Love Surgery2ปฎิบัติการร้ายของผมกับนาย(ว่าที่)คุณหมอ[แบบสอบถาม (จบ)][29/09/2016]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

หากนิยายเรื่องนี้จะรวมเล่ม

สนใจ
1 (33.3%)
ไม่สนใจ
2 (66.7%)

จำนวนผู้โหวตทั้งหมด: 3

ผู้เขียน หัวข้อ: Love Surgery2ปฎิบัติการร้ายของผมกับนาย(ว่าที่)คุณหมอ[แบบสอบถาม (จบ)][29/09/2016]  (อ่าน 10246 ครั้ง)

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
หวั่นไหวล่ะสิเจมส์  :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0



Chapter 7



   หลังจากการที่ผมผ่านการเดทสุดหฤหรรษ์กับพี่เตอร์เมื่อวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ในตอนนี้ก็ถึงวันจันทร์เสียทีในช่วงนี้ทางคณะของผมยังคงมีกิจกรรมรับน้องอยู่ (เปิดมาสามอาทิตย์เองครับจะรีบจบกิจกรรมอะไรนักหนา กิจกรรมหนึ่งเดือนค่อยจบสิครับ) ดังนั้นผมซึ่งเป็นประธานรุ่นผู้ต้องมีความรับผิดชอบอันสูงส่งจึง (จำใจ) ต้องตื่นและไปมหาวิทยาลัยก่อนแปดโมงเพื่อประชุมเกี่ยวกับกิจกรรมรับน้องที่เหลืออยู่แม้เวลาเรียนที่แท้จริงของผมมันจะอยู่ที่ 10 โมงก็ตาม ผมตื่นขึ้นมาทำกิจวัตรประจำวันของตัวเองอย่างไม่เร่งรีบสายตาพลางเหลือบไปมองยังมือถือเจ้าปัญหาที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนโต๊ะ



ให้ตายเถอะครับผมรู้หลาย ๆ คนอาจจะไม่คิดมากเรื่องที่มีมือถือเหมือนใครเขาเข้า แต่พอดีผมมีตัวเจ้าปัญหาอย่างไอกร นายกร ไอคุณเพื่อนกร หรือนายรณกร (หิรัณศิริ สักวันมันก็ต้องเปลี่ยนนามสกุลครับผมเลยเสริมให้) ผู้ที่ช่างสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้านเป็นที่หนึ่ง กวนประสาทเป็นที่สอง น่าฆ่าให้ตายเป็นที่สาม(ถ้าไม่ติดว่ามันมีแฟนที่แสนจะดุและโคตรเอาใจมันนะผมฆ่าหมกคณะไปนานแล้ว) ผมเชื่อว่าถ้ามันรู้เรื่องที่มือถือของผมเหมือนกับของพี่เตอร์แล้วล้านเปอร์เซนมันล้อผมแน่นอน พอคิดแล้วก็ได้แต่ปลงตกในความโชคร้ายของตัวเอง(ที่มีเพื่อนอย่างมัน)แต่ก่อนจะได้ทำอะไรต่อเสียงข้อความมือถือก็ดังถี่ขึ้นจนผมต้องหันกลับไปมอง(แค่หลัวว่าเพื่อนร่วมห้องอย่างไอบาสมันตื่นครับ ไอนี่มันสบายงานการมีไม่ทำเป็นพี่ว๊ากอย่างเดียว วัน ๆ คอยหลบหน้าน้อง ๆ และบำรุงเสียงของตัวเองให้ดี ส่วนไอไฮซ์หลังจากขึ้นปีสามมันก็ไปดีแล้วหละครับ ไม่ใช่ว่ามันเป็นอะไรไปแล้วแค่มันก็จรลีไปอยู่หอพักอีกฝั่งหนึ่งของมหาวิทยาลัยแล้วครับใกล้ ๆ คณะของมันนั่นหละ เรียนหมอมันหนักนี่นะถือว่ามันไปดีแต่ไม่ใช่ว่าไม่ได้ติดต่อกันหรอกนะครับไม่นานนี่เพิ่งชวนไปก๊งกันอยู่เลยแต่ไปโดยไม่มีไอกรนะ ถ้ามีไอกรวงแตกพี่ศิลากตัวมันกลับแน่นอน)ผมเดินไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมือดูปรากฏว่าเป็นข้อความจากพี่เตอร์นั่นเองเนื้อความก็ไม่มีอะไรมากเขาส่งมาเหมือนทุก ๆ วันและพาผมเลี่ยนทุก ๆ วันให้ตายเถอะบางครั้งหัดส่งอะไรที่เป็นผู้เป็นคนมากกว่านี้ได้ไหมไม่ใช่ส่งมาแบบ



‘เฮียเต๋อร์ : อรุณสวัสดิ์ครับ My little Princess เช้านี้ตื่นหรือยังเห็นว่ามีประชุมเรื่องกิจกรรมพี่เลยเมสเสจมาปลุกหวังว่า Princess ตัวน้อย ๆ ของพี่จะตื่นมารับอรุณในวันที่สดใจแบบนี้นะครับ’ แค่เห็นข้อความก็ขนลุกไปทั้งตัวแล้วครับแถมไม่ใช่แค่ข้อความเดียวยังมีอีกหลายข้อความเลยหละครับ ลองมาเป็นผมดูสิแล้วจะรู้เอง แล้วอย่าบอกด้วยนะว่าพี่เตอร์แกหล่อต่อให้ทำอะไรก็ไม่ผิด ผมบอกเลยว่าผิดพี่แกทำผิดมากเลย...แต่ผิดด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่รู้ เอาเป็นว่าผมรู้สึกหมั่นไส้แล้วกัน เมื่อผมอ่านข้อความทั้งหมดจบผมก็วางมือถือลงที่เดิมพลางจัดเนคไทค์ให้เข้าที่ก่อนจะเดินออกไปและเมื่อผมเดินผ่านกระจกก็ต้องคิดหนักอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้เป็นเรื่องของตัวผมเองแต่ไอคนที่ทำให้หนักใจคือคน ๆ เดิมคือไอกร สภาพผมแบบนี้โดนล้ออีกแน่ ยกตัวอย่างได้เลยเช่น ‘ไปเสริมหล่อให้พี่เตอร์หลงหรือไงแก’ ไม่ก็ ‘แค่นี้พี่เตอร์ก็หลงจะตายอยู่แล้วไม่ต้องไปทำตัวให้ดูดีขึ้นหรอก’ แต่จะให้บอกความจริงไปว่าพี่เตอร์นั่นหละที่พาผมไปขัดสีฉวีวัลก็กระไรอยู่ไม่พ้นเปลี่ยนเรื่องโดนล้อแน่ ๆ ทางไหนก็มีแต่เสียกับเสียทั้งนั้นเลย ผมยืนวุ่นวายกับตัวเองอยู่นานสองนานในที่สุดเพื่อนร่วมห้องของผมก็ทนไม่ไปไอบาสจึงปาหมอนใบเล็กเข้าที่หัวของผมเต็มแรง ดาวนี่ขึ้นเต็มหัวผมเลยครับ (ที่บอกไปว่าไอกรล้อ เอาจริง ๆ วันที่กลับมาจากไปซื้อมือถือไอบาสก็ล้อครับ ล้อหนักด้วยเพราะไอนี่มันรู้เรื่องหมดเลยที่พี่เตอร์แกทำอะไรบ้างผมเล่นหิ้วถุงเสื้อผ้ายี่ห้อดังหลายถุงแถมเสื้อผ้าหน้าผมที่ใส่อยู่ก็เปลี่ยนไปอย่างคนละคน เอาเป็นว่าวันนั้นผมโดนมันซักยันตีสี่ กว่าจะได้อาบน้ำนอนก็ตีห้าแถมต้องตื่นตอนสิบโมงไปรับเสื้อที่สั่งสกรีนไว้เพื่อเอามาแจกน้อง ๆ อีก บอกได้เลยสภาพสามสี่วันของผมนี่ซอมบี้ชัด ๆ แต่ทำไงได้ครับหน้าที่หนะครับหน้าที่) แต่จะไปว่ามันก็ไม่ได้นะครับผมดังทำเสียงจิ้จะดังจนรบกวนเวลานอนของมันไอนี่เวลานอนไม่พอมักจะหงุดหงิดด้วยหละครับ แต่เอาจริง ๆ พวกผมเวลานอนไม่พอก็จะหงุดหงิดทั้งกลุ่มนั่นหละ โดยเฉพาะไอกรแต่ดูเหมือนว่ามันจะปรับนิสัยไปแล้ว ผมเชื่อว่ามันเป็นผลของการมีพี่ศิเป็นแฟนชัวร์ร้อยล้านเปอร์เซน



หลังจากที่ผมจัดเสื้อผ้าหน้าผมใหม่หลังจากโดนไอบาสประทุษร้ายเสร็จผมก็เตรียมตัวออกไปข้างนอกโดยไม่ลืมที่จะหยิบอุปกรณ์ที่แสนสะดวกสบายอย่างโทรศัพท์มือถือไปด้วย พอถึงชั้นล่างผมก็ตรงไปที่มอเตอร์ไซค์คู่ใจที่อยู่กับผมมาตั้งแต่ปีหนึ่งและรีบขับบึ่งออกไปที่คณะทันที (แน่นอนว่าไม่ได้สวมหมวกกันนอค บอกเลยนะว่าอย่าทำตามนะครับ แต่นี่หยวน ๆ หน่อยน่านะ คณะกับหอผมมันอยู่ไม่ห่างกันเท่าไหร่ครับ หยวน ๆ หน่อยนะครับทุกคน) และเมื่อถึงคณะผมก็เดินไปที่ห้องสโมรทันที แต่ทว่าผมผู้ซึ่งที่เป็นคนนัดทุก ๆ คนมาในเวลา 7.30 กลับไม่เห็นหัวใครในห้องเลยสักคนแม้ตอนนี้เวลามันจะล่วงเลยไปถึง 8.10 นาทีแล้วก็ตาม ผมนี่ปวดหัวเลยครับ ไอเราก็รู้อยู่หรอกนะว่าเพื่อนเรามันไม่ใช่คนตื่นเช้าแต่ถ้าไม่รีบประชุมมันจะกินเข้าไปในคาบเรียนผมไม่อยากโดดเรียนหรอกนะ



ผมนั่งรอไปอีกสักพัก(สักพักใหญ่ ๆ ราว ๆ 20 นาทีเลยหละครับ นี่กัดฟันพูดเลยนะครับ)ก็ยังไม่เห็นเงาหัวเพื่อนเลยสักคนแม้แต่ตัวแทนแต่ละภาควิชาก็ยังไม่โผล่มาหาผม นิ้วทั้งสองข้างของผมถูกยกขึ้นมานวดบริเวณขมับ บางทีผมควรจะปลงแล้วใช่ไหมที่ทำงานร่วมกับพวกนอนตื่นสายเนี่ย การเป็นวิศวกรที่ดีควรจะตรงเวลาไม่ใช่เหรอไม่ใช่มาปล่อยให้คนอื่นรอแบบนี้ถึงนี่จะเป็นแค่เพื่อนแต่การปล่อยให้คนรอมันจะเป็นการติดนิดสัยได้ ถ้ามากันครบจะต้องอบรบกันยกใหญ่ซะแล้วสิ ในฐานะนิสิตดีเด่น (ที่ติ้งต่างเอาเอง) ว่าที่เกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทอง?



พอเวลาล่วงเลยไปเกือยจะเก้าโมงในที่สุดประตูห้องประชุมก็เปิดสักทีคนที่โผล่เข้ามาคนแรกคือไอกร พรีมและตัวแทนจากภาคต่าง ๆ ซึ่งทำหน้าหมาหงอยเหมือนนัดกันเอาไว้ เชื่อเลยว่าที่พวกมันมาช้ามันใช้เวลาอย่างน้อย 10 นาทีในการหาข้อแก้ตัวที่มันมาช้าให้ผมฟัง ผมเคาะโต๊ะหนึ่งทีเพื่อให้ทุกคนนั่งลง ก่อนจะหันเก้าอี้ (เก้าอี้เป็นแบบหมุนได้ครับ) ไปหาเจ้าเพื่อนตัวแสบเบอร์หนึ่งนั่นคือนายรณกร พลางส่งสายตาคาดคั้นถามหาเหตุผลที่มาสาย



“อย่ามองหน้ากันด้วยสายตาโหดร้ายแบบนั้นสิเจมส์เพื่อนรัก ที่เพื่อนกรมาสายก็เพราะว่า...” มันค้างแบบนั้นอยู่นานสายตามันหันไปมองพรีมที่นั่งข้าง ๆ และสักพักมันก็ทำท่าเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้จึงรีบพูดข้อแก้ตัวออกมาต่อทันที “พอดีไปรับพรีมแล้วรถมันติดหนะ ฮะ ๆ เข้าใจหน่อยนะเพื่อนก็รู้ ๆ ว่าถนนหน้ามหาลัยมันติดแล้วพรีมอยู่บ้านด้วย สัญญาว่าจะไปรับตั้งแต่เมื่อวันศุกร์หนะ” กรหาข้อแก้ตัวทันควันที่ทำเอาพรีมเพื่อนสาวสุดน่ารักของผมถึงกับอ้าปากค้าง ท่าทางเธอคงจะคิดไม่ถึงในข้อนี้แต่ดูเหมือนเพื่อนรักทั้งสองคนพยายามหาข้อแก้ตัวของตัวเองได้แล้วหละครับ



แต่คิดเหรอว่าคนอย่างผมจะเชื่อ...ฝันไปเถอะ เมื่อวันศุกร์ไอกรยังบอกอยู่เลยว่าจะไปเที่ยวกับพี่ศิไม่มีพูดสักแอะว่าจะไปรับพรีมถ้าจะตอแหลแนะนำให้ตอแหลให้เนียนหน่อยนะเพื่อน “ไม่เชื่อครับคุณเพื่อน วันศุกร์แกบอกว่าจะไปเที่ยวกับพี่ศิ ไม่มีพูดว่าจะมารับพรีมอะไรเลยเอาเป็นว่าแกเที่ยวเพลินแล้วตื่นสาย ข้อหาโกหก งดให้ยืมเลคเชอร์โซลิคสองหนึ่งคาบ” ผมพูดจนไอกรร้องโอดโอยใครใช้ให้มันโกหกหละครับ ดังนั้นต้องดัดนิสัยบ้าง หลังจากพูดจบผมปรายสายตามองไปที่พรีมเพื่อนสายสุดน่ารักที่พยายามหาข้ออ้างให้ตัวเองต่อ



เธอได้แต่ส่งรอยยิ้มแห้ง ๆ มาให้แล้วบอกความจริงออกมา “พอดีบ้านพรีมรถติดอันนี้พูดจริง ๆ นะเจมส์แล้วพรีมไม่กล้าขึ้นมาเพราะเห็นมันเลตมาสิบนาทีแล้วเลยรอเพื่อนคนอื่นหนะอย่าโกรธพรีมน้า” ผมพยักหน้าตอบรับในข้อแก้ตัวของพรีม ผมเชื่อเธอครับแต่แน่นอนว่าต้องมีการทำโทษเหมือนกัน “งั้นพรีม คอมโปรที่พรีมไม่เก่งแล้วเรียนอยู่เจมส์จะไม่ช่วยสอนให้ทำควิซผ่านนะแต่จะให้ยืมเลคเชอร์แล้วกัน” ครับพรีมนี่น้ำตาคลอไปแล้วแต่ยังดีกว่าไอกรหน่อยเพราะถ้ามันไม่ได้เลคเชอร์ของผมควิซรอบหน้ามันมั่วแน่ ๆ (คอมโปรพวกผมผ่านกันหมดแล้วในกลุ่มเหลือไม่กี่คนเท่านั้นหละครับที่ยังไม่ผ่านวิชานี้)



ผมไล่เค้นถามเหตุผลเพื่อน ๆ ทั้งหลายต่อไป หลาย ๆ คนคิดว่าที่ผมทำวางอำนาจแบบนี้จะมีคนไม่ชอบขี้หน้าผมหรือเปล่า ขอบอกเลยว่า ‘มี’ จะบอกว่าไม่มีก็เหมือนหลอกตัวเองเพราะผมเคยไปได้ยินพวกที่ไม่ชอบใจผมพูดนินทาได้ยินกับหูในขณะที่ผมทำธุระอยู่ในห้องน้ำครับ แต่ก็แค่การนินทาหละครับไม่มีพวกขี้อิจฉาเหมือนในละครที่ทำรายงานผมหายแล้วทำให้ผมต้องไปคุยกับอาจารย์ทำรายงานใหม่เกรดหายแบบนั้นไม่มีหรอกครับ เพื่อนในภาครู้จักผมดีเขาเข้าใจว่าผมจะเคร่งขรึมเวลางาน เวลาติวสอบเท่านั้นส่วนเวลาที่เหลือก็บ้าไม่แพ้พวกมันหรอก ซึ่งพวกภาควิชาอื่นไม่เคยเจอโหมดเล่นของผมเพราะมันจะเจอแต่เวลาผมทำงานนั่นหละครับทำให้เกิดการเข้าใจผิดในนิสัยจริง ๆ ของผมเข้า แต่ใช่ว่าผมจะสนใจ (ถึงบางทีจะแอบน้อยใจบ้างก็เถอะ)เอาเป็นว่าเราอบรบเทศนาเพื่อน ๆ ผมก่อนดีกว่า แต่บอกก่อนนะครับว่าพวกที่มาประชุมนี่รู้นิสัยจริง ๆ ของผมเลยไม่มีใครหงุดหงิดแล้วเดินออกไป เราประสานงานกันบ่อยครับแต่ที่คนอื่นไม่ชอบผมเพราะผมชอบไปสั่งเวลาพวกเขาทำงานคณะกัน



แต่ก่อนที่ผมจะได้ทันพูดเทศน์เพื่อน ๆ ต่อ เพื่อนตัวดีหรือไอคุณเพื่อนกรเจ้ากรรมก็ดันทักขึ้น มันเป็นสิ่งที่ผมคาดเอาไว้แล้วแต่ผมก็ไม่ได้หาข้อแก้ตัวเองไว้ด้วยครับ เอาเป็นว่าก้มหน้ารับชะตากรรมตัวเองไปก็แล้วกัน



“นี่เพื่อนเจมส์พอดีเห็นอะไรเปลี่ยนแปลงไปในตัวของแกหวะ” เหมือนประโยคนี้จะทำให้คนที่เหลือในห้องถอนหายใจโล่งอกกันขึ้นมาเพราะทุกคนรู้แล้วว่าไอกรมันต้องทำให้ผมหัวปั่นจนไม่อยากเทศน์อะไรอีก เพื่อน ๆ ทุกคนรู้หละครับผมแพ้ทางคนแบบไอกร และตัวผมเองก็รู้ตัวด้วยว่าผมแพ้ทางไอกรเหมือนที่ผมแพ้ทางคนอย่างพี่เตอร์ ทั้งสองคนนี้นิสัยคล้าย ๆ กันนะครับเป็นลูกคู่กันได้ดีเลยหละ เพราะบ้าพอกันไอกรออกแนวกวนตรีนมากกว่าส่วนพี่เตอร์นั่นพวกเก่งจนบ้าครับ แต่ผมบอกเลยว่าพี่เตอร์เป็นพวกถึงเนื้อถึงตัวมากกว่าไอกร ไอกรมันนี่ขี้อายครับ(ลองไปแกล้งหอมแก้มมันสิหน้าแดงไปสามสิบนาที แล้วทำไมผมรู้เหรอครับเพราะผมแอบไปแกล้งแล้ว ไม่ต้องมาหาว่าผมคิดอะไรกับมันเกินเพื่อนนะครับย้ำอย่ามโนนะครับ เพราะว่าทุกคนในกลุ่มต่างแกล้งมันหมดไม่เว้นแม้แต่พรีมหญิงเดี่ยวของกลุ่ม พวกผมทุกคนแกล้งมันอยู่แบบนั้นเป็นปีจนต้องยอมเลิกเมื่อพี่ศิกลายเป็นแฟนมันนั่นหละครับ พวกผมไม่อยากโดนฆ่าตายข้อหาลวนลามแฟนคนอื่นก่อนได้รับปริญญาเอาไปอวดพ่อ แม่ พี่ น้อง ปู่ ย่า ตา ยาย หรอกครับโอเคกันนะทุกคน )



“มีอะไรจะเปลี่ยนเรื่องเหรอไง เรื่องที่พวกมึงมาช้ากูยังบ่นไม่จบเลย” ผมพยายามทำขรึม มือพลางดึงเอกสารที่จะประชุมขึ้นมา แต่เพื่อนรักของผมไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือไปมันเท้าคางกับโต๊ะพลางยื่นหน้ามาทางผมพร้อมส่งรอยยิ้มกวนประสาทออกมา (แต่ท่าทางจะดูน่ารักในสายตาพี่ศิ ผมรู้สึกสงสารพี่ศินิดหน่อยที่ได้มันเป็นแฟนครับคงปวดหัวน่าดูที่มีแฟนนิสัยอย่างมัน)



“เสริมหล่อมาเหรอดูเหมือนว่าจะไปตัดผมแล้วทำสีผมมาด้วยหละสิ ทำก่อนไปเดทกับพี่เต๋อร์เหรอ” สิ้นประโยคปึกเอกสารในมือของผมนี่แทบจะปลิวไปใส่หัวไอกรเลยครับถ้ามันล้อผมในวงเพื่อนผมจะไม่ว่าแต่นี่มันมีเพื่อนต่างภาคอยู่ด้วย ภาพพจน์ของผมที่สั่งสมมามันจะหายหมดแต่ไม่ทำแล้วครับ ผมจะทำไงได้เมื่อทุกคนเริ่มอยากรู้อยากเห็นเรื่องของผมจนต่างพากันหันไปมองที่ไอกร พรีมเริ่มอมยิ้มมองหน้าผม ไอกรมันกลั้นขำแทบตายแล้วครับ ส่วนผมทำหน้านิ่งแม้ในใจนี่เหงื่อตกซิก ๆ แล้วก็ตาม



“แค่ตัดผมกับทำสีผมมาเองมีอะไรหรือไงไม่ผิดกฎมหาวิทยาลัยสักหน่อย หรือนิสิตไม่มีสิทธิทำสีผม” ใจดีสู้เสือครับใครจะไปยอมโดนไอกรต้อน ถ้ายอมโดนมันต้อนนี่ผมคงอับอายไปอีกสิบชาติ เพราะไอกรมันต้อนไล่หาความจริงไม่เก่งเท่าไหร่หรอกครับ มันอาศัยความกวนประสาทคอยแหย่ ๆ จนคน ๆ นั้นระเบิดออกมาแน่นอนว่ากับผมมันไม่เคยทำสำเร็จเลยสักครั้งและครั้งนี้ผมเชื่อมั่นว่าไอกรก็ไม่มีทางที่จะทำอะไรผมได้



“แต่เมื่อวันศุกร์ยังเห็นเซอร์ ๆ อยู่เลยนี่หว่า หรือแอบไปทำตอนกลางคืนเพราะอีกวันจะไปเดทครั้งแรกในชีวิต” เส้นความอดทนที่หนึ่งขาดไปหนึ่งเส้น ผิดหรือไงคนที่เกิดมา 20 ปีแล้วไม่เคยออกเดทกับใคร แล้วนี่ไม่ได้เดทด้วยซ้ำแค่ไปซื้อมือถือที่เสียก็เท่านั้นหละ ผมเลือกที่จะนิ่งเงียบไม่ตอบไอกรไปแต่มีหรือคนอย่างมันจะยอมหยุดแค่นี้ ถ้ามันหยุดคุณคิดผิดครับคนอย่างไอกร ไม่ได้กวนประสาทคนสักนาทีมันครั่นเนื้อครั่นตัว ไม่ได้กวนสิบนาทีเริ่มตัวร้อนมีอาการตัวรุ่ม ๆ เหมือนจะเป็นไข้ถ้าเกินชั่วโมงมันจะนอคเข้าไอซียูครับ



“แต่ก็จริงนะกับพี่เต๋อร์เป็นเดทครั้งแรกของมึงนี่หว่า แหมลืมถามไปเลยว่าไปด้วยสวยหรือเปล่าพี่เต๋อร์แกเทคแคร์ดีไหม เปิดประตูรถให้แกนั่งหรือเปล่า เห็นว่าพี่แกไปเทรนพับพี่ศิมาเลยนะเฮ้ย ถ้าดูแลไม่ดีมันเสื่อมเสียถึงพี่ศิของกูแย่” เอาเข้าไป...เอาเข้าไปมันยังไม่ยอมหยุดอีก ไอกรต่อให้มันเป็นเพื่อนของผมมานานแต่ถ้ามันไม่หยุดผมอาจจะฆ่ามันตายได้นะครับ ถึงทุกคนจะรู้แล้วว่าประธานรุ่นของคณะวิศวกรรมศาสตร์พ่วงตำแหน่งประธานชั้นปีจะโดนนิสิตแพทย์จีบอยู่แต่ไม่มีใครรู้ว่าผมยอมตกลงไปเที่ยวกับพี่แกครับ



หลังจากที่ไอกรพูดจบทุกคนหันมามองผมพร้อมทำตาลุกวาวอย่างพร้อมเพรียงกัน ส่วนพรีมกับไอกรที่รู้กันอยู่แล้วต่างพากันกลั้นเสียงหัวเราะกับสุดฤทธิ์ ผมนี่ไม่รู้จะทำหน้ายังไง ไม่รู้ว่าตอนนี้หน้าตัวเองกำลังแดงไหมด้วย



“แค่ไปซื้อมือถือไม่ใช่เดท เข้าใจใหม่ด้วย” ผมตอบไปพลางพยายามทำสีหน้าเงียบขรึมแต่ทำไม่ได้ครับ ตอนนี้ไอกรเข้ามาใกล้ ๆ ผมพร้อมเอานิ้วจิ้มแก้มผมรัว ๆ ไอนี่มันยังทำตัวกวนตรีนไม่เปลี่ยนไปตั้งแต่วันแรกที่พบมัน (วันที่ที่ผมเจอมันเหรอครับคือตอนม.1 ไอเด็กลูกครึ่งจีนนี่เข้ามาทักผมด้วยคำว่าไงจะสาวน้อย... นั่นหละครับความประทับใจครั้งแรกถึงผมจะรู้ก็เถอะว่าผมเหมือนเด็กผู้หญิงในตอนเด็ก ๆ แต่ในสภาพตอนนั้นผมอยู่ในชุดนีกเรียนชายนะครับถึงผมจะไม่ได้ตัดเกรียนแต่มองยังไงก็รู้ว่าเป็นเด็กผู้ชาย)



“แหม...ไปซื้อมือถือ แค่มือถือหรือไงวะแล้วที่ไอบาสมันโทรมาบอกตอนเที่ยงของเมื่อวานว่าพี่เต๋อร์แกซื้อของให้มรึงเยอะแยะนั่นคืออะไร ไม่ใช่ว่าผู้ชายซื้อให้คู่เดทของตัวเองเหรอวะ แถมมึงมาในลุคคุณหนูเปลี่ยนจากหน้าหมือนเป็นหลังตรีนมึงจะให้กูคิดยังไงถ้าไม่ใช่มรึงเปลี่ยนตัวเองให้เข้ากับพี่เต๋อร์แก” หมดคำพูดจะอธิบาย เอาให้มันเข้าใจของมันเองแล้วกันผมไม่อยากคตุยกับมันแล้ว พอ ๆ เปลี่ยนเรื่องเถอะครับ



“ช่างมันเดี๋ยวแจกรายละเอียดเกี่ยวกับกิจกรรมรับน้องส่วนสุดท้าย เฟรชชี่ไนท์...” ผมพยายามดึงเข้าเรื่องงานแต่ไอกรไม่ยอมอยู่ดี แน่นอนว่าคนทั้วงห้องประชุมก็ไม่ยอมครับนี่มันจะเล่นผมให้ได้เลยใช่ไหมหรือว่ามันสั่งสมความแค้นมาตั้งแต่เมื่อปีก่อนตอนที่ผมเล่นมันเรื่องพี่ศิกัน



“ตอบมาก่อนดิวะ ถ้าไม่ตอบไม่ยอมให้เปลี่ยนเรื่องแน่นอนหวะคุณเพื่อนเจมส์” ไอกรยืนกราน เพื่อนทุกคนต่างพากันจ้องมาที่ผม นี่ผมต้องยอมแพ้มันแล้วใช่ไหมเนี่ย ให้ตายเถอะไม่อยากยอมมันเลยจริง ๆ แต่ถ้าไม่ยอมงานไม่คืบหน้า เฮ้อไอเพื่อนคนนี้ชอบทำให้ปวดหัวจริง ๆ



“เออพี่เตอร์เลี้ยงข้าว พาไปซื้อของ แล้วตัดผมทำสีผมใหม่ด้วย พอใจไหมถ้าพอใจ ทีกับมึงพี่ศิพาไปที่นั่นที่นี่ที่โน่น พาไปทะเลกันสองคนยังกูยังไม่ล้อมรึงเลย แล้วมึงจะมาล้ออะไรกูกับพี่เตอร์ครับ และที่สำคัญกูยังไม่ได้เป็นอะไรกับพี่เขาเลยสักนิด มรึงนี่เป็นผัวเป็นเมียกับพี่ศิไปแล้วมั้ง” จบกันความเงียบขรึมเป็นผู้นำที่สั่งสมมาของผมมันหมดลงเพราะไอกรและพี่เตอร์นี่หละครับ ไม่ใช่ว่าผมสวนกลับไม่เป็นนะครับผมสวนกลับเป็นแล้วเป็นไงหละไอกร มานั่งหน้าแดงเพราะโดนผมพูดความจริงที่มันแอบไปทะเลกับพี่ศิสองคนหลายต่อหลายครั้งเป็นไงเข้าใจความรู้สึกโดนต้อนยัง นี่ยังดีที่ผมไม่ได้พูดไปถึงตอนเห็นมันแอบจูบกับพี่ศิในห้องครัวตอนที่พวกผมไปติวหนังสือสอบปลายภาคกันนะครับ อย่าให้แฉถ้าผมแฉมัน สามวันก็แฉไม่จบ



“เฮ้ยไม่ลากเรื่องของกูไปเอี่ยวดิวะ นี่มันเรื่องของมึง” ตอนนี้ทุกสายตาของผมเริ่มเปลี่ยนไปมองไอกรแล้วหละครับ ทุกคนรู้ว่าพี่ศิกับมันคบกัน (คู่รักแห่งปีนี่ไม่มีใครไม่รู้หรอกว่าสองคนนี้คบกัน ไอกรมันออกจะเปิดเผยแถมเปิดเผยมากขนาดหวงพี่ศิออกนอกหน้า เอาแต่ใจเป็นที่สุด แถมขี้หึงด้วยบางวันมันหวงขนาดไปนั่งรอเฝ้าที่ห้องพักนักศึกษาแพทย์เลยครับ (ที่รู้เพราะผม ไอบาสหรือไม่ก็เพื่อนอนคนอื่น ๆ ในกลุ่ม โดนมันลากไปนั่งเฝ้าด้วย ทำไงได้แฟนมันหล่อ หัวดีไม่มีใครไม่ชอบหรอกครับ แต่ไม่รู้ทำไมพี่ศิถึงมาชอบไอเพื่อนเวรคนนี้ของผมได้เสียดายพี่ศิชะมัดนี่ถ้าผมมีน้องสาวผมยุให้ไปแย่งพี่ศิจากไอกรมันมาแล้วนะเนี่ย) เพราะบางวันมันรู้ว่ามีเด็กปีหนึ่งปีสองมาแอบเนียนส่องแฟนมัน



“เรื่องของกูคือเรื่องของกูไง แล้วมึงมายุ่งอะไรเรื่องของกูครับ” ผมสวนกลับไปมันได้แต่กัดฟันไม่พอใจ ผมว่าก่อนที่มันจะเป็นรายการแฉเพื่อนกับแฟนไปมากว่านี้ เรามาปิดประเด็นกันเถอะครับเข้าเรื่องประชุมกันเถอะก่อนที่มันจะเสียเวลาและประชุมจนต้องกินคาบเรียนไปมากกว่านี้



“พอเถอะประชุม ทำงานเลิกคุย แต่ไอกรมึงกับกูมีเรื่องต้องเคลียร์กันอีกเยอะ” ผมหมายหัวมันไว้ก่อนจะเปิดเอกสารเพื่อเริ่มประชุม



....................



“หัวข้อที่เราจะประชุมว่าโดยเรื่องเฟรชชี่ไนท์อย่างที่พูดไปก่อนหน้านี้ มีใครจะเสนอตีมอะไรไหมตอนนี้ตีมยังไม่แน่นอน” ผมเริ่มเปิดประเด็นงาน ทำไมผมถึงรีบประชุมหนะเหรอนั่นก็เป็นเพราะตีมของงานยังไม่มีเลยหนะสิ ที่สำคัญถ้าปล่อยเวลาไปมากกว่านี้จะทำให้เตรียมงานไม่ทันเอาได้



“นี่ ๆ เอาตีมนี้ไงเจ้าชายกับเจ้าหญิง ยังไงก็ต้องประกวดดาวเดือนคณะอยู่แล้วให้ทุกคนเป้นเจ้าชายเจ้าหญิงไปเลย” ไอกรเสนอแน่นอนว่าผมขว้างปากกาใส่หัวมันทันที ไอบ้าเจ้าหญิงเจ้าชายประสาทแล้วคนที่เด่นคือเด็กที่ถูกส่งตัวเข้าประกวดแล้วจะทำให้ทุกคนเด่นกันหมดทำบ้าอะไรวะครับ



“แต่เมื่อกี๋ไม่มีใครพูดอะไรออกมาใช่ไหมสงสัยหูแว่วไปเองเอาเถอะเราประชุมกันต่อดีกว่า มีใครมีความคิดดี ๆ อยากจะเสนอไหม” ผมทำหูทวนลมไม่สนใจในสิ่งที่มันพูดแน่นอนว่าไอกรมันร้องโอดโอยด้วยความเจ็บจากการถูกปากกาปาใส่หน้าผากของมัน พ่วงด้วยบ่นพึมพำว่าจะเอาไปฟ้องพี่ศิ ไปฟ้องเลยไอคนติดแฟนมีอะไรก็ฟ้องแฟนตลอดแต่คิดเหรอว่าผมจะกลัว...บอกเลยว่า ครับผมกลัวพี่ศิแต่ไม่ใช่ลุคที่พี่แกโอ๋ไอกรแต่เป็นโหมดจริงจังต่างหาก



“เจมส์ ๆ พรีมว่าเอาเป็นตีนคนโสด/ไม่โสดดีไหมแบบว่า คนโสดใส่เสื้อสีแดงคนไม่โสดใส่สีขาวอะไรแบบนี้อ่ะพรีมว่าน่าจะเหมานะ ดูง่าย ๆ ด้วย ส่วนอะไรอลังการค่อยไปจัดตอนบายเนียร์ดีไหม” ความคิดของพรีมเข้าท่ามากเลยครับแน่นอนว่าผมเห็นด้วยกับความเห็นนี้เหลือแต่พวกเพื่อน ๆ แล้วหละว่าต้องการแบบไหน ผมนั่งนิ่งให้ทุกคนเสนอความคิดเห็นออกมาอีกแต่ดูท่าทางแล้วไม่มีความคิดเห็นอะไรที่เข้าท่ามากกว่าพรีมเลย เพราะบางความคิดเห็นใช้งบมากเกินไป บางความคิดเห็นดีแต่ต้องใช้เวลาเตรียมการมากกว่านี้ไหมน้อง ๆ พื่ ๆ ต้องเลือกเสื้อผ้ามาเข้าร่วมงานกันอีก ผมไม่อยากให้น้อง ๆ พลาดการเข้าร่วมงานแรกในฐานะเฟรชชี่หรอกนะครับ (ต่อให้ซิ่วก็ตามแต่การเป็นเฟรชชี่หนะมันมีแค่หนเดียวถ้าผ่านรอบสองแล้วมันก็ไม่ใช่แล้วหละครับ)



“งั้นเอาเป็นว่าข้อเสนอที่ดีที่สุดจะเป็นข้อเสนอของพรีมนะทุกคนมีอะไรขัดแย้งไหม” ผมสอบถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจและทุกคนไม่มีใครคัดค้านแต่ดันมีเสียงอันแสนกวนประสาทจะคน ๆ เดิมดังแทรกขึ้นมา “แล้วเพื่อนเจมส์จะสวมเสื้อสีอะไรดีครับเสื้อของคนโสดหรือไม่โสด” แน่นอนว่าจบประโยคปากกาใกล้มือของผมก็ถูกปาไปที่หัวของไอกรอีกครั้งและแน่นอนว่ามันแม่นอย่างกับจับวาง เข้ากลางหน้าผากแผลเดิมกับที่โดนไปก่อนหน้านี้เปะ



“ไม่มีใครแย้งอะไรแล้วใช่ไหมงั้นขอเริ่มแจกแจงงานแล้วกันนะ ใครอยากทำหน้าที่อะไรบ้าง อย่างแรกเรื่องติดต่อกับอาจารย์ สองก็เรื่องเตรียมสถานที่ อย่างที่สามคือติดต่อกับน้องปีหนึ่งปีสองแล้วพี่ปีสี่ อย่างที่สี่คืองบประมาณเรื่องนี้ทางภาคโยธาจะคุมเองเพราะ เหรัญญิกคณะอยู่ภาคเรา อย่างที่ห้าคงต้องช่วยกันหละนะเรื่องดูแลความเรียบร้อยภายในงาน อย่างที่หก...ทุกคนคงรู้กันอยู่แล้วอย่าให้อาจารย์รู้แล้วกันถ้าได้เรื่องแล้วเอาเงินมาเบิกที่ภาคโยธาแล้วกัน เอาหละภาคไหนจะรับหน้าที่อะไรบ้าง” ผมแจกแจงรายละเอียดงานทั้งหมดให้ทุกคนฟังมือข้างหนึ่งถือปากกาที่ไปเก็บมาแล้วขึ้นมาจดบันทึกสิ่งที่ได้ประชุมไปทั้งหมด เอาตรง ๆ ไหมครับการที่ผมได้รับหน้าที่อันแสนจะทรงเกียรตินี่ผมไม่ได้อยากได้เลยสักนิดเดียวเพราะมันวุ่นวายมากแล้วผมก็แทบจะไม่มีเวลาอ่านหนังสือเลยช่วงนี้ นี่ทุกคนเห็นว่าที่บ้านสปอยด์ผมขนาดนั้น แต่จริง ๆ ท่านเข้มงวดเรื่องผลการเรียนมากเลยนะครับ นี่ไม่อยากจะคิดว่าการเป็นประธานสโมรแล้วทำให้เกรดตกผมจะตายสภาพไหน แล้วทำไมคิดว่าคนที่(เหมือนจะ)หัวดีอย่างผมถึงกลัว จริง ๆ แล้วผมไม่ได้หัวดีสักนิดอาศัยอ่านมาก ๆ เอาเท่านั้นหละครับแล้วนี่ไม่ได้อ่านหละตายกับตายดีนะที่ควิซคาบต่อไปผมอ่านเรียบร้อยแล้วถ้าไม่อ่านนี่ไม่รู้เลยว่าตัวเองจะเอาความรู้ที่ไหนไปเขียนตอบ



ในขณะที่ผมนั่งจดรายละเอียดทั้งหมดลงสมุดประชุมพลันเสียงโทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้น ผมหยิบมันขึ้นมาดูก่อนจะพบว่าเบอร์ที่โทรมานั้นเป็นเบอร์ของพี่เตอร์ (ผมเมมชื่อพี่เตอร์ไว้วว่าเฮียเตอร์ครับ เข้าใจง่ายดีดูสนิทกันดีด้วยแต่ผมไม่ได้เรียกเขาว่าเฮียหรอกนะ) ผมจิ้ปากเล็กน้อยแสดงท่าทีไม่พอใจแต่ก็ยอมกดรับโทรศัพท์เพื่ออีกฝ่ายมีอะไรสำคัญผมจะได้ไม่พลาดอะไร




ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0



“สวัสดีครับมีอะไรเหรอครับ” ผมพยายามที่จะเลี่ยงการพูดถึงชื่อพี่เตอร์เพราะผมไม่อยากให้ใครรู้หนะสิว่าคนที่โทรมาหาผมตอนนี้คือคนที่เพิ่งมีประเด็นในวงสนทนาเมื่อสักครู่นี้ ซึ่งปลายสายก็แสดงความน้อยใจในการพูดที่ห่างเหินของผม (ปกติผมจะพูดสนิทสนมกับพี่แกมากกว่านี้) แต่ตอนนี้สถานการณ์แบบนี้ให้ตายเถอะครับถ้าผมพูดชื่อพี่เตอร์ออกไป ไอกรมันพร้อมที่จะขย้ำหัวผมแล้วล้อผมเอาได้ง่าย ๆ แน่นอน เรื่องอะไรจะยอมมันหละ



‘ทำไมน้องเจมส์ถึงเย็นช้ากับพี่อย่างงี้หละครับเมื่อวานซืนเราเพิ่งไปเดทกันมาเองนะครับ’นี่ถ้าไม่คิดว่ากำลังทำตัวปกติไม่ให้ไอกรจับได้อยู่ ป่านนี้ผมว่ากลับไปแล้วนะ



“ก็เปล่านี่ครับมีธุระอะไรงั้นเหรอครับ” ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่สุดภาพสุด ๆ แตกต่างจากความเป็นจริงของตัวผมโดยสิ้นเชิง คราวนี้พี่เตอร์ก็งงสิครับ งงไปเถอะแต่อย่าเผลอทำอะไรให้ผมหลุดพูดชื่อพี่เตอร์แกออกไปแล้วกันถ้าไม่งั้นพี่เตอร์ตายแน่นอน



‘น้องเจมส์เย็นชาอ่ะ นี่ไม่ใช่เจ้าหญิงตัวน้อยของพี่ เจ้าหญิงของพี่ต้องโวยวายมากกว่านี้ ดุมากกว่านี้นี่มันสุภาพไปไม่ใช่น้องเจมส์เอาน้องเจมส์ตัวจริงคืนมานะครับ’ บางครั้งควรถามว่าพี่เตอร์ยังสติดีอยู่ไหมเบอร์นี้เบอร์ใครแล้วใครมันเป็นคนรับถ้าไม่ใช่เจ้าของเครื่องวะครับ ต่อให้เจ้าของเครื่องไม่ได้รับแต่เสียงก็น่าจะเดาถูก เส้นเลือดเส้นที่หนึ่งเริ่มปูดขึ้นบนหัวของผม



“เปล่านี่ครับแล้วสรุปว่ามีธุระอะไรเหรอครับ ถ้าไม่มีอะไรผมขอตัวก่อนพอดีมีกำลังประชุมอยู่ ไว้นึกธรุได้ค่อยโทรมาใหม่นะครับ” ผมพยายามกล่าวตัดบทสนทนา แน่นอนว่าเสียงร้องโวยวายของพี่เตอร์ดังมาตามสายดีนะที่ผมเบาเสียไว้ไม่งั้นหูแตกแน่นอน
‘ไม่นะน้องเจมส์พี่แค่อยากจะบอกว่า พี่คิดถึงน้องเจมส์ครับคิดถึงมาก ๆ สองวันมานี่ยังไม่ได้เจอหน้าน้องเจมส์เลยเย็นนี้มาหาพี่ที่คณะได้ไหมครับ กรก็จะมาหาศิมันด้วยนะครับ นะ ๆๆๆ’ ลูกอ้อนที่น่าขนลุกให้ตายเถอะใครมันจะไปกันเล่า! ให้ไอกรไปหาสามีมันคนเดียวเถอะครับ



“ขอปฏิเสธครับ...ไม่มีธุระอะไรแล้วใช่ไหมครับขอวางก่อนแล้วกันกำลังประชุมงานอยู่จริง ๆ ครับไว้ว่างจะโทรกลับนะครับ” ผมพูดพร้อมกดวางสายทันที โดยไม่คิดที่จะให้พี่เตอร์พูดสวนกลับอะไรมาเลย เฮ้อ...อย่างน้อยก็โล่งไปหน่อยไม่งั้นได้ปวดหัวอีกแน่นอน แต่ก่อนที่ผมจะได้โล่งใจจริง ๆ เสียงโทรศัพท์ของไอกรก็ดังขึ้นทำไมรู้เหรอครับก็เสียงเรียกของของมันเป็นเสียงพี่ศิร้องเพลงให้มันไงหละครับ (เพราะเสียด้วยไม่รู้ไปแอบซ้อมตอนไหน) ตอนแรกผมก็คิดว่าพี่ศิโทรมาหามันแต่ไม่ใช่ครับคนที่โทรมาคือพี่เตอร์ไงหละครับ....ตกใจใช่ไหมหละ...ตอบได้คำเดียวว่าตกใจมาก...



“ฮัลโหล พี่เต๋อร์มีอะไรเหรอครับ” ไอกรเริ่มเปิดบทสนทนากับพี่เตอร์ ซึ่งตอนนี้รอยยิ้มกวนประสาทระบายเต็มใบหน้ามันเลยครับ ส่วนผมนี่ปวดหัวสุด ๆ รู้เลยหลังจากมันวางโทรศัพท์ความซวยมันจะตกมาอยู่ที่ผมแน่นอน ตอนนี้ถ้าขอหนีออกจากห้องจะทันไหม หรือว่าไม่ทันแล้ว ผมมองไอกรที่คุยไปหัวเราะไปบางทีมันก็เหลือบมองมาที่ผมจนผมต้องแอบหลบสายตามันเป็นระยะ ๆ ในที่สุดเวลาผ่านไปอย่างเปล่า ๆ ปรี้ ๆ สิบนาที ไอกรถึงได้ฤกษ์วางสายสักที คราวนี้มันสีหน้าบันเทิงสุด ๆ เลยหละครับ ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้ว่ามันคุยอะไรแต่ได้ยินไม่ครบ แต่รู้ว่ามันรับปากพี่เตอร์แล้วว่าเย็นนี้มันจะลากผมไปที่คณะแพทย์ให้ได้ บางทีก็ถามความสมัครใจคนอื่นบ้างก็ได้นะเฮ้ย



“แหมเพื่อนเจมส์ เดี๋ยวนี้หัดปิดบังเพื่อน เมื่อกี๋พี่เต๋อร์โทรมาก็ทำเป็นเย็นชาใส่จนพี่แกต้องโทรมาหากูเพื่อคุยว่ามึงโกรธอะไรเขาหรือเปล่า ทีหลังใจดีกับแฟนหน่อยก็ดีนะมึง” จบกันชีวิตผมไม่มีอะไรจะพังไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว เอาเอามือกุมหัวตัวเองไว้ก่อนจะทำสีหน้าปลงตกแต่...ประโยคสุดท้ายไอกรมันพูดอะไรนะ...แฟนงั้นเหรอใช่แฟนที่ไหนกันเล่า! คนเขาแค่ยอมให้ตามจีบเท่านั้นเอง



“กูยังไม่มีแฟน...พูดผิดพูดใหม่ได้นะเพื่อน” ผมนี่ยืนเท้าแขนมองไอกรเลยครับ ส่วนไอกรยิ้มอย่างผู้มีชัยท่าทางมันจะได้ข้อมูลอะไรมาจากพี่เตอร์เยอะแน่นอน แล้วคราวนี้ผมจะสู้มันไหวไหมเนี่ยแอบปาดเหงื่อสักหน่อยจะได้ไหมวะเนี่ยตอนนี้



“เหรอ...ไม่มีแฟนแต่เอะ ๆ ...มือถือนั่นคุ้น ๆ นะทั้งเคสทั้งเครื่องเลยเหมือนของใครบางคน มือถือคู่เหรอวะเพื่อน” ผมนี่สะอึกเลยครับ แสดงว่ามันรู้แล้วว่าพี่เตอร์เลือกมือถือและเคสเพื่อที่จะทำให้ดูเหมือนว่าผมใช่คู่กับพี่แก ให้ตายเถอะพี่เตอร์จะเป็นตัวป่วนอะไรนักหนากันนะมันน่าหงุดหงิดจริง ๆ



“แค่บังเอิญเหมือนกันเท่านั้นเอง” ผมพูดตอบปัด ๆ ไปแต่ไอคนที่คุยด้วยเหมือนจะไม่อยากตัดจบบทสนทนามันยิ้มกวนอีกครั้งก่อนจะขยับเก้าอี้มานั่งกอดคอผมเลยครับคราวนี้



“เพื่อนเจมส์ครับเพื่อนกรขอดูมือถือหน่อยได้ไหมครับส่งมาให้หน่อยได้ไหมเอ่ย” ไอกรมันขอดูโทรศัพท์ผมแน่นอนว่าเพื่อความบริสุทธิใจผมจึงส่งมือถือให้มันไปและไม่รู้ว่ามันทำอะไรกับมือถือเครื่องใหม่ของผมอยู่สี่ห้าวินาที ในที่สุดมันก็ส่งคืนมาให้ผมครับ แน่นอนว่าได้คืนมาผมต้องกดตรวจดูทันทีว่ามันไปทำอะไรแผลง ๆ อะไรไว้หรือเปล่าและเมื่อกดเชคดูก็เจอเลยครับเต็มหน้าจอเลยครับ



ผมไม่รู้ว่าภาพ ๆ นี้ผมโดนแอบถ่ายเมื่อไหร่แต่รู้ว่าไอกรมันตั้งเป็นภาพหน้าจอเรียบร้อยแล้วครับผมนี่ปวดหัวเลยเพราะภาพนี้เป็นภาพตอนที่ผมเปลี่ยนลุคเรียบร้อยแล้ว ผมเพิ่งเปลี่ยนได้แค่สองวันเท่านั้นนะครับแต่ทำไมพี่เตอร์ถึงได้ส่งรูปที่ผมนั่งเหม่อมาให้ได้นี่แถมเพิ่งโดนถ่ายหมาด ๆ เมื่อเช้านี่เลยเพราะผมใส่ชุดนักศึกษา บางทีผมควรสงสัยว่าพี่เตอร์มีสองคนหรือเปล่าแบบว่าคนหนึ่งอยู่คณะแพทย์อีกคนหนึ่งอยู่คณะวิศวะอะไรแบบนั้น ไอผมตกใจก็ตกใจอยู่หรอกครับแต่ก็มันก็ไม่ใช่ภาพที่น่าเกลียดอะไรจนกระทั่งไลน์ของผมเด้งและภาพที่สองโผล่ขึ้นมา



ภาพนั้นเป็นภาพที่แต่งแล้วซึ่งเป็นภาพ ๆ นั้นหละแต่ถูกตัดไปวางคู่กับรูปของพี่เตอร์เป็นหันหลังชนกันแล้วมีหัวใจวงรอบเท่านั้นหละครับ บันเทิงเลยทีนี้ชีวิตผม ผมรีบกดโทรศัพท์มือถือออกไปหาพี่เตอร์รัว ๆ เลยครับแต่ดูเหมือนพี่เตอร์จะปิดเครื่องนี้ไปแล้ว ไม่สิปิดเครื่องเพราะกำลังเรียนอยู่ (พี่เตอร์เวลาเรียนแกก็เคร่งขรึมมากครับมักจะปิดเครื่องตลอดเวลาไม่ก็ตั้งระบบแอร์เพลนโหมดเอาไว้ไม่ให้คนอื่นโทรเข้าหรือรบกวนได้ครับ) ทีนี่ผมอยากจะบุกไปที่คณะแพทยศาสตร์ทันทีเลยครับอยากจะไปลบภาพนั้นออกจากมือถือพี่เตอร์ก่อนที่พี่แกจะเอาไปให้ใครดู



แต่งภาพซะสวยเชียวจะสวยกว่านี้ถ้าไม่มีภาพพี่เตอร์ตัดต่อประกบข้างหลังผมนี่กำโทรศัพท์แน่นส่วนไอกรเอามือตบบ่าผมเบา ๆ พลางยิ้มเยาะ ส่วนคนอื่นนี่ มองมาที่ผมด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นผมนี่อยากจะร้องไห้เลยหละครับแต่หลังจากที่ผมตั้งสติได้ไอกรก็ใช้คำพูดดึงสติของผมให้หลุดลอยไปไกลอีกครั้ง “เออลืมบอกหวะ พี่เตอร์แกเอารูปไปอวดทุกคนในกลุ่มนิสิตแพทย์ปีหกหมดแล้วตอนนี้คงคิดไปแล้วมั้งว่าเป็นแฟนกัน อ่อพี่แกตั้งเป็นโคฟเวอร์เฟซบุคด้วยนะ เห็นมาอ้อนวอนให้พี่ศิช่วยถ่ายรูปกับแต่งภาพให้ แล้วกว่าจะถ่ายรูปนี้ได้ใช้เวลาตั้งนาน”ผมนี่หัวเราะตาลอยเลยครับคราวนี้ผมรู้แล้วหละครับว่าทำไมทุกคนถึงมาสาย นั่นก็เป็นเพราะว่าพวกมันซุมกันถ่ายรูปผมอยู่กันนี่เอง ท่าทางอยากจะตายกันมากเลยสินะไอพวกนี้



“นี่ที่พวกมึงมาช้าเพราะแอบถ่ายรูปกูเหรอวะ...นี่ให้กูรอเป็นชั่วโมงเพราะเรื่องรูปนี่อะนะ...” ผมเริ่มแผ่ออร่าทะมึนใส่เพื่อนแต่ละคนซึ่งทุกคนส่งรอยยิ้มรู้สึกผิดมาให้ บางทีหลังจากนี้กไปชีวิตของผมควรไม่เชื่อใจใครอีก...แม้กระทั่งเพื่อนก็ตาม คนที่เชื่อใจได้มีแต่ตัวเองเท่านั้นหละ คนอื่นช่างหัวมัน



บอกตรง ๆ เลยว่าผมนี่หัวร้อนเลยครับ เอกสารรายละเอียดต่าง ๆ รีบแยกให้แต่ละภาคดูแล ตอนนี้เพื่อนทุกคนน่าจะรู้แล้วหละครับว่าผมกำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่ ผมพยายามรีบทำทุกอย่างให้เสร็จไว้ที่สุด และอยากให้เวลาเร่งตามเพื่อที่ผมจะได้บุกไปที่คณะแพทย์แล้วลากคอไอคนที่ทำให้คนอื่นเข้าใจผมผิดว่าผมคบกับเดือนนิสิตแพทย์ปีที่หกมากระทืบให้ตายจริง ๆ ครับและหลังจากที่พวกเราทุกคนประชุมเสร็จผมก็รีบสาวเท้าวิ่งไปเข้าเรียนในวิชาที่กำลังจะถึงอย่างรวดเร็วเลยครับ



………………..



หลังจากที่ทุกคนฟังเรื่องราวของเจ้าหญิงตัวน้อยของผมไปแล้วคราวนี้ถึงหน้าที่ของนายกลอสเตอร์คนนี้แล้วหละครับ บอกตรง ๆ นะครับไม่คิดว่าจะได้ออกมาพูดคุยแบบนี้กับทุกคนเลย ดีใจเป็นที่สุดครับเอาเป็นว่าผมขอเล่าย้อนไปเรื่องเกี่ยวกับที่ผมไดไปเดทกับ เจ้าหญิงของผมแล้วกันนะครับ อ้าวไม่เอาเหรอมันยาวไป งั้นเอาสั้น ๆ แล้วกันนะครับคงพูดเกี่ยวกับหลังจากที่ผมแอบจูบหน้าผากของน้องเจมส์แล้วกันนะครับ สาบานว่าตอนที่ผมทำแบบนั้นผมไม่รูสึกตัวหรอกครับรู้แต่ว่าอยากสัมผัสคน ๆ นี้เลยเผลอจูบไปแต่พอรู้สึกตัวผมกเขินมากเลยนะครับในตอนที่ขับรถกลับนี่ต้องหยุดจอดเพื่อให้หัวใจหายเต้นแรงเลยหละครับ พอกลับไปถึงหอก็นอนหลับฝันดีสุด ๆ จนแทบจะตื่นไปเข้าวอร์ดในวันรุ่งขึ้นสายเลยหละครับ แต่ทำยังไงได้หละครับคนมันอิ่มอกอิ่มใจเลยหลับลึกไปหน่อย



พอวันรุ่งขึ้นผมกเข้าไปเล่าเรื่องราวความน่ารักของน้องเจมส์ให้เพื่อนรักทั้งสองคนของผมฟังไอวิฟังดวยนำเสียงตื่นเต้นทำอย่ากับว่าเรื่องราวของผมเป็นนิยายรักหวานแหว๋วโรแมนติกที่เจ้าชายไปแอบพาเจ้าหญิงออกมาเที่ยงแล้วจับเปลี่ยนเสื้อผ้ากันคนจับได้ส่วนไอศิรายนี้ทำหน้านิ่งครับ แต่มันคงพอใจเอาเรื่องหละครับมันถึงไม่ได้บ่นอะไรออกมาแบบนี้ คงสงสัยหละสิว่าทำไมไอศิมันจะบ่น



ผมไม่เคยบอกใช่ไหมครับว่าผมไม่เคยมีแฟนมาก่อนและน้องเจมส์เป็นคนแรกที่ผมจีบคิดว่าคนหล่อ ๆ อย่างผมเหลือรอดมาได้ยังไงใช่ไหมหละบอกเลยว่ารอดมาถึงทุกวันนี้หละครับแถมเวอร์จิ้นด้วยบอกตรง ๆ แบบไม่ปิดบังผมยอมเสียซิงครั้งแรกให้คนที่ผมรักสุดหัวใจมาตั้งแต่เด็กครับแน่นอนว่าคน ๆ นั้นคือนองเจมส์แม้ตอนแรกผมจะตกใจมาก ๆ ที่คนที่ผมรอคอยมาอย่างยาวนานจะเป็นผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิงแต่ผมไม่สนครับ เพราะผมรักในตัวตนของเขาถึงเขาจะไม่รักผมก็ตามแถมดูเหมือนจะลืมเรื่องของเราทั้งสองคนหมดเลยซะด้วยถามว่าเจ็บไหมขอตอบเลยว่ามากแต่อดีตก็คืออดีตครับตอนนี้ผมสร้างความทรงจำดี ๆ ดีกว่า นิสัยผมยังคงเส้นคงวาเหมือนอดีตแต่น้องเจมส์สิที่เปลี่ยนไปตอนนี้ทั้งดุทั้งดื้อ…แต่ก็ยังน่ารัก นี่จะบอกว่าผมตาบอดเหรอ ยอมรับไม่ได้ครับน้องเจมส์น่ารักจริง ๆ นะผมบอกก่อนเลย



เอาเถอะก่อนเรื่องจะเลยเถิดไปมากกว่านี้เอาเป็นว่าที่ไอศิไม่บ่นก็เพราะผมทำตามที่มันเทรนมาอย่างดีเทคแคร์ทุกระเบียบนิ้วครับถึงจะแอบหลุดไปบ้างก็เถอะนะแต่ก็ถือว่าไม่ได้เลวร้ายแถมผมทำเกินที่มันสอนอีก ไอศิบอกว่าเวลามันพาน้องกรไปเที่ยวมันจะเป็นคนให้กรเลือกทานอาหารที่ชอบเองทั้งหมด แต่จากที่มันวิเคราะห์มันคิดว่าน้องเจมส์ชอบตามใจคนอื่นมากกว่าตามใจตัวเองดังนั้นเลือกร้านอาหารที่จะพาไปทานหน่อยก็ดี แต่รู้สึกจะผิดคาดไปหน่อยเพราะว่าน้องเจมส์เดินดุ่มเข้าร้านอาหารแบบไม่ถามความเห็นผมท่าทางจะหิวข้าวมากจริง ๆ แต่ดูท่าผมจะช้าเวลาในรถมากเกินไปทำให้น้องเจมส์ปวดหัวผมนี่แทบวิ่งไปร้านขายยาเลยครับแต่ดีที่นองพกยาประจำตัวมาด้วยเลยแก้ไขได้ทันหลังจากนั้นเราก็นั่งทานอาหารอย่างมีความสุขกัน อ่ายิ่งคิดถึงยิ่งรู้สึกมีความสุข ต่อใหผมรักเดียวใจเดียวแต่ก็แอบคิดว่าชาตินี้อาจจะไม่ได้เจอเธอคนนั้นอีกแล้วแต่นี่ได้เจอเลยมีความสุขมาก ๆ จนอดทนไว้ไม่อยู่เลยหละครับ หลังจากการเดทครั้งแรกของผมกับน้องเจมส์จบลงผมก็รอคอยเวลาที่จะได้พบกับน้องเขาอีกครั้งโดยผมตัดสินใจโทรศัพท์ไปหาน้องเจมส์เพื่อขอให้เขามาหาที่คณะเพราะผมไม่ว่างไปหาเขาได้แต่ตอนที่โทรไปได้รับเสียงตอบรับที่แสนจะเย็นชาแถมรีบตัดสายผมทิ้งจนผมต้องโทรไปปรึกษาน้องกร (จนไอศิเขม่นเพราะคุยกับแฟนมันนานเกินไปมีใครบอกไหมครับว่าทั้งน้องกรและไอศินี่ขี้หึงกันทังคู่เลยครับถ้าไม่มีผมนี่บอกเลยไอเพื่อนของผมขี้หึงมากแค่ไม่แสดงออก) แล้วน้องกรค่อย ๆ อธิบายเรื่องราวออกมาจนผมเข้าใจ แถมรับปากว่าเย็นนี้จะพาน้องเจมส์มาหาผมที่คณะ…แย่หละสิน้องเจมส์แค่เขินไม่อยากให้เพื่อนรู้เรื่องระหว่างเรา คนอะไรชอบทำตัวน่ารักชะมัดแล้วนี่ผมแอบอดใจไม่ไหวแอบให้น้องกรไปถ่ายรูปเจ้าหญิงของผมถึงจะใช้เวลามากกว่าจะได้ภาพสวย ๆ แต่กคุ้มที่รอหละครับโดนน้องกรเรียกค่าจ้างด้วยเป็นบัตรเข้าสวนสนุกสองใบเพราะน้องจะเอาไปเที่ยวกับไอศิมัน แบบนั้นผมก็จำใจจ่ายสิครับภาพที่ได้นี่เลอค่ามากเลยครับโดยเฉพาะภาพที่น้องเจมส์เหม่อ ดวงตาสวยที่มองไปเหมือนจะเบื่อหน่ายแต่มีประกายผมนี่ต้องวิ่งไปเกาะขาไอศิให้แต่งภาพให้ทันทีเลยครับแน่นอนว่ามันยอมแต่งให้แต่มีค่าจ้างอีกเหมือนเดิมคือให้ผมจ่ายค่าบุฟเฟ่แซลม่อนให้สองที่ เอาก็เอาว่ะเพื่อความรัก ยอมเว้ยแต่ด้วยค่าบุฟเฟ่และค่าบัตรVIPที่แพงพอสมควรแถมสองชุด ผมเลยรีเควสอะไรเพิ่มเติมนิดหน่อยคือการตัดต่อรูปของผมกับน้องเจมส์ติดกันแล้วเอาไปขึ้นโคฟเวอร์เฟซบุค ขอประกาศหน่อยว่าคนนี้ผมจองถึงยังจีบไม่ติดก็เถอะนะ



ตัดมาปัจจุบันดีกว่าครับหลังจากที่ผมเรียนจบหมดวันผมกลากไอศิ ไอวิมานั่ปรึกษาขั้นตอนต่อไปที่จะใช้จีบน้องเจมส์ ทำไมต้องปรึกษาเหรอก็บอกแล้วว่าผมไม่เคยมีแฟนดังนั้นไม่เคยจีบใครเลยสักคนจนต้องมานั่งปรึกษา คนจีบเก่งตัวพ่ออย่างไอศิมันนี่หละครับ (ไอศิมันจีบน้องกรเป็นปีน้องเขาถึงยอมเป็นแฟนกับมัน แต่กับผมน้องเจมส์ให้เวลาแค่สามเดือนเท่านั้นเองครับถ้าไม่มาปรึกษาเรื่องการจีบกับไอจอมตะล่อมตัวพ่ออย่างไอศิมันแล้วจะใหไปปรึกษาใครที่ไหนกันหละมันนั่นหละเหมาะที่สุดแล้ว)



“ต่อไปควรทำไงต่อวะ ตองทำให้น้องเจมส์ประทับใจใช่ป่ะ เอาไงดีพาไปเที่ยวก็พาไปแล้วพาไปบ้านเลยดีปะวะเผื่อเขาจะจำเรื่องเก่า ๆ ได้” ผมเสนอตัวอย่างไปแต่ไอศิส่ายหัวบอกว่ายังไม่เหมาะที่จะพาไปแต่ผมไม่รู้นี่ครับว่าทำยังไงถึงจะเหมาะกับการจีบคนอื่น “งั้นพาไปต่างจังหวัดหละ” ความเห็นนี้ก็ถูกปัดตกไปอีกท่าทางความคิดผมนี่จะเหลวหมดแล้วหละครับ



ไอศิบอกว่าไอการจีบของผมหนะเหมาะสำหรับจีบแล้วเขาดูจะมีใจให้แล้วพอสมควรถึงจะชวนไปได้แต่นี่แบบเพิ่งเริ่มจีบดังนั้นต้องเริ่มต้นจากอะไรง่าย ๆ เช่นเจอหน้ากันทุกวัน…ข้อนี้โคตรจะเป็นไปไม่ได้เวลากินข้าวยังจะไม่มีจะให้ขับรถไปฝั่งวิศวะนี่เครียดเลยครับ ชวนไปกินข้าวด้วยบ่อย ๆ ก็บอกแลวไงว่าเวลาจะกินข้าวยังไม่มีจะให้ผมไปชวนนองเขากินข้าวบ่อย ๆ ได้ยังไง ให้ของที่เขาชอบ อ่า…อันนี้ผมไม่รู้ว่าเขาชอบอะไร แต่เท่าที่สังเกตน้องเขาชอบอ่านหนังสือไม่ว่าจะเป็นหนังสือเรียนหรือหนังสืออ่านเล่น หรือไปนั่งเปนเพื่อนเขาเวลาเขาอยู่คนเดียว…ให้บอกรอบที่สามไหมว่าเวลากินข้าวผมยังจะไม่มีเลย นี่คือผมผิดใช่ไหมที่ดันมาจีบน้องเขาตอนอยู่ในช่วงชีวิตที่ตัวเองไม่ว่างที่สุด



จนในท้ายที่สุดไอศิก็เสนออะไรบางอย่างออกมามันเสนอเรื่อเดทคู่…อ่าทำไมผมคิดเรื่องนี้ไม่ได้นะไอศิบอกว่ามันจะนัดน้องกรไปเที่ยวแล้วไปกินบุเฟ่แซลม่อนแต่จะแกลงทำเป็นหลงกันใหผมอยู่กันน้องเจมส์สองคน มันช่างเป็นแผนการณ์ที่สุดแสนจะเพอเฟกเสียนี่กระไร รักเพื่อนคนนี้ชะมัด หลังจากคุยเรื่องแผนการทั้งหมดเรียบร้อยไอศิก็บอกว่าจะไปนัดแนะกับน้องกรให้ ส่วนผมให้ไปทำการชวนนองเจมส์ซะน้องจะได้ไม่โกรธผมในข้อหาที่ผมทำอะไรแล้วเนียนไม่บอกอีก ขอให้น้องยอมออกมาเที่ยวกับผมอีกเถอะครับไม่งั้นผมไม่รู้จะสรรหาวิธีไหนจีบน้องเขาแล้วนะ



ผมปรึกษาไอศิกับไอวิไปเรื่อย ๆ จนในท้ายที่สุด รุ่นน้องต่างคณะสามคนที่พวกผมรู้จักดีกเดินเข้ามาใกลโต๊ะม้าหินอ่อนที่พวกผมนั่งอยู่คนแรกนั่นผมจำไดดีเลยครับว่านั่นคือน้องกรแฟนสุดที่รักของไอศิมัน ส่วนคนที่สองคือน้องบาสที่กำลังแอบจีบไอวิอยู่ ส่วนคนสุดท้าย My little Princess ของผมนั่นเองผมนี่อยากจะวิ่งไปอ้าแขนรับเลยครับถ้าน้องเขาไม่ทำหน้าตาปานอยากจะฆ่าผมให้ตายแบบนั้นอะนะ…  เอาเป็นว่าที่น้องเจมส์ทำหน้าแบบนั้นผมควรยอมรับชะตากรรมที่จะเกิดขึ้นใช่ไหมครับ



ไอชะตากรรมที่ผมอาจจะตายด้วยน้ำมือคนที่รักหนะ แบบนี้ก็หวานแหว๋วโรแมนติกไปอีกแบบนะครับ แต่ตอนนีผมยังไม่อยากตายก่อนได้ยินคำว่ารักจากปากของเจ้าหญิงที่ผมเฝ้าคิดถึงมาตลอดสิบกว่าปีครับดังนั้นผมขอหาข้อแก้ตัวที่จะพูดกับนองเจมส์ก่อนแล้วกัน



นั่นไงน้องเจมส์วิ่งตาขวางมาหาผมแล้วช่างเป็นการแสดงความรักที่แสนรุนแรงจริง ๆ และหลังจากที่น้องเจมส์วิ่งมาหยุดยืนหายใจหอบตรงหน้าผม เขาค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมือข้างหนึ่งชี้มาที่ผมแล้วพูดออกมาเสียงดังฟังชัดว่า



“ลบรูปบ้า ๆ นั่นออกจากมือถือเดี๋ยวนี้ เอาภาพนั่นออกจากเฟซบุคด้วย” เอาตรง ๆ บอกให้ลบผมไม่ลบหรอกแต่เอาออกจากเฟซบุคหนะทำได้แต่ทำตอนนี้มันจะทันเหรอผมว่าคนที่รู้ว่าผมตามจีบน้องเจมส์อยู่คงไม่ไดมีแค่เด็กในคณะวิศวะแล้วหละครับคงรูไปทั่วมหาวิทยาลัยแล้วหละแบบนี้



แหมคนมันชอบเปิดเผยนี่ครับไม่ชอบทำอะไรปิดบังเอาเปนว่าผมขอเคลียร์กับนองเจมส์ก่อนแล้วกันนะครับแล้วเจอกันถ้าหากถึงตาผมเล่าบ้าง




ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
สู้ต่อไปนะคะพี่เตอร์ 55555

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0


Chapter 8


ผมกำลังนั่งขีด ๆ เขียน ๆ ตัวอักษรลงบนสมุดโน้ตที่ใช้จดในการเรียนแต่ภายในหัวพลางคิดถึงเรื่องที่พี่เตอร์ชวนไปเที่ยวสวนสนุกในสุดสัปดาห์นี้ เผลอรับปากว่าจะไปจนได้แต่เอาเถอะแค่ไปเที่ยวสวนสนุกคงไม่เลวร้ายอะไรมากที่สำคัญยังมีไอกรกับพี่ศิไปด้วยพี่เตอร์คงไม่เผลอทำตัวไม่ดีใส่ผมหรอก พอคิดล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมก็พลางทอดถอนลมหายใจออกมา ผมรู้นะครับว่าพี่ศิกับไอกรเขาเชียร์ให้ผมคบกับพี่เตอร์มากขนาดไหนแต่ผมยังยืนยันคำเดิมว่าผมเป็นผู้ชายที่ชอบผู้หญิง (ถึงตอนนี้จะไม่มีผู้หญิงที่ชอบก็เถอะนะ) และตอนนี้ยังไม่มีท่าทีที่จะชอบพี่เตอร์เลยสักนิด (ส่วนเรื่องใจเต้นแรงนั่นแค่เรื่องบังเอิญสองครั้งซ้อนเท่านั้นหละครับนั่นไม่นับ) ออกจะรู้สึกมีตัวป่วนเข้ามาในชีวิตมากกว่าคนมาจีบด้วยซ้ำแต่ทำยังไงได้รับปากไปแล้วนี่ ทนแค่สามเดือนแล้วพี่เตอร์ก็จะล่าถอยไปเอง พอคิดแบบนั้นก็มีกำลังใจทำอะไรต่ออีกนิดหน่อย ผมลุกขึ้นพลางเก็บสมุดและดินสอใส่ในลิ้นชักก่อนจะเดินไปอาบน้ำเพื่อนเข้านอน


อันที่จริงที่ผมบอกว่าสุดสัปดาห์นี้มันก็คือวันพรุ่งนี้นั่นหละ พี่เตอร์นัดผมไปเที่ยวในวันเสาร์โดยมีพี่ศิกับไอกรไปด้วย ผมไม่รูนะครับว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้างแต่ก็หวังว่าจะทั้งสามคน ย้ำว่าทั้งสามคนนะครับ เพราะไอกรชอบทำอะไรแผลง ๆ ซึ่งพี่ศิก็ตามใจมันซะเหลือเกิน ส่วนพี่เตอร์ไม่ต้องพูดถึงรายนั้นบ้าอยู่แล้ว แต่ก็นะไว้เป็นเรื่อของพรุ่งนี้แล้วกัน ผมล้มตัวลงนอนเตียงข้าง ๆ ไอบาส ซึ่งตอนนี้มันนอนเล่นเกมส์อยู่บนเตียงอย่างมีความสุข เฮ้อ…คนอื่นมีความสุขแต่ทำไมผมไม่มีความสุขเลยวะครับ


เวลาผ่านไปจนถึงเชาผมซึ่งปกติจะนอนตื่นสายเป็นกิจวัตรกลับโดนเสียงโทรศัพท์มือถือแผดร้องปลุกในตอนเจ็ดโมงปกติเพื่อน ๆ ของผมจะรู้เวลาตื่นของผมและไม่คิดจะโทรปลุก (เพราะถ้าผมต้องตื่นไวผมจะตื่นเองอัตโนมัติเป็นเหมือนนาฬิกาที่โดนตังปลุกหนะครับ) ผมรีบควานหาโทรศัพท์ที่เสียบชาร์ตไว้บทหัวเตียงปลายนิ้วมือไปสัมผัสจนผมคว้ามันเอามาดูไดเจ้าของเบอร์โทรที่โทรมาปลุกผมนั้นไม่ใช่ใครอื่น เพราะคน ๆ นั้นคือ (ไอคุณ)พี่เตอร์ นั่นเอง ถ้าผมยกเลิกนัดวันนี้ผมจะผิดไหมครับ นี่มันเพิ่งเจดโมงเช้าจะมามาก่อกวนเวลานอนของคนอื่นทำไมครับ (ไอคุณ)พี่เตอร์


เมื่อเห้นเบอร์ที่ปรากฏบนหน้าจอผมก็กดตัดสายทันทีเพื่อที่จะนอนต่อ แต่ไม่ทันที่ผมจะได้วางมันลงมือถือเจ้ากรรมก็แผดเสียงงดังขึ้นอีกครั้งซึ่งไอคนโทรมาก็คนเดิมนั่นหละ แน่นอนว่าผมกดตัดสายอีกครั้งและยังคงเป็นเช่นเดิมที่มันก็แผดเสียงเรียกเขาอีกครั้งไม่ว่าผมจะกดตัดสายอีกรอบมันก็ดังเท่านั้นรอบหละครับจนในที่สุดเพื่อนร่วมห้องของผมก็ตื่นมาพร้อมกับตะโกนเสียงด่าทอแบบ…ผมนี่ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดเลยครับ


“ไอสัดเจมส์ มึงรีบรับโทรศัพท์มึงเลยนะแต่ถ้ามึงไม่อยากรับก็ปิดเครื่องไป จะให้มันร้องหาพ่อแกหรือไงน่ารำคาญชะมัด ถ้าเกิดกูได้ยินอีกครั้งนะมึงตาย” และก่อนที่ไอบาสจะไดพูดจบ ไอมือถือเวรก็ดังขึ้นมาอีกครั้งจริง ๆ ครับ… แน่นอนว่าผมตายสมใจไอบาสมัน หนังสือพจนานุกรมเล่มใหญ่ถูกปาเข้าแสกหน้าเลยครับดีนะหลบทันเลยโดนเฉี่ยว ๆ ผมมองโทรศัพท์มือถือเจ้ากรรมอยู่สักพักก่อนจะทำใจกดรับมัน และไม่ลืมเตรียมสรรหาคำด่าที่สุภาพ ๆ ย้ำว่าสุภาพที่สุดเพราะเขาเป็นรุ่นพี่เอาไว้ด้วย


“สวัสดีครับ ตอนกดโทรศัพท์โทรมาได้ดูเวลาไหมครับว่ามันกี่โมงกี่ยาม หรือสักแต่ว่าอยากโทรโดยไม่ดูคนรับสายว่าเขาจะตื่นหรือจะหลับอยู่” ผมพูดจิกกัดไปแต่อย่างพี่เตอร์…แต่นี้ไม่รู้สึกครับ น้ำตาจะไหลขอแชร์ทันไหมครับ มุกเก่าไปเหรอ ขอโทษทีครับผมผิดไปแล้ว


‘น้องเจมส์ตัดสายพี่เป็นสิบรอบทำไม พี่คิดว่าน้องเจมส์จะเป็นอะไรไปซะแล้ว พี่แสนจะห่วงนี่ไม่เป็นอะไรนะครับ ที่พี่โทรมาเพราะอยากโทรมาปลุกไม่ให้น้องเจมส์ลืมนัดวันนี้ตอนสิบเอ็ดโมง’ ผมนี่ปวดหัวตุบ ๆ เลยครับบอกแล้วว่าพี่เตอร์แกไม่คิดจะฟังอะไรหรอก อย่างที่เห็นโทรมาพูดแต่เรื่องที่ตัวเองคิดบางทีผมควรอบรมนิสัยพี่เขาเสียบ้างให้รู้กาลเทศะเวลาโทรมาหาคนอื่นแบบนี้


“ไม่ได้เป็นอะไรหรอกครับ แค่เกือบเป็นเพราะพี่เตอร์โทรมาเป็นสิบรอบนี่หละ” ผมกรอกเสียงตอบกลับไปซึ่งพี่เตอร์ทำเสียงตกใจเสียยกใหญ่กับการที่ผมบอกว่าผมเกือบจะเป็นอะไร…ไอที่เกือบจะเป็นเพราะพี่เตอร์นั่นหละครับ เพราะพี่เตอร์ตัวดีเลยหนังสือเกือบปลิวมาโดนหน้าผม


“แค่ไอบาสมันหงุดหงิดที่ไปปลุกมันตื่น ผมเลยโดนหนังสือบินเกือบโดนหน้าเท่านั้นเอง” ผมพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดแน่นอนว่าพี่เตอร์นี่ทำตัวเหมือนชอคสติแตกไปแล้ว พลางบอกว่าจะมาต่อว่าไอบาสให้แต่ไม่ได้ดูตัวเองเลยว่าตัวต้นเหตุอ่ะมันตัวเองต่างหาก


“ไม่ต้องโวยวายเลยพี่ไอคนที่ทำให้ผมซวยมันพี่เองไม่ใช่หรือไง เล่นโ?รมาติด ๆ กันใครมันก็รำคาญทั้งนั้นหละ” ผมบ่นให้พี่เตอร์ฟังแต่พี่เตอร์ก็เถียงกลับนะครับ ดูเขาทำตัวไม่มีความเป็นหัวผู้ใหญ่เลยสักนิดอายุมากกว่าผมตั้งสองปีคนอะไรเหมือนเด็กสิบขวบจริง ๆ


‘ก็น้องเจมส์ไม่รับโทรศัพท์พี่ตั้งแต่ครั้งแรกไงครับพี่งอนนะรู้ไหม บู่ว ๆ” ดูคำพูดคำจา ดูเขาทำตัว...เหมือนเด็กสิบขวบไหมหละครับ คนอย่างพี่เตอร์นี่นะคนแบบนี้มันน่าจับมานั่งขุกเข่าแล้วนั่งเทศนาให้เข็ดจริง ๆ เลย ผมเอามือขยี้หัวไปมากับถ้อยคำพูดของพี่เตอร์จนในท้ายที่สุดผมก็กล่าวตัดบทเพื่อหยุดบทสนทนา


“แค่นี้ก่อนนะครับ ท่าทางเราจะคุยนานไปแล้วหละ” ผมพูดพลางเหลือบมองไปที่นาฬิกา จากเวลาเจ็ดโมงเช้าตอนนี้เข็มสั้นใกล้จะเปลี่ยนเป็นเลขแปดเต็มทน นี่ผมคุยกับพี่เตอร์ยาวขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ยไม่รู้ตัวเลยแหะ และในขณะที่ผมกำลังจะกดวางสายเสียงพี่เตอร์ก้ดังแทรกเข้ามาพลันใบหน้าของผมก็ขึ้นสีแดงก่ำก่อนที่จะได้โวยวายอะไรกลับไปปลายสายก็กดตัดสายทิ้งเองไปก่อนแล้ว


หัวใจผมเต้นแรงกับคำพูดที่อีกฝ่ายส่งผ่านสาย ถ้อยคำสั้น ๆ ที่ลึกซึ้งแฝงไปด้วยความรู้สึกและตอนนี้ยังคนดังก้องในหัวและสะท้อนเข้าไปในหัวใจ


‘เจมส์ครับ พี่รักเจมส์นะครับ’


ผมนิ่งค้างแบบนั้นอยู่นานจนท้ายที่สุดคนที่เรียกสติของผมคือไอบาสที่เดินมาตบบ่าผมเบา ๆ พร้อมรอยยิ้มยียวนกวนประสาทของมัน ท่าทางไอบาสน่าจะรู้แล้วว่าใครโทรมาซึ่งที่มันรู้ว่าปลายสายคือใครและทำไมผมถึงมีสภาพแบบนี้ได้มันคงสังเกตได้จากอาการหน้าแดงและนิ่งค้างไปนานของผม และก่อนที่มันจะเดินไปเข้าห้องน้ำมันพูดกับผมด้วยประโยคที่ทำให้ผมชะงักและนิ่งค้างไปชั่วขณะหนึ่ง


“บางทีใจมึงอาจจะไม่ได้ลืมเขาหรอก มึงก็แค่อยากจะลืมเรื่องที่มึงโดนแกล้งในอดีต มรึงก็เลยเผลอลบภาพอัศวินในความทรงจำของมึงไปด้วย”


ในใจของผมไม่ได้ลืมพี่เตอร์ไปอย่างงั้นเหรอ...บ้าน่าถ้าผมไม่ลืมทำไมในหัวของผมถึงจำไม่ได้เลยหละว่าเคยเจอร์พี่เตอร์ที่ไหนหรือเคยคุยกับพี่เขาที่ไหน


....................


หลังจากที่ผมเตรียมตัวอะไรเสร็จ ตอนนี้ผมก็เดินทางไปยังจุดนัดหมายที่ได้นัดกัน ๆ ไว้นั่นก็คือคอนโดของไอกรและพี่ศิ ซึ่งผมเอามอเตอร์ไซค์ไปจอดทิ้งไว้ใต้หอมันนั่นหละครับเวลากลับจะได้ไม่รบกวนคนอื่นดี เมื่อเท้าของผมเยียบลงบนพื้นคนบ้าที่ทำให้ผมหน้าแดงไปเมื่อเช้าก็โผล่หัวออกมาจากรถในเวลาเดียวกัน


ผมตวัดตาหันไปมองพี่เตอร์แล้วรีบเดินเข้าไปในตึก แต่ก่อนที่จะได้หนีอะไรไปมากกว่านี้พี่เตอร์ก็เดินมาข้าง ๆ กดลิฟท์ขึ้นเพื่อนจะขึ้นไปยังชั้นที่เป็นห้องของคู่รักแห่งปีทั้งสองคน ตอนนี้ผมบอกเลยว่าผมไม่อยากมองหน้าพี่เตอร์เลยสักนิดในหัวมันตีกันไปหมดถึงจะรู้สึกไม่พอใจที่พี่เตอร์บอกว่ารักเพราะสมองผมบอกว่าผมไม่ได้ชอบพี่แก แต่อีกใจหนึ่งหัวใจมันก็กลับเต้นแรงอย่างไม่รู้ตัว มันน่าหงุดหงิดนะครับที่ไม่รู้ว่าทำไมหัวใจมันถึงเต้นแรงแบบนี้


“ขึ้นไปด้วยกันนะครับน้องเจมส์” คนตัวสูงกว่าที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ผมพูดพลางส่งยิ้ม ผมก็พยักหน้าตอบรับเขานะครับแต่แค่ไม่ได้หันไปมอง แน่นอนว่าหมาน้อยกลอสเตอร์นี่หูลู่ไปแล้วหละครับ


“เป็นอะไรไปเหรอครับน้องเจมส์ พี่ทำอะไรให้ไม่พอใจอีกเหรอ” พี่เตอร์ถามผมครับ ซึ่งผมตอบออกไปไม่ได้ว่าผมไม่พอใจที่พี่เตอร์บอกรักผมในโทรศัพท์ แล้วก็ไม่ใช่ว่าผมอยากให้พี่แกบอกกับตัวนะครับผมแค่คิดว่าพี่เตอร์น่าจะยึดติดกับอดีตเกินไป พี่แกอาจจะไม่ได้รักผมอะไรจริงจังหรอกครับแค่คิดถึงภาพในอดีตเท่านั้นเอง เอาจริง ๆ พี่เตอร์อาจจะแค่จำผมได้แต่จำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตไม่ได้เลยก็เป็นได้


“เปล่าครับแค่คิดว่าเมื่อไหร่ลิฟท์จะมาไว ๆ ก็เท่านั้นเอง” ผมพูดพลางเบนสายตามองขึ้นไปที่ตัวเลขของลิฟท์ที่กำลังไล่ลงมาจากชั้น14เรื่อย ๆ จนถึงเลขหนึ่ง แต่ก่อนที่จะได้ก้าวเดินเข้าไปในลิฟท์ คนสองคนที่พวกผมกำลังจะขึ้นไปหาก็ลงมา มือของทั้งสองคนนี่จับกันซะแนบแน่นเลยหละครับ บางทีผมควรบอกเพื่อนผมว่าหันแคร์สายตาคนรอบข้างซะบ้างหน่อยก็ดีนะแต่ท่าทางแบบนี้พูดยังไงก็ไม่ฟังแล้วหละครับเปร่งออร่าเลิฟ ๆ กันซะขนาดนี้ และกว่าสองคนนี้จะรู้ตัวว่าลิฟท์ลงมาถึงชั้นที่ 1 แล้วพ่วงด้วยพวกผมทั้งสองคนยืนหัวโด่ต่อหน้าทั้งสองคนเวลาก็ผ่านไปสักพักครับ ไอคู่รักปัญญาอ่อนเอ้ย ถ้าไม่ติดว่าอีกคนเป็นรุ่นพี่นะครับผมด่าไปแล้วหละ


“สวัสดีครับเจมส์ แล้วก็ไอเต๋อ” พี่ศิทักทายคนแรกก่อนคนถัดมาจะเป็นไอกร แน่นอนว่าการทักทายของมันไม่ธรรมดาแน่นอนเล่นถลามากอดผมซะเต็มรักตามด้วยกระซิบล้อผมข้างหูเบา ๆ ว่า ‘นี่มากับพี่เต๋อเหรอเนี่ย เซอร์ไพรส์จังเขาไปรับถึงหอเลยหรือเนี่ยแต่ที่น่าตกใจกว่าคือมรึงนั่งรถมากับเขานี่หละ’ แน่นอนครับผมปฏิเสธด้วยมะเหงกหนึ่งที มันถึงกับร้องโอดโอยหนีไปกระแซะแฟนมันทันที ท่าทางแบบนั้นทำเอาพวกเราหัวเราะกันรอบวง


อย่างที่บอกครับผมไม่เคยอติการรักเพศเดียวกันผมเลยสนับสนุนเพื่อนผมให้ได้กับพี่ศิ เอ้ยรักกับพี่ศิเพราะพี่ศิเขารักจริง แต่สำหรับผมพี่เตอร์อาจจะมองเห็นแค่ภาพลวงตาในอดีตเท่านั้นก็ได้ครับผมถึงไม่อยากให้พี่เตอร์มายึดติดหรือจมลงไปในอดีต
หลังจากที่พวกเราทั้งหมดหยุดหัวเราะแล้วเราทั้งสี่คนก็แยกย้ายไปกันไปขึ้นรถโดยผมที่ดึงดันจะไปรถของพี่ศิก็โดนลากไปนั่งรถของพี่เตอร์ คราวนี้หละครับความอึกครึมนี่เต็มไปทั่วทั้งรถเลยครับผมไม่คิดจะพูดอะไรกับพี่เตอร์แล้วพี่เตอร์ดูกล้า ๆ กลัว ๆ ที่จะชวนผมคุย จนในท้ายที่สุดผมก็ต้องเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อนจนได้


“พี่เตอร์ เรื่องเมื่อเช้าหนะครับ เรื่องที่คุยกัน....” ผมเกริ่นนำไปแต่มันก็เหมือนมีอะไรมาจุกไว้ที่คอ ผมอยากจะบอกว่าคำว่า ‘รัก’ หนะอยากให้พี่เตอร์เก็บมันไว้ให้คนสำคัญที่สุดดีกว่านะครับแต่ผมก็พูดไม่ออก ทำไมกันนะทั้งๆที่สมองประมวลเหตุผลแล้วว่าควรพูดแต่ใจมันกับหวิว ๆ ที่จะพูดแบบนั้นออกไป


“มีอะไรเหรอครับเจมส์ เรื่องเมื่อเช้าถ้าเรื่องโทรไปปลุกพี่ขอโทษด้วยแล้วกันพอดีพี่ตื่นไวไปหน่อยแล้วตื่นเต้นไปนิดนึงเลยเผลอทำตัวแบบนั้นไป” พี่เตอร์พูดขอทาแต่ความจริงแล้วเรื่องที่ผมอยากจะพูดไม่ใช่เรื่องที่พี่เตอร์โทรมาหาผมนั่นหรอกครับ ตามที่บอกไปผมอยากจะบอกเรื่องที่พี่เตอร์บอกรักผม ผมอยากให้พี่เขาเก็บคำ ๆ นั้นไว้ให้คนสำคัญของตัวเองไม่ใช่ให้พร่ำเพื่อกับภาพในอดีตอย่างผม


แต่ผมก็พูดมันไม่ออกจึงแต่ได้ส่ายหัวปฏิเสธไป ผมไม่เข้าใจตัวเองเลยจริง ๆ ว่าทำไมผมถึงเหมือนมีอะไรจุกในลำคอกันนะ หรือผมเริ่มเหมือนไอกรแล้วที่รู้สึกว่าการที่มีคน ๆ หนึ่งอยู่ข้างกายมันไม่ได้น่ารำคาญอะไรยกเว้นที่จะทำอะไรให้หัวเสีย หรือทำตัวงี่เง่าน่ารำคาญ (ผมเป็นคนหัวเสียง่ายครับ แต่ก็ไม่ได้ง่ายมากขนาดนั้นแค่หัวเสียเวลาที่ตกลงกันไว้แล้วคน ๆ นั้นไม่ทำตามผมถึงจะอารมณ์เสีย)


“เปล่าครับ แล้วนี่จะไปไหนกันก่อนเหรอ ไปเที่ยวสวนสนุกหรือกินแซลม่อนบุฟเฟ่กันก่อน” ผมหันไปถามคนที่นั่งข้าง ๆ สายตาพลางไล่ไปตามโครงหน้าคมของหนุ่มลูกครึ่งพลันก็ต้องหันหน้าหนีเมื่อเจ้าของใบหน้านั้นหันกลับมามองยังผมที่เป็นคนถามคำถาม


“ไปทานกันก่อนครับ น้องเจมส์น่าจะยังไม่ได้ทานข้าวมาใช่ไหมหละเหมือนพี่นั่นหละ เอาไว้ไปทานด้วยกันเยอะ ๆ ที่ร้านแล้วกันนะพี่จองไปแล้วหละสี่ที่งานนี้พี่เลี้ยงเองทั้งค่าเข้าทั้งค่ากิน ถึงจะหมดไปโขเลยก็เถอะแต่เพื่อเจมส์พี่ทำได้ครับ” พี่เตอร์พูดพร้อมหัวเราะเบา ๆ พูดแบบนี้ผมก็ก้มหน้ามองลงไปบนตักตัวเองเลยครับพูดมาแบบนี้บอกเลยว่าเขินครับเขินมาก ทั้งๆที่ผมเป็นคนปกติด้านชาจะตายแต่ทำไมแค่ไม่กี่วันไม่กี่อาทิตย์ที่ยอมตกลงว่าจะให้พี่เตอร์จีบผมถึงได้เปลี่ยนไปแล้วดูว้าวุ่นแบบนี้กันนะไม่เข้าใจเลย


“ขอบคุณครับ หมายถึงขอบคุณที่เลี้ยงหนะครับแต่ไม่ต้องของแพงมากก็ได้ผมกินอะไรง่าย ๆ ได้ไม่ต้องหรูมากก็ได้ครับ” ผมพูดในขณะนั่งก้มหน้า แต่ดูเหมือนว่าพี่เตอร์ไม่ได้สนใจอะไรกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของผมแกยังคงขับรถด้วยความร่างเริงตามท้ายรถสุดหรูของพี่ศิต่อไป ใช้เวลาไม่นานและที่สำคัญรถมันไม่ติดด้วยครับพวกผมก็เดินทางไปถึงร้านบุฟเฟ่ที่พี่เตอร์ได้จองไว้ ไอกรนี่ถลาเข้าร้านไปคนแรก พี่ศิเป็นอันดับที่สองตามด้วยพี่เตอร์และผมแต่ผมเดินตามไปช้า ๆ จนประทั่งพี่เตอร์หันกลับมาและยื่นมือออกมา ผมมองการกระทำนั่งด้วยความงุนงงก่อนที่จะจับใจความอะไรได้มือของผมก็ถูกดึงไปแล้วร่างของผมถูกพาเข้าไปในร้านโดยที่พี่เตอร์จูงมือให้เดินเข้าไป พี่ศิกับไอกรที่ไปนั่งรออยู่ที่โต๊ะที่จองไว้โบกมือไปมาเรียกพวกเราสองคน


ผมโดนจูงมือเดินไปยังโต๊ะนั่ง และทันทีที่ไอกรมันเห้นมือของผมที่โดนพี่เตอร์จับอยู่มันก็เตรียมที่จะพูดแหย่แต่พี่ศิกับเอามือไปหยิกแก้มของมันเอาไว้ก่อน


“เอ้านั่ง ๆ ไอเจมส์กูเอ้ย...ฉันนั่งข้างพี่ศิแล้วแกนั่งข้างพี่เต๋อไปแล้วกัน” ไอกรพูดพร้อมโบกมือไล่ผมเหมือนอยากให้ไปไกล ๆ ผมขมวดคิ้วมองมันก่อนจะยอมนั่งลงข้างพี่เตอร์โดยที่มือของเราทั้งสองคนยังคงจับกันไว้ ผมไม่ได้มีท่าทีจะสะบัดออกและพี่เตอร์ก็ไม่ได้มีท่าทีจะปล่อยด้วย จนกระทั่งพี่ศิเอ่ยทักพี่เตอร์กับผมถึงได้รู้สึกตัวและพากับปล่อยมือออกจากกัน พี่เตอร์หันหนีไปเกาแก้มแก้เขินส่วนผมนั่งก้มหน้างุด ๆ เพื่อนไม่ให้ทั้งสามคนแอบเห้นใบหน้าที่ขึ้นสีแดงอ่อน ๆ ของผม


“แซลม่อน ๆ เอาจานใหญ่มาเลยนะพี่ศิกรเตรียมท้องไว้กินแซลม่อนฟรี” ไอกรกระแซะแฟนมันส่วนผมนั่งเปิดเมนูของบุฟเฟ่ดู มีหลายอย่างเลยแหะแต่อยากได้ข้าวมาทานด้วยจังผมไล่สายตามองดูไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งพี่เตอร์แกหันมามองที่ผมแล้วอมยิ้มจาง ๆ ก่อนจะพูดออกมาว่า


“ยังเหมือนตอนเด็ก ๆ เลยนะครับที่เวลาเลือกของกินแล้วเลือกที่อยากกินไม่ได้แล้วชอบเอานิ้วแตะที่ริมฝีปากแบบนี้” พี่เตอร์พูดพร้อมรอยยิ้ม ผมสะดุ้งกับคำพูดของพี่เขาแล้วรีบเอามือลง ความเคยชินนี้ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้ตัวนะครับผมรู้แต่น้อยคนมากที่จะรู้ว่าผมมีนิสัยแบบนี้


“ไหน ๆ พี่เต๋อไอเจมส์มันชอบทำแบบไหนนะแล้วรู้ได้ไงอ่ะกรไม่เคยสังเกตเลยนะอยู่กับมันมาตั้งแต่ม.1 แต่พี่รู้ป่ะตอนกรเจอมันครั้งแรกอ่ะกรทักไปว่าไงจะน้องสาวด้วยหละ ตอนเด็ก ๆ ไอเจมส์มันเหมือนเด็กผู้หญิงจริง ๆ นั่นหละ” ไอกรพูดโพล่งออกมาพลางหัวเราะเบา ๆ เหมือนว่าตอนนี้จะเป็นการรำลึกความหลังแล้วหละครับ พี่สิเหมือนเป็นคนนอกละ เพราะพี่ศิแกเงียบไปแล้ว ส่วนสองคนที่เหลือ (ที่ไม่ใช่ผม) ก็ต่างพากันคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวในอดีตของผมอย่างเมามัน ถึงตอนนี้ผมจะยอมอ่อนลงให้แต่ใช่ว่าเรื่องของผมจะเอามาคุยได้สนุกปากหรอกนะผมกระแอมเสียงหนึ่งทีเพื่อตันทั้งสองคนให้หยุดคุยกันสักทีแต่ดูเหมือนว่าทั้งสองคนยังไม่หยุดผมกระแอมเสียเป็นครั้งที่สอง คราวนี้ทั้งสองคนก็ยังไม่หยุดครั้งที่สามมีพี่ศิเข้ามากระแอมเสียงเพิ่มด้วย ซึ่งแน่นอนเขาก็ยังไม่หยุดกัน


ในที่สุดความอดทนของผมกับพี่ศิก็หมดลงครับ พี่ศิเอื้อมมือไปหยิกแก้มของเจ้ากรจนมันเผลอร้องโอ้ยออกมา ส่วนพี่เตอร์โดนผมบิดหูอย่างแรงไปร้องโอดโอยไม่แพ้กัน หลังจากที่ทั้งสองคนเงียบ ผมกับพี่ศิก็ตีหน้าซื่อทำเป็นไม่รู้เรื่องราวทั้งหมด เอาตรง ๆ เรื่องที่ทั้งสองคนคุยกันจะเป็นเรื่องที่กรเล่าส่วนใหญ่ พี่เตอร์ไม่ค่อยได้เล่าอะไรออกมาหรอกครับ นั่นแสดงให้ผมคิดถูกแล้วว่าพี่เตอร์หนะแค่ติดกับภาพความทรงจำวัยเด็กก็เท่านั้นเองไม่ได้รู้สึกรักผมจริง ๆ จัง ๆ หรอก


หลังจากที่พวกเรานั่งคุยเรื่องต่าง ๆ นานา ไปสักพักในที่สุดเมนูที่พวกเราสั่งกันไปก็มาถึงครับ เมนูจานใหญ่สุดเป็นเนื้อแซลม่อนล้วน ๆ ครับ ผมเห้นไอกรทำตาลุกวาวเหมือนเด็กเห็นของเล่น เอาเถอะครับจานนี้ให้มันกินหมดไปคนเดียวก็ได้ครับไว้ค่อยสั่งจานใหม่มาก็ได้ ผมนั่งเอาตะเกียบคีบชิ้นเนื้อปลาเข้าปากแต่ไอกรเอื้อมมาตีมือผมดังเพี๊ยะผมนี่หันไปมองมันตาขวางเลยครับ และก่อนที่ผมจะได้เอ่ยปากด่าอะไรออกไปไอกรก็พูดออกมาว่า “ต้องถ่ายรูปก่อน แล้วเซลฟ์ฟี่กับจานด้วย”


บางทีผมก็คิดนะครับว่าพี่ศิเอาได้กรเป็นแฟนได้ยังไงมันออกจะปัญญาอ่อนขนาดนี้ ผมไม่อยากดูถูกรสนิยมพี่ศิหรอกนะครับ แต่เพื่อนผมนี่โคตรจะไม่เหมาะสมกับพี่ศิเลยจริง ๆ เห็นแล้วปวดหัวแทนจริง ๆ ต่อให้ตอนมันอ้อนพี่ศิมันจะดูน่ารักก็เถอะนะ



แต่ถึงผมจะบ่นไปแบบนั้นผมก็ต้องทำตามมันบอกอยู่ดีหละครับ พวกเราทั้งสี่คนเขยิบไปนั่งใกล้ ๆ กันโดยมีไอกรถือโทรศัพท์เอาไว้ในมือมันนับหนึ่ง สอง สาม แล้วกดมือถือ ผมนี่น้ำตาจะไหลกับความบ้าของมันครับ ให้ตายเถอะผมค่อย ๆ ขยับตัวออกพลันมือของผมก็ไปสัมผัสโดนมือของคนข้างกาง ปฏิกิริยาของผมเลยเด้งมือกลับใบหน้าเริ่มขึ้นสีจาง ๆ ก่อนจะรีบนั่งคีบปลาดิบในจานกินรัว ๆ


ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงรู้สึกแบบนั้นได้แต่เท่าที่รู้ผมไม่ได้ไม่ชอบความรู้สึกนั่นแต่ผมกลับไม่ชอบตัวเองมากกว่าที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับตัวเองเลยสักนิดเดียว


....................




ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0


หลังจากการจัดการบุฟเฟ่ไปเป็นที่เรียบร้อย พูดได้ว่าถ้าร้านเจ้งก็จะเจ้งเพราะไอกรนี่หละครับบอกเลยไอนี่เล่นสั่งชุดใหญ่ไปสามสี่ชุดตามด้วยนี่นิดโน่นไหนแต่เอาเป็นว่าสั่งทุกเมนูในร้านมานั่งแบ่งกันกินทำเอาเลี่ยนแซลม่อนไปอีกนานแต่ก็นะมันก็อร่อยดี สถานีถัดไปที่เราจะไปกันก็เป็นสวนสนุกครับ ไม่ได้อยู่ในกรุงเทพแต่เท่าที่รู้มาว่าถนนหน้าทางเข้ารถติดสัดครับ แต่ไปช่วงนี้รถคงอาจจะไม่ติดแล้วก็ได้มั้งครับ เราใช้เวลากันไม่นานนักก็ถึงสวนสนุกในจังหวัดปริมณฑลของกรุงเทพเสียที ผมก้าวลงจากรถคันงามก่อนจะวิ่งไปหาพี่ศิกับไอกรโดยไม่รอพี่เตอร์


“แล้วเอาไงอะ ต้องซื้อบัตรเข้าชมก่อนใช่ไหม” ผมเอ่ยถามซึ่งไอกรคนเดิมเพิ่มเติมคือความพูดมากก็พูดโพล่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงดี้ด้ามีความสุขที่สุดว่า “บัตรวีไอพีอยู่ที่ พี่เตอร์เป็นคนจ่ายด้วยจริง ๆ แล้วแซลม่อนพี่เตอร์ก็เป็นคนเลี้ยงนะเว้ยเขาทำเพื่อแกเลยนะ ใจอ่อนหน่อย” กรพูดพลางถุ้งศอกเข้าที่ท้องของผมเบา ๆ ส่วนผมเบนสายตาไปมองที่พี่เตอร์ที่ตอนนี้กำลังเขินไปไหนต่อไหนอีกรอบ


อย่าบอกนะว่าพี่เตอร์แกกลัวว่าผมจะไม่พอใจที่ต้องมาสวนสนุกสองต่อสองกับตัวเองเลยต้องยอมเลี้ยงพี่ศิกับไอกรเป็นค่าจ้าง ให้ตายเถอะเงินไม่ได้หาง่าย ๆ นะเฮ้ย ถ้าอยากพามาเที่ยวก็ชวนมาดี ๆ ก็ได้ถ้าไม่ติดอะไรก็จะมาเป็นเพื่อนด้วยก็ได้


“อยากให้ผมมาจนยอมจ้างเพื่อนตัวเองเนี่ยนะพี่เตอร์...บ้า ถ้าอยากมาเที่ยวก็บอกกันดี ๆ ถ้าไม่ติดอะไรก็จะมาเป็นเพื่อนด้วยก็ได้” ผมพูดในสิ่งที่น่าจะผิดคาดของทุกคนไปจนทำเอาทุกคนตกใจ บางครั้งผมก็สงสัยนะครับว่าทุกคนมองผมเป็นคนยังไงกันแน่เนี่ย ถึงผมจะไม่ชอบโดนหลอกอะไรก็เถอะแน่นี่พี่แกก็ไม่ได้หลอกอะไรผมมาแล้วผมก็ตกลงมาเองแม้จะเข้าใจว่าพี่ศิชวนพี่เตอร์แล้วพี่เตอร์ไม่มีเพื่อนไปเลยต้องมาชวนผมไปด้วยก็เถอะนะ


“น้องเจมส์ไม่โกรธหรอครับ” พี่เตอร์แย็บถามผมเสียงแผ่วซึ่งผมก็หันไปพยักหน้าแทนคำตอบ คราวนี้พี่เตอร์ยิ้มกว้างแล้วถลาเข้ามากอดผมแน่นเลยครับ แล้วตัวผมอารมณ์คนตกใจเลยไม่ได้ตั้งตัว ทั้งตัวรวมถึงแขนโดนรวบกอดแน่นจนขยับไม่ได้เลยครับ
ผมพยายามดิ้นขลุกขลักในอ้อมแขนแกร่งไม่นานนักตัวผมก็ถูกปล่อยออกจากอ้อมแขนนั่น แต่กว่าผมจะโดนปล่อยตัวตอนนี้คนทั้งลานจอดรถก็หันมามองพวกผมทั้งสี่คน โดยเฉพาะผมกับพี่เตอร์โดนจ้องเป็นพิเศษเลยหละครับ ผมนี่น้ำตาจะไหล ให้ตายเถอ ในมหาลัยยังโดนเข้าใจผิดไม่พอนอกมหาลัยก็ยังโดนเข้าใจผิดเหรอเนี่ยพอจะหันไปเอาเรื่องตัวการ พี่เตอร์ก็เดินลากมือผมไปที่ทางเข้าแล้ว โดยไม่ลืมที่จะชักแม้น้ำทั้งห้าถ้ามีหกคงชักมาอีกสายมาพูดว่าคนมันเยอะต้องจับมือกันไว้จะได้ไม่หลงกันโดนผมวีนใส่ แล้วผมก็ซื่อบื้อยอมให้จับด้วยครับผมโดนลากผ่านฝูงชนไปเรื่อย ๆ จนในท้ายที่สุดผมก็หลง... แต่ไอที่หลงหนะหลงกับพี่ศิกับไอกร ส่วนเจ้าคนมือปลาหมึกนี่เกาะมือผมแน่นถ้าขืนหลงกันได้นี่ก็แย่แล้ว


พวกเราทั้งสองคนมายืนรออยู่ตรงบริเวณจุดถ่ายรูป มือข้างหนึ่งของผมพลางกดโทรหาไอกรรัว ๆ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครรับสายครับ เสียงดังไปหรือเปล่านะเลยไม่รู้สึกตัวว่ามีสายเรียกเข้า ส่วนพี่เตอร์ก็กดโทรหาพี่ศินะครับเขากดโทรหลายครั้งจนในที่สุดก็มีคนรับสาย


“ไอศิตอนนี้อยู่ไหนวะ” พี่เตอร์ถามพี่ศิออกไปแน่นอนว่าผมไม่ได้ยินเสียงปลายสายหรอกครับเพราะพี่เตอร์ไม่ได้เปิดสปีกเกอร์ให้ผมฟังดังแต่พอจับใจความได้ว่า


‘ให้ไปเล่นที่ไหนก่อนเลย ตอนนี้ปั่นเรือเป็ดอยู่กับกรเช่าไว้สามสิบนาที แล้วแล้วเจมส์คงไม่อยากลงไปปั่นแบบคู่รักกับแกดังนั้นแกจะมาทำไมไปเล่นอย่างอื่นไป’ นั่นหละครับเป็นสิ่งที่ผมจับใจความได้แน่นอนว่าผมนี่หันไปถลึงตาใส่พี่เตอร์เลยครับ ถึงแม้การจะพาผมมาที่นี่ไม่ใช่แผนการหรือหลอกอะไรแต่ไอการหนีไปเที่ยวเล่นกันแล้วทิ้งให้ผมอยู่กับพี่เตอร์สองคนนี่มันแผนแน่นอน ผมหันสายตาไปมองพี่เตอร์แล้วจ้องแบบเอาเรื่องจนท้ายที่สุดพี่เตอร์ก็ยอมรับสารภาพครับว่าทั้งสองคนนั้นตกลงกับพี่เตอร์ไว้ว่าจะทิ้งผมกับตัวพี่เขาเอาไว้สองคน


“พี่เตอร์ถ้าพี่เตอร์ทำตัวแบบนี้ผมไม่มากับพี่แล้ว คนอะไรโคตรหลอกลวง ส่วนพี่ศิกับไอกรเดี๋ยวผมไปคิดบัญชีที่หลังแล้วทางไปเรือเป็ดมันอยู่ตรงไหน” ผมทำท่าจะไปหาสองคนนั้นแต่ก่อนที่จะได้ทำอะไรพี่เตอร์ก็รั้งแขนผมเอาไว้ใบหน้าคมจ้องมาที่ผมพร้อมพูดออกมาว่า


“ไหน ๆ ก็เหลือกันสองคนแล้ว...คราวนี้เรามาเดทกันจริง ๆ ได้ไหมครับเจมส์” พี่เตอร์พูดจริงจังเป็นครั้งแรกกับผมผมถึงกับชะงักค้างคำพูดที่หนักแน่นแต่แฝงความอายเอาไว้...ไหนจะคำเรียกที่ไม่มีน้องเจมส์ต่อท้ายให้ปวดหัวนั่นอีก ผมอ้าปากเตรียมจะปฏิเสธแต่ไม่ทันแล้วใบหน้าของผมพยักหน้าขึ้นลงเบา ๆ เป็นคำตอบไปแล้ว


ให้ตายเถอะทำไมกันนะ ทำไมถึงเผลอตกลงอีกแล้วไม่เข้าใจตัวเองเลยจริง ๆ ผมก้มหน้าก้มตาให้พี่เตอร์พาเดินไปเรื่อย ๆ โดยเริ่มจากเครื่องเล่นง่าย ๆ อย่างแกรนแคนย่อน ผมนั่งลงเข้าลอคตรงที่ข้าง ๆ พี่เตอร์ก่อนตัวเครื่องจะเริ่มไหลไปตามร่างน้ำ ตลอดเส้นทางมีอะไรต่าง ๆ มากมายที่ทำให้คนในเรือตกใจแต่ไม่ใช่กับผมแม้พี่เตอร์จะลุ้นแทบตายว่าผมจะตกใจเมื่อไหร่จะได้โผไปกอดแก แต่บอกเลยว่าไม่ได้แอ้มผมหรอกครับ เมื่อสุดท้างผมก็ค่อย ๆ ปีนขึ้นจากเรือแล้วหันไปมองพี่เตอร์ที่ทำตัวหดหู่เล็กน้อย ผมมองเขาแล้วอมยิ้มพลางคิดไปว่า ในสวนสนุกนี้มีอะไรที่จะทำให้ผมกลัวได้มั่งนะ เพราะความสูงผมก็ไม่กลัว เครื่องเล่นหวาดเสียวผมก็ไม่กลัว แต่การเล่นครั้งนี้ทำให้เสื้อของผมเปียกเล็กน้อยแต่ช่างเถอะครับพวกเราเอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนกัน


จุดหมายถัดไปคือรถปั๊มครับแน่นอนว่าคราวนี้พี่เตอร์มานั่งบนรถคันเดียวกับผมไม่ได้แน่นอน เพราะผู้ชายตัวสูงสองคนจะนั่งรถคันเดียวกันก็บ้าแล้วครับ ผมขึ้นไปบนสเตจแล้วไปเลือกนั่งรถสีที่ถูกใจที่สุดและแล้วการแข่งขับรถก็เริ่มขึ้นผมบิดพวงมาลัยรถให้เข้าไปชนกับคนอื่น ๆ รัว ๆ เสียงหัวเราะสนุกสนานดังไปทั่วจนกระนั่งผมรู้สึกเหมือนมีอะไรกระแทคเข้าที่ด้านหลังรถของผมเมื่อหันไปดูก็ชัดเลยครับไอคุณพี่เตอร์นั่นเอง ผมรีบเร่งไปข้างหน้าแล้วบิดพวงมาลัยเพื่อหันกลับไปชนพี่เตอร์บ้างแต่ด้วยความไวพี่เตอร์แกขับไปไล่ชนคันอื่นแล้วผมจิ้ปากทำเสียงไม่พอใจในลำคอก่อนจะเร่งรถให้เข้าไปชนในกลุ่ม การเล่นรถปั้มเป็นอะไรที่สนุกมากครับแต่มันให้เวลาไม่นานเลยหนะสิ ในที่สุดรถก็ถูกบังคับให้หยุดผมจึงจำต้องลุกจากสเตจไปข้างนอก มือทั้งสองข้างของผมขึ้นพาดหัวเอาอย่างสบายๆ ก่อนจะหันไปส่งยิ้มให้พี่เตอร์แล้วถามว่า “พี่เตอร์อยากเล่นอะไรต่อเหรอเอาที่พี่เตอร์เลือกเลยสลับกันไง”


สิ้นประโยคพี่เตอร์ก็เอามือมาลูบหัวของผมด้วยความเอ็นดูก่อนจะจูงมือผมพาไปที่โซนเครื่องเล่นหวาดเสียว อย่างแรกที่ผมโดนพาไปคือ เฮอร์ริเคนครับ เครื่องเล่นสุดหวาดเสียวแต่ชวนให้ของหล่นจากกระเป๋ามากที่สุด แต่ไม่มีอะไรทำอันตรายผมได้แน่นอน ผมนี่ฮึดแล้ว ผมออกแรงลากพี่เตอร์ไปที่เครื่องเล่นเลยครับ และหลังจากที่พวกเราได้นั่งเข้าที่แล้วความสนุกสุดเหวี่ยงก็เริ่มขึ้น ผมส่งเสียงร้องเต็มที่ โดยไม่ได้สนใจคนข้าง ๆ เลยหลังจากที่มันเหวี่ยงไปมาสองสามรอบในที่สุดมันก็เริ่มเหวี่ยงจนลอยสักที คราวนี้สนุกยิ่งกว่าเดิมอีกครับ ผมแหกปากจนคอแทบแตกเลยครับ โอยสนุกไปไหน ต่อให้ยังโกรธอยู่ก็เถอะแต่ตอนนี้ขอสนุกก่อน และเมื่อเท้าของผมได้แตะพื้นผมก็ยืดตัวอย่างสบายใจอีกครั้งแต่คราวนี้คนที่ไม่สบายคือพี่เตอร์ครับ ทำหน้านิ่งพะอืดพะอมเหมือนอยากจะอ้วก ผมนี่หลุดขำเลยครับ


พี่เตอร์แพ้เครื่องเล่นหวาดเสียว น้ำตาจะไหลขำหนักมาก ผมนี่หัวเราะจนตัวงอจนพี่เตอร์เงยหน้ามาส่งสายตาดุ ๆ ให้ อันนี้ผมไม่ผิดนะครับพี่เตอร์ชวนเล่นเองนี่นา รับผลกรรมด้วยสิ แต่คราวต่อไปเป็นคราวผมเลือกของเล่นแล้วหละเอานี้เลือกแบบเอ็นดูพี่เตอร์หน่อยแล้วกันแต่คงต้องยอมเปียกกันหน่อยแล้วหละ ผมลากพี่เตอร์ไปที่ซุปเปอร์สแปชครับ หลังจากฝากข้าวฝากของสวมเสื้อกันเปียกเรียบร้อย (แต่เชื่อเถอะมันไม่ช่วยอะไรหรอกไอชุดพลาสติกที่ดูท่าจะขาดได้ทุกเมื่อแบบนี้เนี่ย) ผมก็กระโดนลงไปนั่งที่นั่งแถวหน้าสุดทันที (เขาบอกกันว่า เครื่องเล่นชนิดนี้ต้องนั่งข้างหน้าสุดครับถึงจะมันส์) ที่ถัดมาตามด้วยพี่เตอร์ ผมแอบอมยิ้มในท่าทางของพี่เตอร์ที่ตอนนี้อาการน่าจะยังไม่หายดี และไม่ทันที่พี่เตอร์จะทำใจรับกับเครื่องเล่นเครื่องใหม่นี่ พนักงานก็กดเดินเครื่องจนมันค่อย ๆ เคลื่อนที่ไปตามรางช้า ๆ ก่อนจะไปหยุดที่จุดบนสุดของร่างเขาให้เวลาพวกเราทำใจอยู่สองสามวินาทีหลังจากนั้นก็ทิ้งตัวดิ่งลงไปสุดแรงน้ำสาดประจายไปทั่วผมหัวเราะดังลั่นส่วนพี่เตอร์คราวนี้ทำอะไรไม่ได้ครับพี่เตอร์หัวเราะเสียงดังเหมือนกัน พวกเราพากันลงจากเครื่องลงหัวเราะต่อกระซิกกันก่อนจะเลือกเครื่องเล่นถัดไปเป็นรถไฟที่สิ่งรอบสวนสนุกพี่เตอร์คงอยากพักหายใจหายคอบ้าง ผมขึ้นไปนั่งฝั่งเดีย่วกับพี่เตอร์ก่อนจะเอนตัวพิงไปกับรถจะบอกว่าเหนื่อยไหมบอกเลยนะครับว่าเหนื่อยแต่ก็สนุก ถึงอากาศจะร้อนไปหน่อยก็เถอะแต่ความสนุกมันทำให้หายร้อนหายเหนื่อยผมนั่งเหม่อออกไปมองที่ข้างนอกรถมือข้างหนึ่งเกลี่ยผมให้ทัดหู ผมไม่ได้ทันสนใจอะไรคนข้างกายหรอกครับ แต่ก็พลาดแล้วหละครับเพราะไม่ขวดเย็น ๆ เข้ากระทบที่แก้มของผมจนผมสะดุ้งหันไปต่อว่าเจ้าตัวแทบไม่ทันแต่ก่อนจะได้ว่าอะไร พี่เตอร์ก็ส่งนมรสสตอเบอร์รี่มาให้พร้อมกับพูดสั้น ๆ แต่ทำให้ผมรู้สึกตกใจว่า “พี่ไม่เห็นเรากินนมสตอเบอร์รี่เลยเห็นตอนเด็ก ๆ ชอบกินมาก ๆ พี่เลยซื้อมาให้ พอดีไม่รู้จะเลือกอะไรมาให้ด้วยเลยเลือกของชอบในตอนเด็ก ๆ มาให้แทน ถ้าไม่ชอบแล้วพี่ขอทาด้วยแล้วกัน”


ผมนี่แก้มแดงทันทีก่อนจะรีบคว้านมสตอเบอร์รี่ที่เป็นของโปรดมาก ๆ แต่ไม่มีใครรู้เลยสักคนนอกจากพ่อแม่ของผมมาถือไว้ พี่เตอร์รู้ได้ยังไงผมไม่ไม่เคยกินให้คนอื่นเห็นเลยสักนิด แล้วไม่เคยบอกกระทั่งไอกร ไอบาส และไอไฮซ์ ด้วยนี่พี่เตอร์ไปรู้มาจากไหนหรือว่าเขาจะจำได้จริง ๆ เกี่ยวกับเรื่องในตอนที่พวกเรายังเป็นเด็ก ผมมองสิ่งที่อยู่ในมือก่อนจะเอ่ยขอบคุณคนที่เป็นคนให้เบา ๆ “ขอบคุณครับ” แย่หละสิหัวใจแอบเต้นแรงอีกแล้วแบบนี้ไม่ดีต่อสุขภาพหัวใจเลยสักนิดเดียว...


พวกเราทั้งสองคนเลือกเล่นเครื่องเล่นจนแทบจะหมดสวนสนุกจนเลือกสองสามอย่างสุดท้ายและสิ่งที่พี่เตอร์เลือกเล่น ในช่วงเย็นของวันคือบ้านผีสิง ผมนี่เบ้ปากเลยครับ บอกตรง ๆ เลยว่าไม่อยากเข้าเลยสักนิด ผมไม่ได้กลัวผีนะบอกไว้ก่อนผมแค่ไม่ชอบบรรรยากาศในนั้นหนะสิ แต่ทว่าพี่เตอร์ดันใช้เรื่องที่ผมลากพี่แกไปเล่นไวกิ้งแล้วเกือบอ้วกแตกมาพูดน้อยอกน้อยใจกับผมจนทำให้ในตอนนี้ผมมายืนอยู่หน้าบ้านผีสิ่งสถานที่ ๆ ผมไม่อยากเข้าไปมากที่สุดในสวนสนุกแห่งนี้แต่ทำยังไงได้หละครับต้องตามใจคนเลือกผมยืนค้างอยู่นานเบื้องหน้าประตูบานใหญ่ ปากก็พูดเกลี้ยกล่อมให้พี่เตอร์เลิกความคิดที่จะเข้าไปในนั้นเถอะ


“พี่เตอร์ก็รู้นี่ว่ามันเป็นเรื่องแหกตา จะเข้าไปทำไมหละไปเล่นอย่างอื่ซ้ำแทนก็ได้นะไอบ้านผีสิงนี่อย่าไปเข้ามันเลยนะพี่เตอร์” ผมพยายามพูดให้พี่เตอร์เปลี่ยนใจแต่ไม่ทันแล้วพี่เตอร์ดันผมเข้าไปในประตูเรียบร้อยพร้อมกับประตูที่ปิดลง สภาพในตอนนี้ยังคงมีแสงสว่างอยู่ แต่ถ้าเดินเข้าไปลึก ๆ คงจะไม่มีแสดงแล้วนอกจากแสงนำทางที่เท้าผมหันไปมองหน้าพี่เตอร์ซึ่งพี่เขาก็อมยิ้มจาง ๆ มาพร้อมกับยื่นมือเพื่อให้ผมจับ แต่ฝันไปเถอะผมสะบัดหน้าหนีแล้วเดินนำเข้าไปข้างใน คนอย่างผมไม่เพิ่งพาพี่เตอร์หรอกน่า
ผมสาวเท้าอย่างรวดเร็วโดยไม่มองตามหลังแสงไฟที่เคยมีอยู่บ้างตอนนี้เริ่มมืดลงจนผมแทบมองอะไรรอบข้างไม่เห็นผมหันไปมองรอบ ๆ ตัวก็ไม่เจอพี่เตอร์เดินตามมา พลันอาการแปลก ๆ ก็เกิดขึ้นกับผม มันเป็นอาการที่ผมไม่ได้เป็นมานานมากแล้ว ผมคิดว่ามันจะหายไปจากตัวผมไปแล้วเสียอีก โรคกลัวที่แคบกับความมืด (อาการนี้ไม่เป็นตอนผมนอนในห้องนะครับผมจะแสดงอาการในที่ ๆ ผมไม่คุ้นเคย)


ผมเริ่มหายใจหอบและแน่นหน้าอกเหมือนจะหายใจไม่ออก มือถูกยกขึ้นมากุมไว้บริเวณหัวใจเหงื่อแตกไหลจนรู้สึกว่าเสื้อที่สวมนั้นเปียกชื้น อีกทั้งยังปวดหัวและตัวสั่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมทรุดลงไปนั่งกับพื้นกอดตัวเองเอาไว้แน่นแม้จะมีแสงไฟจากนำทางแต่มันไม่ได้ช่วยอะไรผมเลยครับ


อาการแบบนี้มันเคยเกิดขึ้นตอนผมเด็กอยู่ราว ๆ อนุบาลเลยได้มั้งครับผมตอนนั้นโดนเพื่อนร่วมชั้นแกล้งแล้วขังไว้ในห้องเก็บของใต้บันไดไม่มีใครหาผมเจอจนจนกระทั่งเริ่มเย็นแสงที่เคยส่องเข้ามาเริ่มหายตอนนั้นผมกลัวจนแทบลืมหายใจ รู้สึกปั่นป่วนในท้องหายใจไม่ทัน จนเกือบจะเป็นลม ผมพยายามทุบประตูร้องเรียกให้คนอื่นช่วยแต่ก็ไม่มีใครได้ยินและในขณะที่พระอาทิตย์จะกำลังจะตกดินก็มีคนมาช่วยผมไว้ เขาคนนั้นเป็นเด็กเหมือนกันอายุมากกว่าผมไม่กี่ปีแต่ผมไม่จำไม่ได้ว่าคน ๆ นั้นเป็นใครแต่ในสติที่เลือนรางเขาวิ่งเข้ามาอุ้มผมด้วยแรงอันน้อยนิดและพาผมออกไปข้างนอก


วันรุ่งขึ้นผมก็เริ่มมีอาการกลัวที่แคบและกลัวความมืดแต่ก็มีคน ๆ นั้นอยู่ข้าง ๆ มาเสมอแต่ทำไมผมถึงนึกถึงเขาไม่ออกกัน หรือว่าผมไม่อยากจำเรื่องราววันนั้นจนอยากลืมไปทั้งหมดไม่สิเรื่องของคน ๆ นั้นมันไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากจะลืมสักหน่อยทำไมผมถึงจำไม่ได้กัน ช่วยทำให้ความจำนั้นกลับมาอีกได้ไหม


ผมหายใจหอบสติค่อย ๆ ลางเลือนเต็มที ตอนนี้แม้กระทั่งแสงไฟนำทางผมก็มองไม่เห็นซะแล้ว หัวนั้นช่างหนักอึ้งและในขณะที่ตัวผมจะฟุบลงไปกับพื้น ก็มีมือข้างหนึ่งมาแตะที่ตัว ผมผวาและสะดุ้งตัวหนีแต่ก่อนที่ผมจะได้คลานหนีไปไหนเจ้าของมือนั้นก็ใช้อ้อมแขนของตัวเองมากอดตัวของผมเอาไว้แน่น


ความอบอุ่นนั้นแผ่ซ่านไปทั่วทั้งตัว น้ำตาที่คลออยู่ที่หางตาเริ่มไหลรินอย่างไม่ขาดสายผมร้องไห้เสียงดังก้องไปทั่วเจ้าของอ้อมกอดนั้นลูบหัวของผมอย่างอ่อนโยน ถ้อยคำพูดของเขาปลอบโปลมให้ผมใจเย็นลง การหายใจของผมค่อย ๆ กลับมาเป็นปกติในขณะเดียวกันที่พนักงานของสวนสนุกเข้ามาพาผมออกไปจากที่นี่ ผมกับเจ้าของอ้อมกอดนั่นเดินไปตามพนักงานไปตามทางออกฉุกเฉินที่ถูกทำไว้และเมื่อแสงอาทิตย์ตอนเย็นสาดส่องมาที่ใบหน้าเจ้าของอ้อมกอดนั่นก็คือพี่เตอร์นั่นเอง ใบหน้าหล่อเหลานั้นตื่นตระหนกอย่างมากและเมื่อเขามองมาที่ใบหน้าเปื้อนไปด้วยน้ำตาของผมเสียงทุ้มก็เอ่ยขอโทษผมด้วยความรู้สึกผิดอย่างที่สุด...


“พี่ขอโทษครับเจมส์ พี่ขอโทษจริง ๆ พี่ไม่น่าเลย พี่น่าจะจำได้วว่าเจมส์น่าจะกลัวความมืดกับที่แคบเพราะเรื่องคราวนั้นแต่พี่ผิดเองพี่จำไม่ได้เลยพี่ขอโทษครับ” หลังจากพนักงานเดินจากไปผมก็ได้รับคำขอโทษจากพี่เตอร์ยาวเหยียดใบหน้าคมนั้นแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกผิดอย่างมาก มากจนผมรู้สึกได้ว่าผมสำคัญกับเขามากขนาดไหนผมไม่ได้พูดยกโทษให้เขาแต่ผมเอ่ยถามเขาไปด้วยน้ำเสียงสั่นว่า


“พี่เตอร์ใช่คน ๆ นั้นใช่ไหม...คนที่มาช่วยเจมส์ตอนที่ถูกขังในห้องใต้บันได” สิ่งที่ผมถามทำให้พี่เตอร์นิ่งไปสักพัก ก่อนที่เขาจะพยักหน้าขึ้นลงเบา ๆ เป็นคำตกลง ผมไม่ได้พูดอะไรต่อพี่เตอร์จับมือของผมแล้วพาเดินไปที่เครื่องเล่นสุดท้ายคือเคเบิ้ลคาร์ผมไม่รู้ว่าพี่เตอร์ไปติดสินบนพนักงานไว้หรือเปล่าถึงพวกเราได้ขึ้นมาแค่สองคนแต่ก็ดีแล้วตอนนี้สภาพของผมดูไม่ได้เลยครับผมได้เสื้อคลุมของพี่เตอร์มาคลุมที่ตัวเพื่อบังเสื้อยืดที่เปียกชุ่มของผม


“แล้วพี่เตอร์ใช่พี่ชายคนที่คอยเล่นกับผมที่ไม่มีเพื่อนเล่นใช่ไหม” พี่เตอร์ก็ยังพยักหน้าตอบรับอีก ความทรงจำอันแสนลางเลือนของผมค่อย ๆ ย้อนกลับคืนมาอีกครั้ง


ผมเริ่มจำเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสมัยผมอยู่อนุบาลได้ตอนนั้นผมไวผมยาวประบ่าคุณพ่อกับคุณแม่ชอบให้ผมใส่ชุดเหมือนเดกผู้หญิงเหมือนเป็นการแก้เคล็ดอะไรของเขาแต่ในเมื่อชื่อของผมเป็นเด็กชายกมันก็เกิดเป็นความแปลกประหลาดขึ้นมาทำให้ผมโดนเพื่อนกลั่นแกลงเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นการแกลงหนักขึ้น ในตอนนั้นผมไม่มีเพื่อนเลยสักคนเดียวแม้แต่โรงเรียนตอนนันผมก็ไม่อยากไป


แต่สิ่งที่ทำให้ผมกล้าและอยากไปโรงเรียนก็คือพี่ชายที่แสนใจดีคนหนึ่งที่มาช่วยผมในตอนที่ผมเดือดร้อนคนนั้น วันแรกที่เราพบกันคือวันที่เขาไปช่วยผมจากห้องเก็บของใต้บันได หลังจากวันนั้นเขาก็กลายเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของผมมาตลอด ทุกครั้งที่มีช่วงเวลาพักพี่ชายคนนั้นของผมก็จะมาหาผมเสมอและทุกครั้งเขาจะเขามาช่วยผมจากการถูกกลั่นแกล้งทุกครั้ง


จนวันหนึ่งในตอนที่เราอยู่ในสนามเด็กเล่นพี่ชายคนนั้นเอ่ยถามผมด้วยสีหน้าเขินอายแบบสุด ๆ ว่า ‘เธอได้โปรดมาเป็นเจ้าหญิงของผมได้ไหม’ ในตอนนั้นผมที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวไม่ได้ตอบปฏิเสธหรือตกลงผมเพียงแค่พูดไปว่า


‘งั้นพี่ชายก็ต้องเป็นเจ้าชายและอัศวินนะและคอยปกป้องเจ้าหญิงตลอดไป’ หลังจากนั้นผมคิดว่าคำพูดของผมทำให้พี่เตอร์ยึดติดกันผมมายาวนานขนาดนี้


หลังจากที่เราสัญญากันเราต่างก็พาไปเที่ยวบ้านของกันและกันจนทั้งสองครอบครัวของเราสนิทสนมกันแต่อยู่มาวันหนึ่งในช่วงที่ผมอยู่ชั้นประถมคุณพ่อถูกสั่งย้ายกะทันหันและแม่ของผมก็ต้องย้ายที่สอนเช่นกันทำให้เราทั้งสองคนต้องแยกห่างกัน ไม่มีแม้แต่การบอกลาเพราะสิงที่เกิดขึ้นเมื่อตอนนั้นมันกะทันหันมากเวลาได้ผ่านไปจนในที่สุดผมก็ลืมเรื่องทุกอย่างจนหมด แต่เหมือนสวรรค์ยังไม่โหดร้ายกับผมและพี่เตอร์ไม่รู้ว่าเรียกว่าโลกกลมหรือพรมหลิขิตดีที่ทำให้เรารู้จักกันอีกครังแมจะใช้เวลารู้ตัวนานไปหน่อยก็ตาม


“ยังใจดีไม่เปลี่ยนเลยนะครับพี่หนะ แต่ที่เพิ่มเติมคือความบ้า” ผมพูดพรอมกับหัวเราะเบา ๆ พี่เตอร์ดูเหมือนจะรู้สึกดีขึ้นเมื่อเห็นผมยิ้มและหัวเราะได้ แต่ทว่าความรูสึกผิดก็ยังระบายอยู่เต็มใบหน้าของเขาอยู่ดี


ผมเงยหน้ามองใบหน้ากร้านคมนั่งก่อนจะยื่นมือข้างหนึ่งไปตรงหน้า ผ่ามือของผมยังคงสั่นจากอาการชอคเมื่อสักครู่แต่มันก็ดีขึ้นมากแล้วแต่พอพี่เตอร์เห็นแบบนั้นเขากยังกล่าวของโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนผมต้องพยายามใชนิวที่สั่นเทาดีดไปที่หน้าผากของเขาหนึ่งที


“จะขอโทษอะไรหละ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความผิดของผมเองที่ไม่เคยรู้ตัวว่าเป็นโรคนี้มาก่อนถึงมันจะเคยแสดงอาการบ้างบางครั้ง พี่เตอร์ไม่ผิดสักหน่อยแล้วนี่จะไม่ทำหน้าที่เจ้าชายและอัศวินหน่อยเหรอตอนนี้ ยกให้ตอนนี้เท่านั้นหละนะช่วยจับมือผมทีอย่าปล่อยมือของผมนะ” เมื่อพูดจบประโยคมือกร้านก็ความือของผมเอาไปแนบกับริมฝีปากสายตาของเขาทอดมองมาด้วยความอ่อนโยน


แค่ยกให้ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นหละหลังจากนี้ แล้วแต่ชะตากรรมของพี่เตอร์แล้ว




ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
บางทีก็แอบรำคาญกับความเวอร์วังอันแสนเยอะของพี่เตอร์ กับการหลบเลี่ยงความรู้สึกของเจมส์

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0


Chapter 9


หลังจากวันที่พวกเราทั้งสี่คนไปเที่ยวสวนสนุกผมหลังจากที่ไดคุยกับพี่เตอร์บนเคเบิลคาร์ก็ดันเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ พอรู้ตัวอีกทีร่างของผมก็ไปนอนอยู่ในคอนโดของไอกรมันซะแล้ว ตอนที่ผมตื่นขึ้นมาเจอใบหน้ากระยิ้มกระย่องของไอกรที่กำลังจะพูดล้อผม แต่ทันทีที่ผมเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดไปไอนี่แทบจะวิ่งไปต่อยหนาพี่เตอร์ที่นอนอยู่ในคอนโดของพี่ศิ แต่ยังดีที่ผมรั้งมันไว้ทันไม่งันคงเกิดสงครามย่อม ๆ ภายในห้องของพี่ศิแล้วแต่นอนแต่ยังดีที่ผมรั้งและอธิบายให้มันเข้าใจ หลังจากที่ผมเล่าผมเลยถามมันไปว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ผมเผลอหลับไป มันสรุปฟังคร่าว ๆ ว่าหลังจากผมกับพี่เตอร์ลงจากเคเบิ้ลคาร์ผมก็เหมือนจะสลบไปจนพี่เตอร์ต้องรีบอุ้มผมไปที่ลานจอดรถแล้วรีบขับตรงดิ่งกลับที่พักแต่ท่าทางพี่เตอร์แกไม่มีกระจิตกระใจจะขับรถดังนั้นหน้าที่ขับรถสองคันกลับจึงตกอยู่กับไอกรและพี่ศิที่ต้องพากันขับกลับมาในตอนนั้นผมนอนอยู่เบาะหลังโดยมือขาพี่เตอร์หนุนต่างหมอนตลอดเวลาการเดินทางกลับมือของเขาจับมือผมไม่ยอมปล่อยแม้ตอนที่ผมนอนบนเตียงแลวก็ตาม


ตอนได้ยินสิ่งที่กรมันพูดทำเอาผมหน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุกจนโดนไอกรล้อไปเสียยกใหญ่แต่กระนั้นเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันนันก็กลับมาดวยดี ดังนั้นผมจึงขอกล่าวถึงปัจจุบันในตอนนี้ซึ่งผมกำลังเตรียมงานเฟรชชี่ไนท์ตอนรับเด็กปีหนึ่งอยู่ ผมวุ่นอยู่หลายอาทิตย์และในช่วงเวลาที่ยุ่งนั้นจะมีพี่เตอร์คอยแวะเวียนมาหาตอนที่ว่างเสมอ ทำให้ภาพที่นิสิตแพทย์ส่งส่วย เป็นขนมและน้ำให้ประธานสโมรเป็นที่คุ้นชินของนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ไปซะแล้ว ซึ่งวันนี้ก็เช่นกัน


“เจมส์ครับวันนี้พี่ซื้อนมสตอเบอร์รี่มาฝากแลวนี่เค้กสตอเบอร์รี่ ของกรเป็นชอคโกแลตไอศิฝากมาให้ อันนี้ของบาสครับพายสัปปะรด แล้วมีพวกขนมขบเคี้ยวเอาไปแบ่งกันนะแต่ใครแย่งของที่พี่ให้เจมส์หละก็คราวหน้าไม่ซื้อมาฝากแล้วนะ” พี่เตอร์พูดพลางแจกแจงของกินให้คนในกลุ่ม ดูเหมือนว่าพี่เตอร์จะทำความคุ้นเคยกับคนในกลุ่มของผมได้เป็นอย่างดี อารมณ์เดียวกับตอนที่พี่ศิมาจีบไอกรเลยครับ เข้าทางเพื่อนสินะผมส่ายหัวไปมาก่อนจะหันกลับไปทำงานต่อเหลือเวลาอีกวันเดียวแล้วจะถึงวันงานถ้าไม่รีบจะไม่ทันเอาได้ผมสั่งงานไปเรื่อย ๆ แต่ก็ต้องหยุดลงเพราะมีวงแขนของใครบางคนมาโอบรอบเอวของผมไว้ ส่วนบ่าก็มีคางของเจ้าของวงแขนนั่นมาวางไว้ แน่นอนว่าผมจะยอมให้โดนลวนลามเหรอ ผมบิดตัวไปคิดว่าจะต่อยหน้าพี่เตอร์สักที แต่เจ้าตัวกับพลิ้วตัวหลบทันไปเสียก่อน ผมจิ๊ปากไม่พอใจก่อจะหันไปสั่งงานต่อ


ผมบอกเลยครับว่าแม้ผมจะจำเรื่องราวส่วนใหญ่ย้ำว่าส่วนใหญ่แต่ไม่ทั้งหมด ใช่ว่าผมจะเลิกตั้งป้อมกับพี่เตอร์นะครับ ที่ผมจำได้มันเป็นอดีตครับส่วนปัจจุบัน…ผมยังไม่รู้เลยสักนิดว่าผมคิดยังไงกับพี่เขา ผมหันไปมองใบหน้าหล่อนั่นน้อย ๆ ก่อนจะเบนสายตากลับมาทำงานของตัวเองต่อ เอกสารค่าใชจ่ายมีเยอะและบางอย่างก็ไม่สามารถเบิกกับทางคณะได้ (เอาจริง ๆ คือเกือบทั้งหมดนั่นหละครับที่เบิกไม่ได้) จึงตองทำการคำนวณเป็นอย่างดีว่าเงินที่พวกเรารวบรวมกันมันพอไหม ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว


ผมนั่งเขียนตารางค่าใช้จ่ายไปเรื่อย ๆ จนไม่รู้ว่าเหล่าเพื่อนพ้องที่รักยิ่งของผมเริ่มเปิดโอกาสให้พี่เตอร์อยู่กับผมแค่สองต่อสอง เพราะเมื่อผมเงยหน้ามองรอบ ๆ ตัวอีกทีก็พบว่าคนที่เคยวุ่นวายกันรอบ ๆ ตัวผมหายไปหมดแล้วเหลือทิ้งไวแต่ผมกับพี่เตอร์สองคนเท่านั้น ทันทีที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นผมก็ตวัดสายตาไปมองพี่เตอร์ที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อยู่ข้าง ๆ


“วางแผนอีกแล้วสินะ” ผมพูดเสียงเรียบซึ่งทำเอาพี่เตอร์เหงื่อแตกผลั่กเพราะกลัวว่าผมจะโกรธ แต่เอาจริง ๆ ผมรู้หละครับว่าพี่เตอร์ไม่ได้ไปเตี๊ยมอะไรกับใครหรอกถึงพี่เตอร์จะบ้าแต่พี่เขาก็เกรงใจคนเป็นครับผมรู้ ไอตัวการที่แท้จริงหนะมันคือไอกรสุดที่รักของพี่ศินั่นหละ หน้าอย่างมันกล้าทำทุกอย่างนั่นหละยังดีที่มันไม่ไล่ให้เพื่อน ๆ กลับบ้านกลับช่องก่อนงานจะเสร็จ ผมส่ายศิรีษะไปมาเบา ๆ ด้วยความระอาก่อนจะหยิบขนมที่พี่เตอร์ซื้อมาฝากเอามานั่งแกะทาง


“ถึงผมจะชอบกินสตอเบอร์รี่แต่ไม่ต้องเอาทุกอย่างที่เป็นสตอเบอร์รี่มาให้ก็ได้นะครับ เอาอย่างอื่นบ้านก็ได้…แต่ก็ไม่ได้ไม่ชอบหรอกนะ” ผมพูดพลางตักเค้กสตอเบอร์รี่เขาปากไอคำหนึ่งรสชาติหวานนุ่มแผ่ซ่านไปทั่วลิ้นอีกทั้งเนื้อเค้กที่นุ่มละมุนทำให้รู้ได้เลยว่าไอเค้กชิ้นนี้ราคาไม่น่าจะตัดกว่าหนึ่งร้อยบาท ผมรีบตักเค้กคำแล้วคำเล่าเข้าปากต่อจนกระทั่งเค้กทั้งชิ้นเข้าไปอยู่ในท้องของผมทั้งหมด


ริมฝีปากของผมอมยิ้มจาง ๆ ก่อนจะหันไปแกะนมรสสตอเบอร์รี่มาทานต่อ กินเค้กแล้วต้องต่อด้วยนมรสสตอเบอร์รี่พี่เตอร์ทำให้ผมติดนิสัยนี้ไปแล้วหละครับ รอบเอวดูท่าจะหนาขึ้นเสียด้วยให้ตายเถอะคน ๆ นี้นอกจากจะมาปั่นป่วนคนอื่นแล้วยังทำให้คนอื่นน้ำหนักขึ้นด้วย (ไม่ไดน้ำหนักขึ้นแค่ผมหรอกครับน้ำหนักขึ้นกันทั้งก๊วนแบบเดียวกับคราวที่พี่ศิจีบไอกรเลย นี่ยังดีที่ไม่มีขนมมาถี่ ๆ แล้วไม่งั้นของทั้งสองคนรวมกันต้องลดความอ้วนกันยกใหญ่แน่นอน) มือทั้งสองข้างของผมจับกล่องนมสายตาพลางเบนไปมองที่พี่เตอร์ที่กำลังนั่งลนลานอยู่


“เป็นอะไรไปครับพี่เตอร์” ผมถามเขาหลังจากเห็นท่าทางที่ผิดแปลกไป ซึ่งพี่เตอร์ก็เงียบอยู่นานก่อนจะเอ่ยปากตอบและถามผมอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ บางทีผมก็คิดนะครับว่าพี่ไม่ต้องกลัวผมมากขนาดนั้นก็ได้ผมไม่ได้น่ากลัวมากขนาดนันสักหน่อยก็แค่ชอบวีนเวลาพี่เตอร์ทำตัวน่ารำคาญกเท่านั้นเอง


“พอดีพรุ่งนี้พี่ว่าง น้องเจมส์ใหพี่มางานได้ไหมเอ่อไม่ใช่พี่หมายถึงมาช่วยงานหนะ” พี่เตอร์พูดพลางเกาแก้มตัวเอง ผมมองสีหน้านั่นก่อนจะทอดถอนลมหายใจออกมา เอ่ยปากขอขนาดนี้ต่อให้ห้ามก็น่าจะมาเองอยู่แล้วแน่ ๆ อันที่จริงพี่ไม่ต้องถามผมก็ได้นะครับทั้ง ๆ ที่คิดเอาไว้แล้วว่าจะมาแน่นอนแบบนี้หนะ


ผมนิ่งเงียบไม่ได้ตอบคำถามอะไรพี่เตอร์ออกไปมือพลางรวบเก็บเอกสารทั้งหมดที่วางกระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะรวบเป็นกอง ๆ ไว้ “ถ้าผมไม่อนุญาตก็จะมาใช่ไหม” ผมพูดสั้น ๆ ซึ่งพี่เตอร์ก็พยักหนาขึ้นลงเบา ๆ แทนคำตอบ นั่นไงเห็นไหมว่าพี่เตอร์จะถามผมทำไมถ้าจะทำแบบนี้


“งั้นก็ไม่ห้ามจะมาก็มา แต่อย่าลืมนะว่ามาช่วยงานไม่ได้มาเที่ยวเล่น” ผมเอ่ยเสียงเรียบนิ่งซึ่งพี่เตอร์ก็พยักหนาขึ้นลงรัว ๆ เป็นคำตอบท่าทางพี่แกอยากจะมาเอามาก ๆ เลยนะครับ แต่ก็นะคณะผมไม่ได้มีกฎข้อห้ามไม่ให้คณะอื่นมาด้วยนี่ดังนั้นผมไม่ห้ามก็คงไม่โดนใครว่าหละครับเรื่องแค่นี้เอง


พอสินเสียงพี่เตอร์ก็ถลาเอามากอดผมอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวร่างของผมร่วงลงไปเกือบจะกระแทคกับพื้นหากแต่มีของพี่เตอร์มาโอบรั้งเอาไว้เสียก่อนเขาค่อย ๆ ดึงผมให้ขึ้นมานั่งที่โต๊ะเหมือนเดิมหากแต่มีบางอย่างที่แตกต่างออกไปเพราะระยะห่างของเราสองคนนั้นดันสั้นลง ใบหน้าของเราทั้งสองคนหน้ากันแค่คืบพลันใบหน้าของผมก็ขึ้นสีแดงจัดมือทั้งสองข้างพยายามดันตัวพี่เตอร์ให้ออกห่างแต่ดูเหมือนมันจะไม่มีแรงเอาเสียเลย ใบหน้าของเราใกลกันขึ้นเรื่อย ๆ และในขณะที่ริมฝีปากของเราจะสัมผัสกัน เสียง ๆ หนึ่งก็ดังขึ้นและทุกอย่างรอบตัวของผมก็เงียบสนิทลง รวมไปถึงลมหายใจของผมที่หยุดลงไปด้วย


“ไง ถูกใจบรรยากาศ…….” ซึ่งเจ้าของเสียงนั่นก็คือไอกรนั่นเองและเสียงที่ดังขึ้นนั้นก็ยังดังไม่จบประโยคดีมันถูกไดแค่ครึ่งเดียวเพราะมันตกใจกับภาพที่เห็นตรงหน้า นั่นก็คือผมกับพี่เตอร์กำลังจะจูบกัน ไอกรมันตั้งสติสักครู่ก่อนจะส่งซิกให้เพื่อน ๆ ถอยกลับไปแต่ก่อนที่มันจะได้ทำอย่างงั้นผมก็ดันพี่เตอร์ออกจนพี่เขาตกเก้าอี้แล้วตะโกนสุดเสียงแก้ตัวเรื่องที่พวกมันเข้าใจผิด


“อย่าเพิ่งไปโว้ยกลับมาเดี๋ยวนี้พวกมึงเข้าใจผิดแล้ว ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้นกูแค่จะตกจากเก้าอี้พี่เตอร์เลยเข้ามาช่วย รีบ ๆ กลับมาทำงานกันได้แล้วนี่ก็มืดมากแล้วรีบทำให้เสร็จพรุ่งนี้เช้าจะได้ไม่ต้องมาทำอีกตอนบ่ายจะได้แค่ตกแต่งสถานที่” ผมร้องโวยวายสุดเสียงแต่ท่าทางพวกเพื่อน ๆ (ทั้งภาคเดียวกันและต่างภาค) จะไม่เชื่อกันเลยสักคน หมดกันภาพพจน์ที่ผมสั่งสมมา ผมตวัดสายตาไปมองพี่เตอร์ที่ตอนนี้นอนแอ้งแม้งอยู่ที่พื้นก่อนจะสะบัดหน้าหนีแสดงท่าทางไม่พอใจอย่างมากออกไป สมควรแล้วหละที่จะโดนทำแบบนี้ ดันไม่ยอมปล่อยเอง


ผมหยิบเอกสารทั้งหมดเอาใส่กระเป๋าแล้วลุกขึ้นยืนขาทั้งสองข้างพาตัวเองก้าวเดินผ่านพี่เตอร์ที่นอนอยู่กับพื้นอย่างไม่สนใจ
“รีบ ๆ กลับมาเคลียร์ของเลยเหลือแค่เก็บของที่ทำทิ้งไว้ก็เสร็จแล้วไอกร โทรตามพี่ศิให้มารับได้แล้วกูไม่อยากอยู่รอพี่ศิเป็นเพื่อนมึง” ผมพยายามเปลี่ยนเรื่องให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยเป็นผลสักเท่าไหร่นักเพราะเพื่อน ๆ ของผมแม้มือมันจะทำงานปากมันก็พูดนินทาผมอยู่ด้วย ใหตายเถอะปวดหัวชะมัด แถมตัวการอย่างพี่เตอร์ก็ลุกขึ้นมานั่งทำหน้าบึ้งใส่ทุกคนที่ดันเข้ามาขัดจังหวะ ผมหละปวดหัวจริง ๆ กับเรื่องนี้


หลังจากที่พวกเราจัดและเกบข้าวของทุกอย่างเข้าที่คราวนี้พวกเราก็ได้กลับไปพักผ่อนเสียที ซึ่งวันนี้ผมนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์มากับไอบาส (มอเตอร์ไซค์ของผมอยู่ที่หอครับ) และในขณะที่ผมกำลังเดินไปที่รถมอเตอร์ไซค์สุดรักสุดหวงของเพื่อนสนิทก็ดันมีมือมารมาคว้าแขนของผมเอาไว้ แน่นอนว่าไม่ใช่ใครอื่นไกลพี่เตอร์นั่นเอง ร่างสูงกว่าคลี่ยิ้มกว้างออกมาพร้อมกับกล่างคำที่ผมไม่อยากได้ยินมากที่สุด


“เดี๋ยวพี่ไปส่งนะครับเจมส์” นั่นหละครับทำไมผมถึงไม่อยากได้ยินหนะเหรอ บอกตรง ๆ เลยแม้หัวใจของผมจะหยุดเต้นแรงแล้วแต่ภาพที่ใบหน้าของเราสองคนใกล้กันจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ ของอีกฝ่ายมันยังคงตราตรึงในหัวของผมดังนั้นถ้ายังอยู่ใกล้พี่เตอร์หัวใจของผมก็เผลอเต้นแรงอีกแน่ ๆ


“ไม่เอา มากับไอบาสก็จะกลับกับไอบาสครับ” ผมออกแรงเดิน ซึ่งทำให้ภาพในตอนนี้คือผมเดินย้ำอยู่กับที่ (ใครมันจะไปสูแรงพี่เตอร์ได้ครับแต่รั้งไว้ไม่ให้ตัวปลิวตามแรงดึงก็เต็มกลืนละ) และเป็นที่แน่นอนว่าพี่เตอร์แกไม่ยอม ผมไม่รู้ว่าคนบ้าอย่างพี่เตอร์ไปเสริมแพคเกตเอาแต่ใจพ่วงมาด้วยตั้งแต่เมื่อไหร่แต่ขอบอกเลยว่าถ้าให้เทียบความเอาแต่ใจแล้วพี่ศิกับไอกรยังว่ามากแล้วพี่เตอร์นี่ยังมากกว่าเลยครับ



ผมพยายามส่งสายตาอ้อนวอนพวกเพื่อน ๆ ทั้งหลายให้มาช่วยแต่ไม่มีแม้แต่สัญญาณตอบรับ ส่วนไอคนที่ผมฝากความหวังไว้มากที่สุดอยากไอบาสมันยังทิ้งผมแลวขับมอเตอร์ไซค์ไปแล้วเลย น้ำตาตกในเลยครับนี่ผมต้องยอมกลับกับพี่เตอร์จริง ๆ ใช่ไหมเนี่ย


“ทีนี้บาสไปแล้วเจมส์คงไม่มีใครพากลับแล้ว งั้นกลับกับพี่นะครับ” พี่เตอร์พูดพรอมรอยยิ้มแต่คิดเหรอว่าผมจะยอมผมยังมีไม้ตายสุดท้ายอยู่ครับนั่นก็คือไอกร ขอไปเป็น กขค ในรถแฟนมันคงไม่เป็นไรหรอก แต่ไม้ตายสุดท้ายก็ไม่เป็นผลครับไอกรมันเพิ่งขึ้นรถพี่ศิไปเมื่อกี๋นี้เอง ทำให้ในตอนนี้เหลือแต่ผมกับพี่เตอร์ยืนอยู่ในลานจอดรถมืด ๆ ของคณะวิศวกรรมศาสตร์ โอเคครับยอมแพ้!
“ไปขึ้นรถกันเถอะครับถาช้ากว่านี้เจมส์จะพักผ่อนไม่พอเอานะครับพรุ่งนีมีงานใหญ่ที่ต้องทำอีกนี่” สิ้นเสียงทุ้มร่างของผมก็ปลิวไปตามแรงของเขา ใหตายเถอะผมยังไม่พร้อมที่จะมองหน้าเขาอีกรอบเลยนะใครก็ได้ช่วยผมทีเถอะ


………………..


หลังจากผ่านค่ำคืนที่กล้ำกลืนฝืนทนเพราะนอกจากผมจะโดนพี่เตอร์ลากตัวพาไปส่งที่หอแล้วก่อนหน้านั้นผมยังโดนลากไปกินข้าวมื้อดึกก่อนกลับหอด้วย บอกไดเลยว่าสถานการณ์ตอนนั้นอึดอัดมากของมากที่สุดนั่นก็เป็นเพราะหนึ่งผมไม่กล้ามองหน้าพี่เตอร์ สองพี่เตอร์ดันไม่กล้ามองหน้าผมด้วย สามผมเงยหน้าสบตากันก็ต่างกันหันหน้าหนีอีกรอบอาการแบบนี้เกิดขึ้นเปนสิบ ๆ รอบถ้าไม่บอกว่ามันอึดอัดจะให้บอกว่ายังไง


แต่ปล่อยเรื่องนั้นไปเถอะครับคราวนี้มาถึงงานที่ผมเตรียมการมาอย่างดีเพื่อรุ่นน้องปี 1 ที่น่ารักของของผม ตอนนีเหล่ารุ่นพี่ปีต่าง ๆ กำลังยืนอยู่ใต้คณะซึ่งเป็นสถานที่จัดงานเฟนชชี่ไนท์ครับ โดนแกนนำของทีมคือเหล่าสมาชิกสโมรวิศวะซึ่งก็คือพวกผมนั่นเอง เวทีที่กำลังตกแต่ก็ใกล้จะเสร็จส่วนพื้นที่ต่าง ๆ พวกขนมและของว่างก็ถูกนำมาเตรียมเอาไว้แล้วทีนี้ก็เหลือแต่รอให้พวกน้อง ๆ มางานกัน


ผมมองดูผลงานชิ้นแรกที่สรรสร้างขึ้นมาด้วยความพอใจและทันทีที่ป้ายสีใบสุดท้ายถูกแปะลงที่กระดานบนเวที ผมก็เอ่ยเสียงขอบคุณเพื่อน ๆ พี่ ๆ และน้อง ๆ ทุกคนที่ช่วยกันทำงานนี้ให้สำเร็จ ถ้าไม่นับตัวป่วนสามคนอย่างพี่ศิ พี่วิ พี่เตอร์ หละครับ สาบานว่าสามคนนี้ว่างเป็นไม่ได้มาป่วนพวกผมที่ทำงานกันอยู่เรื่อย ๆ (โดยเฉพาะพี่ศิตอนมาจีบไอกรนี่ดูสุขุมเรียบร้อยแต่พอได้ไอกรแล้ว หมายถึงได้ไอกรเป็นแฟนแล้วความขรึมก็เปลี่ยนไป ผมไม่คิดว่าพี่ศิจะเป็นคนขี้แกล้งและแอบกวนประสาทขนาดนี้ พี่วิกับพี่เตอร์ผมยังพอรู้วีรกรรมมาบ้างแต่กับพี่ศิชอคบอกเลยว่าชอค พอไปถามไอกรว่าพี่ศิเป็นคนกวนประสาทและขี้แกล้งเหรอไอกรดันบอกว่าใช่มึงไม่รู้เหรอเขาเป็นแบบนี้มานานแล้ว ในนี่อยากจะตะโกนบอกไปว่ากูไม่รู้โว้ยพรอมเขย่าคอมันมากแต่กลัวจะโดนพี่ศิฆ่าก่อนเลยยั้งมือทัน) จนไอความเชื่อที่ว่านิสิตแพทย์ชั้นปีที่หกมักจะยุ่งเอามา ๆ นั้นมันหายไปจากหัวของผมเลยครับแต่ก็นะบางครั้งก็เห็นพวกเขาสามคนมาแอบหลับเหมือนกันคงจะเหนื่อยกันจริง ๆ นั่นหละ


“ขอบคุณทุกคนมากเลยนะไปเตรียมตัวกันเถอะอย่าลืมนะว่าสถานะไหนใส่เสื้อสีไหนนะ มีตรงไหนที่คนอื่นสงสัยอีกไหมเรื่องงานหนะ” ผมพูดเตือนและย้ำถามอีกครั้งซึ่งปกติก็ไม่มีใครบอกว่าสงสัยหรอกครับแต่วันนี้ดันมีรุ่นน้องปีสองเจ้ากรรมซึ่งมันเป็นน้องรหัสผมเองยกมือถาม


“แล้วพี่เจมส์จะสวมเสื้อสีอะไรครับ” เท่านั้นหละครับลั่นกันทั้งคณะ ไอน้องเวรถามอะไรไม่ถาม ดันถามเรื่องที่มีประเด็น มันน่าตัดรุ่นนัก


“ใส่เสื้อสีแดง เป็นคนโสดทำไมต้องเนียนว่าไม่โสดวะ” ผมตอบกลับแน่นอนว่าเสียงโห่ดังขึนอีกครั้ง แถมมีแว่ว ๆ มาด้วยว่า ‘แค่ทุกวันนี้พี่ก็ชัดเจนแล้วมาอมพะนำอะไร คบกันแล้วก็บอกมาเถอะ’ แว่ว ๆ ผมปล่อยให้เพื่อน ๆ น้อง ๆ พี่ ๆ ส่งเสียงเมาส์กันอยู่นานในที่สุดเวลาผ่านไปห้านาทีทุกคนก็ได้ฤกษ์หยุดกันเสียที ผมนี่ถอนหายใจอย่างโล่งอกเลยครับ “เอาเป็นว่าแยกย้ายนะ ถ้ามีปัญหาอะไร ไปหาที่สโมรได้นะพวกเราเตรียมตัวอยู่ที่สโมร” สิ้นประโยคเอาเป็นว่าแยกย้ายครับ


แต่ละคนไปเตรียมเสื้อผ้าเสริมหล่อเสริมสวยกันเต็มที่ คราวนี้จะได้แต่งตัวกันสักทีนี่ ผมรู้ครับไอพวกรุ่นพี่ทุกชันปีมันจองจะจับรุ่นน้องแดรกกันทั้งนั้นยกเว้นไอพวกมีแฟนแล้วหละนะ ส่วนผมไม่สนใจใครหรอกครับ ไม่ต้องมาบอกว่าผมมีพี่เตอร์อยู่เลย ผมไม่สนใครจริง ๆ ครับตอนนี้


หลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกันแล้วกลุ่มผมทีมสโมรวิศวะก็เดินทางกันไปที่ห้องประจำการ เสื้อผ้าของแต่ละคนถูกจัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งทุกคนใส่เสื้อง่าย ๆ กันนั่นหละครับเช่นเสื้อยืดกางเกงยีนอะไรทำนองนั้นแต่มีไอคนที่หรูกว่าชาวบ้านหน่อยก็ไอกรที่ใส่เสื้อเชิ้ตคอเต่าสีขาวที่แฟนมันเลือกให้ และยังจำกันได้สินะครับกำไลข้อมือคู่ของมันที่มันได้ตอนปีหนึ่ง ตอนนี้เพิ่มแหวนคู่มาแล้วด้วยครับบอกได้เลยว่าของที่พี่ศิจองตัวมันนี่มีตั้งแต่หัวจรดเท้า


ส่วนของผมก็ไม่มีอะไรมากครับเสื้อยืดสีแดงสกรีนลายสีดำ แต่เพื่อน ๆ เจากรรมดันยัดเยียดให้ผมสวมเสือนอกสีขาวด้วยพอจะถอดก็บอกไม่ให้ถอด พอจะโวยวายมันก็ทำหูทวนลมจนในที่สุดผมก็ยอมแพ้มันหละครับใส่ก็ได้ และที่มันบอกให้ผมสวมแบบนั้นนั่นก็เป็นเพราะสถานะของผมกับพี่เตอร์ยังไม่ชัดเจน…ไม่ชัดเจนตรงไหนผมยัไม่ได้คบกับพี่เตอร์พี่เตอร์ยังไม่ไดคบกับผมมันก็บอกแล้วไงว่าโสด มาบงมาบอกว่าไม่ชัดเจนพอพูดไปแบบนี้ผมก็โดนไอกรสวนมาสั้น ๆ ว่า ‘ไอที่ไม่ชัดเจนหนะหัวใจมึงต่างหาก’ ทั้ง ๆ ที่ผมน่าจะพูดตอบโต้อะไรกลับไปได้แต่ผมกลับนิ่งเงียบไปซะอย่างงั้นทำไมกันนะ ผมส่ายศีรษะไปมาเพื่อลบคำพูดของไอกรออกจากหัวก่อนจะตั้งสติและเข้าไปทำหน้าที่พิธีกรชายของงาน โดยพิธีกรหญิงคู่ของผมก็ไม่ใช่ใครอื่นนั่นก็คือเพื่อนสาวสุดสวยพรีมนั่นเอง


ผมพูดกล่าวเปิดงานพร้อมกับบอกกำหนดการคร่าว ๆ ของงาน ก่อนจะเชิญธรรมการกิตติมศักดิ์ซึ่งทำหน้าที่ตัดสินดาวเดือนของคณะวิศวกรรมศาสตร์ในปีนี้ แน่นอนว่ากรรมการไม่ใช่ใครอื่นก็คือดาวเดือนปีก่อน ๆ นั่นหละครับ ผมค่อย ๆ แนะนำรุ่นน้องแต่ละคนที่มาจากต่างภาคกันให้กรรมการได้รับรู้ก่อนจะเปลี่ยนตัวกับไอกรให้มันเป็นพิธีกรแทนเพื่อนเอนเตอร์เทรนคนดู


บอกตรง ๆ เลยนะครับผมไม่ค่อยชอบการพูดหน้าเวทีสักเท่าไหร่นัก ถ้าให้พูดพรีเซนต์งานหนะสบายมากแต่ให้ผมพูดเอนเตอร์เทรนคนให้สนุกสนานนั้นผมทำไม่ได้หรอกครับ ผมไม่สามารถขนาดนั้น จำที่ผมบอกได้ใช่ไหมครับว่าคนที่ไม่รู้จักผมจริง ๆ มักจะไม่ค่อยชอบขี้หน้าผม อันนี้ก็เหมือน ๆ กันหละครับคนที่ไม่ค่อยรู้จักผมก็คิดว่าผมเป็นคนน่ากลัวไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา จริง ๆ ผมก็ไม่ได้อยากจะเป็นคนแบบนั้นหรอกนะแต่มันบังเอิญเป็นไปเอง น่าจะเป็นเพราะเรื่องสมัยราวเด็กของผมด้วยที่ทำให้ผมกลายเป็นแบบนี้ไป แต่ก็ยังดีที่มีคนช่วยให้ผมไม่แปลกไปมากกว่านี้แต่ก็ไม่ค่อยอยากจะขอบคุณเขาสักเท่าไหร่นัก นั่นไงพอนึกถึงก็โผล่มาเลยตายยากจริง ๆ


พี่เตอร์เดินเข้ามาในคณะวิศวกรรมศาสตร์ด้วยเสื้อสีขาวสะอาดตาซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของคนไม่โสดในงานนี่ ผมนี่ยกมือขึ้นมากุมหัวเลยครับเพราะการที่พี่เตอร์ทำแบบนี้ทำให้ไอกรมันตะโกนแซวออกไมค์มาเสียงดัง “อ้าวคราวนี้มีแขนรับเชิญจากคณะแพทย์ด้วยครับสวมเสือสีขาวซะด้วยดูสิใครเป็นเจ้าของชายหนุ่มคนนั้นกันนะ” พอไอกรพูดจบสายตาทุกคู่ของเด็กปีสองขึ้นไปก็หันมามองที่ผม


ครับ…แล้วผมจะอยู่ที่เดิมทำไมครับหลบมุมสิครับผมเดินหลบไปอยู่หลังเวทีใบหน้าพลางขึ้นสีแดงจาง ๆ และไม่ทันที่ผมจะได้เตรียมตัวเตรียมใจพี่เตอร์ก็โผล่มาข้าง ๆ แล้วใช้ใบหน้าของตัวเองซบลงบนบ่าของผม “ดีใจนะครับที่อย่างน้อยชุดของเจมส์ยังมีสีขาวอยู่ อย่างน้อยก็ทำให้พี่รู้ว่าเจมส์แอบมีใจให้พี่” สิ้นประโยคผมนี่ดันหัวพี่เตอร์ออกจากบ่าพร้อมกับถอดเสื้อนอกสีขาวออกทันที พอทำแบบนั้นพี่เตอร์ถึงกับทำหน้าสลดและเดินไปหยิบเสื้อสีขาวที่ผมปาลงกับพื้นมาถือไว้


“พี่ล้อเล่นครับสวมเสื้อเถอะครับมันเข้ากับเจมส์มาก ๆ เลย” เสียงทุ้มพูดพรอมกับส่งรอยยิ้มจาง ๆ มาให้ ดูเหมือนว่าพี่เตอร์จะรู้หละครับว่าผมเขิน






ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0


ตอนนี้ผมคิดว่าตัวเองเริ่มเปลี่ยนไปแล้วบางทีผมอาจจะ…เริ่มชอบพี่เขาแล้วก็ได้หละมั้งแต่ก็เป็นแต่การคิดว่าจะชอบไม่ใช่ว่าชอบไปแล้ว ผมรับเสื้อนอกสีขาวขึ้นมาสวมทับอีกครั้งก่อนจะโดนอีกฝ่ายจูงมือเดินเข้าไปในกลุ่มคนที่กำลังสนุกสนานกับการแสดงของเหล่าว่าที่ดาวและเดือนคณะ


ในตอนนี้บนเวทีเป็นการแสดงของรุ่นน้องผู้ชายที่กำลังนั่งดีดกีตาร์อยู่ ผมยืนฟังเพลงนั่นอยู่สักพักจนกระทั่งคนที่ยืนจับมือผมอยู่ข้างกายก็ร้องเพลงออกมาโดยเนื้อร้องเป็นเพลงที่รุ่นนองปีหนึ่งคนนั้นกำลังดีดอยู่ ผมหันไปมองใบหน้าคมอยู่อย่างนั้นก่อนที่คำร้องท่อนสุดท้ายจะจบลงเจ้าของใบหน้านั่นก็หันมามองที่ผมพรอมกับรอยยิ้ม พลันใบหน้าของผมก็ขึ้นสีแดงจัดมืออีกข้างที่ไม่โดนเกาะกุมก็ยกไปปิดหน้าของพี่เตอร์เอาไว้


“อย่ามองนะ อย่ามอง ถ้ามองผมโกรธ” ผมพูดไปพร้อมกับเอามือดันหน้าพี่เตอร์ให้ออกไปห่าง ๆ แต่ดูเหมือนว่าผมจะทำเสียงดังเกินไป จากที่ทุกคนควรจะสนใจบนเวลาตอนนี้สายตาทุกคนก็หันมาจ้องมองที่ผมอีกครั้งไม่สิเรียกว่าจ้องมองมาที่ผมสองคนนั่นก็คือพี่เตอร์และผม คราวนี้หละครับพวกผมทั้งสองคนต่างพากับตกลงใจเดินนี้จากจุดที่ยืนอยู่ไปอย่างพร้อมเพรียงกัน


“เพราะพี่เตอร์นั่นหละทำตัวเป็นจุดสนใจ” ผมโวยวายใส่พี่เตอร์ มือพลางทุบตีไปที่อีกฝ่ายเบา ๆ แต่พี่เตอร์กลับส่งเสียงหัวเราะตอบกลับออกมามือหนาพยายามยกมือบังแขนของคนตัวเล็กกว่าไว้


“เจมส์นั่นหละที่ทำให้ทำคนมองมา ถ้าเจมส์ไม่พูดเสียงดังก็ไม่มีใครสนใจหรอก” พี่เตอร์โยนความผิดมาให้ผม แต่แน่นอนอยู่แล้วว่าผมต้องปฏิเสธสุดเสียงอยู่แล้ว มันไม่ใช่ความผิดผมเสียหน่อย พี่เตอร์ต่างหากที่ร้องเพลงออกมา ร้องเพลงที่ทำให้ผมต้องหันไปมองค้างที่เขาในความเพราะของมัน


ดูเหมือนว่าตอนที่พี่เตอร์ประกวดดาวเดือนมหาลัยตอนปีหนึ่งและได้ตำแหน่งมา (คู่กับพี่วินั่นหละ) ความสามารถพิเศษที่พี่เตอร์โชว์นั้นคือการร้องเพลง อีกทั้งไอกรก็เคยบอกว่าพี่เตอร์เป็นคนที่ร้องเพลงเพราะมาก ๆ แต่พี่เตอร์ไม่ค่อยชอบร้องเพลงให้คนอื่นฟังเท่าไหร่นักผมถึงไม่เคยรู้ว่าพี่เตอร์ร้องเพลงเพราะขนาดนี้ผม


“นี่ตะลึงที่พี่ร้องเพลงมากขนาดนี้เลยเหรอครับ ไว้พี่ร้องให้ฟังบ่อย ๆ ก็ได้นะ” พี่เตอร์เอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงยียวนใบหน้าคมโน้มเข้ามาใกล้ ๆ ใบหน้าของผมและแน่นอนว่ามือข้างหนึ่งของผมก็ถูกยกขึนไปดันหน้าพี่เตอร์ไว้อีกเช่นเคย


“ไม่ต้องมาทำเนียนครับพี่เตอร์ ถอนไปห่าง ๆ เลยแล้วเพลงไม่ไดเพราะอะไรดวยแค่ได้ยินคนเสียงเพี้ยนร้องเลยหันไปมองเท่านั้นเอง” ผมพูดเบนไปเรื่องอื่นแกเขิน พี่เตอร์แกก็หัวเราะครับท่าทางผมจะแสดงออกมากไปหน่อยมันเลยทำให้พี่เตอร์จับได้ว่าผมทึ่งเสียงเสียงร้องของเขา


คน ๆ นี้ช่างเป็นคนที่ทำตัวน่าประหลาดใจได้ทุกทีสิน่า ผมคิดพลางเดินไปโซนของว่างง ภายในโซนไม่มีอะไรมากมายครบมีแต่น้ำเปล่ากับน้ำอัดลมกับพวกคุกกี้เล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ทาน ผมหยิบน้ำมาหนึ่งแล้วและคุ๊กกี้อีกจำนวนหนึ่งมาไว้ในมือและกวาดสายตาหาที่นั่งทาน ซึ่งไอคนข้างกายผมก็ทำตามครับแต่รายนี้ตาดี พอเห็นที่ว่างใต้ต้นไม้ร่างสูงกว่าผมก็รีบดึงมือผมให้เดินไปอย่างรวดเร็ว


“ตรงนั้นว่างครับไปนั่งทานกันเถอะ” วันนี้ตั้งแต่พี่เตอร์มาแกยิ้มไม่หยุดเลยนะครับเนี่ยรู้สึกว่าจะทำหน้าหงอยอยู่ครั้งเดียวคือตอนที่ผมโยนเสือทับสีขาวทิ้งนั่นหละและที่สำคัญไปกว่านั้นมือนั่นก็แทบจะไม่ยอมปล่อยเลยด้วย แต่มีสิ่งที่น่าแปลกใจไปกว่านั้นนั่นก็คือทำไมผมถึงไม่โวยวายให้พี่แกปล่อยหละแถมยังรู้สึกคุ้นเคยเรื่อย ๆ ด้วยซ้ำที่โดนพี่เตอร์จับมือไว้แบบนี้ ทำไมกันนะ…


“อื้อ” ผมครางตอบรับในลำคอ ก่อนจะเดินตามแรงที่จูงไป สายตาพลางเหลือบไปมองที่ใบหน้าคมอีกครั้งก่อนที่จะลอบอมยิ้มออกมาแบบไม่ให้อีกฝ่ายเห็น บางทีหลังจากนี้ผมอาจจะเริ่มเข้าใจความรู้สึกของตัวเองมากขึ้นบ้างก็ได้หละมั้งครับ


เมื่อเราทั้งสองถึงว่างพี่เตอร์ก็จัดการปัดใบไม้ที่ตกอยู่ที่โต๊ะออกเพื่อให้ผมนั่งการกระทำแบบนี้ พี่เตอร์ทำเขาเหมือนกับเจ้าหญิงตามที่เราทั้งสองเคยสัญญาเอาไว้แต่บางทีมันก็มากเกินไป ผมหยิกแขนพี่เตอร์เบา ๆ พลางกระซิกบอกให้อีกฝ่ายมองดูรอบ ๆ บ้างว่าพวกเราทั้งสองคนโดนสายตาจ้องมองขนาดไหน และกว่าที่เราจะได้อยู่อย่างสงบก็เป็นคราวต่อไปของรุ่นน้องสาวที่เป็นตัวเก็งดาวคณะปีนี้


“เด็กคนนั้นน่ารักดีนะ แต่ดูขี้อาจยังไงก็ไม่รู้” พี่เตอร์เอ่ยทักรุ่นน้องที่พยายามแสดงความสามารถพิเศษอยู่บนเวที ปกติผมก็เป็นคนมองสาว ๆ ไปทั่วเหมือนกันหละครับแต่ทำไมครั้งนี้ผมถึงไม่ชอบใจเอาเสียเวลาที่พี่เตอร์พูดชมคนอื่นต่อหน้าผมแบบนี คิวเรียวขมวดเขาหากันจนแทบจะเป็นปมแต่ในทันประโยคถัดมาที่พี่เตอร์พูดมันทำให้ความรู้สึกไม่ชอบใจอยู่แล้วยิ่งทวีคูณมากขึ้นไปอีก


“นั้นไงท่าทางแบบนั้นเหมือนตอนเจมส์เขินเลยเห็นไหม นั่นไงตอนเขินแล้วก้มหน้าหงุด ๆ” ทำไมต้องเอาคนอื่นมาเปรียบเทียบกับเขา ทำไมต้องเอาคนไม่รู้จักมาบอกว่าเหมือนเข้าด้วยเล่า


ผมนั่งฟังพี่เตอร์ชวนคุยเรื่องรุ่นน้องคนนั้นอยู่นานสองนาน แม้ผมจะดูนิ่งเงียบเหมือนกำลังฟังเขาพูดอยู่แต่ในสมองของผมกลับตีกันปั่นป่วนไปหมด ไม่ชอบ ใจไม่พอใจ ไม่เข้าใจทำไมถึงเทียบเขากับคนอื่นทั้ง ๆ ที่บอกว่าเขาเป็นคนสำคัญที่สุด ถ้าสำคัญก็ไม่ควรจะเอาไปเปรียบเทียบกับคนอื่นสิ!


และก่อนที่สติขอผมจะหลุดลอยไปมากกว่านี้เสียงของคนข้างกายก็เอ่ยเรียกผม “เจมส์ครับ เจมส์…เป็นอะไรไปเหรอครับเห็นทำหน้าไม่สู้ดีเลย ไปหาที่ลมโกรก ๆ นั่งดีไหม เราทำงานหนักมาตลอดด้วย” พี่เตอร์ถามผมด้วยความเป็นห่วง แต่พี่เขาไม่รู้เลยว่าที่ผมแสดงอาการแปลก ๆ ไปนั้นเป็นเพราะตัวเขาเอง


“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมไปเข้าห้องน้ำก่อน พี่เตอร์รอตรงนี้หละเดี๋ยวผมกลับมา” ผมพูดโดยไม่มองหน้าเขาแล้วรีบสาวเท้าเดินออกห่างไปเรื่อย ๆ ผมแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงที่เขาเรียก จนในที่สุดตอนนี้ผมก็เข้ามาอยู่ในห้องน้ำข้างสถานที่จัดงาน
ผมใช้มือวักน้ำแล้วสาดเข้าใส่ใบหน้าของตนเพื่อให้หัวสมองนั้นเย็นลง ผมไม่รู้เลยว่าการที่พี่เตอร์ให้ความสนใจคนอื่นมากกว่าผม มันจะทำให้ผมรู้สึกไม่พอใจขนาดนี้ ความรู้สึกเจ็บแล่นแปล๊บขึ้นมาภายในใจใบ หน้าที่เคยเขร่งขรึมหากแต่มีรอยยิ้มติดที่มุมปากตอนนี้กลับแสดงสีหน้าที่บ่งบอกเลยว่าหัวใจนั้นรูสึกปวดร้าวแค่ไหน


ไม่อยากให้คน ๆ นั้นเอ่ยชมใคร ไม่อยากให้คน ๆ นั้นเอาใครมาเปรียบเทียบ ไม่อยากให้คน ๆ นั้นมองคนอื่นเป็นคนสำคัญ เพราะสิ่งที่คน ๆ นั้นทำมันทำให้หัวใจเจ็บปวด


ถ้าตัวเขารู้สึกแบบนั้นมันมันใช่ความรักหรือเปล่า…


มือทั้งสองข้างของผมเท้าไปบริเวณอ่างล้างหน้าสายตาพลางมองต่ำลง ผมกอมหน้าไปสักพักก่อนจะตัดสินใจที่จะทำอะไรบางอย่าง


เขาเหมือนจะรู้ความรู้สึกของตัวเองแล้วเขาควรจะบอกความรู้สึกนี้ไปสินะ ความรู้สึกที่เรียกว่า ‘รัก’


หลังจากใช้เวลาทำใจไปสักพักผมก็ตัดสินใจเดินออกไปตรงหาพี่เตอร์ ใบหนาของผมแดงก่ำด้วยความเขินอายหากแต่ตรงจุดที่พี่เตอร์ควรจะนั่งอยู่กับว่างเปลป่าเหลือทิงไวแต่แก้วน้ำสองใบกับคุ๊กกี้จานใส่คุ๊กกี้ ผมมองภาพตรงหน้าด้วยความงุนงงแต่หลังจากนั้นไม่นานสิ่งที่ผมสงสัยก็ถูกคลี่คลายด้วยเสียงพูดของพิธีกร (ที่ไม่ใช่ไอกรและพรีม) บนเวที


“สวัสดีค่ะไหน ๆ เราก็มีแขกกิตติมศักดิ์แล้วขอเชิญขึ้นมาหน่อยนะคะ แหมเดือนมหาลัยจากคณะแพทย์ศาสตร์แอบแวะมาหาใครเหรอคะ” นั่นเป็นเสียงพูดของรุ่นพี่ปีสี่ เธอพลางยื่นไมค์ไปจ่อที่ปากพี่เตอร์แต่พี่เตอร์พยายามที่จะปฏิเสธแต่รุ่นพี่คนนั้นยังไม่ยอมหยุดที่จะแกล้งพี่เขา


“บอกกันหน่อยนะแถมใส่เสื้อสีขาวด้วย มีเจ้าของแล้วหรือนี่น่าเสียดายจังแต่ว่าหล่อแบบนี้ไม่มีก็แปลกแล้วหละ แต่รู้ตีมงานของคณะเราหรือเปล่าเนี่ย ถ้าไม่รู้แสดงว่าโสด” รุ่นพี่ผู้ชายอีกคนพลางพูดหยอกล้อ ส่วนพี่เตอร์ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ตอบกลับไป เขาไม่ได้พูดตอบรับหรือปฏิเสธนั่นทำให้ผมรู้สึกเจ็บมากขึ้นกว่าเก่า


นั่นเป็นเพราะผมคอยปฏิเสธพี่เตอร์หรือเปล่านะ พี่เตอร์ถึงไม่ยอมพูดอะไรออกมาเลย ต้องเป็นเพราะผมบอกใหพี่เตอร์ไม่แพร่งพรายเรื่องของเราออกไปสินะ


“ก็ยังไม่มีใครเป็นเจ้าของครับ” พี่เตอร์พูดพร้อมกับเกาแก้มแก้เขิน เสียงโห่ร้องของคนภายในงานดังขึ้นโดยเฉพาะรุ่นน้องปีหนึ่งที่พี่เตอร์เอ่ยทักว่าเหมือนกับผม เธอคนนั้นมองพี่เตอร์ด้วยสายตาชื่นชมเหล่าเพื่อน ๆ ที่ยืนอยู่ข้างต่างร้องแซวให้เธอขึนไปสารภาพรักกับพี่เตอร์ ซึ่งเธอคนนั้นก็เดินขึ้นไปบนเวที ผมได้ยินเสียงบอกรักเตมสองหูภาพของคนสองคนที่เขินใส่กันมันบาดตาของผมเหลือเกิน


ผมตัดสินใจหันหลังให้กับภาพที่ปรากฏตรงหน้าก่อนจะออกวิ่งออกไป วิ่งออกไปให้ห่างจากสถานที่แห่งนี้ ไม่อยากแม้แต่จะมองภาพพวกนั้น ในตอนนี้เขาไม่อยากแม้แต่จะเห็นหน้าและรอยยิ้มของคน ๆ นั้นที่มันไม่ได้ยิ้มให้กับเขา


หลังจากที่ผมออกวิ่งมาไกลพอสมควรผมก็หยุดโน้มตัวหายใจหอบ ในวันที่ทุกคนสนุกสนานกันผมไม่ควรจะเข้าไปทำลายความสนุกสนานนั่น ผมไม่อาจทนเห็นรอยยิ้มนั่นได้


ผมบอกแล้วไงว่าพี่เตอร์แค่ยึดติดกับภาพในอดีต…สำหรับพี่เขาจะเป็นใครก็ได้ถ้าคน ๆ นั้นเหมือนกับคนในความทรงจำของเขาและคน ๆ นั้นไม่จำเป็นต้องเป็นผม


ผมตัดสินใจที่จะทิ้งงานที่ทุ่มเททำทุกอย่างลงกับมือก่อนจะเดินออกไปหาอะไรทำให้มันลืม ๆ เรื่องราวและความรู้สึกที่ตัวเองเพิ่งจะไดรับรู้…


‘ผมรู้แล้วหละว่าผมคิดยังไงกับพี่เตอร์…ผมคิดว่าผมรักพี่เตอร์ครับ’ มันคงเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะได้พูดออกไปทั้งในตอนนี้และตลอดชีวิต


………………..


สวัสดีครับผมกลอสเตอร์ เมื่อสักครู่นี้เป็นอะไรที่ดวงซวยสุด ๆ เลยหละครับเพราะหลังจากเจมส์ขอตัวไปเขาห้องน้ำตัวผมก็โดนรุ่นน้องลากขึ้นไปบนเวทีแถมโดนพูดอะไรต่อมิอะไรใส่ก็ไม่รู้ ไอผมก็ตอบถูกบางไม่ถูกบ้าง จนท้ายที่สุดกวนมาเรื่องแฟนจนได้ คำถามนี้ทำผมเหงื่อตกเลยครับเพราะน้องเจมส์ไม่ยอมให้ผมพูดความสัมพันธ์ของเราออกไป แล้วจะให้ผมพูดอะไร ออกไปดี ดังนั้นผมจึงได้แต่เออออตามพิธีกรไป แต่ความซวยมันช่างน่ากลัวครับเพราะผมดันโดนถามเรื่องว่ามีใครเป็นเจ้าของหรือเปล่าจะให้บอกว่าเจ้าของตัวหนะยังไม่มีแต่หัวใจหนะมีแล้วผมจึงตอบไปตามความจริงและตอบแบบเซฟตัวเองที่สุดเพื่อไม่ให้น้องเจมส์มาโวยวายใส่ได้ ทว่าเมื่อผมตอบไปแบบนั้นกดันมีรุ่นน้องปีหนึ่งคนเดียวกับคนที่ผมบอกว่าท่าทางตอนเขินเหมือนเจมส์หละครับขึ้นมาสารภาพรักกับผมคราวนี้ผมถึงกับไปไม่ถูก ผมหนะปฏิเสธแน่นอน เพราะชื่อก็เพิ่งรู้จักเมื่อกี๋จะให้มาคบคนไม่รู้จักก็บ้าแล้ว ผมลนลานไปมาส่วนเด็กตรงหน้าก็ทำตัวเขินไปมาจนในท้ายที่สุดผมก็ตั้งสติได้และกล่าวปฏิเสะออกไป เธอดูเหมือนนำตาจะซึมน้อย ๆ แต่ดูไม่น่าจะเป็นอะไรมา หลังจากการสารภาพรักกลางคณะจบลงผมกได้ลงจากเวทีผมถอนหายใจโล่งอกกับสิ่งที่ตัวเองได้เจอ ทว่าสิ่งที่ผมเจอหลังจากนี้ทำเอาตัวผมต้องรู้สึกเสียใจไปตลอดชีวิต


เพราะทันทีที่เท้าผมแตะลงบนพื้นน้องบาสก็วิ่งเข้ามาหาผมพร้อมกับพูดอย่างร้อนรนว่า “พี่เตอร์ไอเจมส์หาย…ไม่รู้ว่ามันหายไปไหน แต่มีคนเห็นว่ามันวิ่งออกไปจากคณะ ผมไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรแต่รีบไปหาเถอะ ไอนี่ถ้ามันเป็นแบบนี้แสดงว่าตองมีอะไรกระทบจิตใจมันมากแน่ ๆ มันเลยวิ่งหนีไปแบบนี้ไม่รู้ว่ามันไปที่ไหนด้วยถ้าไม่ไปดื่มก็จะดี ถ้ามันดื่มไม่รูจะไปมีเรื่องกับใครเขาเข้า”


พอผมได้ยินแบบนั้นใจของผมนั้นร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่มบางทีเจมส์อาจจะได้ยินในสิ่งที่ผมพูด หรือบางทีเจมส์อาจจะได้ยินในสิ่งที่น้องคนนั้นบอกกันผม ตอนนี้ผมไม่รู้จะเริ่มทำอะไรแล้วจะวิ่งไปที่ไหนดี ตามหาเขาที่ไหนดี ตอนนี้ในสมองของผมไม่สามารถประมวลผลได้อีกต่อไปแล้วแต่ก่อนที่สติจะหลุดลอยไปมากกว่านี้ เสียงผ่ามือสัมผัสกับใบหน้าของผมก็ดังขึ้น ผมโดนน้องกรตบใบหน้าที่มักจะน่ารัก (ฬนสายตาเพื่อนของผม) บัดนี้เต็มไปด้วยความโกรธ ร่างโปร่งตะโกนต่อว่าผมป่าว ๆ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ผมไม่อาจเถียงได้มันเป็นความผิดของผมทั้งหมดจริง ๆ


ผมดันพูดแบบไม่คิดทั้ง ๆ ที่มีคนสำคัญในหัวใจอยู่แล้ว


ผมดันพูดแบบนั้นออกไป ผมทำให้หัวใจของผมต้องเจ็บปวด และถ้าหากหัวใจของผมเป็นอะไรไปผมคงไม่อาจให้อภัยตัวเองได้ตลอดชีวิต


เมื่อตั่งสติได้ผมก็รีบออกวิ่งไปทีรถและรีบขับรถออกไปตามหาหัวใจของตัวเอง ขออย่าให้เขาคนนั้นทำอะไรบ้า ๆ ขอให้ปลอดภัย

 
………………..


หลังจากที่ผมวิ่งหนีออกมาจากงานผมก็ขับรถไปรอบ ๆ มหาวิทยาลัยก่อนจะหยุดและจอดรถลงที่ลานกว้างแห่งงหนึ่ผมเดินไปตามทาง เทาพลางเขี่ยเล่นไปมาตามประสาคนว่าง ในตอนนีผมเริ่มเข้าใจพี่เตอร์แล้วหละว่าการที่ถูกคนที่ตัวเองบอกว่ารักหรือบอกว่าชอบปฏิเสธมันเป็นยังไงมันรูสึกเจบปวดแค่ไหน ผมทรุดนั่งไปกับตนไหมแขนทังสองข้างโอบกอดเข่าตัวเองไว้แน่น
บางครั้งการรู้สึกตัวช้าเกินไปก็ทำให้เราเจ็บปวด ความจริงแล้วผมไม่ควรที่จะเปิดเผยตัวเองว่าเป็นคนที่พี่เตอร์ตามหาเลย ให้พีเตอร์เป็นผู้ชายปกติธรรมดา ๆ มีชีวิตธรรมดา ๆ แบบคนอื่นเขา


และที่สำคัญตัวของผมจะไดไม่รัก…เขาแบบนี้…


ผมซุกหนาลงไปกันขาตัวเองก่อนจะรองสะอื้นเบา ๆ ไม่ไดอ่อนแอขนาดนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ ไม่ได้ร้องไห้แบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ ผมถามตัวเองในใจ


ความเงียบสงบปกคลุมรอบกายในที่แห่งนี้มีแต่ผมเพียงคนเดียวเท่านั้น ถ้าผมแหกระบายความรู้สึกออกไปมันจะไม่เป็นไรใช่ไหม ถ้าผมปลปดปล่อยความรู้สึกที่อึดอัดอยู่ภายในใจมันจะทำให้ผมดีขึ้นใช่ไหม พอคิดได้แบบนั้นผมก็สูดลมหายใจตัวเองเขาลึก ๆ ก่อนที่จะตะโกนสิ่งที่อยู่ในใจของตัวเองออกมาทั้งหมด


“พี่เตอร์…ไอคนบ้า…เข้ามาในชีวิตทำให้คนอื่นเข้าปั่นป่วนไปหมด พอเห็นหนาก็ทำอะไรไม่ถูก เป็นคนบ้าที่บ้ามาก ๆ ทั้ง ๆ ที่ไล่ไปไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแล้วแท้ ๆ ฮึก…ฮึก….” เสียงพูดปนสะอื้นของผมดังไปก้องไปทั่ว ทว่าสิ่งที่อัดอั้นที่อยู่ในใจของผมมันยังไม่หมดเพียงแค่นั้น ผมสูดลมหายใจอีกครั้งก่อนจะตะโกนออกไปต่อ


“ทั้ง ๆ ที่ไล่ไปแล้ว แต่ก็ดันชอบเข้ามาในเวลาที่อ่อนแอ ดันกะจังหวะได้พอดีเหมือนกับรู้อนาคตได้แบบนี้ถึงไดไม่ชอบยังไงหละ ไม่ชอบเลยจริง ๆ คนนิสัยเสียแบบนี้…เกลียดที่สุดแต่ก็ดัน…ชอบไปแล้ว” ผมพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไปหมดแล้ว ทังหมดที่ค้างคาอยู่ภายในใจผมไดปลดเปลื้องมันออกไปแล้ว แต่ในขณะที่ผมพูดผมดันไม่รู้เลยว่าคนที่ผมกล่าวถึงนั้นยืนอยู่ข้างหลังผม


ร่างสูงนั้นตกใจในสิ่งที่ตัวเองได้ยินเขานิ่งค้างไปชั่วครู่หนึ่งก่อนจะตะโกนตอบกลับไป สิ่งที่เขาหวังไว้มันเป็นความจริงแล้วคน ๆ นั้นรักเขาแล้ว


“เจมส์…ชอบพี่อย่างงั้นเหรอครับ” เสียงทุ้มเอ่ยพูดออกไปด้วยความดีใจ เจาของชื่อถึงกับสะดุ้งเมื่อไดยินเสียงคน ๆ นั้นตอบกลับมา ร่างเล็กกว่าสะดุ้งยืนแล้วหันไปหาต้นเสียงก่อนจะเจอกับร่างสูงที่ตัวเขากร่นด่าไปเมื่อสักครู่และเมื่อเห็นแบบนั้นเขาก็หันหลังแล้วเตรียมที่จะวิ่งหนีแต่ไม่ทันเสียแล้วร่างทั้งร่างนั้นถูกดึงเข้าไปในอ้อมกอดอุ่น ใบหน้าคมซุกลงที่บ่า


“พี่ก็รักเจมส์มาก ๆ เลยครับ พี่ขอโทษที่ทำแบบนั้นไปพี่แค่คิดว่าเจมส์ไม่อยากให้ใครรูว่าพี่กำลังจีบเจมส์อยู่ ส่วนเด็กคนนั้นไม่มีอะไรจริง ๆ นะแลวพี่ก็ปฏิเสธเธอไปแล้วด้วยจะให้ไปประกาศบนเวทีอีกรอบเลยก็ได้ว่าพี่มีเจ้าของหัวใจแล้ว” พี่เตอร์พูดน้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความดีใจ แต่กระนั้นตัวผมก็ไดตัดสินใจไปแล้วว่าจะทิงความรู้สึกนี้


ผมพลิกตัวแล้วหันไปดันอีกฝ่ายออกจากร่างใบหน้าของผมก้มลงไปจากพื้นจะตะโกนก้องกลับไป “ผมตัดสินใจไปแล้วพี่ไปเถอะครับ ตอนนี้ผมรู้ว่าผมเกลียดพี่มาก ไม่อยากจะเห็นหน้าช่วยไปให้ไกลจากผมทีครับ” ผมเลือกใช้คำพูดที่ทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายมากที่สุดแต่ดูเหมือนมันจะทำอะไรคน ๆ นั้นไม่ได้


ร่างของผมถูกดึงเข้าไปในอ้อมกอดนั่นอีกครั้งมือข้างหนึ่งข้างเขาเชยคางของผมก่อนจะประทับริมฝีปากตนลงมาที่ริมฝีปากองผม รสจูบนั้นแผนซ่านไปทั่วหัวใจน้ำตาของผมไหลรินออกมาอีกครั้ง ริมฝีปากของเราทั้งคู่สัมผัสกันอยู่นานก่อนที่พี่เตอร์จะเป็นฝ่ายผละออกไป


“ถ้าเจมส์เกลียดพี่ช่วยมองหน้าพี่แล้วบอกพี่อีกทีเถอะครับ” เสียงทุมสั่นเครือนัยน์เนตรคมนั้นจับจองมาที่ผม…



ขี้โกง…ถ้าทำแบบนั้นผมก็พูดมันออกไปไม่ได้หนะสิ คำว่าเกลียดหนะ ผมได้แต่ยืนร้องไห้แต่ไม่สามารถเอ่ยคำพูดอะไรต่อไปได้ จนในท้ายที่สุดเสียงทุ้มนั่นก็เอ่ยถามคำถาม ๆ หนึ่งขึ้น


“เจมส์ครับ…เป็นแฟนกับพี่ได้ไหมครับ” สิ้นสุดคำถาม…ผมก็เงยหน้าและประทับจูบลงไปผมริมฝีปากหนานั่นเป็นคำตอบ


รัก…ที่เกิดขึ้นจากความผูกพัน…คำสัญญาสมัยเด็ก…


นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เราทั้งสองคนได้รักกัน…



End



ยังเหลืออีกตอนนึงนะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
จบซะแล้ว
ขอบคุณค่ะ
 :pig4:

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
ยังดีที่รู้ใจก่อนจะสายไปนะ เจมส์

รออีกตอนจ้าาาาา :ling1:

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0


Chapter 10


ถ้าจะกล่าวถึงเรื่องราวต่อจากงานเฟรชชี่ไนท์ จะให้ผมเล่ายังไงดีหละมันเขินนะครับที่จะบอกกับใครว่าผมมีแฟนแล้ว เอาเป็นว่าหลังจากผมร้องไห้จนพอใจเราสองคนก็ตกลงคบกันแต่ผมบอกพี่เตอร์ให้เก็บเรื่องที่เราคบกันเป็นความลับเอาไว้ก่อน ถึงพี่เตอร์จะร้องโอดโอยไม่พอใจแต่ผมยืนกรานว่าถ้าไม่ยอมเก็บเป็นความลับผมจะไม่ยอมคบกันเขา นั่นจึงทำให้พี่เตอร์คอตกยอมรับข้อตกลง


แต่ผมคิดว่าไอความลับที่เราคบกัน น่าจะอยู่ไม่ได้นานหรอกครับเพราะพี่เตอร์เล่นเทียวไปเทียวมาระหว่างคณะแพทยศาสตร์กับคณะวิศวกรรมศาสตร์ทุกเวลาที่พี่แกว่างแบบนี้ นี่ยิ่งกว่าตอนที่พี่ศิตามจีบไอกรอีกนะครับ ไหนปากบอกปาว ๆ ว่าไม่ว่า ไอสถานการณ์แบบนี้มันยิ่งกว่าว่าแล้วหละครับ ถึงผมจะทำเป็นไม่สนใจหรือออกปากไล่ไปมากขนาดไหนพี่แกก็ยังคงหน้าด้าน ใช้คำนี้หละครับเหมาะสมแล้ว หน้าด้านมาหาเหมือนเดิม อันที่จริงแล้วผมไม่ได้ไม่อยากเจอหน้าแกหรอกครับ แต่คิดว่าถ้าเกิดเห็นหน้าพี่เตอร์มากเกินไปความลับที่เราคบกันอาจจะแตกได้ นั่นก็เป็นเพราะทุกครั้งที่ผมเห็นรอยยิ้มของเขาใบหน้าผมจะร้อนฉ่าและขึ้นสีแดงเข้ม หัวใจก็เต้นแรงแถมมือไม้ก็รู้สึกเกะกะไปหมด กว่าจะบ่ายเบี่ยงหาข้ออ้างแก้ตัวไปได้แต่ละทีก็แสนยากเย็น ดังนั้นผมถึงไม่อยากให้พี่เตอร์มาหายังไงหละ


และด้วยเหตุผลที่กล่าวมาทั้งหมดผมเลยทำข้อตกลงว่าจะไปหาพี่เตอร์ตอนเย็นเอง ตอนแรกก็งองแงอยู่หรอกครับว่าจะให้มาหาตอนกลางวันด้วย แต่ผมบ่นกลับไปว่าใจคอจะไม่ให้ผมอยู่กับเพื่อน ๆ บ้างเลยหรือไง แกเลยยอมว่าตอนเย็น (หลังจากผมทำงานหรือไปเที่ยวกับเพื่อนเสร็จแล้ว) อย่างเดียวก็ได้ และนั่นทำให้ผมมายืนอยู่หน้าโรงพยาบาลที่พี่เตอร์เข้าเวรอยู่ตอนนี้ครับ


ผมผู้ซึ่งที่สวมเสื้อชอปคนเดียวในที่แห่งนี้ค่อย ๆ เดินย่องไปทางห้องพักของนิสิตแพทย์ พยายามทำตัวให้เนียนไปกับกำแพงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ (ผมหลบไอกรมาครับไม่ได้มากับมันวันนี้ผมสืบแล้วว่าไอกรไม่มาหาพี่ศิมันกลับไปรอที่หอดังนั้นผมถึงได้ยอมมายังไงหละ) และในที่สุดผมก็พลางตัวมายืนที่หน้าห้องพักนักนิสิตแพทย์ได้สักที มือข้างหนึ่งของผมค่อย ๆ เปิดประตูเข้าไปภายในห้อง มืออีกข้างกอดกระเป๋าสะพายตัวเองไว้แน่นสายตาพลางสอดส่องไปรอบ ๆ ก่อนจะรีบแทรกตัวเข้าไปด้านใน


ความจริงแล้วไอห้องพักนิสิตแพทย์เหมือนห้องประชุมคุยงาน เขียนรายงานหละครับ แต่มันควรจะมีแต่นิสิตแพทย์เข้ามาใช้ไม่ใช่ให้นิสิตวิศวะเข้ามาใช้แบบนี้ แถมเหตุผลที่ใช้ก็น่าเกลียดเกิน...ใช้เป็นสภานที่รอ......แฟนเลิกเรียน (คำนี้ยังไงก็ไม่คุ้นสักทีครับ ก็คนมันไม่เคยมีแฟนมาก่อน แม้แต่คนที่สนใจก็ไม่เคยมี อย่าไปบอกพี่เตอร์หละว่าพี่เตอร์เป็นคนที่ผมคบด้วยคนแรกและเป็นคนเดียวที่ผมรู้สึกชอบ) ถ้ามีอาจารย์เข้ามาเจอแล้วผมบอกเหตุผลไปว่าผมมาทำอะไรที่นี่ มีหวังโดนเตะโด่งออกจากห้องแน่นอน ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะหยิบชีทที่เพิ่งซีรอกเอาขึ้นมาอ่าฆ่าเวลา ตังยังพอมีเวลาให้ทบทวนบทเรียนเห็นว่าพี่เตอร์เลิกสองทุ่ม นี่เพิ่งหกโมงครึ่งจะให้เวลาเสียเปล่าไม่ได้


ผมก้มหน้าก้มตาทบทวนบทเรียนไปเรื่อย ๆ แม้จะมีนิสิตแพทย์หลาย ๆ คน (ทั้งปี 4-6) เข้าแวะเวียนมาในห้องพร้อมกับสงสายตามองมาด้วยความสงสัยแต่ผมก็ยังนั่งหน้าด้านหน้าทนมันอยู่ในห้องนี่หละ ก็คนเขาไม่มีที่ไปจะให้ไปรอที่ไหนหละ แถมเหลือเวลาอีกแค่แป๊บเดียวแล้วด้วยผมเหลือบตามองดูนาฬิกาที่แขวนอยู่บนกำแพงและทันทีที่เข็มยาวเคลื่อนที่ไปยังเลข 12 มือถือของผมก็แผดเสียงดังลั่นทันที อารมณ์คนตกใจทำให้เกือบคว้ามือถือพลาด แต่คนที่โทรมานี่ไม่ต้องเดาเลยว่าใคร


ไอคนที่โทรมาทันทีหลังเลิกเรียนในแต่ละคาบมีอยู่คนเดียวหละครับ (ไอคุณ)พี่เตอร์ แฟนหมาด ๆ ของผมนั่นเอง ให้ตายเถอะบอกแล้วว่าให้โทรมาเฉพาะเวลาจำเป็นแต่ดันบอกว่า ‘เวลาที่พี่คิดถึงเจมส์มันก็จำเป็น แล้วพี่คิดถึงเจมส์ทุกเวลาดังนั้นเวลาที่ว่างพี่เลยเลือกโทรหาเจมส์ตลอดไงหละครับ แฟนของเจมส์น่ารักใช่ไหม’ อยากจะตอบไปว่าน่ารักกับผีแต่ก็ยังมีความเกรงใจอยู่บ้างครับ


ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสายแน่นอนว่าไม่ทันที่ผมได้พูดอะไรเสียงสดใสก็ดังแทรกมาตามสายจนผมต้องเอาห๔ออกห่างจากโทรศัพท์ “เจมส์ครับ ตอนนี้รออยู่ที่ห้องพักใช่ไหมครับเดี๋ยวพี่รีบไปหานะ ไอศิ ไอวิเร็ว ๆ ดิวะ แฟนเรารออยู่” ประโยคแรกพี่เตอร์พูดกับผมส่วนประโยคหลังพี่เตอร์พูดกับเพื่อนของเขาครับ


แล้วทำไมพี่เตอร์ถึงเปิดเผยเพื่อนผมเป็นแฟนกันกับพี่ศิพี่วิได้ นั่นก็เป็นเพราะพี่เตอร์ใช้จุดอ่อนของสัญญาครับ ดันมาบอกว่า เจมส์ให้ตกลงว่าจะเก็บเป็นความลับกับเพื่อนของเจมส์ แต่ไม่ได้รวมไปถึงเก็บเป็นความลับกับเพื่อนของพี่ด้วยนี่ ครับดังนั้นในตอนนี้ก็มีเพียงพี่ศิกับพี่วิเท่านั้นที่รู้ว่าผมตกลงปลงใจกับพี่เตอร์แล้ว แต่ผมเอาหัวเป็นประกันว่าอีกไม่นานเพื่อน ๆ ของผมทั้งกลุ่มต้องรู้เรื่องแน่นอน และจากที่ผมคิดไว้ไอตัวปากบอนที่เอาไปพูดหนะต้องเป็นไอกรชัวร์


ทำไมผมเชื่อมั่นแบบนั้นหนะเหรอ ข้อแรกมันเป็นแฟนกับพี่ศิ ข้อสองมันเป็นแฟนกับพี่ศิ และข้อสามก็มันเป็นแฟนของพี่ศิที่เป็นเพื่อนกับพี่เตอร์ไง ถ้ามันไม่รู้นี่ ขอเรียกว่ามันโง่เกินเยี่ยวยาแล้วครับ


ผมทอดถอนลมหายใจยาวเหยียดออกมาพลันบานประตูห้องพักก็เปิดออกพร้อมกับร่างสูงของพี่เตอร์ที่ถลาเข้ามาภายในห้อง “Hello, My littlr princess” เท่านั้นหละครับ ชีทปึกใหญ่ที่อยู่ในมือผมก็ปลิวไปโดนหน้าพี่เตอร์พอดีเปะ แหมแม่นอย่างกับจับวาง


“พี่เตอร์บางทีก็ควรเลิกเรียกผมแบบนั้นสักทีนะครับ” ผมพูดพร้อมกับใบหน้าแดงก่ำ ส่วนพี่เตอร์เอามือลืมหน้าป้อยๆ พร้อมกับก้มเก็บชีทเรียนของผมขึ้นมา


“ทำแบบนี้หน้าหล่อ ๆ ของแฟนก็เสียหมดสิครับ” พี่เตอร์พูดยียวน ส่วนผมเตรียมจะหยิบชีทอีกปึกหนึ่งซึ่งหนากว่าเดิมเตรียมปาใส่


“ให้เสียโฉมไปเลยก็ได้” แต่ก่อนที่จะเกิดสงครามอะไรไปมากกว่านี้ ตัวห้ามทัพอย่างพี่ศิก็เข้ามากันระหว่างเราสองคนเอาไว้ ความใจเย็น (หละมั้ง) ของพี่ศิยังคงช่วยชีวิตพี่เตอร์ได้เสมอ (ผมลืมบอกใช่ไหมครับว่าผมคบกับพี่เตอร์ได้ราว ๆ สองอาทิตย์กว่าแล้วครับ และไม่มีวันไหนที่เราจะไม่ทะเลาะกันแต่สุดท้ายคนที่จบเรื่องราวทั้งหมดให้นั่นก็คือคนที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วยเลยอย่างพี่ศิ)


“พอเถอะครับเจมสืถ้าโวยวายมากกว่านี้อาจารย์จะเข้ามาว่าได้นะครับ” เสียงทุ้มที่พูดติดดุนิดหน่อยเอ่ยเตือนผม ซึ่งผมก็ทำตามพี่ศินะครับ บางทีถ้าผมเป็นผู้หญิงผมจีบพี่ศิไปแล้วไม่ปล่อยให้รอดมือไปถึงไอกรหรอก คนอะไรสุดแสนจะเพอเฟกหัวจรดเท้า หน้าตาก็หล่อ ฐานะทางบ้านก็ดี การเรียนเป็นเลิศ ที่สำคัญรักใครรักจริง ต่างจากใครบางคนแถวนี้ลิบลับ แต่ยกให้ข้อหนึ่งแล้วกันว่ารักใครรักจริง ถ้าไม่มีข้อนี้ผมก็คงไม่ได้คบกับเขาหรอกครับ ยกข้อนี้ให้ข้อหนึ่งก็ได้แค่ข้อเดียวนะครับส่วนข้ออื่น...ยังแพ้พี่ศิทุกข้อ


ผมยอมเงียบตามที่พี่ศิบอกก่อนจะเดินไปหยิบชีทจากมือพี่เตอร์และยัดทั้งหมดนั่นใส่กระเป๋า เมื่อผมเก็บกระเป๋าเสร็จแล้วก็เตรียมออกจากห้องโดยที่ไม่คิดจะรอพี่เตอร์ แน่นอนว่าโดนรั้งไว้เต็มมือเลยสิครับ แขนแทบหลุด “ก็มาเจอแล้วไง ผมจะกลับไปอ่านหนังสือแล้ว” ผมพูดท้วงแบบนั้นแน่นอนว่าพี่เตอร์ก็ต้องงองแงสิครับ ทั้งรั้งทั้งดึงทั้งกอดเลยครับจนในที่สุดพี่แกใช้ท่าไม้ตายโดยการบอกว่าจะประกาศเรื่องราวที่ผมคยกันให้ทุกคนได้รับรู้โอเคครับ ยอมแพ้ผมกลับไปนั่งนิ่ง ๆ ที่เก้าอี้ยอมรอพี่เตอร์เก็บข้าวเก็บขอเพื่อกลับหอ


ผมรอพี่เตอร์อยู่นานสองนาน จนกระทั่งพี่แกกอบโกยเอาของทั้งหมดลงกระเป๋าเสร็จและเมื่อพวกเราทั้งสามกำลังจะเตรียมตัวออกจากห้อง บานประตูที่เคยเปิดสนิทก็เปิดอ้าออกพร้อมกับการปรากฏตัวของไอกรที่บ่นเสี้ยงง้องแง้งว่าหิวข้าวพี่ศิพาไปกินข้าวหน่อย และเป็นเวลาเดียวกันที่พี่เตอร์โอบเอวแล้วหอมแก้มผม คราวนี้หละเห็นภาพ สวีทเต็มสองตาไอกรที่กำลังบ่นง้องแง้งนี่ทำตาลุกวาวและไม่ลืมที่จะยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูป พร้อมอัพโหลดขึ้นเฟซบุคเสร็จสรรพ แทคกันอย่างเรียบร้อยในเวลาไม่กี่วินาที ภาพนี้ก็ถูกแพร่กระจายไปทั่วมหาวิทยาลัย โดยฝีมือไอเพื่อนสุดที่รัก


เพื่อนที่น่ารักของผมส่งรอยยิ้มมาให้ก่อนจะเดินสวนทางเข้าไปควงแขนแฟนของมันแล้วเดินออกไปนอกห้อง แต่ก่อนที่มันจะได้ก้าวออกไป น้ำเสียงกวนประสาทที่เป็นเอกลักษณ์ของมันก็ถูกเอ่ยขึ้น และนั่นทำให้ผมอยากจะฆ่าเพื่อนของตัวเอง “ตกลงปลงใจกับพี่เตอร์แล้วไม่ยอมบอกใคร ดังนั้นกูเลยบอกให้คนทั้งมหาลัยรู้แทนแล้วกัน” พูดพลางเอามือถือขึ้นมาให้พวกผมดู ภาพที่มันอัพและแทคผมนั้นถูกแปะในแฟนเพจของมหาวิทยาลัย


ผมนี่ชอคไปแล้วส่วนพี่เตอร์ได้แต่หัวเราะเขิน ๆ แทนคำตอบ แต่ก่อนที่ผมจะได้วิ่งไปฆ่าเพื่อนรักของผม เจ้าของมือที่โอบเอวของผมอยู่ก็กระชับวงแขนแน่นขึ้นไปอีก


“มันเป็นเรื่องจริงอยู่แล้วจะอายไปทำไมครับเจมส์...ทำแบบนี้สิดีจะได้ไม่มีใครมายุ่งวุ่นวายกับพี่ไง แต่พี่ก็ชอบตอนที่เจมส์หึงพี่นะ” สิ้นประโยคผมก็หันไปส่งรอยยิ้มเย็น ๆ ก่อนจะใช้สันมือสับไปที่กลางหัวของพี่เขาหนึ่งที


“ถ้าผมหึงจริง ๆ ผมจะเอาโซ่ล่ามคอพี่เตอร์ไว้แล้วขังเอาไว้ในห้องครับ ขังแบบไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวันเลยครับ” จบประโยคผมได้ยินเสียงพี่เตอร์กลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนจะส่งรอยยิ้มแหย๋ ๆ มาให้ ท่าทางพี่เตอร์จะรู้สึกกลัวจริง ๆ นะครับแต่ถ้าถามว่าผมพูดจริงไหม ผมบอกเลยว่าพูดจริงครับ ผมเป็นคนหึงโหดพอสมควรแต่คงไม่ถึงกับล่ามโซ่แค่ใส่ปลอกคอให้คนอื่นรู้ว่าคน ๆ นี้ของผมหละครับ


ผมได้แต่หวังไว้ว่าพี่เตอร์จะไม่ทำตัวให้ผมใส่ปลอกคอล่ามโซจริง ๆ หละครับ...สวัสดี...







ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
ไม่ใช่แค่พอสมควรหรอก แบบนี่เข้าขั้นหนักแล้วววววว

ออฟไลน์ KaMTaMl3T

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :hao5:
ไม่ได้เข้ามาดูนาน จบแล้วซะงั้น T_T
กลับมาอ่านด้วยความคิดถึง
ถึงจะไม่เคยเม้นแต่ก็ชอบเรื่องนี้มากนะคะ
คิดถึงพี่ศิน้องกรด้วย เรื่องโปรดในใจยังไม่อยากให้จบเลย
 :ling1: :ling1:

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
แบบสอบถามเรื่องการรวมเล่มค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด