร่างผมจะได้เดินตามร่างที่สูงกว่าผมไปพลันมือขางหนึ่งของผมก็ถูกรั้งด้วยแรงดึงของใครอีกคนที่เหลืออยู่ในห้อง ผมหันกลับไปมองตามแรงที่ฉุดรั้งร่าง ดวงตาทั้งสองข้างเต็มไปด้วยความสงสัยแต่ริมฝีปากหนาได้รูปจากหนุ่มลูกครึ่งก็ค่อย ๆ เอ่ยพูดประโยคที่คลายความสงสัยของผมออกมาทันที


เสียงทุมนุ่มลึกที่ใคร ๆ ต่างพากันหลงใหลค่อย ๆ เอือนเอ่ยประโยคขอบคุณออกมาอย่างแผ่วเบาริมฝีปากหนานั้นคลี่รอยยิ้มยินดีอย่างที่ตัวผมไม่เคยเห็นมาก่อน แต่พูดไว้ก่อนเลยนะครับว่าผมไม่ได้หวั่นไหวกับรอยยิ้มและคำพูดพวกนั้นสักนิดเดียว แถมมันทำให้ผมรู้สึกแปลก ๆ ในท้ายประโยคเสียอีก


“เรื่องวันนี้แล้วก็วันก่อน ๆ พี่อาจจะทำตัวไม่ดีไปหน่อยทำให้เจมส์ต้องเสียหน้า แถมทำภาพพจน์เจมส์เสียต่อหนารุ่นน้องอีก พี่ขอโทษนะครับแต่สิ่งที่พี่ทำลงไป คือตัวพี่ดีใจจริง ๆ แม้ตอนแรกจะค่อนข้างตกใจนิดหน่อยก็เถอะที่คนที่ตัวเองเฝารอมาตลอดเป็นผู้ชาย แต่ถ้าเป็นคน ๆ นั้น ไม่ว่าจะหญิงหรือชายยังไงเขาก็คือคนที่พี่รักสุดหัวใจและไม่มีใครมาแทนที่ได้ครับ” สิ้นประโยคมือกร้านถูกยกขึ้นมาลูบศรีษะของผมอย่างแผ่วเบาราวกับว่าผมคือตุ๊กตากระเบื้องเคลือบที่ต้องดูแลอย่างดี หากหนักมือไปผมอาจจะหักคามือของเขา


แต่ถึงแม้พี่เตอร์จะพูดแบบนั้นออกมาแต่สำหรับผมแล้วในช่วงแรกมันฟังดูซึงกินใจก็ตาม แต่ในทายประโยคมันทำให้ผมรูว่าพี่เตอร์ยึดติดกับอดีตมากแค่ไหน และอดีตมันไม่มีวันหวนคืน สิ่งที่เค้าพูดออกมามันยิ่งตอกย้ำลงไปอีกว่าผมกับเขาเป็นเพียงแค่เส้นขนานที่ไม่มีวันที่จะมาบรรจบกัน ผมอยากจะช่วยให้พี่เตอร์หลุดออกจากภาพในอดีต หลุดออกจากความฝันในวัยเด็กพวกนั้น  ผมค่อย ๆ แกะมือของพี่เตอร์ออกจากมือของตัวเองและหันหลังเพื่อเดินถอยห่างจากพี่เตอร์แต่ไม่ทันที่ผมจะได้ก้าวเดินร่างของผมก็ถูกรั้งกลับไปอีกครั้ง และคราวนี้ไม่ใช่แค่ฝ่ามือที่กอบกุมขอมือของผมอีกแล้ว


ริมฝีปากหนาที่เอือนเอ่ยถอยคำแสนหวานเมื่อคู่ค่อย ๆ เคลื่อนมาประทับทีริมฝีปากของผม สัมผัสที่นุ่มละมุนนั้นคือของจริง รสชาติหวานอมเปรี้ยวของน้ำผลไม้ที่อีกฝ่ายดื่มไปก่อหนานั่นก็คือของจริง ผมค่อย ๆ ถูกริมฝีปากนั่นกลืนกินไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งร่างสูงของชายผู้เป็นเจ้าของห้องเดินเข้ามาใกล้ห้องนั่นเล่นประสาทสัมผัสทังหมดของผมค่อย ๆ กลับมามือทั้งสองขางผลักร่างของอีกฝ่ายจนลมลงไปกับพื้นและผมรีบวิ่งสวนออกจากห้องทันที


คราวนี้หัวใจของผมเต้นราวกับว่ามันจะทะลุออกมาจากอก ใบหน้าของผมเห่อร้อนจนผมรู้สึกได้…แต่ตัวของผมเองก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่าความรู้สึกและสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมมันคือความรู้สึกอะไร แล้วทำไมหัวใจของผมถึงเต้นแรงแบบนี้







ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
หึๆๆๆ เจมส์หวั่นไหวก็บอกมาเถอะ อย่าซึนเลย  :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0


Chapter 5


   นับจากวันที่ผมตอบตกลงอนุญาตให้พี่เตอร์ทำการจีบการใช้ชีวิตผมก็ยังคงดำเนินไปอย่าเรียบง่ายเช่นเดิม…ซะที่ไหนหละครับ ไอคำว่าเรียบง่ายที่ควรเอาออกไปห่าง ๆ จากชีวิตผมตอนนี้เลย เพราะสิ่งที่ผมเจอมันไม่ใช่และไม่แม้แต่จะใกล้เคียงคำว่า ‘เรียบง่าย’ เลยสักนิด เช้ามาจะเจอโทรศัพท์ปลุกทุกเช้าและเมื่อเดินออกไปคุยที่ระเบียงผมจะเห็นใบหน้าชื่นบานของพี่เตอร์โบกไมโบกมือส่งรอยยิ้มมา สภาพของอีกฝ่ายอยู่ในชุดนิสิตแพทย์เรียบร้อย ซึ่งแตกต่างจากตัวผมโดยสิ้นเชิงเพราะสภาพของผมในตอนนั้นคือคนเพิ่งตื่น และแน่นอนการที่พี่เตอร์บุกมาที่หอของผมแต่งเช้าแบบนี้คงไม่ต้องเดาแล้วหละครับว่าจะเกิดอะไรขึ้นนอกจากวิ่งขึ้นมาที่ห้องและลากผมไปเรียนแต่เดี๋ยวก่อน ผมบอกแล้วว่าผมเพิ่งตื่นดังนั้น คุณพี่เตอร์โปรดให้เวลาผมอาบน้ำก่อนบ้างเถอะครับ ถือว่าผมขอร้อง


   และความปั่นป่วนของชีวิตผมไม่ได้เกิดแค่ช่วงเช้านะครับ ตอนเช้านี่แค่เบสิค เรียกง่าย ๆ ว่า เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นของความวุ่นวายเท่านั้น เพราะว่าเมื่อเวลาเข้าถึงช่วงหมดคาบเรียนของช่วงเช้า (รวมไปถึงการเรียนยาวหลายชั่วโมงติดแลพมีการพักเบรกให้นิสิตไปทำธุระส่วนตัว) โทรศัพท์เครื่องกลางเก่ากลางใม่ของผมจะกรีดร้องเมดเล่ย์ตลอดเวลา และไม่ยอมหยุดจนกระทั่งผมกดรับมัน ถึงจะกดตัดสายมันก็จะกรีดร้องขึ้นมาอีกครั้ง ถึงจะปิดเครื่องหนีเสียงมือถือของไอบาสก็จะดังแทน ทำเอาผมนี่หลอนเสียงเรียกเขาโทรศัพท์เลยหละครับ


   แต่ทุก ๆ คนก็อย่าคิดว่าแค่นี้ความวุ่นวายในชีวิตของผมมันจะจบช่วงพักกลางวันนิสิตแพทย์ที่จะโผล่หน้ามาทานขาวกลางวันที่คณะวิศวกรรมศาสตร์แทบจะนับครั้งได้ใน 1 ภาคการศึกษา ตอนนี้กับยกพลมาทานอาหารกลางวันที่คณะผมแทบทุกวันและหนึ่งในนิสิตแพทย์พวกนั้นต้องมีนิสิตแพทย์รเณศอยู่ด้วยเสมอ (แต่พี่ศิไม่อยู่ดวยเสมอนะครับเพราะรายนั้นบางวันก็ไม่ว่างเนื่องจากเป็นประธานรุ่นและรุ่นพี่ตัวอย่างของน้อง ๆ) และนอกจากเขาจะอยู่ในกลุ่มแล้ว พวกเขานั้นยังมาร่วมกลุ่มกับพวกผม (ซึ่งไม่บอกความดังก็รู้ว่าพวกผมดังขนาดไหนในคณะวิศวกรรมศาสตร์แห่งนี้  ไอความดังมันก็ดีอยู่หรอกแต่มันไม่ดีแน่ที่พวกผมไปดังในหมู่กลุ่มเด็กปีหนึ่ง ที่ยังอยู่ในช่วงประชุมเชียร์และที่สำคัญก๊วนพวกผมคือกลุ่มของประธานสโมรนักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์มันแลทำให้พวกผมดูหมดความเชื่อถือไปทันที และต้นต่อที่มาของความดังพวกนั้นก็มาจากการทำเรื่องบัดซบของพี่เตอร์ไปเมื่ออาทิตย์ก่อนนั่นเอง) และการปรากฏตัวของกลุ่มนิสิตแพทย์ (ที่ไม่ค่อยใหญ่นัก) ก็ทำให้โรงอาหารไม่ใช่โรงอาหารอีกต่อไป เพราะมันกำลังจะกลายเป็นที่วางมวยของผมและพี่เตอร์หลังจากที่ผมคอยหลบหนาพี่เตอร์แกมาหลายวัน นับจากวันนั้น


   มือทั้งสอข้างของผมค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นเตรียมเก็บจานแต่ไม่ทันที่ผมจะยืนได้เต็มความสูงดีมือของนิสิตแพทย์ที่ผมได้กร่นด่า สาปแช่งในใจไปเมื่อสักครู่ก็เอือมมาคว้าท่อนแขนพร้อมรั้งร่างของผมเข้าไปกอดแน่น เสริมด้วยการหอมแก้มทั้งสองข้างเป็นการทักทายตามประสาลูกครึ่ง แต่ขอย้ำว่าผมเป็นคนไทยการหอมแก้มทักทายไม่ใข่วัฒนธรรมการทักทายของไทย และทันทีที่ผมตั้งสติไดมือทั้งสองข้างก็ถูกยื่นออกไปดันคางของพี่เตอร์สุดแรง ทำเอาร่างสูงกว่านั้นเซจนหงายท้องลงไปนอนที่พื้น แต่มันจะดีกว่านี้ที่ตัวของผมไม่ได้โดนดึงให้ลงไปด้วย


   ดังนั้นสภาพของผมในตอนนี้คือใบหน้าแนบไปที่แผ่นอกกว้างของพี่เตอร์ที่เอวถูกมือแกร่งรวบกอดเอาไว้แน่น สายตาของผมจ้องเขม็งไปที่ใบหน้ากรุ่มกริ่มนั่นด้วยความโมโห พี่เตอร์แกไม่ยอมปล่อยผมครับแถมรัดแน่นอย่างกับหนวดปลาหมึกและที่สำคัญไปกว่านั้นไอพวกที่ยืนโดนรอบ รวบไปถึงไอเพื่อนตัวดีทั้งหลายก็ไม่คิดช่วยผมเลยสักนิดเดียวแถมบางคนยังยกมือถือ (รุ่นใหม่ล่าสุดขอกัดฟันพูดหน่อยเถอะครับ) ขึ้นมาถ่ายรูปเสียอีก แน่นอนไอแกนนำสำคัญในการยกมือถือขึ้นมาถ่ายคือไอเพื่อนกร ไอเพื่อนบาส เพื่อนรักเพื่อนเวรทั้งสองของผมนั่นเอง


ผมค่อย ๆ เอามือฟาดไปที่แผ่นอกของพี่เตอร์เพื่อแสดงใหอีกฝ่ายรู้ว่าผมตองการจะลุกออกจากอก จากการตีเบา ๆ เป็นเปนการตีดวยน้ำหนักมือกลาง ๆ แต่เมื่อมันไม่ได้ผลผมก็เปลี่ยนเป็นทุบเต็มแรงฟาดลงตามค่า g ที่เท่ากับ 9.81 เลยหละครับคราวนี้ไม่อยากปล่อยก็ต้องปล่อยแล้วหละครับ ร่างสูงนี้นอนตัวงอด้วยความจุกส่วนผมลุกขึ้นยืนโงนเงนราวกับเพิ่งลงจากเรือหางยาว ใชเวลาสักพักผมถึงยืนขึนเป็นปกติได ส่วนพี่เตอร์หนะเหรอ นอกจากผมจะปล่อยใหพี่แกจุกแล้วผมยังไม่คิดจะยื่นมือเขาไปช่วยอีก ผมกลับหลังหันเพื่อไปทำสิ่งที่ได้คิดไว้ตอนแรกนั่นคือการเก็บจาน และคราวนี้ก็ไม่มีใครขัดขวางผมได้แล้วหละครับผมค่อยๆเดินผ่านพี่เตอร์ที่เพิ่งลุกขึ้นยืนได้และเดินสะบัดหนาหนีไปโดยไม่คิดจะหันกลับไปมอง แต่คิดหรือว่าพี่เตอร์แกจะยอมแพ้ด้วยเรื่องเพียงแค่นี้ไม่มีทางครับ (เค้าบอกว่าเพือนกันมักจะมีนิสัยเหมือนกันแต่ผมคิดว่าพี่เตอร์กับพี่ศิไม่มีอะไรเหมือนกัน เลยถ้าจะให้บอกว่ามีอะไรเหมือนกันก็คงเป็นลูกตื้อแบบไม่ยอมแพ้หละครับ เพราะพี่เตอร์แกตื้อจีบแบบไม่บันยะบันยัง แต่พี่ศิจะจีบแบบน้ำนิ่งแต่ไหลลึกรู้สึกตัวอีกไอกรกหวั่นไหว แต่พี่เตอร์มาแบบพายุเฮอร์ริเครนครับมาแบบสรางดาเมจรุนแรงทีนึงแล้วจากไปก่อนจะมาอีกและสรางความเสียหายที่รุนแรงกว่าเก่าอีก) เพราะก่อนที่ผมจะเดินไปไกลเกินกว่าขอบเขตการไดยินเสียงพูดของพี่เตอร์ เสียงทุมตามประสาหนุ่มลูกครึ่งก็เอ่ยดังแต่คราวนีเขาพูดออกมาเป็นภาษาอังกฤษ  ซึ่งคำพูดพวกนั้นต่อให้โง่อังกฤษจนหวิดติดเอฟมากแค่ไหนก็แปลออก “Good luck my sweet heart. See you next time,dear”


ประโยคสั้น ๆ ที่แปลออกมาได้ขนลุกจับใจดังไล่หลัง ผมนี่สี่คูณรอยรีบวิ่งหนีออกมาจากที่ตรงนั้นเลยหละครับ คราวนี้ผมได้รับรู้ความรู้สึกที่ไอกรมันรู้สึกเมื่อสามปีก่อนได้แล้ว การโดนจีบต่อหนาสาธารณะชน มันน่าอายจริง ๆ นะครับ แต่ดีที่ไอกรมันซื่อบื้อเอามาก ๆ จนไม่รู้ว่าโดนคนอื่นแซวมัน ส่วนผมนี่รู้ตังแต่กาวแรกที่กลุ่มนิสิตแพทย์พวกนั้นยื่นเท้าเข้ามาในโรงอาหารคณะวิศวะตั้งแต่มิลแรกแล้วหละครับ ครใชใหแววตาของเพื่อนตัวร้ายมันแสดงออกแจ่มชัดขนาดนั้น แถมแต่ละคนเตรียมหาลูกแซวกันไม่ทันเลยทีเดียว ไอการแซวของเพื่อน ๆ ผมคิดว่าผมทนได้ครับแต่พี่เตอร์ดันทำอะไรที่เหนือกว่านั้น (พี่แกมาเหนือมากจากเพื่อนผมอ้าปากค้างกันเป็นแถว ๆ เพราะทุกคนคิดว่าพี่เตอร์จะมาแนวพี่ศิตอนจีบไอกรแต่นี่ไม่ใช่เลยสักนิดเพราะผมเปลืองตัวสุด ๆ)ไหนจะโดนหอมแก้ม ไหนจะโดนกอด นอกจากกอดแล้วดันกอดก็ไม่ยอมปล่อยเสียด้วย ช่วงนี้มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตผมกันแน่ ปีชงก็ไม่ใช่แต่ความซวยมันพัดพาเข้ามาจริง ๆ


ผมเดินปาดเหงื่อเขาไปในห้องสโมรของนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์เพื่อสงบสติอารมณ์ เตรียมพรอมไปเรียนวิชาต่อไปแต่ดูเหมือนพระเจ้าจะไม่ค่อยเป็นใจให้ผมครับ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง (ทำเอาผมขนลุกเกรียวเลย) แต่ยังดีที่เปนเบอร์โทรของไอกรผมกดรับสายพรอมกับทักทายอย่างขอไปทีตามประสาเพื่อนสนิท “ไง มีไรวะกร” แต่ประโยคที่เพื่อน ‘สนิท’ ที่ตอบกลับมาดันทำเอาผมอยากจะประกาศตัดเพื่อนกับมันเลยทันทีความเป็นเพื่อนที่สั่งสมมาสิบกว่าปีผมแทบจะตัดให้มันขาดสะบั้นลงตังแต่วินาทีนี้เลยหละครับเอาเป็นว่าย้อนเวลาไปไดผมจะไปบอกตัวเองตอนเด็กว่าอย่าเป็นเพื่อนกับไอเด็กเกรียนคนนี้


ใครมันจะไปรู้ว่าไอเพื่อนเวรคนนี้มันจะบอกว่า ‘ไอเจมส์ ๆ บ่ายนี้ว่างพรุ่งนี้ก็ว่างอาจารย์ไปสัมมนาต่างจังหวัด’ ทุกคนคิดว่าดีใช่ไหมครับที่เพื่อนที่น่ารักบอกแบบนี้ผมบอกเลยว่าคุณคิดผิดเพราะว่าประโยคหลังจากนั้นที่ทำเอาผมอยากจะจับมันทุ่มลงจากชั้นบนสุดของตึกเรียน ‘และกรูกบอกพี่เตอร์ไปแล้วว่ามรึงว่างยาวยันมะรืนหวะ ขอใหเที่ยวกับแฟนให้สนุกนะพี่เตอร์คงไปคิดโปรเจคเที่ยวอยู่เห็นวิ่งกลับไปปรึกษาพี่ศิเลยว่าจะไปที่ไหนดี’ สิ้นประโยคที่มันพูดนี่เป็นลมไปเป็นที่เรียบร้อย


หมดกันสภาพประธานรุ่นที่ผมสั่งสมมา หมดกันสภาพประธานสโมรที่นิสิตทุกคนให้ความเคารพและไววางใจ หมดกันความเป็นเพื่อนของผมกับไอกรที่สั่งสมมา ผมจะตัดเพื่อนกับมันตั้งแต่วันนี้ วินาทีนี้ ผม…จะไม่คุ้ยกับมันอีกและบอกมันว่าอย่ามายุ่งกับชีวิตผมถ้ามันไม่อยากตายคามือผม (แต่ก่อนหน้าผมจะทำผมตองมั่นใจว่าต้องผมไม่โดนพี่ศิฆ่าตายโทษฐานทำร้ายแฟนพี่แกให้ตายคามือ ซึ่งถ้าผมทำ…ผมคงโดนฆ่าตายตามไปด้วยและสภาพคงศพไม่สวยแน่นอน)


ผมกดตัดสายอย่างหมดอาลัยตายอยากก่อนจะนอนฟุบลงไปกับโต๊ะทำงาน โดยมีเอกสารต่าง ๆ เกี่ยวกับนิสิตและชมรม (ของคณะวิศวกรรม) รายล้อม


และเมื่อผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกทีภายในห้องก็มืดสนิทเสียแล้ว แต่ก็ยังดีที่โคมไฟที่โต๊ะถูกเปิดเอาไว้ ผมยันกายลุกขึ้นพร้อมกับบิดขี้เกียจตามประสาคนเพิ่งขึ้น ทว่าผมกับไม่รู้สึกตัวเลยว่าภายในห้องนั้นไม่ไดมีผมอยู่เพียงคนเดียวผมค่อย ๆ เก็บกระเป๋าเตรียมที่จะกลับหอ และในขณะที่ผมจะเดินออกไปจากห้องขาของผมก็เดินเข้าไปเตะกับของบางสิ่งที่ดูเหมือนจะคล้ายกระเป๋าเอกสารผมก้มลงไปหยิบมันขึ้นมาดูก่อนจะหันไปมองรอบกายพลันสายตาก็ไปสะดุดที่เงาร่างของคน ๆ หนึ่งที่นอนอยู่บนโซฟายาว


ผมนี่รวบทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมากอดไว้แนบอกทันทีแถมท่าทางนี่เตรียมพร้อมที่จะวิ่งหนีได้ทุกเมื่อแต่ดูเหมือนว่าเงาร่างนั้นมีบางอย่างที่สะดุดตา ผมจคงตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้จนในที่สุดผมก็รู้แล้วหละครับว่าคนที่นอนอยู่บนโซฟานั่นคือใคร เพราะมันเป็นใครไม่ไดนอกจากไอคุณพี่เตอร์นั่นเอง ก็นะครับเวลานี้ก็สามทุ่มกว่าแล้วไม่ผิดที่พี่เตอร์ (ไม่มีเวลาดึกแต่มีช่วงเย็น) จะมาอยู่ตรงนี้ แต่ใครมันอนุญาตให้พี่เตอร์มันเข้ามาในห้องวะครับ ซึ่งใชเวลาไม่ถึงเสี้ยววินาทีผมก็รู้ครับว่าคนที่อนุญาตคือใครมันคงเป็นไปไม่ได้นอกจากก๊วนเพื่อนของผมที่มีกุญแจสำรองของห้อง ๆ นี้ และคนที่น่าจะยอมไขกุญแจห้องให้คนแปลกถิ่นแต่ไม่แปลกหน้าคนนีเข้ามาในหองก็คงไม่พ้นไอรองประธานสโมรแน่นอน


ผมนั่งขุกเข่ามองหน้าพี่เตอร์เพื่อหวังที่จะปลุกแต่ดูใบหนาคมเข้มนั้นอิดโรยจนเห็นได้ชัด แถมขอบตาคล้ำอีกต่างหาก ครั้นผมจะปลุกก็ดูจะเป็นคนใจร้ายไป ผมจึงได้แต่เปลี่ยนท่านั่งและเท้าคางมองใบหน้าคมที่หายใจเขาออกอย่างสม่ำเสมอนั่นแน่น


ผมสงสัยนะครับว่าทำไมคนที่ดูดีและหาที่ติดไม่ได้ (นอกจากที่ติมันจะเป็นความติ้งต๊องทางสมองของพี่เตอร์) ทำไมถึงมาชอบผมและตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะรักผมตลอดไป แม้ผมจะ… ’ไม่รักพี่แก’ แต่ความสงสัยพวกนันกไม่ได้คลายไปจากสมองของผมเลยสักนิดแถมมันยังตีกันมากกว่าเก่าจนทำให้ผมเผลอยกมือขึ้นขยี้ศีรษะตัวเองจนยุ่งฟูไปหมด ยิ่งคิดยิ่งปวดหัวแต่ยิ่งคิดมันก็ทำให้ผมจำเรื่องราวและความอ่อนโยนของคน ๆ นี้ ได้มากขึ้นเรื่อย ๆ ในสมัยผมเป็นเด็กผมถูกเขายกขึ้นให้เป็นเจ้าหญิงส่วนตัวของพี่เตอร์เขานั่นคืออัศวิน เขาคอยปกป้องผมมาตลอดแต่กระนั้นมันก็ไม่ได้ช่วยทำให้ผมจำได้เลยว่าทำไม เพราะอะไรผมถึงอยู่ในหัวใจของพี่เขาตลอดมา ทว่าความคิดของผมก็ต้องหยุดลงเมื่อนิสิตแพทย์ตัวร้ายนั้นค่อย ๆ ลืมตาตื่น แพขนตาสีนำตาเข้มกระพริบถี่ ๆ ก่อนจะกระพริบช้าลงเมื่อสิ่งที่ปรากฏตรงหน้านั้นชัดเจน


ผมไดแต่ทอดถอนลมหายใจแล้วหันหน้าหนีส่วนพี่เตอร์นี่เด้งตัวบิดหันหลังหลบหน้าผมด้วยความเขิน ส่วนผมนี่อยากเอากระเป๋าที่อยู่ในมือทุ่มใส่พี่เตอร์แกเสียจริงแค่โดนคนมองตอนหลับน้ำลายยืดมันไม่น่าอายหรอกครับ ผมโดนหนะบ่อยเลยโดยเฉพาะในคาบที่เรียนสาม – สี่ชั่วโมงติด ถ้าไม่หลับนี่ไม่ใช่ผม


“น้องเจมส์ตื่นเมื่อไหร่ครับเนี่ย เมื่อกี๋ไม่เห็นอะไรแปลก ๆ ใช่ไหมครับ ฮะ ๆ” พี่เตอร์ตอบกลับผมด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มแห้ง ๆ ส่วนผมหนะเหรอ นั่งเทาคางทำหน้าเบื่อใส่พี่เขาอยู่ คนบ้าอะไรจะไม่เห็นหละคนนะครับไม่ใช่มดจะได้มองไม่เห็นแถมพี่เตอร์นี่สูงกว่าผมหลายเซนติเมตรเสียด้วย (พี่แกสูงกว่าพี่ศิด้วยซ้ำครับ) ถ้าผมไม่เห็นอะไรนี่เรียกว่าตาบอดแล้วครับ และจากคำตอบที่ผมบอกว่าผมเห็นเต็มตาทำให้ผมปฏิเสธพี่เตอร์ไปตรง ๆ ใบหน้าของผมส่ายหน้าไปมาเป็นคำตอบ และพอพี่แกเห็นท่าทางและคำตอบของผมเท่านั้นหละสาบานได้ว่าผมเห็นเดือดปีหกคณะแพทยศาสตร์ ทำหนาตกใจและยกมือปิดหน้าด้วยความเขินอาย บางทีผมก็อยากจะบอกพี่เตอร์แกไปนะครับว่าสิ่งที่ควรอายพี่แกทำมาหมดแล้ว กับอีกเรื่องแค่นี้มันใช่เรื่องน่าอายไหม
ผมตรงเข้าไปกระชากมือพี่เตอร์ที่ปิดหนาตัวเองออกก่อนจะรีบพูดเร่งให้พี่เตอร์เตรียมตัวออกจากห้องสโมรเสียที หลังจากที่พวกผมผลาญไฟหลวงอยู่นานสองนาน แต่ทว่ามือผมที่เอื้อมไปบิดลูกบิดนั้นกับชะงักเมื่อลูกบิดที่ผมหมุนนั้นมันควรจะเปิดออกแต่มันดันกับเปิดไม่ออกผมเขย่าประตูอยู่นานสองนาน จนผลสุดท้ายผมก็ได้ผลสรุปคือ เจ้าหน้าที่ลงสายยูที่ลูกบิดไปแล้วครับ ผมหันไปทำหน้ายิ้มสดใสใส่พี่เตอร์ส่วนพี่แกยิ้มอย่างเบิกบานมาให้ผม เวลาผ่านไปช่วงเสี้ยววินาที ใบหน้าที่ยิมแยมของผมนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นเสียงกรีดร้องคร่ำครวญทันที


“เจ้าหน้าที่ลอคสายยู…ให้ตายเถอะ…วันนี้มันวันอะไรกันเนี่ยซวยจริง ๆ” ผมสถบออกมาเสียงดังส่วนพี่เตอร์ยังคงยิ้มแยมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมตวัดตาหันไปมองพี่เตอร์อย่างเคือง ๆ ตอนนี้ผมไม่ได้โมโหเรื่องโดนขังในหัองนี้แล้วหละครับตอนนี้ผมโมโหหิวแล้วมากกว่า


ผมหันกลับไปนั่งบนโซฟา (แต่คนละตัวกับที่พี่เตอร์นอน) แล้วทอดถอนหายในมือพลางหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาเพื่อกดโทรออกไปหาเพื่อน ๆ ที่มีกุญแจสำรองแต่เวรกรรม ไม่มีใครรับครับ ไม่ใช่โทรไม่ติดแต่ไม่มีใครรับ ไอพวกนี้มันคงกลัวผมจะโทรไปโวยวายใส่พวกมันสินะแต่ไม่ใช่เลย ถ้ามันรับโทรศัพท์ผมตอนนี้ผมจะกอดมันสักทีแต่ถ้ามันไม่รับมะรืนนี้คงรู้กันครับ  ซึ่งไม่มีใครรับเพราะกลัวว่าผมจะโทรไปกินหัวพวกมัน จนท้ายที่สุดผมกจนอับหนทางได้แต่หันไปมองเพื่อนร่วมชะตากรรมที่โดนขังในห้องนี้ (ตอนนีผมเปิดไฟเรียบร้อยพร้อมเปิดแอร์เยนฉ่ำ ติดอย่างเดียวคือไม่มีของกินมีแต่ตู้นำเย็นใหกดประทังชีวิตคืนนี้) “พี่เตอร์…ผมคิดว่าเราถูกขังแล้วหละ” ผมพูดด้วยเสียงเรียบนิ่ง แต่จิตใจผมไม่ไดนิ่งสงบตามไปดวยตามที่บอผมเคยโดนแกล้งถูกขังในห้องมืด ๆ แต่อันนี้ยังดีหน่อยที่ไม่มืดและผมก็ไม่ไดอยู่คนเดียวแม้ผมจะแอบหวั่นใจเล็กน้อยก็เถอะ แต่มันก็ยังดีกว่าที่ผมอยู่คนเดียว ผมค่อย ๆ ยกขาขึ้นมากอดไว้แล้วซุกหน้าลงไปตามความเคยชิน แต่ก่อนที่ผมจะได้วิตกอะไรไปมากกว่านี้มือกรานของผู้ชายอีกคนที่อยู่ในห้องก็ถูกเอือมมาลูบหัวของผมเบา ๆ เสียงทุ้มที่แตกต่างไปมากจากตอนเด็กเอ่ยดัง เป็นคำพูดปลอบที่ฟังแล้วทำให้ความกังวลที่หว้าวุ่นในจิตใจหายไป


“ไม่กลัวนะครับ…มีพี่อยู่ด้วยทั้งคนนองเจมส์ไม่ต้องกลัวนะครับ พี่จะปกป้องเจมส์เองเพราะพี่เป็นอัศวินของเจมส์นี่นา” มือกร้านลูกศีรษะผมอย่างแผ่วเบาก่อนจะรั้งให้ผมเอนไปซบบ่าของพี่เขา แต่ก่อนที่บรรยากาศจะเป็นใจไปมากกว่านี้พลันเสียงท้องของผมก็ส่งเสียงร้องออกมา


คราวนี้หละถึงที่อายของผมแล้วหละใบหน้าของผมนี่แดงจัดและไม่กล้าที่จะสบตาพี่เตอร์เขา แต่พี่เตอร์ก็ดีนะครับเพราะพี่แกไม่ล้อเลียนผมเหมือนกับเพื่อน ๆ ที่รักของผมมักจะทำแต่ พี่แกกับหยิบของกินที่เป็นของโปรดของผมออกมาแล้วยื่นให้ผม ซึ่งพี่เขาก็ไม่ลืมส่วนของตัวเองพี่แกหยิบโอนิกิริ (ข้าวปั้นญี่ปุ่นในเซนเว่นครับ) ขึ้นมาทานด้วยเช่นกันผมเคี้ยวอาหารในมือแก้มตุ้ย ๆ ส่วนพี่เตอร์แกไม่แพ้กันครับและดูท่าในกระเป๋าพี่แกยังมีของกินอีกเยอะ แถมดูเยอะมากจนผมสงสัยว่ากระเป๋าของพี่แกมันคือกระเป๋าโดราเอม่อนหรือเปล่า


ใบหน้าคมหันมายิ้มหลังจากที่ผมมองหน้าพี่แกและกระเป๋าวิเศษก่อนจะยื่นนมดัชมิลล์รสผลไม้รวมมาให้ผมดื่มหลังทานของคาวเสร็จ ผมแอบสงสัยนะครับว่าพี่เตอร์แกไปรู้เรื่องราวของผมมาจากไหนเพราะไม่ว่าอะไรที่พี่แกหามาเซ่นบูชาผมยกตัวอย่างง่าย ๆ ก็คือ ของกินหรือรสชาติของนมที่ผมกินในตอนนี้ที่พี่แกซื้อมามันเป็นรสชาติโปรดของผมทั้งนั้นเลยหละครับ และไม่ใช่แค่ของกินนะครับ ของอื่น ๆ ก็ด้วยพวกของใช้ เกมส์ หรือแมกระทั่งของที่ในสโมรขาดและผมคิดว่าจะไปซื้อในวันรุ่งขึ้นพี่เตอร์แกจะหามาให้ผมทันที จนผมสงสัยว่าพี่เขาเป็นอับดุลหรือเปล่า หรือพี่เตอร์แกจะเป็นคนที่ขโมยของในสโมรไปใชก่อนแล้วซื้อมาให้ทดแทนของที่พี่แกใช้ไป ผมจ้องหน้าพี่แกอยู่นานสองนานในที่สุด พี่เตอร์แกก็หลุดปากทักออกมา ผมนี่หันหน้าหนีแทบจะไม่ทันเลยครับ พอดีผมใช้ความคิด วิเคราะห์และประมวลผลมากไปหน่อยเลยจองหน้าพี่แกแบบเอาเป็นเอาตาย “น้องเจมส์ครับมองหน้าพี่แบบนี้หลงรักพี่แลวหละสิ” แต่ทันทีที่พี่เตอร์แกเอ่ยจนจบประโยค ชีวิตของพี่เตอร์ก็ (แทบจะ) จบสิ้นไปตามกันไป หมัดลุ้น ๆ ของผมถูกเสยที่ไปปลายคางของคนตรงหน้าเต็มแรง และตอนนี้ผมก็ได้ร่างที่ไร้สติของว่าที่นายแพทย์รเนศมาหนึ่งศพ


หลังจากที่พวกผมรับประทานอาหารค่ำถึงดึกจนอิ่มแล้ว สมองที่ตีบตันเพราะไม่มีอาหารหล่อเลี้ยงก็เริ่มทำงานเสียทีเพราะถ้าโทรศัพท์ไปแล้วเพื่อนไม่รับ ก็ส่งไลน์ไปเสียสินเรื่อง ผมหยิบโทรศัพท์เครื่องเดิมขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับเขาไปโพสในไลน์กรุ๊ป ซึ่งการปรากฏตัวของผมในไลน์ไดผลการตอบรับอย่างลนหลามจนทำเอาผมอยากจะพังประตูและวิ่งไปฆ่าพวกเพื่อน ๆ มันเสียเดี๋ยวแต่ผมทำเช่นนั้นไม่ได้ แล้วทำไมผมถึงอยากจะไปฆ่าพวกมันหนะเหรอเพราะมันถามผมสั้น ๆ แถมถามกันทุกคนอย่างรู้เห็นเป็นใจถีบส่งพี่เตอร์ให้เข้ามาหาผมที่หลับอยู่ในห้องสโมรว่า ‘เสียตัวแล้วยังมรึง’ ประโยคนี้ทำเอาสมองผมนี่หยุดการประมวลผลทันทีพรอมกับมือที่ไวกว่าความคิด เหวี่ยงโทรศัพท์เครื่องกลางเก่ากลางใหม่ที่สภาพล่อแร่เตมทนไปชนข้างฝาเสียเตมแรง และผมก็ได้ศพของโทรศัพท์มือถือเพิ่มขึ้นมาอีก 1 ศพเป็นเพื่อนศพของพี่เตอร์ แต่ก็ยังดีที่ผมพิมพ์บอกพวกเพื่อน ๆ ไปแล้วว่าตัวผมติดอยู่ในห้องสโมรไม่สามารถเปิดออกมาเองได้เพราะเจ้าหน้าที่ลอคสายยูเอาไว้


ตอนนี้ก็รอแค่เวลาเท่านั้นหละครับว่าเพื่อนคนใดที่จะมาช่วยผมออกไปจากห้องนี้ส่วนตอนนี้คงต้องอาศัยบ่าของพี่เตอร์ต่างหมอนไว้นอนก่อนแล้วกันครับ แต่ผมถือว่าวันนี้เป็นกรณีพิเศษก็แล้วกันเพราะคงไม่มีวันอื่นอีกแลวหละที่ผมจะยอมนอนซบบ่าพี่เตอร์แก ผมเอนตัวไปพิงบ่าขอพี่เตอร์และเอียงคอใหเขาทางก่อนจะนอนหลับไปทั้งอย่างงั้น


ผมไม่รู้ตัวหรอกครับว่าเพื่อนของผมมาช่วยผมเมื่อไหร่ แต่เท่าที่ผมรูคนที่วิ่งขึ้นมาช่วยผมที่อยู่ในห้องสโมรชั้นเจ็ด (เพราะลิฟท์ปิดไม่สามารถใช้งานได้จึงต้องเดินขึ้นลูกเดียว) ต้องเหนื่อยเอามาก ๆ และคนที่ยืนอยู่ตรงหนาผมคือไอบาสและไอไฮซ์ที่อยู่ในชุดนอน พร้อมหายใจหอบหนักมากแต่ยังส่งแววตารุ่มกริ่ม ริมฝีปากอมยิ้มมาให้ผม ท่าทางคราวซวยของผมยังคงไม่จบสิ้นแน่นอน และที่สำคัญไปกว่านั้นเรื่องในวันนี้ พรุ่งนี้คงดังกระจายทั่วคณะชัวร์รวมไปถึงดังทะลุไปยังคณะของคนข้างเคียงที่นั่งผล็อยหลับใช้หัวผมต่างหมอนด้วยแน่นอน เพราะผมเชื่อมั่นในความปากไวและนิ้วไวของเพื่อนผมอย่างน้อยตอนนี้ นิสิตวิศวะชันปีที่สามคงรู้กันทั่วแล้วเพราะผมเห็นไอบาสะกดโทรศัพท์คุยกับเพื่อนคนอื่น ๆ เรื่องของผมและไอโฮซ์ที่กำลังจิ้มไลน์คุยทั้ง ๆ ที่ตัวเองยังหายใจหอบด้วยความเหนื่อยอ่อน


เอาเป็นว่าตอนนี้ผมก็รู้ซึ้งถึงความรู้สึกของไอกรแล้วหละครับ ว่าการโดนเพื่อนหักหลังและประเคนตัวเองของตัวเองให้กับผู้ชายมันมีความรูสึกยังไง แต่กระนั้นวันนี้ผมคงยกโทษให้พี่เตอร์เรื่องใช้หัวผมต่างหมอนหน่อยก็แล้วกันเนื่องจากทำตัวเป็นหมอนหนุนที่ดีที่ไม่ทำให้ผมปวดคอ แต่ยังไงก็ต้องเตรียมคำตอบสำหรับคำถามที่จะเทมาในวันพรุ่งนี้เอาไว้เผื่อเกิดปัญหาซวย ๆ แบบไอกรก็แล้วกัน

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0


ผมค่อย ๆ ดันหัวพี่เตอร์ออกไปพร้อมกับบิดขี้เกียจอีกสักทีก่อนจะเดินออกไปนอกห้องส่วนพี่เตอร์ที่ยังคงหลับเป็นเจ้าชายนิทรา (อยากจะบอกว่าหลับเป็นตายแต่ก็เกรงใจหละครับเอาแบบนี้ก็แล้วกันไหน ๆ แกก็ถูกโหวตเป็นเจ้าชายของสาว ๆ ที่ถูกโหวตโดยชมรมหนังสือพิมพ์ทั้งที) ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่สองสหายที่เหลือก็แล้วกัน ตอนนี้ผมอยากที่อาบน้ำจะแย่แล้ว แถมคิดถึงหมอนและเตียงนุ่ม ๆ แล้วด้วย


ผมรีบสาวเท้าวิ่งลงบันไดในขณะที่ร่างอีกสามร่างรีบสาวเท้าเดินตามลงมา แต่มิวายมีเสียงของพี่เตอร์ที่ดังไล่หลังผมมาไกล ๆ แต่ผมก็ไดยินเพียงแค่ประโยคแรกเท่านั้นหละส่วนที่เหลือผมไม่รู้เรื่องแล้วเพราะตอนนี้ผมไดขับมอเตอร์ไซส์สุดรักสุดหวงของตัวเองออกไปแล้ว แต่ถาหากผมดันได้ยินสิ่งที่พี่เตอร์พูดออกมาทั้งหมดแล้วหละก็ผมอาจจะคิดเดินยอนกลับไปพังโทรศัพท์มือถือของพี่เตอร์แกแล้วครับ “น้องเจมส์อย่าทิ้งพี่ไว้สิครับโถ่ว แต่หนาน้องเจมส์ตอนนอนหลับนี่น่ารักมากพี่ถ่ายไว้ตั้งหลายรูปแต่น้องเจมส์อย่างมาพังโทรศัพท์พี่นะครับขอใหพี่เก็บไว้ดูหน่อยเถอะ”  ก็ใครมันจะไปรู้หละครับว่าไอสิ่งที่พี่เตอร์ถ่ายและเก็บไว้ในมือถืออย่างดีมันจะสร้างความซวยให้ผมและสร้างข่าวลือที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้เรื่องราวของไอกรกับพี่ศิเลยหละครับ แต่ก็ยังดีที่มันไม่ดังเท่ากับตำนานรักข้ามคณะของนิสิตแพทย์ศิรวิทย์กับนิสิตวิศวะรณกรหละนะ แต่มันใช่เรื่องที่ผมควรดีใจเหรอไงกัน! บอกกันตามตรงผมไม่มีเศษเสี้ยวของความดีใจเลยสักนิดเดียว!




หลังจากค่ำคืนอันแสนเลวร้ายของผมได้ผ่านไปมันอาจจะดูเว่อร์ไป เอาเป็นว่าหลังจากค่ำคืนที่ผมถูกขังอยู่ในห้องสโมรได้ผ่านไป ความลือมันก็แพร่สะพัดไปราวกับพายุหมุน และที่ผมเปรียบเทียบแบบนั้นก็เพราะตอนนี้ซึ่งเป็นเวลาพักเที่ยงและผมกำลังนั่งทำงานอยู่ใต้ตึกคณะจากปกติจะไม่ค่อยมีใครสนใจผมที่นั่งทำงานอย่างโดดเดี่ยว (เพราะเพื่อน ๆ อู้งาน) กันสักเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ทังรุ่นพี่ปีสี่ ทั้งรุ่นน้องปีสองและปีหนึ่งหันมามองผมเป็นตาเดียว และข่าวลือคงมาจากรูปภาพนรกที่เพื่อนเวรสองคนเมื่อคืนแอบถ่ายตอนผมกับพี่เตอร์นอนหลับคอพับคออ่อนกันอยู่ในห้อง ตอนนี้ผมบอกได้เลยว่าผม...อายมาก! ไอสายตาที่ส่งมาอย่างเดียวมันไม่เท่าไหร่หรอกครับแต่ไอเสียงซุบซิบนั้นที่แว่วมาทำเอาผมอยากจะหายไปจากตรงนีแต่ถาหากผมขยับทุกสายตามันจะจ้องมองตาม ๆ กันมายิ่งทำผมเสียความรู้สึกและกดดันยิ่งไปใหญ่ ถึงแมไอการโดนนั่งจ้องมองจะรูสึกกดดันไม่แพ้กันก็ตาม มือทั้งสองข้างของผมถูกยกขึ้นเพื่อนถอดแว่น (ที่ไม่ใช่) แว่นสายตาออก นิ้วมือข้างหนึ่งยกขึ้นไปนวดขมับเพื่อคลายความคิดที่ทำให้สมองอ่อนล้า แต่มันไม่ได้ช่วยอะไรผมเลยเพราะไอบางสิ่งที่ทำให้สมองของผมทำงานหนักจนเส้นเลือดในสมองจะแตกตายได้โผล่มาแล้ว


ร่างสูงในชุดกราวน์สั้นเดินมาหาผมพร้อมโบกมือทักทาย เขาค่อย ๆ กาวเข้ามาใกลกับโต๊ะหินอ่อนที่ผมนั่งส่วนผมใจนี่อยากจะถอยหนีไปให้พ้น ๆ เสียจริง แต่ก็ทำอย่างนั้นดูจะเสียมาดความเป็นผู้นำหมดผมจึงไดแต่นั่งเหงื่อตกรอใหพี่เตอร์เดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ จนท้ายที่สุดตอนนี้พี่เตอร์มายืนอยู่ตรงหน้าของผมแล้วหละครับ


ใบหน้าคมเขมคลี่รอยยิ้มที่เป็นเอกลักษณ์พร้อมกับส่งสมุดปกหนังขนาดประมาณพอตเก็ตบุคมาให้ผม ซึ่งผมกยื่นมือไปรับมันด้วยความงุนงงแต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากถามอะไรออกไป มือทั้งสองข้างค่อย ๆ เปิดเนื้อความในสมุดเล่มนั้นดูช้า ๆ ซึ่งในส่วนของตารางวันเวลาถูกเขียนและขีดสีเน้นไว้ ส่วนของพื้นที่สำหรับจดเป็นชื่อสถานที่ต่าง ๆ หลายสิบสถานที่ มันมีทั้งที่ ๆ ผมเคยไปและที่ ๆ ผมไม่เคยไปผสมปนเปกันไปหมด


ดวงตาทั้งสองขางของผมค่อย ๆ เงยหน้ามองพี่เตอร์ช้า ๆ ด้วยความสงสัยแต่พี่แกกไม่ปล่อยให้ผมงงนานหรอกครับริมฝีปากหน้าคลี่รอยยิ้มกว้างกว่าเก่าส่วนผมยกโกโก้เย็นขึ้นมาจิบรอก่อนจะพ่นสิ่งที่อยู่ในปากออกไปทังหมดหลังจากที่ได้ยินสิ่งที่พี่เตอร์พูดจนจบประโยค “นี่คือตารางการเดทของเราตลอดสามเดือนครับน้องเจมส์ แต่มันจะเป็นตารางการเดทตลอดไปของเราเลยก็ไดนะวันที่พี่ เน้นสีไว้คือวันว่างของพี่ส่วนที่เขียนไว้เป็นวันที่พี่ว่างช่วงไหนบ้าง ซึ่งช่วงที่พี่ว่างพี่จะพยายามมาหาเจมส์นะครับแต่ช่วงไหนที่ไม่ไหวจริง ๆ ต้องขอโทษด้วย ซึ่งวันที่พี่มาร์ดแถบสีไวพี่ให้เจมส์เลือกตามสบายเลยว่าจะไปที่ไหน พี่จดรายละเอียดสถานที่ไวหมดแล้วพร้อมกับเขียนคำแนะนำสถานที่เอาไว้ด้วย ถึงพี่จะไม่ได้ไปมาทุกที่ก็เถอะแต่พี่ใช้อินเตอร์เน็ตในการสืบหาข้อมูลมาให้เจมส์เลือกสถานที่เดทของเราสองคนนะครับ อยากไปที่ไหนว่ามาเลยอาทิตย์แรกพี่ให้เจมส์เลือกไม่สิทุกอาทิตย์พี่ให้เจมส์เลือกหมดเลย”


เท่านี้หละครับโกโก้ที่ผมเสียเงินซื้อมูลค่าสี่สิบบาทของผมนี่พ่นออกมาเป็นสายรุ่งเลย อย่าหาว่าผมสกปรกเลยนะ (ไอบาสไอกรมันสกปรกกว่าผมเยอะ) แต่สิ่งที่พี่เตอร์พูดมันทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะพ่นของในปากออกมาอะไรมันจะเตรียมการดีขนานนั้นแล้วนี่พี่เตอร์แกคิดถามผมสักคำหรือยังว่าผมจะ เซย์เยส หรือ เซย์โนว กับการชวนเดทของพี่เตอร์เขา  ซึ่งไม่ต้องถามผมก็รู้ว่าคำตอบของผมคืออะไรนอกจาก เซย์…..เยส….ทั้งน้ำตาครับ ผมบอกไปแล้วใช่ไหมหละครับว่าผมตอบตกลงให้พี่เตอร์แกจีบเป็นเวลาสามเดือน ซึ่งไอการจีบคือยอมตอบตกลงในการที่พี่เตอร์ชวนเดททุกกรณีและรวมถึงผมห้ามปฏิเสธคำขอของพี่เตอร์นอกจะเหนือบ่ากว่าแรงของผมหรือรวมไปถึงการที่พี่เตอร์ลวนลามผมครับ


ดังนั้นสถานที่เดทครังแรกสุดหวานของผมกับพี่เตอร์ผมขอหลับตาจิ้มได้ไหมครับผมไม่ได้อยากไปไหนกับพี่แกเลยสักนิด พี่เตอร์ช่วยหันมองรอบ ๆ หน่อยกดีนะครับว่าตอนนี้สายตาของคนทั้งตึกต่างมองมาที่พี่กับผม ตอนแรกมันมองมาที่ผมด้วยแววตาสงสัยแต่ทันทีที่พี่พูดจนจบประโยค ตอนนี้ทุกคนไร้ความคลาแคลงใจกันหมดแล้วตอนนี้ทุกคนคิดว่าผมกำลังคบอยู่กับพี่เตอร์แล้วครับแล้วเราสองคนกำลังอยู่ในช่วงดูใจเดทสามเดือนแรกจะหมดโปรหรือไม่อะไรทำนองนั้นนะครับพี่เตอร์ พี่เตอร์ช่วยสนใจโลกนิดนึง โลกมันไม่ได้หมุนรอบตัวพี่เตอร์คนเดียวนะครับ


นั่นคือคำพูดที่อยู่ในหัวผมและท่าทางที่ผมกำลังพูดคือผมกระชากคอพี่เตอร์ขึ้นมาแล้วเขย่าแรง ๆ ราวกับว่าพี่เขาเป็นตุ๊กตา แต่สถานการณ์จริง ๆ ในตอนนี้คือผมยืนไม่สวมแว่นและอยู่ในสภาพที่กลืนไม่เขาคายไม่ออก ไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี และไม่พร้อมที่จะรับรู้ถึงสิ่งที่อยู่รอบตัวด้วยครับ ผมค่อย ๆ ยกหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาแต่ก่อนที่ผมจะได้หลับตาจิ้มเลือกสถานที่ที่ผมจะไปเดทกับพี่เตอร์พลัยเสียงทุ้มเข้มนั้นก็เอ่ยออกมาเสียก่อน แถมเอ่ยออกมาไดพอดิบพอดี คนทั้งคณะได้รับรู้กันอย่างพร้อมเพรียงไม่เว้นแม้แต่อาจารย์ (บางคนที่เดินผ่านใตคณะในตอนนั้น) และร้านค้าที่ขายของอยู่ใต้ตึกคณะวิศวกรรมศาสตร์ของมหาลัยแห่งนี้
“นองเจมส์ไม่ใส่แว่นน่ารักมากกว่าใส่เยอะเลยนะครับ เห็นกรบอกว่าเจมส์สายตาไม่สั้นแต่ใส่แว่นทำให้ดูเป็นเด็กเรียนแต่พี่ว่ามันเสียบุคลิกนะครับ ไม่ใส่แว่นแล้วเห็นดวงตาสีนำตาลสวย ๆ แบบนี้ดูน่ารักกว่ากันเยอะเลย ถ้างั้นแว่นนี่พี่ขอยึดเอาไว้ก่อนแล้วกัน ถึงพี่ไม่อยากให้ใบหนาน่ารัก ๆ นั่นมีคนอื่นมาเห็นก็เถอะ” พอพูดจบประโยคนิสิตแพทย์กลอสเตอร์กหายไปพร้อมกับสายลมและแสงแดด ซึ่งพี่แกทิ้งให้ผมยืนชะงักค้างอยู่กับที่ และโดนเหล่าสายตาของสาว ๆ โดยเฉพาะสาวโสดทิ่มแทงจนตัวแทบพรุน
ผมเก็บของทั้งน้ำตา ตอนนี้ผมไม่มีหน้าที่จะอยู่ใต้คณะแล้วหละครับไม่ว่ากรณีอะไรกตาม ไม่ว่าใครจะฉุดรังให้ผมอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้องก็ตาม แต่ดูเหมือนมีใครบางคนไม่อยากให้ผมวิ่งหนีออกไปจากที่แห่งนี้เสียงอันแสนคุ้นเคยเพราะผมตองไปปรึกษาบ่อย ๆ เรื่องการเรียนและติดต่อสอบถามเรื่องของเอกสารในการทำกิจกรรมและค่ายต่าง ๆ เรียกชื่อผมเสียงดังพรอมออกปากสั่งให้ผมยกหนังสือและกองชีทขึ้นไปส่งบนห้องของเขา “นี่นิสิตรณขัชมาช่วยอาจารย์ยกของหน่อย อาจารย์หาใครช่วยไม่ไดดีที่มาเจอเธอ” ครับ นี่คือเสียงที่ฉุดรั้งให้ผมอยู่ใต้คณะแห่งนี้ต่อและทำให้ผมต้องออกแรงแบกเอกสารและกองชีทขึ้นไปส่งอาจารย์ที่ปรึกษาบนห้อง


จากที่นำตาคลอผมนี่นำตาไหลเลยครับ ผมก้มหน้าก้มตาแบกของขึ้นไปตามคำสั่งของอาจารย์ จนกระทั่งคำถาม ๆ หนึ่งก็ถูกเอ่ยออกมาจากผู้ให้ความรู้ของผม ตัวผมนี่แทบทิ้งกองชีทจากชั้นสี่ลงไปชันที่หนึ่งเลยหละครับดีนะที่มันเป็นของ ๆ อาจารย์ ถ้าเป็นของเพื่อนมันลงไปนอนแองแม้งในสระหน้าคณะแล้วหละครับ “นี่นิสิตรณชัชอาจารย์เห็นนิสิตคนอื่น ๆ พูดกันเรื่องของเธอกับนิสิตคณะแพทย์นี่มันเรื่องจริงเหรอ อาจารย์อยากรู้” ผมนี่ถึงกับเดินสะดุดขาเคล็ดเลยครับผมก็อยากจะตอบไปอย่างที่ใจคิดแต่การโกหกครูบาอาจารย์มันไม่ดีผมจึงได้แต่พยักหนายอมรับความจริงเรื่องนั้น


คราวนี้หละครับอาจารย์ถึงกับปิดปากเลย ครั้นผมก็คิดว่าแกจะตกใจหรือห้ามปรามแต่แกพุ่งตรงพร้อมกับกระชากแขนผมเขาไปในห้องทำงานของแกทันทีเลยหละครับ ท่าทางผมจะพบเพื่อนรวมวงการของพรีมอีกหนึ่งคนแล้วหละครับแถมคนนี้เป็นคนที่น่าเหลือเชื่อสุด ๆ เลยด้วยเพราะเธอเป็นถึงอาจารย์ที่ปรึกษาของผม (ถึงเธอจะเพิ่งจบปริญญาเอกจากเมืองนอกแต่อาจารย์คนนี้เก่งมากและน่าเคารพมากเช่นกันครับ) เธอรีบจัดแจงให้ผมนั่งลงที่เก้าอี้ข้างหน้าแกพร้อมกับหยิบสมุดกับปากกาออกมาเพื่อถามคำถามผมและจดลงไปเลยหละครับ


ท่าทางอาจารย์จะไม่ใช่แค่สาววายธรรมดาแล้วหละครับ ท่าทางแบบนี้น่าจะเข้าขั้นปรมจารย์และเป็นผู้ผลิตฟิคชั่นคนหนึ่งเลยหละ แต่ผมรู้สึกไม่ค่อยโอเคนะครับที่อาจารย์คิดจะเอาเรื่องของผมไปเขียนเป็นนิยาย ผมว่าแทนที่จะเอาเรื่องของผมสู้เอาเรื่องของไอกรไปเขียนน่าจะดีกว่าแต่ผมกตกอยู่ในพวังของตัวเองไม่ได้นานครับและสิ่งที่ทำให้ผมหลุดออกจากความคิดก็คือถ้อยคำพูดของอาจารย์ที่ทำท่าตื่นเต้นอยู่ตรงหนาผมนี่หละ “นี่เธอรูกับกับนิสิตแพทย์คนนั้นได้ยังไงเหรอ รีบตอบมาสิรณชัช” อาจารย์สาวเซ้าซี้ให้ผมรีบตอบ แต่ตัวผมนี่ไม่อยากจะตอบคำถามแกออกไปเลยหละครับ แต่ดูท่าทางแล้วถ้าเกิดผมดื้อไม่ตอบคำถามเธอขึ้นมา อนาคตผมอาจจะไม่ได้เอกสารรับรองจากมหาลัยเพื่อเข้าไปฝึกงานกับบริษัทชั้นนำหรืออาจจะไม่ไดเอกสารเซนอนุมัติงบประมาณหรือรับรองกิจกรรมต่าง ๆ ได้ ผมถอนลมหายใจครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ของวันก่อนจะเล่าเรื่องราวให้อาจารย์แกฟังแต่ก็มีบางอย่างที่ปิดบังแกไปบ้างแต่ผมก็ไม่ได้โกหกแกเลยแมแต่นิดเดียว แค่ผมเล่าไม่หมดเท่านั้นเองหละครับ แบบนี้คงถือว่าผมไม่ผิดแลวกันนะครับ


และเมื่อผมเล่าเรื่องราวตำนานรักที่พาลเอาคนฟังน้ำตาซึมจนจบอาจารย์ก็ทำตาเป็นประกายพร้อมกับกรีดร้องเบา ๆ ดวยความปลื้มใจ ท่าทางราวกับว่าในสมองของเธอกำลังได้เนื้อเรื่องที่จะเขียนนิยายใหม่ จริง ๆ ผมก็แย้งไปแล้วนะครับว่าเรื่องของผมมันไม่น่าสนใจเลยสักนิดเดียวและขอแนะนำเรื่องของไอกรกับพี่ศิไปแทน แต่ดูเหมือนว่าเรื่องนั้นก็ไม่รอดพ้นเรดาร์ของอาจารย์ เพราะทันทีที่ผมเสนอเรื่องของสองคนนั้นไปอาจารย์แกก็ตอบออกมาทันทีเลยว่า ‘แต่งเป็นเรื่องยาวจบไปแล้วรวมเล่มขายไปแล้วด้วย’ แค่คำตอบนี้ทำเอาผมสะดุ้งขึ้นเฮือกใหญ่เลยครับ ผมนี่ควรจะไปบอกเพื่อนรักคนนี้ดีไหมเรื่องอาจารย์ที่ปรึกษาที่เคารพรักเอาเรื่องของมันไปแต่งนิยายขายและกำลังจะเอาเรื่องของเพื่อนมันไปแต่งเป็นนิยายขายตามด้วย แต่ถ้าบอกไปผมคิดว่า มันคงจะดีใจและวิ่งไปหามาอ่านเสียมากกว่าที่จะเขินอายที่เรื่องราวของตัวเองถูกตีแผ่ไป (ผมคิดว่ามันคงไม่มีทางอายอีกต่อไปแล้วหลังจากที่มันโดนขอคบกลางสนามบาสครับ เพราะในวันนั้นโรงยิมที่เป็นสถานที่แข่งกีฬาชนิดสุดท้ายของการแข่งกีฬาคณะได้มีนิสิตแทบจะทุกคณะนั่งอยู่รวมกันครับ วันนั้นคงเป็นวันที่ไอกรมันอายที่สุดของชีวิตแล้วหละครับเพราะถ้าเป็นผมโดนขอคบและจูบ? กลางผู้คนขนาดนั้นก็คงไม่กลามาเรียนไปสัก 1 ภาคการศึกษา)


และเมื่อผมหมดหน้าที่ เพียงแค่ช่วงเวลาเสี้ยววินาทีผมถูกอาจารย์ที่ปรึกษาที่รักโยนออกจากห้องทันทีที่ แถมดวยการปิดประตูอัดใส่หน้าอีกต่างหาก อันที่จริงผมเชื่อนะว่าอาจารย์สามารถแบกเอกสารทั้งหมดขึ้นมาด้วยตัวเองได้แต่ที่อาจารย์เรียกให้ผมมาช่วยเพราะว่าเธอต้องการถามผมเกี่ยวกับเรื่องราวระหว่างผมกับพี่เตอร์ต่างหาก นั่คือเป้าหมายหลักของอาจารย์เขาต่างหาก ส่วนเรื่องคนช่วยยกของนี่เป็นเรื่องรองครับ


ผมนี่อยากจะอัพเกรดจากการร้องไห้ธรรมดาเป็นการร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือด ขาทั้งสองขางค่อย ๆ พาร่างที่เริ่มวิญญาณหลุดลอยของผมลงมาจากชั้นสี่ ตอนนี้ใต้ตึกคณะคนน้อยลงแล้วหละครับ เพราะดูจากเวลาแล้วคนอื่น ๆ คงพากันเข้าเรียนผมแล้วส่วนผมก็ว่างตามที่เคยบอกไปเมื่อวานนี้ เอกสารและกระเป๋าของผมยังวางอยู่ครบถ้วนรวมไปถึงสมุดบันทึกการเดทเล่มนั้นด้วย ยิ่งมองผมนี่ยิ่งอยากจะปากทิ้งลงไปในสระน้ำหน้าคณะแต่มันก็ทำไม่ได้ ผมยื่นมือออกไปพร้อมกับค่อย ๆ ใช้นิ้วคีบเปิดดูทีละหน้า รายละเอียดเกี่ยวกับวันเวลาที่พี่เตอร์ว่างผมไม่ค่อยจะสนใจหรอกครับ แล้วผมไม่คิดจะเอามันไว้สร้างแผนหลบหนีพี่เตอร์แกด้วยเพราะผมหลบยังไงอีกห้านาทีต่อมาพี่เตอร์แกก็โผล่หน้ามาเจอผมได้ดังนั้นหลบไปก็เสียเปล่าสู้เอาเวลาไปคิดแผนกันพี่เตอร์ออกจากตัวดีกว่า ผมถอนหายใจออกมาอีกครั้ง (จนทำเอาผมอายุสั้นไปไม่รู้กี่ร้อยปี) แล้วค่อย ๆ พลิกหน้าถัดไปเพื่ออ่านรายละเอียด


ลายมือของพี่เตอร์เรียกได้ว่าสวยที่เดียวครับเขียนสวย…จนอ่านไม่ออกเลยหละครับ แต่ยังดีที่พอจับเค้าได้ว่าแกเขียนคำไหนเป็นคำไหน ผมจึงใช้เวลาช่วงบ่ายที่เหลือนั่งแกะภาษาขอมโบราณของพี่เตอร์แกหละครับ ผมนั่งอ่านรายละเอียดที่พี่เตอร์เขียนของแต่ละสถานที่ไว้ไปเพลิน ๆ จากที่อ่านพี่เตอร์เป็นคนใส่ใจในรายละเอียดเอามาก ๆ และที่สำคัญไปกว่านั้น เขาเป็นคนที่เขียนเนื้อความ เนื้อหาได้น่าสนใจจริง ๆ นี่ทำเอาผมที่ไม่ชอบอ่านการรีวิวสถานที่ถึงกับอ่านเพลินจนลืมเวลาไปแลวว่าตอนนี้มันกี่โมง
ผมค่อย ๆ ปิดสมุดบันทึกลงเมื่อผมอ่านจบ และทันทีที่ผมเงยหนาขึ้นมองสถานที่รอบ ๆ ตัวของผมก็เต็มไปด้วยผู้คนอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้มันก็เหมือนเดิมหละครับทุกสายตาต่างจองมองมาที่ผม ยังดีที่พวกรุ่นพี่ปี 4 ปี 3 และน้อง ๆ ปี 2 เข้าอกเข้าใจกันแล้วเลยดีหน่อย แต่ก็ยังมีเรื่องแย่อยู่สักหน่อยนั่นก็คือพวกปีหนึ่งยังมองผมราวกับว่าผมเป็นตัวอะไรสักอย่างที่เอาไว้โชว์อย่างนั้นหละ แต่ก็นะเด็กปีหนึ่งไม่ค่อยได้เรียนอะไรที่ตึกคณะดังนั้นสายตาที่ทิ่มแทงผมจากพวกเด็กปีหนึ่งผมก็ได้รับแค่ช่วงเช้ามาก ๆ ช่วงกลางวันและช่วงเย็นตอนประชุมเชียร์หละครับ เห็นไหมผมไม่ต้องเจอสายตาแปลก ๆ จากรุ่นน้องบ่อยเลยเห็นไหมครับ ไม่ต้องเจอบ่อยเลยจริง ๆ (ผมประชดครับ)


ซึ่งตอนนี้เข้าสู่ช่วงเย็นแล้วหละครับการรวมตัวของรุ่นน้องปีหนึ่งเริ่มมากขึ้นผมนี่เหงื่อตกอีกครั้งเลยครับ นี่ผมอ่านบันทึกที่พี่เตอร์เขียนจนลืมเวลาไปเลย มือขางหนึ่งค่อย ๆ ยกขึ้นมากุมศีรษะเบา ๆ ก่อนที่ผมจะไหลลงไปนอนฟุบพับโต๊ะ ให้ตายเถอะครับ ผมนี่โดนแบนจากห้องเชียร์อยู่นะแลวตอนนี้ดันมานั่งอยู่กลางวงนองปีหนึ่ง ให้ตายเถอะ ประเพณีการประชุมเชียร์จะล่มเพราะตัวผมนี่หละ (แต่จริง ๆ ก็ดีนะครับเพราะผมไม่ค่อยชอบการประชุมเชียร์เท่าไหร่สงสารน้อง ๆ) ครันผมจะทำตัวเนียน ๆ ชิ่งออกจากที่ตรงนี้ไปเลยมันก็จะเด่นไป  แต่จะให้ผมนั่งอยู่ตรงนี้มันก็ยังเด่นอยู่ดีแต่กพอที่จะเนียนไปกับกลุ่มเดกปีหนึ่งไดหน่อย ผมเลยตัดสินใจนอนฟุบหน้าอยู่แบบนั้นและไม่คิดที่จะเงยหน้าขึ้นมาจนกว่าพวกเด็กปีสองจะเรียกน้อง ๆ ไปรวมตัวกันหมด แต่ผมได้บอกไปแล้วใช่ไหมครับว่าผมกำลังซวยและไอความซวยอีกระลอกได้มาเยือนผมแล้วเพราะดูท่าจะมีรุ่นน้องปีหนึ่งที่น่ารักเป็นห่วงเพื่อน เลยเดินมาทักผมที่นอนฟุบหน้าอยู่ ผมจะไม่ฟุบหน้านอนไม่สนใจก็จะดูน่ารังเกียจไปแต่จะเงยหน้าตอบไปมันกกระไรอยู่ จนท้ายที่สุดความซวยเลยคูณสิบ พวกเด็กปีหนึ่งวิ่งไปพาเพื่อน ๆ และพวกนองปีสองมาช่วยดูอาการผมแล้วหละครับ ให้ตายเถอะน้องช่วยเลิกเป็นคนดีสักสิบนาทีได้ไหม


ในท้ายที่สุดผมก็ต้องจำใจเงยหน้าขึ้นมองทุกคนพรอมกับส่งรอยยิ้มพิมพ์ใจไปให้คราวนี้วงแตกเลยครับไอรุ่นนองคนแรกที่มาทักผมนี่แทบจะก้มลงไปกราบขอโทษผมเลยรวมไปถึงเด็กปีหนึ่งคนอื่น ๆ ด้วย แต่ละคนนี่สั่นท่าทางจะกลัวผมมากน่าดู (พวกแกกลัวผมแต่ดันกล้าจ้องผมเสียจนตัวผมแทบทะลุเนี่ยนะมันไม่ใช่แล้วนะเฮ้ย) ผมโบกมือไปมาพร้อมกับทำหน้านิ่ง ๆ ก่อนจะเดินตีเนียนลุกพรอมที่จะเดินจากไป แต่พวกน้อง ๆ ปีสองที่มีรุ่นนองผู้หวังดีคนหนึ่งวิ่งไปตามดันวิ่งมาเสียแล้วเอาหละครับเหตุการณ์หนีเสือปะจระเข้ไดเกิดขึ้นแล้ว ให้ตายเถอะ ช่วงนี้มันอะไรนักหนานะ


“อ่ะ…รุ่นพี่ช่วยรุ่นนองแลวเหรอครับเมื่อกี๋มีนองไปตามผมให้มาดูเพื่อนที่ป่วย” ผมนี่อยากจะบอกมันไปนั่นหละว่าไอคนที่น้องมันตามให้เอ็งมาดูแลคือกรูเอง แต่ก็ต้องรักษามาดขรึมของรุ่นพี่เอาไว้


“ไม่มีปัญหาอะไรฉันจัดการแล้ว แค่การเข้าใจผิดหนะ” ผมบอกปัดพร้อมกับเดินหลบกลุ่มรุ่นนองที่เริ่มมุงกันมากขึ้นจนท้ายที่สุดผมก็หลุดออกมาจากวงลอมของพวกน้อง ๆ สักที และพอผมเดินไปหนาคณะผมก็ได้พบเจอกลุ่มเพื่อนของผมที่มาทำหน้าที่ตามตำแหน่งที่ได้รับ ซึ่งแน่นอนว่าคงมีใครบางคนติดสอยห้อยตามมาด้วยแน่นอน เช่นไอกรที่มีพี่ศิสุดที่รักติดสอยห้อยตามมา (ไอกรเปลี่ยนตำแหน่งของตัวเองเป็นฝ่ายสันธนาการเรียบร้อยแล้วครับ เนื่องจากอยู่ฝ่ายกดดันไม่รุ่งดังนั้นให้มันย้ายไปเถอะครับก่อนที่อะไรมันจะวุ่นวายไปมากกว่านี้) และพี่ศิก็มีแขกติดสอยห้อยตามมาอีกสองคน คนแรกคือพี่วิครับรอยยิ้มหงาน ๆ ของดาวคณะแพทย์ หรือว่าที่คุณหมอสุดสวยที่ทำเอาใจสั่นแต่ไอคนติดตามคนที่สองไม่ตองเอามาด้วยก็ได้มั้งครับ เพราะทันทีที่พี่เตอร์เห็นผมร่างสูงสง่าก็วิ่งแจ้นเข้ามาหาผมพร้อมกับเอ่ยถามเกี่ยวกับเรื่องสถานที่นัดเดท (กระดากปากจะพูดสุด ๆ ไปเลยหละครับ) อาทิตย์นี้ ซึ่งผมได้แต่ส่งรอยยิ้มไปให้พี่เตอร์ส่วนสมุดที่อยู่ในมือผมส่งมันคืนไปให้พี่แกและเดินจากมาในมาดพระเอกเท่ห์ ๆ แต่ไม่ใช่ว่าผมจะปฏิเสธพี่เตอร์แกเรื่องการไปเที่ยวหรอกนะครับ คำตอบหนะผมได้เขียน ลงไปในสมุดบันทึกเล่มนั้นแล้วพร้อมกับประโยคสั้น ๆ ได้ใจความกล่าวขอบคุณถึงเรื่องการรีวิวสถานที่ที่ทำเอาผมนั่งอ่านเพลินจนลืมเวลาไปเลย


‘วันแรกเอาใกล้ ๆ ก่อนแล้วกัน ผมอยากซื้อมือถือใหม่แทนเครื่องเก่าที่พังไป เจอกันวันเสาร์สถานที่เจอคงที่หอผมเหมือนทุกวันสินะใหตายเถอะพี่เตอร์ไม่มาที่หอผมและปลุกผมสักวันได้ไหมเนี่ยเสาร์อาทิตย์ก็ขอเวลานอนยาว ๆ บ้างเถอะครับพี่มันทรมานนะรู้ไหมถ้าต้องตื่นเช้า ๆ ทุกวัน อ่อแล้วก็ขอบคุณสำหรับการรีวิวสถานที่ทำได้น่าสนใจดี นอกจากอาชีพหมอที่ร่ำเรียนมาพี่เตอร์ไปเป็นนักเขียนมืออาชีพได้เลย’ ผมเขียนตอบไปเท่านั้นหละครับ และหลังจากที่อีกคนเปิดอ่านกรู ๆ กันนะครับว่าเกิดอะไรขึ้น ผมนี่วิ่งหนีพี่เตอร์กลับหอแทบจะไม่ทันเลยหละครับ








ไม่มีอะไรมากค่ะหายไปคือป่วยค่ะ; v ;

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
ไม่รู้ว่าควรสงสารหรือขำเจมส์ดีอ่ะ 555555 แบบนี้เรียกกรรมตามทันนะเจมส์

ปล.หายเร็วๆนะ พลอย :mew1:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0


Chapter 6
บางครั้งคนเราเวลาทำอะไรโดยไม่คิดมันก็สร้างผลเสียให้กับชีวิตเหมือนกัน อย่างเช่นตัวผมในตอนนี้ นายรณชัช นิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 ควบตำแหน่งประธานสโมรนักศึกษาของคณะวิศวกรรมศาสตร์ ประธานรุ่นของชั้นปีที่ 3 และประธานชมรมวิศวกรรมโยธา แม้ผมจะได้รับการไว้วางใจให้รับตำแหน่งอันทรงเกียรติและมากมายขนาดไหนแต่ก็มีวันที่คนโคตรเก่งและเป็นที่ไว้วางใจของทุกคน (ผมไม่ปฏิเสธหรอกนะว่าผมเก่งและผมดูน่าเชื่อถือ) เกิดตัดสินใจพลาดขึ้นมา และการผิดพลาดครั้งนี้เป็นการผิดพลาดที่โคตรไม่น่าให้อภัยชีวิตตัวเองที่ตัดสินใจไปแบบนั้นเลยหละครับ ถ้าย้อนเวลาไปได้ผมนี่อยากจะขออนุญาตทำร้ายตัวเองโดยการตบหัวตัวเองที่ตัดสินใจพลาดแบบนี้ไปสักสิบทีตามด้วยจับตัวเองเยอร์มันซูเพล็ก (ท่าทุ่มสะพานโค้งครับ)ให้สลบตายคาที่ ไม่ก็สมองเสื่อมไปเลย ที่ตัดสินใจสินคิดแบบนี้


ใครสั่งใครสอนให้ผมตอบตกลงเดทกับพี่เตอร์หวะครับ จริง ๆ แล้วไอเรื่องเดทหรือเรื่องความรักแบบนี้ผมไม่ได้ไม่ยอมรับหรือปฏิเสธอะไรหรอกครับเพียงแต่ว่าที่ผมบ่นนั่นก็คือผมลืมนึกถึงความโอเว่อร์ของพี่เทอร์ไปหนะสิครับ และถ้าจะให้พูดถึงว่ามันโอเวอร์ขนาดไหนหนะเหรอ ผมบอกได้เลยว่าความคิดพวกคุณคาดไม่ถึงแน่นอนเพราะใจตอนนี้สภาพของพี่เตอร์ผมให้ทุกคนคิดภาพคน ๆ นึงจะเดินทางไปงานกาล่าดินเนอร์สุดหรูครับอารมณ์มาแบบทั้งชุดสูทครบเซท ถ้าเมืองไทยไม่ร้อนพี่แกคงสวมสูทครบสามชั้นไปแล้ว ดังนั้นถ้าให้กล่าวลงรายละเอียดลึกกว่านี้ไปอีกนิดเรื่องชุดของพี่เตอร์ก็คือหนุ่มลูกครึ่งในชุดสูทสีขาวสะอาดตาและกางเกงเขาเซทภายในสวมเสื้อเชิ้ตสีอ่อนด้านใน ให้ผมบอกแบบไม่โป้ปดมดเท็จนะครับ ผมยอมรับเลยว่า ‘มันโคตรจะดูดี’และนอกจากเสือผ้าหน้าผมที่จัดเต็มแล้วในมือพี่แกยังมีช่อดอกกุหลาบสีขาวช่อใหญ่ถือไว้อีก ซึ่งสภาพของพี่เตอร์มันโคตรจะแตกต่างจากสภาพของผมตอนนี้โดยสิ้นเชิง ต่างจนผมอับอายและรับสภาพตัวเองไม่ได้เลยครับเพราะผมอยู่ในชุดเสื้อยืดสีซีดไม่รู้จะซีดยังไงบ่งบอกถึงความเก่าได้เป็นอย่างดีบวกกับกางเกงยีนที่ผมกำลังสวมอยู่มันไม่ได้ซักมาร่วมสองอาทิตย์แล้วหละครับ
การแต่งตัวของเรามันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง มันแตกต่างกันมากเกินไปครับดังนั้นหลังจากผมรับช่อดอกกุหลาบสีขาวสะอาดตามาไว้ในมือแล้วผมก็จัดการโยนมันไปหลังรถพี่เตอร์ทันที ผมไม่สนใจหรือดีใจกับดอกไม้หรอกครับเพราะผมไม่ใช่ผู้หญิงและตอนนี้เป้าหมายของผมก็คือสภาพสุดเพอเฟกของพี่เตอร์ต่างหาก ผมตรงเข้าไปถอดสูทสีขาวสะอาดตาของพี่เตอร์แล้วโยนมันเข้าหลังรถตามช่อดอกไม้สีขาว มืออีกข้างหนึ่งที่ว่างก็ถูกยกขึ้นไปขยี้ศีรษะของคนที่แก่กว่าแรง ๆ เพื่อให้ผมที่เซทได้ทรงนั้นยุ่งเหยิงจนดูไม่ได้ แม้การกระทำของผมมันจะดูไร้สำมาคาราวะแต่พี่เตอร์ก็อนุญาตให้ทำครับแม้แกจะงงในช่วงแรก ๆ และเริ่มขัดขืนในช่วงท้ายเพราะรู้แล้วว่าเป้าหมายที่ผมทำแบบนี้คืออะไรก็เถอะ


ริอาจจะดูดีเกินไป ที่สำคัญบังอาจดูดีเกินผมดังนั้นสภาพพี่เตอร์ต้องไม่ต่างจากผมซะ เมื่อผมจัดการการแต่งตัวของพี่เตอร์จนเสร็จผมก็ถอยหลังออกมาดูพรอมกับพยักหน้าแสดงความพอใจในผลงาน แน่นอนว่าผมดูพรอมกับคลี่รอยยิ้มร้ายออกมาก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดังแบบไม่เกรงใจคนที่กำลังเสียความมั่นใจตรงหน้า ผมหัวเราะจนนำตาเล็ดเลยหละครับ เอาตรง ๆ สภาพของพี่เตอร์ก็ไม่ได้ดูเลวร้ายนะครับ สภาพนี่บอกได้เลยว่ายังดูดีมากถึงจะไม่ได้ดูเพอเฟกจนน่าจับโยนลงท่อน้ำแบบเมื่อกี๋ก็ตาม ผมไม่รู้พี่แกใช้เจลเซทผมยี่หออะไรเพราะพี่ยียังไงมันก็ยังสามารถจัดเข้าทรงได้อย่างสวยงามแต่อย่าไปพูดถึงมันเลยครับ ผมขอพูดถึงเสือผ้าดีกว่าเพราะว่าตอนนี้มันห่างไกลจากคำว่าเนี้ยบหรือเรียบร้อย ตอนนี้จัดได้เลยว่าเสื้อพี่เตอร์ยับหนักมาก ผมไม่รู้ว่าพี่แกจะเสียเงินค่าซักรีดเสื้อผาชุดนี้ไปสิบบาท? ยี่สิบบาท? แต่ตอนนี้เงินที่จ่ายไปทั้งหมดมันเสียเปล่าหมดแล้วหละครับ เพราะดู ๆ ไปแล้วสภาพตอนนี้มูลค่าของมันไม่ว่าจะแพงขนาดไหนก็ดูแล้วไม่น่าจะเหลือเกิน 3 บาท สภาพแบบนี้ทำเอาผมหยุดหัวเราะไม่ได้เลยหละครับ


ก็มันน่าขำจริง ๆ นี่นา พี่เตอร์ผู้มาในสภาพที่เรียกได้ว่าถ้าสาวคนไหนมาเห็นต้องเหลียวหลังมองและหลงรักกันเสียทุกคน มาทำหน้าตาหมาหงอย แถมจวนเจียนจะร้องไห้เพราะโดนแกล้งแบบเต็มที่หมดกันสภาพเดือนนิสิตแพทย์อันเป็นที่รักของสาว ๆ แต่มันน่ำสุด ๆ ไปเลยนี่ครับผมไม่ผิดนะผมแค่ทำให้พี่เตอร์มีสภาพเยินแต่คนที่ทำท่าทางให้ผมหลุดหัวเราะคือพี่เตอร์เองนี่ และหลังจากที่ผมทำพี่เตอร์หมดมาดเท่ห์ใบหน้าหล่อเหลานั้นบึ้งตึงไปเล็กน้อยก่อนจะใช้น้ำเสียงงอนง้อ (ที่พยายามจะทำให้ตัวเองดูน่าสงสารแต่สำหรับผมมันไม่ไดน่าสงสารเลยสักนิด) พูดตัดพ้อออกมา


“น้องเจมส์ที่น่ารักทำไมใจรายแบบนี้ใจร้ายที่สุด นี่คือเดทแรกของพวกเรานะครับพี่อยากทำทุกอย่างออกมาให้มันดูดีที่สุดนี่นา ถึงเราจะไปเดทกันที่ห้างสรรพสินค้าใกล้มหาลัยเท่านั้นก็เถอะ” พี่เตอร์พูดพร้อมจัดเสื้อผ้าและทรงผมของตัวเองให้เข้าที่เข้าทางเหมือนก่อนหน้านี้ แต่ยากแล้วหละครับเพราะว่าแปดสิบเปอเซนมันยุ่งเหยิงไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนผมหนะเหรอแอบเผลอสะดุ้งกับคำว่าไปออกเดทกันครั้งแรกเล็กน้อยถึงปานกลาง สถานการณ์ตอนนี้ทำเอาผมลืมไปเลยว่าผู้ชายตรงหน้านี้เคยสารภาพรักผม พี่เตอร์ช่างเป็นผู้ชายที่น่ากลัวจริง ๆ เลยครับเพราะการที่พี่แกเข้าถึงคนอื่นง่ายถึงง่ายมากที่สุดและกลมกลืนได้ดีกับผู้คนมันทำให้ตัวผมลดความระแวงที่พี่ต่อพี่เตอร์ไปจนทำตัวเหมือนปกติ ผมทอดถอนลมหายใจออกมาเสียงดังจนคนที่จัดทรงผมของตัวเองอยู่หันกลับมามองแล้วเร่งเอ่ยถามว่าผมเป็นอะไร ผมก็ได้แต่ส่ายศีรษะไปมาเป็นการปฏิเสธพร้อมกับเอ่ยปากให้อีกฝ่ายออกเดินทางเสียที หลังจากรั้งรอกันมานานสองนานแล้ว


“พี่เตอร์ครับถ้าพี่ไม่รีบย้ายตัวเองจากตรงนี้ไปยังที่นั่งคนขับ ผมจะไปซื้อของคนเดียวจริง ๆ แล้วหละครับไอโทรศัพท์มือถือเนี่ย” ใช่ครับการนัดเดทวันนี้ของพวกผมคือการไปซื้อโทรศัพท์มือถือที่พังไปของผม (ที่ผมเหวี่ยงติดข้างฝาตายคาที่ไปเมื่อก่อนหน้านี้) ส่วนเรื่องเงินที่จะซื้อผมได้เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วครับ (โดยได้รับการอนุเคราะห์จากบิดาและมารดาของผมเอง) ก็แหมะผมไม่มีใครใจป้ำซื้อมือถือใหม่ล่าสุดให้อย่างไอกรนี่ ขอจิกกัดมันสักเล็กน้อยแล้วกันนะครับไม่ได้เหน็บเพื่อนสักวันผมจะอยู่ไม่ได้ ครั้นเนื้อครั่นตัว  และไอตอนที่ผมไปขอเงินพ่อแม่ ท่านถึงกับออกปากพูดออกมาเลยว่า ‘ได้ฤกษ์เปลี่ยนซะทีสินะไอลูกชาย มือถือนี่รุ่นเก่าเนี่ย คราวนี้เอารุ่นใหม่ล่าสุดเลยดีไหมลูกป๋า’ พ่อผมพูดพร้อมกับหัวเราะจนตาหยี แต่พอดีผมเป็นพวกขี้งกครับผมจึงขอแต่พอดี ๆ ไม่ขอมากไป (และแน่นอนว่าไม่น้อยเกินไปจนซื้อไม่ได้) อันที่จริงผมไม่ได้อยากได้มือถือรุ่นใหม่ล่าสุดอะไรพวกนั้นหรอกครับเพราะผมคิดว่าพวกรุ่นใหม่ ๆ มันยังไม่สเถียรดีและระบบปฏิบัติการยังไม่สมบูรณ์ สู้ผมเอาเงินไปซื้อเงินรุ่นรองลงมาดีกว่าเพราะมันเสถียรและไม่มีขอผิดพลาดอะไรให้อารมณ์เสียจนอยากปามือถือทิ้งอีกรอบ แต่ว่าผมขัดคุณพ่อไม่ได้ครับผมไม่ใช่ลูกที่รักดีอะไรมากนักหรอกแต่ผมขัดพ่อไม่ได้จริง ๆ ส่วนหนึ่งคือในมือผมกุมเงินจำนวนมากพอที่จะซื้อมือถือรุ่นใหม่ล่าสุดนั่นอยู่ แน่นอนว่าผมโดนยัดเยียดให้มา (มามากกว่าที่ผมขอไปหลายตังอยู่)พร้อมกับคำพูดที่ว่า ‘ซื้อเสร็จแล้วเอามาอวดให้ป๋าดูด้วยนะลูกชาย’ ผมนี่เหงื่อตกเลยครับเพราะใจไม่ได้อยากได้อะไรรุ่นใหม่นั่นเลยสักนิดขอแค่ใช้ได้พอ แต่พ่อของผมเอ่ยปากออกมาแบบนั้นแล้วผมก็ไม่สามารถขัดอะไรเขาครับ เพราะว่าถาผมไม่ทำตามหรือขัดใจอะไรเขาผมจะโดนงอน…


ครับผมจะโดนงอนแถมโดนงอนไปหลายอาทิตย์ด้วยสาเหตุไม่ทำตามที่พ่อแกพูด ผมไม่ใช่คนเล้วร้ายอะไรนะครับผมคิดว่าผมจะซื้อมือถือรุ่นรองลงมาราคาถูกกว่าส่วนต่างก็เอาไปลงขวด เอ้ยเอาไปคืนท่านแต่ถ้าผมทำแบบนั้นโทรศัพท์เครื่องใหม่ของผมคงดังรัว ๆ ไม่ใช่ดังเพราะพ่อท่านโทรมากวนผมหรอกครับแต่เป็นโทรศัพท์จากคุณแม่ที่ทำงานเป็นอาจารย์มัธยมปลายของผมครับ (ส่วนพ่อของผมเป็นตำรวจครับ) และที่ท่านโทรมาเพราะท่านไม่สามารถทนฟังเสียงบ่นของพ่อผมได้ เพราะพ่อของผมแกจะบ่นยาวเหยียดไม่หยุดปากจนกว่าผมจะยอมแพ้ยกธงขาวโทรไปขอโทษท่านหรือกลับบ้านไปง้อท่านนั่นหละครับแกถึงจะเลิกงอน เอาจริง ๆ ผมรับได้นะเรื่องโดนงอนแต่แม่ผมแกรำคาญผมเลยจะทำให้พ่อผมงอนไม่ได้ครับ และเมื่อผมพูดจบพี่เตอร์แกก็ได้สติเสียตีครับหลังจาก ยืนงอนอยู่สักพักพอเร่งเข้าหน่อยก็รีบเลยนะสงสัยคงกลัวว่าผมจะหนีไปก่อนหละมั้ง แต่แบบนั้นก็ดี ใครมันอยากจะไปไหนมาไหนกับผู้ชายสองต่อสองกัน


แต่ก่อนที่พี่เตอร์แกจะได้เคลื่อนย้ายตัวเองไปยังที่นั่งฝั่งคนขับ มือทั้งสองข้างที่เคยกอดอกของพี่แกก็เอื้อมมาเปิดประตูเชื้อเชิญให้ผมเข้าไปนั่ง ผมเงียบไปสักพักใหญ่ ๆ อยากจะถามว่าผมรูสึกยังไงหนะเหรอ…บอกได้คำเดียวว่าขนลุกซู่ไปทั่วทุกรูขุมขน นอกจากนั้นหลังจากกลับมาตั้งสติได้ปฏิกิริยาฉับพลันของผมก็เกิดขึ้น มือข้างหนึ่งนี่เอื้อมไปเหวี่ยงประตูปิดจนเสียงดังพี่เตอร์ถึงกับสะดุ้ง ส่วนผมพอรูตัวว่าทำอะไรลงไปถึงกับยกมือไหว้ขอโทษขอพายพี่เตอร์แกไม่ทันเลยทีเดียว


“พี่ผมขอโทษ พอดีคือแบบมันตกใจหนะ” ผมพูดด้วยความรู้สึกผิดแต่พี่เตอร์แกก็ไม่ได้ว่าอะไรแต่ผมอยากให้ว่ามากกว่านิ่งเงียบสนิทแบบนี้นะ ซ้ำยังเปิดประตูเชิญให้ผมเข้าไปอีกทีคราวนี้มาพร้อมกับรอยยิ้มเย็น ๆ ที่เหมือนจะน่ากลัวดีหรือก็น่ากลัวดี (งงไหมครับเอาเป็นว่าน่ากลัวนั่นหละครับถ้าผมดื้อกว่านี้) คราวนี้ผมนี่ยอมเข้าไปนั่งดี ๆ เลยครับ ว่าง่าย เรียบร้อย เหมือนไม่ใช่ตัวเองมาก่อน เพราะถ้าเกิดขืนทำอะไรขัดใจพี่แกอีกคราวนี้อาจจะได้ยินข่าวนิสิตวิศวะปีสามโดนฆ่าหั่นศพโดยนิสิตแพทย์มหาวิทยาลัยเดียวกัน เหตุจูงใจยังไม่อาจทราบได้ ผมยังไม่อยากใหมีเหตุการณ์แบบนันเพราะ ไอนิสิตวิศวะนั่นมันจะหมายถึงผมเองส่วนอีกคนคงไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใคร


หลังจากผมเคลื่อนย้ายตัวเองเข้าไปในรถเสร็จก็นั่งเท้าคางเบนหน้าไปนอกหน้าตา ส่วนพี่เตอร์ก็นำพาตัวเองไปที่นั่งคนขับแต่ก่อนจะได้สตาร์จรถหรือทำอะไร ใบหน้าของพี่เตอร์ก็เคลื่อนที่เข้ามาใกล้ ๆ จนผมรู้สึกตกใจจนเผลอหันไปกลับไปมองและก่อนที่ใบหน้าของเราจะสัมผัสกันเพียงแค่หนึ่งเซนติเมตร มือของพี่เตอร์ที่เอื้อมไปจับเซฟตี้เบลได้กดึงมาคาดให้ผม พร้อมกับพูดบ่นเรื่องที่ผมไม่ค่อยห่วงความปลอดภัยของตัวเองทั้ง ๆ ที่เรียนวิศวะแท้ ๆ


“เจมส์ครับ ถึงจะไปไหนมาไหนใกล้ ๆ ก็ต้องรัดเข็มขัดนะครับ พี่เห็นเราขับมอเตอร์ไซค์ไปไหนมาไหนในมหาวิทยาลัยแล้วไม่สวมหมวกกันนอคด้วย ถ้าคราวหลังพี่เจอพี่จะเข้าไปดุน้องเจมส์นะครับ” คำพูดที่แสนอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความเป็นห่วงถูกเสียงทุ้มหนักของพี่เตอร์เอ่ยออกมา แต่คำพูดพวกนั้นมันไม่เข้าหัวของผมแล้วหละครับ เพราะหลังจากที่รับรู้และสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ ในสมองผมก็ขาวโพลนพร้อมกับหัวใจที่เต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


นี่เขาเริ่มรู้สึกหวั่นไหวอย่างงั้นเหรอ…ไม่สินี่ไม่ใช่ความรู้สึกหวั่นไหวเขาแค่เริ่มจะเป็นโรคหัวใจเท่านั้นเอง อ่า…แต่โณคหัวใจนี่มันเป็นกันได้ง่าย ๆ แบบนี้เลยเหรอ


รถยนต์ค่อย ๆ เคลื่อนที่จากหอพักนักศึกษาชายของมหาวิทยาลัย ใช้เวลาไม่นานนักถ้าหากรถไม่ติดคงจะถึงห้างสรรพสินค้าใกล้มหาวิทยาลัย ซึ่งผมหมายถึงคำว่าถ้าหาก…แน่นอนว่าไอคำว่าถ้าหากของถนนหน้ามหาวิทยาลัยของผมมันไม่มีอยู่จริงเหตุผลก็เพราะ 1.มหาวิทยาลัยของผมอยู่ใจกลางกรุงเทพ 2.มหาวิทยาลัยของผมอยู่ใจกลางกรุงเทพ และ3. มหาวิทยาลัยของผมอยู่ใจกลางกรุงเทพ (ผมพูดให้มันครบสามข้อไปงั้นหละ ถ้าเกิดจะเถียงใครต้องมีเหตุผลเกินสามข้อผมเลยยกมาสามข้อตามที่บอก) ถึงผมจะพูดปาว ๆ ว่าให้เดินทางโดยการนัดเจอที่รถไฟฟ้าและเดินไปที่ห้างด้วยกันก็ตาม แต่พี่เตอร์แกจะขับรถมาให้ได้ งองแงงอยู่เป็นชั่วโมงจนผมต้องยอมตามใจแล้วเป็นไงหละ…คางเติ่งอยู่กับที่เป็นชั่วโมงและคาดว่าคงไม่ขยับอีกสักพัก แล้วนี่ก็สุดสัปดาห์แถมหลายเดือน ช่วงเงินเดือนออกพอดี แต่ไอรถติดนี่ไม่เท่าไหร่มันยังพอขยับได้บ้าง (ขอใช้คำว่าบ้าง) แต่ที่หนักหนาสาหัสสุด ๆ ก็คือ…การวนหาที่จอดรถในในวันหยุดสุดสัปดาห์บวกเพิ่มคือปลายเดือน ยากยิ่งกว่างมเสี้ยนในมหาสมุทร ผมขอใช้คำว่าเสี้ยนเข็มมันคงใหญ่เกินไปสำหรับคำสุภาษิตนี้ครับ จริง ๆ แล้วเรื่องรถติดถ้าผมไม่มีปัญหาอะไรเร่งด่วนผมก็ไม่คิดมากหรอกครับ แถมไม่ได้ขับรถเองแบบนี้ ตากแอร์ในรถสบายเสียด้วยซ้ำ แต่นี่มันไม่ใคร่จะสบายสักเท่าไหร่ ไอสบายกายหนะสบาย แต่ใจและสมองยังไม่สะบัดผมเหตุการณ์เมื่อสักครู่ออกจากสมองได้เลย


ถ้าเขาใกล้อีกนิดปากกจะชนกันแล้ว…ให้ตายเถอะไอเจมส์แกไม่ระวังตัวเลยสักนิดนั่นมันคนที่บอกชอบแกนะเฮ้ย แล้วเป็นผู้ชายด้วยถ้าเป็นผู้หญิงก็ว่าไปอย่าง แต่นี่เป็นผู้ชายทั้งแท่ง แถมสูงและรูปปร่างใหญ่กว่าถ้าเกิดพี่แกนึกคึกจะปล้ำขึ้นมานี่ทำได้ง่ายสบาย ๆ เลยนะเฮ้ย คราวหลังต้องระวังตัวเอง หาอุปปกรณ์ปองกันตัวด้วย สเปรย์พริกไทยดีไหม หรือเอาที่ชอตไฟฟ้าเลยดี และก่อนที่สติของผมจะได้กระเจิงไปมากกว่านี้ รถยนต์คันงามของพี่เตอร์ก็ได้ฤกษ์เลี้ยวเข้าทางเข้าห้างแล้วหละครับ ไอร้อนของอากาศด้านนอกพุ่งเข้ามาจนผมสะดุ้งและหันไปทางต้นทางของลม นัยน์ตาทั้งสองข้างของผมจับจ้องไปที่โครงหน้าของพี่เตอร์อย่างละเอียดและทันทีที่พี่เขาหันมาผมก็รีบหันหน้ากลับหลบสายตาที่จ้องมองมาทันที ผมรู้นะครับว่าพี่เตอร์แกแอบอมยิ้มกับการกระทำของผมแต่ผมจะทำเป็นเมินไม่เอาเรื่องแล้วกัน (ที่ไม่เอาเรื่องไม่ใช่อะไรหรอกครับ เพราะตอนนี้ผมมองหน้าพี่แกผมไม่รู้ว่าผมจะทำหน้ายังไงใส่พี่แกห่างหาก) แต่ในขณะที่ผมแสร้งทำเมินไม่ใช่ว่าผมไม่รู้นะครับว่าคนที่นั่งข้าง ๆ ผมนั้นกำลังแอบอมยิ้มอยู่ ถ้าไม่ติดว่าผมไม่กล้ามองหน้าพี่เขานะครับผมคนหยิกแก้มพี่แกไปสักทีแล้ว คนอะไรไม่รู้ทำตัวน่าหยิกชะมัด


และแน่นอนว่าการได้เข้าไปในตัวห้างไม่ใช่ว่าเราจะเป็นไทจากรถยนต์ ในเมื่อเรายังหาที่จอดรถไม่ได้เราก็ยังลงไม่ได้ ผมนี่ นั่งมองบานประตูห้างประตูเดิมเป็นรอบที่ห้า (วนมาห้ารอบครับ) ก่อนจะถอนหายใจยาวเหยียดออกมา ปากก็อยากจะบ่นอยู่หรอกนะว่า ค่าน้ำมันมันเปลืองไหม มาขับวนเล่น แทนที่จะเดินมาประหยัดกว่ากันเยอะไม่ก็ซ้อมมอเตอร์ไซค์มากันสองคนก็ได้ทำเป็นเท่ห์อยากจะขับรถมา เสียเวลาจะสองชั่วโมงแล้วยังไม่ได้เข้าไปในตัวห้างเลย นี่ขนาดนั่งในที่ ๆ มีแอร์สบาย ๆ จนไม่สบายแล้วยังหาที่จอดรถไม่ได้เลย แต่ทำได้แค่คิดเท่านั้นหละครับ ใครจะบ่นออกไปแบบนั้นกัน (แต่เอาจริง ๆ ก่อนหน้านี้ราว ๆ หานาทีก่อนผมบ่นไปแล้วหละครับ ซึ่งได้สายตาลูกหมาหง๋อยพร้อมกับคำขอโทษและคำแก้ตัวที่น่าปวดหัวจนทำเอาลืมเรื่องก่อนหน้านี้ไปได้หมด)


‘พี่อยากให้เดทแรกของเราสองคนสวยงามที่สุดครับ’ ครับ…แล้วไงครับพังยับไม่มีชิ้นดี ไม่เป็นไปตามแพลนที่วางไว้เลยนี่เข้าเวลาบ่ายไปแล้วด้วย ข้าวกลางวัน (และข้าวเช้าสำหรับผม) ก็ยังไม่ได้ทานเริ่มปวดหัวแล้วด้วย แถมตอนนี้ตูดผมชาไปแล้วด้วย เหน็บกำลังจะกินตามจนในที่สุดผมก็อดทนไม่ไหวทำท่าจะเปิดประตูลงจากรถเดินเข้าห้างไปคนเดียวส่วนพี่เตอร์เหรอปล่อยให้วนหาที่จอดรถไปคนเดียวเถอะ ผมบอกได้คำเดียวอย่างแรกที่จะทำหลังจากได้เข้าห้างผมจะไปหาอะไรกินเป็นอาหารเช้าและกลางวันของผม


ซึ่งมีเหรอพี่เตอร์แกจะยอม (พี่ศิกับพี่เตอร์เป็นเพื่อนกันได้นี่ไม่แปลกใจนิสัยส่วนมากนี่เหมือนกันเกือบหมดยกเว้นที่พี่เตอร์แก…ปัญญาอ่อน เอ้ย…ขี้เล่นกว่าสักหน่อยหนึ่ง) มือของผมโดนรั้งให้กลับมานั่งที่ พรอมกับน้ำเสียงดุที่เอ่ยตามมา “เห็นตรงนั้นไหมครับน้องเจมส์รถคันนั้นจะออกแล้ว รออีกหน่อยก็ได้เข้าแล้วครับ เรื่องแค่นี้ทำไมอดทนรอไม่ได้กัน” …อดทน อดทนได้กับผีสิครับคนเขาหิวข้าวจนตาลายไปหมดแล้วแต่ผมก็ต้องทำตามครับ สัญญาไปแล้วนี่ว่าจะทำตัวเป็นเด็กดีบางครั้ง ไม่ดื้อบางเวลา ไม่ซนสักนาทีไปแล้ว ผมก็กลับเข้าไปนั่งนิ่ง ๆ ในรถเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือผมแสดงสีหน้าหงุดหงิดอย่างไม่คิดจะปิดบังเลยครับ
หิวจะตายอยู่แล้ว ปวดหัวแล้วด้วยยาก็ไม่ได้เอามา…ต้องมาทนอยู่ในที่แคบ ๆ อีกไม่ชอบเลยอึดอัดจังผมค่อย ๆ กำมือตัวเองแน่นขึ้นเรื่อย ๆ ริมฝีปากเม้นเข้าหากันแน่นและก่อนที่ผมจะแสดอาการประหลาดมากกว่านี้รถยนต์ของพี่เตอร์กเข้าเทียบจอดเสร็จพอดี ผมรีบเปิดประตูรถออกอย่างรวดเร็วแทบจะไม่รอให้รถจอดสนิทดีเลยด้วยซ้ำ ผลที่ได้กลับมาก็คือ โดนพี่เตอร์ดุอีกยกใหญ่แน่นอน ผมค้อนสายตากลับไปทำใหพี่เตอร์เริ่มรู้สึกว่าตัวเองผิดบ้างที่งองแงอยากจะเอารถยนต์มาในวันหยุดที่แสนจะรถติดแบบนี


ผมรีบสาวเท้าเดินไปที่โซนร้านอาหารอย่างรวดเรวโดยไม่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยถามอะไรแต่พี่เตอร์ยังไงก็เป็นพี่เตอร์ครับความพูดมากยังคงจัดเต็มแม้จะรู้ตัวแล้วว่าตัวเองผิดก็ตาม “น้องเจมส์จะไปไหนเหรอครับเราจะไปซื้อมือถือใหม่กันไม่ใช่เหรอนั่นมันโซนร้านอาหารนะ” คนเรียนหมอเป็นคนฉลาดแต่ไม่ใช่ว่าคนเรียนหมอจะไม่ซื่อบื้อ แหกตาดูเวลาหน่อยสิครับพี่นี่กี่โมงแล้ว ข้าวเช้าไม่ได้กิน กลางวันไม่ได้กิน คนมันจะไม่หิวหรือยังไงกัน แน่นอนว่าผมไม่ยอมหันไปตอบหรอกครับ ขี้เกียจพูดอะไรกับพี่เตอร์แกแล้วครับ ถ้าพูดมีหวังได้ชกหน้านิสิตแพทย์กลางห้างแน่ครับ คนหิวจะตายอยู่แล้วแถมเริ่มโมโหหิวแล้วด้วย ผมรีบสาวเท้าเพื่อตรงไปร้านอาหาร และผมก็จงใจเรื่องร้านที่ราคาแพงที่สุด (และผมอยากกินที่สุด) แล้วเดินเข้าร้านไป โดยทิ้งใหพี่เตอร์เดินตามเข้ามาทีหลัง


และเมื่อผมไดหย่อนก้นนั่งลงบนโซฟาสุดแสนสบายเมนูก็ถูกเปิดออกพร้อมกับการแรปสั่งอาหารชุดใหญ่ออกไป ก่อนจะตบท้ายด้วยน้ำแร่คุณภาพสูงที่เขียนในเมนูราคาเหยียบ 50 บาท พอสั่งเสร็จผมก็ส่งคืนไปให้กับบริกรและหันหน้ากลับมาแจกรอยยิ้มเย็นเหยือกให้พี่เตอร์พร้อมบอกให้พี่เตอร์จ่ายค่าอาหารทั้งหมดนี่ให้ด้วย“พี่เตอร์จ่ายให้ด้วยนะ ผมเอามาแต่ค่ามือถือที่สำคัญที่ผมหิวขนาดนี้เพราะพี่เตอร์เองด้วยดังนั้นพี่เตอร์ต้องรับผิดชอบค่าอาหารมื้อนี้ไม่ว่ามันจะราคากี่บาทก็ตาม” สิ้นคำพูดพี่เตอร์นี่แทบหยิบเงินในกระเป๋าออกมานับเลยหละครับ พูดไปงั้นหละครับเพราะพี่แกบอกผมก่อนหน้านี้แล้วว่าทุกการเดทเขาจะเป็นฝ่ายจ่ายเงินทุกบาททุกสตางค์ต่อให้แต่ละครั้งหมดเป็นแสนก็ตาม


ผมก็เชื่อหละครับเพราะคนอย่างพี่แกหนะขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอกเห็นว่าบ้านรวยพอ ๆ กับพี่ศิเสียด้วยซ้ำ แต่แกชอบทำตัวเกาะพี่ศิไปเรื่อย ต้องสั่งสอนซะบ้าง (ถึงผมจะเกาะอานิสงค์เพื่อนของแฟนพี่ศิกินเหมือนกันก็เถอะ แต่สถานะมันต่างกันนี่น้องส่วนนั่นเพื่อน พี่ต้องเลี้ยงน้องจบนะครับ) 


“น้องเจมส์จะทานหมดเหรอครับเยอะขนาดนั้น เอะแต่พี่ไม่ได้ว่านะครับที่น้องเจมส์สั่งมาเยอะพี่แค่ว่า พี่คงไม่ต้องอุ้มเจมส์กลับเหมือนกับที่ศิมันเคยอุ้มกรกลับหลังจากน้องกรทานเยอะจนลุกไม่ไหวหนะ” บางครั้งผมก็อยากถามพี่เตอร์ว่า อยากตายก่อนวัยอันควรไหมนะครับ และต่อให้แกไม่ตอบผมก็คงตอบให้พี่แกว่าอยาก


ผมส่สายตาฆ้อนให้อีกรอบคราวนี้ทำให้พี่เตอร์แกเงียบปากได้สักทีทีนี้ก็รอเวลาบริกรนำอาหารมาเสริฟอย่างเดียวแล้วหละครับและแน่นอนว่ามันคงใช้เวลาไม่นาน…ใช้เวลาไม่นาน…


ใช้เวลาไม่นานกับผีสิครับนี่ผมรอมาจะสามสิบนาทีแล้วได้มาแต่น้ำเปล่าสองแก้วส่วนของกินไม่มาสักจานเดียว ยกเลิกออเดอร์แล้วไปกินร้านอื่นทันไหมเนี่ย ยิ่งหิว ๆ อยู่ แถมปวดหัวมากขึ้นกว่าเก่าซะแล้วสิ ผมฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะข่มตาหลับเพื่อนให้อาการปวดหัวทุเลาลงบ้านแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ผมไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายจะแสดงสีหน้ายังไงกับการกระทำของผมแต่เท่าที่รู้มืออุ่น ๆ ค่อยๆ ช้อนหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อของผมขึ้นแล้วเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงร้อนรน


“นองเจมส์ครับเป็นอะไรปวดท้องเหรอครับเดี๋ยวพี่ไปหาซื้อยาให้นะรอที่นี่ก่อนนะ” พี่เตอร์แกทำท่าจะลุกขึ้นออกไปจากร้านอาหารแต่ผมกับรั้งชายเสื้อของอีกฝ่ายไว้ก่อน ผมเงยหน้าขึนช้า ๆ พร้อมกับเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาออกไป


“ยาอยู่ในกระเป๋าผม แก้ปวดหัวหนะ…ไม่ได้กินข้าวเช้าแถมตอนกลางวันด้วยเลยปวดหัว” สิ้นประโยคคราวนี้หละบันเทิงเลยหละครับพี่แกนี่ลุกมาควก ๆ ล้วง ๆ แถวกระเป๋าผม ไอเราก็บ้าจี้อยู่แล้วเราก็หัวเราะไปดิ้นไปทั้งหน้าซีด ๆ นี่หละ คนมองทั้งร้านอาหาร พอได้ยาผมกรีบรับยามาทานทันทีและในเวลาเดียวกันอาหารหลายเมนูก็ถูกนำมาเสริฟที่โต๊ะผมนี่เริ่มลงมือทานอาหารอย่างรวดเร็วเลยหละครับ ส่วนสายตาของคนในรานอาหารที่มองมาหนะเหรอจะไปสนใจทำไมครับ พวกผมหาได้มีความอับอายใด ๆ ทั้งสิ้น เมิน ๆ ไปเถอะครับไม่ใช่พ่อ ใช่แม่ ใช่เพื่อน ใช่คนสำคัญเราจะไปแคร์เขาทำไมจริงไหม ดังนั้นกินเถอะครับอย่าได้รอช้า




ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0



จานแรกที่ผมเลือกมาทานคือเสต็กผมนี่แทนจะไม่อยากหั่นชินเนื้อเลยครับเอาเข้าไปทั้งก้อนเลยได้ไหมหิวจะตายอยู่แล้วแต่ด้วยความมีมารยาท (แม้ชุดผมจะไม่สุภาพดูไม่รวยหรูหราก็เถอะ) ผมจึงค่อย ๆ ใช้ช้อนซ้อมทานอย่างระมัดระวังตามที่พ่อแม่สอนมาอย่างดี เอาตรง ๆ ร้านนี้บริการดีนะครับเสียแต่ตอนที่ผมเข้ามาด้วยเสื้อผ้าสภาพอย่างที่ทุกคนรู้กันจะโดนสายตามองมาเหยียด ๆ สักหน่อย (ว่ามีเงินจ่ายหรือเปล่ากล้าเข้ามาเนี่ย ให้ตายเถอะถึงผมไม่มีเงินจ่ายแต่ก็มีคนจ่ายให้วะ) เอาเถอะยอมให้ก็ได้เพราะเสื้อนี้ได้ฟรีมาไม่เสียเงินสักบาทเพราะไอกรซื้อให้เห็นว่าเป็นรสนิยมไอกรเลยยอมให้ดูถูกเลยนะเนี่ย เป็นเพื่อนที่ดีไหมหละผมหนะ


และเวลาผ่านไปไม่นานเท่าไหร่อาหารที่อยู่เต็มโต๊ะก่อนค่อย ๆ หมดไปทีละอย่างสองอย่าง ด้วยฝีมือผมและพี่เตอร์และส่วนใหญ่จะเป็นฝีมือพี่เตอร์ไม่ใช่คนหิวโซอย่างผม สายตาผมมองเขาอย่างทึ่ง ๆ ก่อนจะเอ่ยปากถามว่าอยากได้อะไรเพิ่มอีกไหม ดูท่าแล้วไม่น่าจะอิ่มนะนั่น


“พี่เตอร์เอาอะไรอีกไหม ท่าทางพี่จะไม่อิ่มนะนั่น” สิ้นเสียงพี่เตอร์เงยหน้ามาพร้อมกับรอยยิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเบา ๆ ว่า


“พี่ตื่นเต้นมากไปหน่อยเลยทานข้าวเช้าไม่ลงเลยหิวแบบนี้หละ แต่พี่อิ่มแล้วหละครับน้องเจมส์อิ่มหรือยังสั่งเพิ่มได้นะ” เท่านั้นหละครับผมนี่หลุดขำออกมาอีกรอบ เอะแต่ขอบอกไว้ก่อนนะครับผมไม่ได้ตื่นเต้นจนไม่ได้ทานข้าวเช้าผมตื่นสายจนไม่ได้ทานข้าวเช้าต่างหากบอกไว้ก่อนเลยนะครับ ยำว่าตื่นสายไม่ใช่ตื่นเต้น


ผมปรายสายตามองไปที่โต๊ะอาหารที่ยังพอเหลืออยู่บางจานก่อนจะส่ายหัวปฏิเสธ “ถ้ากินหมดก็อิ่มพอดีพี่ถ้าพี่ไม่แย่งกินหมดก่อนอะ” สิ้นเสียงผมก็ได้ใบหน้าแดงก่ำของพี่เตอร์มา 1 ea บางทีคนฉลาดก็ทำตัวเอ๋อ ๆ ได้เหมือนกันนะครับว่าไหม ยกตัวอย่างเช่น ผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงหน้าผมตรงนี้


ริมฝีปากบางค่อย ๆ คลี่รอยยิ้มออกมามือทั้งสองข้างเทาคางมองร่างสูงตรงหน้าพลางหัวเราะออมาเบา ๆ บางทีคน ๆ นี้ถ้าไม่นับเรื่องบ้าและโอเวอร์แอคติ้งเขาก็มีส่วนที่น่ารักนิดหน่อยหละนะ แต่แค่นิดหน่อยเท่านั้นหละ ก็บอกแล้วไงว่านิดหน่อยจริง ๆ ทุกคนอย่ามาพูดล้อผมนะ


และหลังจากที่เราทั้งสองคนทานกันจนอิ่คราวนีก็ถึงคิวเชคบิล แน่นอนว่าพี่เตอร์จ่ายทั้งหมดผมไม่เสียอะไรสักบาทและต่อให้เสียผมก็ไม่เสียอะ โบ้ยให้พี่เตอร์จ่ายให้หมดข้อหากินเยอะกว่าผม หลังจากอิ่มท้องอาการปวดหัวของผมก็หายไปคราวนี้ถึงเวลาไปเลือกซื้อมือถือกันเสียที แต่ในขณะที่ผมกำลังจะสาวเท้าเดินไปทางโซนอีเลกทรอนิคมีคนบ้า ๆ คนหนึ่งดันคว้าแขนผมแล้วลากผมไปโซนเครื่องแต่งกายเสียก่อน แน่นอนว่าคนบ้า ๆ คนหนึ่งเป็นใครไม่ได้เลยนอกจากพี่เตอร์ ผมนี่ทั้งดิ้นทั้งดึงอีกฝ่ายแต่สู้แรงไม่ไหว ร่างทั้งร่างเลยเซไปตามแรงดึงจนในท้ายที่สุดก็ต้องยอมแพ้และเดินตามอีกคนไปอย่างไม่สบอารมณ์ นี่จะพาไปไหนกัน เสียเวลามามากแล้วยังจะไปเดินเล่นอีก ผมบ่นอุบอิบแต่ไม่ได้พูดออกไป นั่นก็เพราะใบหน้าพี่แกดูมีความสุขขนาดนั้นคนดี ๆ อย่างผมก็ไม่อยากจะไปขัดความสุขแกสักเท่าไหร่ ใช้เวลาสักพักเราก็เข้ามาถึงโซนร้านเสื้อผ้าและร่างของผมก็ถูกลากเขาไปในร้าน ๆ หนึ่งที่ดูหรูเอามาก ๆ ผมมองเสื้อที่แขวนอยู่รอบตัวพลางเหล่ตาสุดริดเพื่อมองราคาที่แปะไว้พอเห็นนี่ทำเอาผมตาถลนออกมาเลยหละครับ ขอใช้คำว่าแพง-beep-หาย เลยครับเสื้อตัวเดียว ตลาดนัด 99 บาทก็สวมได้แล้ว นี่ราคาเป็นพัน ๆ บางตัวก่ะหลายพันผมนี่อยากจะวิ่งออกจากร้านทันทีเลยครับ ลูกชายคนเดียวของบานฐานะปานกลางรับราคาไม่ได้ แต่พี่เตอร์แกไม่ให้ทำอย่างงั้นครับ พี่เตอร์จับผมไปยืนอยู่กลางร้านพร้อมเอาเสื้อผ้าหลายตัวมาทาบ ๆ บนตัวของผมก่อนจะหยิบชุดมาหลายตัวแล้วดันให้ผมเข้าไปลองในห้อง ผมนี่ยืนเอ๋ออยู่นานมากก่อนจะเปลี่ยนเสือผ้าแต่ละชุดให้พี่เตอร์ดูด้วยความงุนงงง แน่นอนว่าไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมานอกจากสีหนาพอใจของพี่เตอร์ หลังจากลองหมดครบทุกชุดและผมกำลังจะเปลี่ยนกลับไปเป็นชุดเดิมพี่เตอร์ก็ส่งเสียงห้ามเอาไว้ก่อน “เจมส์ใส่ชุดนั้นหละพี่ซื้อให้” ห่ะ…พี่เตอร์เห็นผมเป็นอีหนูใหป๋าคอยเลี้ยงหรือไง ผมทำท่าจะไม่ยอมแต่ดูเหมือนว่าบัตรเครดิทสีทองของพี่เตอร์จะถูกร่อนไปจ่ายเงินทั้งหมดแล้ว ผมนี่อ้าปากค้างเลยครับ แต่ละชุดไม่ใช่ถูก ๆ แล้วนี่หลายชุดยังดีที่ไม่ทิ้งชุดเดิมของผมไม่งั้นพี่เตอร์คงได้นอนเป็นศพอยู่แถวนี้ ผมเดินทำหน้าบึ้งใส่พี่เตอร์ก่อนจะเดินไปทำตามเป้าหมายแรกที่ได้ตั้งใจไว้ แต่คิดเหรอว่าพี่เตอร์จะยอมให้ผมไป นอกจากเสื้อผ้าแล้วยังขาดทรงผม ครับผมโดนลากเข้าร้านตัดผมโดนดันให้นั่งที่เก้าอี้อย่างงง ๆ โดนตัดผม (ที่ไม่ได้ตัดมาราว ๆ สามเดือน) อย่างงง ๆ เวลาผ่านไปสามชั่วโมงไวอย่างกับโกหกและแน่นอนว่าผมยังไม่ได้ซื้อมือถือใหม่ตามที่คิดไว้


ร่างของผมกได้มายืนอยู่หน้าโซนอีเลกทรอนิคเสียทีแต่ในสภาพไม่เหมือนเดิมคือจากเสื้อยืดสีซีดกางเกงยีนที่ไม่ได้ซักมาสองอาทิตย์เปลี่ยนเป็น เสือเชิ้ตสีอ่อนคอจีนแขนสี่ส่วนกางเกงสแลคสีดำ ส่วนผมตัดเคลียแก้มและโดนทำสีให้เป็นสีน้ำตาลเข้มแวปแรกบอกเลยครับว่าจำตัวเองไม่ได้


อยากจะพูดใส่กระจกตอนมองภาพสะท้อนตัวเองว่า ‘ใครวะ’ แต่กลัวจะดูเหมือนคนบ้าเกินไป ทำไมมันดูเหมือนลูกผู้ดีขนาดนี้วะครับ ผมเชื่อสุภาษิตนี่แล้วหละว่าไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแต่งจริง ๆ สภาพตอนแรกที่ผมเดินเข้ามาในห้างนี่เด็กบ้านจนคนหนึ่ง แต่ตอนนี้…เหมือนลูกคุณหนูกลับจากต่างประเทศ ผมไม่ได้อวยตัวเองนะสภาพมันเป็นแบบนั้นจริง ๆ และพี่เตอร์ก็ดูภูมิใจการปรับลุคของผมด้วย แต่ผมดันไม่พอใจหนะสิถ้าไปมหาลัยสภาพแบบนี้โดนล้อตาย ดังนั้นผมเลยลงโทษให้พี่เตอร์แบกของที่ซื้อมาทั้งหมดคนเดียวส่วนผมเดินตัวปลิวเข้าศูนย์มือถือไปหละครับ


สมน้ำหน้าถุงสิบกว่าใบนั่นแบกไปเลยนะ เสื้อผ้ารองเท้าพี่เตอร์ซื้อให้เองทั้งนั้น ดังนั้นผมไม่รับผิดชอบหรอกนะหนักจะตายไม่รู้กี่ชุดต่อกี่ชุดไม่ได้ขอให้ซื้อให้สักหน่อยด้วย เอาเป็นว่าช่างพี่เตอร์เถอะครับนี่ก็เลยเวลามามากพอดูแล้ว เราไปดูมือถือกันดีกว่า (เอาตรง ๆ กับอีแค่เลือกมือถือมันใช้เวลาเปนวันขนาดนี้เลยหรือไงเนี่ยผมไม่เข้าใจเลยจริง ๆ เสียเวลาทำมาหากิน ทบทวนบทเรียนที่จะต้องเอาไปสอบหมด ถึงจะเพิ่งเปิดเทอมก็เถอะนะ)


ผมรีบเดินเข้าไปในศูนย์บริการมือถือที่ขึ้นต้นด้วยตัวเอสลงท้ายด้วยตัวจี (ผมไม่ได้ค่าโฆษณาดังนั้นเอาชื่อย่อไปก็พอ ไว้ได้ค่าโฆษณาเมื่อไหร่ผมค่อยบอกชื่อเต็ม) พลางมองมือถือแต่ละเครื่องที่วางเรียงรายเอาไว้ให้ทดลองใช้ เอาหละทีนี้คือปัญหา…อันไหนคือรุ่นล่าสุดที่พ่อของผมให้ซื้อวะครับ ถึงผมจะเรียนวิศวะแต่ไม่ใช่ว่าเรื่งอีเล็กทรอนิคผมจะเก่งนะ รู้เรื่องแค่พอไปวัดไปวาเท่านั้นหละและดูเหมือนพี่เตอจร์ะเห็นผมยืนงอยู่นาน (นานขนาดไหนหนะเหรอเอาเป็นว่าเกิน 5 นาทีก็แล้วกันนะครับ) พี่แกก็จูงมือผมไปที่ซุ้มทดลองมือถือทันที


“น้องเจมส์ลองเล่นดูสิชอบเครื่องไหน หรือมีรุ่นไว้ในใจแล้ว” พูดมาแบบนี้ผมก็ไปต่อไม่ถูสิครับ ครั้นเราจะบอกว่าเครื่องไหนก็ได้แค่รุ่นล่าสุดพอก็ดูจะโง่ไปนิด แต่เอาตรง ๆ ผมควรเลือกมือถือจากอะไรดีหละครับ นี่น้ำตาผมจะไหลแล้วนะ (จริง ๆ ผมตอแหลไปงั้นหละ ไม่ไดจะร้องอะไรขนาดนั้นหรอกครับ)


“ผมแค่ไม่รู้ว่าจะเลือกรุ่นไหนดี จริงๆผมเอารุ่นไหนก็ได้ แค่พ่อบอกว่าซื้อใหม่ทั้งทีเอารุ่นล่าสุดไปเลย” ผมบ่นเบา ๆ แต่พี่เตอร์แกก็ไดยินหละครับ พี่แกเลยจูงมือผมไปที่ซุ้มมือถือที่เพิ่งออกมาใหม่ พร้อมกับหยิบมือถือเครื่องเท่าผ่ามือมาให้ผมถือเพื่อทดลองเล่น


มือถือเครื่องใหญ่บางเฉียบผมไม่รู้สึกว่ามันเหมามือเลยสักนิดแต่เรื่องระบบปฏิบัติการและความไวดีกว่าเครื่องเก่าผมมากโขเลยครั้บที่สำคัญ กล้องถ่ายรูปสวยมาก เห็นแบบนี้ผมก็เป็นคนชอบถ่ายรูปนะครับแต่ไม่ได้เป็นสตอกเกอร์แบบพี่ศิก็เถอะ (อ่ะผมพูดมากเกินไป ขอโทษครับแต่ทุกคนก็ทราบแล้วว่าพี่ศิชอบถ่ายรูปตอนไอกรเผลอ ถ้าไม่เรียกว่าสตอกเกอร์จะเรียกว่าอะไรแต่เอาเถอะเพื่อนผมแฮปปี้ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร) พอผมเหลือบมองราคาแทบจะวางทิงเลยครับมือถืออะไรเครื่องละสองหมื่นกว่าบาท นี่เอาไปกินข้าวนี่กินได้หลายมื้อเลยนะ ไม่สิเรียกว่าผมอยู่ได้สามสี่เดือนเลย ไอเงินสองหมื่นกว่าบาทเนี่ยแต่พอพี่เตอร์เห็นสีหน้าของผมพี่แกก็เอามือมากุมมือของผมไว้ เอ้ยหมายถึงกุมมือของผมพร้อมกับโทรศัพท์นะครับ


“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับน้องเจมส์หรือว่าไม่เหมาะมือ หรือไม่พอใจมีอีกรุ่นนะครับอันนี้ไงรุ่นนี้กล้องดีกว่าตัวนั้นอีกแต่เพิ่งออกใหม่มาเลยระบบยังไม่ค่อยเสถียรดีพี่เลยแนะนำเครื่องนั้นให้แทน” เสียงทุ้มพูดออกมาดูท่าเขาจะสงสัยที่ผมนิ่งเงียบไปมันไม่ใช่ไม่เหมาะมือหรอกครับมันแค่…แพงเกินไปสำหรับเด็กที่บ้านฐานะปานกลางอย่างผม ผมไม่เข้าใจนะว่าทำไมเด็กมหาลัยหรือเด็กม.ปลายถึงอยากได้มือถือรุ่นแพง ๆ โดยที่ไม่จำเป็นกัน ใช้มือถือถูก ๆ เอาก็ไดแค่โทรเข้าโทรออกเองไม่ใช่เหรอไงไอมือถือหนะ แต่ถึงจะบ่นไปผมก็ต้องซื้อมันอยู่ดี และที่บ่นไม่ใช่ว่าได้เงินมาไม่พอนะครับ เงินที่ได้มันเกินราคาของด้วยซ้ำผมแค่อยากบ่นตามประสาเด็กหอไม่ค่อยมีอันจะกินก็เท่านั้นเอง


“งั้นเอาเครื่องนี้หละพี่ เอาสีขาวนะ” ผมพูดพร้อมควักเงินจ่ายทั้งน้ำตาคราวนี้ผมร้องไห้จริง ๆ เลยครับ มือถือบาอะไรราคาเกือบสามหมื่น ดีนะที่พ่อให้มาพอไม่งั้นได้ควักเนื้อตัวเองจ่าย


แต่ที่สำคัญไปกว่าได้เงินมาพอนั่นคือผมเกรงใจพ่อกับแม่ต่างหากทำไมต้องยอมเสียเงินมากกับอีแค่มือถือเท่านั้นนะ ผมเดินไปที่เคาเตอร์จ่ายเงินพร้อมกับควักแบงค์พันหลายใบออกมาวางพนักงานที่ยืนให้บริการอยู่ถึงกับทำตาลุกวาวกับการซื้อมือถือราคาแพงด้วยเงินสด เอาตรง ๆ ผมก็แปลกใจนะครับว่าทำไมเวลาเราซื้อของแพง ๆ ด้วยเงินสด พนักงานชอบมองเราเป็นตัวประหลาดจ่ายเงินสดมันไม่ดีหรือไง คนมันไม่อยากเป็นหนี้โดยใช่เหตุนี่หว่า


ผมส่งสายตาตำหนิไปให้พนักงานเล็กน้อย เขาโค้งตัวขอโทษและรับเงินทั้งหมดมานับยอดตามจำนวน นี่ถ้าไม่ติดว่าผมต้องมาใช้บริการอีกหลายรอบ (แน่ ๆ เผื่อเครื่องมันมีปัญหา) ผมคงจะพูดต่อว่าไปแล้วหละครับ มองลูกค้าอย่างกับตัวประหลาด แต่ก็คงพูดแบบเดิมเหมือนในร้านอาหารหละครับว่าไม่ใช่พนักงานบริการไม่ดีแต่ผมไม่ชอบสายตาที่พวกเขามองมาสักเท่าไหร่นักก็เท่านั้นเอง นี่ผมบ่นเรื่องสายตาของพนักงานมาสองร้านแล้วสินะ เอาเป็นว่าผมไม่ค่อยอยากให้ใครตัดสินตัวตนของคนอื่นจากภายนอกก็เท่านั้นหละครับ คนดีไหมหละผมหนะ


พนักงานใช้บริการไม่นานเท่าไหร่นักผมก็ไดรับมือถือเครื่องใหม่เอี่ยมแกะกล่องถอดด้ามมาเลยครับส่วนพี่เตอร์ที่ผมไม่พูดถึงหนะเหรอครับ ก็ยังยืนอยู่ข้าง ๆ ผมนี่ยืนหน้าหล่อจนน่าหมั่นไส้อยู่ ผมกับพี่เตอร์พากันเดินหิ้วของ (ทั้งหมดรวมถึงเสื้อผ้าที่พี่เตอร์ซื้อให้ผม) ออกมาจากศูนย์มือถือ มือข้างหนึ่งของผมพยายามทำความคุ้นเคยกับมือถือเครื่องใหม่ ส่วนมืออีกข้างไม่รู้ว่าผมไปทำอีท่าไหนดันโดนพี่เตอร์กุมไปซะแล้ว ในตอนนี้จะดึงออกแล้วโวยวายก็ไม่ทันแล้วครับ ตอนนี้ทุกคนในร้านและตลอดระยะทางที่เดินกันมานี่เข้าใจผิดกันไปหมดแล้วหละครับว่าผมกับพี่เตอร์เป็นอะไรกัน สายตาของผมเบนหันไปมองที่มือข้างนั้นของพี่เตอร์ก่อนจะสะบัดหน้าหันกลับด้วยความเขินอายน้อย ๆ (ผมอายที่คนอื่นมองแล้วเข้าใจผิดต่างหากนะครับไม่ได้เขินที่โดนจับมือเลยสักนิด) แต่ก็ยอมให้อีกคนจูงมือต่อไป ไหน ๆ วันนี้พี่เตอร์ทำตัวดีไม่ทำตัวงี่เง่าหรือบ้าบออะไรถือว่าเป็นการคืนกำไรให้หน่อยแล้วกัน แค่นิดหน่อยเท่านั้นหละครับวันอื่นผมจะกลับไปตั้งป้อมแบบเดิม


เราทั้งสองคนเดินมาจนใกล้จะถึงที่อจอดรถพลันเสียงโทรศัพท์ของพี่เตอร์ก็ดังึ้นผมแอบเบนสายตาหันไปมองเล็กน้อยก่อนจะสังเกตุเห็นอะไรบางอย่าง


ชัดเลยครับผมรู้แล้วว่าทำไมพี่เตอร์แนะนำมือถือรุ่นนี้ ชัดเต็มสองตาแบบไม่ต้องหาอะไรมาอธิบายต่อเลยหละครับ เพราะในมือถือพี่แกนั่นหนะเป็นรุ่นเดียวกันกับผมเดะ ที่สำคัญสีเหมือนกันเสียด้วยเรียกว่าถอดแบบออกมาจากพิมพ์เดียวกัน ว่าแล้วเชียวว่าคนอย่างพี่เตอร์นี่ไว้ใจไม่ได้จริง ๆ ด้วย นี่บังอาจหลอกผมให้ใช้มือถือคู่กันสินะ หลังจากพี่เตอร์วางสายโทรศัพท์ลงผมนี่หันไปส่งสายตาอำมหิตให้พี่เตอร์ทันที เพิ่มเติมโดยการยิ้มแยกเขียวให้ด้วย


“แหมขอบคุณมากเลยนะครับที่ช่วยเลือกมือถือให้ผมผมนี่ดีใจมาก ๆ เลยหละครับ” น้ำเสียงผมนี่ทำให้พี่เตอร์เย็นวาบไปถึงกระดูกไขสันหลังแน่นอนว่า ที่พูดไปนั้นผมประชดพี่เตอร์ครับ ถึงมือถือเครื่องนี้มันจะดีมากแค่ไหนแต่การที่โดนหลอกให้มาใช้มือถือคู่กัน (เคสรุ่นเดียวกับเหมือนกันกระทั่งสีของเคสเลยครับ นี่พี่เตอร์พยายามจะทำให้ดูเหมือนว่าใจตรงกันสินะแต่ไม่เนียนครับก็ใครใช้ให้พี่แกเป็นคนแนะนำให้ผมซื้อเองของทั้งหมดเองหละถ้าผมตัดสินใจเองผมจะไม่ว่านี่เล่นเนียนหลอกให้ซื้อ) นี่…มันน่าฆ่าให้ตายนัก


“น้องเจมส์ชอบเหรอครับ พี่ดีใจมาก ๆ เลย” เหมือนพี่เตอร์จะยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองได้ทำความผิดอะไรลงไป เอาตรง ๆ มันไม่ใช่ความผิดหรอกครับแต่ถ้าอยากให้ใช้มือถือคู่กันก็บอกดี ๆ ก็ได้ ผมก็พอใจเรื่องสเปกของมือถือเครื่องนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้วยังไงผมก็ซื้อหละแต่ตอนเลือกเคสผมจะไดไม่เลือกซื้อเหมือนกันเดะ ๆ แบบนี้ (ผมกับพี่เตอร์ชอบสีขาวกับดำเหมือนกันครับผมเลยเลือกซื้อเคสสีเดียวกับพี่เตอร์ พอดีพี่เตอร์แนะนำเคสที่ใช้ดีให้)


“ดีใจที่ผมใช้มือถือ พ่วงด้วยเคสเหมือนพี่นั่นเหรอครับทำเอาผมตกใจเลยนะครับที่บังเอิญไปเห็นมือถือพี่เตอร์เข้า แล้วทั้งเคสทั้งมือถือพี่เตอร์เองก็แนะนำใหผมใช้หมดเลยอย่ามาบอกนะครับว่าพี่ใช้ดีเลยอยากให้ผมใช้ เห็นพี่ศิกับไอกรมันใช้คู่กันแล้วอยากทำแบบนั้นมั่งสินะครับเอาไว้ได้เป็นแฟนกันก่อนค่อยคิดเอาแล้วกัน วันนี้ขอหักคะแนนความเนียนของพี่เตอร์แล้วกันนะครับตอนแรกก็ประทับใจอยู่หรอกแต่มาเนียนหลอกกันแบบนี้ความประทับใจติดลบครับ” ผมพูดพลางเอามือกอดอก ใครมันจะไปพอใจกันเล่าที่โดนหลอก ผมว่าแค่นี้ถือว่าน้อยไปด้วยซ้ำ จะว่าผมอารมณ์ร้ายเหรอผมไม่ได้อารมณ์ร้ายสักหน่อยนะ ผมเป็นตัวของผมเอง มันดูเคร่งขรึมไปเหรอครับนั่นแล้วแต่คุณจะคิดเลย ผมพอใจที่จะเป็นคนแบบนี้ครับ


“อ่า…น้องเจมส์พี่ขอโทษครับ พี่แค่อยากลองทำอะไรเหมือนคนรักดูบ้างเราเริ่มเดทกันแล้วนะครับมันก็น่าจะมีอะไรที่เป็นคู่กันบ้าง” ดูเขาทำตัวเข้ามีหน้ามาแก้ตัวอีกเหอะผมไม่รู้จะพูดอะไรแล้วหละครับ ผมส่ายหัวไปมาด้วยความระอา เอาเถอะยังไงผมก็ไปกระชากคอเสื้อของพนักงานแล้วบอกว่าจะเปลี่ยนเครื่องไม่ได้แล้วค่อยไปเปลี่ยนเคสเอาแล้วกัน แต่ก็ต้องรอผมมีเงินก่อนหละนะแต่คงอีกนานเลยหละด้วยเพราะเหตุที่ผมเสียดายที่มันเพิ่งซื้อมาใหม่ ๆ และเงินที่ผมได้ผมก็เอาไปซื้อหนังสือ ชีทเรียนในเทอมนี้หมดแล้ว


“พี่เตอร์ครับสติครับสติ เราเดทกันแต่ยังไม่ได้คบกันเป็นแฟนกันนะครับ แลวที่ผมทำนี่ทำตามข้อตกลงด้วย” ผมพูดเตือนสติพี่เตอร์ ซึ่งถ้าพี่เตอร์มีหางตอนนี้จากหางที่กระดิกรัว ๆ กลายเป็นตกลู่ไปข้างหลังหละครับ แต่ยังไงก็ตามมันเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อีกแล้วหละครับ ผมจึงได้แต่ยกโทษให้พี่เตอร์ (ทำให้พี่แกมากระดิกหางดิ้ก ๆ ได้เหมือนเดิมและเปิดประตูรถให้ผมเข้าไปนั่งเหมือนกับครั้งที่เดินทางมาที่ห้าง)


“กลับกันเถอะครับ วันนี้ผมเหนื่อยมากของมากที่สุดเลย” ผมยอมเข้าไปนั่งในรถดี ๆ พร้อมกับเอนตัวนอนไปกับเบาะรถแต่คราวนี้ผมไม่ลืมที่จะคาดเข็มขัดนิรภัยแล้วหละครับไม่งั้นคงได้เกิดเรื่องเหมือนเมื่อเช้าอีกแน่ ๆ ผมไม่อยากหัวใจเต้นแรงจนทำให้เกิดอาการโรคหัวใจกำเริบ ? แบบนั้นอีกแล้ว ซึ่งผมในโหมดที่ว่าง่ายทำให้พี่เตอร์หลุดยิ้มออกมา มือข้างหนึ่งของเขาถูกยกขึ้นมาลูบที่หัวของผมเบา ๆ ก่อนที่เขาจะเคลื่อนตัวไปยังที่นั่งคนขับ


พี่เตอร์ทำด้วยความเอ็นดูแต่เขาไม่ได้รู้ตัวเลยว่าสิ่งที่เขาทำให้ผมหน้าแดงขนาดไหน เพราะพ่อกับแม่ของผม ผมก็ไม่ได้ให้ท่านลูบหัวมานานแล้ว แต่นี่พี่เตอร์ถือดียังไงมาลูบหัวของผมโดยที่ผมไม่อนุญาตให้ตายเถอะทั้ง ๆ ที่คิดว่าโรคหัวใจเต้นแรงนี้จะไม่กำเริบอีกแต่ตอนนี้มันกับมาเต้นแรงอีกแล้ว ผมเกลียดเสียงหัวใจของตัวเองตอนนี้จริง ๆ 


เราทั้งสองนั่งรถกลับไปที่หอในมหาลัยกันเงียบ ๆ ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่มืดแล้วทำให้รถที่เคยติดหนาแน่นเริ่มบางตาลง มันจึงทำให้พวกเราใช้เวลาไม่นานก็ถึงที่หมาย พี่เตอร์จอดรถลงที่หน้าหอของผมก่อนที่เราทั้งคู่จะลงจากรถ


ผมโค้งตัวเพื่อบอกลามือทั้งสองข้างหอบหิ้วของทั้งหมดออกจากรถแต่ก่อนที่ผมจะได้ขึ้นไปที่ห้องมือข้างหนึ่งของพี่เตอร์ก็คว้าแขนผมเอาไว้ก่อนจะรั้งตัวผมเข้าไปในอ้อมกอดของพี่แก ไออุ่นจากอ้อมแขนนั่นทำให้ผมหนาแดงอีกครั้ง


“วันนี้พี่ขอบคุณมากเลยนะครับพี่มีความสุขมาก ถึงจะโดนน้องเจมส์ดุและโกรธบ่อย ๆ แต่พี่มีความสุขจริง ๆ นะไว้วันหลังเราไปเที่ยวด้วยกันอีกนะครับ” เสียงทุ้มเอ่ยข้างใบหู ใบหน้าของผมซุกลงไปบนบ่าของพี่เตอร์แก ไม่ใช่ว่าผมจะไม่พยายามดิ้นออกจากอ้อมแขนของพี่เตอร์นะครับผมหนะพยายามดิ้นแล้วแต่อ้อมแขนของพี่เตอร์มันแข็งแรงมากจนทำให้ผมดิ้นไม่หลุดออกจากอ้อมแขนนั่น


ในขณะที่ผมถูกปล่อยออกจากอ้อมแขนนั่นใบหน้าคมก็โน้มตัวลงมาจูบเบา ๆ ที่หน้าผาก และก่อนที่ผมจะได้โวยวายอะไรออกไปร่างสูงของพี่เตอร์ก็เดินเข้าไปในรถและขับออกไปแล้ว


พี่เตอร์…ไอคนชอบฉวยโอกาส


ถ้าวันหลังถ้าทำแบบนี้อีก…ผมจะหาเหตุผลมาแก้ตัวให้ตัวเองได้ยังไงถ้าหัวใจมันเต้นแรงแบบนี้อีก

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด