ต่างขั้ว - THE CONTRAST (จบแล้ว)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ต่างขั้ว - THE CONTRAST (จบแล้ว)  (อ่าน 72242 ครั้ง)

ออฟไลน์ แยมส้มขมคอ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-2
ต่างขั้ว - THE CONTRAST (จบแล้ว)
« เมื่อ24-06-2016 17:21:19 »

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



************************************************************************************************************
The Contrast


จู่ๆ 'เตชัส' ก็หายไปจากชีวิตของ 'ติณ' เป็นสิบปีโดยไม่มีคำลา

และกลับมาอีกทีตอนที่ติณมีอาชีพเป็นนักข่าว และเตชัสเองเป็นถึงนักแสดงในค่ายหนังดัง   

#เตติณ

WARNING : ANGST CONTENT

นิยายเรื่องนี้มีเนื้อหาดราม่า หดหู่

ผู้ที่รู้สึกซึมเศร้า หรือคาดว่าจะได้รับผลกระทบทางอารมณ์อย่างมาก

ให้หลีกเลี่ยงนิยายเรื่องนี้นะคะ ขอบคุณค่ะ

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-03-2020 15:32:01 โดย แยมส้มขมคอ »

ออฟไลน์ แยมส้มขมคอ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-2
Re: THE CONTRAST --- Chapter1 "Hello, Goodbye"
«ตอบ #1 เมื่อ24-06-2016 17:23:34 »

WARNING : ANGST CONTENT

นิยายเรื่องนี้มีเนื้อหาดราม่า หดหู่

ผู้ที่รู้สึกซึมเศร้า หรือคาดว่าจะได้รับผลกระทบทางอารมณ์อย่างมาก

ให้หลีกเลี่ยงนิยายเรื่องนี้นะคะ ขอบคุณค่ะ


1.   Hello, Goodbye.

“รู้มั้ยว่าก่อนจอห์น เลนนอนจะตายวันนึงน่ะ มีนักดนตรีพังก์คนหนึ่งฆ่าตัวตาย”

“เหอะ มีด้วยเหรอวะ”

“ไม่แปลกที่มึงพูดแบบนั้น” มันว่าพลางอัดควันบุหรี่เข้าปอด “แต่ได้ยินคนพูดแบบนี้ทีไรกูเศร้าพิลึก”

“ทำไมวะ”

“ก็ไอ้นักดนตรีคนนั้นน่ะ อ่า...มันชื่อดาร์บี้ แครช วางแผนฆ่าตัวตายเพื่อเป้าหมายเดียว”

“คือ?”

“เพื่อจะได้เป็นตำนานไง เหมือนอย่างราชามือกีตาร์ที่ตายตั้งแต่อายุยังน้อยแบบจิมมี่ เฮนดริกซ์ เออ เคิร์ท โคเบนก็ด้วย พวกศิลปินตำนานก็ตายตั้งแต่อายุน้อยทั้งนั้น เพราะงั้นดาร์บี้ แครชเนี่ย ก็เลยฟอร์มวง ทำดนตรี ออกอัลบั้มดีๆ สักอัลบั้ม แล้วก็ฆ่าตัวตาย เป็นการวางแผนมาแต่แรก”

“ก็หมายความว่ากะจะเป็นตำนาน...ด้วยการปลิดชีวิตตัวเองเนี่ยนะ”

“ใช่” มันยิ้มเศร้า “แต่วันรุ่งขึ้น จอห์น เลนนอน ก็ถูกยิงตาย”

“ข่าวก็เลยถูกกลบไปหมดอะดิ โคตรน่าสงสาร”

“อือ กูก็ว่างั้น” ชายหนุ่มตอบ พลางอัดบุหรี่เข้าปอดอีกครั้งและพร่างพรูมันออกมา ลอยไปในอากาศเบื้องบน มองควันเหล่านั้นสักพักก่อนหันมาพูดด้วยแววตาอ่านยาก “กูจะไม่เป็นอย่างดาร์บี้ แครช”





ทุกครั้งที่ได้ยินเพลงของ The Beatles ผมมักนึกถึงบทสนทนาระหว่างผมกับเตชัส เป็นบทสนทนาในปิดเทอมฤดูร้อนหลังผมจบ ม.ปลายปีแรก ขณะที่เตชัสจบ ม.6 และยังไม่คิดจะเรียนต่อมหาวิทยาลัย

ไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นบทสนทนานี้ ทั้งที่ความทรงจำระหว่างผมกับเตชัสก็มีมากมาย มันเป็นเพื่อนบ้านที่ย้ายมาตอนผมอยู่ ป.4 และถึงมันจะแก่กว่าผมสองปี แต่เราก็ทำตัวเหมือนอายุเท่ากัน เล่นด้วยกัน เที่ยวด้วยกัน ตอนอยู่โรงเรียนเวลาพักก็อยู่ด้วยกัน เรียกว่าสนิทกว่าเพื่อนวัยเดียวกันด้วยซ้ำ

แต่หลังจากเตชัสจบ ม.6 มันก็ย้ายบ้านไป และติดต่อไม่ได้อีก

ผมไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกที่เหมือนถูกหักหลังและทิ้งไว้ข้างหลังยังไง ไม่เข้าใจเหตุผลของเตชัส ไม่เข้าใจที่มันไม่ยอมบอกอะไรเลย

สิ่งที่เตชัสบอกผมเป็นครั้งสุดท้ายมีเพียงเรื่องราวของดาร์บี้ แครช

แต่คงเพราะแบบนั้นล่ะมั้ง ที่ทำให้บทสนทนาเหล่านั้นติดในใจ และล่องลอยอยู่ในบทเพลงของ The Beatles ที่เตชัสชอบฟัง



I say hello, hello, hello.

I don't know why

you say goodbye,

I say hello.



ท่อนสุดท้ายจบลง ถึงเวลาไปทำงานสักที








“ท่านคิดยังไงเกี่ยวกับการออกมาตอบโต้ของท่านรองนายกรัฐมนตรีครับ” ผมจ่อไมค์ที่ติดสัญลักษณ์ของช่องโทรทัศน์ที่ผมสังกัดอยู่ไปตรงหน้ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่กำลังถูกรุมจากสื่อมวลชนจำนวนมาก ซึ่งการจะแย่งชิงให้ได้สัมภาษณ์และคำตอบมาไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นเมื่อโอกาสมาถึงตัวก็ต้องรีบคว้าไว้ และข้อควรระวังคือห้ามถามคำถามโง่ๆ

ถึงจะไม่มีสิ่งยืนยันว่าคำถามที่ดีจะทำให้ได้คำตอบก็ตาม

ผู้ติดตามของรัฐมนตรีกันสื่อมวลชนรวมทั้งผมไม่ให้เข้าถึงตัว หลังมีท่าทีอึกอักกับคำถามก่อนจะแหวกทางออกเพื่อหนีจากวงล้อมของนักข่าว ซึ่งนักข่าวส่วนใหญ่ก็ไม่ลดละ วิ่งตามไปจนรัฐมนตรีขึ้นรถยนต์ส่วนตัว ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ถึงจะรู้ว่าไม่ได้คำตอบแล้ว แต่ก็ทำไปตามธรรมเนียมเพราะตากล้องยังตามอัดภาพไว้อยู่ จนเมื่อรถแล่นออกไป ผมจึงเริ่มทำหน้าที่ต่อ

“จากการสอบถามความคิดเห็นท่านรัฐมนตรีกระทรวงการคลังในการออกมาตอบโต้ต่อข่าวความขัดแย้งทางเศรษฐกิจนั้น ท่านรัฐมนตรีไม่ได้ตอบคำถามแต่อย่างใด แต่ท่าทีอึกอักและสีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีนักทำให้อาจเป็นไปได้ว่าท่านรัฐมนตรีการคลังไม่เห็นด้วยสักเท่าไหร่กับการตอบโต้ที่รุนแรงที่เกิดขึ้น ก็คงต้องติดตามกันต่อไปว่าทีมเศรษฐกิจจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร เอกชัย เที่ยงธรรม ถ่ายภาพ ติณ กลิ่นสุคนธ์ รายงาน”

พูดจบ ผมยังอยู่นิ่งแบบนั้นสักพักเพื่อความสะดวกในการตัดต่อ

“โอเค ติณ พอละ” พี่เอก ตากล้องบอกกับผม เป็นการย้ำว่าจบหน้าที่ในวันนี้ “ขนาดเขาไม่พูดอะไรสักคำมึงยังรายงานได้เป็นฉาก จะเทพไปไหน”

“ผมก็แค่ตีความจากภาษากายน่าพี่”

“แต่เป็นกูคงเคว้งอะ ไอ้เหี้ยทำไงวะ แม่งไม่ตอบ ชีวิตจบ ฮ่าๆ” พี่เอกหัวเราะขณะเดินนำกลับไปที่รถตู้ของสถานี

“กลับไปโดนไล่ออกอะ”

“เออ เป็นนักข่าวแม่งก็เสี่ยงเยอะ กูเป็นตากล้องนี่แหละสบายละ”

“ผมว่าไม่สบายตรงแบกกล้องนี่แหละ” ผมออกความเห็นตอนที่พี่เปรมยกกล้องขึ้นเก็บหลังรถ

“ก็หนักแค่กายล่ะวะ” พี่เอกพูดโดยไม่หันมามอง “แล้วมึงไม่คิดไปเป็นนักข่าวสายอื่นบ้างเหรอวะ”

“เหอะ ขี้เกียจอะ”

“เออ ตอนนี้ก็เป็นมือหนึ่งอยู่แล้วนี่”

“มือหนึ่งอะไรพี่ เขาก็เรียกกันไปอย่างนั้น”

“ไม่ต้องถ่อมตัวน่า เบื่อจริงๆ” พี่เอกยิ้ม ตบบ่าผมดังป้าบก่อนจะนำขึ้นรถไปก่อน

ก็จริงที่ว่าชื่อของผมเป็นที่รู้จักในฐานะผู้สื่อข่าวภาคสนาม และผมค่อนข้างพอใจกับหน้าที่การงานตอนนี้ แต่ก็เป็นนิสัยตั้งแต่ไหนแต่ไรที่ไม่ค่อยชอบให้ใครมายกยอปอปั้นสักเท่าไหร่ เพราะบางครั้งคำพูดเหล่านั้นก็เคล้าคลอมากับอารมณ์เหน็บแนมและอิจฉาลึกๆ ในใจ

ผมรู้ดี เพราะผมมักจะทำได้ดีในทุกเรื่อง

ตั้งแต่เด็กแล้ว ไม่ว่าจะเรื่องเรียน กีฬา ดนตรี หรือแม้แต่เรื่องผู้หญิง ผมก็มักจะทำได้ดี และได้รับแต่สิ่งดีๆ เสมอมา

รถของสถานีเริ่มออกตัวขณะที่พี่เปรมคุยโทรศัพท์ ผมเหม่อมองข้างทางและคิดอะไรเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งรถแล่นออกสู่ถนนใหญ่ก็พบกับไฟแดง ติดอยู่เป็นเวลาสักพักจนผมได้แต่มองจอทีวีจอใหญ่ที่แขวนตัวอยู่บนตึกสูง ฉายโฆษณาต่างๆ รวมถึงตัวอย่างหนัง ผมมองมันฆ่าเวลาอย่างไม่คิดอะไร แต่แล้วสมองผมก็ขาวโพลน

นั่นมัน...เตชัส

ทำไมถึงไปอยู่ในซีรีส์เรื่องใหม่ของค่ายหนังน้องที่กำลังมาแรงอย่าง G.D. ล่ะ?

ทำไม...ทำไมล่ะ

ผมถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะคนที่เห็นใช่มันไม่ผิดแน่ หน้าตาแบบนั้น แววตาแบบนั้น  ลักษณะแบบนั้น ต่อให้ภาพที่เห็นจะไกลแค่ไหนผมก็จำได้

และถึงตอนนี้สิ่งที่ปรากฏบนจอภาพจะไม่ใช่มันแล้ว แต่คำถามยังไม่หายไป ผมรู้สึกกระวนกระวาย อยู่ไม่สุข และเริ่มหิวบุหรี่

“ติณ เป็นอะไรวะ ทำหน้าแปลกๆ” พลันพี่เอกถามขึ้น แกวางโทรศัพท์ไปแล้ว

“พี่...”

“ว่า?”

“ผมว่าจะย้ายไปเป็นนักข่าวบันเทิง”













*******************************************
แต่ละตอนจะสั้นหน่อยนะคะ แต่จะทยอยมาลงค่ะ
ยังหน้าใหม่สำหรับที่นี่มากๆ ยังไงแยมก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-03-2020 15:32:35 โดย แยมส้มขมคอ »

ออฟไลน์ แยมส้มขมคอ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-2
Re: THE CONTRAST --- Update Ch.2 "If I fell"
«ตอบ #2 เมื่อ24-06-2016 21:18:37 »


2.   If I fell


“ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับคุณพอร์ชเป็นยังไงบ้างครับ”

“พี่พอร์ชน่ะเหรอ พี่น้องกันค่ะ”

“แล้วที่มีข่าวว่าไปเดินเที่ยวห้างกับคุณแม่ของคุณพอร์ชด้วยล่ะครับ”

“คือบังเอิญเจอแล้วคุณแม่ของพี่เขาก็ชวนมาเดินด้วยกันน่ะค่ะ ไม่มีอะไรเลย คือถ้าพริมมีอะไรเนี่ยจะบอกเองค่ะ ถ้าคุยกันอยู่ก็คือคุย เพราะรู้สึกว่าไม่ได้เสียหายอะไรอยู่แล้ว แต่ไม่มีอะไรคือไม่มีค่ะ ลองไปถามพี่พอร์ชดูก็ได้ เขาหมั่นไส้พริมจะตาย ชอบกวนประสาท คือทุกคนก็คงรู้นะคะว่านิสัยพริมจะกวนๆ ขี้เล่นหน่อย”

เป็นคำตอบชี้แจงจากดาราสาวที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นเบอร์หนึ่งของวงการในขณะนี้ รอยยิ้มจริงใจและการพูดจาฉะฉานดูน่าเชื่อถือ ไม่ง้องแง้งหรือพูดไม่ค่อยชัดเหมือนที่ดาราวัยรุ่นหลายคนเป็น นับเป็นจุดที่ผมชื่นชม นอกจากนี้ยังสวยมีเสน่ห์โดดเด่นด้วยความเป็นลูกครึ่ง จึงทำให้ใบหน้าคมเข้ม แต่ก็ยังคงความอ่อนหวานในตัว

หมดการสัมภาษณ์ที่นักข่าวต้องมาดักรอดาราที่ตึกค่ายเพลงยักษ์ใหญ่อย่าง M.C. ซึ่งปัจจุบันก็แทบจะทำทุกอย่างในคำจำกัดความของสื่อบันเทิง ผมกับตากล้องก็พากันเดินไปที่ลานจอดรถ ผ่านประตูทางออกมีป้ายกระจกติดผนังขนาดใหญ่ที่จะโชว์โปสเตอร์ของหนังหรือซีรีส์ที่นักแสดงในสังกัดเล่น และคงเพราะโชคชะตาก้อนเล็กๆ ที่ทำให้ผมได้เห็นซีรีส์ที่เตชัสเล่นเป็นพระเอก

ผมมองใบหน้าของมัน บนโปสเตอร์นี้มันไม่ได้ยิ้ม เพียงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยตามบุคลิกของมัน ดวงตาสีดำสนิทมองนางเอกด้วยสายตากวนๆ ทรงผมของมันเป็นทรงผมแสกกลางแปลกๆ จะว่ายังไงดี รู้สึกเหมือนกึ่งๆ หนูแทะ กึ่งๆ ทรงฮิตของช่างกล แต่พออยู่บนหัวก็ไม่ได้แย่เสียทีเดียว อยากรู้ว่าตัวจริงตอนนี้ยังทรงผมนี้อยู่มั้ย เพราะซีรีส์เรื่องนี้ก็เพิ่งจบไปไม่นาน

และอันที่จริง ผมเองก็อยากจะรู้ อยากจะเห็นให้ชัดๆ ว่าเตชัสเปลี่ยนไปแค่ไหน ถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่ามันเปลี่ยนไปมากก็ตาม

“ดูแล้วหรือยังครับ”

พลันเสียงทุ้มดังขึ้นให้ผมสะดุ้ง และรู้สึกตัวว่าเผลอหยุดยืนดูโปสเตอร์นี้ตั้งนานจนมีคนเข้ามาถาม เห็นว่านิ้วชี้ยาวๆ ของเขาชี้มาที่โปสเตอร์ด้วย และเมื่อหันไปมองหน้าผมก็พบว่าคราวนี้โชคชะตาก้อนใหญ่กำลังหล่นทับ

แบบที่เหมือนกะให้หายใจไม่ออก

เพราะตรงหน้าผมคือเตชัส เตชัสที่ทรงผมโดดเด่นแปลกตาไม่ต่างจากในรูป และสะดุดตาด้วยเสื้อคลุมยีนส์ชายยาวสีน้ำเงินเข้ม ไม่คิดเลยว่าจะบังเอิญเจอกันแบบนี้ ทั้งที่ผ่านมาขนาดย้ายมาเป็นนักข่าวสายบันเทิงก็ยังไม่มีโอกาสได้เจอเลยแท้ๆ แต่เตชัสเองก็คงรู้สึกว่าโชคชะตากำลังทำงานเช่นกัน หลังจากมันจ้องผมด้วยสีหน้าที่อึ้งไปนานพอดูก่อนที่จะ...

“อ๋อ...” มันส่งเสียงร้องลากยาวพร้อมกับลากนิ้วที่ชี้โปสเตอร์มาชี้หน้าผม ขยับมือขึ้นลงเบาๆ สองครั้งเหมือนเป็นการย้ำ ก่อนจะเปลี่ยนมือนั้นไปทำท่าเหมือนถือไมค์ “ติณ กลิ่นสุคนธ์ รายงาน”

ชัดเลย... มันเลียนแบบการพูดของผมตอนเป็นนักข่าวภาคสนาม

แล้วพลันมันก็ยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะเอ่ยคำพูดที่ทำให้ผมใจกระตุก

“ดีใจจังที่ได้เจอ” ไม่คิดเลยว่ามันจะพูดคำนี้ “ไปหาที่นั่งคุยกันหน่อยมั้ย”








ผมไม่รู้จะเริ่มพูดอะไรกับคนที่หายไปจากชีวิตโดยไม่มีคำบอกลาและไม่เคยคิดติดต่อมาเลยตลอดเกือบสิบปี แต่พอเจอหน้า มันกลับลากผมเข้าร้านกาแฟหน้าตึก M.C. หน้าตาเฉย แถมตอนนี้ยังนั่งจิบเอสเพรสโซที่สั่งมาด้วยความสบายใจอีกด้วย

“มาทำข่าวอะไรที่นี่ล่ะ” สุดท้ายมันเป็นฝ่ายเริ่ม หลังจากวางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะ

“ข่าวของพริม”

“อ๋อ” มันพยักหน้าน้อยๆ ไม่ได้ถามอะไรต่อ ดวงตาสีดำสนิทของมันจ้องตรงมา ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ แต่ก็เร่งให้ผมถามอะไรออกไปบ้าง

“ทำไมอยู่ๆ ตอนนั้นก็หายไป” และก็เป็นคำถามที่ติดอยู่ในใจมาเก้าปี เตชัสไมได้ตอบทันที มันนิ่งเหมือนคิดอยู่ แต่ท่าทีเรียบนิ่งแค่นั้นก็ทำให้ผมรู้สึกปั่นป่วนอยู่ข้างใน

“มีเหตุผลสำคัญนิดหน่อย”

“เหตุผลอะไรวะ? แล้วติดต่อกลับมาบ้างไม่ได้หรือไง?”

“ตอนนี้ก็ได้คุยกันแล้วนี่” หากมันตอบกลับมาหน้าตาย “ไม่ดีใจที่ได้เจอกันเหมือนกูเหรอ”

คำถามย้อนทำให้ผมนิ่งไป จะว่าดีใจมันก็...ใช่ ผมดีใจ แต่ความรู้สึกอื่นมันมีมากกว่านั้น มันทั้งแปลกใจ สงสัย ไม่เข้าใจ โกรธ และน้อยใจกับท่าทีที่ดูไม่ทุกข์ร้อนอะไรของมันเลย

แต่ผม...จะหวังให้มันแสดงท่าทีทุกข์ร้อนไปทำไมกันล่ะ...

ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาไม่ใช่หรือไง

“แล้วมึงไม่เป็นนักดนตรีแล้วเหรอวะ” เมื่อคิดได้แบบนั้น ผมก็เปลี่ยนเรื่อง

“มีปัญหานิดหน่อย” มันตอบพลางหยิบแก้วกาแฟขึ้นมาจิบอีกครั้ง นิ้วของมันยังดูเรียวยาว เหมาะกับการเล่นกีตาร์ และผมก็คิดว่ามันจะเล่นไปตลอดแท้ๆ

เตชัสเป็นคนที่ชอบเล่นกีตาร์มาตั้งแต่เด็ก ทำให้ผมเริ่มเล่นตามแต่เป็นกีตาร์เบส กระนั้นความสนใจที่มีให้ดนตรีของผมก็ไม่เทียบเท่ามัน ว่างเมื่อไหร่มันมักจะเล่นอยู่เสมอ บางทีก็ราวกับจะใช้ดนตรีแทนคำพูด ผมคิดว่าดนตรีคือความฝันของมัน และตอนที่มันหายไปได้ไม่กี่ปี ก็มีข่าวคราวว่าเตชัสมีวงของตัวเองชื่อ Cat‘s Boyfriend เป็นวงดนตรีแนวร็อคแอนด์โรล เคยได้รับเชิญไปขึ้นเวทีอินดี้อยู่บ้าง เห็นแบบนั้นจึงทำให้ผมพอจะเข้าใจว่ามันหายไปทำไม ถึงจะไม่มีคำบอกลา แต่นั่นล่ะ มันยังพอเป็นที่เข้าใจได้ถ้ามันยังทุ่มเทกับสิ่งที่ตัวเองเป็น และถ้ามันยังไม่คิดอยากยุ่งกับผมก็ไม่เป็นไร

แต่จู่ๆ มันก็ผันตัวมาเป็นนักแสดง นั่นทำให้ความเข้าใจทั้งหมดที่ผมมีต่อมันบิดเบี้ยว และนั่นทำให้ผมเริ่มอยากค้นหาความจริงในสิ่งที่มันคิด

“ปัญหาที่ว่าคืออะไรล่ะ” ผมถาม

“นิดหน่อยก็คือนิดหน่อย”

“มึงจะบอกกูสักเรื่องไม่ได้เลยหรือไง”

“อย่าโกรธกันสิ” มันว่า พลางวางแก้วกาแฟลงด้วยท่าทีสบายๆ อีกครั้ง แต่นั่นแหละที่ยิ่งกระตุ้นอารมณ์ของผม “ปัญหาที่ว่าก็คล้ายๆ ตอน ม.ปลาย นั่นแหละ”

“อ่า...เหรอ”

คำตอบของเตชัสทำให้ผมตอบรับไปเสียงแผ่ว เพิ่งคิดได้ว่าคงมีบางเรื่องที่ไม่อยากพูดถึง อะไรที่ซ้ำรอยก็ยิ่งไม่อยากพูด อย่างที่เตชัสมีปัญหากับเพื่อนในวงตอน ม.ปลาย

“แล้วมึงล่ะ ที่ผ่านมาเป็นไงบ้าง”

“ก็...เรื่อยๆ”

“ดีแล้ว” มันตอบ ยกยิ้มมุมปากนิดๆ เป็นรอยยิ้มที่ผมคุ้นเคยเพราะเตไม่ใช่คนที่ชอบฉีกยิ้มกว้างมาตั้งแต่ไหนแต่ไร

และผมก็ชอบคำง่ายๆ ธรรมดา อย่างคำว่า ‘ดีแล้ว’ ของมันมากด้วย

“เออ...แล้วนักข่าวภาคสนามนี่มาทำข่าวบันเทิงด้วยเหรอวะ”

“เปล่าหรอก กูเปลี่ยนมาทำข่าวบันเทิงแล้ว”

“อ้าว ทำไมวะ กูว่าแบบเดิมก็เท่อยู่แล้วนะ”

“ก็...” จะให้ตอบไปได้ยังไงว่าก็เพราะมึงนั่นแหละ เตชัส ถึงจะเต็มไปด้วยความย้อนแย้งและสับสนในใจว่าผมทำขนาดนี้เพื่ออะไรแค่ผมได้เห็นมันอยู่บนจอทีวีในฐานะที่ไม่ใช่นักดนตรี แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดคือผมอยากหาทางเข้าใกล้มัน แบบไม่ดูจงใจ ผมไม่อยากดูงี่เง่าถ้าเกิดบุกไปหามันตรงๆ แล้วมันก็หนีหายไปจากชีวิตเหมือนอย่างเคยๆ เพราะงั้นผมจึงมาอยู่ตรงนี้ และก็เป็นอย่างที่หวังแล้ว ผมอยากจะเข้าใจความคิดของมันมากขึ้นสักนิดก็ยังดี

“กูไม่อยากแบกรับคำว่า ‘มือหนึ่ง’ ของที่นั่นว่ะ” แล้วผมก็เลือกตอบในสิ่งที่เป็นผมมาตลอด มันคงจะไม่ติดใจสงสัยอะไร

แต่เตกลับเงียบ ไม่มีคำตอบที่ผมเดาว่าน่าจะได้ยินอย่างคำว่า ‘ดีแล้ว’ ดวงตาสีดำสนิทจ้องมองผม แววตาของมันไม่สะท้อนสิ่งที่คิด

“รู้มั้ยติณ” เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูข่มอารมณ์ “กูเกลียดคนอย่างมึงที่สุด”

ไม่ทันให้ผมโต้ตอบอะไร มันก็ลุกพรวดและก้าวเท้ายาวๆ เดินออกจากร้านไป ทิ้งผมไว้กับความนิ่งอึ้ง

เกลียด...งั้นเหรอ?

เพราะอะไรล่ะ?

ที่ผ่านมามันเกลียดผมมาตลอดหรือเปล่า

แต่แค่คิด ความรู้สึกกลัวก็จู่โจมทั่วร่าง

สุดท้ายผมก็ไม่อาจเข้าใจเตได้เลยจริงๆ







ออฟไลน์ แยมส้มขมคอ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-2
Re: THE CONTRAST --- Update Ch.3 "I wanna hold your hand"
«ตอบ #3 เมื่อ25-06-2016 11:13:49 »


3. I wanna hold your hand


“ติณอีกแล้วเหรอวะ”

“เออ มันอีกละ ทุกเรื่องเลย”

“แม่ง กูขี้เกียจเอาชนะแม่งละ ฮะๆๆ”

“มึงไปแข่งกับมันตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”

“ก็ไม่แปลกปะวะถ้ามีคนอยากล้มมัน เรื่องเรียนเอย กีฬาเอย ดนตรีเอย แข่งนู่นแข่งนี่ แม้แต่เรื่องผู้หญิง ถ้าทำได้สักอย่างนี่เด่นเลยนะเว้ย”

“เออ ไอ้ติณแม่งเหมือนกอบโกยเอาทุกอย่างไว้กับตัวคนเดียวเลยว่ะ ด่าว่าเห็นแก่ตัวได้มะ ฮ่าๆ”

“ด่าไปเลย แม่งควรแบ่งมาให้คนอื่นบ้าง จะอะไรนักหนาก็ไม่รู้”

...

“เต มึงคิดว่ากูทำอะไรแบบไม่ตั้งใจสักครั้งดีมั้ย ทำแบบขอไปทีอะ”

“อยู่ดีๆ อะไรของมึงวะ”

“กูไปได้ยินมา”

“ได้ยินอะไร”

“ก็คนเขาพูดกันว่าอยากจะเอาชนะกูสักเรื่องก็ยังดี”

“แล้ว...มึงก็จะอ่อนให้พวกมัน?”

“ก็...ไม่เชิง”

“ถ้าได้ชัยชนะมาเพราะอีกฝ่ายอ่อนให้จะดีใจเหรอ”

“ก็ไม่”

“ถ้าพวกมันไม่ได้ไปด้วยแรงของตนเองแม่งน่าสมเพชว่ะ อีกอย่าง มีคนอยากเป็นแบบมึงตั้งเยอะ จะลดตนเองลงไปทำไม แบบนั้นมึงน่าสมเพชกว่าอีก”




คำพูดของเตชัสในตอนเด็กย้อนกลับมาเมื่อผมคิดทบทวน และเพราะคำพูดของมันที่ทำให้ผมยังยืนอยู่จุดเดิมไม่ได้ถอยไปไหน

แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่รู้สึกอะไรกับบรรดาสายตาที่จ้องมอง ผมจึงมักจะถ่อมตัวเป็นการป้องกันตัว และถึงจะรู้ว่าบางครั้งการถ่อมตัวจะทำให้คนหมั่นไส้ยิ่งกว่าเดิม ผมก็ติดเป็นนิสัยไปเสียแล้ว

หากตลอดมา เตชัสก็ไม่เคยแสดงท่าทีไม่ชอบการถ่อมตัวของผม มันเพียงพูดว่า ‘ดีแล้ว’ โดยที่ผมไม่เคยเข้าใจจริงๆ ว่ามันคิดอะไร

และก็ไม่เคยคิดว่ามันจะเกลียดสิ่งที่ผมเป็น

‘ดีแล้ว’ สำหรับผมแต่ไม่ได้ ‘ดีแล้ว’ สำหรับมันงั้นหรือเปล่า?

ผมไม่รู้อะไรเลยจริงๆ

แต่ถึงจะน่ากลัว คำพูดของเตชัสก็อาจเป็นความจริง และเป็นมาตั้งนานแล้ว ไม่อย่างนั้น...เตชัสคงไม่หนีหายไปโดยไม่ติดต่อกลับมาเลย

แล้ว...ที่บอกว่าดีใจที่ได้เจอมันคืออะไรล่ะ

ไม่เข้าใจเลย

ปวดหัว

น่าหงุดหงิด

เลิกคิดจะดีกว่า

และถ้ามันไม่อยากให้ยุ่ง ผมคงไม่ยุ่งด้วยอีกแล้ว








“คุณเตคาดหวังอะไรกับหนังเรื่องนี้บ้างครับ” ท่ามกลางบรรยากาศที่จ้อกแจ้กจอแจของงานโปรโมทหนังเรื่องใหม่ของค่าย G.D. สื่อมวลชนที่ได้โอกาสสัมภาษณ์นักแสดงหลักสี่คนของเรื่องต่างมะรุมมะตุ้มยื้อแย่งพื้นที่ให้ได้เข้าใกล้และจ่อไมค์สัมภาษณ์ นักข่าวรุมถามคำถามและนักแสดงก็เลือกตอบ ไม่ต่างจากการที่นักข่าวหนุ่มคนหนึ่งที่ได้โอกาสเหมาะเจาะยื่นไมค์ไปสัมภาษณ์หนึ่งในนักแสดงอย่าง เตชัส ฤทธิวรรณรงค์

ซึ่ง...ไอ้นักข่าวคนนั้นก็คือผมเอง

ทั้งที่คิดว่าจะไม่ยุ่งอีกแล้วแท้ๆ แต่ให้ทำไงได้ งานก็คืองาน ผมยังย้ายกลับฝ่ายเดิมไม่ได้ด้วย ก็เลยต้องมาตามตูดดาราแบบนี้แหละ แต่ก็ไม่คิดเลยว่าจะต้องมาเจอมัน!

เพราะก่อนหน้านั้นร้อยวันพันปี ผมก็ไม่เคยได้งานอะไรที่ต้องเกี่ยวข้องกับเตชัสทั้งที่อยากได้จะตาย แต่พอมาวันนี้ผมกลับได้มางานเปิดตัวหนังที่มีมันแสดงเป็นตัวละครหลักถึงจะไม่ใช่พระเอกก็เถอะ ตอนแรกก็คิดอยู่หรอกว่ายังไงนักแสดงก็มีเยอะ คงไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับมันมาก แต่ไม่ใช่เลย

ผมถูกเบียดไปมาจนมาได้พื้นที่บริเวณที่เตชัสยืนอยู่ และมันก็เป็นคนริมสุดฝั่งผมด้วย จะให้ยื่นไมค์ข้ามหน้าข้ามตาไปถามคนอื่นผ่านหน้ามันก็ไม่ดีแน่ในฐานะนักข่าว เพราะงั้น...ผมจึงต้องสัมภาษณ์มันอย่างช่วยไม่ได้

กลับมาที่สถานการณ์ปัจจุบันหลังผมปล่อยคำถามใส่เตชัสที่เห็นว่าเป็นผมตั้งแต่แรก ก็จ้องผมอยู่ชั่วครู่ ไม่รู้ว่าคิดอะไร มันยกยิ้มมุมปาก ก่อนเอ่ยตอบ

“มีคนรักผมมากขึ้นครับ”

ฮะ?

นี่เหรอคำตอบของแม่ง อะไรของมันวะ และโดยอัตโนมัติผมมองสภาพแวดล้อมรอบด้าน มองบรรดาแฟนคลับที่มางานเปิดตัวหนังจำนวนไม่น้อย อันที่จริงก็เรียกได้ว่าทำให้โรงหนังที่ใช้เป็นสถานที่โปรโมทวุ่นวายพอสมควร

ก็...คนเยอะขนาดนี้แล้วนี่หว่า มันยังจะเอาอะไรอีกวะ

“แค่นี้ไม่พอเหรอ?”

...

พลันรู้สึกถึงความนิ่งอึ้ง

นักข่าวใกล้ตัวก็ด้วย ไอเตก็ด้วย ผมก็ด้วย ก่อนที่จะรู้สึกตัวว่าถามอะไรออกไปวะ! ซวยแน่ๆ!

“เอ่อ...ผมหมายถึงเท่าที่ดูวันนี้แฟนคลับก็เยอะมากแล้วน่ะครับ” ผมรีบกลับลำทางคำพูด ถึงจะรู้ว่าไม่ทันแล้ว เหลือบมองสายตารอบข้างก็รู้สึกได้ว่าหลังจากนี้เละเป็นโจ๊กแน่

“คงเป็นแฟนคลับของคนอื่นเขาน่ะครับ ผมเพิ่งมาอยู่วงการนี้ไม่นาน เล่นซีรีส์ไปก็เรื่องเดียวเอง แฟนคลับยังไม่เยอะเท่าหรอกครับ” หากเตก็อธิบายยืดยาวกลบความงี่เง่านั่นไปได้บ้าง

และหลังจากที่นักข่าวคนอื่นได้โอกาสถามคำถามบ้าง ผมก็ไม่ได้ถามอะไรอีกเลยจนกระทั่งหมดเวลาให้สัมภาษณ์ เรียกว่าพูดอะไรไม่ถูกแล้วจะดีกว่า ตลอดเวลาที่ยืนอยู่ตรงนั้นผมรู้สึกแย่มาก คิดทบทวนว่าตัวเองเป็นบ้าอะไรถึงหลุดปากถามไปแบบนั้น มันไม่ใช่แค่คำถามโง่ๆ ที่ตัวเองกลัวจะหลุดถามออกไปตลอดด้วย แต่เป็นคำถามจากอารมณ์ อะไรดลใจให้ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้วะ ความเป็นมืออาชีพในการทำข่าวหายไปไหนหมด

อยากจะหนีก็หนีออกมาไม่ได้ และการเห็นเตชัสยืนอยู่ตรงหน้าก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่าบรรยากาศมืดมัวไปหมด

แต่ก็ไม่รู้ทำไมผมถึงเห็นมันชัดนัก คล้ายว่าไม่อาจจะละสายตาไปได้ มันชัดกว่าคำถามจากปากนักข่าวที่อยู่ใกล้ๆ ชัดกลบเสียงอื้ออึงวุ่นวายในบริเวณนั้นไปหมด จนกระทั่งครั้งหนึ่งที่มันเหลือบสายตามาสบ ผมก็หลบสายตาหนี พอดีกับที่หมดเวลาให้สัมภาษณ์ และทุกคนก็เริ่มแยกย้ายกันไป








“ทำงานยังไงของคุณน่ะหา! ปากไม่มีหูรูดเหรอ! นึกอะไรออกไปก็ถามได้ยังไงวะ ทั้งที่เห็นคุณเป็นนักข่าวภาคสนามมาก่อน เป็นมือดีด้วย ผมก็ไว้ใจ แต่ไม่คิดเลยว่าคุณจะพลาดอะไรโง่ๆ แบบนี้!”

“ขอโทษจริงๆ ครับ”

“คำขอโทษของคุณมันไม่มีค่าอะไรเลย ในโซเชียลเขาแชร์กันกระจายแล้ว นักข่าวช่องอื่นก็โจมตีเราเละว่ามีนักข่าวปากพล่อยแบบนี้ คุณจะรับผิดชอบยังไง!”

“ผมจะขอโทษออกไปทุกช่องทางเลยครับ จะขอโทษคุณเตชัสด้วย”

“แค่นั้นไม่พอหรอกนะ ผมจะสั่งพักงานคุณ”

“...ครับ”

ผมตอบรับคำสั่งขาดจากหัวหน้าอย่างไม่อาจเถียงอะไรได้ เพราะก็รู้ดีว่าทุกอย่างมันมาจากการกระทำโง่ๆ ของตัวเอง

ตอนนี้แค่เดินออกจากออฟฟิศก็รับรู้ได้ถึงสายตาที่มองมา คล้ายจะโดนรุมทึ้งด้วยสายตาเหล่านั้น มีทั้งสายตาสมเพช ระคนสงสารแต่ก็ไม่จริงใจ และบางครั้งรู้สึกถึงสายตาสะใจที่ผมพลาด มันก็อาจจะมีบ้างที่ผมคิดไปเอง แต่ก็ต้องมีสายตาสักคู่ด้วยความรู้สึกไม่มากก็น้อยที่มองผมมาแบบนั้นแน่นอน

ผมรีบหลบมาที่ลานจอดรถ สิ่งที่ทำมีเพียงสูบบุหรี่ ปล่อยวิญญาณนิโคตินให้ทำร้ายปอด ก่อนจะล่องลอยในอากาศ มองมันแล้วก็คิดว่าถ้าตัวเองในเวลานี้เป็นแค่ควันที่จะหายไปก็คงดี

ถ้าจะให้พูดว่าตอนนี้รู้สึกแย่ราวกับดิ่งลงไปในหุบเหวมืดมิดก็คงไม่ผิดนัก ตลอดมาผมแทบไม่เคยทำอะไรผิดพลาด ถ้าจะมีก็เป็นเรื่องเล็กๆ ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อฐานของผลลัพธ์หลัก ผมไม่เคยทำเรื่องผิดพลาดใหญ่ขนาดนี้มาก่อน ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าจะเกิดขึ้น แถมยังเป็นเพราะไอ้เตชัส คนที่มันบอกว่าเกลียดผม...

แต่จะโทษมันก็คงไม่ได้ โทษตัวเองคงดีกว่า

ได้บทเรียนบ้างก็คงดี

และหวังว่าจากนี้จะไม่ต้องยุ่งกับมันอีก

Rrrr

เสียงโทรศัพท์มือถือกรีดเรียกขัดความคิด ผมคีบบุหรี่ไว้ในมือซ้าย มือขวาหยิบมือถือขึ้นมา เป็นเบอร์นักข่าวเพื่อนร่วมงาน ไม่รู้ว่ามีอะไรถึงโทรมาเวลาแบบนี้ ผมไม่อยากรับสาย แต่สุดท้ายก็ถอนหายใจ กดรับและกรอกเสียงลงไป

“ว่าไงดิว”

“มึงเห็นข่าวยังวะ”

“ถ้าข่าวที่กูปากพล่อยน่ะ กูเห็นจนตาแฉะแล้ว โดนพักงานแล้วด้วย”

“ไม่ใช่ๆ ที่เตชัสโพสต์ไอจีอะ”

“ไอจี? อะไรวะ”

“ก็เตช่วยโพสต์แก้ข่าวให้มึง บอกด้วยนะว่ามึงน่ะเป็นเพื่อนเต”









ออฟไลน์ toutnoir

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: THE CONTRAST --- Update Ch.3 "I wanna hold your hand"
«ตอบ #4 เมื่อ26-06-2016 17:33:48 »

ลองอ่านแบบใส่ตัวเองลงไปในติณ สิ่งเดียวที่รู้สึกคือไม่เข้าใจเตเลย ไม่เข้าใจเลยจริงๆ
ยิ่งไม่เข้าใจก็เลยยิ่งไล่ตามอย่างนั้นหรือเปล่านะคะ
ยังไงก็ สู้ๆ นะ ติณ

 :hao5:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-06-2016 08:04:54 โดย toutnoir »

ออฟไลน์ แยมส้มขมคอ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-2
Re: THE CONTRAST --- Update Ch.4 "I will"
«ตอบ #5 เมื่อ01-07-2016 18:22:02 »


4. I will


“รู้มั้ย จริงๆ แล้วกูมีพี่ชายอยู่คนนึง” เตชันสบอกตอนที่มันกำลังนั่งเล่นกีตาร์อยู่สวนหน้าบ้านผม

“จริงดิ ไม่ยักรู้”

“ก็แหง ก่อนกูจะย้ายมาที่นี่ พ่อแม่หย่ากัน แม่ไปกับพี่ กูอยู่กับพ่อ”

“แล้วได้เจอกันบ้างมั้ย”

“ไม่เลยว่ะ แต่ถึงงั้นก็ไม่อยากเจอเท่าไหร่”

“ทำไมวะ”

“ไม่รู้ดิ”

“งั้นพี่มึงเป็นคนยังไง”

“เป็นคนยังไงงั้นเหรอ” มันทวนคำถาม เคาะกีตาร์เหมือนครุ่นคิด “ปิศาจ”

“ฮะ? ยังไงวะ”

“ฮ่าๆ ไม่ใช่หรอก ก็คนธรรมดานี่แหละ แค่...เก่งไปทุกเรื่อง เรียนก็สอบเข้าโรงเรียนดีๆ ได้ง่ายๆ กีฬาก็เก่ง ดนตรีก็เก่ง แต่พี่กูน่ะเล่นเปียโนนะ”

“แล้วมึงไม่เล่นเปียโนบ้างล่ะ”

“ไม่อะ ไม่อยากเหมือนพี่กู” มันบอกสิ่งที่ผมไม่ค่อยเข้าใจความหมายนัก “แต่ถึงงั้นกูก็ไม่เก่งเหมือนมันอยู่ดี”

“เฮ้ย มึงก็เล่นกีตาร์เก่งนะเว้ย”

“แล้วทำไรได้ วงกูยังแตกเลย”

“ก็...เล่นให้กูฟังก่อนก็ได้นี่”

ไม่รู้ทำไม เตเงียบไปกับคำที่ได้ยิน ดวงตาสีดำสนิทจ้องตรงมา ก่อนมุมปากจะยกยิ้ม เป็นยิ้มที่กว้างกว่าเคย

“อืม”







ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมไม่เคยเข้าใจเตเลย

จนกระทั่งได้ยินคำตอบนั้นและกลับมาคิดทบทวน ผมก็พบว่าลึกๆ ในใจเตนั้นอยากเป็นคนที่ได้รับความสนใจ ได้รับความรักเสมอมา

ผมมองข้ามจุดนี้มาตลอด

เพราะที่ผ่านมาเตไม่เคยบอก และถึงมีเรื่องอะไรก็จะเอาแต่พูดว่า ‘ช่างมัน’ หรือ ‘ดีแล้ว’ ทั้งที่หลายครั้งไม่เป็นอย่างคำที่มันพูด

ผมรู้ว่าครอบครัวของเตไม่ได้สมบูรณ์ดีพร้อม พ่อแม่ของเตแยกทางกันตั้งแต่เด็ก และหลังจากนั้นพ่อก็มีแม่ใหม่ หากผมก็ไม่เคยเห็นว่าครอบครัวนี้ทะเลาะกัน และเตก็ไม่เคยบ่นว่ามีปัญหาอะไร ผมจึงคิดว่ามันอยู่อย่างสุขสงบดี แต่แท้จริงภายในใจของมันอาจมีหลุมขนาดใหญ่อยู่ แค่มันไม่เคยแสดงให้ผมเห็น

ที่ไม่เคยทะเลาะกัน อาจเพราะมันไม่ได้รับความสนใจก็ได้

พอคิดได้แบบนี้ก็รู้สึกว่าช่างน่ากลัว

ไม่แปลกใจถ้าเตจะตอบคำถามผมแบบนั้น

แต่สิ่งที่ผมยังไม่เข้าใจก็คือทำไมเตถึงเกลียดผม

และที่ยิ่งไม่เข้าใจก็คือ ถ้าเป็นแบบนั้นจริง เตจะช่วยผมทำไมอีก

ไม่รู้ว่ามันต้องการอะไร ทั้งที่มันเองก็ไม่รู้แล้วด้วยซ้ำว่าผมคิดยังไงหลังจากคำที่มันพูดมาในวันนั้น

หรือมัน...จะสร้างภาพ?

เหอะ เพื่อให้เป็นที่รักของใครก็ไม่รู้ที่แม้แต่ตัวมันเองยังไม่รู้จักต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ

ถึงจะรู้ว่าเป็นความคิดที่ด่วนตัดสิน แต่ผมก็อดคิดแบบนั้นไม่ได้จริงๆ ในเมื่อองค์ประกอบหลายอย่างก็ดูจะชี้ไปทางทิศนี้ ในเมื่อมันเองบอกว่าเกลียดผม ซ้ำมันยังเปลี่ยนไปมากจากภาพนักดนตรีที่ผมไม่เคยคิดว่ามันจะเปลี่ยนไป

ผมไม่รู้ว่าเตกลายเป็นใครไปแล้ว หรือเป็นผมเองกันแน่ที่ยังยึดติดกับเรื่องเดิมๆ








แต่ถึงยังไงก็ต้องขอบคุณมันที่ทำให้ผมไม่ถูกสังคมรุมทึ้งจากความผิดพลาดนั้น

ยอมรับจริงๆ ว่ามันเริ่มมีอิทธิพลกับคนจำนวนมาก เพราะหลังจากที่มันโพสต์ไอจีชี้แจงเหตุผลปลอมๆ ว่าผมไม่ค่อยสบายเลยทำให้ไม่ค่อยมีสมาธิอย่างนั้นอย่างนี้ อีกทั้งเรายังเป็นเพื่อนกัน การโจมตีผ่านสื่อก็ลดน้อยลง แบบที่ให้ตายผมเองก็ทำไม่ได้

ไม่อย่างนั้นการกลับมาทำงานคงเป็นเรื่องน่าอึดอัดจนอยากจะอ้วกจากบรรดาสายตาที่มองมา แต่ยังไงผมก็ยังอยากจะรีบย้ายกลับไปเป็นผู้สื่อข่าวภาคสนามอยู่ดี

เอียนวงการบันเทิงจะแย่

ถึงตอนนี้จะมารอสัมภาษณ์นักร้องหน้าใหม่ที่เพิ่งชนะรายการประกวดร้องเพลงไปก็เถอะ

บรรยากาศน่าเบื่อเดิมๆ ผมไม่ได้สนใจคนในวงการบันเทิงมาตั้งแต่แรกแล้ว และก็ไม่ใช่คนชอบขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัวของดาราหรือแม้แต่ของคนรู้จักในชีวิตมาเมาท์มอยเท่าไหร่ ที่นี่จึงไม่เหมาะกับผมตั้งแต่แรก แต่จะให้ทำยังไงได้ นอกจากเก็บกลืนการถอนหายใจอย่างปลงตกลงคอแล้วรีบไปสัมภาษณ์นักร้องเป้าหมายที่ออกมาแล้ว

ผมไม่พลาดตำแหน่งที่เหมาะสมที่จะได้ยื่นไมค์ไปสัมภาษณ์ และเมื่อได้โอกาสก็เอ่ยถามคำถามรูปแบบเดิมๆ แค่เปลี่ยนคน อาจมีเพิ่มรายละเอียดเรื่องส่วนตัวเล็กน้อยแต่ก็ไม่แตกต่างกันนัก ทุกอย่างวนลูป แค่เปลี่ยนสถานที่ เปลี่ยนคน ไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้น

หรือบางทีอาจเป็นเพราะผมเองที่เบื่อในการสังเกตปฏิกิริยาผู้คนเต็มที

เมื่อสัมภาษณ์นักร้องหน้าใหม่คนนั้นเสร็จ ผมก็แยกกับทีมงานมาเข้าห้องน้ำของสถานีโทรทัศน์ ไม่มีใครอยู่ ผมตรงไปที่อ่างล้างมือ ก้มหน้าก้มตาล้างหน้าเผื่อจะชำระล้างความเบื่อให้ลอกล่อนออกไปได้บ้าง

“ติณ” แต่เสียงทุ้มเสียงหนึ่งเรียกผม และเพราะการที่จำได้แน่ว่าเสียงใครทำให้ผมชะงัก ไม่ได้หันไปมอง “มาทำข่าวที่นี่เหรอ”

มันคือเสียงของเต ไม่เข้าใจว่าโชคชะตาบ้าบอเล่นตลกอะไรอีกให้ผมมาเจอกับมันในห้องน้ำสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง สถานที่บนโลกก็มีตั้งเยอะ จะให้คลาดกันไปจนกว่าผมจะได้กลับไปทำงานผู้สื่อข่าวภาคสนามไม่ได้หรือไง

“โกรธกูเหรอถึงไม่ตอบ” และเมื่อเห็นว่าผมเงียบจึงถามมาอีกคำถาม คราวนี้ผมปิดก๊อกน้ำ เงยหน้ามองกระจกก็สบตากับเงาสะท้อนของมัน

“ต้องการอะไรล่ะ” ถามไปตามตรง แต่ก็ไม่คิดรอฟังคำตอบ ขาของผมก้าวออกจากห้องน้ำไปทันที

“เฮ้ยติณ” แล้วมันก็ดันเป็นบ้าอะไรไม่รู้ถึงได้ตามผมมาให้ยิ่งสาวเท้าหนี

“อ้าวคุณติณ” พลันมีเสียงเรียกรั้งจากคนที่เดินสวนทำให้ผมต้องหยุดฝีเท้า หันไปมองก็พบว่าเป็นนักข่าวบันเทิงที่สังกัดอยู่ช่องนี้ พอจะรู้จักอยู่บ้างในฐานะเพื่อนร่วมอาชีพ “กำลังจะไปไหนเหรอคะ”

“กำลังจะไปหาอะไรกินครับ”

ไม่ใช่เสียงตอบของผม... แต่เป็นเสียงของคนที่ผมอยากจะหนีมันไปให้ไกล

“อ้าวคุณเต มาด้วยกันเหรอ”

“ก็เพิ่งอัดรายการเสร็จแล้วบังเอิญเจอกันพอดีน่ะครับ นานๆ เจอที”

“อ้อ ถ้างั้นไม่รบกวนแล้วค่ะ” เธอตอบพร้อมยิ้มลา

“ครับ”

ไอ้เตแย่งความสนใจและตอบคำถามแทนผม ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วและจบภายในเวลาสั้นๆ ไม่ทันให้ผมได้แย้งอะไร พลันมันก็เข้ามากอดคอผมหน้าตาเฉย

“เฮ้ย” ผมจะดึงมือมันออก

“อย่าดึงออก” ทว่า มันสั่งเสียงนิ่ง “อยากดูแปลกๆ ท่ามกลางสายตาของสื่อที่มองอยู่ตรงไหนบ้างก็ไม่รู้หรือไง”

ผมเงียบ มองรอบๆ ก็เห็นได้ว่ามีสายตาบางคู่ที่หลบไปเมื่อสายตาของผมไปพบ

“จากที่กูแก้ข่าว ทำให้ใครๆ ก็รู้ว่าเราเป็นเพื่อนกัน”

“มึงใช้คำว่า ‘รู้’ งั้นเหรอ” ผมถามไปทันทีในเมื่อตอนนี้ไม่คิดว่าเราเป็นเพื่อนกันแม้แต่น้อย

“ทำไม” หากมันถามกลับด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ร้อนอะไร

“สร้างภาพอยู่หรือไง”

เตเงียบไปกับคำถามสวนกลับ ดวงตาสีดำสนิทจ้องผมนิ่งอยู่ชั่วครู่ ก่อนมุมปากจะยกยิ้มแบบที่เป็นมัน

“ไปกินข้าวกัน”












ออฟไลน์ แยมส้มขมคอ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-2
Re: ต่างขั้ว - THE CONTRAST --- Update Ch.5 "yesterday"
«ตอบ #6 เมื่อ07-07-2016 12:45:05 »


5. Yesterday




ด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง ทำให้ตอนนี้ผมมายืนอยู่ในจุดที่ตัวเองก็ไม่คิดว่าจะได้มายืน และไม่เคยหวังด้วย

ห้องของเตชัส

ก็อย่างที่บอก เพราะอะไรหลายอย่าง เพราะสายตาของใครหลายคน เพราะจิตใต้สำนึกลึกๆ ที่ก็ยังอยากจะรู้สิ่งที่เตชัสคิด มันทำให้ผมเดินไปตามทางที่เตชัสต้องการจนกระทั่งมันพาผมมาถึงที่นี่

เตชัสพูดแค่ว่า “เข้ามาสิ” กับผม หลังจากมันเดินนำเข้ามาในห้องของตัวเอง เป็นคอนโดห้องเล็กๆ ไม่ฟุ่มเฟือยพื้นที่ ทุกโซนเชื่อมต่อทะลุถึงกันดูโล่งโปร่งสบายตา เตชัสวางพาดเสื้อยีนส์บนเก้าอี้หน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์ เดินเข้าครัวไปเปิดตู้เย็น ส่วนผมที่ไม่รู้จะวางร่างตัวเองตรงไหน ก็ได้แต่ยืนสำรวจห้องมันด้วยสายตา

จะว่าเป็นห้องที่รกก็ไม่ถึงขนาดนั้น เรียกว่าสมกับเป็นห้องผู้ชายจะดีกว่า กลิ่นบุหรี่เหมือนฝังซึมตามผนังสีขาว เสื้อผ้าระเกะระกะพาดตรงนั้นทีตรงนี้ที มุมห้องมีขวดเหล้าว่างเปล่าหลายยี่ห้อวางเรียง หนังสือหลายเล่มกองข้างหัวเตียง ในขณะที่แผ่นซีดีเพลงเก็บเป็นระเบียบอยู่บนชั้นวาง บนกำแพงมีโปสเตอร์ศิลปินที่มันชอบ และไม่รู้ทำไมผมรู้สึกใจชื้นแปลกๆ ที่เห็นโปสเตอร์วง The Beatles กับภาพจอห์น เลนนอน อยู่ด้วย

เหมือนเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้รู้สึกว่าเตชัสยังเหมือนเดิม

“ยืนทำอะไรอยู่” พลันมันก็เดินออกจากห้องครัวพร้อมกับแก้วสองใบที่แค่ได้กลิ่นก็รู้เลยว่าเป็นเหล้า มันชงเหล้ามาให้ผมกินเนี่ยนะ และดูมันจะอ่านสีหน้าผมออก “ชีวาสไง”

“ประเด็นไม่ใช่...”

“เป็นเหล้าที่กูขโมยของพ่อมากินกับมึงเมื่อก่อนไง จำไม่ได้เหรอ” แต่มันอธิบายต่อ “แค่ตอนนี้ไม่ต้องขโมยใครแล้ว”

จบคำพูดมันก็นั่งลงบนปลายเตียงพลางดื่มชีวาส ไม่รู้ทำไมมันถึงพูดเรื่องนี้ ต้องการจะรำลึกอดีตหรือไง เพื่ออะไร เป็นอีกเรื่องที่ผมไม่เข้าใจมัน และก็ไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากเลือกนั่งลงบนเก้าอี้กล่องไม้ มองแก้วเหล้าในมืออยู่ชั่วครู่ก่อนจิบดื่ม นึกถึงรสชาติของเหล้าที่ได้กินครั้งแรก...

และนึกถึงตอนที่เตชัสโดนพ่อจับได้ แต่ก็ไม่ได้ว่า ไม่ได้ลงโทษอะไร นอกจากคำพูดว่า ‘อย่าขโมยเหล้ากูอีก’

อา พอมานึกดูตอนนี้ การที่ไม่มีบทลงโทษหรือดุด่าอะไรเลยก็ชวนให้ว่างเปล่าไม่ต่างจากขวดเหล้าที่เรียงรายอยู่มุมห้องนั่นเลย

“มึงเป็นยังไงบ้าง” พลันมันถามขึ้นมา

“แน่ใจเหรอว่ามึงอยากรู้”

“เออ ถึงได้ทำให้มึงมาอยู่ที่นี่ไง” คำตอบของมันชัดเจน แต่ก็ยังไม่คลายความสงสัยอยู่ดีว่ามันอยากรู้ไปเพื่ออะไร

“แล้วจะรู้ไปทำไม”

“ก็เพราะเป็นเรื่องของมึง” ผมขมวดคิ้ว มันยกเหล้าดื่มก่อนถามมาอีก “อยากรู้ว่ามีใครชมอีกมั้ย ยังเป็นมือหนึ่งอีกมั้ย”

“ถามอะไรแปลกๆ”

“ตกลงว่าไง”

แต่มันดูไม่ได้ฟังผมและเอาแต่ใจนิดๆ ผมถอนหายใจก่อนเอ่ยตอบ “ก็ไม่ เพราะมึงน่ะแหละ”

“เพราะตัวมึงเองมากกว่า”

“ไอ้เต”

“แล้วไม่ชอบหรือไง ไม่เคยอยากเป็นที่หนึ่ง ไม่อยากโดดเด่นไม่ใช่เหรอ” หากคำถามจี้ใจดำ คำที่มันพูดไม่ผิดเลย ยืนยันจากนิสัยชอบถ่อมตัวจนเป็นที่น่ารำคาญของผม ขณะเดียวกันก็ไม่อาจลดความตั้งใจในการทำสิ่งต่างๆ ของตัวเองลงได้...ก็จากคำพูดของมัน

เพราะไม่อาจเถียง ผมจึงเลี่ยงการตอบโดยยกแก้วเหล้าขึ้นจิบ กลิ่นชีวาสหวานอยู่ในลำคอ

เตชัสเองก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เราเพียงดื่มเหล้าไปเงียบๆ กระทั่งเตวางแก้วลงบนพื้นข้างเตียง กีตาร์ที่นอนหนุนหมอนอยู่ก็ถูกมันจับขึ้นมาเล่น

เป็นเพลง Yesterday ของ The Beatles

แม้เตชัสไม่ขับขานถ้อยคำ แต่ผมยังพอจำเนื้อเพลงได้




Yesterday, love was such an easy game to play.


Now I need a place to hide away.


Oh, I believe in yesterday.




“เอาจริง ทำไมมึงเลิกเป็นนักดนตรี” ผมถามแทรก แม้เสียงทุ้มของเตชัสกำลังฮัมเป็นทำนองเพลงชัดเจน “ก็รู้ว่ามีปัญหา แต่ไม่เคยคิดว่าจะมาเป็นดารา มึง...ถอดใจแล้วเหรอวะ”

“ไม่เชิง”

“หมายความว่ายังไง” ผมถามขอความกระจ่าง มันหยุดดีดกีตาร์ ปล่อยความเงียบบรรเลงชั่วครู่แล้วเอ่ยตอบ

“มันดังยาก”

...ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะได้ยินคำนี้จากปากมัน

“แถมถ้าดัง นักร้องก็ดังสุด นักดนตรีไม่ค่อยเป็นที่จดจำหรอก”

“นั่นเหรอเหตุผลของมึง”

“อืม” มันสบตาผม ไม่มีแววของการโกหก

“ที่ผ่านมากูก็นึกว่ามึงเล่นดนตรีเพราะชอบมาตลอด”

“ก็ไม่ได้หมายความว่ากูไม่ได้ชอบมันจริงๆ นี่”

“แล้วทำไม...”

“ก็อย่างที่บอก มันดังยาก ยิ่งเป็นยุคที่ใครอยากทำเพลงลงยูทูป ลงซาวนด์คลาวด์ก็ทำได้ การแข่งขันมันสูง และกูก็ไม่เก่งพอ”

“มึงเล่นดนตรีเพราะอยากดังหรือไงวะ”

“ใช่” และมันก็ตอบมาหน้านิ่ง ไม่ฉายแววสะทกสะท้านอะไร แต่ความนิ่งเฉยนั่นแหละที่ทำให้ผมรู้สึกว่าความทรงจำของตนเองกำลังบิดเบี้ยว

ความทรงจำที่บรรจุตัวตนของเตชัสที่ผมเข้าใจว่ามันเป็น

“ตกลงมึงต้องการอะไรกันแน่”

ผมถาม ได้ยินความหวาดหวั่นในน้ำเสียงขณะที่เตกลับยกยิ้มมุมปาก

“เป็นที่รักไง” และมันก็ตอบคำถามที่ทำให้ผมไม่เข้าใจมันแม้แต่น้อย

“เป็นที่รักจากคนที่มึงก็ไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำไปเนี่ยนะ”

“แล้วถ้าเป็นคนรู้จักล่ะ” มันถามกลับ วางกีตาร์ลงบนเตียงที่เดิมก่อนจะลุกขึ้น เดินสองสามก้าวเข้ามาใกล้ผม และโน้มหน้าลงมาสบตาใกล้ๆ “จำที่ทำกันตอนเด็กๆ ได้มั้ย”

คำถามนั้นทำให้ผมรีโหลดความทรงจำอยู่นาน เรื่องที่เคยทำร่วมกันมากมายจนบางเรื่องก็ตกหล่นหายไป แต่มันก็บอกใบ้มาอีก เมื้อนิ้วมือเรียวยาวของมันสัมผัสเข้าที่เป้ากางเกงของผม

“เฮ้ย!...”

และก่อนจะได้ท้วงด่าอะไรออกไป มืออีกข้างของมันประคองท้ายทอยของผมไว้ และประกบปากจูบ เป็นจูบที่บดขยี้และบังคับให้ผมเปิดทางให้ลิ้นของมัน สติสัมปชัญญะเวลานั้นกระเจิดกระเจิงจนตั้งตัวไม่ทันและมันได้สิ่งที่ต้องการ หากการถูกรุกล้ำส่วนล่างมากเข้าด้วยการเริ่มปลดซิปและจะล้วงเข้ามาก็ทำให้ผมต้องรวบรวมสติ ใช้แรงที่มีผลักมันออกไป

ไม่พอ ผมถีบซ้ำให้มันกระเด็นไกลยิ่งกว่าเดิม

ร่างของไอ้เตทิ้งตัวลงบนเตียงเบื้องหลัง มันไม่ได้มีทีท่าจะลุกกระโจนขึ้นมาทันที ดูถอดใจด้วยซ้ำ กระนั้นผมก็รู้สึกว่าไม่อยากเข้าใกล้มันอีกแล้ว

“มึงมันเหี้ย... ไอ้เต ทุกๆ อย่างเลยที่มึงทำกับกู”

ความคับแค้นใจ ความอึดอัดใจ ความน้อยใจ ทุกความรู้สึกในแง่ลบที่มีให้มันมาตลอดระเบิดออกมาในประโยคนั้น เตเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ผมไม่คิดฟังอีกแล้ว

ผมหนีออกจากห้องของมัน สิ้นเสียงปิดประตูดังปัง ผมก็ตัดสินใจว่าจะไม่เหยียบย่ำในชีวิตของกันและกันอีก









ออฟไลน์ แยมส้มขมคอ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-2
Re: ต่างขั้ว - THE CONTRAST --- Update Ch.6 "Can’t buy me love"
«ตอบ #7 เมื่อ14-07-2016 12:53:18 »


6. Can’t buy me love



“มึงยังเด็กอยู่เลยติณ”

“เด็กเชี่ยอะไร...”

“แล้วตรงนี้ล่ะ”

“ยะ...อย่ายุ่งกับมันดิวะ”

“มันยังไม่เปิดเลย”

“อย่า...”

“ไม่อยากให้ทำให้เหรอ”

“ไม่เอาแล้ว”

“มาถึงขนาดนี้แล้ว กูไม่ปล่อยมึงหรอก”

เสียงทุ้มของเตชัสกำซาบชัดที่ข้างหู มันกอดผมไว้จากด้านหลัง นอกจากไออุ่นกายและลมหายใจร้อนของมัน ความร้อนในกายผมเองยังพลุ่งพล่านรู้สึกเหมือนจะระเบิดออก

แม้แต่ตัวตนของตนเองก็จะระเบิดออกไป

ท่ามกลางเสียงหอบหายใจของตัวเอง ท่ามกลางหัวใจที่เต้นแรงจนเหมือนจะได้ยินเสียงมันสะท้อนก้อง

“ติณ ถึงมึงจะไม่ชอบการเป็นที่หนึ่ง”

เสียงของเตกลับยังกำซาบชัดเข้ามาในโสตประสาท

“แต่รู้ไว้ มึงเป็นที่หนึ่งของกู”

กำซาบชัดเข้ามา...ในความรู้สึก





รู้สึกเหมือนฝันร้าย

ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องผิดพลาดระหว่างผมกับมันในอดีต ผมรู้สึกเหมือนฝันร้าย เป็นฝันร้ายที่มีหมอกทึมเทาปกคลุมในความทรงจำและความสัมพันธ์

ไม่มีอะไรชัดเจนต่อให้การกระทำของเราจะเคยล่วงล้ำข้ามเส้นเกินคำว่าเพื่อนหรือพี่น้อง

แต่ถึงอย่างไรมันก็เคยเกิดขึ้นครั้งเดียว ตอนที่ผมอยู่ ม.3 และหลังจากครั้งนั้นเรากลับไม่เคยพูดถึงมันอีก

เตเป็นคนแรกที่ทำเหมือนไม่เคยเกิดอะไรขึ้น

และยิ้มให้ด้วยมุมปากที่ยกขึ้นเท่าเดิม

ผมจึงไม่กล้าพูดอะไร และทำเหมือนลืมมันไป

แต่บางครั้งมันกลับมาหลอกหลอนแม้ยามฝันกลางวัน

ผมลุกจากเตียง เปิดม่านให้แสงสว่างส่องเข้ามา หวังให้มันปัดเป่าหมอกควันของฝันร้ายไปให้พ้น ในห้องยามบ่ายวันอาทิตย์เงียบสงบ ได้ยินเสียงนกเถียงกันอยู่ไกลๆ เสียงของรถที่แล่นเร็วแว่วจากถนนใหญ่ และเสียงลมอ้อล้อกับใบไม้ไหว กระนั้นก็ไม่พอจะทำให้ผมสลัดเรื่องของเตชัสออกจากหัวได้สนิท

ผมเดินไปเปิดทีวี หยิบรีโมทมานั่งกดเปลี่ยนช่องอยู่ปลายเตียง ไม่ค่อยมีรายการอะไรน่าสนใจนัก จนแวะไปหยุดที่ช่องซึ่งกำลังฉายข่าวบันเทิง แม้เดือนหน้าผมจะได้ย้ายกลับไปทำงานผู้สื่อข่าวภาคสนามเหมือนเดิม แต่ก็เป็นธรรมดาที่ต้องติดตามไว้บ้าง เพราะการต้องมานั่งตามดูทีหลังเพื่อทำข่าวมันน่าเบื่อยิ่งกว่าเสียอีก

แต่ก็เหมือนฝันร้ายจะย้ายมาฉายอยู่บนทีวี เมื่อข่าวที่กำลังดำเนินมีเตชัสอยู่ด้วย

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตั้งใจจะกดเปลี่ยนช่อง แต่เนื้อหาของข่าวว่าพริมขึ้นแท่นเป็นนางเอกหนังเรื่องใหม่ของค่าย G.D. โดยมีเตชัสซึ่งเป็นดาราหน้าใหม่ได้แสดงเป็นพระเอกคู่กันก็ทำให้ผมยังค้างมือที่ถือรีโมทอยู่อย่างนั้น

ในข่าว เตชัสดูยกยิ้มมากกว่าที่คุ้นตา

เหอะ คงสมใจแล้วสินะ ในเมื่อกำลังดังขึ้นเรื่อยๆ แถมคราวนี้ยังได้ประกบคู่กับนางเอกเบอร์หนึ่งของวงการ จากนี้ไปคงครองใจคนได้อีกมาก

มันกำลังจะได้รับความรักมากมายจากคนที่มันเองไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำ

คงสมใจแล้ว

ต่อให้หันมองข้างหลังแล้วไม่เหลือใครก็คงสมใจแล้ว

ไม่มีที่หนึ่ง ที่สอง ไม่มีใครทั้งนั้นอยู่ในหัวใจของมัน

ผมไม่เข้าใจการกระทำของเตในวันนั้น กับการขุดคุ้ยอดีตขึ้นมา อดีตที่มันนั่นแหละกวาดเก็บไว้ใต้พรมตั้งแต่แรก ทั้งยังเหยียบยีมันมาตลอดด้วยการหนีหายไป แล้วอยู่ๆ จะมาทำแบบนั้นกับผมเพื่ออะไร ทั้งยังไม่มีคำอธิบายหรือคำขอโทษสักคำ แลไม่คิดจะตามหาผมด้วยซ้ำ คล้ายมันกำลังยกมุมปากเหยียดเย้ยความรู้สึกผมอยู่งั้นแหละ

ทั้งที่...มันก็น่าจะรู้ว่าผมคิดยังไง

มันน่าจะรู้ว่ามันเองสำคัญกับผมแค่ไหน

มันน่าจะรู้...ว่าเพราะผมกลัวจะสูญเสียมันไป จึงยอมให้มันกวาดซ่อนสิ่งที่มันทำกับผมไว้ใต้พรม

ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราจะได้เป็นเหมือนเดิม ยังคุยกัน ยิ้มให้กัน และเล่นดนตรีให้กันฟัง

รวมถึงได้ยินมันพูดคำว่า ‘ดีแล้ว’

ดีแล้ว...

ผมมองรอยยิ้มของเตชัสบนจอทีวี รอยยิ้มที่คงดูห่างไกลสำหรับหลายๆ คนที่นิยมชมชอบมัน

แต่ก็ดีแล้ว

ยิ้มได้ก็ดีแล้ว

ขอให้จากนี้มีแต่เรื่องที่ทำให้มึงยิ้มแบบนี้

ต่อให้ไม่ต้องเกี่ยวข้องกันอีก มึงก็ยังยิ้มได้ กูรู้

ผมกดรีโมทปิดทีวี ในห้องกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง แต่น่าแปลกใจเหลือเกินที่กลับไม่มีเสียงของนกคุยกัน เสียงของรถ หรือแม้แต่เสียงของลมอ้อล้อกับใบไม้ไหว

มันช่างเงียบสงบ แต่ฟังดูน่าเศร้า








วันจันทร์หลังเลิกงานไม่ใช่วันที่คึกคักเหมือนวันศุกร์ ซ้ำยังดูหดหู่

ผมเดินออกจากออฟฟิศ ยืนอยู่ในลิฟต์ที่ผู้คนแออัด ต่างคนต่างอยากรีบกลับบ้าน แต่เมื่อเดินออกมาเห็นฟ้าหลัวผ่านกำแพงกระจกมาแต่ไกล ก็รับรู้ได้ว่าคงเป็นเย็นที่วุ่นวายน่าเบื่ออีกวัน

แต่ก็คงไม่มีอะไรเลวร้ายเท่างานที่ทำก็น่าเบื่อ

เอาเหอะ อีกไม่นานผมก็จะหลุดพ้นจากการเป็นนักข่าวบันเทิงแล้ว

“คุณติณใช่มั้ยครับ”

พลันมีคำถามขัดความคิดระหว่างที่กำลังเหม่อมองบรรยากาศมืดครึ้มด้านนอก ผมเลื่อนสายตากลับมาหาเจ้าของเสียง เห็นเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งใส่แว่นกันแดดค่อนข้างใหญ่ปิดหน้าปิดตา แน่นอนว่าชวนประหลาดใจเพราะขัดกับอากาศตอนนี้

“ใช่ครับ” แต่ผมก็ตอบคำถามไป

“เพื่อนเตชัสใช่มั้ย” อีกคำถามทำให้ผมชะงัก ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี ต่อให้ควรจะตอบว่า ‘ใช่’ ตามที่สังคมส่วนใหญ่ยังเข้าใจก็ตาม “ผมเจอตัวเตชัสไม่ได้สักทีเลยมาหาคุณแทน”

“เอ่อ... ผมว่า...” ผมตั้งท่าจะปฏิเสธ

“ผมมีอะไรจะให้ดู” แต่ไม่ทันพูดพร่ำทำเพลง เด็กหนุ่มคนนั้นก็ยื่นสมาร์ทโฟนพร้อมกับหูฟังมาให้ “เดินไปที่เงียบๆ กว่านี้หน่อยดีกว่า”

คงเพราะความสงสัยที่เทลงมาไม่ต่างจากสายฝน ทำให้ผมทำตามที่เด็กคนนั้นว่ามา และเมื่อพวกเราหามุมสงบได้แล้ว เขาก็เปิดคลิปวิดีโอคลิปหนึ่งจากในสมาร์ทโฟนเครื่องนั้นให้ผมดู

แน่นอนว่าเป็นวิดีโอเกี่ยวกับเตชัส แต่...หลายสิ่งหลายอย่างก็เกินความคาดหมายจนรู้สึกว่าใบหน้าเห่อร้อนไปหมด

ไม่สิ ผมรู้สึกเหมือนมันลุกลามไปทั้งตัวไม่เว้นแม้แต่ปลายนิ้ว

“ต้องการอะไร” ผมเอ่ยถามเด็กคนนั้นทันที

จบคำถาม มุมปากของคนตรงหน้าก็ค่อยๆ ยกยิ้ม ไม่เห็นแววตาของมันจากแว่นกันแดดที่ปกปิดเอาไว้ “ผมร้อนเงิน”

“ก็ได้” และผมก็ไม่เห็นความรู้สึกของตัวเองเช่นกัน “ผมจะซื้อไว้เอง”
















ออฟไลน์ rubymoona

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 861
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +86/-5
Re: ต่างขั้ว - THE CONTRAST --- Update Ch.6 "Can’t buy me love"
«ตอบ #8 เมื่อ14-07-2016 14:06:38 »

คืออะไร กรี๊ด คลิปอะไรน่ะ น้องติณใจดี พูดเยอะแยะแต่สุดท้ายก็ทิ้งไม่ลง น่ารัก ชอบบรรยากาศเทาๆในเรื่องค่ะ

ออฟไลน์ Malimaru

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-4
    • facebook
Re: ต่างขั้ว - THE CONTRAST --- Update Ch.6 "Can’t buy me love"
«ตอบ #9 เมื่อ14-07-2016 14:34:32 »



เห็นด้วยกับความเห็นข้างบน... ชอบความเทา ความหม่นของเรื่องนี้จริง ๆ
อ่านไปก็คิดไปว่า ไม่ใครก็ใครนี่แหละที่รักก่อน... รักฝังใจอีกต่างหาก
แต่เลือกที่จะซ่อนมันเอาไว้ หรือไม่ก็ไม่ทันได้สังเกตเพราะมัวแต่สับสนกับปมในชีวตตัวเองอยู่
รอติดตามค่ะ ^^ เป็นกำลังใจให้นะ

ป.ล. ชื่อล็อกอินน่ารักมาก แต่ทำไมถึงขมล่ะคะ?
ปกติแยมจะหวานไม่ใช่เหรอ? (หรือว่ากวนทั้งลูกเลยขมเปลือก?) - อันนี้สงสัยเฉย ๆ ไม่ได้จะกวนนะ



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ต่างขั้ว - THE CONTRAST --- Update Ch.6 "Can’t buy me love"
« ตอบ #9 เมื่อ: 14-07-2016 14:34:32 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
Re: ต่างขั้ว - THE CONTRAST --- Update Ch.6 "Can’t buy me love"
«ตอบ #10 เมื่อ14-07-2016 16:08:59 »

ค้างเฉย

ออฟไลน์ แยมส้มขมคอ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-2
Re: ต่างขั้ว - THE CONTRAST --- Update Ch.7 "Love me do"
«ตอบ #11 เมื่อ16-07-2016 19:40:21 »


7. Love me do


“ขณะนี้เรากำลังอยู่ในที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ภายในโรงเรียนย่านนวมินทร์ อาคารที่เกิดเหตุเป็นอาคารสูงสี่ชั้น โดยไฟลุกลามจากชั้นสี่ลงมาชั้นสาม แต่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงได้ใช้ถังน้ำยาและน้ำฉีดควบคุมไฟจนสามารถควบคุมเพลิงไว้ได้ ส่วนครูและนักเรียนจากอาคารทั้งหมดราวๆ สามร้อยคนได้ออกมารวมตัวกันที่ลานว่างหน้าเสาธง เบื้องต้นพบเด็กนักเรียนมีอาการสำลักควัน 12 ราย ซึ่งได้นำตัวส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วนแล้ว ขณะที่สาเหตุของเพลิงไหม้คาดว่าเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร ซึ่งจะมีการดำเนินการสอบสวนหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป”

จบการรายงานข่าว ผมหยุดยืนนิ่งสักพักก่อนที่ตากล้องจะส่งสัญญาณว่าทุกอย่างเสร็จสิ้นและเรียบร้อยดี หันมองฉากหลังที่ใช้ทำข่าว เพื่อให้เป็นภาพข่าวที่ดีจึงต้องอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ แต่ก็ต้องไกลพอจะได้ภาพในมุมกว้างชัดเจน แม้ว่านอกจากกลุ่มควันที่ละล่องแล้วจะยังมีความวุ่นวายของผู้คนปะปนมาในอากาศด้วย แต่ผมกลับไม่รู้สึกร้อนใจนัก ต่อให้ที่เกิดเหตุจะเป็นอาคารโรงเรียนเก่าของผมเอง

อาจเพราะห่างหายมานาน หรือความทรงจำหลายอย่างปิดผนึกไปก็ไม่รู้ได้

อย่างไรก็ตาม เมื่อไฟจวนมอดดับและไม่พบผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต ผู้คนที่เข้ามารับรู้เหตุการณ์ก็เริ่มบางตา นักเรียนและครูอาจารย์ที่หนีไฟออกมาก็กลับไปพักยังอาคารใกล้เคียง เจ้าหน้าที่เริ่มจำกัดคนนอกออกจากพื้นที่เพื่อไม่ให้วุ่นวายไปกว่านี้ ผู้สื่อข่าวจากหลายสำนักรวมถึงทีมข่าวของผมเองก็ต้องเริ่มแยกย้ายไปเช่นกัน

“เฮ้ย จะเที่ยงพอดี หาไรกินกัน” พี่เอกบอกกับผมด้วยเสียงกระตือรือร้นเมื่อเก็บอุปกรณ์ถ่ายทำเสร็จ “โรงเรียนเก่ามึงไม่ใช่เหรอ แถวนี้อะไรอร่อยบ้างวะ”

“มันก็ตั้งหลายปีแล้วนะพี่ ไม่รู้ยังเหมือนเดิมมั้ย” ผมบอก ทั้งที่ในหัวก็นึกถึงร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำไข่เจ้าประจำ “ลองไปดูก่อนแล้วกัน

ว่าดังนั้นก็นำทีมข่าวเดินมายังหัวมุมถนนของซอยหน้าโรงเรียน ตอนที่รถรีบร้อนแล่นเข้ามาทำข่าวก็ไม่ทันได้สังเกตข้างทางสักนิด แต่ป้ายชื่อร้าน ‘แววก๋วยเตี๋ยวต้มยำ’ ที่ติดเด่นเป็นสง่าอยู่หน้าประตูทางเข้าจนเห็นมาแต่ไกลก็ทำให้รู้ว่าร้านยังคงอยู่เหมือนเดิม

“ที่โรงเรียนดับไฟกันได้แล้วเหรอ” ป้าแววที่ตั้งชื่อตัวเองเป็นชื่อร้านถามเพราะเห็นว่าพวกเราเดินมาจากทางโรงเรียน เมื่อผมตอบรับว่าใช่ ทั้งบอกว่าไม่มีใครเป็นอะไร รอยยิ้มโล่งอกก็คลี่บนใบหน้ากลมมนของป้าแวว แกดูไม่เปลี่ยนไปมากนัก อาจมีตีนกาเพิ่มสักหน่อยและท้วมขึ้นอีกนิด “เออดีๆ ถ้าเกิดลูกค้าประจำป้าเป็นอะไรไปด้วยล่ะแย่เลย”

ผมเพียงยิ้มรับคำ ท่ามกลางเสียงทีวีจอแอลซีดีในร้านที่เปิดดังพอประมาณ ผมกวาดตาเลือกที่นั่งภายในร้าน รู้สึกว่าปรับปรุงให้ดีขึ้นเยอะ จากพื้นที่เป็นเสื่อน้ำมันดูสกปรกก็กลายเป็นกระเบื้องแผ่นใหญ่สีขาว โต๊ะที่เคยดูตามมีตามเกิดก็กลายเป็นโต๊ะเก้าอี้อะลูมิเนียม ที่เหมือนเดิมก็คงเป็นตำแหน่งที่ตั้งโต๊ะ...

“จะว่าไปหน้าเราคุ้นๆ นะ” พลันป้าแววพูดขึ้นพร้อมกับเพ่งพินิจใบหน้าของผม “เอ้อ! นึกออกแล้ว คนที่มากับเตเป็นประจำนี่”

“อ่า...ครับ” ผมตอบรับไปตามปกติ แม้จะรู้สึกว่าโดนชื่อนั้นทิ่มแทงเข้ามาก็ตาม

“เราชื่ออะไรน้า... จำได้ว่าชื่อคล้ายๆ เตน่ะ จำได้ว่าเธอชอบขอมะนาวเยอะๆ ส่วนเตจะขอไข่เพิ่มพิเศษตลอด”

“ผมติณครับ”

“ใช่ๆ ป้านึกออกละ ติณกับเตนี่เอง เห็นเธอสองคนอยู่ด้วยกันตลอด แล้วก็จะนั่งตรงนี้ประจำนี่ ส่องสาวไง”

“ฮ่ะๆ ใช่ครับป้า” ผมหัวเราะเจื่อน มองโต๊ะอะลูมิเนียมตำแหน่งหน้าสุดของร้าน จำได้ดีว่าผมกับติณจะนั่งข้างเดียวกันเพื่อมองไปออกไปนอกร้าน มันเป็นตำแหน่งที่ดีที่สุดที่จะมองเห็นนักเรียนทุกคนที่เดินผ่าน แล้วเราก็จะนั่งพูดคุยถึงแต่ละคน บางครั้งก็ชื่นชม บางครั้งก็นินทาและหัวเราะกัน

“แล้ววันนี้เตไม่มาเหรอ”

“พ่อดาราดังนั่นไม่มาหรอกครับ” เป็นเสียงของพี่เอกตอบแทนผม

“แหม ยังไงก็อยู่ในวงการเหมือนกัน สนิทกันด้วย วันหลังพามาร้านป้าบ้างนะ คิดถึ๊งคิดถึง” ผมได้แต่ยิ้มเจื่อนตอบรับ “อ้ะๆ นั่งเลยติณ เดี๋ยวป้าทำพิเศษให้เลย ใส่มะนาวเยอะๆ เหมือนเดิมเนอะ”

“ครับป้า” ผมตอบรับป้าแววที่ดูอารมณ์ดี ส่วนทีมข่าวของผมก็เริ่มสั่งอาหารบ้างและจับจองที่นั่งกันแล้ว ซึ่งก็เป็นโต๊ะตำแหน่งประจำของผม ทั้งยังเหลือแต่ที่นั่งที่หันหน้าออกนอกร้าน มองเห็นด้านนอกชัดเจนเหมือนเดิม

“ไม่นั่งวะติณ”

ที่ไม่เหมือนเดิมคือไม่มีคนคนเดิมมานั่งข้างๆ อีกแล้ว

“ก็กำลังจะนั่งอยู่นี่แหละ”

แต่แล้วยังไงล่ะ ช่างแม่งเถอะ

รอไม่นานนัก เมนูเดิมก็มาเสิร์ฟตรงหน้า กลิ่นต้มยำหอมมะนาวชวนคิดถึง รสชาติเองก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน แม้ผมจะชอบกินเปรี้ยวน้อยลงก็ยังคงถูกปาก

พวกเราพูดคุยไม่กี่คำระหว่างมื้อนี้ ผมมองออกไปนอกร้าน มันเงียบสงบทั้งที่ห่างไปไม่ไกล โรงเรียนคงจะยังวุ่นวายกันอยู่ ตัดกับบรรยากาศของที่นี่ แม้จะได้กลิ่นควันจากไกลๆ และมีเสียงทีวีประดับบรรยากาศก็กลับรู้สึกสงบ อาจเพราะมันเป็นสถานที่ที่ผมคุ้นเคย บรรจุความทรงจำเก่าเก็บ และก็นานแล้วที่ผมไม่ได้เปิดผนึกออกมา

เพราะทุกความทรงจำล้วนมีเตชัสเป็นองค์ประกอบ

ผมแทบนึกหน้าเพื่อนร่วมปีแต่ละคนไม่ออก แม้จะยังติดต่อกันอยู่บ้าง

เหมือนกับมีแค่คนเดียวที่ชัดในความทรงจำ

แต่ก็ช่างเถอะ ผมไม่คิดว่ารู้สึกอะไรกับมันแล้ว

เรื่องสุดท้ายที่ผมเกี่ยวข้องกับมันคงมีแค่สิ่งที่ผมซื้อมาจากเด็กหนุ่มแปลกหน้า ซื้อไว้เพื่อปกป้องเตชัส ซื้อไว้เพื่อเป็นเครื่องยืนยันสุดท้ายถึงความรู้สึกที่มีต่อมัน ก่อนจะปิดตายมันลงในสักมุมของจิตใจ และหลังจากนั้นผมก็ได้ย้ายกลับมาทำงานภาคสนามเหมือนเดิม วงโคจรของมันและผมคงจะไม่ต้องซ้อนทับหรือแม้แต่เฉียดใกล้กันอีกต่อไป

“ติณๆ นั่นเตนี่” พลันป้าแววสะกิดเรียกผมจนสะดุ้ง ก่อนที่แกจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเล็กๆ “ออกทีวีอีกแล้ว ไม่คิดเลยนะว่าโตไปจะเป็นดาราดัง”

เพื่อไม่ให้ดูแปลก ผมจำต้องหันไปมองทางทีวีอย่างช่วยไม่ได้ มันกำลังฉายภาพของเตชัสในข่าวบันเทิงช่วงก่อนเที่ยง เป็นข่าวการให้สัมภาษณ์ของเตชัสซึ่งเป็นพระเอกจากหนังรอมคอมของค่าย G.D. ที่เพิ่งเข้าโรงไปไม่นาน แต่ก็เป็นหนังที่สนุกและเข้าถึงคนเกือบทุกประเภท แน่นอนว่าก็ยิ่งจับชื่อเสียงของพริมนางเอกเบอร์หนึ่งของวงการให้ยิ่งโด่งดัง รวมถึงแผ่อิทธิพลมายังพระเอกหน้าใหม่อย่างเตชัสให้ยิ่งดังเป็นพลุแตก

“ป้ายังไม่ว่างไปดูหนังเตเลยเนี่ย”

อย่างที่ว่า บางทีหนังเรื่องนี้ก็กลายเป็นเรียกชื่อว่า ‘หนังของพริม’ หรือ ‘หนังของเต’ ไปแล้ว

ผมได้แต่หัวเราะแห้งๆ ให้ป้าแวว ก่อนจะหันกลับมาวุ่นวายกับเส้นก๋วยเตี๋ยวในชามตัวเอง ปล่อยให้บทสนทนาของป้าแววจับคู่กับคนอื่นในโต๊ะผมไปแทน

‘เป็นกระแสที่ดังมากเลยนะคะสำหรับหนังที่เตกับพริมได้รับบทพระนางคู่กัน เรียกได้ว่าลุงป้าน้าอาที่ต่างจังหวัดถึงกับเหมารถไปดูหนังเรื่องนี้กันเลย เตคิดมั้ยคะว่าหนังเรื่องนี้จะดังถึงขนาดนี้’

แต่เสียงเจื้อยแจ้วของพิธีกรข่าวบันเทิงก็ยังลอดทะลุเข้าโสตประสาทมาอย่างชัดเจน

‘ไม่เคยคิดเลยครับ’

‘แล้วมาถึงจุดนี้รู้สึกยังไงคะ’

‘ก็...ดีใจครับ’ อะไรบางอย่างดลให้ผมหันไปมองจอทีวีอีกครั้งเมื่อมันพูดประโยคนี้ ผมเห็นพิธีกรทำหน้าเหมือนรออยู่ว่าให้พูดอะไรมามากกว่านี้ เตชัสจึงตอบเพิ่มเติม ‘ก็ขอพูดถึงแม่แล้วกันครับ แม่คงเห็นผมแล้วนะครับ’

แม่...งั้นเหรอ?

คำตอบของมันทำให้ผมขมวดคิ้ว ความสงสัยจู่โจมเข้ามามากมาย ทำไมถึงพูดถึงแม่ล่ะ ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยพูดถึงให้ได้ยินด้วยซ้ำ แต่...เอาเถอะ ช่วงที่หายไปมันอาจมีเรื่องราวมากมายที่ผมไม่มีวันได้รู้ และอีกอย่าง ผมก็ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับมันแล้วไม่ว่าทางใด

‘น่ารักจังเลย มีอะไรฝากถึงแม่ด้วย แล้วมีอะไรฝากถึงคนที่ยังไม่ได้ไปดูบ้างคะ’

กระนั้นผมก็ยังไม่ได้หันหน้าหนีไปไหนจากรายการบันเทิงนี้

‘ไปดูเถอะครับ’

‘ง่ายๆ งี้เลยเหรอ’ พิธีกรยิ้มขำด้วยท่าทีเป็นกันเองเมื่อเตชัสตอบสั้นแค่นั้น ทำให้มันยกมุมปากเล็กๆ หัวเราะเฝื่อนในลำคอ ก่อนเอ่ยตอบ

‘ก็ไปดูเถอะครับ เป็นเรื่องที่ผมตั้งใจแสดงมาก และอยากจะพูดว่าจะพยายามต่อไป แต่เอาจริงๆ เรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุดของผมก็ได้ มันยากนะกับการที่หนังเรื่องนึงจะมีรายได้แตะพันล้านในช่วงที่ค่าตั๋วแพงแบบนี้ แบบที่...เรียกว่าถ้าผมตายตอนนี้ก็คงดังมาก เป็นตำนานเลย’

‘แล้วอยากเป็นมั้ยคะ’

‘ก็ดีนะครับ’

‘ทำไมตอบแบบนั้นล่ะคะ’ จบคำถามพิธีกรกับเตชัสก็พากันหัวเราะ บรรยากาศดูเป็นกันเอง และดูว่าการสัมภาษณ์น่าจะจบลงแค่นั้น

‘ก็จริงนี่ครับ’

แต่เตชัสกลับพูดย้ำมาอีกประโยค

ฟังดูย้ำนักย้ำหนาว่าถ้ามันตายตอนนี้จริงๆ จะเป็นเรื่องดี

และมัน...ก็ยกมุมปากขึ้นนิดๆ อย่างที่เป็นมันเสมอมา

พลันผมรู้สึกชาวาบขึ้นมาทั้งตัวจนต้องรีบหันหน้าหลบหนีรอยยิ้มนั้น

ก๋วยเตี๋ยวต้มยำไข่ที่เหลืออยู่ตรงหน้าดูจะไม่อร่อยอีกต่อไปแล้ว

รู้สึกหิวบุหรี่ คิดถึงวิญญาณร้ายของนิโคติน อยากให้มันทำลายความคิดของผมตอนนี้ซะ

เพราะความทรงจำดันไหลย้อนกลับ

ผมลุกจากโต๊ะอาหารโดยไม่เอ่ยคำพูดใดๆ กับเพื่อนร่วมโต๊ะ เดินออกมาและล้วงบุหรี่ออกมาจุดสูบ อัดมันเข้าไปเต็มปอดแล้วปล่อยควันให้ละล่องในอากาศปะปนกับกลิ่นควันไฟไหม้จากที่ไกลๆ ปะปนละอองของซากอาคารเรียนในความทรงจำ พลันผมก็กลัวขึ้นมา กลัวว่าทุกอย่างจะกลายเป็นควัน ล่องลอย และหายไปไม่กลับมาอีก

เหลือไว้แต่เพียงความทรงจำ ไม่ต่างจากภาพทรงจำในบทสนทนาสุดท้ายระหว่างผมกับเตชัส ก่อนที่มันจะหนีหายเป็นสิบปี


“กูจะไม่เป็นอย่างดาร์บี้ แครช”

จำได้ดีว่าเตชัสพูดแบบนั้น แต่นั่นไม่ใช่ประโยคสุดท้าย

มันยังมีอีกประโยคที่พูดออกมาหลังจากควันบุหรี่ที่มันเหม่อมองล่องลอยหายไปจากสายตา


“กูอยากเป็นอย่างจอห์น เลนนอน เป็นที่โด่งดัง เป็นที่รัก แล้วถึงตอนนั้นก็จะตายๆ ไปซะ”









********************************************
ดีใจจังที่มีคนติดตาม และชอบบรรยากาศเทาๆ ของเรื่องนี้  :-[

ส่วนเรื่องชื่อล็อกอินแยมส้มขมคอ ก็ต้องติดตามค่ะทำไมขม 55555

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
Re: ต่างขั้ว - THE CONTRAST --- Update Ch.7 "Love me do"
«ตอบ #12 เมื่อ16-07-2016 20:55:43 »

งะ ค้าง

ออฟไลน์ rubymoona

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 861
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +86/-5
Re: ต่างขั้ว - THE CONTRAST --- Update Ch.7 "Love me do"
«ตอบ #13 เมื่อ16-07-2016 21:32:09 »

คุณพระ พูดจาแบบนี้ได้ยังไงคะเต เป็นติณคงใจหายวาบตายเลย น่ากลัวมาก
อ่านตอนนี้แล้วคิดถึงโรงเรียนเก่าเลย อยากกลับไปกินข้าวร้านประจำบ้าง

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: ต่างขั้ว - THE CONTRAST --- Update Ch.7 "Love me do"
«ตอบ #14 เมื่อ16-07-2016 21:46:05 »

เต  มีความลับ ที่คิณไม่รู้เยอะมากสินะ
แต่ที่ติณ เพิ่งรู้ติณก็ไม่ยอมรับรู้ ไม่เชื่อซะนี่
รอ  :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
Re: ต่างขั้ว - THE CONTRAST --- Update Ch.7 "Love me do"
«ตอบ #15 เมื่อ16-07-2016 22:13:46 »

เต....นายเป็นคนยังไงกันแน่นะ

ออฟไลน์ Guill

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 678
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
Re: ต่างขั้ว - THE CONTRAST --- Update Ch.7 "Love me do"
«ตอบ #16 เมื่อ16-07-2016 22:36:33 »

มาติดตามจ้า

ออฟไลน์ แยมส้มขมคอ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-2


- ตอนที่แล้วลืมบอกไปค่ะว่าตั้งแต่ตอนที่ 8 - 10 จะเป็นพาร์ทของเตชัสนะคะ




8. Misery (1)

Teshut’s Part




โลกกลับด้าน ในตอนที่ลืมตาขึ้นมา

ภาพของจอห์น เลนนอน - พอล แม็คคาร์ตนีย์ - จอร์จ แฮริสัน และริงโก้ สตาร์  ที่ควรจะอยู่หัวเตียงกลับมาอยู่ปลายเท้า

ผมกะพริบตาช้าๆ สองสามครั้งในห้วงเวลาที่เหม่อมองภาพนั้นพร้อมกับปลุกความคิดให้ตื่นตามร่างกาย นึกไม่ออกว่าพาร่างตนเองมาอยู่บนเตียงตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่พอนึกย้อนไปไกลกว่านั้น ก็รู้สึกได้เลยว่าคำถามนั่นไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรนัก

ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเสียงของแม่ที่ได้ยินเมื่อวานอีกแล้ว

ผมมองเหล่าสมาชิก The Beatles อีกครั้ง มุมปากคงกำลังยกยิ้มให้ศิลปินวงโปรดของแม่ เพลงของพวกเขาขับกล่อมวัยหวานของแม่ จวบจนพี่ชายและผมกำเนิดมาแม่ก็ยังไม่ได้ละทิ้ง ใช้เพลงพวกนั้นกล่อมเกลาลูกรักทั้งสองคน ได้ยินแม่พูดกับพ่อบ่อยเหลือเกินว่าในที่สุดฉันก็ได้เปิดเพลงของ The Beatles ให้ลูกตัวเองฟังจนได้ และผมจำได้ดี พ่อยิ้มรับ เป็นยิ้มที่ไม่เจือความเสแสร้งใด จำได้ดีว่าพวกเรามีความสุข

ไม่สิ พวกเราเคยมีความสุข

ไม่สิ ไม่ใช่อีก

มีแค่ผมที่ ‘เคย’ มีความสุข

กว่าจะรู้ตัวว่าความสัมพันธ์ของพวกเราที่เชื่อมต่อกันด้วยท่วงทำนองเพลงนั้นตกร่องบกพร่องมานานก็สายไปเสียแล้ว

จุดเริ่มต้นมันเริ่มจากความแตกต่างระหว่างผมกับพี่ชาย ทั้งที่เคยคิดว่าพวกเราเหมือนกันมาตลอด

พี่ชายหรือที่ผมถนัดเรียกมันว่าชิน จากเตชิน มันแก่กว่าผมสามปี เป็นวัยที่ไม่มากไม่น้อยเกินไปสำหรับพี่น้อง ขณะเดียวกันก็ทำให้น้องอย่างผมชอบที่จะไล่ตามสิ่งที่มันทำ พฤติกรรมเลียนแบบเป็นเรื่องปกติสำหรับเด็กในวัยนั้น ผมคิดว่าเราจะเหมือนกันได้ทุกอย่าง ซึ่งมันก็แสดงท่าทีรำคาญนิดๆ แต่ก็ยอมให้ผมทำตาม และบางครั้งก็มีแกล้งกันบ้าง ทะเลาะกันบ้างตามประสาพี่น้อง กระทั่งวันหนึ่งรอยแยกก็เริ่มปรากฏตัว

มันคือวันที่เตชินตัดสินใจเริ่มเล่นเปียโน

ผมไม่รู้ว่าทำไมมันถึงเริ่มสนใจเปียโน และเพลงที่มันอยากเล่นก็คือเพลงคลาสสิก ทั้งที่ตลอดมาแม่ก็กล่อมเกลาเราด้วยเพลงร็อคแอนด์โรล แต่ก็ไม่ได้มีใครติดใจสงสัยอะไรมากนัก แค่มันเอ่ยปาก ทั้งพ่อและแม่ให้การสนับสนุนมันเป็นอย่างดีถึงขนาดที่ว่านอกจากส่งเรียนเปียโนแล้วยังซื้อเปียโนให้มันหนึ่งหลัง

ซึ่งตอนนั้นผมก็ไม่ได้คิดอะไร นอกจากไม่ได้อยากเล่นเปียโนเหมือนมัน

เป็นสิ่งแรกที่ผมไม่คิดอยากเลียนแบบชิน

อาจเพราะเครื่องดนตรีที่ผมอยากเล่นคือกีตาร์

ผมอยากเล่นเพลงของ The Beatles ให้แม่ฟัง

และก็เช่นกันเมื่อผมเอ่ยปาก พ่อแม่ก็ให้การสนับสนุนไม่ต่างกัน แต่แม่จะชอบมาขลุกอยู่กับผมมากกว่าเมื่อผมเริ่มเล่นเป็นเพลงได้แล้ว แม้จะเล็กน้อยแต่ถ้าสังเกตดีๆ ก็จะสัมผัสได้ ผมจำยิ้มของแม่ที่อบอุ่นและประทับใจในตัวผมได้ดี ผมชอบรอยยิ้มแบบนั้น ผมรู้สึกมีความสุข และรู้สึกว่าถูกรัก

จนบางครั้งก็คิดไปว่ายังไงแม่ก็รักลูกคนเล็กอย่างผมมากกว่าลูกคนโตอย่างชิน

เพราะฉะนั้นต่อให้ไอ้ชินจะเล่นเปียโนเก่งแค่ไหนก็ไม่เป็นไร

มันจะไปกวาดรางวัลอะไรมา หรือมันจะเรียนเก่งด้วยก็ช่างหัว

ยังไงแม่ก็ยังยิ้มให้ผมแบบนั้น และรักในสิ่งที่ผมเป็น

แต่แล้ววันหนึ่ง ผมก็ได้ยินชัดเจนถึงท่วงทำนองของความสัมพันธ์ที่ขาดสะบั้น

มันเป็นวันที่ผมรู้ว่าตัวเองสอบเข้า ม.1 โรงเรียนที่ชินสอบเข้าได้สบายๆ ไม่ติด ทั้งที่ก็พยายามเต็มที่แล้ว เป็นวันแรกที่เห็นหน้าตาของความผิดหวังชัดเจน อีกทั้งความเสียใจก็ดูตัวใหญ่กว่าที่ควรจะเป็น

เพราะการมีพี่น้องยังไงก็ถูกเปรียบเทียบ

ยิ่งไอ้ชินสอบเข้า ม.4 โรงเรียนเตรียมอุดมฯ ได้ ผมก็เห็นข้อเปรียบเทียบใหญ่ยักษ์ในสายตาที่พ่อแม่มองมา แม้จะเก็บซ่อนสักเท่าไหร่ก็คงซ่อนไม่มิด ซึ่งในตอนนั้นเองที่ผมสัมผัสได้ถึงความเงียบในความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเตชิน

ขณะเดียวกัน รอยร้าวในความสัมพันธ์ของพ่อกับแม่ก็เริ่มเผยตัวออกมาราวกับเป็นสิ่งที่แอบซ่อนในบทเพลงรักแสนหวานที่พวกเราได้ฟังมาตลอด

แม่มีคนอื่น เป็นเหตุผลให้พ่อฟ้องหย่า

สินสมรสถูกแบ่งครึ่งตามกฎหมาย ขณะเดียวกันลูกชายทั้งสองคนก็ต้องแยกกันเลี้ยงดู

ตอนนั้นถึงรู้สึกราวกับว่าพวกเราสองพี่น้องเป็นสิ่งของ

และผม...ก็ไม่ใช่สิ่งของที่แม่เลือก

ทั้งที่คิดมาตลอดว่าแม่จะเลือกผม รอยยิ้มเหล่านั้นประทับอยู่ในความรู้สึกตลอดเวลา และมันก็ทำให้ผมเชื่อมั่นว่าแม่รักผมมากกว่า

แต่แม่ก็เลือกไอ้ชิน

ส่วนพ่อไม่ได้เอ่ยปากอะไรเลย เพียงยอมแม่ไปง่ายๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยากเลือกผมไปอยู่ด้วยหรือเปล่า

วันที่จะแยกจาก แม่กอดผมแน่นทว่าลูบเรือนผมแผ่วเบา บอกรักอยู่ข้างหู ได้ยินเสียงที่รื้นความอาวรณ์ ก่อนจะผละอ้อมกอด แม่ยิ้มให้ เป็นรอยยิ้มอบอุ่นเดิมที่ผมรัก ผมยิ้มตอบ แล้วแม่ก็ไป

ไปกับเตชินพี่ชายของผม และแม่ก็ยิ้มให้เตชินด้วยรอยยิ้มเดียวกับที่ผมได้

ตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกว่าหัวใจของตนมีหลุมลึกขนาดใหญ่ปรากฏตัวออกมา








นับแต่วันนั้นพ่อก็ไม่ยิ้มให้เห็นอีก

ไม่ยิ้ม ไม่โกรธเกรี้ยว ไม่ดุด่า ไม่ว่ากล่าว พ่อเพียงเฉย เฉยกับทุกสิ่งอย่าง ราวกับมัดความรู้สึกผูกไว้กับแม่ที่จากพวกเราไปแล้ว

ยิ่งอยู่กับพ่อ ผมยิ่งรู้สึกว่าหลุมลึกในใจยิ่งขยายใหญ่

แต่ในเวลานั้น ใครบางคนก็เข้ามาในชีวิตผม และทำให้รู้สึกว่าหลุมลึกนั้นอาจมีทางถมมันหายไป

ติณคือคนคนนั้น

ตอนเจอกันครั้งแรก ผมรู้สึกว่าติณเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็ก ดวงตากลมดูมีชีวิตชีวาและมักจับจ้องไปยังสิ่งที่สนใจแต่ก็ไม่ใช่เด็กพูดมาก และถึงจะอ่อนกว่าผมสองปีก็กลับรู้สึกว่ามันอ่อนต่อโลกกว่าผมหลายเท่า ดูไม่ประสีประสาอะไรจากการถูกเลี้ยงอย่างประคบประหงมเพราะเป็นลูกชายคนเดียวในบ้านที่มีเชื้อจีน แต่ก็อาจเป็นเพราะแบบนั้น จึงทำให้ติณมักจะใช้ดวงตาคู่นั้นจับจ้องมาที่ผม คนที่ดูแปลกใหม่ในสายตา และเริ่มไล่ตามผม

ไม่ต่างกับที่ผมเคยไล่ตามพี่ชายตัวเอง

ตอนนั้นผมคิดว่าเริ่มจะเข้าใจความรู้สึกไอ้ชินเวลามีคนมาไล่ตาม มันเป็นความรู้สึกที่ดีพิกล แต่แน่นอนว่ายังไงก็คงต่างออกไป เพราะผมไม่ได้มีอะไรดีเลิศเลออย่างไอ้ชิน แต่ติณก็ยังชื่นชมผม

แรกๆ ผมก็คิดว่าคงเพราะโลกของมันยังแคบ ถ้ารู้จักคนมากกว่านี้มันก็คงไปเองสักวัน แต่พอเวลาล่วงผ่าน มันก็เฉลยให้เห็นอย่างจริงใจว่าไม่ใช่

ติณยังคงเป็นติณเสมอต้นเสมอปลาย ติณที่ยังสนอกสนใจในตัวผม แม้ว่าตัวมันเองจะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ก้าวนำผมไปแล้วก็ตาม

ติณเป็นคนเก่ง ฉลาดและหัวไว เรียกได้ว่าถ้าตั้งใจจะทำอะไรก็ทำได้หมด ผิดกับผมที่ต่อให้จะพยายามแค่ไหน ไม่ว่าเรื่องอะไร ก็มักจะคว้าน้ำเหลวอยู่เสมอ แม้แต่เรื่องดนตรีที่ผมรักที่สุด อยากจะมีวงดีๆ สักวงและทำเพลงของตัวเอง แต่ทุกอย่างก็ผิดพลาดเพียงเพราะผมจริงจังกับเรื่องนี้เกินไป ในขณะที่เพื่อนร่วมวงไม่ได้มีฝันเดียวกัน

แน่นอนว่าเวลานั้นความเสียใจและผิดหวังก็พาร่างของมันแวะเวียนเข้ามาในชีวิตผมอีกครั้ง

แต่ติณก็ทำให้ผมรู้สึกว่าไม่เป็นไร

เพราะยังไงก็ยังมีมันที่ฟังผมเล่นกีตาร์อยู่ทั้งคน

ตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกได้ว่านอกจากจะชื่นชมมันแล้ว ผมยังชอบมัน ชอบมาก ชอบเกินกว่าที่พี่ชายหรือเพื่อนคนหนึ่งพึงจะมีความรู้สึกมากล้นขนาดนี้ให้

ผมรักติณ

รักจนบางครั้งก็กลัวว่าวันหนึ่งผมจะไม่ใช่ที่หนึ่งของมันอีก

สุดท้ายผมจึงบังคับครอบครองมัน ทำลงไปอย่างเห็นแก่ตัว แต่อาจเป็นโชคดีเดียวในชีวิตผมที่ติณก็ไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจอะไรนอกจากหวั่นกลัวสิ่งที่ไม่เคยทำ

พอเป็นแบบนั้นจึงใช้เวลาทั้งคืนครวญคิดว่าควรพูดให้ชัดเจนถึงความรู้สึกที่มี รวมถึงสร้างข้อสัญญาผูกมัดว่าเราจะอยู่ในฐานะอะไรต่อกัน

ผมอยาก...ให้ติณเป็นของผมคนเดียว

แต่ก่อนจะได้ทำแบบนั้น ก่อนจะได้พูดอะไรกับติณในตอนเช้าที่มันยังไม่ตื่นดี ผมก็เห็นได้จากชั้นสองบ้านของติณว่ามีรถคันหนึ่งมาจอดที่หน้าบ้านผม และคนที่ลงจากรถก็ทำให้หัวใจผมกระตุก เป็นแม่ที่มาบ้านของผมพร้อมกับพี่ชายโดยที่ไม่ได้บอกกับผมล่วงหน้า ไม่สิ แม่ไม่เคยติดต่อผมมาเองด้วยซ้ำ ทำราวกับรอยยิ้มอบอุ่นนั้นเป็นเรื่องโกหกหลอกลวง กระนั้นผมก็ยังยิ้มออกมาเมื่อได้เห็นว่าแม่มาหา

เป็นดังนั้นจึงรีบมุ่งตรงไปหน้าบ้าน มีอะไรอยากจะพูดให้แม่ฟังมหาศาลแต่เวลานี้นึกไม่ออกเลยสักเรื่อง ทว่าสมองก็สั่งให้ช่างมันก่อน ผมอยากจะพบหน้าแม่ที่ไม่ได้พบมานาน แม่ที่ผมคิดถึงมาตลอด แม่ที่ยังทำให้ผมเล่นเพลงของ The Beatles อยู่บ่อยๆ เผื่อว่าสักวันจะได้เล่นให้ฟังอีก แต่แล้วพ่อของผมก็ออกจากบ้านมาพบแม่ก่อนในตอนที่ผมเดินมาถึงหน้าบ้านของติณ

ยังไม่มีใครรับรู้ว่าผมยืนอยู่ไม่ไกล กระนั้นผมก็ไม่ได้เดินเข้าไปหา เพราะบางอย่างสะกดผมเอาไว้ให้หยุดนิ่ง

มันคือ...รอยยิ้มของพ่อ

รอยยิ้มของพ่อเมื่อได้เห็นลูกชายคนโตอย่างไอ้ชิน

‘ไงชิน ปีสองแล้วใช่มั้ย สบายดีนะ’

‘ครับ สบายดี’

‘เรื่องเรียนก็สบายล่ะสิ เก่งอยู่แล้วเราอะ’

ผมเห็นว่าเตชินไม่ได้พูดอะไร มันแค่ยิ้ม ขณะที่พ่อตบไหล่มันก่อนจะกอดคออย่างอยากใกล้ชิดสนิทสนม

‘แล้วไอ้ชัสเป็นไงบ้างพ่อ’

‘มันก็ยังไม่ได้เรื่องเหมือนเคยแหละ’

พ่อตอบแบบนั้น...ทั้งยังยิ้ม

‘ปีหน้าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้หรือเปล่ายังไม่รู้’

‘คุณอย่าพูดแบบนั้นให้ลูกได้ยินนะ’ แม่ปราม ผมเกือบจะยกยิ้มอยู่แล้ว ‘ถึงจะไม่ได้ ม.เดียวกับชินแต่ก็คงสอบได้สักที่นั่นแหละ’

เกือบจะยกยิ้มอยู่แล้วถ้าไม่มีประโยคนั้นตามมา

ทำให้ได้รู้ว่าจริงๆ แล้วมีแค่ผมคนเดียวที่ ‘เคย’ มีความสุขกับครอบครัวนี้

เพราะทุกวันนี้ ทุกคนก็สามารถมีความสุขต่อไปได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ต่างจากผม

แม่เองมีไอ้ชินก็พอแล้ว ต่อให้มันไม่เล่นเพลงของ The Beatles ให้แม่ฟัง แม่ก็พอใจกับลูกคนโตคนนั้นที่เป็นคนดีคนเก่งใช่มั้ย

แล้วดูพ่อสิ พ่อยังยิ้มได้เมื่ออยู่กับไอ้ชิน ทั้งที่พ่อไม่เคยยิ้มให้ผมเห็นเลยด้วยซ้ำตั้งแต่วันนั้น

ที่จริงก็คิดมาตลอดว่าถ้าวันนั้นให้พ่อเลือกระหว่างผมกับไอ้ชิน พ่อก็จะเลือกไอ้ชิน

ก็รู้อยู่แล้ว ว่าสักวันหนึ่งอาจต้องเห็นอะไรแบบนี้

ก็รู้อยู่แล้วล่ะ

ตอนนั้นเองที่ผมรู้ว่าหัวใจของผมไม่ได้ ‘มี’ หลุมลึกขนาดใหญ่อยู่หรอก

แต่หัวใจของผมเองต่างหากที่ ‘เป็น’ หลุมลึกขนาดใหญ่

ทั้งยัง...ไร้ก้นบึ้ง










ออฟไลน์ kdds

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
ชอบอารมณ์หม่นๆของเรื่องนี้แหะ เข้าใจอารมณ์ลูกคนเล็กที่มีพี่เก่งกว่าทุกอย่างทั้งหัวสมองและความมีมนุษย์สัมพันธ์ โดนเปรียบเทียบบ่อยมากตอนเด็ก อยากจะร้องไห้
รอตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
เป็นคนวิ่งตามหาความรักสินะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ rubymoona

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 861
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +86/-5
นี่มันพ่อแม่รังแกฉัน นี่มันแย่ที่สุด ขอโทษนะเตที่เคยด่าเตไป สู้ๆนะเต
แต่ห้ามทำติณเสียใจนะเฮ้ย!

ออฟไลน์ toutnoir

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เราเหมือนจะเข้าใจหลุมดำของเตขึ้นมาอีกนิดนะ ถ้าแค่ 'มี' หลุมคงหาอะไรปิดได้ แต่ 'เป็น' หลุมเนี่ยสิ จะปิดยังไง ..ยังไงก็ สู้ๆ นะเต <3

ออฟไลน์ แยมส้มขมคอ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-2

9. Misery (2)

Teshut’s Part



ผมยังคงนอนอยู่บนเตียง มองภาพศิลปินยุค 60 ที่กลายเป็นตำนานกล่าวขานมาถึงปัจจุบันและคงสืบต่อไปตราบเท่าที่มนุษย์ยังมีประวัติศาสตร์ รู้ดีว่าไม่อาจเป็นแบบพวกเขา ไม่ได้แม้สักเศษเสี้ยว แต่แค่ได้ยืนอยู่บนยอดพีระมิดไหนสักแห่งในสังคมที่ตนเองอยู่ พีระมิดที่คนที่ทอดทิ้งผมไปเองก็จะมองเห็น แค่ทำแบบนั้นได้ ผมก็พอใจแล้ว

ตอนนี้ผมกำลังยืนอยู่บนยอดพีระมิดของความโด่งดัง ดีใจที่เป็นที่หนึ่งได้แล้วสักครั้งในชีวิต แต่ก็รู้ดีว่าสักวันจะไถลลื่นตกลงมา ไม่ด้วยตัวเองก็ด้วยน้ำมือของคนอื่น ไม่ว่าตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ กาลเวลาจะพัดพาเรื่องแบบนั้นเข้ามาอยู่เสมอ และบ่อยครั้งเราก็จะถูกกาลเวลาหลงลืมไป

แต่ผมไม่อยากถูกลืม

คิดแบบนั้น ผมก็เห็นความรู้สึกของตัวเองชัดขึ้นมาอีกแล้ว เป็นก้อนเงาทะมึนประหลาดๆ ที่ดูเหนียวข้นไปด้วยความหม่นเศร้า มันคืบคลานเข้ามาจับมือทั้งสองข้างของผมไว้ ก่อนจะบีบเข้าที่คอของผมเองอย่างช้าๆ และแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ

‘เป็นไงบ้างลูก สบายดีหรือเปล่า ทำงานหนักมั้ย’

รู้สึกถึงกระดูกสันหลัง ลูกกระเดือก และกล้ามเนื้อในกำมือ

‘เห็นลูกพูดถึงแม่ในทีวีน่ะ แม่ก็เลยหาทางติดต่อมา’

สัมผัสได้ถึงเส้นเลือดกำลังเต้นตุบๆ คัดค้านการกระทำ

‘คุยกับผู้จัดการลูกอยู่ตั้งนานแน่ะ กว่าเขาจะยอม’

ความอึดอัดเริ่มคัดคั่งในระบบทางเดินหายใจ

‘ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งลูกจะดังขนาดนี้ ดีใจกับลูกด้วยนะ ถ้ายังไงติดต่อแม่มาบ้างสิ แล้วก็...แม่รักลูกนะ’

ฉับพลันผมปล่อยมือ สูดเอาอากาศเข้าไปอย่างโหยหา หายใจลึกและเนิบช้า ขณะที่น้ำตาค่อยๆ ไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง

ผมคิดมาตลอดว่าจะไปมีความหมายอะไรถ้าเกิดมาบนโลกใบนี้แล้วไม่เคยถูกรักแม้สักครั้ง

วันนี้ผมรู้สึกว่าทำตามสิ่งที่คิดมาตลอดได้แล้ว แต่ในหัวใจผมกลับยังเป็นหลุมลึกไร้จุดสิ้นสุดและเต็มไปด้วยความว่างเปล่า

ผมร้องไห้ เมื่อนึกถึงติณ








ในวันที่พ่อผมยิ้มให้พี่ชายที่ดีกว่าผมทุกอย่าง ผมเริ่มเห็นความรู้สึกของตัวเองเป็นรูปเป็นร่างชัดขึ้น เป็นกลุ่มก้อนเงาประหลาดที่ดูเหนอะหนะและหม่นเศร้า อันที่จริงก็เห็นมันมานานแล้วตั้งแต่ตอนที่สอบเข้า ม.1 ไม่ติด เพียงแต่ในเช้าวันนั้นผมเห็นมันชัดราวกับมีตัวตน คล้ายเป็นภาพซ้อนทับจากมิติไหนสักแห่ง อาจจะมาจากหลุมลึกของจิตใจ อย่างไรก็ตาม ผมรู้สึกว่าผมเห็นมัน และมันก็ตามผมมา

ชวนให้อึดอัดจนพูดอะไรกับติณอย่างที่ตั้งใจไว้ไม่ได้

ผมพูดไม่ออก ต่อให้ดวงตาของติณจะจ้องมองมาอย่างเฝ้ารอคำอธิบายในความสัมพันธ์

ไม่ใช่ว่าไม่อยากพูด ไม่ใช่ว่าอยากทำให้เสียใจ แต่เหมือนความรู้สึกหม่นเศร้านั่นดึงรั้งผมไว้ – ยัง ยังไม่ใช่ตอนนี้ – เหมือนมันกระซิบบอกผมแบบนั้น

จนสุดท้ายผมได้แต่ยกยิ้มให้ติณเหมือนอย่างที่เคยทำ

เป็นรอยยิ้มโง่ๆ เท่าที่ใครสักคนจะผลิตออกมาได้

ในตอนนั้นผมคิดว่าคงต้องจัดการกับความรู้สึกของตัวเองเสียก่อน ถึงจะสามารถกลับมาพูดมันกับติณ ทว่าก็ไม่มีอะไรเป็นอย่างที่คิด

ก้อนเงาประหลาดของความหม่นเศร้านั้นตามติดผมยังกับเป็นเงาตามตัว

ยิ่งผมเห็นมัน ผมยิ่งรู้สึกว่าถูกละทิ้งจากโลกใบนี้ กระนั้นก็ยังถูกสั่งให้ก้มหน้าก้มตาใช้ชีวิตไปซะ

แต่ไม่ ผมจะไม่ก้มหน้าศิโรราบให้แก่มัน

ผมเถียงมันไปเช่นนั้น เพราะคิดว่ายังไงผมก็ยังมีติณอยู่ทั้งคน

ผมจะเผชิญหน้ากับมัน จะไม่ก้มหน้าก้มตาแต่จะเชิดหน้าเอาไว้และรอสักวันที่จะได้เหลือบมองมันลงมาจากตำแหน่งที่สูงกว่า และจะไม่มีใครเหนือไปกว่าผมทั้งนั้น

ถ้าเป็นแบบนั้น ถ้าอยู่ในจุดที่สูงที่สุด คนที่เคยละทิ้งไปก็จะมองเห็นผม

โดยเฉพาะแม่

ผมคิดอย่างนั้น หวังอย่างสุดหัวใจที่เป็นหลุมลึกไร้ก้นบึ้งว่าจะมีสักเรื่องที่ทำได้ดีพอ แต่เหมือนทุกครั้งที่ตั้งความหวังอะไรไว้ก็จะถูกก้อนหม่นเศร้านั้นเข้ากระแทกให้ล้มลง แม้เรื่องเรียนที่ผมพยายามแล้วและพยายามมาตลอดก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ที่จริงก็รู้ดีว่าตัวเองมันเป็นไอ้ห่วย เป็นพวกไม่ได้เรื่อง  ต่อให้พยายามเท่าไหร่ก็จะถูกตราหน้าเช่นนั้น และมันก็เป็นแบบนั้นไม่เปลี่ยนแปลง ยืนยันได้จากการที่พยายามมากเท่าไหร่ ผลการเรียนของผมก็ขยับมาอยู่แค่ในระดับกลาง ไม่โดดเด่นอะไร และพ่อก็ไม่ได้สนใจเหมือนเคย เพราะฉะนั้นอย่าคิดเลยว่าความพยายามนี้จะส่งไปถึงแม่ได้

ผมรู้ เพราะมันไม่ใช่ที่หนึ่งถึงได้เป็นแบบนี้

ผมไม่ได้ยืนอยู่บนยอดสูงสุดของพีระมิด

ความรู้สึกหม่นเศร้าดูจะตัวใหญ่ขึ้นทุกที

ขณะที่ติณไม่เคยต้องมารับรู้ความรู้สึกแบบนี้เลย

มันเป็นคนเก่งมาตั้งแต่ไหนแต่ไร และถ้ามันทุ่มเทเท่าที่ผมทำ อาจจะไปได้ไกลกว่าผมจนมองไม่เห็นฝุ่นเลยด้วยซ้ำ อย่างตอนขึ้น ม.4 มันก็สอบเข้าโรงเรียนที่ไอ้ชินเรียนได้แต่กลับไม่ยอมไป ด้วยเหตุผลบ้าๆ ว่า...อยากอยู่กับผมมากกว่า

ตอนที่ได้ฟัง ถึงจะออกปากด่า แต่ลึกๆ แล้วก็แอบดีใจ

ติณทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองมีค่า

กลับกัน ติณไม่จำเป็นต้องให้ใครมาบอก มันก็มีค่าในตัวมันเองอยู่แล้ว

มีค่าจนถ่อมตัวลงมาอยู่บ่อยๆ เป็นการป้องกันตนเอง

ผมชินกับนิสัยแบบนี้ของมัน และก็รู้ดีว่ามันเป็นเพราะคำพูดของผมที่ยืนกรานไม่ให้มันล้มเลิกสิ่งที่อยากจะทำไม่ว่าเรื่องอะไร จะพูดถ่อมตัวแค่ไหนก็ได้แต่อย่าล้มเลิกสละตำแหน่งที่ยืนให้ใครง่ายๆ เพราะต่อให้ทำไปด้วยความหวังดี มันก็จะเป็นการดูถูกคนที่พยายามเพื่อตำแหน่งนั้น

ต่อให้ไอ้คนคนนั้นจะพยายามแค่ไหนก็ไม่ได้ตำแหน่งนั้นมาก็ตามที

ผมรู้ดี เพราะคนแบบนั้นก็คือตัวผมเอง

และผมก็มักจะคอยพูดคำว่า ‘ดีแล้ว’ ให้ติณฟัง ตอนที่มันมาเล่าว่าได้อะไรมาบ้างจากสิ่งที่ตั้งใจทำ พูดไปอย่างจริงใจและรู้สึกว่ายินดีกับมันจริงๆ ถึงจะเป็นแค่คำพูดที่ดูโง่ๆ ก็ตาม

แต่แล้ว...วันหนึ่งความหมายในคำนี้จากปากผมก็เปลี่ยนไป

ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่มันเริ่มกลายเป็นคำโกหก

อาจเป็นเพราะตัวตนอีกด้านสะท้อนก้องออกมา ตัวตนที่มืดมนถูกปลุกจากก้อนความรู้สึกระยำนั่น  มันทำให้ผมรู้สึกนึกแค้นกับความพยายามที่ไม่เคยเป็นผลของตนเอง ขณะที่ติณกลับได้ไปทุกอย่าง หนำซ้ำยังแสดงท่าทีถ่อมตนไม่ยอมภูมิใจกับมัน หากผมก็พยายามระงับและกดเก็บความรู้สึกนี้ไว้ แต่มันก็ยังสำแดงฤทธิ์มากขึ้นทุกที

ผมเริ่มไม่ถูกหูกับคำถ่อมตนใดๆ ที่ติณพูดออกมา

รู้สึกสะอิดสะเอียน และอยากจะทำลายมันซะ

กระนั้นผมก็ยังพูดว่า ‘ดีแล้ว’ ไปเหมือนเดิม

พูดออกไปด้วยหวังว่าจะมีอะไรเป็นเหมือนเดิม

ผมพูดออกไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า

แต่รู้ตัวอีกทีว่าโกหกต่อไปไม่ไหวแล้ว ก็ตอนที่ผมยืนอยู่ในห้องของติณตอนที่มันไม่อยู่ เอกสารทางการเรียนของมันกระจัดกระจาย เรียบเรียงสติก็รู้ได้ว่าตนเองเป็นคนรื้อค้น และตอนที่นึกออกว่าผมทำลงไปทำไม ความศรัทธาที่มีในตนเองก็สูญสิ้น

ผมอยากจะทำลายอนาคตของมัน อยากจะดึงมันลงมาจากยอดพีระมิด ดึงมันลงมาจากที่หนึ่งที่มันไม่เคยภูมิใจให้เห็นเลยสักครั้ง

ความชื่นชมที่เคยมีให้มันถูกความอิจฉากัดกินแหว่งวิ่นจนแทบไม่เหลือตัวตน

ตอนที่รู้ตัวแบบนั้น ผมหวาดกลัวในตัวเอง จิตใจสั่นสะท้านอย่างไม่อาจต้าน รู้สึกสับสนไปหมดระหว่างความรักกับความเกลียดชัง ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองยืนอยู่ตรงเส้นคั่นกึ่งกลางหรือได้ก้าวข้ามไปยังแดนแห่งความเกลียดชังแล้ว กระนั้นผมก็อยากพาตัวเองกลับมา ผมไม่อยากลายเป็นปิศาจร้าย ผมไม่อยากถูกไอ้ก้อนเงาทะมึนหม่นเศร้านั่นครอบงำ คิดได้แบบนั้นผมก็ค่อยๆ เก็บเอกสารของติณกลับที่ทีละแผ่น ด้วยมือที่สั่นเครือ ด้วยลมหายใจที่ติดขัด

และด้วยน้ำตาที่ต้องระวังเหลือเกินไม่ให้โดนเอกสารเหล่านั้น

ผมได้แต่บอกกับตัวเองว่าจะขจัดความอิจฉานี่ให้หมดไปจากหัวใจ ทว่าได้เห็นหน้าติณทีไร ได้ฟังเรื่องราวที่มันเล่า ได้ฟังถ้อยคำถ่อมตนของมัน ผมก็รู้ดีว่าไม่อาจจะขจัดไปได้ คล้ายก้อนความรู้สึกหม่นเศร้าสีดำมืดที่ไม่เคยหายไปจากสายตา

สิ่งที่ผมทำได้มีเพียงพูดคำว่า ‘ดีแล้ว’ และยกยิ้มโง่ๆ ให้ติณเหมือนเคย ทั้งที่ในใจกำลังถูกกัดกลืนด้วยความอิจฉาจนเกือบจะชิงชัง

ทรมาน

ทรมาน อึดอัด และไม่อาจอธิบายให้ใครฟัง เพราะเชื่อว่าไม่มีใครเข้าใจ

ผมไม่อยากทำร้ายติณ

มันไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยด้วยซ้ำ

แววตาที่ติณใช้จ้องมองผมเสมอมาก็ยังเป็นแววตาเดิม เหมือนครั้งยังเป็นเด็ก เหมือนตอนที่เราเจอกันครั้งแรก และไม่เคยเจือความชิงชังอยู่ในแววตาอย่างที่ผมต้องข่มอารมณ์เมื่อมองมัน

ผมไม่อยากมองติณด้วยสายตาแบบนั้น

เพราะฉะนั้น ในตอนที่ผมยังหลงเหลือความรักอยู่ในซากหัวใจที่โสมม ในตอนที่ผมยังพอจะมองติณด้วยความรู้สึกอยากจะเห็นมันยิ้ม อยากจะเห็นมันมีความสุข ไม่ใช่ว่าอยากจะทำร้ายและทำลายอย่างไม่หลงเหลือความคิดห้ามตนเอง ผมจึงต้องไปจากติณ ไปให้พ้นๆ ไปให้ไกลแสนไกลและไม่ต้องพบเจอกันอีก

ผมจากมันมา ด้วยภาพทรงจำที่ติณยังคงเป็นคนที่ผมรัก

หากนับแต่วันนั้น ทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมา ผมก็ไม่เคยอยากมีชีวิตอยู่ต่อเลยสักวัน















****************************************************************************************
เท่าที่เคยเขียนมา เตชัสเป็นพระเอกที่ต่างจากเรื่องอื่นๆมาก (ส่วนใหญ่แยมชอบแนวเมะลูกหมาแต่แท้จริงเป็นหมาป่า) แต่ก็ชอบมากเช่นกันค่ะ

แจ้งนิดว่าเรื่องนี้ไม่ยาวมากนะคะ เหมือนนวนิยายขนาดสั้นเลย อีกไม่กี่ตอนก็จบแล้วค่ะ

ออฟไลน์ rubymoona

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 861
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +86/-5
เตเป็นคนน่าสงสารอะ รู้ว่าเตคงไม่อยากให้สงสารแน่ๆ ขอโทษนะ
เข้าใจเตทั่งหมดเลย ยิ่งตอนที่เห็นแม่เตติดต่อมา ประโยคที่พูด แค่อ่านยังรู้สึกว่ามันสร้างหลุมในใจเราเลย

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เต จมกับความอิจฉาพี่ ติณ เพราะเขาเก่งกว่าทุกด้าน
เต อยากได้ความรัก ความภูมิใจจากพ่อแม่
ก็มีคนมากมายที่เขาไม่เก่ง เขาก็ทุกข์ แต่เขาไม่จมกับความทุกข์
ให้ความทุกข์ ความอิจฉา ความไม่เท่าเทียม มากัดกินตัวเอง
และยังปิดบังทุกอย่างจากติณ คนที่ดีและรักเตอย่างจริงใจ
ถ้า เต ยังออกมาจากหลุมมืด ถมหลุมมืดของตัวเองไม่ได้
ก็จมหลุมมืดไปจนตายคนเดียวเถอะ
ติณ คงรู้หรอกนะ ถ้าไม่บอก ไม่พูด ให้ฟัง
รอ  :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
สงสารเต นี่มันโรคซึมเศร้าแล้ว

ออฟไลน์ แยมส้มขมคอ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-2
10. Misery (3)

Teshut’s Part


ผมมองลงไปเบื้องล่าง จากคอนโดชั้นที่สามสิบห้า เห็นผู้คนตัวเล็กเท่ามด จนรู้สึกไปว่าชีวิตที่เห็นอยู่นั้นไม่มีสิ่งใดเป็นความจริงสักอย่าง รวมถึงตัวของผมเองด้วย

เป็นแค่ก้อนเนื้อไร้จิตวิญญาณ

รักใครก็ไม่ได้

ถูกรักก็ไม่ได้

ไม่สิ...ต่อให้ถูกรักก็ไม่รู้สึกดีใจอีกแล้ว

ทั้งที่เคยคิดมาตลอดว่าชีวิตคงไร้ความหมายถ้าไม่ถูกรัก

แต่วันนี้ผมก็ได้ค้นพบว่าชีวิตที่ไร้ความหมายกว่าคือชีวิตที่รักใครไม่ได้เลย

ตอนที่ได้กลับมาพบกับติณอีกครั้ง แววตาของมันยังดูเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ชั่ววูบหนึ่งทำให้ผมคิดไปว่าบางทีความอิจฉาจะถูกชะล้างผ่านกาลเวลา ผมดีใจที่ได้พบอีกครั้ง ดีใจจนอยากเข้าไปกอดให้แน่นๆ แต่ก็กดข่มอารมณ์ไว้ และในที่สุดก็ได้พบว่ากาลเวลาไม่เคยช่วยอะไร

คำพูดถ่อมตัวของติณยังทำให้ผมรู้สึกสะอิดสะเอียน

แต่ผมก็ยังหวัง หวังว่าจะย้อนเวลากลับไปในวันที่หัวใจยังเป็นหัวใจ ไม่ใช่หลุมลึกไร้ก้นบึ้ง ถึงจะรู้ดีว่าก้อนความรู้สึกที่เหนียวข้นไปด้วยความหม่นเศร้าจะทำให้ผมกลับไปเป็นแบบนั้นไม่ได้

คล้ายผมต้องคำสาป

ผมจึงอยากจะฝ่าฝืนความคิดทั้งหมด ฝ่าฝืนความรู้สึกที่อยู่ในเขตแดนของความเกลียดชังและรุกล้ำเข้าไปในเขตแดนของความรัก ไขว่คว้าครอบครองมันอีกสักครั้ง อยากจะรู้เหลือเกินว่าเราจะกลับไปในวันเก่าได้มั้ย แต่สุดท้าย สิ่งที่ผมทำลงไป มันก็แค่ความเห็นแก่ตัว

ต่อให้ติณไม่ผลักไสผมออกมา หลังจากนั้น ผมก็จะพบเจอแต่ความอิจฉาของตนเอง เพราะวันใดที่ผมร่วงหล่นจากยอดพีระมิด ผมรู้ดีว่าตนเองจะกลับไปอิจฉาติณอีกครั้ง

ชีวิตที่ไขว่คว้าหาการเป็นที่หนึ่ง อยากได้รับความสนใจ อยากได้รับความรัก ผมถอนตัวออกจากมันไม่ได้แล้ว

ยิ่งคิด เงาทะมึนทึมเทาก็ยิ่งขยายใหญ่ขึ้นทุกที

เพราะงั้น...ดีแล้วที่ติณผลักไสผม

ดีแล้ว

ดีแล้วที่มันไม่ใช่คนที่ทำให้รู้สึกว่าชีวิตนั้นไม่มีสิ่งใดเป็นความจริงสักอย่าง ไม่เหมือนผู้คนเบื้องล่างที่ผมยังคงทอดมอง

ลมปะทะเข้าใบหน้า เสียงของมันเหมือนกระซิบเชิญชวนให้ทำตามขั้นตอนสุดท้ายของแผนการที่ดำเนินมาเกือบตลอดชีวิต แผนการที่อยากจะเป็นที่โด่งดัง เป็นที่รัก จนได้กลับไปอยู่ในสายตาของคนที่เคยทิ้งไป จากนั้น...จึงค่อยฆ่าตัวตายซะ

พลันเงาของความหม่นเศร้ายิ่งแผ่ขยายตัวตนให้ใหญ่ขึ้นทุกที และอีกครั้งที่รู้สึกเหมือนมันบังคับร่างกายผมให้ขึ้นไปนั่งบนราวระเบียง

สายลมกระซิบกระซาบข้างหูอีกครั้ง เหมือนเป็นถ้อยคำแสดงความยินดีที่ผมกำลังจะสมหวัง

แต่ก็ไม่ได้สำคัญอะไรอีกแล้ว

Rrrrrrrr

ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือแทรกเข้ามาในเสียงกู่ร้องยินดีของสายลม แต่นั่นก็ไม่สำคัญเช่นกัน ผมมองลงไปเบื้องล่าง คิดว่าถ้าตกลงไปจะไปอยู่ที่ฟุตปาธบล็อกไหน และจินตนาการว่าสภาพศพตัวเองจะเป็นยังไง

Rrrrrrr


แต่มือถือก็ยังคงกรีดร้อง บางทีก็ฟังดูคล้ายเสียงร่ำไห้

อา จะว่าไป...ถ้าผมตาย ใครจะร้องไห้ให้ผมอย่างสุดหัวใจบ้างนะ

ติณจะร้องไห้ให้ผมมั้ย หรือว่ามันเกลียดผมไปแล้ว

แล้วแม่ล่ะ...

Rrrrrrr


พลันผมฝืนต่อต้านแรงดุนดันของเงาทะมึนหม่นเศร้าที่อยากผลักผมให้ตกลงไปเต็มที เดินตรงไปยังโทรศัพท์มือถือที่นอนแห้งแล้งอยู่บนเตียง ใจคิดไปว่าถ้าแม่โทรมาผมก็อยากจะรับ แม้หลังจากนี้ผมจะกลายเป็นความว่างเปล่าผมก็อยากจะรับ

เบอร์แปลกปรากฏต่อสายตาเมื่อหยิบขึ้นมาดู ผมเหม่อมองอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกดรับสาย แนบหู ไม่พูดอะไร เพียงรับฟัง

[ฮัลโหล เตชัสใช่มั้ยครับ]

และเสียงที่ได้ยินก็ทำให้รู้สึกว่าตัวเองช่างว่างเปล่า ทั้งที่ยังมีชีวิต

มันเป็นเสียงของติณ

“อือ” ผมตอบมันไปแผ่วเบา

[เออ นี่กูเอง ติณ]

“ได้ยินก็รู้แล้ว”

[มึงกำลังทำอะไรอยู่]

“...กำลังจะบิน”

ปลายสายเงียบเมื่อผมตอบแบบนั้น ถ้าเป็นเราสองคนในวันวาน หลังจากความเงียบ ติณอาจด่าอะไรมาสักอย่าง แล้วเราค่อยพากันหัวเราะ หัวเราะอย่างมีความสุข

[เออ กูคิดว่ากูรู้ว่ามึงจะทำอะไร] แต่มันไม่มีเสียงด่าหรือเสียงหัวเราะ [มึงยืนอยู่ในจุดที่มึงต้องการแล้วนี่]

“ก็ใช่”

[แต่กูไม่ให้มึงทำแบบนั้นหรอก]

“ทำไม”

ผมถามไปอย่างนั้นเอง เพราะการที่ติณรู้ว่าผมจะทำอะไรแปลว่าติณจำคำพูดของผมได้ ทั้งยังมาเหนี่ยวรั้งผมไว้ ผมรู้ดีมันแปลว่าอะไร

แต่เพราะแบบนั้น ผมจึงยิ่งอยากหายไปซะ

[ลองเช็กข่าวของตัวเองตอนนี้ดู]

“ข่าว?”

[ใช่ เป็นข่าวที่กูได้มา และปล่อยออกไปเอง] ติณอธิบายเพิ่ม แต่ก็ไม่กระจ่างนัก [มันคงทำให้มึงอยากมาคุยกับกู กูจะรอแล้วกัน]

ไม่ให้ผมได้ถามคำถามใดอีก ติณวางสาย ทิ้งผมไว้กับความสงสัย ถึงจะไม่มากนักเพราะถ้าผมตายไปทุกอย่างก็จะสูญสลาย ไม่มีสิ่งใดทำให้มีความสุขหรือเจ็บปวดได้อีก

แต่ในเมื่อเป็นคำพูดของติณ ผมก็จะลองทำตามที่มันบอก

ผมนั่งลงบนเตียง เช็กข่าวในมือถือจากทั้งเฟซบุ้คและทวิตเตอร์ และไม่ถึงห้านาที ผมก็หัวเราะออกมากับสิ่งที่ได้เห็น

ติณฉุดผมลงจากพีระมิดได้แล้ว

กระแสสังคมกำลังโจมตีผมกันสนุกปาก แต่ผมไม่ได้เจ็บปวดสักนิด ผมได้แต่หัวเราะ หัวเราะจนงอหงาย ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงแล้วหัวเราะให้เต็มเสียง

หัวเราะ เพราะรู้ว่าติณไม่อยากให้ผมตาย เลยดึงผมลงจากจุดที่ยืนอยู่

แต่ติณไม่รู้ว่านั่นไม่ใช่เหตุผลแท้จริงที่ทำให้ผมอยากตายอีกต่อไปแล้ว

ผมคิด และยังคงหัวเราะ












*******************************************
แต่ละตอนค่อนข้างสั้นค่ะเลยมาอัพเร็ว  :katai4:

ออฟไลน์ Malimaru

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-4
    • facebook


ติณปล่อยข่าวโดยการเปิดตัวว่าเป็นเตติณใช่ไหมคะ? (เดาไปเรื่อยเนอะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า)

เราชอบความเศร้า ความอึดอัดใจ ชอบอารมณ์เมื่อความหวังถูกทำลายของเตมาก
กระทั่งถึงตอนนี้ ความเทาก็ยังเป็นความเทาอยู่...
แต่พออ่านถึงตอนล่าสุด รู้สึกเหมือนเห็นแสงสว่างสีทองส่องทาบท้องฟ้าในโลกใบเล็กของเตขึ้นมาเลยค่ะ
อยากรู้เสียแล้วสิว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อ... รอติดตามนะคะ ^^


ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
อ้ากกกกกกกกมันค้างมาก

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
ลุ้นค่ะ ว่าต่อไปจะเป็นยังไง เต มีเหตุผลอะไรกันแน่

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด