<@@ แผนการรัก ดักข้างบ้าน @@> อัพเดท ตอน 29 @14-11-59
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: <@@ แผนการรัก ดักข้างบ้าน @@> อัพเดท ตอน 29 @14-11-59  (อ่าน 26206 ครั้ง)

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9

ออฟไลน์ มารน้อย เจ้าสำนัก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
                    ตอนที่  8  ความรู้สึกนี้คืออะไร

              ผมไม่รู้หรอกว่าทำไมต้องถามเรื่องส่วนตัวของพนักงานคนนึงด้วย เพราะตั้งแต่ทำงานมาผมไม่เคยได้ให้ความสนใจกับพนักงานคนไหนเลย เพราะคิดว่าทุกคนก็ต้องมีเรื่องส่วนตัวกันทั้งนั้น แต่ว่าร่างโปร่งบางตรงหน้าทำให้ผมรู้สึกบางอย่างในจิตใจอย่างที่ไม่อาจจะตัดทิ้งไปได้

             เรื่องมันเริ่มมาตั้งแต่ที่ผมเห็นชายหนุ่มร่างโปร่งบางคนนึงเดินนำหน้าเด็กชายตัวอ้วนกลมตรงเข้ามาหาเราสองพ่อลูกที่โรงเรียนที่น้องฟ้าเรียนอยู่  แล้วน้องฟ้าแนะนำว่าเป็นเพื่อนบ้านที่ย้ายมาใหม่ แต่ถึงอย่างนั้นก็เหอะทำไมต้องเข้ามาทำตัวสนิทสนมกับลูกชายของผมด้วย  ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากให้ลูกมีเพื่อนหรอกนะครับ แต่ว่าเพื่อนของลูกผมก็ต้องดูก่อนว่าเป็นอย่างไรบ้าง เดี๋ยวมาชวนลูกผมเกเร ผมไม่ยอมหรอก ผมเลี้ยงของผมมา น้องฟ้าของผมออกจะเป็นเด็กที่น่ารัก และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้ผมต้องเปลี่ยนมาเป็นคุณพ่อจอมเข้ม

             ดูอย่างเมื่อวันก่อนสิครับ น้องฟ้าถึงกับชวนชายหนุ่มร่างโปร่งกับหลานชายไปทานข้าวเย็นพร้อมไอศกรีม ผมเลยจำใจต้องให้สองอาหลานไปนั่งร่วมโต๊ะด้วย ช่วงที่อยู่ในร้านชาบูผมก็สังเกตทั้งสองคนไปด้วย ซึ่งกันตพิชย์ที่เพียงแค่นั่งทานอาหารเงียบ ๆ ข้าง ๆ เด็กชายตุลย์เท่านั้นเอง ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการทานอาหารของหลานเลย ปล่อยให้หลานชายช่วยตัวเองทุกอย่าง  ทั้งการสั่งอาหาร การทานอาหาร อย่างแรกที่ผมคิดได้คือครอบครัวนี้สอนลูกหลานได้ดีอย่างยิ่ง ไม่มีการงอแงหรือร้องหาสิ่งที่ตัวเองต้องการเลย  กลับกันมารยาทบนโต๊ะอาหารดีมากเสียด้วยซ้ำ  ซึ่งก็ทำให้ผมรู้สึกพอใจอยู่ลึก ๆ

             มีบ้างที่ชายหนุ่มร่างโปร่งทำเพียงแค่หยิบทิชชู่มาเช็ดปากบางของหลานชาย แล้วยังช่วยตักอาหารบางอย่างใส่ในถ้วยของน้องฟ้าอีกด้วย ซึ่งน้องฟ้าก็ยิ้มรับพร้อมกล่าวขอบคุณให้ร่างโปร่งนั้นยิ้มตามไปด้วย รอยยิ้มที่ส่งใหน้องฟ้าดูสดใสเหมือนรอยยิ้มน้องฟ้า  ดูแล้วก็จะว่าไงดีล่ะ ก็โอเคนะ

             พอทานชาบูกันเรียบร้อย เราก็ย้ายไปที่ร้านไอศกรีมร้านโปรดของน้องฟ้า ผมสั่งเพียงแค่กาแฟมาดื่มเท่านั้น ของหวานทุกชนิดกับผมนะเหรอครับขอบอกว่าผ่านไปเลยล่ะกัน ไม่ถูกกันมาก ผมเห็นทั้งสามคนชี้กันสั่งโน่นนี่ไม่หยุด แต่มีลิมิตนะครับไม่ใช่ว่าสั่งมาแล้วทานไม่หมด ซึ่งผมจะสอนลูกประจำว่าไม่ใช่ว่าเรามีเงินใช้อย่างไม่ขาดมือ แต่ก็ไม่ควรซื้อของมาทิ้งขว้าง

             ระหว่างที่เรานั่งรอไอศกรีมกันก็มีครอบครัวหนึ่งเดินเข้ามาในร้าน  ตอนแรกผมก็ไม่ได้สนใจอะไร แต่เมื่อมีเด็กชายคนหนึ่งเดินมาหยุดที่หน้าน้องฟ้าพลางยื่นดอกกุหลาบให้ลูกผม รู้สึกได้เลยว่าหน้าผมเคร่งขึ้นทันที หันไปมองหน้าเด็กน้อยตาเขม็ง ไม่อยากทำให้เด็กกลัวหรอกนะครับ แต่มันห้ามไม่ได้นี่นา ที่จะมีคนมายุ่งกับลูกชายผม

             แต่ผมยังไม่ทันจะได้ทำอะไรก็มีเด็กร่างอ้วนกระโดดมาขวางหน้าเด็กชายอีกคนแล้วยื่นมือไปดึงดอกไม้จากมือน้องฟ้าออก แล้วยืนจังก้าท้าวเอวประจันหน้ากัน ไม่ห่าง หึหึ ดูเหมือนว่าผมจะไม่ต้องออกโรงให้เสียผู้ใหญ่แล้วสิ จึงได้แต่มองดูสถานการณ์ตรงหน้าอย่างใจเย็นลงอีกนิด

             ส่วนชายหนุ่มอีกคนแค่ยิ้มบาง ๆ แล้วมองดูหลานตัวเองออกโรงปกป้องลูกผมอย่างร่าเริง ผมก็เพียงแต่มองใบหน้าใสนั้นสลับกับหน้าแดงระเรื่อของน้องฟ้า พลางคว้าตัวน้องฟ้ามาอยู่ในอ้อมกอด ไม่ให้ใครเห็นหรอก ผมหวงนะถึงแม้ลูกผมจะเป็นผู้ชายแต่ก็น่ารักนะครับ

             เป็นผมเองแหล่ะที่สั่งให้กลับกันได้แล้วเพราะไม่อยากให้เกิดเหตุศึกชิงนายน้อยขึ้นมา หยิบเงินออกมาจากกระเป๋าวางไว้แล้วเดินออกสองอาหลานได้แต่มองหน้ากันงง ๆ แต่ก็วิ่งตามผมออกมาหน้าตั้งเหมือนกัน

             อย่างวันนี้ที่ต้องมาประชุมข้างนอก เมื่อกันตพิชย์ได้ยินว่าอาจจะเลิกค่ำก็ทำให้ร่างโปร่งนั้นถามอย่างเป็นกังวล ซึ่งผมก็เลยตัดสินใจบอกว่าเดี๋ยวให้คนขับรถกับพี่เลี้ยงที่บ้านไปรับเด็กชายทั้งสองคนให้กลับไปรอที่บ้าน ชายหนุ่มจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะไปรับหลานค่ำมืด แต่ต้องให้ทางกันตพิชย์โทรไปบอกทางโรงเรียนก่อน   ซึ่งเมื่อยินแบบนั้นก็ทำให้ใบหน้าที่เป็นกังวลอยู่หายไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับถอนหายใจอย่าง    โล่งอกออกมาทันที

            ผมสังเกตมาหลายครั้งแล้วว่าเวลาที่กันต์มีเรื่องอะไรครุ่นคิดใบหน้าจะแสดงสีหน้าออกมาอย่างไม่ปิดบังอาการของตนเอง คิดอย่างไรก็แสดงออกมาอย่างนั้น ทำให้ผมไม่ต้องคาดเดาว่าร่างตรงหน้าคิดอะไรอยู่ ตั้งแต่แรกที่ผมสังเกตเห็นคือร่างนี้โปร่งบางกว่าผู้ชายทั่วไป อาจจะสูงแต่บางกว่ามาก ผิวขาว ใบหน้าเนียนใส ไม่ได้ดูอ้อนแอ้น แค่ให้ความรู้สึกว่าเป็นผู้ชายธรรมดาคนนึงเท่านั้น
 
             แต่ด้วยการที่ต้องเลี้ยงดูเด็กชายมาจึงทำให้นิสัยที่แสดงออกไม่ได้แข็งกร้าว ออกจะอ่อนโยนด้วยซ้ำ โดยเฉพาะเมื่อแสดงต่อหน้าหลานชาย

             อย่างตอนนี้ที่เรานั่งอยู่ที่ร้านอาหารผมสั่งอาหารไป 3 อย่างแล้วบอกให้ร่างตรงหน้าสั่งบ้าง อยากทานอะไรก็ทานเลยเพราะว่าต้องประชุมอีกนานพลังงานหมดแน่ เมื่ออาหารมาเสริฟพวกเราก็ลงมือทานกันอย่างเริ่งรีบเนื่องจากต้องฝ่าการจราจรเข้าไปไซท์งานในย่านกลางเมืองอีก ถ้าไปประชุมช้าเกรงว่าจะไม่ดีเท่าไร
   
                 ผมเห็นเมล็ดข้าวติดอยู่ที่มุมปากของชายหนุ่ม จึงยื่นทิชชู่ให้สำหรับเช็ดแต่ทว่ามือที่ยื่นไปทำให้ร่างโปร่งชะงักถอยหน้าหนีไปทันที จนผมชักสีหน้านิดนึงอย่างไม่สบอารมณ์นัก

            “เมล็ดข้าวติดอยู่ที่มุมปาก เช็ดซะ เอ้านี่ทิชชู ฉันไม่ได้จะทำอะไรนายสักหน่อย”

            “ใครจะไปรู้ล่ะครับอยู่ ๆ คุณภูก็ยื่นมือออกมาตรงหน้าผม ผมก็ตกใจนี่นา มันเป็นปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติเมื่อมีอะไรยื่นเข้ามาใกล้ ๆ หน้าเรา” กันตพิชย์เอ่ยตอบออกมาพลางหยิบทิชชู่จากมือผมไปเช็ดที่มุมปากที่ผมบอกแต่ว่าเช็ดยังไงกันเมล็ดข้าวถึงยังไม่หลุด

            “นี่ตรงนี้ แค่นี้ก็เช็ดไม่หลุด แล้วอย่างนี้จะดูแลหลานได้ยังไงกัน” ผมว่าพลางหยิบทิชชู่อีกแผ่นออกไปเช็ดในตำแหน่งที่ถูกต้องให้ ส่งผลให้ใบหน้านั้นเหวอไปชั่วครู่ ผมจึงชะงักหยุดคิดได้ว่าทำไมต้องเช็ดปากให้ร่างตรงหน้าด้วยจึงเก็บมือตัวเองกลับมาแล้วตั้งหน้าทานอาหารต่อไป

              “แค่เช็ดปากไม่ได้  จะมาเหมาว่าผมไม่สามารถดูแลหลานไม่ได้หรอกนะครับ” กันต์ย้อนผมออกมาเสียงค่อนข้างเหวี่ยงเลยทีเดียว ท่าทางจะเป็นคนเจ้าอารมณ์อยู่ทีเดียว หรือว่าจะเป็นเพราะผมไปท้วงเกี่ยวกับการเลี้ยงหลานชายของเจ้าตัว

             “ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้หมายความว่านายดูแลหลานไม่ดี” ผมบอกขอโทษออกไป ร่างบางแค่รับคำแล้วก็ก้มหน้าทานอาหารต่อ

             “นายทานเยอะ ๆ  ตัวเล็ก ๆ อย่างนี้เพราะทานน้อยหรือไง เอานี่อาหารร้านนี้อร่อยทุกอย่าง ฉันพาน้องฟ้ามาทานประจำ น้องฟ้าชอบ” ผมเอาน้องฟ้ามากล่าวอ้าง แต่อาหารอร่อยจริง ๆ นะครับ นั่นไง ใบหน้าเนียนเงยหน้าขึ้นมามองผมแต่ตางี้ขอบอกเลยว่ายังจ้องผมตาโตอยู่เลย เคืองไรอีกล่ะเนี่ย

            “คุณภู ผมไม่ได้ตัวเล็กนะ ก็แค่โตตามมาตรฐานชายไทย ส่วนคุณภูนะ เกินมาตรฐานแล้วยังมีหน้ามาว่าคนอื่นเขาอีก”

            “โอเค ๆ ไม่เล็กก็ไม่เล็ก งั้นทานต่อกันเถอะเดี๋ยวรถจะติด เราจะช้าไปอีก” ผมกล่าวตัดบทเพราะกลัวว่าเจ้าของร่างโปร่งจะหงุดหงิดผมจนไม่ทานอะไรอีก  เห็นตอนเลี้ยงเด็ก ๆ ก็ดูอารมณ์ดี ร่าเริงไม่น่าโกรธง่ายนี่นา แต่ทำไมพอเวลาอยู่ต่อหน้าผมกลับกลายเป็นจอมเหวี่ยงไปซะได้

            แต่ที่ผมสงสัยคือตัวผมเองนี่แหล่ะ ว่าทำไมต้องไปพูดแหย่ให้ร่างโปร่งของกันตพิชย์แสดงอาการเหวี่ยงออกมาด้วย  เพราะปกติผมจะไม่พูดจาโต้ตอบคนอื่นถ้าไม่จำเป็นหรือไม่สนิท แต่นี่ผมทำเหมือนกับว่าชายหนุ่มตรงหน้าเป็นคนที่รู้จักกันมานาน หรือผมก็อาจจะรู้สึกว่ากันตพิชย์เป็นผู้ชายที่คล้ายกับตนเองก็ได้ ต่างตรงที่อายุยังน้อยแต่กลับต้องเลี้ยงดูหลานชายด้วยตัวคนเดียวไม่มีญาติเหลืออยู่ ซึ่งผมก็เลี้ยงลูกเพียงคนเดียวเหมือนกัน

            เสียงรวบช้อนบ่งบอกว่าคนตรงหน้าอิ่มแล้ว ทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมามองก็พบว่าชายหนุ่มยกแก้วขึ้นดื่มหลังอาหาร ผมจึงรวบช้อนบ้าง ไม่คิดว่าอาหารที่สั่งมาทั้งหมดจะถูกจัดการเรียบขนาดนี้ ปกติผมไม่ใช่คนที่ทานอะไรเยอะเท่าไร แต่นี่ร่างโปร่งกลับทานจนหมด คงไม่ได้ทานน้อยแล้วตัวแค่นี้หรอก ผิดกันทานเยอะขนาดนี้แต่กลับไม่อ้วนหรือไม่โตต่างหากแต่พูดไปไม่ได้เดี๋ยวจะโกรธอีก

            ผมเรียกพนักงานเช็คบิลเพื่อจ่ายค่าอาหารมื้อนี้ ร่างโปร่งของกันตพิชย์คงนั่งนิ่งอยู่สงสัยว่าอิ่มมากไปรึเปล่าทานเยอะขนาดนั้น  คงไม่ได้คิดหรอกนะว่าผมเป็นเจ้านายมีหน้าที่เลี้ยงข้าวลูกน้อง ถามกันสักคำไหมว่าผมจะเลี้ยงหรือเปล่า

             “มื้อนี้หารสองนะ เดี๋ยวหักเงินเดือน” ผมลองแกล้งถามดูสิว่าร่างโปร่งจะทำยังไง อ้าว ก็ทานด้วยกันก็ต้องหารสองสิครับ

             ใบหน้าใสหันมามองหน้าผมขวับเลย ตาขวางด้วย อะไรกันแค่ให้หารค่าข้าวเที่ยงแค่นี้เอง ถึงผมจะรวยแต่ก็ไม่ได้จะเลี้ยงใครเรื่อยนะครับ

             “นี่คุณภูครับ เลี้ยงข้าวพนักงานแค่นี้ทำเป็นงกไปได้ แล้วผมก็มาทำงานนอกสถานที่ด้วยก็ควรมีสวัสดิการให้กันบ้าง อย่างเช่น อาหารกลางวัน กาแฟดี ๆ สักแก้ว นี่อะไรกันยังจะมาให้พนักงานงานเงินเดือนน้อยหารค่าอาหารอีก” กันตพิชย์ตอบกลับมาเสียงแหวเลยครับ ทำเอาผมกัดริมฝีปากกลั้นยิ้ม เออเนอะ เพิ่งรู้ว่าการแกล้งทำให้คนบางคนโมโหนี่มันก็เป็นการสร้างความบันเทิงไม่น้อยเลย ทำไมเพิ่งจะรู้เนี่ย

             “อ้าว ก็ทานด้วยกันนี่ แล้วทำไมผมยังต้องเลี้ยงด้วยล่ะ”

             “อย่างกไปหน่อยเลยครับท่านประธานแค่นี้ไม่ทำให้คุณจนหรอกน่า ลุกไปกันได้แล้วเดี๋ยวรถติด” พูดจบร่างโปร่งก็ลุกขึ้นปล่อยให้ผมมองตาม ได้แต่ยิ้มบาง ๆ พลางคิดว่าเมื่อก่อนผมก็ไม่ได้ใส่ใจที่จะพูดคุยโต้ตอบกับคนไม่สนิทกันเท่าไร แต่กับคน ๆ นี้ทำไมถึงมีความรู้สึกว่าอยากพูด อยากแกล้ง ทั้ง ๆ ที่กันตพิชย์ก็เป็นแค่พนักงานคนนึงเท่านั้น  แต่เหมือนว่ามีความรู้สึกบางอย่างมาดึงดูดผมให้เข้าหา มันคืออะไรก็ยังไม่รู้แต่ตอนนี้ผมว่าผมก็รู้สึกว่าสนุกที่มีร่างของชายหนุ่มอยู่ใกล้ ๆ



**************************************

มาสั้นกว่าเมื่อวานอีก เค้าขอโทษน้าาาาาาาาาาา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-08-2016 18:50:12 โดย มารน้อย เจ้าสำนัก »

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
หวั่นไหวแบบไม่รู้ตัวแล้วล่ะซิ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ มารน้อย เจ้าสำนัก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
             ตอนที่ 9 เหตุเกิดที่ไซท์งาน

             ขับรถฝ่าการจราจรที่ติดขัดมากว่าหนึ่งชั่วโมงเราก็มาถึงสถานที่ก่อสร้างกัน   เมื่อรถจอดเรียบร้อยแล้วผมเดินไปทางสำนักงานก่อสร้างชั่วคราวที่มีไว้สำหรับพนักงานที่ทำงานประจำหน่วยงานก่อสร้าง  พนักงานที่นี่มีทั้งพนักงานของบริษัทและผู้รับเหมาที่รับงานก่อสร้าง  สำนักงานชั่วคราวในไซท์งานสร้างค่อนข้างเรียบง่ายแต่ต้องมีความปลอดภัย เนื่องจากสถานที่ก่อสร้างเป็นอะไรที่อันตรายอยู่แล้ว ผมจึงต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของพนักงานที่ทำงานอยู่ประจำไซท์งานเป็นอันดับแรก




                เดินเข้าไปในสำนักงาน ผู้จัดการโครงการเดินเข้ามาพอแล้วพาผมเดินเข้าไปในห้องประชุม เหลือเวลาอีกประมาณ 20 นาทีจะถึงเวลาที่นัดประชุมภายในโครงการ




                “คุณประสิทธิ์ ผมขอเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการประชุมวันนี้ด้วยนะ แล้วนี่คุณกันตพิชย์ ผู้ช่วยคนใหม่ ต่อไปนี้เดี๋ยวเขาจะเป็นคนประสานงานระหว่างโครงการกับสำนักงานใหญ่ มีอะไรก็ให้ติดต่อที่เขาก่อน” ผมเอ่ยขอเอกสารทั้งหมดของโครงการที่ต้องอ่านดูอีกรอบก่อนการประชุม




                “ครับ เดี๋ยวคุณภูรอสักครู่นะครับ ผมจะจัดการเอกสารให้แล้วจะให้พนักงานนำมาให้ที่ห้องประชุม ผมขอไปสั่งงานลูกน้องก่อนครับ” คุณประสิทธิ์ ซึ่งเป็นผู้จัดการโครงการบอกพร้อมขอตัวไปทำงานที่ค้างก่อนจะเข้าร่วมการประชุมในอีกครึ่ง ชม.



                “นายมานั่งข้าง ๆ จะได้ดูว่าเอกสารที่โครงการเตรียมมามีอะไรบ้าง วันนี้แค่ฟังการประชุมจดบันทึกย่อเอาไว้  รายละเอียดต่าง ๆ คงตามไปส่งที่สำนักงานใหญ่วันหลัง แต่ที่ให้เข้ามาเพื่อจะได้คุ้นเคยกับคนในหน่วยงาน เวลาประสานงานต่าง ๆ จะได้รู้ว่าควรติดต่อกับใคร”




                ผมเดินไปนั่งข้าง ๆ คุณภูดิส รอไม่ถึง 10 นาทีก็มีพนักงานเดินหอบแฟ้มเอกสารมาให้ในห้องประชุม ร่างของหญิงสาวที่ถือแฟ้มมาหยุดตรงหน้าพลางวางแฟ้มทั้งหมดลงที่หน้าท่านประธานอย่างแผ่วเบา ราวกับเกรงกลัวร่างสูงดวงตาคมเข้มเจือแววดุ จากนั้นจึงถอยออกไปจากห้องประชุมอย่างเงียบกริบ



                มือใหญ่ยื่นไปหยิบแฟ้มตรงหน้ามาเปิดอ่าน ใบหน้าคมเข้มก้มหน้าโดยไม่ได้ให้ความสนใจกับผมที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แม้แต่น้อย ผมไม่มีอะไรทำเลยนั่งเงียบ ๆ อยู่ตรงนั้น  ขนาดจะหายใจยังไม่กล้าส่งเสียงดังกลัวไปรบกวนสมาธิร่างสูง  ใบหน้านั้นดูเคร่งเครียดขึ้นมาเมื่ออ่านไปได้เกือบครึ่งนึงของเอกสารภายในแฟ้ม  แล้วก็ยื่นมือไปเปิดหาเอกสารในแฟ้มอื่นมาประกอบ  เสียงเปิดแฟ้มกับพลิกหน้าสลับของเอกสารดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ 



                ใช้เวลาไม่นานร่างสูงก็ปิดแฟ้มเอกสารที่กองอยู่ตรงหน้าทั้งหมด พลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้กอดอกนั่งนิ่งสายตาเรียบเฉยมองไปด้านหน้าเหมือนจมอยู่กับความคิดของตัวเองโดยที่ไม่ได้สนใจเลยว่าผมยังนั่งอยู่ด้วย จากนั้นจึงหันมาเลื่อนแฟ้มเอกสารให้ผม พลางพยักหน้าเป็นสัญญาณให้ผมอ่านเอกสารที่อยู่ภายในแฟ้มด้วย



                “เดี๋ยวอ่านเอกสารในแฟ้มคร่าว ๆ นะ อันไหนสำคัญก็จำไว้  แต่ครั้งแรกนายอาจจะไม่เข้าใจอะไรมากนัก  ถ้าไม่เข้าใจตรงไหนก็จดไว้แล้วค่อยถามตอนกลับไปที่ออฟฟิศได้ หน้าที่ตอนประชุมก็บันทึกการประชุมไว้ กลับไปทำสรุปการประชุมครั้งนี้ ทุกเดือนต้องมาประชุมที่ไซท์งาน แต่จะหมุนเวียนกันไปตามแต่ละที่ ไม่ได้เข้ามาบ่อยแต่สลับกันไปเพื่อดูความเรียบร้อยและความก้าวหน้าของโครงการก่อสร้าง” คุณภูดิส หันมาสั่งพร้อมทั้งเลื่อนกองแฟ้มเอกสารมาให้ผม ซึ่งผมมองดูแฟ้มแล้วเริ่มเปิดมาเพื่ออ่านดูก่อนจะถึงเวลาประชุม  นั่งอ่านไปเงียบ ๆ เข้าใจไม่มากแต่ก็พยายามทำความเข้าใจกับเอกสารตรงหน้าอย่างเร่งรีบ




                สักพักก็มีเสียงเปิดประตูตามมาด้วยกลุ่มคนหลายสิบคนเดินมานั่งที่เก้าอี้ภายในห้องประชุม คาดว่าคงเป็นวิศวกรและผู้ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโครงการทั้งหมดของที่นี่  คนทั้งหมดทำความเคารพท่านประธานแล้วนั่งลงอย่างเงียบเชียบ ผมกวาดสายตาไปตามกลุ่มวิศวกรที่นั่งอยู่ที่นี่ เลื่อนสายตาไปมาจนกระทั่งมาสะดุดกับชายหนุ่มร่างสูง ใบหน้าคร้ามแดดคนหนึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลเยื้องไปจากตำแหน่งที่ผมนั่งไม่กี่คนเท่านั้น



                 “ถ้าพร้อมกันแล้วก็เริ่มการประชุมได้ เริ่มจากคุณประสิทธ์ก่อนเลย” เสียงเข้มของท่านประธานเอ่ยออกมาให้เริ่มการประชุมได้ จากนั้นมาการประชุมที่ก็เริ่มต้นขึ้นด้วยความเคร่งเครียดท่ามกลางกลุ่มชายนับสิบคนที่ถกเถียงกันบ้าง อธิบายเหตุผลต่าง ๆ ของการก่อสร้างบ้างทำให้บรรยากาศค่อนข้างเป็นไปอย่างน่าอึดอัดเป็นอย่างยิ่ง



                 ส่วนมากหัวข้อสนทนาในที่นี้กล่าวถึงการทำงานให้ทันตามกำหนดเวลา  รายการวัสดุต่าง ๆ ที่ต้องใช้เพราะมีบางรายการที่ต้องรอวัสดุจากทางต่างประเทศ ซึ่งการเดินทางเกิดการล่าช้าเพราะว่าช่วงนี้เป็นฤดูฝนการขนส่งทางเรือเป็นไปอย่างยากลำบาก รวมถึงการควบคุมสเปควัสดุให้เป็นไปตามมาตราฐานอย่าให้มีการหลุดลอดของวัสดุที่ไม่ได้คุณภาพเพราะมันหมายถึงชื่อเสียงของบริษัท



                 “คุณเพทาย งานที่สระว่ายน้ำไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม ผมอยากให้เสร็จตามกำหนดเพราะการที่จะเปิดใช้อาคารตามกำหนดได้ ระบุว่าเราต้องเปิดพื้นที่ส่วนกลางที่เป็นสระว่ายน้ำ ฟิตเนส รวมทั้งสวนด้วย” คุณภูหันไปถามร่างสูงของวิศวกรคุมงานคนหนึ่ง และนั่นก็ทำให้สายตาผมเลื่อนไปตามสัญชาติญาณของตัวเอง ซึ่งก็เห็นชายหนุ่มที่ถูกถามหันใบหน้าหล่อเข้มมาทางคุณภู



                 “ทันครับคุณภู เพราะว่าตอนนี้ผมเร่งให้คนงานเข้ามาทำงานในส่วนนี้ให้มากกว่าเดิม แล้ววัสดุต่าง ๆ ก็เข้ามาพร้อมแล้ว เพียงแต่ว่าอาจจะมีปัญหากับผู้รับเหมาบางรายเท่านั้น เพราะช่วงนี้ผู้รับเหมาเริ่มจะขาดคนงานเหมือนกัน ทางผมเลยคิดว่าจะจัดให้คนงานของทางบริษัทมาทำงานทดแทนบ้างเป็นบางส่วนเพื่อให้ทันกับวันที่กำหนดเสร็จงานของทางโครงการ” เพทายวิศวกรหนุ่มเอ่ยตอบประธานบริษัทอย่างรวดเร็ว แต่พอตอบเสร็จใบหน้าหล่อก็หันมาสบตากับผมพลางยิ้มให้ ผมเห็นดังนั้นจึงยิ้มตอบด้วยอาการดีใจ




                 “ถ้าทันก็ดีแล้ว อย่าให้เกิดความล่าช้าได้เพราะผมต้องการงานที่เสร็จทันกำหนด แต่ก็ต้องมีประสิทธิภาพด้วยเช่นกัน” คุณภูกล่าวกลางที่ประชุม เท่ากับเป็นการกดดันการทำงานของเหล่าวิศวกรในที่นี้เป็นอย่างยิ่ง



                 “คุณภูไม่ต้องกังวลครับ ผมจะช่วยเร่งรัดให้ทันกำหนดอย่างแน่นอน” คุณประสิทธิ์กล่าวทับอีกครั้งเพื่อให้ชายหนุ่มผู้ที่เป็นประธานบริษัทไว้ใจในการทำงานของตนเองและทีมงาน



                 “ถ้าอย่างนั้นก็ดี ผมจะเดินดูหน้างานขอให้คุณประสิทธิ์จัดคนไปกับผมด้วยสัก 3-4 คนก็พอ ขอคนที่รับผิดชอบแล้วก็รู้เรื่องต่าง ๆ ครอบคลุมพอที่จะอธิบายเรื่องต่าง ๆ ที่ผมสงสัยได้” เสียงเข้มดังขึ้นพลางขยับลุกจากเก้าอี้ ทำให้ทุกคนในห้องประชุมต้องลุกตามอย่างพร้อมกัน



                 “เดี๋ยวผมให้เพทายไปกับคุณภูครับ  เพราะงานส่วนมากเพทายรับผิดชอบเกือบทั้งหมด”



                 คุณภูเดินนำหน้าไปทางประตูที่เปิดรอโดยผม  มีพนักงานยื่นหมวกนิรภัยสำหรับเดินหน้างานเพื่อความปลอดภัยให้คุณภูกับผมคนละใบ ส่วนวิศวกรคนอื่น ๆ มีเป็นของตัวเองอยู่แล้ว



                 สำนักงานก่อสร้างส่วนออฟฟิศ สร้างแยกมาจากตึกโครงการ เพราะความสะดวกและปลอดภัย แต่ก็ยังอยู่ภายในโครงการ ซึ่งเราใช้เวลาเดินไม่นานตึกนี้สร้างเสร็จไปแล้วกว่า 80% ซึ่งมีกำหนดเปิดขายกลางปีหน้า ซึ่งเหลือเวลาอีกแค่ปีเดียวเท่านั้นในการดำเนินการให้แล้วเสร็จ รวมถึงการเก็บรายละเอียดงานให้ครบถ้วนด้วย



                 วิศวกรที่ทำหน้าที่เดินตรวจงานภายในตึก เดินนำหน้าคุณภูไปด้านใน เริ่มจากห้องพักตัวอย่างที่สร้างเสร็จแล้ว ซึ่งแต่ละห้องจะมีรูปแบบต่างกัน  ซึ่งราคาห้องพักเหล่านั้นก็ขึ้นอยู่กับขนาดห้อง ซึ่งที่นี่จัดว่าเป็นคอนโดมิเนียมระดับพรีเมี่ยมของเมืองไทย เพราะต่างอยู่ใจกลางเมืองแล้วยังมีวิวแม่น้ำเจ้าพระยาอีกด้วย ทำให้ความต้องการของกลุ่มลูกค้าได้เป็นอย่างดี



                 ห้องแรกที่เดินมาตรวจเป็นห้องตัวอย่างของห้องพักที่มีเยอะที่สุด เพราะเป็นราคาเริ่มต้นของที่นี่ เปิดประตูเข้าไปจะพบกับโถงลิฟท์ซึ่งเป็นลิฟท์ส่วนตัวของทุกห้อง มีประตูอีกบานเพื่อกั้นตัวลิฟท์ ห้องแรกที่เจอจะเป็นห้องรับแขกหรือห้องนั่งเล่น ด้านซ้ายมือจะเป็นมุมของเคาร์เตอร์ครัว มีโต๊ะอาหารสำหรับ 4 ที่ตั้งอยู่ กลางห้องเป็นโซฟาเข้าชุดกันพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ มองเห็นประตูเลื่อนหนี่งบาน ถ้าเปิดออกไปจะเจอกับระเบียงเล็ก ๆ สำหรับชมวิวได้



                  วิศวกรที่นำตรวจรายงานเกี่ยวกับรายละเอียดของการตรวจรับห้องว่ามีอะไรบ้าง ซึ่งผมก็เห็นคุณภูมองอย่างเก็บรายละเอียด สายตาคมกวาดไปรอบ ๆ เพื่อดูว่ามีอะไรผิดพลาดไปหรือไม่




                  “ผมขอดูแบบห้องนี้หน่อย นี่คือห้องที่ราคาเริ่มต้นของเราใช่ไหม” คุณภูหันไปขอแบบแปลนห้องพร้องกับส่งคำถามให้กับวิศวกร



                  “ครับนี่เป็นห้องขนาด 45 ตร.ม. ห้องตัวอย่างนี้เราเสร็จหมดทุก Type แล้ว แต่ห้องที่ลูกค้าจองมีบ้างที่เหลือการเก็บรายละเอียดบ้างนิดหน่อย แต่คาดว่าคงทันให้ลูกค้าเข้าตรวจรับห้องครับ” ร่างสูงอีกร่างอธิบายให้คุณภูดิสฟัง



                  “เดี๋ยวเดินดูให้ครบทุกห้องก่อน ถ้าอย่างนั้นขอแบบทุกห้องมาเลยแล้วกันผมจะเดินดูไปด้วยจะได้ไม่เสียเวลา” วิศวกรประจำโครงการส่งแบบทั้งหมดให้กับคุณภู ซึ่งก็รับมาแล้วเปิดดูรายละเอียดต่าง ๆ




                  “ขออีกชุดให้เลขาผมด้วย เขาจะได้ศึกษาดูงานทางนี้เอาไว้”



                  ร่างสูงของวิศวกรหนุ่มยื่นแบบอีกชุดให้ผมพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งผมก็ยิ้มตอบไปพร้อมยื่นมือไปรับแบบมาดู เปิดดูคร่าว ๆ ก็พบว่าแบบไม่ได้ยากเกินไปกว่าที่ผมจะทำความเข้าใจนัก เพราะมันเป็นแบบที่เสร็จแล้ว และระบุว่าอะไรอยู่ตรงไหนเท่านั้นเอง แต่ถ้าเป็นแบบที่ใช้สำหรับก่อสร้างผมว่าผมคงต้องทำหน้ามึนงงอีกนานกว่าจะเข้าใจแน่นอน



                   คุณภูเดินนำหน้าไปเปิดดูห้องต่าง ๆ มองรอบด้านหาจุดที่งานไม่เรียบร้อย พวกเราก็ได้แต่เดินตามไปห่าง ๆ ผมได้แต่มองไปรอบ ๆ ภายในห้องมีทุกอย่างครบสมกับเป็นคอนโดมิเนียมระดับพรีเมี่ยมจริง ๆ ใช้เวลาเดินตรวจห้องตัวอย่าง ก็เกือบหนึ่งชั่วโมง



                   “เดี๋ยวคุณพาผมไปดูห้องที่ลูกค้าจองไว้หน่อย ผมอยากทราบความคืบหน้าจะได้เอามาเปรียบเทียบกับห้องตัวอย่างว่าได้มาตรฐานตามนี้หรือเปล่า ไม่อยากให้ห้องตัวอย่างที่สร้างออกมาดูเรียบร้อย แต่ห้องที่ลูกค้าต้องตรวจงานคุณภาพไม่ทัดเทียมกัน จะเสียชื่อเสียงเปล่าๆ” คุณภูเอ่ยบอกให้วิศวกรนำไปยังห้องที่ยังไม่เสร็จ ทางด้านวิศวกรก็ออกเดินนำหน้าไปที่ลิฟท์ พร้อมกดขึ้นไปชั้น 44 ทันที



                  ห้องที่อยู่ชั้นนี้เป็นห้องที่เรียกว่าดูเพล็กซ์ ซึ่งเป็นห้องที่มี 2 ชั้น ตามทางเดินยังเต็มไปด้วยวัสดุต่าง ๆ ช่างกำลังทำงานอย่างขะมักเขม้น  ต่างพอเห็นคุณภูก็ทำความเคารพกันไปตามระเบียบ ไม่นึกว่าท่านประธานจะมาเดินตรวจงานในพื้นที่ทำงานอย่างนี้



                  ร่างสูงของคุณภูเดินดูรอบ ๆ เหมือนอย่างเคย บางตำแหน่งที่งานยังไม่เรียบร้อยคุณภูก็ให้คำแนะนำไปว่าควรจัดการอย่างไรงานที่ออกมาถึงจะดี ผมก็เดินตามไปอย่างเคย สายตาก็มองไปรอบ ๆ เพราะว่าเนื่องด้วยผมไม่เคยทำงานด้านนี้มาก่อน ความระมัดระวังในการเดินอยู่ในพื้นที่ทำงานที่มีสิ่งกีดขวางทางเดินมากมายอย่างนี้เลยไม่ได้นึกถึงว่าต้องใช้ความระมัดระวังและสกิลในการเดินแม้แต่น้อย นั่นก็ทำให้ปลายเท้าไปสะดุดเอากับปลายเหล็กที่โผล่ออกมาจากพื้น ทำให้ผมเสียหลัก ตอนนี้นึกได้ก็สายไปเสียแล้วคาดกว่าต้องล้มหน้าคะมำแน่ เตรียมใจหลับตารับการกระแทกพื้นอย่างเสียไม่ได้



                 แต่พอผ่านไปได้สักเสี้ยวนาทีเมื่อรู้สึกว่าตนเองไม่ได้ล้มลงจึงค่อย ๆ ลืมตามองรับรู้ได้ถึงอ้อมแขนของใครบางคนมาโอบรัดรอบเอวเอาไว้ หันไปด้านหลังก็พบกับใบหน้าของวิศวกรหนุ่มประจำโครงการยิ้มส่งมาให้



                 “ระวังหน่อยสิ  ที่ไซท์งานก่อสร้างนะไม่ได้ห้างจะได้มาเดินเอ้อระเหยโดยที่ไม่มองพื้นน่ะ” เสียงเข้มดุส่งออกมาจากปากได้รูป



                 “ขอโทษครับ ผมไม่ทันระวังเลยไม่รู้ว่าตรงนี้มีเหล็กโผล่ออกมา ดีนะที่พี่ทายรับไว้ได้ทันไม่งั้นผมโหม่งโลก หน้าแหกแน่เลย ฮ่าๆๆๆ”




                  “ยังจะมามีหน้าหัวเราะอีก ถ้าล้มลงไปนะอันตรายขนาดไหนรู้หรือเปล่า อาจจะโดนเหล็กหรือเศษอะไรบาดหรือทิ่มเข้าไปได้นะ” ยังครับยัง ยังไม่หยุดส่งเสียงเขียวมาดุผมอีก




                 “เฮ้อ เราก็เป็นซะแบบนี้ตลอดแหล่ะ อะไรก็ทำเป็นเล่นไปหมด หัดจริงจังกับอะไรเหมือนกับคนอื่นเขาบ้างสิ  เอ้า ...เดินดี ๆ ได้แล้วใช่ไหม ต่อไปก็อย่าซุ่มซ่ามอีกล่ะ




                 “งั้นพี่ทายก็ปล่อยมือจากเอวกันต์ได้แล้วมั้ง เนี่ยไม่ล้มแล้วล่ะน่า ไม่ต้องห่วง ต่อไปจะเดินระวังครับผม ไม่มีให้ต้องมารับไว้อีกแน่นอน” ผมยิ้มส่งให้พร้อมกับเอ่ยแหย่คนร่างสูง ใบหน้าหล่อเหลาไปด้วย พออ้อมแขนนั้นคลายออก มือใหญ่ก็ยกขึ้นมาขยี้ผมเสียแรง พร้อมหัวเราะเหมือนกับดีใจที่ได้แกล้งผม



                 “อื้อ ~~~ อย่าขยี้ผมกันต์สิ เนี่ยเสียทรงหมดแล้ว  แล้วมือนั่นนะสะอาดหรือเปล่าเหอะมาจับผมคนอื่น” ผมยกมือขึ้นปัดมือใหญ่เป็นพันวันไม่ให้มือนั้นแกล้งผมได้อีก



                  ไม่รู้หรอกว่านานไหมแต่รู้ตัวอีกทีก็รู้สึกว่ามีพลังงานอะไรบางอย่างพุ่งตรงมาทางผมกับร่างสูงทำให้เราทั้งคู่ค่อย ๆ หันไปทางที่คาดว่ามีสายตาจับจ้องอยู่ เมื่อหันไปจึงพบกับตาดุเข้ม ส่งสายตามาอย่างเคร่งขรึม ใบหน้านั้นบึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด



                  “เอ่อ... เมื่อกี้ผมสะดุดเหล็กที่โผล่ออกมา จนเกือบจะล้มแล้วพี่ทาย  เอ้อ คุณเพทายเขามารับไว้ได้ทันเลยไม่ได้ล้มลงกับพื้นนะครับคุณภู” ผมหันไปอธิบายเสียงอ่อย ๆ ยอมรับว่าเป็นความซุ่มซ่ามของตัวเอง



                 “ทีหลังก็ระวังหน่อย ไซท์ก่อสร้างอันตราย ของก็วางไม่เรียบร้อยเพราะต้องทำงานแต่คนที่ทำงานก็ต้องระมัดระวังบ้าง อย่าวางเกะกะมาก” เสียงเข้มดุอีกคน แต่คนนี้ดุทั้งหน้า ดุทั้งตา รวมดุทั้งเสียงมาครบ ไอ้ผมเลยได้แต่รับคำเสียงอ่อยว่าต่อไปจะระวังให้มาก  แต่ท้ายประโยคสร้างความสงสัยว่าคงจะดุวิศวกรคุมงานแน่เลย เพราะทางร่างสูงอีกคนก็รับคำพร้อมขอโทษไปในตัว



                 “นี่เดินแค่ไม่กี่ห้องเท่านั้น  ถ้าเดินต่อให้ครบทุกห้องเนี่ยไม่โดนเหล็กทิ่มตัวไปเลยเหรอ” ยังไม่เลิกอีก ผมจึงได้แต่หันขวับไปส่งตาขวางไปให้ พลางคิดในใจดุรอบเดียวก็พอแล้ว จะดุอะไรหนักหนา เข้าใจหรอกน่า



                 “ครับ ๆ ผมจะระวังอย่างมากไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกแล้วครับ ท่านประธาน” ผมโต้กลับคุณภูไป ซึ่งก็ทำให้ใบหน้าของวิศวกรหนุ่ม หันมามองหน้าผมพร้อมขมวดคิ้ว แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา



                 “ไปเดินดูงานต่อได้แล้ว เดี๋ยวจะกลับมืดค่ำกว่านี้ นี่ก็เริ่มมืดแล้ว” จบประโยคนั้นก็หันหลังกลับเดินนำหน้าไปดูงานที่เหลือทันที ทิ้งผมกับอีกคนหันมามองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจแต่ก็เดินตามร่างสูงไป  ใช้เวลาอีกประมาณหนึ่งชั่วโมง การเดินดูหน้างานของคุณภูก็เสร็จเรียบร้อย จุดไหนที่ไม่เรียบร้อยก็จะมีการติและคำแนะนำให้แก้ไข ทางวิศวกรก็รับคำพร้อมจดรายละเอียดที่สั่งให้แก้ไข




                   ร่างสูงเดินมาที่สำนักงานออฟฟิศชั่วคราว ถอดหมวกนิรภัยยื่นให้ผม ซึ่งผมก็รับมาถือไว้แล้วส่งต่อให้กับพนักงานที่เข้ามารับพร้อมกับน้ำดื่มสองแก้ว ผมเอื้อมมือไปรับมาแล้วก็ยื่นให้ร่างสูงของคุณภู  คุณภูคุยงานกับผู้จัดการโครงการอีกนิดหน่อยก็ได้เวลากลับเพราะตอนนี้ฟ้ามืดลงไปแล้ว คุณภูเดินนำหน้าไปทางรถที่จอดอยู่



                 “เอ่อ คุณภูครับ ผมขอเวลาสัก 5 นาทีนะครับเดี๋ยวมาแป๊บเดียว” ว่าจบก็รีบวิ่งกลับไปทางสำนักงานไม่รอคำตอบจากร่างสูงตรงหน้าว่าจะอนุญาตหรือไม่



                 ผมรีบวิ่งกระหืดกระหอบเปิดประตูสำนักงานเข้าไป พนักงานในนั้นต่างหันมามองหน้าผมกันหมด ไม่เว้นแม้แต่ร่างสูงของวิศวกรประจำโครงการ ซึ่งพอเห็นว่าเป็นผม ร่างนั้นก็เดินเข้ามาหาพร้อมรอยยิ้มกว้าง



                  “พี่นึกว่ากันต์จะกลับเลยไม่นึกว่าจะวิ่งกลับมาอีก” เสียงทุ้มบอกออกมา พลางเดินนำหน้าผมออกมาจากสำนักงานเพื่อคุยกันด้านนอก



                 “ก็ว่าจะกลับแต่กันตัยังไม่ได้คุยกับพี่ทายเลย นี่ว่าจะมาขอเบอร์ไว้ก่อน เดี๋ยวค่อยคุยกันนะครับ พอดีคุณภูท่านรออยู่ด้วย เดี๋ยวจะโกรธเพราะว่าผมบอกให้รอก่อน” ผมยิ้มให้แล้วรีบบอกธุระออกมา  ร่างสูงนั้นก็บอกหมายเลขโทรศัพท์ที่ใช้อยู่ให้ผมได้รับรู้ ผมรีบกดบันทึกลงในเครื่องพร้อมทั้งโทรออกไปให้อีกเครื่องในมือของร่างสูงดังขึ้น มือใหญ่ยกมือถือขึ้นมาแกว่งเบา ๆ ประมาณว่าได้เบอร์ของผมมาแล้ว




                 “งั้นผมไปก่อนนะครับ พี่ทายเดี๋ยวโทรหา ไปล่ะ สวัสดีครับ” ผมรีบยกมือไหว้ร่างสูง ก่อนจะหันหลังวิ่งกลับไปยังรถที่คุณภูจอดรออยู่



                  เมื่อวิ่งไปถึงรถก็เปิดประตูเข้าไปนั่งพร้อมรัดเข็มขัดเป็นสัญญาณว่าพร้อมจะกลับกันได้แล้ว ใบหน้าหล่อเข้มของสารถีหันมามองหน้าผมแว่ปหนึ่งแล้วหันกลับไปขับรถเพื่อเดินทางกลับบ้าน  ผมรู้สึกไปเองไหมว่าใบหน้านั้นเคร่งขรึมขึ้นกว่าเมื่อตอนขามาอีก แต่คงเป็นเพราะว่าผมทิ้งให้อีกฝ่ายรอละมั้ง  ก็ให้รอไม่นานเองนะ ผมรีบวิ่งไปรีบวิ่งมาออกขนาดนี้ไม่น่าจะอารมณ์เสียนี่นา




                 ในรถเงียบมาก เงียบขนาดที่ว่าผมยังไม่กล้าหายใจแรงเลยล่ะครับ รถที่ร่างสูงขับก็รู้สึกว่าความเร็วมันเพิ่มมาขึ้นเรื่อย ๆ ผมได้แต่นั่งเอามือเกาะเข็มขัดไว้แน่น เม้มปากแต่ไม่กล้าจะหันไปบอกให้ร่างสูงชะลอความเร็ว รีบกลับบ้านไปหาลูกชายมั้ง ผมก็รีบนะแต่ยังไม่ต้องรีบมากขนาดนี้ก็ได้




                 ใช้เวลาบนท้องถนนประมาณ หนึ่งชั่วโมงรถยนต์คันงามที่มีประธานบริษัทสุดหล่อก็เลี้ยวเข้ามาจอดหน้าบ้านหลังใหญ่กลางกรุง เมื่อจอดรถเรียบร้อยแล้วร่างสูงก็รีบเดินเข้าไปในบ้านทันที ผมเลยได้แต่เดินตามไปพร้อมถอนหายใจออกอย่างโล่งอก เดินเข้าไปก็พบร่างน้อยของเด็กสองคนนั่งเล่นอยู่หน้าทีวี ผมเดินเข้าไปหาร่างอ้วนพร้อมยิ้มให้น้องฟ้าเมื่อน้องฟ้าหันมายกมือไหว้ผม



                 “สวัสดีครับน้องฟ้า ตุลย์ดื้อไหมครับวันนี้ พอดีน้ากันต์ไปทำงานกับคุณพ่อของน้องฟ้านะครับเลยกลับมาดึก ต้องฝากตุลย์ไว้ที่บ้านน้องฟ้าอย่างนี้”



                 “สวัสดีครับ น้ากันต์  ไม่เป็นไรหรอกครับเพราะว่าฟ้าจะได้มีเพื่อนเล่นตอนเลิกเรียน เพราะทุกทีฟ้ากลับบ้านก็ไม่มีเพื่อนเล่นด้วยสักคน มีแต่พี่พลอยคนเดียวเบื่อจะแย่” ร่างเล็กใบหน้าเรียวเล็ก ริมฝีปากแดงบอกพร้อมทำหน้ายู่ว่าเบื่อจริง ๆ  ผมยกยิ้มให้กับรอยยิ้มน่ารักนั้น




                 “น้ากันต์ตุลย์ไม่ดื้อหรอก นี่ทำการบ้านกันเสร็จแล้วด้วย ข้าวเย็นก็ทานกันแล้ว แต่ว่าตุลย์อยากนอนกับน้องฟ้า น้ากันต์ให้ตุลย์นอนที่นี่นะ ได้ป่ะ” หมูอ้วนตุลย์เดิมมาจับมือผมเขย่าไปมาพร้อมเงยหน้ากลม ๆ ทำตาปริบ ๆ อ้อนผม ผมก็ก้มลงมามอง ไอ้อ้วนผมทำท่าทางแบบนี้สงสัยคิดว่าตัวเองน่ารักละสิ จำขำก็ขำไม่ออกได้แต่นั่งกัดปากตัวเองเบา ๆ




                  “ไม่ได้หรอกครับ เรารบกวนบ้านพ่อน้องฟ้าเรื่องที่ไปรับตุลย์แล้ว ต้องกลับบ้านครับ” ผมส่ายหน้าปฏิเสธไอ้อ้วนของผม ซึ่งเมื่อได้ฟังคำปฏิเสธของผมไปใบหน้าอ้วนก็ทำปากคว่ำทันที



                 ยังไม่ทันจะคุยอะไรกันอีก ร่างสูงที่เดินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ลงมานั่งข้าง ๆ น้องฟ้า  แล้วหันไปถามน้องฟ้าเบาๆ




                 “น้องฟ้าทานข้าวเย็นหรือยังครับ” เสียงอ่อนเชียวนะคุณภู



                 “ฟ้าทานแล้วครับคุณพ่อ ทานกับตุลย์วันนี้มีของโปรดคุณพ่อด้วยนะครับ” ร่างเล็กหันไปกอดแขนคุณพ่อรูปหล่อเงยหน้าถามอย่างน่ารัก



                 “อืม ทานเลยก็ได้เดี๋ยวจะดึก น้องฟ้าจะได้ขึ้นนอน นอนดึกมันไม่ดีต่อเด็ก นายก็มาทานด้วยกัน กับข้าวเหลือพออยู่เพราะยังไงตุลย์ก็ทานไปแล้วจะได้ไม่ต้องไปหาทานให้เสียเวลาอีก” เมื่อคุยกับลูกชายเสร็จก็หันมาสั่งผมให้ทานข้าวด้วยกันเสียเลย ผมจะปฏิเสธทำไมล่ะครับ ของฟรีแถมยังไม่ต้องเหนื่อยแรงทำเองอีก คำตอบก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าทานสิครับ



                 จบมื้ออาหารค่ำที่บ้านคุณภูผมกับตุยล์ก็ขอตัวกลับบ้านเราทันทีเพราะนี่ก็เริ่มดึกแล้ว เหนื่อยมากด้วยอยากอาบน้ำนอนแล้วเดินมากกว่าทุกวันอีกสงสัยพรุ่งนี้ปวดขาแน่นอนเลย




                 ผมเดินจูงมืออวบ ๆ ของตุลย์กลับบ้านหลังเล็กของเราที่อยู่ข้าง ๆ บ้านหลังใหญ่ท่ามกลางอากาศเย็นสบาย มืออวบกระตุกมือผมเบา ๆ




                 “น้ากันต์  ตุลย์ว่าเราต้องเริ่มแผนการจีบน้องฟ้าได้แล้วนะ วันนี้มีเด็กข้างห้องมาแอบมองน้องฟ้าด้วยล่ะ ตุลย์จะได้รีบเป็นแฟนน้องฟ้า แล้วจะได้รีบกันพวกมดปลวกที่จะมาจีบน้องฟ้าให้พ้น ๆ เสียที รำคราญจะแย่” เสียงเล็กออกมาจากปากเด็กอ้วนเสียงเข้มเชียวครับ



                “หือ~~~ มีคนมาจีบน้องฟ้า ตุลย์รู้ได้ยังไง เขาอาจจะแค่มาหาเพื่อนที่เขารู้จักในห้องตุลย์ก็ได้นี่นา” ผมเอ่ยถามพร้อมก้มลงไปมอง สบตากับร่างเล็ก ๆ ที่มองมาที่ผม



                 “รู้สิ มันออกมาจากสายตาเด็กคนนั้นเลยนะน้ากันต์ แถมเด็กนั่นยังเดินเข้ามาแล้วเอาขนมมาให้น้องฟ้าด้วย อย่างนี้ไม่เรียกว่าจีบจะเรียกว่าอะไร ตุลย์ไม่ยอมหรอกนะ บอกไว้ก่อนเลย น้องฟ้าของตุลย์คนเดียวเท่านั้น ใครหรือคนอื่นอย่าคิดมาแย่งเชียวไม่งั้นอย่าหาว่าพี่ตุลย์คนนี้ไม่เตือน” เด็กอ้วนของผมเอ่ยออกมา ทำเสียงเข้มเชียว



                  “ครับ ๆน้ากันย์รู้แล้ว เดี๋ยวจะช่วยให้หลานชายสุดหล่อของน้าสมหวังในความรักให้ได้เลย น้ากันต์เอาหน้าหล่อ ๆ ของน้ากันต์เป็นประกันเลย” ผมเลยตอยกลับด้วยสำเสียงร่าเริ่ง ให้อีกฝ่ายอารมณ์ดีขึ้นไปด้วย




                  แค่นั้นแหล่ะ ใบหน้ากลมตาโต ยิ้มตอบจนตาหยีมาเลยทีเดียว ซึ่งผมก็คิดว่าจะหาแผนอะไรที่จะทำให้หลานชายสุดที่รักคนนี้สมหวัง ให้คว้าใจน้องฟ้ามาให้ได้  เราเดินกลับบ้านกันอย่างมีความสุขทั้งน้าหลาน ผมชอบนะบรรยากาศแบบนี้มันอบอุ่น ถึงแม้ว่าพี่สาวและพี่เขยจะไม่ได้อยู่กับเราก็ตาม เราจะมีความสุขเผื่อคนทั้งสองที่เฝ้ามองเราจากบนฟ้าให้ได้เลยผมสัญญา

 

 

**********************************************************************************



มาเงียบ ๆ แอบดูอยู่ทุกวันแต่เพิ่งเขียนจบ หอที่ย้ายมาก็ยังไม่ได้จัดของเลยค่ะ

ของยังอยู่ในกล่องเหมือนเดิมต้องรอวันหยุดถึงจะได้รื้อออกมา

จะรีบมาลงตอนต่อไปนะคะ สัญญา ^_^
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-08-2016 18:58:26 โดย มารน้อย เจ้าสำนัก »

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
คุณพ่อน้องฟ้า
เริ่มหึงแล้ว

 :hao3: :hao3:

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9
พี่ทายกับกันต์มีความรู้สึกอะไรให้กันอยู่รึเปล่า มาเฉลยให้ด้วยนะคะ

ออฟไลน์ มารน้อย เจ้าสำนัก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0

                เช้าวันนี้ผมโดนเจ้าตัวอ้วนปลุกแต่เช้า ถามว่าทำไมนะเหรอครับ เจ้าตัวเขาบอกว่าวันนี้เราต้องเริ่มแผนการกันได้แล้ว ช้ากว่านี้จะไม่ทันการณ์ ดังนั้นผมจึงต้องลืมตาตื่นมาตอนตี 5!!!! ฟังไม่ผิดหรอกครับตี 5 โรงเรียนก็อยู่ใกล้บ้านแค่นี้เองทุกครั้งตื่น 6 โมงก็ยังทัน แต่นี่มันเช้าเกินไหมคุณหลาน

                เมื่อปลุกให้ผมตื่นมาได้แล้วเจ้าตัวก็วิ่งออกไปจากห้องผมคาดว่าจะวิ่งไปอาบน้ำแต่งตัว ส่วนผมนะเหรอครับในเมื่อตัวป่วนมาปลุกก็ต้องตื่น  จึงได้แต่ลุกไปล้างหน้าเพื่อลงไปทำอาหารเช้าให้ไอ้อ้วน  ออกมาจากห้องได้ยินเสียงฮัมเพลงเบา ๆ ออกมาจากห้องนอนเล็กได้แต่เดินไปเปิดประตูดูว่าหลานชายกำลังทำอะไร

                เดินเข้าไปในห้องนอนมองไม่เห็นเจ้าของห้องคาดว่าน่าจะอาบน้ำอยู่เลย เดินเข้าไปทางห้องน้ำที่เปิดประตูไว้ ภาพที่เห็นตรงหน้าทำเอาผมอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ ร่างอ้วนกลม กำลังยืนเอามือท้าวเอวแอ่นพุงใส่กระจก บิดซ้ายบิดขวาราวกับสำรวจร่างกายตัวเอง พลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

                “ตุลย์ ทำอะไร แล้วนี่ยืนส่องกระจกสำรวจตัวเองว่าหุ่นดีอยู่รึไง” ผมเอ่ยทักออกไป เจ้าตัวสะดุ้งน้อย ๆ หันมายิ้มแฉ่งให้ผม

                “น้ากันต์  ๆ ว่าตุยล์หล่อป่ะ หุ่นดีป่ะ อย่างนี้ไปสู้กับเด็กคนอื่นได้ป่ะ แต่ตุลย์ว่าตุลย์หล่อกว่าเยอะเลย เนอะน้ากันต์เนอะ” เออวุ้ย พูดเองเออเองก็ได้หลานใครฟร๊ะ

                “ครับ ๆ ตุลย์หล่อที่สุดล่ะ ใครจะมากล้าสู้หลานชายสุดหล่อของน้าได้กันเนอะ” เอากะเขาหน่อย อวยไปซะเดี๋ยวจะหาว่าผมไม่เข้าข้างเจ้าตัว

                “ว่าแต่ว่าทำไมตุลย์ถึงตืนมาแต่เช้าล่ะ ทุกทีต้องให้น้าไปปลุกนี่ถึงจะลุกได้”

                “ก็เมื่อวานน้ากันต์ไม่ได้ขับรถกลับบ้านนี่ แล้ว.....” อ้าว แล้วทำไมไม่พูดต่อให้จบ ต้องมาทำตาเล็กตาน้อยใส่ด้วยล่ะ

                “แล้ว.....เราก็ต้องหาทางไปโรงเรียนกับไปทำงานเองนะสิ แล้วน้ากันต์คิดดูดี ๆ นะ น้องฟ้าอยู่โรงเรียนเดียวกับตุลย์  ส่วนน้ากันต์ก็ทำงานที่เดียวกับพ่อน้องฟ้า แล้วทีนี้เราต้องทำยังไงกันล่ะ คิดสิคิด” อ่าฮะ เริ่มคิดออกล่ะ ว่าเราจะไปโรงเรียนกับไปทำงานกันยังไง

                “แล้วทีนี้เราต้องทำยังไงก็ได้ให้เราได้ติดรถคุณพ่อน้องฟ้าไปให้ได้นะเหรอ” ผมเฉลยความคิดต่อให้ไอ้อ้วนจนจบ

                “ปิ๊งป่อง ๆ ถูกต้องแล้วคร้าบบบบ”

                “อ้อเป็นแบบนี้นี่เอง ถ้าคิดเองได้ก็น่าจะไม่ต้องให้น้ากันต์ช่วยแผนอย่างอื่นแล้วมั้งเนี่ย โอเคงั้นไปอาบน้ำได้แล้วจะได้แต่งตัว เดี๋ยวน้าจะลงไปทำอาหารเช้าก่อน”

                ผมว่าหลานผมไม่ต้องใช้ให้ผมคิดแผนอะไรหรอกครับในเมื่อเจ้าตัวออกจะสมองแล่นขนาดนี้ นี่ผมยังลืมเลยนะว่าเมื่อวานตัวเองกลับมากับคุณภู ไม่ได้คิดถึงเลยว่าเช้าวันนี้จะไปส่งตุลย์และไปทำงานยังไง คงจินึกได้ว่าไม่มีรถก็ต่อเมื่อออกไปที่โรงรถแล้วไม่เจอรถนั่นแหล่ะ คงรู้สึกตัวว่าต้องอาศํยแท็กซี่แน่นอน นี่ดีนะที่ไอ้อ้วนคิดได้ รึผมจะโง่กว่าหลานชาย

                เมื่อเราทั้งน้าหลานเตรียมความพร้อมเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็มายืนแอบอยู่หน้าประตูบ้านของเรา โดยที่ผมและตุลย์ได้แต่ชะเง้อมองไปยังบ้านข้างเคียงที่หลังใหญ่ยังกับวัง ได้แต่มองความเคลื่อนไหวภายในบ้านหลังนั้นว่าเมื่อไรสองพ่อลูกตระกูลอุตมโภคิน เดินออกมาที่รถเพื่อออกจากบ้านเราสองคนน้าหลานก็ทำต้องรีบเดินออกมาจากบ้านทันที

                ยืนรออยู่จนไอ้อ้วนเริ่มกระสับกระส่าย คงเมื่อยล่ะ จากนั้นจึงนั่งยอง ๆ อยู่บนพื้นเอาศอกวางบนเข้าท้าวแขนขึ้นเพื่อใช้มือรองรับใบหน้ากลมกิ๊ก พร้อมทำปากยู่ สงสัยเมื่อยแน่ ๆ

                “รอเดี๋ยวคงออกมากันแล้ว เป็นยังไงล่ะ เจ้าแผนการดีนักอยากไปพร้อมน้องฟ้า ต้องมายืนรอ นั่งรอเมื่อยป่ะล่ะทีนี้ไอ้อ้วน” ผมก้มลงไปมอง เอ่ยแซวตุลย์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แต่ใบหน้านั้นเงยหน้า มามองผม

                 ผมมองไปทางบ้านนั้นอีกครั้ง คราวนี้มีร่างเล็ก ๆ เดินนำหน้าร่างสูงออกมา ผมเลยได้แต่ถอนใจอย่างโล่งอก ออกมากันได้เสียทีถ้ายังไม่ออกมาอีกนะจะไปกดออดหน้าบ้านแล้วขอไปด้วยแล้วล่ะ เมื่อยจะตายแล้วโว้ย

               “ตุลย์ ลุกได้แล้วบ้านนั้นออกมากันแล้ว ไปเดินไปดีกว่า” ผมก้มลงไปฉุดร่างอ้วนขึ้นมา แต่เหมือนจะมีแรงฮึดนะ ไม่ต้องให้ผมออกแรง ก็ลุกมาปัดกางกางตัวเองเบาๆ แล้วคว้ามือผมลากเดินออกไปทันที แต่เราเดินกันไม่เร็วนักหรอก ก็จะรีบเดินทำไมละครับเดี๋ยวก็ได้ขึ้นรถแล้ว ค่อยๆ เดินก็ได้ไม่เหนื่อยด้วย

               เดินไปได้สักไม่เกิน 100 เมตรหรอกได้ยินเสียงแตรรถดังมาจากด้านหลัง ผมกับเจ้าอ้วนทำทีเป็นหันไปมอง แล้วหันหยุดเดิน รถยนต์คันหรูก็จอดลงข้าง ๆ พร้อมกับกระจกด้านข้างคนขับก็ลดลงใบหน้าน่ารักเผยรอยยิ้มออกมาแล้วกวักมือเรียกให้ผมกับตุลย์เข้าไปหา

               “น้ากันต์ครับ ตุลย์ไปโรงเรียนด้วยกันไหม แล้วรถไปไหนครับ” เสียงเล็ก ๆ ดังออกจากปากสีชมพูน้อยๆ พลางกวักมือเรียกหยิก ๆ

               “รถอยู่ที่ทำงานครับเมื่อวานน้ากันต์ติดรถคุณพ่อน้องฟ้ากลับบ้านไง จำไม่ได้เหรอวันนี้เลยต้องเดินไปหาแท็กซี่หน้าหมู่บ้านขึ้นไปทำงาน”  ผมตอบคำถามร่างเล็ก ๆ นั้นแล้วมองเลยคนลูกไปดูหน้าคนพ่อ แต่มองไปก็เท่านั้นแหล่ะครับ หน้านิ่งอย่างกับพระอิฐพระปูนอย่างนั้น

               “งั้นก็ขึ้นรถมาเดี๋ยวฉันจะไปส่งน้องฟ้าอยู่แล้ว  เพิ่มนายกับหลานอีกคนก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง รีบขึ้นมาได้แล้วจะได้รีบไปกันเดี๋ยวสาย” เสียงทุ้มเอ่ยเร่งให้ผมกับตุลย์ขึ้นรถไปด้วยกัน

              “ใช่ๆ เร็วสิครับน้ากันต์ ตุลย์ด้วย ขึ้นมาเลย”

                ผมกำลังจะเปิดประตูหลังขึ้นไปนั่ง น้องฟ้าก็ปีนเอาตัวเองจากเบาะหน้าไปนั่งยิ้มแป้นอยู่ที่เบาะหลังเรียบร้อยแล้ว อ้าวแล้วผมทำไงละ มือที่กำลังจะเปิดประตูหลังก็ชะงักตามไปด้วย แต่ก็เปิดเพื่อให้ตุยล์เข้าไปนั่งเป็นเพื่อนน้องฟ้า เมื่อตลย์นั่งเรียบร้อยแล้วผมก็ปิดประตูหลัง แล้วเอื้อมมือไปเปิดประตูหน้าเพื่อขึ้นไปนั่งข้างคนขับรถกิติมศักดิ์ร่างสูง หน้าเข้ม

               “ทั้งสองคนคาดเข็มขัดกันด้วยนะครับ” คาดเข็มขัดให้ตัวเองเรียบร้อยก็หันไปบอกเด็กทั้งสองคนด้านหลังให้คาดด้วยเพื่อความปลอดภัย  ทั้งน้องฟ้าและตุลย์ก็หันไปคว้าเอาเข็มขัดมาคาดไว้ตามคำที่ผมบอก ไม่ได้หรอกครับเราต้องทำให้เด็ก ๆ ชินกับการนั่งรถแล้วต้องคาดเข็มขัดทุกครั้ง

               ดังนั้นพอทั้งสองนั่งได้ที่เรียบร้อยก็คุยกันแล้ว ผมเลยได้แต่หันไปมองด้านหน้า ไม่อยากมองหรอกครับด้านข้างเสียสายตา คนอะไรเงียบได้เงียบดี ทีเมื่อวานยังพูดประชดประชันผมได้ แต่วันนี้ลืมเอาปากมาด้วยรึไง

               “คุณพ่อ วันต่อไปเราให้ตุลย์กับน้ากันต์ไปโรงเรียนแล้วก็ไปทำงานพร้อมเราได้ไหมครับ น้องฟ้าจะได้มีเพื่อนไปโรงเรียนด้วยทุกวัน สนุกดี”  หืออออออ ผมงี้หันขวับคอแทบเคล็ดเลยละครับ เอ่อมันจะดีเหรอน้องฟ้า ดูหน้าคุณพ่อหนูก่อนนะ

                “ไม่ได้หรอกครับน้องฟ้า เพราะเราก็ไม่รู้ว่าเราจะออกจากบ้านเวลาไหน แล้วก็ …” แล้วก็อะไรคุณภูพูดให้จบแบบสวย ๆ นะไม่งั้นผมจะ จะ จะ อะไรดีฟร๊ะ

                “แล้วก็เวลาของน้ากันต์กับตุลย์ คงไม่ออกมาตรงกับเราทุกครั้งหรอก วันนี้ก็แค่บังเอิญเท่านั้นแหล่ะ” ทำไมเสียงตอนที่ออกชื่อผมมันเหมือนกับคนกัดฟันพูดออกมาล่ะ  ผมเลยหันไปจ้องหน้าคนที่พูดแล้วรีบเปลี่ยนสีหน้าหันไปทางน้องฟ้า

                “ใช่แล้วครับน้องฟ้า น้ากันย์กับตุลย์เวลาไม่แน่นอนเท่าไรหรอก เดี๋ยวจะเสียเวลาคุณพ่อน้องฟ้ามารอแล้วจะเสียเวลาเอาได้เนอะ”

                “อย่างนั้นเหรอครับ เสียดายจังเลย ฟ้านึกว่าจะได้ไปโรงเรียนพร้อมกับตุลย์ทุกวันเสียอีก” เสียงใสในตอนแรกแต่ตอนนี้กลับดูเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด ทำเอาผมสงสารเลยล่ะครับ แต่จะทำอย่างไรได้จะให้ผมมาทำงานพร้อมกับคุณภูทุกวันอย่างนั้นเหรอครับ บอกได้คำเดียวว่า ไม่มีทาง!!!!!!!!!!!

                “ไม่เป็นไรหรอกน้องฟ้า ถึงไม่ได้ไปโรงเรียนพร้อมกันทุกวัน แต่ตุลย์จะนั่งข้างน้องฟ้าแล้วก็เล่นกับน้องฟ้าทุกวันก็ได้ไม่ต้องเสียใจไปนะ” เออแฮะ รู้จักพูดเสียด้วยไอ้อ้วน ไม่พูดเปล่านะครับเอื้อมมือไปลูบศรีษะน้องฟ้าเบาๆ ด้วย          เฮ้ย ๆๆๆๆ ไอ้อ้วนอย่ามัวแตป้อน้องฟ้า หันหน้าไปมองพ่อของเขาด้วย คิ้วขมวดแน่น มือกำพวงมาลับแน่น เสียงกัดฟันดังมาแล้วด้วย เอามือออกก่อนด่วน......

                ใบหน้าของชายหนุ่มผู้หล่อเหลาที่มีหน้าที่เป็นสารถีขับรถได้แต่ขรึมลงไปอีก แต่คงไม่กล้าพูดอะไรหรอกคงกลัวน้องฟ้าได้ยินคำไม่ดีแน่ ๆ เลย ฮ่าๆๆๆ ดีจังวุ้ยเกิดเป็นเด็กแบบตุลย์นี่แอบเนียนจับตัวลูกชายชาวบ้านโดยที่คนเป็นพ่อได้แต่รักษามาดสุภาพบุรุษเอาไว้ต่อหน้าลูกชายตัวเอง คงไม่กล้าทำอะไรให้ดูไม่ดีต่อหน้าลูกแน่เลย

                ตุลย์คงรับรู้ได้ถึงรังสีทะมึนบางอย่างที่แผ่ออกมาจากร่างสูงด้านหน้า จึงค่อย ๆ ลดมือลงแต่ก็ยังแอบเนียนโดยการนั่งชิดติดกับน้องฟ้าจนแทบจะเกยกันอยู่แล้ว ไอ้ผมก็เลยได้แต่นั่งหันไปมองเด็ก ๆ ที่คุยกันอย่างสนุกสนานด้านหลังโดยไม่ได้มีใครสนใจกับคนขับรถเลยแม้แต่คนเดียว

                ใช้เวลาไม่นานรถยนต์คันหรูก็เลี้ยวมาจอดในที่จอดรถผู้ปกครองที่ไว้สำหรับมา รับ – ส่งลูกหลาน  เมื่อรถจอดสนิทแล้วร่างสูงเปิดประตูรถลงไปเพื่อเปิดประตูรับร่างลูกชายตัวเล็ก ซึ่งผมก็เปิดประตูลงมายืนข้างล่างแต่ไม่ได้เปิดประตูให้ตุลย์หรอกนครับรายนั้นเปิดประตูเองแล้วกระโดดลงจากรถแล้วรีบวิ่งไปอีกด้านเรียบร้อยแล้ว

                พอน้องฟ้าลงจากรถได้นายตุลยากรก็ยิ้มแป้นรอรับอยู่แล้ว น้องฟ้าจึงได้แต่ส่งยิ้มให้คนเป็นพ่อแล้วเดินคว้ามือตุลย์เดินนำหน้าลิ่วไปแล้วครับ แล้วคนที่เปิดประตูหมายจะไปอุ้มลูกชายตัวเล็กตอนนี้เป็นยังไงนะเหรอครับ ขอบอกเลยว่าใกล้จะระเบิดกลายเป็นโกโกครั๊นซ์แล้วละมั้ง

                จะหัวเราะก็ไม่กล้าได้แต่หันหน้าหนีไปกลั้นหัวเราะตัวกระเพื่อมอยู่คนเดียว อย่าได้หลุดส่งเสียงออกไปสักนิดเดียวนะครับตอนนี้คาดว่าอาจจะโดนพ่นไฟใส่ก็เป็นได้

                เมื่อส่งเด็กชายทั้งสองเข้าเรียนเรียบร้อยก็ถึงคราวซวยของผมอย่างแท้จริงล่ะครับ จะไม่ซวยยังไงได้ล่ะในเมื่อตอนนี้ผมต้องนั่งรถไปออฟฟิศกับคุณภูผู้ที่ถูกลูกชายผู้น่ารักทอดทิ้งแล้วเดินไปกับหลานชายของผม แล้วใครจะตกเป็นจำเลยของคดีนี้นอกจากนายกันตพิชย์คนนี้คนเดียว ที่ต้องเผชิญหน้ากับคุณภูดิสผู้ที่ตอนนี้ใกล้จะกลายร่างอยู่แล้ว

                เสียงเร่งเครื่องยนต์ตอนที่ออกตัวพ้นจากโรงเรียนแล้ว ทำเอาผมต้องหันไปหาอะไรมาคว้าติดมือกันเลยทีเดียวเจอแต่ที่จับข้างประตูโหนมันเอาไว้ก่อนก็ได้วะ เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน หลานยังไม่โตนะครับผมยังไม่อยากไปอยู่กับพี่สาวและพี่เขยตอนนี้หรอกนะ

                “นายกับหลานชายนาย ออกมาได้จังหวะพอดีเกินไปหรือเปล่า” เฮ้ย!!!!!! รู้ตัวด้วยเหรอไงว่าผมกะจังหวะให้ออกมาตรงกับที่ชายหนุ่มออกมาจากบ้าน

                “โธ่ คุณภูครับใครจะไปรู้ได้ล่ะว่าคุณจะออกจากบ้านตอนไหน แล้วผมก็ออกเวลานี้ประจำ เนี่ยตั้งใจจะเดินไปเรียกแท็กซี่หน้าหมู่บ้านเอง ไม่ได้หวังว่าจะได้มาอาศัยรถยนต์คันหรูของคุณภูหรอกนะครับ” ผมหันไปตอบเสียงขุ่นทีเดียวบ่งบอกว่าไม่ชอบใจกับคำถามของชายหนุ่ม  เอ่อ... บอกออกไปแบบนี้คงไม่สงสัยหรอก เนอะ ก็ต้องแกล้งทำเสียงเขียวใส่เหมือนไม่พอใจก่อนละครับ เดี๋ยวจับได้ว่าผมแอบดักรออยู่เพื่อจะได้ให้หลานชายตัวดีได้ไปโรงเรียนกับน้องฟ้าดังที่เจ้าตัวตั้ใจเอาไว้

                “นายแน่ใจนะว่าไม่ได้วางแผนเอาไว้แล้วที่จะอาศัยรถฉันไปโรงเรียนกับไปทำงานด้วย ถ้าทำอย่างที่ฉันว่าก็รับสารภาพออกมาซะเถอะ ฉันไม่ได้ว่าอะไรนายสักหน่อย คนบ้านใกล้กันมีอะไรช่วยเหลือกันได้”  แต่เสียงคุณภูไม่ได้จะลดโทษให้ผมเลยนะครับ มีแต่จะเพิ่มโทษเสียมากกว่า เรื่องอะไรผมจะต้องรับสารภาพ บอกออกไปว่าตั้งใจมาดักเพื่อทำทีเป็นรอให้ร่างสูงขับรถผ่านเพื่อที่จะได้เรียกขึ้นรถไปด้วยกัน ถึงคนเรียกจะเป็นลูกชายของเจ้าตัวก็เหอะ

                “นี่คุณภูก็ผมบอกออกไปแล้วว่ามันบังเอิญ คุณภูจะให้ผมรับสารภาพอะไรอีกครับ ถ้าผมตั้งใจจะขอไปด้วย ผมเดินไปกดกริ่งหน้าบ้านไม่ดีกว่าการมายืนดักรอคนที่ไม่รู้ว่าจะออกมาจากบ้านตอนกี่โมงไม่ดีกว่าเหรอครับ ยืนรอเมื่อยก็เมื่อยไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นมาเลย” เอาสิครับจะมาบังคับให้นายกันตพิชย์รับสารภาพบอกได้คำเดียวว่ายาก  ไม่จนมุมหรอก ไม่มีทางที่จะจับได้หรอก

                ใบหน้าเข้มที่ยังไม่ลดอาการหน้าตึงจากเหตุการณ์โดนลูกชายสุดที่รักทิ้งยังไม่หายไป แถมยังมีแต่จะเพิ่มความตึงเข้าไปอีกกับการได้ยินคำตอบที่คงไม่ได้ดั่งใจตัวเองจากผมนั่นแหล่ะครับ

               “แล้วผมก็ไม่ได้ยืนรอโบกรถเพื่อขอมาด้วยนะครับ เป็นคุณภูเองต่างหากที่จอดรถแล้วน้องฟ้าก็เป็นคยเรียกให้ผมกับตุลย์ขึ้นรถมาด้วยกัน   อย่างนี้มาว่ากันไม่ได้นะครับ” ได้ทีผมใส่เลยละครับอย่าไปรออะไรเดี๋ยวเสียจังหวะการได้เปรียบ หึหึ เห็นผมแบบนี้บางครั้งก็มีบ้างที่คนเราจะมีเป็นคนที่บางคนรู้สึกว่า...ง่าย ๆ เลยยนะครับกวนอวัยวะเบื้องล่างเหมือนกัน

                แต่เชื่อเถอะครับว่าร่างสูงข้าง ๆ ผมไม่ได้เชื่อผมหรอกแต่หาหลักฐานมาจับผิดไม่ได้ต่างหาก ต้องรอดูกันไปว่าคนอย่างนายกันตพิชย์ ยังมีอะไรอีกมากที่ยังไม่มีใครได้รู้

                “อย่าให้ฉันจับได้แล้วกันว่านายสองคนกำลังจะทำอะไรกันอยู่ ฉันไม่ปล่อยพวกนายได้ทำตามใจชอบแน่นอน” เสียงทุ้มเอ่ยขู่ออกมาพร้อมเสียงกัดฟันกรอด ๆ คิดว่าผมจะกลัวเหรอครับ บอกได้เลยว่าไม่!!!!!!!!!! แต่กว่าถ้าบอกว่าเกรงก็มีบ้างเพราะว่ามองดูจากสภาพร่างกายแล้ว ต่างกันคนละรุ่นเลย  คงเปลืองแรงน่าดูถ้าเกิดต้องใช้กำลังกัน

                “ครับ ๆ ผมจะจำไว้ว่าทีหลังถ้าจะทำอะไรต้องทำให้เนียนเก็บหลักฐานให้เรียบ  อย่าให้คุณภูหาหลักฐานใด ๆ มาเล่นงานกลับได้”  ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงร่าเริงพร้อมกับหันไปมองหน้าคนข้าง ๆ ด้วย

                “ฉันไม่ได้หมายความว่าจะให้พวกนายทำอะไรแล้วเก็บหลักฐาน ฉันหมายถึงหยุดทุกความคิดจากนี้ต่างหาก แล้วอย่าหาว่าฉันไม่เตือนนะ” ใบหน้าเรียบเฉยบึ้งตึงของชายหนุ่มทำให้ผมอารมณ์ดีอย่างบอกไม่ถูก เหมือนกับว่าชายหนุ่มกำลังอารมณ์เสียกับการโต้ตอบกับผม  แต่ผมชอบนะ ชอบที่จะให้คนที่รู้จักได้แสดงอารมณ์ของตัวเองออกมาให้มากดีกว่าให้พวกเขาเก็บกักอารมณ์ต่าง ๆ ไว้กับตัวเองจนมันส่งผมกระทบทั้งต่อตัวเองกับคนรอบข้าง อย่างผมถ้าไม่พอใจอะไรผมพูดออกมาตรง ๆ เลย

                “อย่าโมโหแต่เช้านักสิ  รู้ไหมว่ามันทำให้สุภาพจิตไม่ดี เดี๋ยวจะทำงานด้วยจิตใจไม่แจ่มใสทั้งวันนะครับ ถ้าไม่ห่วงไม่บอกหรอกนะรู้ไหมเนี่ย”  จบคำของผมใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มหันมามองผมแว่ปนึงแล้วหันไปสนใจกับการขับรถและการจราจรบนท้องถนนต่อไป เห็นอย่างนั้นผมเลยไม่พูดอะไรต่อ นั่งเงียบไว้ก่อนดีกว่า เดี๋ยวจะเป็นการเพิ่มเชื้อไฟให้ลุกโหมเข้าไปใหญ่ ไม่ดี ๆ ต่อหน้าที่การงานเป็นที่สุด

                จากนั้นต่างคนก็ต่างนั่งเงียบจนรถยนต์ที่ขับมาโดยท่านประธานหนุ่มหล่อก็เลี้ยวเข้ามาภายในถึงตึกออฟฟิศ  เมื่อจอดที่ประจำแล้วร่างสูงก็เปิดประตูออกไปอย่างรวดเร็ว นั่นทำให้ผมต้องรีบนำร่างกายของตัวเองให้หลุดจากการถูกขังไว้ในรถยนต์คันงามให้ไวที่สุด เมื่อออกมาได้แล้วเสียงกดล็อคก็ทำงานทันทีที่เสียงปิดประตูดังขึ้น พร้อมกับร่างสูงหันหลังเดินไปอย่างเร่งรีบไม่หันมามองหน้าผมสักนิดเลย

                คงจะเจ็บใจตัวเองที่ทำอะไรผมไม่ได้ละสิ คิดได้ดังนั้นจึงได้แต่เดินตามร่างของเจ้านายไป แต่เมื่อไปถึงลิฟท์ตัวที่ขึ้นไปชั้นสูงสุดที่เป็นตำแหน่งของห้องประธานบริษัท กลับพบว่าลิฟท์ได้เลื่อนขึ้นไปข้างบนแล้ว  ได้แต่ยืนรออยู่ด้านนอกให้ลิฟท์ตัวที่กำลังขึ้นไปส่งบุคคลที่กุมอำนาจมากที่สุดในตึกแห่งนี้ลงมาเสียก่อน แค่นี้ก็ต้องโมโหด้วย คนอะไรอารมณ์เสียง่ายชะมัดเลย

                แต่ผมว่าอย่างน้อยวันนี้เราก็ไม่ได้เสียอะไรนะครับ เพราะอะไรนะเหรอก็ยอดชายนายตุลย์หลานชายผมนะสิ ได้นั่งรถไปโรงเรียนกับน้องฟ้าตามที่เจ้าตัวตั้งใจไว้ ถึงจะทำให้คุณพ่อน้องฟ้าขุ่นเคืองไปนิดหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ไอ้อ้วนผมก็เนียนได้เรื่องเหมือนกัน จากที่แอบมองดูเหมือนว่าน้องฟ้าก็ยังไม่รู้ตัวหรอกว่าตุลย์กำลังจะเริ่มเดินหน้าจีบน้องฟ้าเต็มกำลัง เอาเป็นว่าตอนนี้เรานับก้าวนี้เป็นก้าวแรกแล้วกัน แล้วก็เป็นก้าวสำคัญเสียด้วย  คนเราเมื่อมีก้าวแรกแล้วก้าวต่อไปไม่ยากเกินความตั้งใจหรอก



****************************************************************



กลับมาแล้วค่ะ ไปต่างจังหวัดมา เมื่อวานว่าจะไปหาอะไรทานที่หัวหิน ไม่ได้ดูข่าวอะไรกับเค้าเลย

ไปถึงซ. 2 เจ้าหน้าตำรวจปิดถนนเลยได้แต่ขับกลับ รถติดมาก เพิ่งได้ทราบว่ามีการวางระเบิด

ทำให้มีคนเสียชีวิตและบาดเจ็บ

ได้แต่เสียใจกับเหตุการณ์นี้กับผู้ที่เกียวข้อง ขอให้ปลอดภัยกันทุกคนนะคะ

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
แอบสงสัยพี่พายเป็นใครน่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9
ท่านประธานหย่ายยยยย หวงลูกจริงๆ

ออฟไลน์ nuttzier

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 476
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
จะมาต่อให้อ่านอีกเมื่อไหร่หว่า

ออฟไลน์ มารน้อย เจ้าสำนัก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ตอนที่ 11 จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน


                    เช้าวันนี้เราสองพ่อลูกขับรถออกจากบ้านตามปกติ แต่มันไม่ปกติตรงที่ว่าเมื่อผมขับรถออกมาจากบ้านเลี้ยวออกมาได้แค่ไม่กี่เมตรเท่านั้นสายตาผมก็มองเห็นร่างชายหนุ่มคนหนึ่งกับร่างของเด็กอ้วนคนหนึ่งเดินอยู่ริมถนนภายในหมู่บ้าน มันก็คงเป็นเรื่องปกติที่ผู้ปกครองบางคนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้จะเดินไปส่งลูกกลานที่โรงเรียน จริง ๆ แล้วโครงการหมู่บ้านแห่งนี้มีบริการให้ รปภ.สามารถเรียกรถแท็กซี่ให้ผู้ที่อาศัยอยู่ข้างในหมู่บ้านได้ออกไปข้างนอกนะครับ  แต่ก็มีบ้างเหมือนกันที่ลูกบ้านก็เดินออกไปกันเอง อาจจะต้องการออกกำลังกายบ้างก็ได้

                    แต่ที่มันไม่ปกติก็คือ ทั้งสองคนคือเพื่อนบ้านผมที่เพิ่งย้ายมานั่นเอง และเด็กอ้วนนั่นคือเพื่อนร่วมชั้นเรียนของลูกชายผม ส่วนตัวผู้ชายร่างโปร่งนั้นก็คือลูกน้องผมคนใหม่ที่บริษัทนั่นเอง จะให้ผมขับรถเลยไปโดยที่ไม่สนใจทั้งสองคนน้าหลานผมก็ทำไม่ได้ เลยชะลอรถ แล้วกดแตรรถเบา ๆ หนึ่งครั้งเพื่อให้สัญญาณ ทั้งสองคนหันหลังมามอง แล้วหยุดเดินเมื่อรถจอดสนิทลงกระจกด้านข้างคนขับก็ถูกลูกชายของผมกดลดกระจกลงพร้อมส่งเสียงเรียกให้ทั้งสองคนขึ้นรถมาด้วยกัน

                    “น้ากันต์ครับ ตุลย์ไปโรงเรียนด้วยกันไหม แล้วรถไปไหนครับ” เสียงของน้องฟ้าลูกชายผมร้องเรียกครับ

                    “รถอยู่ที่ทำงานครับเมื่อวานน้ากันต์ติดรถคุณพ่อน้องฟ้ากลับบ้านไง จำไม่ได้เหรอวันนี้เลยต้องเดินไปหาแท็กซี่หน้าหมู่บ้านขึ้นไปทำงาน”  กันตพิชย์ตอบคำถามที่ลูกชายผมถามออกไป ผมก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้นะว่าเมื่อวานผู้ช่วยหนุ่มกลับบ้านกับผม เพราะต้องไปไซท์งานก่อสร้างด้วยกัน จึงต้องจอดรถของตัวเองไว้ที่ทำงาน

                    ผมก็เหลือบสายตาไปมองเห็นว่าชายหนุ่มกำลังจะเอื้อมมือไปเปิดประตูหลังแต่เจ้าตัวเล็กของผมปลดเข็มขัดจากนั้นจึงปีนเอาตัวเองข้ามไปนั่งยิ้มแป้นอยู่เบาะหลังเรียบร้อย ด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ ผมได้แต่มองตามลูกชายแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร

                    กันตพิชย์ชะงักไปนิดนึงแต่ก็ยื่นมือมาเปิดประตูหลังเพื่อให้หลานชายตัวอ้วนปีนขึ้นมานั่งภายในรถคู่กับลูกชายของผม แล้วเจ้าตัวก็ปิดประตูหลังให้สนิท จึงได้เปิดประตูหน้ามานั่งที่ข้างคนขับ ผมเลยได้แต่ออกรถเพื่อไปส่งเด็ก ๆ ที่โรงเรียน ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงคนข้างตัวบอกให้เด็ก ๆ คาดเข็มขัดนิรภัย ซึ่งมันทำให้ผมคิดว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนรอบคอบคนนึงทีเดียว เพราะส่วนมากคนไทยไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการที่มีบุคคลนั่งเบาะด้านหลังแล้วคาดเข็มขัดเท่าไรนัก แต่ในความเป็นจริงไม่ว่าจะนั่งตรงไหนเราก็ควรนึกถึงความปลอดภัยไว้ก่อน

                    “คุณพ่อ วันต่อไปเราให้ตุลย์กับน้ากันต์ไปโรงเรียนแล้วก็ไปทำงานพร้อมเราได้ไหมครับ น้องฟ้าจะได้มีเพื่อนไปโรงเรียนด้วยทุกวัน สนุกดี”  นั่นไงมาแล้วเสียงร้องขอบวกกับใบหน้าออดอ้อนของลูกชายผม คิดว่าผมจะตอบตกลงเหรอครับ

                    “ไม่ได้หรอกครับน้องฟ้า เพราะเราก็ไม่รู้ว่าเราจะออกจากบ้านเวลาไหน แล้วก็ …” ผมตอบลูกชายแล้วเว้นวรรคไปจังหวะนึง แต่ตอนที่หยุดสายตาก็เหลือบไปทางคนข้างตัว ทันเห็นร่างโปร่งสะบัดคอหันมาทางผมเกือบจะทันที เดาเอานะครับว่าใบหน้าจะบึ้งได้ขนาดไหนที่ผมพูดไม่จบประโยค

                    “แล้วก็เวลาของน้ากันต์กับตุลย์ คงไม่ออกมาตรงกับเราทุกครั้งหรอก วันนี้ก็แค่บังเอิญเท่านั้นแหล่ะ” ผมตอบความจริงออกไปใครจะไปรอคนข้างบ้านได้ทุกวันครับ แม้ว่าจะทำให้น้องฟ้าผิดหวังแต่ก็ต้องใจแข็งไว้

                    “ใช่แล้วครับน้องฟ้า น้ากันย์กับตุลย์เวลาไม่แน่นอนเท่าไรหรอก เดี๋ยวจะเสียเวลาคุณพ่อน้องฟ้ามารอเนอะ” เสียงกันตพิชย์ตอบน้องฟ้า ทำให้ลูกชายผมยอมรับฟังเหตุผลของทั้งสองบ้าน

                    “ไม่เป็นไรหรอกน้องฟ้า ถึงไม่ได้ไปโรงเรียนพร้อมกันทุกวัน แต่ตุลย์จะนั่งข้างน้องฟ้าแล้วก็เล่นกับน้องฟ้าทุกวันก็ได้ไม่ต้องเสียใจไปนะ” เสียงนี้ดังมาจากเด็กอ้วนข้างกายน้องฟ้า ผมจึงได้มองกระจกมองหลังแต่เห็นเจ้าเด็กอ้วนใช้มืออันอวบอูมมาลูบหัวน้องฟ้าเบา ๆ เฮ้ย!!! ไอ้เด็กอ้วนพูดอย่างเดียวก็ได้ ทำไมต้องเอามือมาลูบหัวลูกชายเขาด้วย ผมได้แต่จ้องด้วยสายตาเคร่งเครียด ไม่เคยมีใครทำกับลูกชายผมมาก่อน เพราะอะไรหรือครับ ก็เพราะว่าผมไม่เคยได้ให้ใครเข้าใกล้น้องฟ้าไงล่ะ

                    เหมือนรังสีอาฆาตที่ผมส่งไปทางสายตาจะทำให้เจ้าเด็กอ้วนนั่นลดมือออกจากน้องฟ้า ซึ่งก็ดีครับเพราะผมไม่อยากทำอะไรที่เหมือนเป็นการรังแกเด็ก แล้วอีกอย่างถ้าผมพูดอะไรออกไปคงไม่ดีแน่ น้องฟ้าอาจจะไม่ชอบก็ได้

                    จากนั้นก็ได้ยินแต่เสียงของเด็กทั้งสองคนด้านหลังคุยกัน หัวเราะกันเสียงดัง ผมได้แต่มองกระจกหลังดูสถานการณ์ต่อไป แต่คนข้างตัวผมก็เอาแต่นั่งนิ่งมองไปนอกหน้าต่างรถอย่างเดียว ใช้เวลาไม่เกิน 10 นาทีเราก็มาถึงโรงเรียนอนุบาลของเด็ก ๆ กันแล้วครับ ผมมองหาที่จอดรถเมื่อได้แล้วก็ดับเครื่อง พร้อมกับลงไปเปิดประตูให้น้องฟ้า แต่เหมือนว่าผมจะช้ากว่าใครบางคนซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวอ้วน ๆ แบบนั้นถึงได้เร็วแบบนี้  เพราะตอนนี้เด็กอ้วนมายืนยิ้มแป้นหน้าประตูหลังที่น้องฟ้ากำลังลงมาแล้วครับ

                    พอน้องฟ้าลงมาได้แล้วเงยหน้ามองผมนิดนึงแล้วคว้าเอามือของหลายชายตัวอ้วนของกันตพิชย์เดินลิ่วนำหน้าผมไปแบบไม่ยอมรอผมเลย ผมได้แต่อึ้งกับการกระทำของลูกชาย ที่ตอนแรกผมกะว่าจะอุ้มน้องฟ้าไปส่งที่ห้องเรียนเห็นแบบนี้ผมจะทำยังไงครับได้แต่เดินตามไปด้วยใบหน้าเริ่มจะบึ้งตึงแล้วครับ ทำไมน้องฟ้าทิ้งผมไปแบบนี้ล่ะ

                    ได้ยินเสียงหัวเราะเล็ดรอดออกมาจากด้านหลังหันไปมองเห็นชายหนุ่มร่างโปร่ง กลั้นเสียงหัวเราะตัวกระเพื่อมหันพร้อมกับหันหน้าไปทางอื่น ผมเลยได้แต่กัดฟันหันหน้ากลับมาเร่งเดินตามลูกชายเข้าไปด้านใน

                     เมื่อส่งลูกแล้วเราก็ได้แต่ขึ้นรถออกจากโรงเรียนเพื่อไปทำงาน พอพ้นเขตโรงเรียนเท่านั้นแหล่ะ ผมก็เลยระบายอารมณ์ด้วยการกดคันเร่งรถยนต์คันงามให้พุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว ทันเห็นคนข้าง ๆ รีบหันไปหาอะไรคว้าเอาไว้อย่างทันที หึหึ คงกลัวว่าผมจะพาไปเกิดอุบัติเหตุละมั้ง ใครจะไปทำอย่างนั้นกันลูกผมยังไม่โตนะครับถึงโตแล้วก็ไม่ยอมตายง่าย ๆ หรอก

                     คิดถึงเหตุการณ์เมื่อเช้าแล้วหวังว่าสองคนน้าหลานคงไม่ได้เดินรอเพื่อจะดักขึ้นรถผมมาทำงานหรอกนะ ดูท่าทางไม่น่าไว้ใจทั้งน้าทั้งหลานเลย

                     “นายกับหลานชายนาย ออกมาได้จังหวะพอดีเกินไปหรือเปล่า” ลองถามออกไปดูพร้อมสังเกตปฏิกิริยาของร่างโปร่งไปด้วย ซึ่งดูเหมือนร่างของกันตพิชย์จะสะดุ้งเล็ก ๆ พร้อมกับหันหน้ามาทางผม

                     “โธ่ คุณภูครับใครจะไปรู้ได้ล่ะว่าคุณจะออกจากบ้านตอนไหน แล้วผมก็ออกเวลานี้ประจำ เนี่ยตั้งใจจะเดินไปเรียกแท็กซี่หน้าหมู่บ้านเอง ไม่ได้หวังว่าจะได้มาอาศัยรถยนต์คันหรูของคุณภูหรอกนะครับ” ตอบออกมาเสียงแข็งเชียวครับซึ่งก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า

                    “นายแน่ใจนะว่าไม่ได้วางแผนเอาไว้แล้วที่จะอาศัยรถฉันไปโรงเรียนกับไปทำงานด้วย ถ้าทำอย่างที่ฉันว่าก็รับสารภาพออกมาซะเถอะ ฉันไม่ได้ว่าอะไรนายสักหน่อย คนบ้านใกล้กันมีอะไรช่วยเหลือกันได้”  ผมลองตะล่อมถามดูซึ่งคำตอบก็เหมือนเดิมครับ แถมยังตอบมาอย่างยียวนกวนใจผมอีกด้วย  อย่าคิดว่าผมจะเชื่อนะครับ เพราะความรู้สึกลึก ๆ มันบอกว่าสองน้าหลานต้องมีอะไรที่ผมกับลูกชายต้องไปยุ่งเกี่ยวด้วยแน่นอน และมันคงตามมาด้วยเรื่องยุ่งยาก

                    ในเมื่อไม่ยอมรับผมก็ไม่เซ้าซี้อยู่แล้วเพราะมันไม่ใช่นิสัยผม จับไม่ได้ไล่ไม่ทันก็ปล่อยไปก่อนแล้วกันไม่นายหรอกคงได้รู้ว่าความจริงแล้วทั้งสองคนต้องการอะไรจากผมและลูกชาย จากนั้นต่างคนก็ต่างนั่งเงียบจนถึงที่ทำงานผมเปิดประตูลงไปอย่างรวดเร็วกะว่ากำลังจะกดล็อครถแล้วเชียวแต่ร่างโปร่งของใครอีกคนรีบลงมาอย่างเร็ว จนผมได้แต่แอบขำเบา ๆ เมื่อได้ยินเสียงปิดประตู เสียงสัญญาณล็อคก็ดังขึ้นทันที จากนั้นผมก็เดินก้าวไว ๆ ไปที่ลิฟท์ผู้บริหารโดยเฉพาะ ไม่ได้สนใจว่าชายหนุ่มจะเดินตามมาหรือเปล่ามาถึงก็กดลิฟท์ให้ขึ้นไปชั้นบนสุดทันที

                    ขึ้นมาถึงห้องทำงานพลางก็นึกถึงชายหนุ่มอีกคนที่คงจะโมโหที่ผมขึ้นมาก่อนปล่อยให้เจ้าตัวต้องรอลิฟท์อยู่ข้างล่างเป็นแน่ นึกถึงใบหน้าใสที่คงจะหน้าบูดหน้าบึ้งแล้วก็หลุดที่จะขำออกมาไม่ได้ นี่คงจะต้องแอบแช่งชักหักกระดูกผมในใจแน่นอน

                    รอไม่นานหรอกครับได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาพร้อมกับร่างโปร่งของเลขาคนใหม่ อ้อ...มาพร้อมใบกับหน้างอบูดบึ้งด้วยนะ แต่แสดงออกไม่ได้มากเพราะว่าผมคือประธานบริษัทนี่ครับ คงต้องเก็บอาการน่าดูแต่สายตายังมีแววขุ่น ๆ อยู่ข้างใน นี่ถ้าเป็นเด็กผมคงนั่งหัวเราะไปแล้วครับ แต่นี่ต้องนั่งอดทนไว้

                    “วันนี้มีนัดอะไรสำคัญหรือเปล่า ถ้านัดไม่สำคัญเลื่อนไปก่อนนะ วันนี้ฉันจะเคลียร์เอกสารทั้งหมดนี่ก่อนงานเอกสารสำคัญทั้งนั้น ไม่อยากให้ค้างเดียว จัดซื้อไม่ทันตามกำหนด โครงการต่าง ๆ จะหยุดชะงัก” ผมพยายามทำเสียงเรียบให้ได้มากที่สุด แต่ก็อดไม่ได้ที่จะมองหน้าของคนข้างหน้าผม

                    “วันนี้มีแค่นัดทานข้าวกับคุณปรายฝนช่วงกลางวันเท่านั้นครับ นอกนั้นไม่มีแล้ว ถ้ายังไงผมจะโทรไปเลื่อนนัดคุณปรายฝนเป็นพรุ่งนี้ดีไหมครับ คุณภูจะได้ไม่ต้องออกไปไหนวันนี้” กันตพิชย์เสนอให้เลื่อนนัด ซึ่งผมก็เห็นด้วย เลื่อนไปสักวันคงไม่เป็นอะไรหรอกแค่ทานข้าวกลางวันธรรมดา ๆ

                    “อืม งั้นนายจัดการโทรไปเลื่อนนัดบอกว่าฉันมีธุระสำคัญ ต้องขอโทษเธอจริง ๆ แล้วพรุ่งนี้ค่อยนัดใหม่”

                    “ครับ คุณภู แต่ว่าเมื่อกี้นี้ทำไมคุณภูขึ้นมาไม่รอผมเลย รู้ไหมว่าผมรอลิฟท์ตั้งนานแหน่ะ ไม่รู้ทำไมลิฟท์ไม่ลงไปสักที ทั้ง ๆ ที่มันไม่น่าจะมีใครใช้เพราะลิฟท์ตัวนี้เป็นลิฟท์สำหรับขึ้นมาชั้นนี้โดยเฉพาะ” เสียงถามมาพร้อมกับใบหน้าสงสัยดีนะที่ไม่ทำเสียงเข้มใส่ผม หึหึ แน่ละสิครับลิฟท์ตัวนี้ไม่มีใครกล้าใช้หรอกนอกจาก ผม กับเลขาสองคนเท่านั้น แล้วคุณคิดว่าใครล่ะที่ทำให้ลิฟท์ที่ต้องลงไปรับคนข้างล่างกลับค้างอยู่ข้างบน 10 กว่านาที

                    “ฉันมีธุระลืมไปว่าต้องมาโทรศัพท์หาลูกค้าด่วน  อ้าว.... แล้วทำไมลิฟท์ถึงช้าล่ะ ฉันขึ้นมาลิฟท์ก็ต้องลงไปเพื่อรับเธออยู่แล้วนี่ สงสัยว่ามันคงขัดข้องมั้ง เดี๋ยวนายก็โทรไปตามช่างมาดูอาการมันแล้วกันเผื่อว่าเกิดเสียขึ้นมาระหว่างที่อยู่ในนั้นคงแย่” ผมแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้เรื่องลิฟท์และออกคำสั่งให้กันตพิชย์ลองโทรไปตามช่างมาดูอาการ แต่มันไม่ได้เสียอะไรหรอกครับ เป็นผมเองที่กดลิฟท์ให้ค้างอยู่ที่ชั้นบนสุดของอาคารข้อหาหมั่นไส้ที่ทำให้ผมต้องมาไล่ต้อนเอาคำตอบที่ต้องการแต่เจ้าตัวกลับบ่ายเบี่ยงไม่ยอมรับ ในเมื่อไม่ได้คำตอบที่อยากได้ยินจึงทำให้ผมหงุดหงิดอยู่ไม่น้อยทีเดียว

                     ดวงตากลมโตหรี่มองผมอย่างครุ่นคิด คงไม่ได้รู้ว่าผมแกล้งหรอกนะ แต่ในเมื่อผมก็ทำหน้าเรียบไม่มีทางที่ร่างโปร่งนี้จะจับพิรุธได้หรอก

                     “อย่างนั้นเหรอครับ ถ้าอย่างนั้นผมจะโทรไปตามช่างมาดูดีกว่า เผื่อว่าคุณภูกำลังจะลงลิฟท์แล้วเกิดลิฟท์ค้างขึ้นมาจะแย่เอานะครับ” ได้ยินเสียงใสตอบกลับมาทำเอามุมปากผมกระตุกเบา ๆ คงไม่ได้วางแผนจะเอาคืนผมหรอกนะ

                     กล่าวจบร่างโปร่งก็หมุนตัวกลับเดินตรงไปยังประตูห้องทำงานแล้วร่างนั้นก็หายลับไปจากสายตาของผมทันที นึกย้อนไปเวลาเห็นกันตพิชย์หน้างอมันน่าแกล้งให้เจ้าตัวหงุดหงิดมายิ่งขึ้น  ผมคงไม่ได้โรคจิตหรอกนะ แต่ก่อนก็ไม่ได้มีนิสัยชอบแกล้งคนนี่นา แต่ทำไมเวลาเห็นชายหนุ่มแล้วทำให้ผมอยากเย้าแหย่ตลอดเวลา คิดแล้วก็ได้แต่ยิ้มส่ายหัวให้กับตัวเอง

                     ทำงานจนลืมเวลาจนกระทั่งได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น  ยกสายขึ้นมาเป็นนริศราที่โทรมาถามว่ามื้อกลางวันจะทานอะไรดี เพราะทุกครั้งเลขาสาวจะถามเรื่องอาหารกลางวัน ถ้าไม่มีนัดไปข้างนอกผมก็จะฝากให้เลขาสั่งข้าวจากแคนทีนมาให้ทานที่บนห้องแห่งนี้

                     “คุณภูจะทานข้าวกลางวันที่ไหนคะ นริศจะได้เตรียมไว้ให้” เสียงนริศราดังออกมาจาปลายสาย

                     “เดี๋ยวผมลงไปทานร้านข้าง ๆ เอง วันนี้อยากไปเดินเล่นด้วย” ผมนึกครึ้มใจอะไรไม่รู้อยากไปเดินเล่นดูบรรยากาศยามเที่ยงของเหล่าพนักงานออฟฟิศย่านใจกลางเมืองจึงได้แต่บอกเลขาว่าไม่ต้องเตรียมให้

                     เมื่อได้เวลาผมจึงลุกขึ้นแล้วเดินไปเปิดประตูห้องทำงานเพื่อออกไปหาอะไรทานในตอนกลางวัน เดินผ่านโต๊ะทำงานที่ว่างเปล่าของนริศรา แต่โต๊ะข้าง ๆ กันยังมีอีกคนนึงนั่งทำงานอยู่

                    “ทำไมยังไม่ไปทานข้าว เที่ยงแล้วไม่ไปทานข้าวกับนริศเหรอ” ผมทักคนที่นั่งอยู่ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมามองแล้วก้มลงมองนาฬิกาข้อมือตนเอง

                    “อ้าว เที่ยงแล้วเหรอครับ มิน่าเงียบเชียว พี่นริศมีนัดกับแฟนแล้วครับ แต่ผมว่าเดี๋ยวค่อยลงทานตอนที่คนน้อย ๆดีกว่าไม่ชอบต่อคิวกันเยอะๆ แล้วคุณภูจะลงไปทานที่แคนทีนหรือว่าที่ร้านอาหารข้างล่างครับ”

                    “ว่าจะลงไปข้างล่าง นายเก็บของได้แล้ว เดี๋ยวลงไปทานด้วยกันนี่แหล่ะ  เร็ว ๆ ด้วย ฉันไม่อยากรอนาน” ผมเอ่ยปากชวนกันตพิชย์ไปทานข้าวด้วยกัน  ร่างโปร่งชะงักนิดหน่อยตาโตจ้องผม อย่างกับว่ามีเรื่องประหลาดเกิดขึ้น

                    “เชิญคุณภูตามสบายครับ เดี๋ยวผมไปทานคนเดียวได้”

                    “อย่าชักช้า ฉันไม่ชอบคำปฏิเสธ บอกให้ไปก็ไปสิ” ว่าจบก็ออกเดินไปทางหน้าลิฟท์ ได้ยินเสียงเก็บของดังตามหลังคาดว่าชายหนุ่มคงรีบร้อนเก็บของแน่นอน ผมเลยยื่นมือไปกดลิฟท์เพื่อรอลงไปข้างล่าง

                    ลิฟท์มาถึงพร้อมกับร่างโปร่งของกันตพิชย์มาหยุดยืนข้างหลัง ผมก้าวเข้าในข้างในสุดร่างโปร่งก้าวตามมาแล้วจัดการกดลิฟท์ให้ลงไปข้างล่างสุด

                    กึก ๆ ๆ ๆ เสียงดังมาพร้อมกับลิฟท์เกิดอาการกระตุกเล็กน้อยก่อนจะหยุดนิ่ง ผมมองดูตัวเลขที่ลิฟท์หยุดปรากฏว่ามันหยุดทำงานที่ชั้น 21 พร้อมมองหน้าชายหนุ่มที่อยู่ตรงด้านหน้า พบว่าร่างโปร่งนั้นมีอาการตกใจชั่วขณะหนึ่งแล้วหันหลังกลับมามองหน้าผม เหมือนจะขอความเห็นว่าควรทำอย่างไร

                    “กดแจ้งไปว่าเราติดอยู่ที่ชั้น 21 ให้ส่งช่างมาช่วยให้เราออกไปก่อน” ร่างโปร่งเลยจัดการกดที่ปุ่มแจ้งเตือนเพื่อทำการติดต่อกับห้องช่างอาคารให้รับรู้ว่าลิฟท์ค้างแล้วมีคนติดอยู่ข้างใน

                    “ครับ ตอนนี้ลิฟท์บริหารค้างอยู่ที่ชั้น 21 ครับ ท่านประธานติดอยู่ข้างในลิฟท์กับผมสองคนครับ รบกวนส่งช่างมาแก้ไขด้วยด่วนด้วยนะครับ ขอบคุณครับ” จบการสนทนากับช่างอาคารซึ่งอีกฝ่ายเมื่อได้ยินว่าผมก็ติดอยู่ในลิฟท์ตัวนี้ด้วย น้ำเสียงก็ดูร้อนรนเป็นอย่างมาก

                    “สรุปเมื่อเช้าลิฟท์เสียจริง ๆ ใช่ไหมครับ คุณภูไม่ได้แกล้งผมใช่ไหม” ร่างโปร่งยังมีแก่ใจหันมาถามผมเรื่องลิฟท์เมื่อเช้าอีก

                    “ฉันไม่ทำอะไรเป็นเด็กแบบนั้นหรอกนะ แล้วตอนนี้ลิฟท์ก็ค้างนายก็เห็นนี่ แล้วที่ฉันให้นายไปตามช่างมาดูอาการลิฟท์เมื่อเช้านายตามหรือยังล่ะ ถึงได้เกิดเหตุการณ์ลิฟท์ค้างแบบนี้” ได้ทีผมเลยถามกลับว่าเรื่องเมื่อเช้าที่ให้ไปตามช่างมาดูอาการของลิฟท์ชายหนุ่มได้ทำหรือยัง รีบปัดเรื่องที่ว่าผมแกล้งให้พ้นตัวไปในทันที

                    “โทรไปแล้วครับ ตอนช่างมาดูผมก็ยืนอยู่ด้วยก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรผิดปกติตามที่ช่างบอกผม เราดูอยู่ตั้งกว่าชั่วโมงเช็คละเอียดหมดทุกอย่างเลยนะครับ” ปากบางบรรยายการทำงานของช่างให้ผมฟัง คงกลัวผมจะว่ารึเปล่าเพราะว่าผมให้ตามช่างมาดูแล้วทำไมลิฟท์ยังค้างอีก

                    ถือว่าโชคดีเรื่องลิฟท์ค้างแล้วกันเพราะว่าผมพ้นข้อกล่าวหาที่ว่าแกล้งชายหนุ่มเอาไว้เมื่อตอนเช้า เรารอกันไม่นานก็ได้ยินเสียงคนที่อยู่ข้างนอก

                    “ท่านประธานรอสักครู่นะครับ พวกผมกำลังจะเปิดประตูให้ออกมา ช่วยถอยหลังไปชิดผนังลิฟท์ด้านในด้วยนะครับ” เสียงของช่างดังขึ้นพร้อมกับบอกให้พวกเราถอยหนีจากหน้าประตู ใช้เวลาไม่เกิน 10 นาทีก็สามารถเปิดประตูลิฟท์ได้แล้ว ผมมองออกไปเห็นคนด้านนอก  5-6 คนคงเป็นช่างทั้งหมดพร้อมเครื่องมือ แล้วทำไมต้องมากันหลายคนขนาดนี้เรื่องเล็กน้อยต้องทำเป็นเรื่องใหญ่

                    “ขอบใจพวกคุณมากที่มาช่วยผม เมื่อเช้าผมให้คุณกันตพิชย์เรียกช่างมาเช็คแล้วนี่นาทำไมถึงได้เกิดอาการค้างขึ้นมาได้” ผมไม่ลืมกล่าวขอบคุณก่อนที่จะถามไถ่เรื่องการขัดข้อง

                    “เมื่อเช้าพวกผมมาเช็คกันแล้วครับ แต่ว่าก็ไม่พบอะไรที่ผิดปกติ ลิฟท์ยังใช้ได้ดี แต่ก็ไม่ทราบว่าทำไมมันถึงค้างได้ เดี๋ยวพวกผมจะปิดลิฟท์ตัวนี้แล้วทำการเช็คให้ละเอียดอีกครั้ง รบกวนท่านประธานใช้ลิฟท์ตัวอื่นไปก่อนนะครับ เสร็จแล้วผมจะแจ้งไปทางคุณกันตพิชย์” หัวหน้าช่างบอกรายละเอียดต่าง ๆ ให้ผมรับรู้ว่าไม่ได้บกพร่องต่อหน้าที่ แต่ก็ยังหาสาเหตุที่ลิฟท์ค้างไม่เจอ

                    “ไม่เป็นไร ผมใช้ตัวอื่นได้ แต่ซ่อมให้เรียบร้อยอย่างให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกแล้วกัน” ว่าแล้วก็เดินไปที่ลิฟท์อีกตัวเพื่อนที่จะลงไปข้างล่าง กันตพิชย์เดินนำไปเพื่อกดปุ่มเรียกลิฟท์ ช่วงเที่ยงมีคนโดยสารใช้ลิฟท์มากจึงทำให้กว่าลิฟท์ที่ต้องการจะมาถึงใช้เวลานานกว่า 5 นาที

                    แต่เมื่อประตูลิฟท์เปิด คนด้านในมองออกมาเห็นผมยืนอยู่ต่างพากันชะงักพร้อมก้มศรีษะให้ ผมเดินเข้าไปข้างในที่ตอนนี้มีที่ว่างพอที่จะให้ผมและกันตพิชย์เข้าไปด้านในอย่างสะบาย แล้วเสียงคุยที่ดังเมื่อตอนประตูเปิดก็เกิดการเงียบขึ้นมาอย่างกระทันหัน

                    คงสงสัยกันล่ะว่าทำไมผมถึงใช้ลิฟท์ตัวนี้แต่เมื่อมองเห็นช่างหลายคนปิดลิฟท์ตัวที่มีปัญหาคงรู้แล้วล่ะว่าทำไมผมถึงต้องมารอลิฟท์ตัวนี้

                    ผมรอจนลิฟท์ลงมาถึงข้างล่างแล้วเดินนำกันตพิชย์ไปยังร้านอาหารที่ตั้งอยู่ชั้นล่างของตึกอาคารสำนักงานแห่งนี้มื้อนี้คงเลี้ยงข้าวชายหนุ่มอีกรอบ ถือว่าเลี้ยงเพื่อปลอบใจที่ผมแกล้งชายหนุ่มไปเมื่อเช้านี้แล้วกัน  ถึงแม้ว่าร่างโปร่งจะรับรู้ว่ามันขัดข้องเองไม่ได้เกี่ยวกับผมก็ตาม



               ****************************************************************************



               แอบอัพตอนทำงาน  ย่องมาแล้วก็ไปอย่างเงียบ ๆ ตามเดิม

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ โอ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
555จะรออ่านตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10

ออฟไลน์ Som-o

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :mew2:มาเร็วๆน่ะคิดถึงหมูอ้วน

ออฟไลน์ มารน้อย เจ้าสำนัก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
                    ตอนที่ 12 เรื่องยุ่ง ๆ ของหนุ่มลูกเสี้ยว


                    เสียงเปิดประตูห้องทำงานผมพร้อมกับเสียงดังของใครบางคนดังขึ้นทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นไปมองร่างของชายหนุ่มคนนึงที่ก้าวเดินมาด้วยท่าทางของหนุ่มเจ้าสำราญเต็มตัว แต่พอรับรู้ได้ว่าเป็นใครผมก็ก้มหน้าลงไปอ่านเอกสารในแฟ้มของตัวเองต่อทันทีโดยไม่ได้สนใจอีกคนที่เข้ามาทำลายบรรยากาศในการทำงานของผมเลย

                   “เฮ้ย!!! แกสนใจฉันบ้างสิ นี่วันนี้ฉันอุตส่าห์โดดงานมาหาแกเลยนะเพื่อน” เสียงดังขึ้นจากริมฝีปากได้รูปของชายหนุ่ม ผมถอนใจวางปากกาที่ใช้เซ็นต์เอกสารไว้แล้วมองหน้าอีกคนเต็ม ๆ ตา เบื้องหน้าปรากฏร่างของชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา สูงสง่าในชุดสูทเต็มยศ ร่างนั้นสูงกว่า 195 เซ็นติเมตร ใบหน้าซึ่งหล่อรวมด้วยหลายสัญชาติจนได้มาซึ่งความหล่อหาคนมาเทียบยาก ตาคมเข้ม ผิวขาว จมูกโด่ง รวม ๆ แล้วก็หล่อแหล่ะ

                   ผู้ชายคนนี้คือหนึ่งในเพื่อนสนิทที่สุดของผม ไตรทศ ภมรอัครวาทิน CEO หนุ่มเจ้าของบ.สายการบินแห่งหนึ่งเป็นชายหนุ่มรูปหล่อ พร้อมด้วยทรัพย์สมบัติเสียแต่ว่าเจ้าตัวยังโสด เป็นพ่อพวงมาลัยลอยไปลอยมาให้ครอบครัวปวดหัวเล่น เพราะทางนั้นอยากได้ทายาทกันเต็มแก่แล้ว แต่คนที่ทำตัวเจ้าเสน่ห์ยังอยู่เป็นโสดเป็นอาหารตาให้สาว ๆ ทั่วเมืองกรุงหวั่นไหวเล่นไปอย่างนั้นเอง

                   “CEO อย่างแกว่างมากนักหรือไงถึงได้มาวุ่นวายกับฉันได้วันนี้ หือ” ผมต้องวางงานที่ทำอยู่ไม่งั้นไอ้เพื่อนคนนี้มันก็ไม่เลิกตอแยหรอกครับ และมันก็ต้องเซ้าซี้จนผมรำคาญนั่นแหล่ะ

                   “ก็ไม่ว่างเท่าไรว่ะ แต่ว่าอยากกินข้าวเย็นกับแกไง รึว่าแกไม่ว่างมีนัดแล้ว”

                   “ก็ว่างนะ เพราะฉันให้เลขายกเลิกนัดไปหมดแล้ววันนี้  ว่าแต่มากินข้าวอย่างเดียวหรือว่ามีเรื่องอื่นด้วย แต่ฉันว่าแกไม่ได้มาแค่กินข้าวหรอก คงไม่ได้หาเรื่องเดือดร้อนมาให้ฉันนะ ช่วงนี้ฉันไม่ว่างกำลังยุ่งกับโครงการคอนโดมิเนียมที่จะเปิดเร็ว ๆ นี้” ผมรีบบอกออกไปเพราะช่วงนี้ยุ่งจริง ๆ ครับ ไหนจะงานโครงการที่เร่งจะเปิดไหนจะบริษัทในเครือต่าง ๆ งานล้นมือจนต้องจ้างเลขามาเพิ่มนั่นแหล่ะ

                   “ก็มีเรื่องอื่นจะคุยด้วยแหล่ะ ไม่งั้นฉันก็ไม่ว่างมาหาแกเหมือนกันล่ะโว้ยไอ้ภู” เสียงทุ้มตอบกลับอย่างไม่ทุกข์ร้อนอะไร

                    เสียงเคาะประตูดังพร้อมกับเปิดออกมา ปรากฏร่างของกันตพิชย์เดินถือถาดเครื่องดื่ม ร่างโปร่งเดินมาหยุดเพื่อเสริฟกาแฟให้กับแขกที่มาพบผม จากนั้นจึงถอยไปอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางสายตามองตามไม่วางตาของหนุ่มลูกเสี้ยวหลายสัญชาติ ทำเอาผมหรี่ตามองไปด้วย

                    “นั่นใคร เลขาใหม่แกเหรอ รับมาตั้งแต่เมื่อไรทำไมฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย” ใบหน้าหล่อพยักหน้าปาทางประตูหลังจากที่ลับร่างสูงโปร่งของกันตพิชย์
 
                    “อ้าว ๆ นี่เลขาฉันนะ ฉันจะรับตอนไหนแล้วฉันต้องไปรายงานแกด้วยรึไง” ผมได้แต่บอกกลับไป เลขาผมนี่ครับไม่ใช่เลขามันสักหน่อยจะรับตอนไหนก็เรื่องของผมนี่

                    “เออ ๆ ช่างเรื่องเลขาแกไว้ก่อน แล้วสรุปไง แกว่างนะเดี๋ยวจะได้ออกไปกันเลย ฉันรีบไปธุระต่อนี่มาหาแกก่อนเลยนะ เผื่อว่าแกจะไม่ว่าง แต่โชคเข้าข้างฉันแน่ว่ะ วันนี้คุณภูดิส ประธาน อุตตมโภคินกรุ๊ปว่าง” ไตรทศบอกด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดีพร้อมกับเย้าผมกลับ

                    “เฮ้อ ....เออ ๆ ไปก็ไป เดี๋ยวรอสักครึ่งชั่วโมงแล้วกันของเคลียร์เรื่องนี้ก่อน เอกสารพวกนี้ต้องใช้พรุ่งนี้ และลางสังหรณ์ของฉันมันบอกว่าแกหาเรื่องมาให้ฉันได้ปวดหัวอีกแล้วว่ะ ไอ้ทศ” ผมถอนใจเฮือกใหญ่แล้วก้มหน้าไปเซ็นต์เอกสารที่เหลือวางอยู่บนโต๊ะ ไม่ต่ำกว่า 10 แฟ้มได้แต่ปล่อยให้คนมาหานั่งรอไปอย่างนั้น

                    หมดเวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมงที่คาดไว้ผมก็วางปากกาพร้อมปิดแฟ้มลงแล้วกดโทรศัพท์เรียกให้กันตพิชย์เข้ามารับเอกสารไปเพื่อจัดการต่อ รอไม่นานร่างโปร่งของชายหนุ่มก็เคาะห้องพร้อมเดินตรงเข้ามาที่โต๊ะทำงานตัวใหญ่

                    “เดี๋ยวเอาแฟ้มพวกนี้ไปจัดการตามระบบ ฉันจะกลับแล้ว มีอะไรก็จดไว้รายงานวันพรุ่งนี้” ผมสั่งงานเอาไว้แล้วร่างนั้นก็จัดการหอบแฟ้มทั้งหมดเดินออกไปจากห้องทำงานผม กันตพิชย์เป็นคนที่ทำงานไว เรียนรู้งานได้ดี คงลดภาระผมลงไปเยอะเหมือนกัน คิดถูกแล้วที่รับเลขาเข้ามาช่วยงานเพิ่ม ไม่งั้นนะผมคงต้องเหนื่อยกว่านี้แน่นอน เพราะนริศราก็เหนื่อยกับตรงนี้มากเพราะไม่มีผู้ช่วย และงานบางอย่างที่ต้องออกไปข้างนอก  เป็นผู้หญิงก็ค่อนข้างไม่สะดวกเหมือนผู้ชาย
 
                    “ไปกันได้แล้ว เพราะดูท่าแล้วแกคงต้องมีเรื่องเล่าเยอะ” ผมลุกขึ้นหยิบสูทมาสวมพร้อมกับร้องเรียกหนุ่มเจ้าสำราญให้ลุกขึ้นตามออกไปด้วยกันก็เพราะธุระของเจ้าตัว

                     เราตกลงกันว่าจะขับรถตัวเองไปเพราะเมื่อคุยธุระเสร็จแล้วต่างคนคงต่างกลับ ผมขับรถตามรถสปอร์ตสองที่นั่งคันหรูของเพื่อนสนิทไปที่ร้านอาหารประจำ เพราะมีห้องรับรองส่วนตัวที่ค่อนข้างจะเงียบ เหมาะแก่การพูดคุยธุรกิจที่ต้องการให้เป็นความลับ

                     ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเราก็มาถึงร้านอาหารที่จองไว้ล่วงหน้า อย่างกับมันวางแผนมาอย่างดีเลยได้แต่รอฟังว่าเรื่องที่มันจะคุยเป็นเรื่องด่วนขนาดไหน ถึงต้องกับทิ้งงานมาหาผมเลยทีเดียว

                     เมื่อได้ที่จอดรถแล้วผมจึงเดินไปหาไตรทศที่ยืนรออยู่หน้าร้านแล้ว เมื่อเดินไปถึงพนักงานของร้านก็เดินนำหน้าไปยังห้องรับรองพิเศษ ร้านนี้เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นซึ่งมีความเป็นส่วนตัวสูง อาหารอร่อย บรรยากาศญี่ปุ่นโบราณ เป็นร้านโปรดของน้องฟ้าด้วย

                     ผมนั่งลงตรงข้ามกับเพื่อนสนิท รอจนพนักงานที่รอรับออเดอร์ออกไปจึงได้จ้องหน้าชายหนุ่มลูกครึ่งแบบกดดันให้พูดธุระมาสักที

                     “เอ้า แกมีอะไรพูดมาได้แล้ว ลีลามากเสียเวลาฉันต้องรีบกลับบ้าน แต่ถ้าที่พูดมาไม่ได้สำคัญล่ะก็แกเตรียมตัวโดนแน่” ผมมองหน้ามันแล้วเร่งให้เข้าเรื่องกันสักที

                     “เออ น่าแกจะรีบอะไรนักหนา ไหน ๆ ฉันก็ต้องให้แกช่วยดยู่แล้ว เรื่องมันมีอยู่ว่าตอนนี้พ่อกับแม่ฉันเริ่มจะกดดันฉันให้หาสะใภ้แล้วนะสิ แต่แกก็รู้ว่าฉันยังไม่อยากหาห่วงมาผูกคอ ฉันยังอยากติดอันดับหนุ่มโสดแห่งปีอยู่ แต่พ่อกับแม่ขู่ว่าถ้าไม่แต่งงานภายในปีนี้จะตัดหางฉันออกจากกองมรดกนะสิ นี่แกช่วยฉันคิดหน่อยสิว่าจะทำยังไงดี” ไตรทศร่ายยาวออกมาถึงปัญหาที่ตัวเองต้องเจอ เอ่อ ปัญหาใหญ่จริง ๆ ว่ะ เอาล่ะสิหาเรื่องมาให้ผมอีกจนได้

                      “แกก็หาผู้หญิงมาแต่งงานเข้าสักคนสิ คนที่แกควง ๆ ก็ได้นี่นา ก็เห็นว่าแกรักทุกคน เลือกมาสักคนคงไม่ยากนักนี่นา เรื่องแค่นี้ก็ต้องมาปรึกษาฉัน ทีตอนที่แกควงผู้หญิงพวกนั้นไม่เห็นมาถามความเห็นฉันมั่งเลย” ผมละหมั่นไส้มันเลยแนะนำไปว่าให้เลือกในบรรดาคนที่มันควงนั่นแหล่ะ

                    “แกคิดว่าที่ฉันควงมันจะเข้าตาแม่กับพ่อฉันไหมล่ะ คุณท่านทั้งสองเลือกมากจะตายไป นี่ก็บอกเลยว่าถ้าหาคนที่ถูกใจมาเป็นสะใภ้ไม่ได้ จะหาให้เองเลย  แกช่วยฉันคิดหน่อยสิว่าจะหาทางออกยังไงไม่ให้ฉันต้องแต่งงานตอนนี้” น้ำเสียงเริ่มจะมีความเครียดเข้ามาเจอปน ดูท่าว่ามันจะไม่อยากแต่งจริง ๆ เลยนะครับเนี่ย แต่อย่างว่าแหล่ะคนมันหล่อ รวย เลือกได้ ก็เลยอยากจะหว่านเสน่ห์ไปก่อน บรรดาสาว ๆ ของมันก็ไม่ใช่ย่อยหรอกนะครับ สวยระดับนางแบบกันทั้งนั้นแต่ว่าทางนี้ก็ยังไม่คิดจริงจังอะไรกับใคร

                    “แกก็บอกพ่อกับแม่ไปตรง ๆ สิว่ายังไม่พร้อม เพราะตอนนี้งานก็ยังยุ่งอยู่ถ้าแต่งงานมาแล้วจะดูแลสะใภ้ไม่ดีเดี๋ยวจะเกิดปัญหาเอาได้” ผมลองแนะนำดู แต่ไม่รู้หรอกนะว่าจะใช้ได้ผลไหม เพราะมันก็ลื่นยังกับปลาไหล ดูท่าว่าถ้าพ่อกับแม่เริ่มบังคับท่านทั้งสองคงจะไม่ไหวกับพฤติกรรมลูกชายหัวแก้วหัวแหวนสักเท่าไรแล้วล่ะ

                     “บอกไปแล้วสิ แต่ไม่ว่ายังไงพ่อกับแม่ก็ไม่ยอมท่าเดียวเลย เนี่ยบอกว่าให้เวลาฉันแค่ปีเดียวเองด้วย แกว่าฉันหนีไปสาขาที่อิตาลีดีไหมวะ ปล่อยที่นี่ให้เจ้ามิคาเอลมันดู ฉันจะได้รอดพ้นจากการบังคับของพ่อกับแม่” มันเริ่มหาทางหนีโดยการที่จะไปคุมสาขาที่ต่างประเทศแล้วครับ โดยจะทิ้งภาระที่นี่ให้น้องชายดูแล

                     “แล้วแกคิดว่ามิคาเอลจะยอมรึไง อยู่ที่อิตาลีมันเป็นคนคุมสาขาอยู่ที่นั่น ถ้ามันมาที่นี่นะคนทางนั้นไม่ยอมหรอกแกก็รู้นี่” ผมช่วยมันคิดไปด้วย พลางนึกถึงน้องชายของไตรทศซึ่งบริหารสาขาของสายการบินอยู่ที่อิตาลี แล้วทางนั้นยังมีคนที่ไม่ว่ายังไงหัวเด็ดตีนขาดคงไม่ยอมปล่อยให้มิคาเอลมาอยู่เมืองไทยได้หรอก นอกเสียจากว่าเจ้าตัวจะตามมาคุมด้วย แต่ด้วยหน้าที่การงานทำให้ไม่สามารถทิ้งมาได้

                     “นั่นสิเจ้าลีโอคงไม่ยอมให้มิคาเอลมาอยู่เมืองไทยหรอก โว้ย!!!!!!!!!!! คิดแล้วกลุ้ม แล้วจะเอายังไงกันดีล่ะทีนี้ ไอ้นั่นก็ไม่ได้ ไอ้นี่ก็ไม่ได้” หนุ่มลูกเสี้ยวเริ่มจะโวยวายแล้ว ตอนแรกเห็นดี ๆ นึกว่าไม่เดือดเนื้อร้อนใจเท่าไรแต่นี่ท่าจะมากกว่าที่เห็นอีกนะครับ

                     “ฉันว่าแกใจเย็น ๆ ก่อนดีกว่าไอ้ทศ เดี๋ยวค่อย ๆ คิดมันต้องมีทางออกสักทางสิน่า พ่อกับแม่แกให้เวลาตั้งปีนึง อย่าเพิ่งตีโพยตีพายไปหน่อยเลย ทำฉันปวดหัวไปกับแกด้วยเลย วันนี้เลี้ยงเหล้าด้วยล่ะ” ผมได้ทีหาเรื่องดื่มฟรีครับ ถึงแม้ว่าเราจะพอมีเงินจ่ายได้แต่ถ้าได้ของฟรีใครจะไม่ชอบกันล่ะ

                    “เออน่า  เดี๋ยววันนี้ฉันเลี้ยงเอง ไม่ได้ไปเที่ยวกันนานแล้ว ฉันจะพาแกไปเปิดหูเปิดตามั่ง อยู่บ้านเลี้ยงลูกเสียจนลืมเพื่อนฝูงไปหมดแล้วมั้งเนี่ย ลายเสือหายไปตั้งแต่แต่งงานเลยนะแกน่ะ” ไตรทศที่ดูเหมือนจะใจเย็นลงได้หน่อยนึง บอกออกมาซึ่งมันก็ทำให้ผมนึกได้ว่าตั้งแต่แต่งงานแล้วมีลูกผมก็ไม่ค่อยได้ออกไปสังสรรค์กับเพื่อนเท่าไรนัก ยิ่งเมื่อภรรยามาเสียชีวิตด้วยแล้ว ยิ่งไม่เคยออกมาตอนกลางคืนเลยยกเว้นงานที่ขาดไม่ได้ เพราะผมไม่อยากปล่อยลูกไว้กับพี่เลี้ยงในเวลากลางคืน

                    แต่คืนนี้ผมตกลงที่จะไปดื่มกับเพื่อนสนิทที่ไม่ได้ออกมาเที่ยวกลางคืนด้วยกันนานแล้ว แต่คงต้องโทรไปบอกที่บ้านก่อนว่าจะกลับดึก  เพราะตอนนี้น้องฟ้าก็เริ่มโตที่จะดูแลตัวเองได้แล้ว ผมเลยไม่ค่อยเป็นกังวลนัก ไม่เหมือนตอนที่ภรรยาเพิ่งเสียใหม่ ๆ ตอนนั้นน้องฟ้าต้องนอนกับผมทุกคืน ไม่งั้นลูกจะนอนไม่หลับ

                    “แต่เดี๋ยวฉันต้องโทรบอกน้องฟ้าก่อนนะว่าจะกลับดึก เดี๋ยวจะรอเสียเปล่า ๆ”

                    “ว่าไปแล้วฉันไม่ได้เจอน้องฟ้านานแล้วนี่นา คงโตขึ้นมาก ตอนนี้น่าจะ 5 ขวบแล้วใช่ไหม” เสียงทุ้มของไตรทศถามถึงน้องฟ้า

                    “อืม 5 ขวบ แกเล่นหายไปนานหลายเดือนเหมือนกัน แต่น้องฟ้าบ่นหาแกนะ ว่าง ๆ ก็เข้าไปเล่นกับหลานบ้างเดี๋ยวจะงอนแล้วจะง้อไม่ง่ายนะ ขอบอกไว้ก่อนเลย” ผมขู่มันไปครับ เวลามันไปหาน้องฟ้าก็มักจะมีของเล่นติดมือไปเสมอจึงเป็นสาเหตุให้น้องฟ้าชอบที่อาทศจะไปหาบ่อย ๆ แต่ช่วงนี้งานมันคงยุ่งเลยไม่ค่อยได้มีเวลาแวะไปที่บ้านเลย

                    “โอเค เดี๋ยวฉันจะแวะไปล่ะกัน อย่าเพิ่งบอกน้องฟ้าล่ะ ฉันจะไปเซอร์ไพรส์” เสียงร่าเริ่งขึ้นมาทีเดียวเมื่อพูดถึงลูกชายของผม รายนี้นะ รักน้องฟ้ามากครับมีอะไรแทบขนมาให้ไปต่างประเทศกลับมาของฝากเพียบ

                    นั่งคุยกันเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อยเปื่อย พอได้เวลาเราจึงย้ายร้านไปร้านของเพื่อนสนิทอีกคนหนึ่งในกลุ่ม ซึ่งเป็นผับระดับหรูในโรงแรมห้าดาวแห่งหนึ่ง ร้านนี้เป็นที่นัดพบประจำของกลุ่มเรา แต่เนื่องด้วยหน้าที่การงานและครอบครัวทำให้ช่วงหลัง ๆ แต่ละคนไม่ว่างมาเจอกัน วันนี้นับว่าเป็นวันแรกในรอบหลายเดือนที่จะรวมกลุ่มกันอีกครั้ง

                    ผมกับไตรทศเดินผ่านการ์ดเข้าไปข้างในถึงจะไม่ได้มานานแต่การ์ดด้านหน้าก็ยังจำหน้าพวกผมได้เนื่องด้วยเป็นเพื่อนสนิทกับเจ้าของร้าน เราเดินไปยังโต๊ะวีไอพี เสียงเพลงข้างในไม่ได้ดังจนเกินไปผิดกับผับที่อื่น เดินผ่านนักท่องเที่ยวยามราตรีมากมาย สาว ๆ ต่างก็พากันส่งยิ้มมาให้ผมทั้งสองคน เพื่อพยายามเชื่อมสัมพันธ์ในค่ำคืนนี้ ชายหนุ่มลูกเสี้ยวเจ้าของบริษัทสายการบิน ซึ่งเป็นหนุ่มโสดติดอันดับของเมืองไทย ใครเล่าไม่อยากได้ ส่วนชายหนุ่มข้าง ๆ ผมก็เดินไปแจกยิ้มเรื่ยราดไปทั่ว บริหารเสน่ห์ที่มีอย่างล้นเหลือ

                    ส่วนผมพยายามทำหน้าเรียบเฉยเดินไปตามทางให้ถึงโต๊ะอย่างเร็วที่สุด โต๊ะด้านในสุดที่มีความเป็นส่วนตัวบัดนี้มีชายหนุ่มหน้าตาดี นั่งอยู่ 3 คน  ทั้งหมดคือเพื่อนสนิทตั้งแต่เรียนมัธยมจนถึงขั้นมหาวิทยาลัย  ร่วมหัวจมท้ายกันมาหลายเรื่องกว่าจะสนิทกันได้ขนาดนี้

                    เมื่อไปถึงผมนั่งลงข้าง ๆ ชายหนุ่มหน้าเข้มสวมแว่นสายตาไร้กรอบ นั่งอยู่ด้วยท่วงท่าสบาย ๆ ตรงข้ามหนึ่งในนั้นเป็นเจ้าของผับที่นี่  ส่วนอีกหนึ่งหนุ่มเป็นสารวัตรกองปราบ ทั้งหมดเป็นเพื่อนสนิทกลุ่มเดียวกันแต่ช่วงหลังต่างคนต่างยุ่งกับหน้าที่การงานของตัวเองถึงห่างหายกันไปบ้างก็ยังติดต่อกันทางโทรศัพท์อยู่เสมอ

                    “ไงครับท่านประธานใหญ่ วันนี้พายุอะไรหอบท่านมาได้ พวกกระผมถึงต้องรีบมารวมตัวกันหน้าตั้งอย่างนี้” เสียงของหนุ่มหล่อเจ้าของผับแห่งนี้ทักผมขึ้นมาพร้อมกับยกแก้วให้

                    “ถามไอ้ทศมันโน่น ฉันทำงานของฉันอยู่มันก็ไปลากมาพร้อมกับหาเรื่องยุ่งมาใส่หัวเนี่ย” รับแก้วมาจิบแล้วหันไปพยักหน้าไปทางชายหนุ่มอีกคนที่เป็นต้นเหตุทำให้ผมต้องออกจากบ้านในตอนกลางคืนเช่นนี้

                    “เรื่องอะไรวะ แล้วไม่เล่าให้พวกฉันฟังรึไง เดี๋ยวนี้แกหัดมีความลับแล้วเหรอไอ้ทศ” ป้องเกียรติ สารวัตรหนุ่มแห่งกองปราบถามขึ้นมาอย่างสนอกในใจในเรื่องที่ผมบอกออกไป

                    “ก็จะอะไรอีกสงสัยพ่อกับแม่มันหาเรื่องให้มันแต่งเมียละมั้ง ได้ข่าวว่าคุณป้าแกไปเที่ยวทาบทามลูกท่านหลานเธอในวงสังคมให้เรียงคิวมาดินเนอร์กับไอ้ทศมันนะสิ” เสียงทุ้มดังมาจากปากของหนุ่มเจ้าของแว่นตานามว่า นายแพทย์วราธรณ์

                    “แกรู้ได้ไง นี่ฉันยังไม่ได้เล่าให้ใครฟังนอกจากไอ้ภูเลยนะ” ไตรทศหันขวับไปมองหน้าเข้มของนายแพทย์หนุ่มหล่อ

                    “จะไม่รู้ได้ไงล่ะ ก็แม่แกโทรมาหาฉัน ถามว่าตอนนี้แกควงใครหรือเปล่า ไอ้ฉันมันก็เป็นเพื่อนลูกที่ดีไง เลยเล่าไปว่าเท่าที่เห็นก็มีนางแบบแค่ 2 – 3 คนแล้วก็มีไฮโซอีกนิดหน่อย เท่านั้นแหล่ะแม่แกถามรายละเอียดยาวจนฉันนึกว่าจะทำวิทยานิพนธ์ได้เป็นเล่ม ๆ อ้อ แล้วแม่แกยังถามว่ารู้จักลูกสาวบ้านไหนที่นิสัยดี เป็นกุลสตรีก็ให้โทรไปบอกด้วย แม่จะนัดให้ไปทานข้าวกับแกว่ะ ฮ่าๆๆๆๆ” เสียงนายแพทย์หนุ่มเฉลยออกมา พร้อมตบท้ายด้วยเสียงหัวเราะที่ช่างสะใจเสียนี่กระไร

                    “ห๊า!!!!!!!!!!!!! แม่โทรหาแก แล้วแกก็เล่าให้แม่ฟังเนี่ยนะ ตาย ๆ ตายแน่ ๆ ทีนี้เรื่องวุ่นตามมาอีกแน่ ฉันไม่ไปดูตัวอะไรทั้งนั้นนะโว้ย เพราะฉะนั้นพวกแกต้องช่วยฉันคิด ว่าจะทำยังไงให้พ่อกับแม่เลิกจับคู่ให้ฉัน”

                    “แกก็เลือก ๆ มาสักคนแล้วแต่ง ๆ ไปเหอะ ตามใจพ่อกับแม่แกบ้าง เขาคงอยากอุ้มหลานเต็มทีแล้ว” สิ้นเสียงของสารวัตรหนุ่ม ดอกไม้ในแจกันที่มีไว้เพื่อประกับโต๊ะก็ลอยไปหาคนให้คำแนะนำ

                    “แกจะบ้าเหรอ ใครมันจะไปยอมหาห่วงมาผูกคอตอนนี้วะ ฉันไม่ใช่ไอ้ภูนี่หว่า” อ้าว ๆ ไอ้นี่หันมาแขวะผมซะได้

                    “แต่แม่แกให้เวลาแค่ปีเดียวนะ ไม่งั้นแกเตรียมตัวโดนคลุมถุงชนได้เลย ฉันรู้สึกว่าแม่แกเอาจริงว่ะงานนี้” นายแพทย์หนุ่มยังต่อบทสนทนาต่อไป

                    “เออ ๆ รู้แล้ว เนี่ยฉันก็กลุ้มอยู่นี่ ปีนึงต่อจากนี้ต้องใช้ชีวิตโสดให้คุ้ม พร้อมกับแผนหนีงานแต่งให้ได้ กะว่าครบกำหนดจะหนีไปคุมสาขาที่ต่างประเทศแทนให้แม่ลืม ค่อยกลับมา”เสียงดังขึ้นอย่างหมายมาดว่าจะหนีงานแต่งในครั้งนี้แน่นอน

                   “ช่างมันไว้ก่อนวันนี้มาเที่ยวผ่อนคลายอย่าเอาเรื่องรกสมองมาคุยเดี๋ยวเครียด อ้าว ชนดีกว่า” น้ำเสียงติดจะร่าเริง เพียงเพราะตัดความกังวลเรื่องงานแต่งทิ้งไป ไตรทศมันเครียดอะไรได้ไม่นานหรอกครับเนื่องจากเป็นคนเฮฮา สนุกสนาน มาแต่ไหนแต่ไร เรื่องพวกนี้มันคงจัดการเองได้แหล่ะ นี่แค่คงหาเรื่องมาให้เรารวมตัวกันได้เท่านั้นเอง

                    จากนั้นมาเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันของแต่ละคนก็ถูกเล่าถ่ายทอดออกมาให้แต่ละคนฟัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่นายแพทย์หนุ่มต้องเข้าไปเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารบอร์ดของโรงพยาบาลเอกชนของครอบครัว หรือเรื่องคดีต่าง ๆ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของสารวัตรหนุ่ม รวมถึงเรื่องการขยายกิจการของอธิปที่กระจายไปอีกหลายแห่งทั่วประเทศ

                    “สวัสดีค่ะ หนุ่ม ๆ ขอไลลา นั่งด้วยคนได้ไหมดคะ” เสียงหวานใสมาพร้อมกับร่างของหญิงสาว ซึ่งแต่งกายด้วยเดรสสีดำรัดรูป อวดทรวดทรงองค์เอว พร้อมทั้งหน้าอกหน้าใจ ออกมาโชว์ให้หนุ่ม ๆ ทั่วทั้งสถานที่แห่งนี้มองเหลียวหลังกันไปเลยทีเดียว

                    “อ้าว ไลลา วันนี้ดีใจจังที่ได้เจอคุณที่นี่ นับว่าเป็นโชคของผมแล้ววันนี้ เชิญนั่งตรงนี้เลยครับ” เสียงของไตรทศดังขึ้นพร้อมกับลุกให้หญิงสาวนั่งแทนที่ตัวเอง แต่เจ้าตัวขยับไปห่างไปนิดนึงพอให้ร่างบอบบางนั้นแทรกกายลงไป โซฟาหนานุ่มเหลือพื้นที่น้อยนิดแต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็สามารถเบียดเอาตัวเองลงไปนั่งจนแทบจะเกยตักของชายหนุ่มลูกเสี้ยว

                    “ไลลาสิคะที่ต้องเป็นฝ่ายดีใจ ไม่เห็นหนุ่ม ๆ พร้อมหน้าพร้อมตากันมานานแล้ว วันนี้ถือว่าเป็นวันที่ไลลาโชคดี คงมีผู้หญิงหลายคนอิจฉาไลลาแน่นอน ที่ได้มานั่งโต๊ะที่ห้อมล้อมไปด้วยหนุ่มหล่อ พราวเสน่ห์ทั้ง 5 คน” หญิงสาวพูดพลางยิ้มโปรยให้ทุกคนในวงสนทนา

                    “งั้นไลลาต้องดื่มให้พวกเราแล้วล่ะครับ เพราะว่าคงอีกนานกว่าจะได้มาเจอกันแบบนี้อีก” เสียงทุ้มของเจ้าของผับดังขึ้นเรียกร้องความสนใจจากหญิงสาว พร้อมกันนั้นก็ยื่นแก้วเครื่องดื่มสีสวยที่บริกรเพิ่งยกมาวางไว้ให้

                    “แหม ยังไม่ทันไรเลยคุณอธิปจะแกล้งมอมเหล้าไลลาแล้วเหรอคะ แต่อย่างนี้ไลลายอมให้มอมเลยเพราะอยู่ท่ามกลางหนุ่มโสดทั้ง 5 ที่เป็นที่หมายปองของสาว ๆ ในเมืองกรุง” ไลลาส่งสายตาหวานหยาดเยิ้มให้กับอธิปที่ยื่นแก้วเครื่องดื่มมาให้

                    เรานั่งคุยกันไปก็เริ่มมีคนรู้จักเข้ามาทัก และในบรรดานั้นก็มีหญิงสาวหลายคนเข้ามาขอชนแก้วเครื่องดื่มกับพวกผม ผมนั่งมองดูเพื่อน ๆ ที่ตอนนี้ต่างก็ได้หญิงสาวมานั่งเคียงข้างกันหมดทุกคนเว้นแต่ผมคนเดียว ซึ่งผมไม่อยากไปต่อกับผู้หญิงคนไหนเนื่องจากต้องรีบกลับบ้าน

                    “แหม คุณภูไม่สนใจใครเลยหรือคะวันนี้ นั่งเงียบเชียว สาว ๆ แวะมาทักทายตั้งหลายคนต้องเสียใจกลับไปกับการที่ต้องเจอคำปฏิเสธของคุณภูนะคะ” เสียงหญิงสาวข้างกายนายแพทย์หนุ่มเอ่ยเย้าออกมา

                    “ไม่ดีกว่าครับ ผมต้องรีบกลับบ้าน นี่ก็ทิ้งให้ลูกอยู่กับพี่เลี้ยง” ไม่อยากอธิบายอะไรมากครับแค่นี้ก็น่าจะรู้กันแล้วว่าผมเป็นคนมีครอบครัวและผมก็รักลูกชายมากเกินกว่าจะหาผู้หญิงใหม่มาเป็นภรรยาและมาเป็นแม่ของลูกผม

                    “อย่าไปยุมันเลยครับแพรว ไอ้ภูตอนนี้มันเป็นฤาษีจำศีลไปแล้ว ปล่อยให้มันเป็นพ่อที่ดีของน้องฟ้าต่อไปอย่างนั้นแหล่ะครับ ว่าแต่จะกลับเลยหรือเปล่าภู พวกฉันจะไปต่อกันแล้ว” แหม ๆ ไอ้สารวัตรพอได้สาวเข้าหน่อยจะทิ้งเพื่อนแล้วสิ แต่ดูแล้วตอนนี้ทุกคนคงอยากพาสาว ๆ ในอ้อมแขนไปต่อกันแล้วละครับ

                    “อืม กลับเลยก็ได้ นี่ก็ดึกแล้วไม่อยากกลับดึกกว่านี้” ผมตกลงว่าเราจะแยกย้ายกันเวลานี้ เพราะต่างคนต่างมือไม้ไม่อยู่สุขแล้วล่ะครับตอนนี้

                    “งั้นค่อยเจอกันใหม่มีอะไรก็โทรมาแล้วกัน   อ้อ ...ไอ้ทศเรื่องของแกเอาไว้ก่อนแล้วกันตอนนี้ฉันไม่ว่าง แกก็พยายามหาทางแก้ปัญหาไปเองก่อนนะ ถ้าฉันว่างแล้วจะบอกแกละกัน ฉันไปก่อนละ” ผมบอกลาพวกเพื่อนๆ แล้วเดินออกมาเพื่อกลับบ้าน  เดินไปก็นึกขึ้นได้ว่าวันพรุ่งนี้น้องฟ้าอยากไปเที่ยวสวนสนุกและผมก็ตกลงกับลูกไว้แล้วว่าจะพาไปเนื่องจากช่วงหลายเดือนมานี้งานยุ่งจนไม่มีเวลาพาน้องฟ้าไปไหนเลย คงต้องรีบนอนแล้วรีบตื่นแต่เช้า



*****************************************************************

หอใหม่ทำไมนอนไม่ค่อยหลับเหมือนหอเก่าเนอะ

ต้องปรับตัวเองอีกนานพอดูกว่าจะชินกับที่อยู่ใหม่



วันนี้มีตัวละครใหม่เพิ่มมาอีกคนนึง หนุ่มหล่อ บ้านรวยซะด้วย อิอิ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6

ออฟไลน์ nuttzier

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 476
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0

ออฟไลน์ มารน้อย เจ้าสำนัก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ตอนที่ 13 สะกดรอยตาม


                    “น้ากันต์ พรุ่งนี้วันเสาร์น้ากันต์ไม่ต้องทำงานใช่ป่ะ” เสียงหลานชายตัวอ้วนเอ่ยถามขณะที่เรานั่งดูโทรทัศน์ทำให้ผมต้องหันไปมองตุลย์ที่ตอนนี้มานั่งเกาะแขนผม

                    “อืม พรุ่งนี้หยุดว่าแต่ถามทำไม” ผมหันไปมองตุลย์

                    “พรุ่งนี้เราไปสวนสนุกได้ไหมน้ากันต์ ตุลย์ยังไม่เคยไปเลยอ่ะ” ใบหน้ากลมกิ๊กของไอ้อ้วนมองขึ้นมาสบตากับผมที่มองทางเจ้าตัว

                    “ร้อนจะตาย ไม่ไปหรอก นอนอยู่บ้านดีกว่าไม่เหนื่อยด้วย แดดแรงตุลย์ไม่ชอบแดดนี่แล้วคิดยังไงจะไปตากแดดเล่นเครื่องเล่นที่สวนสนุก”

                    “ก็ตุลย์ได้ยินน้องฟ้าคุยกับพ่อของน้องว่าพรุ่งนี้บ้านโน้นเขาจะไปเที่ยวสวนสนุกกัน เราตามไปได้ป่ะ ตุลย์อยากไปเที่ยวกับน้องฟ้า นะ น้ากันต์นะ”

                    “นี่กะจะตามคนบ้านโน้นไปจริง ๆ เหรอ เดี๋ยวไปเจอเขาจะว่าเอาได้หรือเปล่า เขาอาจจะอยากเที่ยวกันสองคนพ่อลูกก็ได้นะ” ผมเริ่มคิดตามว่าถ้าเราตามไปด้วยเวลาคุณภูเจอหน้าพวกเราจะทำหน้ายังไง ก็น่าสนุกดี หาอะไรทำแก้เบื่อดีกว่า อีกอย่างไปเล่นเครื่องเล่นคลายเครียดก็ดีเหมือนกัน ไม่ได้ไปสวนสนุกนานแล้ว

                    “ก็ได้ แต่ว่าถ้าร้อนอย่าบ่นให้พากลับบ้านล่ะรู้หรือเปล่า” สรุปเราตกลงจะไปเที่ยวสวนสนุกตามคนข้างบ้านกันครับ
                    “อ้อ แล้วตุลย์อยากกินอะไร พรุ่งนี้เราจะตื่นมาทำอาหารไปปิกนิกกันด้วยดีไหม” ผมคิดว่าเราน่าจะทำอาหารไปเองดีกว่าไปซื้อแพงด้วยแล้วก็ไม่อร่อยอีกต่างหาก

                    “เอาแฮมเบอร์เกอร์ แซนวิช ไก่ทอด โดนัทด้วยได้ไหมน้ากันต์” รายการอาหารร่ายออกมาจากปากเล็ก ๆ ยาวเหยียด ยัง ๆ ยังทำท่านึกอีกแค่นี้ก็พอแล้วมั้งอ้วน

                    “ได้สามอย่างแรก แต่โดนัทงดเปลี่ยนเป็นผลไม้ดีกว่านะ แต่ว่าพรุ่งนี้เช้าตุลย์ต้องลุกมาช่วยน้ากันต์เตรียมของด้วย ถ้าไม่ช่วยน้ากันต์ก็ไม่ทำให้หรอกนะ” ผมยื่นข้อเสนอเพื่อที่จะให้ตุลย์รู้จักการทำอาหารง่าย ๆ เผื่ออนาคตจะได้ทำเป็น

                    “ครับผม แต่น้ากันต์ต้องมาปลุกตุลย์เองนะ เผื่อตุลย์นอนเพลิน ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ยังมีหน้ามาหัวเราะอีก ก็ต้องเป็นแบบนนั้นอยู่แล้วล่ะครับ เรานั่งดูโทรทัศน์กันอีกพักใหญ่จึงได้พากันขึ้นนอนเพื่อที่พรุ่งนี้จะได้ตื่นมาทำอาหารไปปิกนิกกันที่สวนสนุกแต่เช้า

                    ผมตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้า เมื่อจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วก็เดินไปเปิดประตูห้องนอนเล็กเพื่อจะปลุกตุลย์ เดินเข้าไปเห็นแต่ก้อนกลม ๆ บนเตียงนอนแอร์เย็นฉ่ำเพราะเจ้าตัวเป็นพวกขี้ร้อน  ผมเดินไปปิดแอร์จากนั้นจึงหันกลับมายังก้อนผ้าห่มลายนกโกรธสีแดง

                    “ตุลย์ตืนได้แล้ว ต้องมาช่วยน้ากันทำอาหารนะลืมหรือยัง” สิ้นเสียงผมก็มีเสียงตอบรับลอยออกมาจากใต้ผ้าผืนหนานุ่มพร้อมหัวเล็ก ๆ โผล่ออกมา ผมเผ้าฟูตายังลืมไม่ขึ้นเลยนะนั่นน่ะ

                    “ตื่นแล้วน้ากันต์ แต่ทำไมตามันไม่เปิดอ่ะ” เสียงอู้อี้ดังออกมาผมได้แต่เอื้อมมือไปจับใบหน้ากลมแล้วเอานิ้วชี้กับนิ้วโป้งแหวกตาที่ปิด ๆ นั้นออกให้แสงส่องเข้าไปแกล้งหลานเล่น ๆ

                    “อ๊าๆๆๆ  แสงเข้าตาอ่ะน้ากันต์ แกล้งตุลย์ทำไมเนี่ย”

                    “น้าช่วยให้ตื่นง่าย ๆ หรอกน่า ตื่นไปล้างหน้า แปรงฟันได้แล้ว จะได้ลงไปทำอาหารไปปิกนิกกัน เสร็จแล้วตามลงไปนะ” ผมว่าแล้วก็ลุกจากเตียงเดินออกมาจากห้องนอนเล็ก เพื่อลงไปเตรียมของที่หลานชายอยากทานเป็นอาหารกลางวันที่สวนสนุก

                    ผมเปิดตู้เย็นเลือกของที่เป็นส่วนประกอบของเมนูวันนี้ออกมา หมูบดที่หมักไว้ตั้งแต่เมื่อคืนอยู่ในกล่องพลาสติก รวมถึงบรรดาผัก ผลไม้ทั้งหลาย สักพักก็ได้ยินเสียงวิ่งดังมาทางห้องครัวพร้อมพาร่างอันอวบอ้วนมาหยุดข้าง ๆ

                    “ตุลย์พร้อมแล้วลงมือกันได้เลยน้ากันต์”

                    “โอเค ตุลย์เอาหมูบดในกล่องไปปั้นเป็นก้อนกลม ๆ นะไม่ต้องใหญ่มากวัดขนาดจากขนมปังที่จะทำเบอร์เกอร์เอาเท่านั้นแหล่ะ”  ผมเลื่อนกล่องหมูบดให้หลานชาย พร้อมบอกว่าต้องทำอย่างไร     ส่วนตัวผมเตรียมส่วนผสมของไส้แซนวิชซึ่งผมกะไว้ว่าจะทำสัก 3 ชนิด

                    เราใช้เวลาชั่วโมงกว่าในการเตรียมอาหาร ซึ่งก็มีเบอเกอร์หมู แซนวิชทูน่า แฮมชีส ปูอัดมายองเนส รวมถึงผลไม้ที่ตัดแต่งใส่ในกล่องพลาสติก มีน้ำเปล่ากับน้ำผลไม้อีกด้วย ทั้งหมดถูกจัดใส่ลงไปในตะกร้าใบเขื่องที่ยกแล้วก็น้ำหนักเยอะเอาการทีเดียว

                    “เสร็จแล้ว เรากินมื้อเช้ากันก่อนแล้วกัน ของตุลย์แค่ซีเรียลกับผลไม้ พอไหม”

                    “ขอกล้วยหอมหั่นใส่ไป 2 ลูกนะน้ากันต์เดี๋ยวไม่อิ่ม” มีเสียงเรียกร้องขอเพิ่มผลไม้ ซึ่งก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะของพวกนี้เรามีติดบ้านอยู่แล้ว ส่วนผมจัดการแซนวิชไปสองชิ้นกับพร้อมนมสดหนึ่งแก้วใหญ่พอ

                    “ได้ กินเสร็จจะได้ไปอาบน้ำเตรียมตัว  แล้วบ้านโน้นเขาจะออกไปกันตอนกี่โมงรู้ป่ะ” ผมมองไปทางบ้านข้าง ๆ ภายในบ้านยังคงเงียบเชียบเหมือนเดิม

                   “ไม่รู้สิครับ ได้ยินแค่น้องฟ้าคุยกับพ่อเบา ๆ อ่ะ จะไปแอบฟังใกล้ ๆ ก็ไม่ดี” นี่ขนาดการแอบฟังเป็นมารยาทที่ไม่ดีนะไอ้อ้วนยังได้ยินว่าเขาจะไปเที่ยวกันแล้วมาตะล่อมขอแอบตามไปด้วยเลย

                   “อืม ไม่เป็นไรแค่เตรียมตัวรอก็พอ เดี๋ยวพอบ้านโน้นออกไปแล้วเราค่อยขับรถตามไปห่าง ๆ เพราะจะได้ไม่เป็นที่สังเกตละกัน” ผมคิดไปพลางคิดว่ถ้าไปเจอกันที่สวนสนุกแล้วจะทำยังไงต่อดี จะโดนร่างสูงสาดสาตาอำมหิตใส่หรือเปล่า แต่ช่างสิสวนสนุกใครจะไปก็ได้นิ ไม่ใช่ของตัวเองสักหน่อย

                    ตอนนี้เราสองคนน้าหลานก็พร้อมที่จะแอบตามคนบ้านโน้นแล้วล่ะครับอาหารจัดใส่รถไว้เรียบร้อย จึงได้แต่นั่งอยู่ในบ้านมองสถานการณ์ทางบ้านหลังใหญ่ เห็นแต่คนขับรถนำรถยนต์คันงามออกมาจอดอยู่หน้าบ้านคงใกล้ได้เวลาที่สองพ่อลูกจะออกจากบ้านแล้วละครับ

                    โอ๊ะ ออกมากันแล้วครับ ร่างสูงของคุณภูอุ้มน้องฟ้าออกมาจากบ้าน มองไกล ๆ ไม่รู้หรอกครับได้แค่เห็นแล้วรับรู้ว่าเป็นร่างของคนที่เราต้องการสะกดรอยตามเท่านั้นเอง  ร่างสูงจัดการให้น้องฟ้านั่งข้างคนขับ แล้วตัวเองก็เดินไปเปิดประตูคนขับ จากนนั้นรถยนต์คันงามก็เลื่อนตัวออกจากหน้าบ้าน 

                    “ตุลย์เตรียมตัวไปกันได้ล่ะ บ้านโน้นออกรถมาแล้ว เดี๋ยวเราตามไปห่าง ๆ นะ ตอนไปถึงที่สวนสนุกแค่ทำเป็นว่าเราบังเอิญมาเจอกันเท่านั้น  แสดงให้เนียนเข้าไว้นะ ห้ามบอกว่าแอบตามมาเป็นอันขาด เข้าใจไหม” ผมนัดแนะกับตุลย์เพื่อให้สมบทบาท ว่าเรามาเล่นกันตามประสาน้าหลานเท่านั้น

                    “รับทราบ ปฏิบัติครับผม” เสียงรับคำอย่างแข็งขันพร้อม ตะเบ๊ะแบบทหารรับคำสั่ง  พอรถของคุณภูแล่นผ่านบ้านเราไป  ผมถึงค่อย ๆ ออกตัวรถยนต์ของตัวเองบ้าง ขับไปเรื่อย ๆ เปิดเพลงฟังชิว ๆ ไอ้อ้วนร้องตามเพลงที่ผมเปิดดูแล้วท่าทางจะอารมณ์ดีจริง ๆ นะ ที่จะได้ไปสวนสนุก

                    สวนสนุกที่เราจะไปอยู่นอกเมือง แต่วันนี้วันเสาร์ใช้เวลาไม่นานเท่าไร ผมก็เลี้ยวรถเข้ามาภายใน ลานจอดรถกว้างขวางเพื่อรองรับจำนวนของนักท่องเที่ยวในวันหยุด ตอนนี้ก็เริ่มมีรถจอดอยู่ประปรายเนื่องด้วยเรามากันแต่เช้าเพราะกลัวรถติดและอากาศร้อน

                    มองเห็นรถยนต์คันงามของอีกฝ่ายจอดสนิทไปเรียบร้อยแล้ว ร่างสูงเดินลงไปทางประตูที่นั่งข้างคนขับ เพื่อเดินไปรับร่างเล็กของลูกชายลงจากรถ  มองไกล ๆ ก็เห็นร่างสูงจัดการสวมหมวกให้ร่างเล็กของลูกชาย แล้วอุ้มร่างน้อย ๆ นั่นเดินไปทางประตูทางเข้าสวนสนุก ผมเลยหันไปคว้าเอาหมวกมาสวมให้ตุลย์บ้าง พร้อมกันนั้นก็คว้าเอาตะกร้าปิกนิกมาถือไว้  จากนั้นเราสองน้าหลานก็เดินช้า ๆ ไปทางที่สองพ่อลูกตระกูลอุตตมโภคิน ยื่นเข้าคิวเพื่อรอซื้อบัตรเข้าสวนสนุก

                   “เดี๋ยวเรารอให้น้องฟ้ากับพ่อเข้าไปก่อนนะ แล้วเราค่อยตามเข้าไปให้ทิ้งห่าง ไม่งั้นเขาจะรู้ว่าเราแอบตามมาด้วย” ผมเดินแอบ ๆ ไปตามรถยนต์แล้วหยุดอยู่ที่รถคันใหญ่คันหนึ่งที่บังเราสองคนน้าหลานไว้จากสายตาของชายหนุ่มร่างสูง จนกระทั่งสองคนพ่อลูกซื้อบัตรแล้วเดินหายลับไปจากสายตาของผมนั่นแหล่ะ ผมเลยเดินจูงมือตุลย์ไปเข้าคิวซื้อบัตรเป็นรายต่อไป
ได้บัตรแล้วผมก็ดูแผนที่ว่าบริเวณนี้มีอะไรบ้างที่พอจะให้หลานชายตัวเล็กเล่นได้เพราะเครื่องเล่นเกือบทุกชนิดมีการกำหนดความสูงหรืออายุของผู้เล่นเอาไว้เพื่อความปลอดภัย   เมื่อได้แผนที่มาอยู่ในมือ ผมก็หันไปทางตุลย์เห็นท่าทางของหลานตื่นเต้นแล้วก็ยิ้มตาม เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ตุลย์ได้มาเที่ยวสวนสนุก ส่วนตัวผมเองก็นานแล้วครับที่ไม่ได้มาเที่ยวที่แบบนี้

                    “ตุลย์อยากเล่นอะไรก่อนไหม หรือเราจะเดินดูรอบ ๆ ก่อนถ้าเห็นอะไรอยากเล่นแล้วตุลย์เล่นได้ก็บอกน้ากันต์นะ เดินเล่นกันสัก ครึ่งชั่วโมงค่อยเดินตามหาน้องฟ้า คงไปไม่ไกลหรอก”

                    “เดินเล่นก่อนนะน้ากันต์ เดี๋ยวค่อยไปเล่นพร้อมน้องฟ้า” เจ้าตัวหันมายิ้มตาหยีใสพร้อมกับดึงมือผมให้ออกเดินตามไปด้วย ผมเลยได้แต่เดินตามแรงดึงของตุลย์ไปด้วย

                    เราเดินเล่นกันไปถ่ายรูปกันไปตลอดทาง เหลื่อเริ่มซึมออกมาทางขมับของตุลย์ผมเลยยื่นผ้าเช็ดหน้าไปซับให้ดูท่าจะร้อนขึ้นมาแล้วล่ะสิ  เดินไปได้สักพักก็เห็นร่างสูงกับร่างเล็ก ๆ ของน้องฟ้า ยืนเข้าคิวเพื่อจะเข้าไปยังเมืองเทพนิยาย ไอ้อ้วนของผมพอเห็นน้องฟ้าก็หันมามองหน้าผมครั้งนึง พอผมพยักหน้าให้ก็ขาสั้น ๆ ก็เริ่มออกวิ่งไปทางประตูเข้าเมืองเทพนิยายที่มีสองพ่อลูกยืนอยู่

                    ผมเลยเดินตามเพื่อให้ทันตุลย์ เสียงเรียกน้องฟ้าของตุลย์ดังพอที่จะทำให้สองพ่อลูกหันมาตามเสียงเรียก เมื่อเห็นว่าเป็นใครเรียกเท่านั้น น้องฟ้าก็ยิ้มทั้งตาทั้งปาก พร้อมก้าวเข้ามาหาร่างอ้วน ๆ ที่หยุดยืนหอบหน่อย ๆ ที่ข้าง ๆ ผมจึงเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงนั้นด้วย

                    “น้ากันต์กับตุลย์มาด้วยเหรอครับ แต่ทำไมไม่บอกว่าจะมาสวนสนุกอ่ะ ฟ้าจะได้บอกให้มาด้วยกัน” เสียงของน้องฟ้าทักอย่างยินดีที่เห็นตุลย์

                    “ก็น้ากันต์ไม่รู้นี่ครับว่าน้องฟ้าจะมาเที่ยว นี่สัญญากับตุลย์ไว้นานแล้วว่าจะพามาเที่ยวสวนสนุกสักครั้ง เพราะตุลย์ยังไม่เคยมาเที่ยวที่แบบนี้เลย” ผมตอบกลับน้องฟ้าไป พลางเหลือบมองร่างสูงของคุณภูไปด้วย

                   “ดีเลยงั้นเดี๋ยวเราไปเที่ยวด้วยกันเลย ฟ้าจะได้มีเพื่อนเล่นด้วย เล่นกับคุณพ่อไม่สนุกหรอก คุณพ่อชอบทำหน้าเฉย ไม่ยิ้มเอาซะเลย” ร่างเล็กเริ่มบ่นออกมาให้คนเป็นพ่อ

                    “ตกลงครับ น้ากันต์กับตุลย์จะเที่ยวเป็นเพื่อนน้องฟ้าเองเนอะ รับรองความสนุกแน่นอนไม่ต้องห่วง กันตพิชย์คอนเฟิร์ม” ตอบตกลงไปครับเข้าแผนพอดี รู้แหล่ะว่าถ้าน้องฟ้าเจอเราต้องขอให้เราไปเที่ยวด้วยกันแน่นอน ก็ใครจะไปอยากเล่นกะยักษ์หน้าตายล่ะครับ พูดไปก็สงสารร่างเล็ก ๆ ของน้องฟ้าไปด้วย

                    ร่างสูงที่จับจ้องสายตามาที่ผมทำเอาผมเกือบหายใจติดขัดเลยทีเดียว เมื่อเห็นว่าเราสองคนจะร่วมขบวนการเที่ยวสวนสนุกด้วย แต่ปฏิเสธไม่ได้หรอกนะ เพราะน้องฟ้าชวนไปแล้ว และผมก็ตอบตกลงไปแล้วด้วย  ตอนนี้ช่างร่างสูงไปสิ เราไปเล่นอะไรสนุก ๆ กันดีกว่า วันนี้ขอปล่อยแก่สักวันเหอะไม่ได้เล่นอะไรแบบนี้นานมาก

                    “แล้วนั่นน้ากันต์ถือตะกร้าอะไรมาด้วยครับ ใบใหญ่เชียว” สายตาของน้องฟ้าหยุดอยู่ที่มือผมที่มีตะกร้าใบเขื่องอยู่ในมือ

                    “อ๋อ นี่อาหารกลางวันทำมาปิกนิกกับตุลย์ แต่ทำมาเยอะพอสำหรับน้องฟ้ากับคุณพ่อด้วยนะ ถ้าไม่รังเกียจเดี๋ยวกลางวันเราหาที่นั่งทานกันได้” ผมยกตะกร้ามาด้านหน้าเพื่อให้น้องฟ้าชะโงกเข้ามาดู

                    “จริงเหรอครับ ดีใจจัง เนี่ยฟ้าก็บอกให้คุณพ่อเอาอาหารมาปิกนิกด้วย แต่คุณพ่อบอกว่ายุ่งยาก ให้มาหาซื้อทานเพราะสะดวกกว่า ถ้าอย่างนั้นฟ้าขอทานกลางวันด้วยนะครับน้ากันต์” น้ำเสียงยินดี พร้อมรอยยิ้มเต็มหน้าส่งมาให้ผม แล้วก็หันไปทำหน้ายู่ใส่คุณพ่อของตัวเองที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ฝั่งพ่อจะทำอะไรได้นอกจากยิ้มรับลูกชายเท่านั้น

                    “ได้อยู่แล้วครับ  แต่ว่าเราเข้าไปข้างในกันได้แล้วถึงคิวเราแล้วล่ะ” ผมว่าพลางให้เด็กทั้งสองเดินไปด้านหน้าเพื่อจะเข้าไปในเมืองเทพนิยาย

                    พอผมก้าวเดินไปก็มีมือปริศนายื่นมาเพื่อดึงเอาตะกร้าปิกนิก พอมองขึ้นมาก็เห็นว่าเป็นร่างสูงเอื้อมมือมาเพื่อช่วยถือ ใบหน้าของชายหนุ่มมีความยุ่งยากปรากฏ คิ้วเข้มขมวดเป็นปม ผมได้ยินเสียงจิ๊ปากจากฝ่ายเบาๆ

                    “ส่งมาให้ฉันจะช่วยถือดูท่ามันจะหนักเอาการ ไม่รู้จะเอาอะไรมามากมาย มากันแค่สองคนแต่ละคนก็ตัวเล็ก ๆ กันทั้งนั้น” เสียงทุ้มดังขึ้นพร้อมกับดึงตะกร้าให้ไปอยู่ในมือของตัวเอง ผมเลยปล่อยให้ถือตามความสมัครใจ ไม่ได้ร้องขอนะครับจะมาบ่นว่าหนักทำไม ที่สำคัญอะไรคือมากันสองคนแล้วตัวเล็ก ๆ

                    “ขอบคุณครับ แต่ถ้าให้ดีช่วยถือแล้วอย่าบ่นสิครับคุณภู” ผมกล่าวขอบคุณแต่ก็ยังประชดไปสักนิด ใบหน้าเข้มหันมามองหน้าผมนิดนึงแล้วหันกลับไปเพื่อเดินตามลูกชาย ข้างในเมืองเทพนิยายก็มีปราสาทเจ้าหญิงนิทรา กระท่อมคนแคระทั้ง 7 รวมถึงรถฟักทอง เด็ก ๆ ทั้งสองคนตื่นเต้นกันมาก พร้อมกันก็วิ่งวุ่นให้ทั่ว ทำให้ผมต้องเดินตามให้ทัน

                   “น้องฟ้าอย่าวิ่งเร็วนัก เดี๋ยวจะหกล้มเอาได้นะครับ” เสียงคุณภูร้องบอกลูกชาย เพราะกลัวว่าถ้าวิ่งแล้วไปสะดุดอะไรจะเกิดอุบัติเหตุเอาได้

                   “ครับคุณพ่อ น้องฟ้าระวังตัวอยู่แล้วล่ะไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ” เสียงใสตะโกนบอกมาพร้อมกับวิ่งไปเล่นที่ปราสาทเจ้าหญิงนิทรา

                   ปล่อยให้เด็กสองคนทั้งวิ่ง ทั้งเดินให้รอบแต่ผมมองหาที่นั่งแล้วได้แต่นั่งมองดูเฉย ๆ ร่างสูงเดินตามมาวางตะกร้าพร้อมกับนั่งลงข้าง ๆ

                   “นี่พวกนายตามฉันมาอีกแล้วใช่ไหม” ประโยคคำถามที่ต้องการคำตอบออกมาจากปากคนหน้าเข้ม เมื่อหันไปก็พบว่าสายตาของร่างสูงจับจ้องที่ใบหน้าผมเขม็งทีเดียว

                    “อีกแล้วนะครับ ทำไมถึงชอบกล่าวหาว่าผมต้องตามคุณภูมาด้วยล่ะ นี่ผมก็พาหลานมาเที่ยวสวนสนุกวันหยุดเหมือนกับครอบครัวคนอื่นเขานั่นแหล่ะ” มีอีกแล้วครับประโยคปฏิเสธของผม

                    “แต่มันจะบังเอิญเกินไปรึเปล่า” หรี่ตามองผมอย่างจับผิด ซึ่งผมไม่มีอะไรให้จับพิรุธได้อยู่แล้ว

                    “เหตุการณ์บังเอิญมันมีอยู่มากมายนะครับ เอาน่าคุณภูก็อย่าจับผิดผมนักเลย นี่น้องฟ้าก็มีเพื่อนเล่น สนุกออกดีกว่าเล่นคนเดียวตั้งเยอะ คุณภูน่าจะให้น้องฟ้าคบเพื่อนบ้างนะครับ น้องฟ้าจะได้ร่าเริง”

                    “ทุกวันนี้ฟ้าก็มีเพื่อนพอแล้วที่โรงเรียน วันหยุดก็อยู่กับครอบครัวซึ่งก็คือฉันที่เป็นพ่อก็พอแล้ว” เสียงเข้มตอบกลับมาอย่างไม่ลดล่ะ

                    “แล้วคุณภูคิดว่าน้องฟ้าอยากมีเพื่อนสนิทบ้างไหมครับ เพราะที่โรงเรียนเพื่อนเยอะก็จริงแต่จะมีกี่คนที่รักและเชื่อใจกันอย่างหมดใจสักคน อย่างน้อยให้น้องฟ้าได้เป็นคนเรียนรู้ที่จะรู้จักคำว่าเพื่อนสนิทด้วยตัวเองดีกว่านะครับ” ผมพยายามชักแม่น้ำทั้งประเทศมาพูดให้ฟัง ร่างสูงเมื่อได้ยินสีหน้าก็ดูจะสงบขึ้นกว่าเดิมเยอะ แววตาก็ดูอ่อนขึ้นมาด้วย ผมเห็นดังนั้นก็รู้เลยว่า
ร่างสูงเริ่มจะโอนอ่อนตามคำพูดผมแล้ว และนั่นคือสัญญาณแรกที่ดีสำหรับการเป็นเพื่อนของน้องฟ้ากับตุลย์เช่นกัน

                    “ฉันก็อยากให้น้องฟ้ามีเพื่อนที่ไว้ใจได้สักคนเหมือนกันแต่ยังไงตอนนี้น้องก็ยังเด็ก อย่างน้อยก็ยังต้องอยู่ในสายตาฉัน ฉันเข้าใจว่าเราควรจะปล่อยลูกบ้าง แต่ว่าฉันก็ยังไม่วางใจเท่าไรอยู่ดี คงเพราะฉันเลี้ยงลูกคนเดียวมาตั้งแต่น้องฟ้ายังเล็กมาก ๆ ก็ได้ จึงห่วงมากเป็นธรรมดา”
 
                    “ผมก็เหมือนกันครับ ตุลย์ที่เสียทั้งพ่อกับแม่ไปผมก็พยายามเลี้ยงหลานให้ดีที่สุด ไม่อยากให้เขาต้องขาดความรักจากพ่อและแม่ แต่อย่างน้อยน้องฟ้าก็ยังมีคุณภูที่เป็นพ่อดูแลมาตลอด ซึ่งผิดกับตุลย์ที่มีเพียงแค่น้าอย่างผมเท่านั้น” เสียงผมสั่นเล็กน้อยเมื่อคิดถึงความรู้สึกของหลานชายที่ขาดทั้งพ่อและแม่ไป แต่ตุลย์ก็เป็นเด็กเข้มแข็งหรือพยายามเข้มแข็งผมก็ไม่รู้นะ เพราะหลานชายผมร้องไห้ครั้งสุดท้ายคือวันที่ส่งทั้งพ่อและแม่ขึ้นสวรรค์ นับแต่นั้นมาผมก็ไม่เห็นน้ำตาของเจ้าอ้วนอีกเลย แม้เราจะคิดถึงคนทั้งสองก็ไม่มีใครหลั่งน้ำตาออกมาสักคนเดียว เวลาเราพูดถึงคนที่เรารักจะมีแต่รอยยิ้มเท่านั้นที่แสดงออกมาให้ต่างคนต่างเห็นเท่านั้น

                    ผมมองออกไปข้างหน้าเล่าเรื่องส่วนตัวบางเรื่องชายหนุ่มฟัง  เหมือนว่าร่างสูงจะจับความรู้สึกของผมได้ เพราะผมรู้สึกว่ามือใหญ่ของใครบางคนยื่นออกมาตบที่ไหล่ผมเบา ๆ เหมือนจะปลอบใจ ผมหันไปมองพร้อมด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ที่ยิ้มออกมาให้กับชายหนุ่ม

                    “นายเก่งมากนะที่อายุเท่านี้แต่รับผิดชอบชีวิตของเด็กเล็ก ๆ คนหนึ่งอย่างดีที่สุด พยายามที่จะเลี้ยงดูเขาให้เติบโตอย่างมีความสุขเท่าที่คนวัยอย่างนายจะทำได้ เอามาเทียบกับฉันไม่ได้หรอก เพราะฉันอายุมากกว่านายหลายปี ถ้าคิดว่าฉันต้องเลี้ยงลูกมาคนเดียวตอนอายุเท่านายอาจจะทำไม่ได้ดีเท่ากับนายก็ได้” เสียงนุ่มทุ้มออกจากริมฝีปากเข้มได้รูปของหนุ่ม พร้อมกับรอยยิ้มที่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นได้จากร่างสูงของคุณภู ยิ้มนั้นนับเป็นรอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกบางอย่างในอกผมเริ่มตีรวน

                   “ขอบคุณครับคุณภู แต่ผมก็ยังคิดว่าคุณภูนะเก่งที่ทั้งบริหารกิจการใหญ่โตมากมาย แล้วยังเลี้ยงน้องฟ้าให้เป็น
เด็กที่น่ารักได้ขนาดนี้” ผมเอ่ยชมคนข้างกายอย่างจริงใจนับถือในความเก่งของชายหนุ่มที่สามารถบริหารบริษัทให้เจริญใหญ่โต แล้วยังเลี้ยงลูกมาให้โตเป็นเด็กที่น่ารักในสายตาของผู้อื่น แต่นับว่าโชคดีอีกอย่างที่น้องฟ้าไม่ใช่เด็กเอาแต่ใจเหมือนกับลูกเศรษฐีทั่วไปในสังคมไทย

                    “ก็เพราะเรารักลูกถึงยอมทำทุกอย่าง อยากให้เขาโตอย่างมีความสุขนั่นแหล่ะ พอเห็นน้องฟ้ายิ้มได้อย่างร่าเริงแค่นั้นฉันก็มีความสุขมากแล้ว” เสียงอ่อนโยนดังออกมาจากชายหนุ่ม

                    สายตาของร่างสูงจับจ้องไปที่ร่างเล็ก ๆ ของเด็กทั้งสองคน  รอยยิ้มของเด็ก ๆ สำหรับผมแล้วเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด และเชื่อว่าคนร่างสูงข้าง ๆ ผมก็คิดเหมือนกัน

**************************************************

มาส่งตอนใหม่ก่อนจะหนีไปทำบุญต่างจังหวัด เจอกันใหม่อาทิตย์หน้านะคะ

เราเขียนเรื่องนี้อยากให้เป็นนิยายแนวอบอุ่น

คือมีความมโนว่าอยากได้ผู้ชายรักครอบครัวมาเป็นฝาละมี

ความรักก็เหมือนกันอาจจะช้าหน่อยแต่ว่าค่อย ๆ รับรู้เข้าไปในหัวใจ 

ใครชอบแนวนี้ก็ขอให้ติดตามกันเยอะ ๆ นะคะ[/size][/size]

:mew1: :mew1: :mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-08-2016 17:44:48 โดย มารน้อย เจ้าสำนัก »

ออฟไลน์ nuttzier

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 476
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
เหย  เข้่าใจความรู้สึกเลย  :o12:

ออฟไลน์ มารน้อย เจ้าสำนัก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
                    ตอนที่ 14 หลุมดักเพิ่มความสัมพันธ์


                    เราใช้เวลากว่าสองชั่วโมงในการเดินเข้าออกเครื่องเล่นต่าง ๆ ภายในสวนสนุก ตอนนี้เที่ยงกว่าแล้วเด็ก ๆ คงเริ่มหิวแล้วใบหน้าเล็ก ๆ ทั้งสองมีเหงื่อผุดขึ้นมาเยอะพร้อมใบหน้าแดงระเรื่อเนื่องด้วยอากาศร้อน  เราเดินหาโต๊ะสำหรับทานอาหารกลางวันใต้ร่มไม้ใหญ่ เสียงเด็ก ๆ หัวเราะกันไม่หยุด ทำให้ผมยิ้มตามไปด้วย

                    น้องฟ้านั่งอยู่ข้าง  ๆ คุณภู ตรงข้ามคือตุลย์ซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ผม ผมหยิบผ้าเช็ดหน้าส่งให้ตุลย์เช็ดหน้า ส่วนตัวเองเดินอ้อมไปนั่งลงใกล้ ๆ น้องฟ้าพลางยื่นมือที่มีผ้าไปซับเหงื่อบนใบหน้าเล็ก ๆ นั่น น้องฟ้าหลับตาพริ้มให้ผมบริการ ใบหน้าเล็กใสแดงระเรื่อไปด้วยอุณหภูมิของแสงแดด ผมค่อย ๆ ซับไปเรื่อย ๆ จนหมดเหงื่อ น้องฟ้ายกมือไหว้ขอบคุณแล้วยิ้มให้อีกครั้ง

                    ผมเดินมานั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม เอื้อมมือไปเลื่อนตะกร้าอาหารพลางยกกล่องพลาสติกบรรจุอาหารกลางวันออกมามีเด็ก ๆ นั่งมองด้วยสีหน้าคาดหวังกับอาหารที่อยู่ข้างใน  กล่องแรกที่เปิดออกมาเป็นแซนวิชหลากหลายไส้ กล่องที่สองเป็นเบอร์เกอร์หมู ยังมีกล่องของผลไม้ที่ตัดแต่งไว้เรียบร้อยแล้วอีกด้วย

                    “ล้างมือกันก่อนครับเด็ก ๆ จะได้มาทานกันมือเปื้อนกันหมดล่ะ” เปิดฝาขวดน้ำเปล่าแล้วยื่นใหคุณภูเพื่อที่จะล้างมือให้น้องฟ้า ส่วนตุลย์นะเหรอ ล้างเองครับ แค่ส่งขวดน้ำให้ก็พอ

                    ส่วนตัวผมรินน้ำผลไม้ใส่แก้วยื่นส่งให้น้องฟ้า ตามมาด้วยคุณภูแล้วจึงรินให้ตุลย์ เมื่อทั้งสามล้างมือกันเรียบร้อยแล้วก็ลงมือหยิบแซนวิชมั่ง เบอร์เกอร์มั่งทานกันอย่างรวดเร็วคาดว่าคงหิวมาก
 
                    “โห....อร่อยมากครับน้ากันต์ น้ากันต์ทำเองหรือเปล่าครับ วันหลังทำให้ฟ้าทานอีกนะครับ ฟ้าชอบ” เสียงใสอุทานออกมาหลังจากกัดแซนวิชเข้าไปคำโต

                    “ครับ ตื่นมาทำตั้งแต่เช้า นั่นตุลย์ก็ช่วยด้วยนะ เป็นยังไงอร่อยมากไหม”

                    “นี่ ๆ น้องฟ้า เบอร์เกอร์นี่ตุลย์ปั้นเองเลยนะ ลองทานดู อร่อยระดับเชลล์ไม่ต้องชวนก็ต้องมาชิม” ไอ้อ้วนบรรยายสรรพคุณอาหาร ที่ตัวเองช่วยทำด้วย แหม ๆ แค่ปั้นหมูเอง มันจะไปอร่อยได้ไง ต้องคนปรุงอย่างผมนี่ แต่ผมก็ปล่อยให้เจ้าตัวเอาหน้ากับน้องฟ้าไป

                   “ตุลย์เก่งจัง ฟ้าอยากทำอาหารเป็นมั่ง แต่ไม่เคยมีใครให้ฟ้าช่วยทำเลย บอกแต่ว่าให้อยู่เฉย ๆ ฮึ” เสียงเล็ก ๆ บ่นออกมากระปอดประแปด

                   “วันหลังน้องฟ้าไปบ้านตุลย์นะ เดี๋ยวตุลย์ให้น้ากันต์สอน เราจะได้มาทำอาหารทานกันบ่อย ๆ” ตุลย์ออกปากชวนน้องฟ้าไปเล่นที่บ้านแล้วครับ คาดว่าเจ้าตัวคิดไว้ในใจแน่เลย  ผมว่านะหลานผมเนี่ยไม่ต้องให้ผมช่วยหรอกเรื่องที่จะจีบน้องฟ้า เพราะตอนนี้เจ้าตัวหาเรื่องเจอน้องฟ้าอย่างเนียน ๆ ได้เลยนะเนี่ย

                    “ได้จริงเหรอ ไป ๆ ฟ้าอยากทำอาหารให้พ่อทาน คุณพ่อให้ฟ้าไปฝึกทำอาหารที่บ้านน้ากันต์นะครับ” น้ำเสียงดีใจอย่างเห็นได้ชัด แล้วยังหันไปยิ้มอ้อนขอพ่อตัวเองอีกด้วย

                    “ให้พี่พลอยสอนก็ได้นี่นา เดี๋ยวจะไปรบกวนบ้านโน้นเขามากกว่านะครับน้องฟ้า” เสียงทุ้มของคุณภูตอบกลับมาทำให้หน้าคนอ้อนหม่นลงนิดหน่อยแต่ยังไม่วายบ่นออกมา

                    “ก็พี่พลอยทำไม่อร่อยเท่าน้ากันต์นี่นา นะครับ ฟ้าอยากทำให้คุณพ่อทานจริง ๆ ไม่รบกวนน้ากันต์สักหน่อย ตุลย์ก็ชวนแล้วด้วย”

                    “ไปได้ครับน้องฟ้า ไม่กวนอะไรเลย คุณภูให้น้องไปเล่นที่บ้านผมบ่อย ๆ ก็ได้ ตุลย์จะได้มีเพื่อนเล่น แล้วอีกอย่างบ้านเราก็ไม่ได้ไกลกันสักหน่อย รั้วติดกันขนาดนี้” ผมยิ้มให้น้องฟ้าแล้วบอกอนุญาตออกไปอย่างยินดี ทำให้ร่างสูงจ้องหน้าผมนิ่ง ๆ ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่แต่ถึงอย่างไรผมก็ต้องเพิ่มระดับความสัมพันธ์ของหลาน ๆ ให้ได้ แค่ไปเล่นที่บ้านมันจะอะไรนักหนากันเชียว

                   “วันเสาร์หรือวันอาทิตย์คุณภูก็ไปส่งน้องฟ้าไว้ที่บ้านผมก็ได้ครับ ผมช่วยดูแลเด็ก ๆ เอง ดีกว่าให้เด็กอยู่บ้านเฉย ๆ หากิจกรรมให้ทำจะได้ผ่อนคลายด้วยดีไหมครับ”

                   “ฉันยังไม่รับปากแล้วกัน ถ้าน้องฟ้าอยากไปจริงๆ ค่อยว่ากันทีหลัง ถ้าพ่อว่างวันไหนน้องฟ้าค่อยไปแล้วกันนะครับ เดี๋ยวพ่อไปส่งหรือไปด้วย” ตอบผมเสร็จก็หันไปทางน้องฟ้า เมื่อได้ยินคำตอบของคุณภูน้องฟ้าก็สีหน้าดีขึ้นมาแล้วทานอาหารต่อไป

                   มือเล็ก ๆ ของเด็กทั้งสอง หยิบนั่นนี่เข้าปากไม่หยุด แต่ทั้งสองก็ทานกันอย่างเรียบร้อยมีบ้างที่ซอสเลอะมุมปากหรือเศษขนมปังร่วงหล่น แต่ก็มีมือของร่างสูงเช็ดให้ตลอดการทานอาหาร ซึ่งอาการนี้ทำให้บรรยากาศระหว่างสองครอบครัวเริ่มจะเข้ากันได้อย่างดี

                  ส่วนตัวผมก็ทานไปเรื่อย ๆ แต่ตุลย์นะเหรอครับอย่าไปห่วงเลยรายนั้นไม่มีพูดจาอะไรหรอก หยิบอะไรเข้าปากก็เคี้ยว ๆ กลืน ๆ

                 “คุณภูลองเบอร์เกอร์สิครับ อร่อยนะ น้องฟ้ายังชอบเลย ผักข้างในก็สดกรอบ อ่ะ” ผมยื่นเบอร์เกอร์ชิ้นไม่ใหญ่นักให้คุณภู รายนั้นเงยหน้ามามองผมสลับกับมองเบอร์เกอร์ที่จ่ออยู่ข้างหน้าเกือบถึงปากได้รูปของเจ้าตัว

                 “สิครับ อร่อยจริง ๆ ไม่หลอกแน่นอน ทานแล้วท้องไม่เสีย รับรองว่าชิ้นเดียวคุณภูต้องขอเพิ่มแน่นอน เชื่อผมสิ อ่ะ รับไปสักทีสิเมื่อยแล้วนะ”

                 เมื่อสิ้นเสียงบ่นของผมมือใหญ่ก็ยื่นออกมารับเบอร์เกอร์  หยุดมองของในมือนิดนึงแล้วยกขึ้นมากัดคำเล็ก ๆ ไอ้ผมก็ลุ้นว่าคุณภูจะไม่ชอบ แต่ผิดคาดสีหน้าที่ได้ทานเบอร์เกอร์เข้าไปแล้วนั้นมีร่อยรอยของความพอใจอยู่ พอเห็นว่าร่างสูงจัดการเบอร์เกอร์เข้าไปแล้ว ผมก็ถอนใจอย่างโล่งอก

                 “เห็นไหมบอกแล้วว่ามันอร่อย ถึงคุณภูจะไม่ชอบอาหารจั๊งฟูดส์พวกนี้ก็เหอะ แต่ถ้าเราทำให้มีประโยชน์สำหรับเด็ก ๆ แล้วบางอย่างมันก็จะช่วยให้เด็ก ๆ ทานได้มากขึ้นด้วยนะครับ เพราะว่าเราทำเอง เลือกส่วนผสมที่ดีและมีคุณค่าเอง ของแบบนี้แหล่ะทำให้เด็ก ๆ อยากอาหารมากกว่าปกติ นาน ๆ ทานทีไม่เป็นไรหรอกครับเปลี่ยนบรรยากาศซะมั่ง  แล้วนี่คุณภูว่าน้องฟ้าทานได้มากกว่าปกติหรือเปล่า”  อธิบายไปผมก็หวังว่าร่างสูงจะเข้าใจอารมณ์เด็ก ๆ อยากทานอาหารฟาสต์ฟู้ดบ้างนะครับ

                 “ฉันไม่ค่อยให้น้องฟ้าทานอาหารพวกนี้เพราะเห็นว่ามันมีแต่แป้ง แล้วไขมันไม่ค่อยดีต่อเด็กเท่าไร แล้วก็แม่ครัวที่บ้านก็ทำอาหารพวกนี้ไม่เป็น เลยไม่รู้ว่าน้องฟ้าอยากทาน เพราะน้องฟ้าก็ไม่เคยเรียกร้องว่าอยากทานอะไรแบบนี้มาก่อนเลย” ร่างสูงคิดตามไปด้วย

                  “ก็คุณภูเล่นให้น้องฟ้าทานอาหารให้ครบ  5 หมู่แบบเคร่งครัด น้องฟ้าจะกล้าบอกเหรอครับว่าอยากทานอาหารแบบนี้บ้าง แต่เด็ก ๆ อยากทานกันทุกคนแหล่ะ แต่เราก็ต้องเลือกให้ดีด้วย บางร้านใช้ของคุณภาพดี บางร้านใช้ของไม่ดีก็มีคละเคล้ากันไป”

                   “คุณพ่อฟ้าอยากทานเบอร์เกอร์นานล่ะ แต่ไม่กล้าบอกเพราะคุณพ่อบอกว่าของพวกนี้ไม่มีประโยชน์ ทานแล้วทำให้เสียสุขภาพ” น้องฟ้าหันไปสารภาพกับคุณภูด้วยเสียงเบา ๆ

                  “แล้วทำไมน้องฟ้าไม่บอกพ่อครับ ถ้าน้องฟ้าอยากทานพ่อพาไปทานที่ร้านอาหารในโรงแรมที่เขาทำอร่อย ๆ ก็ได้ทีหลังอยากทานอะไรให้บอกพ่อนะครับ ที่พ่อบอกว่าไม่อยากให้ทานอาหารฟาสต์ฟู้ดไม่ได้หมายความว่าห้ามเลย แต่ถ้าอยากทานเราต้องไปที่ร้านที่ใช้ของมีคุณภาพมาทำอาหารครับ เข้าใจนะ” คุณภูกำชับน้องฟ้าว่าต่อไปต้องบอก ผมเห็นการเอาใจใส่ของคุณภูแล้วก็รู้สึกดีขึ้นมาในใจ

                    “ครับ ต่อไปฟ้าจะบอกคุณพ่อตลอดเลยนะ แล้วคุณพ่อก็ต้องมีเวลาพาฟ้าไปด้วย ถ้าอย่างนั้นฟ้างอนจริง ๆ นะครับ” เสียงเล็ก ๆ อ้อนออกมา ทำให้คนเป็นพ่อได้แต่ยิ้มรับรอยยิ้มใส ๆ ของน้องฟ้า

                   “ทานกันให้หมดดีกว่านะครับ จะได้นั่งพักย่อยอาหาร เดี๋ยวไม่ทันตุลย์นะ ดูสิอะไรใกล้มือตุลย์เนี่ยเกือบหมดแล้วนะ น้องฟ้าช้าตุลย์ทานหมดก่อนแน่ ๆ”

                    จากนั้นมหกรรมการแย่งชิงอาหารกลางวันก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ หลังมืออาหารมีผลไม้หลากหลายนอนอยู่ข้างในกล่องพลาสติก มีส้อมเล็ก ๆ ไว้จิ้มทาน ใช้เวลาไม่นาน อาหารที่ผมนำมาก็หมดลงไป พร้อมกับตัวอ้วน ๆ เริ่มเลื้อยหลังทานอิ่ม

                    “ตุลย์อย่าเลื้อยลุกมานั่งดี ๆ เดี๋ยวกรดไหลย้อยจะปวดท้องเอาได้ ดูอย่างน้องฟ้าสิ นั่งเรียบร้อยเชียว”

                    “ก็มันอร่อยมากนี่ กินจนอิ่มมากกกกกก เลยอ่ะน้ากันต์” เสียงไอ้อ้วนลากยาว เน้นคำว่าอิ่มมากเสียจนผมต้องหัวเราะ

                    “ทีหลังก็อย่ากินเยอะอ้วนจนน้ำหนักกินแล้วมั้งเนี่ย ต่อไปน้าว่าตุลย์ลดน้ำหนักดีกว่าเนอะ เผื่อว่าจะมีคนเหลียวมาดูบ้าง”

                     “หือออออ ไม่อาววววว ตุลย์ไม่ลด  ขนาดนี้แหล่ะดีแล้ว กำลังจ้ำม่ำ น่ารักน่าฟัดเนอะน้องฟ้าเนอะ” แหน่ะหันไปหาพวกเสียด้วย

                     “แต่มันจะอ้วนเกินไปนะตุลย์ เดี๋ยวเดินไม่ไหว หุ่นไม่ดีนะรู้ป่ะ” น้องฟ้าแย้งขึ้นมาทำให้ตุลย์เริ่มจะลังเลแล้วกับการลดความอ้วนที่ผมเสนอ

                    “ใช่ อ้วนไปไม่ดีหรอกโรคเยอะ ไขมันอุดตัน ไม่หล่อ ไม่เท่ห์ใครที่ไหนจะมาสนใจ ขนาดน้องฟ้ายังไม่ชอบคนอ้วนเลย” เป็นไงล่ะเจอไซโคเข้าไป ต้องฉุกคิดมั่งแหล่ะ

                    “แต่ตอนนี้ยังไม่อ้วนใช่ไหมน้ากันต์ แค่อวบ ๆ ใช่ไหม ๆ” ยังไม่ยอมรับว่าตัวเองอ้วน ฮ่า ๆๆๆ แต่ก็ยังไม่อ้วนหรอกครับแค่อวบ ๆ กลม ๆ ตัวนิ่มไปหน่อยเท่านั้นเอง แต่ต่อไปผมคงต้องให้ลดอาหารพวกแป้งแล้วล่ะ เพราะกลัวว่าต่อไปถ้าน้ำหนักมากแล้วจะลดลำบาก

                   “จริงครับตุลย์ เป็นผู้ชายเราต้องร่างกายแข็งแรง ต้องมีกล้ามเนื้อที่ฟิต เราจะได้ปกป้องคนที่เรารักได้  ที่สำคัญคือถ้าหล่อแล้วจีบใครก็ติด เชื่อเอ่อ....เอ่อ ลุงภู ได้เลย” เสียงทุ้มของคุณภูดังขึ้นมา ผมได้ยินตั้งแต่ต้นแต่ทายประโยคเนี่ยทำไมต้องอึกอักด้วยครับ ไม่รู้จะเรียกแทนตัวเองว่าอะไร ไม่อยากเป็นลุงละสิ อยากจะหัวเราะดัง ๆ แต่ติดที่เกรงใจลุงภูกลัวรังสีอำมหิตจะแผ่ซ่านออกมาจากร่างสูง จึงได้แต่กลั้นหัวเราะเอาไว้ ส่วนคนอื่นไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย

                    “จริงเหรอครับลุงภู จีบใครก็ติดจริงเหรอ งั้นแค่ตุลย์ผอม หุ่นดี หล่อ ก็พอใช่ไหม” เสียงระริกระรี้พร้อมส่งสายตาอย่างมีความหวังไปหาคุณภู แล้วก็เลื่อนไปมองน้องฟ้าตอนสุดท้าย ทำเอาคุณภูมุมปากกระตุกกันเลยทีเดียว

                    “จีบผู้หญิงได้แน่นอน ผู้หญิงนะตุลย์ ผู้หญิง เข้าใจไหม” มีย้ำครับ ย้ำหลายรอบมาก

                    “ถ้าตุลย์หล่อนะ ทั้งหญิงทั้งชายตรึมเชื่อน้ากันต์”

                    “งั้นต่อไปนี้ตุลย์จะลดน้ำหนัก น้ากันต์ไม่ต้องทำกับข้าวให้อร่อยนะ เพราะถ้ามันอร่อยตุลย์จะอดใจกินเยอะเหมือนเดิมไม่ไหว เดี๋ยวไม่ลดสักที”

                    “เฮ้ยไอ้อ้วน น้าว่ามันไม่เกี่ยวกันล่ะ น้าทำกับข้าวอร่อยอยู่แล้ว ตุลย์นั่นแหล่ะต้องลดขนมขบเคี้ยวลง แป้งก็ต้องลดด้วยต่อไปกินแต่ผัก ผลไม้ โปรตีน ห้ามน้ำอัดลมด้วย”

                    “แง่ะ น้ำอัดลมก็ไม่ได้เหรอ นั่นของอร่อยเลยนะ” เริ่มเบะปากแล้ว เพราะรู้ว่าน้ำอัดลมทำให้อ้วน

                    “แน่สินั่นนะน้ำตาลทั้งนั้นนะ กินเข้าไปอ้วนแน่ เอายังไงจะลดอีกไหมน้ำหนักนะ” ผมขู่ตุลย์เล่น ๆ ไปงั้นแหล่ะครับ เพราะผมก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะเริ่มจำกัดอาหารแล้วเริ่มดูแลเรื่องโภชนาการให้ดีแล้ว ตอนเด็กตามใจมากไปหน่อย อวบซะขนาดนี้ แต่คงไม่สายเกินไปหรอกครับ เราต้องทำได้

                     เรานั่งคุยกันเรื่อยเปื่อยเพื่อย่อยอาหารไปในตัวด้วย ทางฝ่ายสองพ่อลูกตระกูลอุตตมโภคินก็นั่งหยอกกันเล่นกันไป คุณภูยกตัวน้องฟ้ามานั่งตักให้น้องฟ้านั่งพิงอกตัวเอง น้องก็ดูชอบนะครับที่ได้นั่งแบบนั้น แต่ถ้าให้ตุลย์มานั่งกับผมแบบนี้เห็นทีว่าผมคงต้องขาพิการชั่วคราวแน่

                    “แล้วเราจะไปเล่นที่ไหนต่อครับคุณพ่อ  เหลือบ้านยักษ์ เมืองหิมะ อ้อ ม้าหมุนก็ยังไม่ได้ขึ้นเลย เอ๊ะ!!! แต่เดี๋ยวมีขบวนพาเหรดนี่นา ฟ้าอยากดู เขาเดินกันกี่โมงครับ”

                    “อืม จำได้ว่าเดินช่วงบ่ายสี่โมงนะ มีเวลาพอที่จะไปบ้านยักษ์ก่อนแล้วค่อยไปดูพาเหรด หายเหนื่อยหรือยังล่ะ ใหเวลาอีก 10 นาทีแล้วเราไปบ้านยักษ์กันก่อนนะครับ” คุณภูก้มไปพูดกับน้องฟ้าที่เงยหน้าขึ้นไปถามรายการต่อไปที่จะไปเล่น

                    “ตุลย์จะไปบ้านยักษ์หรือเมืองหิมะ ฟ้าให้เลือก”

                    “ตามใจน้องฟ้าเลย วันนี้ให้น้องฟ้าเป็นคนที่ใหญ่ที่สุด ไปไหนก็ได้ที่น้องฟ้าอยากไป ตุลย์ไปได้หมด” ไอ้อ้วนของผมสปอร์ตไหมล่ะครับ ใจป๋ามาตามใจน้องฟ้าด้วย

                    “งั้นไปบ้านยักษ์ก่อนก็ได้ครับคุณพ่อ ป่ะฟ้าพร้อมแล้ว” ว่าแล้วเจ้าตัวก็กระโดดลงจากตักของคุณภู ผมเลยได้แต่จัดการเก็บกล่องพลาสติกที่ใส่อาหารลงตะกร้าตามเดิม ตอนนี้น้ำหนักหายไปหมดแล้วครับเพราะพวกเราจัดการเรียบไม่เหลือ

                    ตุลย์ก็ลงจากม้านั่งมายืนข้าง ๆ น้องฟ้า รอแล้วครับ ผมกับคุณภูจึงได้แต่ลุกตามเด็ก ๆ ออกมา ผมกำลังจะถือตะกร้าก็มีมือใหญ่ของร่างสูงยื่นเข้ามาแย่งไปถือเสียก่อน ผมเลยสบายไม่ต้องถือ แต่ก็ต้องแบบนั้นแหล่ะครับ ผมทำมาแล้วนี่นาถึงร่างสูงจะไม่รู้ว่าผมทำมาเผื่อทั้งสองคนก็เหอะ อย่างน้อยในนั้นมันก็มีส่วนของร่างสูงแหล่ะ เพราะงั้นถือไปเลย

                    “ไปกันเถอะตุลย์ คุณพ่อเดินเร็ว ๆ สิครับน้ากันต์ด้วย ไม่งั้นฟ้าจะทิ้งให้อยู่กันสองคนแล้วนะครับ”

                   “ไม่ต้องรีบก็ได้ครับน้องฟ้า เดี๋ยวจะล้มได้แผล” เสียงร้องท้วงออกไปคิดว่าลูกชายจะฟังเหรอครับ โน่นลากตุลย์เดินไปไกลแล้ว ไม่รอเราด้วย คุณภูจึงได้แต่ก้าวเท้าตามไปเร็ว ๆ นี่กลัวหลงกับลูกหรือกลัวอะไรเนี่ย

                    เดินมาทันเด็กทั้งสองคนที่หน้าประตูทางเข้า คุณภูฝากตะกร้าไว้ที่เคาน์เตอร์แล้วก็เดินตามเด็ก เข้าไปข้างใน เด็ก ๆ ดูจะตื่นเต้นกับบ้านยักษ์มากเลยครับ เพราะของใช้ทุกอย่างข้างในใหญ่โตมาก  วิ่งไปด้านโน้นด้านนี้ไมหยุดเลย เสียงเรียกคุณภูให้ไปเป็นตากล้องจำเป็นให้ด้วย

                    “น้องฟ้าครับใกล้ถึงเวลาขบวนพาเหรดแล้วนะ เราออกไปรอดูกันดีกว่า” เดินเล่นกันได้สักครึ่งชั่วโมง เสียงทุ้มของคุณภูก็ร้องเรียกขึ้นมา เพื่อเตือนว่าใกล้ได้เวลาที่จะมีการเดินชบวนพาเหรดตัวละครหรือตัวการ์ตูนกันแล้ว

                    “ครับคุณพ่อ ฟ้ารู้แล้วครับ เร็วตุลย์จะได้ไปดูขบวนกัน มีการแสดงด้วยนะ”

                    “อืม ไปกันเหอะ ตุลย์ก็อยากดูไม่เคยมาสวนสนุกครั้งนี้ครั้งแรก มีอะไรมั่งมีกัปตันอเมริกาป่ะ ฮัคล่ะมีไหม อ้อ แบทแมนด้วยนะ ตุลย์อยากเห็น” น้ำเสียงของหลานผมดูจะตื่นเต้นมากเลยที่จะได้เห็นเหล่าฮีโร่ที่เจ้าตัวเคยดูทางทีวี

                    “น่าจะมีนะ เดี๋ยวก็เห็นเองนั่นแหล่ะ ไป ๆ” น้องฟ้าคว้ามือของตุลย์แล้วเดินมาหาพวกเราที่ยืนรออยู่ คุณภูเดินเข้ามาจูงน้องฟ้าไปเดินข้าง ๆ ตัว ยังไม่เลิกหวงลูกชายอีกแหน่ะ ผมเลยหันไปจูงตุลย์บ้าง

                    เราเดินมาเรื่อย ๆ จนถึงบริเวณที่มีการเดินพาเหรดของบรรดาตัวการ์ตูนต่าง ๆ เมื่อได้เวลาชบวนทั้งหมดก็เริ่มเดินออกมาส่วนมาก็เป็นตัวการ์ตูนเจ้าหญิงเจ้าชายต่าง ๆ มีตัวตลกต่างๆ ด้วย เด็กทั้งสองทั้งยิ้มทั้งหัวเราะก็คงชอบกันแหล่ะครับ ใช้เวลาไม่นานการเดินพาเหรดก็จบลง พร้อมกับตอนนี้เย็นมากแล้วเราเลยตกลงกันว่าจะกลับกัน

                    เราปล่อยให้เด็ก ๆ เดินนำไปก่อนแต่ไม่ห่างกันมากนัก เด็กทั้งสองก็เดินไปหยอกกันไปวิ่งเล่นไปด้วย แต่คงจะวิ่งเร็วเกินไปหรืออะไรไม่รู้ทำให้น้องฟ้าสะดุดล้มลง ทำเอาผมตกใจรีบวิ่งไปดูทันที

                    “น้องฟ้า!!! เป็นอะไรมากไหมครับ เจ็บไหม ไหนลุกสิ ให้น้ากันต์ดูหน่อยว่ามีแผลถลอกตรงไหนหรือเปล่า” ผมอุ้มน้องฟ้าที่ล้มลงไป ข้าง ๆ เป็นตุลย์ที่ยืนหน้าจ๋อยอยู่ ใบหน้าเล็ก ๆ ของน้องฟ้ามีน้ำตาคลอเต็มสองตา

                    “โอ๋ ๆ ไม่เจ็บนะครับเดี๋ยวน้ากันต์ดูหน่อยนะ” ผมก้มลงมองน้องฟ้าที่อยู่ในอ้อมแขนเพื่อมองหาว่ามีแผลตรงไหนบ้าง





********************************************************************************************



ยังไม่ได้ตรวจคำผิดนะคะ  กลับมาจากต่างจังหวัดงานก็เข้าเลย

หัวหมุนกับแบบอยู่หลายวันกว่าจะเอาสมองทึบ ๆ 

มาปั่นนิยายต่อได้ก็สลบเกือบทุกวัน

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6

ออฟไลน์ nuttzier

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 476
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0

ออฟไลน์ มารน้อย เจ้าสำนัก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
 :katai4: :katai4: :katai4:

ที่หายไปเพราะงานประจำทำพิษค่ะ นี่เพิ่งฟื้นจากไมเกรนด้วย

ออฟไลน์ มารน้อย เจ้าสำนัก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ตอนที่ 15 ดูไปก็น่ารักดีนะคนข้างบ้านเนี่ย

 “น้องฟ้า!!! เป็นอะไรมากไหมครับ เจ็บไหม ไหนลุกสิ ให้น้ากันต์ดูหน่อยว่ามีแผลถลอกตรงไหนหรือเปล่า” ทันทีที่ผมเห็นลูกชายล้มลงเสียงของคนข้าง ๆ ก็ดังขึ้นพร้อมกับร่างโปร่งนั้นวิ่งไปหาน้องฟ้าทันที ซึ่งผมก็วิ่งตามไปด้วย

“โอ๋ ๆ ไม่เจ็บนะครับเดี๋ยวน้ากันต์ดูหน่อยนะ” น้ำเสียงแสดงความห่วงใยพร้อมกับท่าทางเหมือนจะเจ็บแทนน้องฟ้าทำให้ผมรีบเดินเข้าไปนั่งใกล้ ๆ ทั้งสองคน ก้มลงมองเห็นเพียงแต่ลูกชายน้ำตาซึมแต่ไม่ได้ร้องไห้ออกมา  ได้แต่มองดูร่างโปร่งของกันตพิชย์หยิบเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาชุบน้ำดื่มในขวด แล้วมือบางก็บรรจงแตะซับบริเวณแผลที่หัวเข่าของน้องฟ้า

“คุณภู อุ้มน้องฟ้าไปหาที่นั่งก่อนเดี๋ยวผมไปถามพนักงานแถวนี้เรื่องอุปกรณ์ทำแผล น้องฟ้ารอน้ากันต์แป๊บเดียวนะครับเดี๋ยวน้ากันต์มานะ อย่าร้องนะครับ ไม่เจ็บหรอกนะ ลูกผู้ชายต้องเข้มแข็ง อย่าเสียน้ำตาง่าย ๆ กับเรื่องหกล้ม เก่งมากคนดี”  กันติพิชย์หันมาบอกผมพร้อม แล้วก็หันหน้าหนีไปทันทีที่สั่งงานผมเสร็จ จากนั้นจึงปลอบน้องฟ้าโดยมือบาง ๆ ลูบศรีษะน้องฟ้าอย่างปลอบโยน

แล้วร่างของกันตพิชย์ก็ลุกขึ้นยืนเดินไปตามทางที่มีพนักงานของสวนสนุกอยู่บริเวณนั้น ผมเลยได้แต่อุ้มน้องฟ้ามองหาที่นั่งพักเพื่อรอชายหนุ่ม อ้อ ยังมีเด็กอ้วนตุลย์เดินตามมาไม่ห่าง แววตาดูจะเป็นห่วงน้องฟ้ามากเหมือนกัน

รอไม่เกิน 10 นาที กันตพิชย์ก็เดินกลับมาพร้อมอุปกรณ์ทำแผลในมือ ผมได้แต่มองมือเรียวของอีกคนทำความสะอาดแผลที่หัวเข่าของน้องฟ้าที่นั่งอยู่บนตักผม

“แสบไหมครับน้ากันต์ น้องฟ้าเคยโดนมันแสบมากอ่ะ” เสียงน้องฟ้าสั่น เหมือนจะกลัวว่ามันจะแสบ

“ไม่หรอกครับ นี่น้ากันต์เอามาแต่อันที่ไม่แสบ เย็น ๆ เอง คนเก่งอย่างน้องฟ้าไม่ต้องกลัวเลยเนอะ”

“แน่นะครับถ้าแสบเนี่ยน้องฟ้าโกรธแล้วร้องไห้จริง ๆ ด้วยนะครับ” โอ ขู่จะร้องด้วยครับลูกผม

“ไม่แสบหรอกน้องฟ้าต้องอดทนสิครับ พ่อบอกแล้วว่าอย่าวิ่งนี่นา แล้วเป็นยังไง ซนดีนัก ไม่รู้จะรีบร้อนอะไรนักหนา เลยได้แผลเห็นไหมนี่ แล้วทีงี้ต้องกลับบ้านเลยนะไม่ต้องไปเล่นอย่างอื่นแล้ว เข้าใจไหมครับ” ผมได้แต่กอดปลอบเจ้าตัวเล็กที่นั่งอยู่บนตัก พร้อมโยกตัวเบา ๆ

นั่งมองดูกันตพิชย์ใส่ยาที่แผลพลางเป่าลมไปด้วย ขั้นตอนสุดท้ายคือปิดพลาเตอร์ยาลายการ์ตูนให้น้องฟ้า ลูกผมก็เก่งนะ นี่แค่นั่งน้ำตาคลอ ถ้าเป็นเมื่อก่อนนะร้องไห้ออกไปแล้ว

“อ่ะ เสร็จแล้วครับ ไหนลองลุกซิคนเก่งเดินไหวไหม แต่น้องฟ้าเก่งออกเดินแค่นี้สบายมากเนอะ ตุลย์นะล้มบ่อยเพราะซนแล้วก็ไม่อยู่นิ่ง ๆ ได้แผลมาบ่อย แผลแบบนี้ไม่กี่วันก็หาย”

“ตุลย์มีแผลบ่อยเหรอ ฟ้าไม่ค่อยมีเพราะคุณพ่อไม่ชอบให้เล่นอะไรโลดโผนอันตราย คงเพราะกลัวฟ้าเจ็บแบบนี้แหล่ะ” น้องฟ้าหันไปทางเด็กตุลย์ เด็กนั่นก็มองน้องฟ้าอยู่ก่อนแล้ว

“อืม บ่อยมากกกกกก แต่ตุลย์ไม่เจ็บหรอก แค่นี้เด็ก ๆ เคยตกต้นมะม่วงที่บ้านด้วยนะ ตอนนั้นกระดูกร้าวจนต้องดามไว้เลยล่ะ แต่ตอนนี้หายแล้ว ลูกผู้ชายมันต้องมีแผลบ้างจะได้แข็งแกร่ง เชื่อตุลย์สิ” แหม ลากเสียงซะยาวเลยนะ แล้วยังมีหน้ามาภูมิใจกับการตกต้นไม้ของตัวเองอีก

“เกินไปไอ้อ้วน ตกต้นมะม่วงสูงแค่อกทำมาคุยโว ตอนนั้นน้ากันต์เห็นร้องจะเป็นจะตาย ทีงี้มามีหน้าบอกว่าไม่เจ็บ ลูกผู้ชายแบบตุลย์ต้องมีแผล ฮ่า ฮ่า ฮ่า” กันตพิชย์เบรคหลานชายเสียหน้าคะมำเลย

“โธ่ น้ากันต์อ่ะ ให้ตุลย์เป็นพระเอกบ้างสิ จะเอาเรื่องจริงมาเผาทำไมอายน้องฟ้า” เสียงกระเง้ากระงอดของหลานชายตัวอ้วนส่งผลให้กันตพิชย์และน้องฟ้า หัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน ได้เห็นลูกผมยิ้มได้ หัวเราะได้ผมก็เริ่มจะคลายความเครียดลงไปได้แล้ว ไม่อะไรหรอกครับ น้องฟ้าไม่ค่อยได้แผลเท่าไร เพราะผมเลี้ยงไม่ให้น้องฟ้าเล่นอะไรที่ดูอันตรายแต่เหมือนจะมีคนที่รับมือได้ดีในเรื่องแบบนี้

กันตพิชย์หันมายิ้มพลางยักคิ้วทำนองว่าเรื่องแค่นี้ผมจัดการได้ โอเค ๆ นายจัดการได้ก็ดีแล้ว ต่อไปเราควรกลับบ้านกันดีกว่า เลิกเล่นมันล่ะเครื่องเล่นพวกนี้

“พ่อว่าเรากลับบ้านกันดีกว่านะ เดี๋ยวรถติดจะค่ำเสียปล่าว ๆ  อ้อ ขอบใจนายด้วยที่ทำแผลให้น้องฟ้า” ผมชวนลูกชายกลับบ้านแล้วจึงหันไปทางชายหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่ด้วยพร้อมทั้งบอกขอบใจออกไปในสิ่งที่ชายหนุ่มทำให้กับลูกชายผม

“งั้นเราก็กลับกันบ้างเนอะตุลย์เนอะ ไปหาอะไรอร่อย ๆ ทานกันดีกว่า ตอนขามาน้ากันต์เห็นร้านข้าวน่าทานหลายร้านเลยเราแวะก่อนกลับแล้วกัน เพราะน้าเหนื่อยไม่อยากทำกับข้าวแล้ว”

“น้ากันต์ไปทานข้าวกับน้องฟ้าที่บ้านก็ได้นี่ครับ เดี๋ยวให้คุณพ่อโทรไปบอกให้ทำกับข้าวเพิ่ม ได้ไหมครับคุณพ่อให้น้ากันต์กับตุลย์ไปทานข้าวกับเราที่บ้านนะครับ ฟ้าอยากทานข้าวกันหลาย ๆ คน” น้องฟ้าหันหน้ามาชวนกันตพิชย์ไปทานข้าวด้วยทายประโยคหันมาพูดกับผมแล้วทำตาอ้อน ๆ เห็นอย่างนี้ใครมันจะไปกล้าขัดใจลูกได้ล่ะครับ

“ถามเขาก่อนว่าเขาอยากทานข้าวกับเราหรือเปล่านะน้องฟ้า เผื่อน้ากันต์กับตุลย์อยากทานที่อื่นก็ได้นี่ครับ” ผมเอ่ยบอกน้องฟ้า

“อืม .... น้ากันต์เห็นร้านอาหารน่านั่งบรรยากาศดีร้านนึงตอนผ่านมา เอาอย่างนี้แล้วกันเราทานกันที่ร้านดีไหม จะได้เปลี่ยนบรรยากาศในการทานข้าวกันมั่งเผื่อน้องฟ้าจะทานได้เยอะ ๆ เนอะ ดีไหม”

สุดท้ายเราก็ตกลงกันจะไปทานอาหารที่ร้านอาหารกันเพราะไม่มีใครอยากยุ่งยากและกว่าจะถึงบ้านอีกคงค่ำกลัวว่าเด็ก ๆ จะหิวกัน โดยผมให้กันตพิชย์ขับรถนำไปก่อนแล้วผมขับตามซึ่งน้องฟ้าขอตามไปนั่งคันข้างหน้าซึ่งผมก็อนุญาติไปเพียงแค่เห็นสายตาอ้อนของลูกชาย เฮ้อ ผมว่าผมแพ้ทางน้องฟ้าเข้าเต็ม ๆ เลยล่ะ

ผมขับรถตามหลังมาห่าง ๆ จนถึงร้านอาหารที่กันตพิชย์เลี้ยวรถเข้าไป ทั้งสามคนลงมายืนรออยู่ข้างรถ  น้องฟ้ากวักมือเรียกผมให้เดินเข้าไปหาไว ๆ

เมื่อผมกำลังเดินไปจะที่ที่ทั้งสามคนยืนอยู่ กันตพิชย์ก็หันหลังเดินนำผมไปทันทีโดยที่ไม่รอผมเด็ก ก็เลยต้องเดินตามไปด้วย โดยทิ้งผมให้เดินตามหลังไปคนเดียว ในเมื่อไม่ยอมหยุดรอกันเลย ผมได้แต่มองแผ่นหลังของร่างโปร่งแต่ไม่บอบบาง ร่างนั้นสูงเกินกว่าจะเรียกว่าผอมบางได้ ดูมีกล้ามเนื้อพอประมาณเหมือนกับคนที่ออกกำลังกายอยู่บ้างแต่คงไม่ออกทุกวันอย่างผมเท่านั้นเอง

ผมก้าวเท้าให้ไวเพื่อจะได้ทันทั้งสามคนข้างหน้า แต่ยังไม่ทันพนักงานก็เดินมาพาทั้งสามคนไปที๋โต๊ะว่าง ผมได้แต่ถอนหายใจแล้วจำใจเดินตามไปนั่งที่โต๊ะด้วย เมื่อไปถึงเด็ก ๆ เริ่มต้นสั่งอาหารกันแล้ว

“คุณจะทานอะไรก็สั่งเลยครับผมสั่งให้เด็กไปหมดแล้ว” หันมาบอกผมจบก็ไม่สนใจผมอีกเลยกลับกันหันไปคุยกับเด็ก ๆ เสียนี ผมเลยต้องหันมาถามพนักงานว่าสั่งอะไรไปบ้าง เมื่อได้คำตอบแล้วจึงสั่งเพิ่มไปสองอย่างเป็นอาหารที่รสกลาง ๆ ไม่เผ็ดไม่จัดมาก เพราะเด็ก ๆ อาจจะลองทานด้วย

เสียงหัวเราะดังขึ้นในกลุ่มของทั้งสามคน จนตอนนี้ผมจะรวมว่ามีเด็กสามคนอยู่แล้ว เหมือนผมเป็นส่วนเกินยังไงยังงั้นเลย หันมาหาพ่อบ้างสิน้องฟ้าอย่าปล่อยให้พ่อเหงาคนเดียวสิ ผมเลยนั่งกอดอกมองทั้งสามคนด้วยสีหน้าเรียบเฉย จนเหมือนน้องฟ้าจะสังเกตเห็นเลยหันมายิ้มพลางเกาะแขนผม

“คุณพ่อหิวหรอครับทำไมทำหน้ายุ่งอย่างนั้น เดี๋ยวอาหารก็มาแล้วอดทนอีกนิดนะ” เสียงน้องฟ้าถามออกมาทำให้ผมต้องก้มมองลูกชายตัวน้อย

กันตพิชย์เมื่อได้ยินเสียงน้องฟ้าจึงหันมามองทางผมบ้าง ใบหน้านั้นยกยิ้มนิด ๆ เหมือนจะรู้ว่าผมหน้าบึ้งเพราะอะไรเลยส่งสายตาเยาะเย้ยมาให้ หนอย...กล้าส่งสายตาแบบนี้มาให้ผมเดี๋ยวเหอะ

“พ่อยังไม่หิวหรอก แต่น้องฟ้าไม่คุยกับพ่อเลยนี่ครับลืมว่าพ่อยังนั่งอยู่ตรงนี้แน่เลย” บ่นสักหน่อยเรียกร้องความสนใจจากลูกชายเผื่อว่าชายหนุ่มตรงหน้าจะได้หยุดหัวเราะเยาะผมในดวงตานั้นเสียที

“อ้อ ที่แท้คุณก็งอนที่ลูกไม่สนใจนี่เอง ทีหลังบอกก็ได้ นี่อะไรเล่นนั่งกอดอกหน้าบึ้งใครจะไปรู้ว่าต้องการอะไร เอ้าน้องฟ้าก็คุยกับคุณพ่อก่อนแล้วกันเดี๋ยวจะทานข้าวไม่ลงกันเปล่า ๆ”

“ฉันไม่ได้งอน แค่ถามน้องฟ้าเฉย ๆ นายก็ดูหลานนายไปดี ๆ แล้วกัน” ผมตอบเสียงขุ่น ๆ กลับไป แม้ว่าจะเห็นข้อดีของชายหนุ่มมาแล้วหลายข้อ แต่ในบางครั้งมันก็ขัดใจไปบ้างเพราะว่าทั้งสองคนมาป้วนเปี้ยนใกล้ ๆ น้องฟ้าตลอดเวลา

“อารมณ์แปรปรวนจริงเลยคุณนี่ วัยทองรึไง เรามาเที่ยวกันนะครับ ทำตัวให้มันสนุกหน่อย คลายเครียดนะรู้จักไหม นี่อะไรจะทำหน้าเครียด หน้าบึ้งตึงได้ตลอดเวลา เดี๋ยวคนอื่นเขาก็ไม่กล้าเข้าใกล้พอดี” เสียงต่อปากต่อคำอย่างไม่ลดละทำให้ผมกัดฟันเบา ๆ

“ไม่เข้าใกล้ก็ดีแล้ว ฉันก็ไม่ได้อยากจะให้มีคนอื่นเข้ามารบกวนเวลาเที่ยวของครอบครัวฉันสักเท่าไรหรอก แต่มีบางคนหรือบางครอบครัวที่ทำยังไงก็ไม่ไปสักที หาเรื่องเข้ามาอยู่ได้”

“อ้าว ๆ คุณภูพูดงี้หมายความว่าไงครับ เนี่ยน้องฟ้าชวนทั้งนั้นนะ ผมไม่ได้ขอตามพวกคุณมาสักหน่อย รู้งี้ปล่อยให้เที่ยวกันแบบเงียบ ๆ กันสองคนพ่อลูกก็ดี น้องฟ้าจะได้ทำหน้าเหงา ๆ เพราะพ่อไม่ยอมยิ้มด้วย ชิส์” เสียงกันตพิชย์บ่นออกมายาวเหยียดทั้งยังเรียกร้องเอาบุญคุณกันอีก

นึกไปแล้วก็จริงนะครับถ้าครอบครัวนี้ไม่มา มีหวังน้องฟ้าของผมเที่ยวแบบเหงา ๆ แน่เลย เพราะผมก็ไม่ค่อยได้ชอบเที่ยวแบบนี้เท่าไร วันนี้ได้เห็นลูกชายหัวเราะ ยิ้มอย่างร่าเริง ผมก็ดีใจอยู่ลึก ๆ เหมือนกัน แต่เพราะบางครั้งชายหนุ่มก็หันมากวนอารมณ์ผมเป็นระยะเหมือนจะมาแหย่ให้ผมอารมณ์เสียอยู่เรื่อย ๆ

อาหารยกมาบทสนทนาจึงเงียบลงอีกครั้ง จากนั้นจึงมีแต่เสียงช้อนกระทบจาน  น้องฟ้าทานอาหารได้มากพอสมควร ปกติน้องฟ้าจะไม่ทานมากขนาดนี้ เห็นลูกทานได้เยอะคนเป็นพ่อแบบผมก็ดีใจไปด้วย แต่ที่ทานเยอะกว่าน้องฟ้าก็เด็กตุลย์นั่นไง ตอนนี้เติมข้าวไปจานที่สองแล้วจะทานอะไรนักหนา นี่จะอ้วนอยู่แล้ว

ผมตักอาหารที่น้องฟ้าชอบทานให้เรื่อย ๆ แต่มีบางจังหวะที่ช้อนผมเกือบชนกับช้อนที่ชายหนุ่มอีกคนตักอาหารยื่นมาส่งที่จานน้องฟ้า จังหวะนั้นเองผมได้จ้องหน้าของกันตพิชย์แต่อีกฝ่ายก็แค่ยิ้มแล้ววางอาหารที่ตักให้น้องฟ้าเท่านั้น การทานอาหารมื้อนั้นจึงดำเนินไปอย่างค่อนข้างสงบ

บางครั้งผมก็รู้สึกว่าชายหนุ่มตรงหน้าเป็นชายหนุ่มที่ค่อนข้างใจเย็น แต่บางครั้งที่กันตพิชย์เปิดปากเถียงผมในเรื่องบางเรื่องก็ทำให้รู้ว่าในความใจเย็นก็มีความปากไวกัดจิกออกมาเหมือนกัน  คงเป็นคนไม่ยอมคนบ้างแต่ก็อาจจะแค่บางเรื่องหรือกับเพียงแค่บางคนเท่านั้น หรืออาจจะเพราะว่ากิริยาบางอย่างต้องแสดงต่อหน้าหลานชาย ทุกอย่างที่พูดหรือทำเลยต้องไม่โวยวายเกินไปเพื่อไม่ให้หลานได้เห็นแล้วจำไปเพื่อทำตามก็ได้

“น้ากันต์ตุลย์อยากกินไอติมตบท้ายได้ไหม” เสียงหลานชายตัวอวบ ๆ เอ่ยปากขอไอศกรีมเป็นของหวานลำดับสุดท้าย

“ยังจะกินอีกหรอ ข้าวก็ตั้งสองจานแล้วนะตุลย์อย่างนี้ไม่อ้วนจะไปเหลือเรอะ แล้วเรารับปากน้าว่ายังไงจากนี้ไปจะลดอาหาร ออกกำลังกายไม่ใช่รึไง นี่ถามหาไอติมซะแล้ว” เสียงกันตพิชย์บ่นออกมาแล้วส่ายหน้าเล็ก ๆ ให้กับการทานที่เหมือนกับว่าท้องเล็ก ๆ นั้นเป็นหลุมดำ

“น่า นะ น้ากันต์ ก้อนเดียวก็ได้ ไม่ได้กินของหวานแล้วมันเหมือนกินไม่จบครอส” นั่นมีประท้วงไม่จบครอสการทานด้วย ไปรู้มาจากไหนเนี่ย

“ได้ งั้นก้อนเดียวพอ แล้วจากพรุ่งนี้ไปน้าจะลดอาหาร เข้าใจไหม”

“น้องฟ้าจะทานด้วยไหมลูก เดี๋ยวพ่อสั่งให้เอาก้อนเดียวพอเนอะ เดี๋ยวนอนไม่หลับถ้าอิ่มมากไป”

“ครับ งั้นฟ้าเอาวนิลานะบีบวิปครีมมาด้วยครับ”

“โอเค ได้ครับ เดี๋ยวพ่อสั่งให้” พร้อมกับเรียกพนักงานเข้ามาสั่งไอศกรีมสำหรับเด็กทั้งสองคน

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยผมก็จ่ายค่าอาหารเด็กทั้งสองอิ่มจากไอศกรีมกันแล้วก็พากันคุยกันเล่นเบา ๆ ส่วนผมก็นั่งย่อยอาหารมองบรรยากาศของร้านที่ร่มรื่น ลมเย็นสบาย ผมไม่ค่อยได้พาน้องฟ้าออกมาทานอาหารนอกบ้านบ่อยนักหรอกครับ เนื่องด้วยหน้าที่การงานที่ส่วนมากกว่าจะกลับมาถึงบ้านน้องฟ้าก็เข้านอนไปแล้ว น้อยมากที่จะกลับมาทันทานอาหารเย็นกับลูกชาย

ต่อไปผมคงต้องหาเวลาพาลูกมาทานข้าวนอกบ้านบ่อย ๆ เสียแล้ว เพราะจากการสังเกตของผมน้องฟ้าทานข้าวได้มากกว่าที่ทานที่บ้านเสียอีก คงเพราะการเปลี่ยนบรรยากาศทำให้เจริญอาหารก็ได้

ส่วนกันตพิชย์ก็นั่งท้าวคางมองเด็กสองคนคุยกันหนุงหนิง โดยที่เด็กตุลย์จะส่งเสียงดังกว่าน้องฟ้าเล็กน้อย แล้วทั้งสองคนก็หัวเราะกัน ส่วนชายหนุ่มที่นั่งมองก็ได้แค่ยิ้มบาง ๆ ออกมา

“กลับกันดีกว่าครับนี่ก็ดึกแล้ว วันนี้น้องฟ้าเหนื่อยแล้วจะได้กลับไปพักผ่อน ไปตุลย์ลุกได้แล้วเดี๋ยวจะนั่งหลับอยู่ที่ร้านอาหารอีก” เสียงของกันตพิชย์เอ่ยออกมาทำให้ผมหลุดจากภวังค์ความคิดบางอย่าง

ผมลุกขึ้นพลางจูงมือน้องฟ้าเดินมาสองน้าหลานก็เดินออกมาด้วยเหมือนกัน เมื่อมาถึงรถที่จอดอยู่ผมจึงเปิดประตูให้น้องฟ้าเข้าไปนั่งข้างในลัวหันกลับมามองสองน้าหลานที่กำลังจะเปิดประตูรถ

“เดี๋ยวนายขับนำไปก่อนเลยฉันจะขับตามไป แต่อย่าขับไวนักล่ะ เผื่อรถติดแล้วฉันตามไม่ทัน”ผมหันไปบอกกันตพิชย์ว่าให้ขับรถนำไปก่อนแล้วผมจะขับตามไป

“ขับตามทำไมครับคุณก็ขับส่วนของคุณไป ผมก็ขับของผม จะมาขับตามกันให้เสียเวลาทำไมเนี่ย ต่างคนต่างขับก็ดีอยู่แล้วจะได้ไม่ต้องพะวงหน้าพะวงหลัง” เสียงบ่นอย่างหงุดหงิดดังออกมาจากปากบางนั้น

“ฉันบอกยังไงก็ทำตามเถอะน่า อย่างน้อยจะได้ดูว่าขับดี ปลอดภัยหรือเปล่า เกิดฉันขับไปก่อนแล้วนายตามหลังเกิดอะไรขึ้นมาไม่มีคนคอยดูจะลำบากเปล่า ๆ อย่าดื้อนักบอกให้ทำก็ทำสิ“ ผมยังบอกให้ชายหนุ่มทำตามความต้องการของผมอยู่ นี่จะดื้อไปไหนเนี่ยก็แค่ให้ขับรถช้า ๆ นำไปก่อนเท่านั้นเอง

“ยุ่งยากชะมัด ผมก็ขับรถระวังมาตั้งนานแล้วยังไม่เคยขับไวจนเกิดอุบัติเหตุเลยสักครั้ง” ยังไม่หยุดอีกจนผมเริ่มจะหน้าตึงขึ้นมาแล้วได้แต่ส่งสายตาขึงขังจ้องตากับกันตพิชย์ เราจ้องตากันได้สักครู่ จนอีกฝ่ายถอนหายใจออกมาเบา ๆ

“ก็ได้ ๆ ขับตามให้ทันก็แล้วกันบอกอะไรไม่เคยฟังกันเลยคนอะไรวะ” เสียงบ่นเบา ๆ จากปากที่ขมุบขมิบจับใจความได้นิดหน่อยว่าจะทำตามซึ่งก็ทำให้ผมพอใจอยู่บ้าง

รถคันหน้าเคลื่อนออกจากร้านอาหารไปแล้วผมจึงขับตามไปติด ๆ  หันมามองก็พอกับลูกชายที่นั่งคอพับคออ่อนเสียแล้วคงจะหมดแรงแน่เลย ก็วิ่งเล่นกันทั้งวันนี่คงเพลีย ทั้งแดดก็ร้อนด้วย ผมเลยจอดข้างทาง เพื่อปรับเบาะให้น้องฟ้าได้นอนถนัด ๆ แล้วเอื้อมมือไปหยิบผ้าห่มผืนเล็กที่เบาะหลังมาห่มให้แล้วออกรถเพื่อขับตามคันหน้าไป

ใช้เวลากว่าชั่วโมงเราจึงมาถึงบ้าน รถคันหน้าขับเลี้ยวมาจอดหน้าบ้านเพื่อที่กันจพิชย์จะได้ลงไปเปิดประตูบ้าน ผมก็ชะลอรถจอดอยู่ด้านท้าย พร้อมกดกระจกลง เมื่อเปิดประตูบ้านแล้วชายหนุ่มก็เดินไว ๆ มาที่รถตัวเองเพื่อที่จะขับเข้าบ้าน แต่ก่อนเข้าบ้านก็หันมามองหน้าผม

“วันนี้ผมกับตุลย์สนุกมาก แล้วก็ขอบคุณที่เลี้ยงข้าวเย็น  หลับฝันดีนะครับคุณภู” จบเสียงนั้นร่างตรงหน้าก็เปิดประตูรถเข้าไปพร้อมขับเข้าบ้านไปทันที ทิ้งให้ผมมองตาม จำได้แต่คำว่า ...หลับฝันดีนะครับคุณภู.....  ดังก้องอยู่ในใจ



************************************************************************



ที่หายไปเพราะงานกับป่วยนะคะ ไม่ได้จะทิ้งไปไหนนานเลย คิดถึงทุกคนเหมือนกัน ^_^

 :mew2: :mew2: :mew2:

ฝากเพจด้วยนะคะ  https://www.facebook.com/YAOI.rak/?fref=nf @มารน้อยเจ้าสำนัก

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
มองไปมองมาจะได้ทั้งแม่และเมียนะคะคุณภู เอาใจช่วยคนเขียนนะคะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด