วันศุกร์ที่ 7.5
แม้ว่าสุพรรณบุรีจะไม่ได้อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ เท่าไรนัก แต่ก็แตกต่างกันพอสมควร อย่างน้อยอากาศที่นี้ก็ไม่แผดเผามากเท่ากับในเมือง ตอนเช้าร้อนก็จริง แต่ตอนกลางคืนนี่เย็นสบายจนหน้าสั่น ประกอบกับช่วงนี้ประเทศไทยเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายพอๆ กับอารมณ์คนแถวนี้ เอาแน่เอานอนไม่ได้ นึกจะร้อนเปรี้ยงก็ร้อน นึกจะหนาวก็หนาว บางทีเดินอยู่ฝนตกก็มี แฮปปี้แลนด์มาก
“โทษทีว่ะ เหลือผ้าแพรผืนเดียวเองอะ” เซฟยื่นผ้าแพรสีฟ้ามาให้ ระหว่างพากันต์กับวันศุกร์เข้าไปเก็บกระเป๋าในห้อง เพราะตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องค้างจริงๆ บวกกับว่ายัยพะเพื่อนแพลนงานเร็วยิ่งกว่าแสงเลยไม่ได้ตระเตรียมอะไรให้ดีก่อน บ้านใหญ่ก็จริงแต่ไม่ค่อยได้มาอยู่ เลยไม่มีข้าวของเครื่องใช้ตุนไว้เท่าไรนัก
ผ้าห่มอีกสองผืนก็ต้องเสียสละให้สาวๆ ไปก่อนตามมารยาทและจิตสำนึกที่ดีของบุรุษเพศ...ความจริงก็ไม่ใช่หรอก แต่ลองปล่อยให้พะเพื่อนนอนตากแอร์สิ มีหวังได้หัวขาดออกจากบ่า เพราะรู้ดีว่ายัยคนนี้ทั้งเอาแต่ใจ เรื่องมาก จู้จี้ และยังบ้าอำนาจอีกด้วย
นี่แหละ พะเพื่อน หรืออีกชื่อนึงก็คือ…นังปิศาจ
“อืม...ไม่เป็นไรหรอกครับ พวกเรานอนได้”
“เออ มีที่นอนให้ก็ดีแล้ว”
“ขอโทษจริงๆ ว่ะ พาคุณชายมาลำบากแท้ๆ เลย”
“สบายเว้ย”
ผู้ชายร่างโตผลัดกันตบบ่าอีกฝ่ายปุๆ ดูมุ้งมิ้งและน่าสยดสยองในเวลาเดียวกัน พวกเขามารวมตัวทานอาหารเย็นด้วยกัน ก่อนจะแยกย้ายเข้าห้องนอนของใครของมันในเวลาต่อมา โดยพะเพื่อนนอนกับกระแตแน่นอนอยู่แล้ว เซฟนอนห้องเดี่ยวของเขาเอง และปล่อยให้กันต์กับวันศุกร์จรลีมานอนห้องเตียงคู่ชั้นล่าง
ครืด..ครืด...
มือถือเครื่องบางสั่นเป็นเจ้าเข้าอยู่บนโต๊ะตั้งโคมไฟระหว่างหัวเตียงทั้งสอง วันศุกร์หยิบขึ้นกดรับสายทันที ไม่ต้องมองหน้าจอก็พอจะรู้ว่าเป็นใคร
“ครับ พี่เสาร์”
“จะนอนหรือยัง?”
เขาเอามือถือออกจากหูเพื่อดูนาฬิกา เข็มสั้นยาวบอกเวลา 4 ทุ่ม 45 นาที
“ใกล้แล้วครับ พี่เสาร์ล่ะ?”
“ยังนอนไม่ได้”
“งานเยอะเหรอครับ?”
เขาเข้าใจดีว่าช่วงนี้ปีสี่กำลังเหนื่อย ถึงจะเรียนอยู่ไม่กี่วัน แต่แค่ธีสิสตัวเดียวก็เล่นเอาอ่วมแล้ว เห็นพักหลังๆ วันเสาร์เข้าออกห้องสมุดเป็นว่าเล่นทั้งที่ปกติแทบไม่เคยย่างกรายเข้าไปใกล้ราวกับเป็นเขตแดนต้องห้าม แต่ตอนนี้น่ะเหรอ กองหนังสือเล่มหนาบางวางเรียงเป็นตั้ง ถ้าเอาไปชั่งกิโลขายก็น่าจะได้หลายบาททีเดียว
“คิดถึงน้องชาย”
คนตัวเล็กกลั้นยิ้มแทบไม่อยู่ สาบานเลยว่าถ้าวันเสาร์เปิดใจหาใครมาเป็นแฟนจริงจัง ครั้นจะกลายเป็นคนที่น่าอิจฉาที่สุดในโลก เพราะวันเสาร์ดูแลเขาดีมาก แถมยังพูดจาหวานหูตลอด
อืม...แต่ก็เฉพาะกับเขาคนเดียวแหละนะ กับคนอื่นนี่ต่างกันราวฟ้ากับนรกขุมสุดท้ายเลย เสียดายหน้าหล่อๆ จริงๆ
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็กลับแล้ว”
“แล้วนี่นอนกับใคร?”
ฉิบหาย...
“เอ่อ...นอน…นอนรวมๆ กันอะครับ”
ฮือ ตบปากตัวเองห้าสิบทีเดียวนี้ ปฏิบัติ!
“อืม ดีแล้ว”
“งั้นศุกร์ไปนอนก่อนนะครับ พี่เสาร์ก็อย่านอนดึกมากน้า”
“จะพยายามละกัน”
“ครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ”
“ครับ”
รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าใสอีกครั้ง เขานึกชอบใจเวลาที่วันเสาร์พูดจามีหางเสียง มันฟังดูลื่นหูแต่ก็ติดจั๊กจี้หน่อยๆ ชอบกล น่ารักดี ถ้าเป็นคนอื่นก็คงไม่มีโอกาสได้ยินวันเสาร์พูดจาแบบนี้หรอกมั้ง
“คุยกับพี่ชายแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียวนะ” กันต์พูดลอยๆ ไม่ยอมหันมามองหน้าแต่ก็พูดถึงเขาแน่นอน
“ก็มีความสุขมากกว่าคุยกับพี่อะ”
ไม่มีเสียงโต้ตอบกลับ ก่อนที่ร่างสูงจะเดินไปปรับแอร์เนื่องจากอากาศที่เย็นตัวลงทุกที ผ้าแพรผืนบางถูกโยนลงมาบนหัวเขาซึ่งกำลังเตรียมล้มตัวลงนอน
“แล้วพี่กันต์ล่ะ?”
ผ้ามีผืนเดียวนะ เอามาให้เขาได้ไง แต่ว่าก็ว่าเถอะ คำถามเมื่อกี้โคตรฟังดูปัญญาอ่อนเลย ยังไงก็ต้องมีคนใดคนหนึ่งได้ผ้าไปอยู่ดี
“นายใช้เถอะ”
“ข...ขอบคุณ”
นั่นคือเสียงสุดท้ายก่อนที่สวิชต์ไฟในห้องจะถูกดับ เขาจมลงสู่ห้วงนิทราในเวลาไม่นาน อากาศหนาวจากด้านนอกบวกกับลมเย็นจากแอร์ตัวใหญ่ในห้อง ยิ่งทำให้กระดูกส่งเสียงประท้วง ผ้าแพรผืนเดียวเริ่มจะเอาไม่อยู่จนต้องตื่นขึ้นมากลางดึก วงแขนเรียวโอบรัดตัวเองไว้ด้วยความขี้หนาวเป็นทุนเดิม
ดวงตากลมโตกระพริบถี่เพื่อปรับสายตาให้ชินกับความมืด เขาเอื้อมมือไปหยิบมือถือบนหัวเตียงขึ้นกดดูนาฬิกา ตอนนี้ก็เลยเที่ยงคืนมาแล้ว คนบนเตียงด้านข้างนอนขดตัวเป็นกุ้งแบบไร้ซึ่งภาพพจน์คุณชายจอมกร่าง มองดูแล้วไม่รู้ว่าควรจะเวทนาหรือรู้สึกผิดก่อนดี
“พี่กันต์” เขาลุกขึ้นเรียกอีกฝ่ายผ่านความเงียบยามค่ำคืน กันต์ขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะลืมตาขึ้นเหมือนเป็นคำถาม
“ผมว่าเราปิดแอร์แล้วเปิดหน้าต่างแทนดีไหม?”
“อือ”
เขาลุกไปเปิดไฟ ลากเท้าไปยังหน้าต่างบานใหญ่บานเดียวในห้องนี้ แต่พอเปิดม่านออกดูกลับพบรอยโบ๋ขนาดกว้างตรงมุ้งลวด ขืนเปิดหน้าต่างนอนทั้งแบบนี้ มีหวังโดนยุงกัดตายก่อนแน่
“มุ้งลวดขาดอะ แบบนี้เปิดหน้าต่างไม่ได้แล้ว”
“เหรอ...งั้นก็ช่างมันเถอะ”
ช่างมันเถอะอะไรล่ะ คนที่หนาวกว่าคือตัวเองไม่ใช่หรือไง ทำมาเป็นพูดดี
“ถ้าหนาวก็ปรับแอร์” กันต์ยังคงพูดต่อ แต่ดูเหมือนกำลังห่วงเขาฝ่ายเดียวมากกว่า จนคนฟังชักรู้สึกหงุดหงิด
วันศุกร์เม้มปากแน่น ใบหน้าขาวเปื้อนรอยแดงเดินฟึดฟัดไปทางรีโมตแอร์ กดปรับอุณภูมิไปถึง 27 องศา ก่อนจะเดินมาหย่อนก้นลงบนเตียงของอีกฝ่าย กันต์ขมวดคิ้วแล้วยันตัวเองลุกขึ้น
“อะไร?”
“ก็ผ้าห่มมีผืนเดียวนี่”
“แล้ว?”
“ก็...ก็ใช้…ด้วยกันสิ”
ดวงตาเรียวเบิกกว้างแทบไม่เชื่อหู คนตัวสูงยกยิ้ม ใจจริงอยากจับเด็กตรงหน้าลงมาขย้ำเสียให้เข็ด ข้อหาทำตัวน่ารักเกินความจำเป็น แต่ก็ต้องวางฟอร์มทำเป็นขยับตัวหาที่หาทางให้ น้ำเสียงดีใจถูกซ่อนเอาไว้จนมิด
“เตียงเล็กนะ”
“เออน่า” วันศุกร์ปัดมือพัลวันเหมือนต้องการไล่ความเขินอายออกจากตัวเอง เขาค่อยๆ ล้มตัวลงนอน รู้สึกว่าพื้นที่คับแคบขึ้นทันตาเห็น
ผ้าแพรผืนสีฟ้าถูกกางออกให้พอคลุมร่างผู้ชายทั้งสองคน ความหนาวเย็นยังคงดำเนินต่อไป แต่ดูเหมือนว่าความอบอุ่นของร่างกายทั้งสองจะเพิ่มสูงมากกว่า วันศุกร์พลิกตัวหันหลัง ทันทีกับที่มือหนาเอื้อมรั้งเอวเล็กเข้าหาอย่างละลาบละล้วง
“เฮ้ย!”
กันต์กระชับวงแขนแน่นขึ้นอีก ปลายจมูกโด่งฝังลงกับบ่าเนียนที่โผล่พ้นคอเสื้อ
“ปล่อยย”
“ไม่เอา”
“อึดอัด”
“มันหนาว ขอกอดหน่อย” เสียงทุ้มดังขึ้นข้างหู เหมือนจะได้ยินอะไรตึกๆ ตักๆ ดังออกมาจากแผ่นอกด้านหลัง เล่นเอาเขาไปไม่เป็น ใบหน้าขาวร้อนวูบวาบ เมื่อคิดว่าอีกคนบนเตียงก็กำลังหัวใจเต้นแรงพอกัน…
เขารีบสะบัดหัวไล่ความคิดบ้าๆ แต่กลับต้องชะงักเมื่อกันต์เอ่ยปากอีกครั้ง พร้อมกับเสียงแปลกประหลาดเมื่อครู่ที่ยิ่งดังขึ้นอีก ชัดเจนจนไม่อาจปฏิเสธ
“ทำเป็นไม่ได้ยินแล้วกันเนอะ”
ทำไม...
ร่างบางเผลอกัดริมฝีปาก รีบข่มตานอนให้หลับ แม้จะนึกรำคาญไอ้เสียงตึกตักน่าอับอาย...ไม่ใช่แค่จากกันต์ แต่เขาเองก็ด้วย
อากาศเย็นเมื่อสักครู่ กลับไม่ทำให้พวกเขาหนาวเลย
ก๊อกๆ...
ประตูไม้ปราศจากการล็อคถูกเปิดออกอย่างเงียบเชียบ พะเพื่อนแอบย่องเท้าเข้าไปด้านในโดยไม่บอก นึกอยากเซอร์ไพรซ์นายแบบทั้งสองให้ตกใจเล่นสักหน่อย เธอรีบกลืนซุ่มเสียงคิกคักลงคอ แล้วย่างเท้าจนพ้นกำแพงห้องน้ำในตัวพอให้เห็นทิวทัศน์บนเตียงด้านใน ดวงตานึกสนุกค่อยๆ เบิกกว้างขึ้น สองมือยกอุดปากตัวเองแน่นเมื่อเห็นว่าภาพตรงหน้าไม่เป็นอย่างที่แอบจินตนาการ
เธอแทบจะหลุดกรี๊ด เพราะตอนนี้วันศุกร์กำลังนอนขดตัวหันหลังให้กับผู้ชายอีกคนบนเตียงเดียวกัน แขนแกร่งพักอยู่ตรงเอวบางราวกับกำลังสวมกอด ดวงตาทั้งคู่ปิดสนิท ดูเหมือนกำลังหลับสบายเสียเต็มประดาทั้งที่พื้นที่ออกจะคับแคบจนอดอึดอัดแทนไม่ได้
เอาแล้ว…
ด้วยสัญชาตญาณเด็กเอกฟิล์ม หรืออะไรก็ตามแต่ เธอรีบพุ่งตัวออกไปหยิบกล้องในกระเป๋า และจัดการเปิดโหมดลดเสียงชัตเตอร์ รอยยิ้มอิ่มเอมระคนชั่วร้ายผุดขึ้นบนใบหน้าเฉี่ยว
นี่สิ ช็อตที่เธอรอคอย
“พะเพื่อน” เสียงกระแตดังลอดเข้ามา ทำให้ต้องรีบซ่อนกล้องไว้ด้านหลัง เธอเนียนเดินออกไปพลางอ้างว่ายังไม่กล้าปลุกใคร
ทันทีที่ประตูปิดตัวลง ร่างเล็กบนเตียงก็เริ่มขยับเพราะได้ยินเสียงพูดคุยแว่วเข้าหู มือข้างหนึ่งยกขึ้นขยี้ตาสองสามที ก่อนจะไล่มองมือหนาซึ่งยังโอบรัดร่างกายตนเองไม่ปล่อยตั้งแต่เมื่อคืน ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้งยามคิดว่าพวกเขาสองคนนอนกอดกันนานแค่ไหน
เขาพยายามแกะมือของกันต์ออก แต่ดูเหมือนจะไปกดสวิชต์ให้คนด้านหลังรู้สึกตัวตื่น และยิ่งกระชับวงแขนมากขึ้นราวกับจะแกล้ง จมูกโด่งก้มลงคลอเคลียอยู่กับท้ายทอยขาวทั้งที่ยังไม่ยอมลืมตา
“ปะ…ปล่อยได้แล้ว”
“อือ…เช้าแล้วหรอ?”
“ก็เออน่ะสิ” เขาพูดเสียงเคืองๆ หลบซ่อนใบหน้าขึ้นสีด้วยการไม่หันไปมอง
กันต์ยอมปล่อยให้เขาเป็นอิสระในเวลาต่อมา เพราะเสียงจอแจจากด้านนอกเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ พอผลัดกันอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ก็ได้ฤกษ์ออกมากินข้าว เสื้อผ้าเซตใหม่เป็นชุดลำลองสบายตัว พร้อมถุงมือเก่าที่เอาไว้ใส่เวลาเก็บผลผลิต
จุดแรกของวันคือต้นมะม่วงลูกดกซะจนน่าตื่นเต้น เซฟยิ้มกว้างดูภูมิใจกับกิจการบ้านตัวเอง พร้อมกำชับว่าจะสอยให้ทุกคนเก็บไปฝากญาติพี่น้องได้ตามสะดวก ยิ่งเรียกกำลังใจในการทำงานขึ้นโข วันศุกร์ตั้งท่าจะสอยมะม่วงลูกหนึ่งซึ่งโดดเด่นออกมาจากกลุ่มใบไม้สีเขียวแก่ มีกันต์ยืนซ้อนหลัง สองแขนโอบช่วยจับไม้ก้านยาวคล้ายว่าสวมกอด
กระแตหันมองพะเพื่อนยิ้มๆ ถ้าใครมาบอกว่ากันต์กับวันศุกร์ไม่ถูกกันตอนนี้เธอคงต้องขอนอนยันว่าไม่จริงและไม่เชื่อ แต่ถ้าบอกว่าเขาชอบกันล่ะก็ อันนั้นไม่แน่
“วันศุกร์ เงยหน้ามองมะม่วงนะ” ตากล้องเอ่ยปากกำกับแค่นั้น แล้วเตรียมกดชัตเตอร์ทันทีที่ศีรษะทุยแหงนขึ้นฟ้า
น่าแปลกนะที่หนึ่งคืนของสุพรรณบุรี จะเปลี่ยนอะไรต่อมิอะไรได้มากมายขนาดนี้ เมื่อวานทั้งสองคนยังดูเกร็งๆ ใช้ไม่ได้ แต่วันนี้กลับเป็นธรรมชาติซะจนพล็อตคู่รักไร้กรอบของเธอดูจืดไปเลย
เสียงชัตเตอร์ดัง แช็ก แช็ก ต่อเนื่อง ก่อนจะย้ายไปหลบใต้เงาไม้ใหญ่ จุดที่นั่งพักกันเมื่อวาน เธอรีบตั้งค่ากล้องกับแสงใหม่ แววตาไม่น่าไว้ใจจ้องนายแบบทั้งสองอย่างพินิจ
“กอดกันหน่อยได้ไหม?”
“ห้ะ!” วันศุกร์ร้อง ก้าวเท้าออกห่างจากร่างสูงอย่างระวังตัว
“ขอรูปกอดหน่อย รูปเดียวนะ นะ”
“เอ่อ...”
“แล้วทำไมจะกอดไม่ได้?” กันต์เอื้อมดึงตัววันศุกร์กลับมา จนไถลลงซบบนอกกว้าง ริมฝีปากสีส้มกระซิบคำพูดน่าตีอยู่เพียงข้างหู ทำเอาใบหน้าหวานร้อนวาบ “เมื่อคืนก็ทำมาแล้ว”
“อ…ไอ้พี่กันต์” กำปั้นเล็กทุบลงกับไหล่แกร่ง
เขายกนิ้วส่งสัญญาณเตรียมพร้อมให้พะเพื่อนกับคนอื่น ก่อนจะหันมารวบรั้งร่างบางเข้าไปซุกตัวอยู่ในอ้อมกอด คางมนวางเกยอยู่บนศีรษะเล็กแทบพอดิบพอดี แขนแกร่งพาดพักอยู่แถวสะโพกมน ไม่ได้สนใจว่าเด็กในวงแขนจะขาดอากาศหายใจหรือเขินตายไปก่อนหรือเปล่า
ใบหน้าร้อนแนบลงบนแผงอกอย่างจำนน...
ตึก ตัก ตึก ตัก
เสียงน่ารำคาญดังขึ้นอีกครั้ง จนแทบจะกลบเสียงชัตเตอร์ไปเสียสนิท
ตึก
ตัก
ตึก
ตัก
...
น่ารำคาญจริงๆ