TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄[-จบแล้ว-] Special {เสือตาคลอส}
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: TIGER HEART ► หัวใจเสือ◄[-จบแล้ว-] Special {เสือตาคลอส}  (อ่าน 87191 ครั้ง)

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0

ตอนที่ 4 {ฉุกเฉิน}




 “อ๊ากกกกกก!!!”

เสียงไอ้คนข้างๆ ดังระงมเมื่อผมบีบมือมันแรงๆ เรียวขาในกาเกงยีนดิ้นพราดๆ เหมือนไส้เดือนถูกน้ำร้อนสาด
สะใจว่ะ

“พอแล้วเสือ เอิ้นเจ็บ เอิ้นเจ็บ”

ไม่รู้ว่ามันพูดคำว่าเอิ้นเจ็บไปกี่ครั้ง แต่ผมก็ไม่ได้ใจอ่อนยอมปล่อยง่ายๆ มือคู่นี้ใช่มั้ยที่เคยลูบคลำร่างกายผม แค่คิดก็โมโหแล้ว ต้องบิดให้มันเจ็บแล้วจำ

“แขนเอิ้นจะหักแล้ว ฮือออ~”

ไม่ใช่เพราะน้ำตาหยดใสที่ไหลผ่านขอบตาลงมาที่แก้มหรอกนะ ที่ผมปล่อยเพราะเมื่อยมือแล้วต่างหาก

“เจ็บไปหมดเลย” พอผมปล่อยมือมันก็ทำเป็นสำออย บอกว่าเจ็บๆ แล้วซบหน้าลงบนไหล่ของผม

“อย่ามาสำออย” เพราะผมคือเสือ เสือที่ใจแข็งยิ่งกว่าหินผา ไอ้เอิ้นเบะหนักเมื่อผมผลักหัวมันออกจากไหล่

“เอิ้นไม่ได้สำออย เจ็บจริงๆ ข้อมือแดงหมดแล้ว”

หมดแล้วภาพพจน์คุณอัคคี ไอ้เอิ้นที่ทำปากคว่ำ นัยน์ตาปริ่มน้ำและยื่นมือมาให้ผมดูเหมือนเด็กๆ ที่กำลังออดอ้อนร้องขอความเห็นใจ

อยากให้คนที่บริษัทเห็นจริงๆ อยากรู้นักว่าเขาจะยังเคารพมันอยู่รึเปล่า

“เสือไม่เชื่อเอิ้นเหรอ ดูสิ”

น้องเมอิกำลังสอดมือเข้าไปในเสื้อ แต่แทนที่ผมจะได้เห็นฉากต่อจากนั้นกลับถูกข้อมือของไอ้มารข้างๆ ยื่นมาบดบังทัศนียภาพ หักแขนแม่งทิ้งซะดีมั้ย

“เจ็บมากก็ไปให้แม่ดูดิ” รำคาญแม่งฉิบหาย

“เสือทำเอิ้น เสือก็ต้องรับผิดชอบดิ”

“กูไม่รับ” ผมบอกมันเน้นๆ ด้วยเสียงหนักๆ ก่อนจะกลับไปให้ความสนใจน้องเมอิอีกครั้ง แต่ไอ้เอิ้นแม่งโคตรจะก่อกวน

กวนอะไรนักหนา กูไม่ใช่มะม่วงที่กวนแล้วจะกินได้เลย

หันกลับมาจ้องหน้าจอทีวีอีกทีน้องนางก็เปลือยท่อนบนซะแล้ว

“ชอบแบบนั้นเหรอ”

ผมไม่ตอบ และไอ้คนกวนประสาทก็เงียบไป

ดี ถ้าออกจากห้องไปซะจะดีกว่านี้อีก

“เสือ” เงียบได้ไม่นานก็เริ่มเรียกร้องความสนใจอีก พอผมไม่สนก็จับใบหน้าแล้วบังคับให้หันมองจนคอแทบหัก

Shit!!

“มึงถอดเสื้อทำไม” ผมเบิกตากว้างจ้องไอ้เอิ้นที่คงเห็นน้องเมอิเป็นไอดอลถึงได้ถอดเสื้อโชว์ท่อนบนตามเขา

“เสือชอบแบบนี้ไม่ใช่เหรอ”

แม่ง! ประสาทจะแดก

“กูชอบแบบนั้น” ผมกุมขมับก่อนจะชี้นิ้วไปยังหน้าจอแล้วกลับมาจิ้มที่อกมันแรงๆ “แต่กูไม่ชอบแบบนี้”

“แต่เอิ้นชอบเสือแบบนี้” ว่าแล้วก็วางมือลงบนไหล่ของผมทั้งสองข้าง โฉบใบหน้าเข้ามาใกล้จนผมตั้งตัวไม่ทัน

“มึง...”

“อยากจูบเสืออะ”

“ไม่...”

ตัวก็ไม่ได้ใหญ่โตมากกว่าผมซักเท่าไหร่ ทำไมแรงเยอะถึงขั้นผลักผมให้ล้มลงบนพื้นง่ายๆ เลยวะ

ผมยกมือขึ้นดันใบหน้าที่กำลังจะโน้มลงมาเอาไว้

“อยากจูบเสืออะ”

“กูไม่ให้จูบ”

“อยากจูบ” หน้าด้านฉิบหาย

“ถ้ามึงไม่ลุกไป กูถีบจริงๆ นะ”

“เอิ้นทับเสืออยู่อย่างนี้ จะถีบได้ไง” ท้าทาย คิดว่าเสือเป็นเพียงชื่อเหรอวะ ถ้าไม่แน่จริงคนทั้งซอยไม่เรียกกูว่าพี่เสือหรอกโว้ย

“มึงประเมินกูต่ำไปป่ะ”

“ถ้าอยากให้คะแนนประเมินสูงกว่านี้ก็ทำให้เห็นสิ” คำท้ายทายดังจากริมฝีปากของคนที่นอนอยู่บนตัวผม คางแหลมเกยอยู่บนอก ดวงตาเรียวพยายามเบิกกว้างให้สดใส

ขอยืมคำผู้หญิงมาด่าได้มั้ย...ไอ้ตอแหล

แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันมาถูกทางจริงๆ

ผมเป็นเสือประเภทได้ยินคำท้าทายไม่ได้ซะด้วยสิ

เสียงน้องเมอิไม่ได้เรียกความสนใจของผมได้เท่าคนบนร่าง ผมรวบรวมแรงทั้งหมดเพื่อเป็นฝ่ายคร่อมทับมันแทน

ผมโถมทั้งกายเข้าใส่ ทิ้งน้ำหนังลงไปทั้งหมด ตรึงแขนมันเอาไว้กับพื้นแล้วโน้มใบหน้าที่แสดงออกถึงความเหนือกว่าเข้าไปใกล้

“จะจูบเหรอ” ไอ้ห่านี่ หมกมุ่นไปนะบางที

ไอ้เอิ้นปิดเปลือกตาลง ทำหน้าเคลิ้มประหนึ่งว่ารอคอยให้ผมจูบมันจริงๆ

ฝันไปเถอะ

ไม่ต่อยให้ปากแตกก็บุญเท่าไหร่แล้ว

“อะ โอ้ยๆ เสือ เอิ้นเจ็บ เจ็บนะ ปล่อยเซ่!!” ดวงตาที่เคยปิดสนิทเบิกกว้าง ศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีอ่อนยกสูงขึ้นด้วยแรงกระชากของผม มันพยายามแกะมือผม แต่ขอโทษ นี่ใคร เสือนะ ไม่ปล่อยง่ายๆ หรอกโว้ย

“ผมมึงนี่แข็งแรงดี”

“เอิ้นเจ็บนะเสือ”

“ดี นี่แหละที่กูต้องการ” ผมบอกแล้วปล่อยเส้นผมนุ่มมือให้เป็นอิสระ

เอิ้นทิ้งตัวลง มันถอนหายใจแต่อย่าคิดว่ามันจะจบแค่นี้ ถ้าได้เริ่มต่อสู้แล้ว เสือไม่ยอมง่ายๆ หรอกครับ

“อ๊ากกกก!!!” เสียงตะโกนดังกลบเสียงน้องเมอิที่ดังผะแผ่วเร้าอารมณ์ เมื่อผม Figure 4 Leg lock มันไม่แรงนัก แต่ไอ้เอิ้นแม่งสำออย ทำเป็นร้องแล้วตีพื้นดังปั๊กๆ

(ท่า Figure 4 Leg lock คือท่าที่จะขัดขาของคู่ต่อสู้เป็นรูปเลข 4 โดยจะสร้างความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสจนคู่ต่อสู้ต้องยอมแพ้ไปในที่สุด)

“เจ้าเสือ!!!”

ประตูนรกเปิด ท่านยมบาลก้าวเข้ามาอย่างเชื่อช้า มือที่ตบพื้นแรงๆ ในคราแรกค่อยๆ เบาลง เช่นเดียวกับแรงที่ขาของผมซึ่งค่อยๆ คลายออก

ราวกับเข็มนาฬิกาหยุดหมุนเมื่อสบกับดวงตาโหดเหี้ยๆของเจ๊ศรี

“น้องเอิ้นเจ็บตรงไหนมั้ยลูก” เรียกหมาอ่อนโยนกว่าเรียกผม 10 เท่า เรียกไอ้เอิ้นอ่อนโยนกว่าหมา 100 เท่า นี่ผมเป็นลูกเจ๊จริงป่ะ

ผมอาศัยช่วงที่เจ๊ปรี่เข้ามาลูบคลำใบหน้าไอ้คนสำคอยรีบไปกระชากปลั๊กทีวีออก

โล่งอกไปหน่อยถ้าเจ๊เห็นว่าดูน้องเมอิอยู่ล่ะก็โดนสวดยับแน่ ไม่ใช่อะไรหรอกแกกลัวเปลืองไฟ

“ข้อมือแดงไปหมดเลย” มืออุ่นๆ ที่ชื่นชอบการตบกบาลผมพอๆ กับชอบตบยุงลูบข้อมือไอ้คนสำออยป้อยๆ

หมั่นไส้แม่งว่ะ นั่นแม่กูนะ อยากอ้อนมากก็กลับไปอ้อนแม่มึงดิ

“เสือก็เจ็บนะแม่”

“เจ็บอะไรก็เห็นๆ อยู่ว่าแกทำหนูเอิ้น เจ็บมากมั้ยลูก โธ่ๆ” ในหนึ่งประโยคจำเป็นต้องมีหลายอารมณ์แบบนี้ด้วยเหรอวะ
เจ๊ศรีลำเอียง ไม่คุยด้วยแล้ว

ผมพิงเตียงแรงๆ ควานหาของให้เกิดเสียงดังตึงตัง รู้ซะบ้างเถอะว่านี้ห้องเสือ เสือที่มีแม่ชื่อเจ๊ศรี เสือที่แม่ไม่รัก นี่ไม่ได้เรียกร้องความสนใจอะไรเลย สาบานด้วยเกียรติของเสือ

“เจ็บนิดหน่อยครับ”

“แกนี่ทำไมชอบแกล้งหนูเอิ้นอยู่เรื่อย โตแต่ตัวรึไงนิสัยน่ะหัดเปลี่ยนซะบ้าง” เออก็อุตส่าห์ไม่ยุ่งด้วยแล้วมั้ย ยังจะมาด่ากันอีก

“เจ๊ไม่ถามมันล่ะว่าใครเป็นเริ่ม” มันเลย มันขึ้นคร่อมผมก่อนนะโว้ย

“เอิ้นแกล้งเสือก่อนเองครับ”

“หืม” ทำเสียงขึ้นจมูก อึ้งไปเลยล่ะสิ ขอโทษเสือให้ไวพร้อมอภัยมากครับ “เรานี่นะแกล้งเจ้าเสือ”

ไอ้เอิ้นพยักหน้า เตรียมตัวเจอเจ๊พิพากษาข้อหาทำร้ายร่างกายลูกชายสุดที่รักได้เลย

“ร้ายกาจนะเรา”

ฮะ! อะไรนะ ไหนล่ะความเกรี้ยวกราด ไหนล่ะคำพิพากษาอันแสนโหดร้าย ลำเอียง เจ๊ศรีโคตรลำเอียง ทีกับผมจิกจนหนังหัวแทบหลุดแต่กับไอ้เอิ้นกลับถามไถ่อย่างเอ็นดู

โธ่ อายุ 27 ฟ้องศาลเยาวชนเรื่องแม่ไม่รักได้ไหมวะ

“เอาล่ะทีหลังก็เล่นกันเบาๆ นะ แม่เอาขนมมาให้ ลองชิมแล้วอร่อยมากจ้ะ” ได้ยินเสียงวัตถุกระทบกันดังแผ่วๆ “ส่วนเราอย่าแกล้งหนูเอิ้นเขาล่ะ เขาอุตส่าห์ซื้อขนมมาฝาก”

“ไม่กิน” ผมกอดอกเชิดหน้าให้แม่รู้ว่าเสือกำลังโกรธนะเว้ย ถึงเวลาต้องง้อแล้วนะ

แต่แม่ก็คือแม่ครับและเจ๊ศรีคือแม่ที่เลี้ยงลูกแบบปล่อยประหนึ่งเป็ดไล่ทุ่ง ไม่สนใจผมหรอกหันไปกุ๊กกิ๊กกับไอ้เอิ้นแล้วก็ทิ้งขนมเอาไว้ให้เป็นภาระ

“เสือลองกินดูสิ ไม่หวานมากหรอก” ผมเบือนหน้าหนีจากภาระที่เจ๊ศรีฝากฝังไว้ให้ แต่ไอ้คนซื้อก็ยังไม่วายคะยั้นคะยอให้กินอยู่นั่น ลุกขึ้นยันปากแม่งซักทีดีมั้ย

“กูไม่ชอบของหวาน”

“รู้ครับ” คนที่รับคำว่ารู้เต็มคำ เขาไม่เอาของที่เราไม่กินมาจ่อปากหรอก จริงไหม แต่ไอ้เอิ้นแม่งตอแหลไง ปากบอกรู้แต่มือมันนี่กำลังพยายามยัดเยียดขนมนุ่มๆ ใส่ปากผม

“มึงกวนตีนกูใช่ป่ะ จะยั่วให้กูโมโหแล้วจะฟ้องให้แม่ลงโทษกูใช่มั้ย” ผมว่าแล้วปัดขนมในมือมันจนกระเด็นไปอย่างไรทิศทาง

“เอแคลร์อร่อยจริงๆ นะ ถ้าเสือไม่ได้กินต้องเสียดายแน่ๆ” ไม่ได้สะทกสะท้านกับคำพูดเกรี้ยวกราดของผมสักนิดเดียวมันทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ แล้วหยิบขนมเข้าปาก เคี้ยวตุ้ยๆ เมื่อหันมามองหน้าผม

ถ้าฟินขนาดนั้นก็เก็บไว้กินคนเดียวน่ะถูกแล้ว

“มึงออกไปจากห้องกูได้ยัง”

“ปากเสือเปื้อน”

“อย่ายุ่งกับกู” จบประโยคปุ๊บใบหน้าหล่อเหลาก็โน้มเข้ามาจนหน้าผากแนบชิด แก้มทั้งสองข้างยังคงบวมตุ่ย เสียงเคี้ยวจุบจับดังอยู่ใกล้ๆ

น่ารำคาญฉิบหาย

“เดี๋ยวเอิ้นเช็ดให้”

“ไม่เสือกดิวะ”

“ถ้าไม่ชอบ เอิ้นไม่เสือกหรอก อยู่นิ่งๆ ครับเดี๋ยวเอิ้นจัดการเอง”

คล้ายกับว่าสายตาคู่นั้นที่กำลังจับจ้องสะกดผมเอาไว้ให้ร่างกายแข็งเป็นหิน ขยับทีเหมือนว่าแขนขาจะหลุดออกจากลำตัว
จะเช็ดก็รีบเช็ด อ้อยอิ่งอยู่ได้ แล้วนั่น เลียริมฝีปากทำไม นี่เสือครับ ไม่ใช่เอแคลร์ แดกไม่ได้นะรู้ยัง

แผล้บ!

ก็บอกว่ากินไม่ได้แล้วจะเลียริมฝีปากกูทำไมครับ

ดวงตาของผมเบิกกว้างตกตะลึงกับความเปียกชื้นที่แลบเลียริมฝีปาก อ้าปากจะด่า ยกมือจะผลักมันออกแต่ก็ถูกพันธนาการเอาไว้ไม่ให้สามารถขยับไปไหนได้ ครั้นพอดิ้นขลุกขลักเตะขาแรงๆ ความอุ่นชื้นที่นุ่มนิ่มราวกับเยลลี่ก็ทาบทับลงมา สักพักปลายลิ้นก็สอดแทรกเข้ามาสร้างความร้อนรุ่มให้เรี่ยวแรงมหาศาลพลันมลายหายไป

ผมกำมือแน่นจนเล็บสั้นกุดจิกเข้าที่ฝ่ามือของตน

เสียงหอบหายใจดังประสานเมื่อเรียวปากของเราผละห่าง

ไอ้เอิ้นถ่ายทอดความรู้สึกมายังผมด้วยสายตาหวานเชื่อมแล้วว่าเสียงกระเส่า

“ฉุกเฉินหน่อยมั้ย”

ฉุกเฉิน? สมองอันพร่าเบลอค่อยๆ ประมวลผม พลันภาพที่ไอ้เอินเลือกซื้อถุงยางอนามัยก็แว้บเข้ามาในหัว

ไอ้เวร!!

“ฉุกเฉินพ่อง!!!!”

ผมผลักมันด้วยแรงทั้งหมดที่มีจนกระเด็นออกไป ร่างทั้งร่างกระแทกประตูดังพลั๊ก ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วตามไปกระทืบแม่งด้วยฝ่าเท้า คนถูกกระทืบนอนเก็บคองอเข่ายกแขนขึ้นป้องกัน

คิดว่าจะรอดเหรอวะ นี่เสือไง ยังไงวันนี้ต้องมีคนเจ็บตัว





ทุกเช้าวันจันทร์มันต้องมีเรื่องให้ปวดหัวทุกทีสิน่า

ผมปิดอีเมล์เพื่อเปิดมันขึ้นมาใหม่ แต่ข้อความที่ปรากฏก็ไม่ได้ต่างไปจากเดิม

การถูกลูกค้าเรียกพบในช่วงใกล้ๆ สิ้นปีแบบนี้ มีอยู่ 2 กรณีเท่านั้น 1.เพื่อต่อสัญญา และ 2.เพื่อจบสัญญา และในสถานการณ์ที่ทีมไม่สามารถเติมเต็มน้องลงพื้นที่ขายได้แบบนี้ มองแบบโลกไม่สวย ผมว่าข้อ 2 ชัวร์เลยว่ะ

“พี่อ่านเมล์แล้วใช่ป่ะ” ไอ้กวินไถลเก้าอี้มาข้างๆ แล้วถามเสียงตื่น

ผมพยักหน้าเบาๆ แล้วลุกขึ้นเต็มความสูง ถึงไม่อยากเจอหน้ามัน แต่เรื่องนี้ก็ต้องปรึกษามันอยู่ดี

“ผมอ่านเมล์แล้ว” ลูกค้าผมนี่ก็ดีครับส่งเมล์ถึงไอ้ผู้จัดการด้วย “คุณคิดว่าไง”

ผมเลื่อนเก้าอี้แล้วนั่งลง “จบชัวร์”

“มองโลกในแง่ร้ายเกินไปรึเปล่า”

“สถานการณ์ตอนนี้มันชวนให้คิดครับ”

“แล้วคิดวิธีแก้ปัญหาไว้บ้างมั้ย”

“…”

“ยังไม่ได้คิดสินะ” เพิ่งได้รับเมล์เมื่อกี้ จะให้เอาเวลาที่ไหนไปคิด คนธรรมดาครับไม่ใช่อัจฉริยะมาจากไหน

“ขอคิดก่อนแล้วจะแจ้งครับ”

“มะรืนนี้ผมจะไปกับคุณด้วยนะ”

“ครับ”

ด้วยตำแหน่งที่ต่ำกว่ามีหรือจะขัดใจเขาได้





มีเหตุผลมากมายที่อยากจะบอกแต่คนจะไปรั้งอย่างไรก็คงไม่อยู่และก็เป็นดังคาด สัญญาระหว่าง The Agent กับ Touch บริษัทผลิตผลิตภัณฑ์เพื่อผิวกายอันดับต้นๆ ของประเทศ จะสิ้นสุดลงในสิ้นปีนี้

ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าขอนไม้ที่ลอยคว้างอยู่กลางทะเลรู้สึกเช่นไร

“เสือ” ไอ้เอิ้นบีบไหล่ผมเบาๆ

“ผมจะบอกเรื่องนี้กับน้องในทีมเอง”

“ถ้าคุณไม่ไหว…”

“ผมสรัล ไม่มีอะไรที่ผมทำไม่ได้หรอก” เหรอ? ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้งั้นเหรอตลกชะมัด

มีอะไรที่กูทำได้บ้างวะ

มีหลายวิธีที่ผมคิดจะใช้บอกข่าวร้ายนี้กับน้องในทีมแต่ขึ้นชื่อว่าเสือแล้วการพูดตรงๆ นั่นแหละคือสไตล์

เสียงเครื่องยนต์ดับลงเมื่อรถจอดสนิทบนอาคารจอด เป็นครั้งแรกที่ผมอยากนั่งอยู่บนรถคันนี่นานๆ แต่มันก็เป็นแค่การหนีปัญหาชั่วคราวของคนขี้แพ้ ถึงยกนี้ผมจะแพ้แต่ผมก็ไม่ยอมให้ใครมาตราหน้าผมว่าไอ้เสือขี้แพ้หรอก

“กลับบ้านไปพักผ่อนก่อนมั้ย” ผมเหลือบมองคนพูด ความซาบซึ้งเล็กๆ ถูกวาดขึ้นในหัวใจ แต่ผมก็ปฏิเสธเขาด้วยการส่ายหน้า

จะเร็วหรือช้าเราก็ต้องบอกความจริงอยู่ดี

ลิฟต์ที่ผมกับเอิ้นโดยสารมาลำพังถูกอัดแน่นไปด้วยความตึงเครียด เราสบตากันผ่านกระจกเงาแต่ก็แค่นั้นเพราะไม่มีใครคิดจะพูดอะไร

ประตูออฟฟิศแบบเปิดอัตโนมัติเปิดออก พี่ประชาสัมพันธ์ลุกขึ้นทักทายคุณอัคคี มองเข้าไปข้างในทุกคนยังคงวุ่นวายกับงานตรงหน้าเหมือนทุกอย่างจะยังเหมือนเดิมแต่ไม่หรอกบางอย่างเปลี่ยนไปแล้ว

“พี่เสือ” กวินปรี่เข้ามาหาผมคนแรก ดวงตาที่เคยฉายแววมีความหวังวูบไหวเมื่อใบหน้าของผมเรียบนิ่ง

แม้จะทำงานด้วยกันมาเพียงปีกว่าแต่เราก็ค่อนข้างเข้ากันได้ดี แค่มองตาก็รู้ใจกันแล้ว

“ไม่ได้ไปต่อเหรอพี่”

“อือ” ผมพยักหน้าแทนคำตอบ เพียงเท่านั้นความวุ่นวายเมื่อครู่ก็เป็นอันหยุดชะงักลง

“ไม่ตลกนะพี่เสือ”

“พี่ก็ไม่ตลกครับ”

“เป็นไปได้ยังไง พี่เล่นมุกใช่ป่ะ”

“เรื่องจริงครับ”

สีหน้าทุกคนดูผิวหวัง กวินทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อย่างคนหมดแรง น้องดาวแอดมินคนเก่งถึงกับกระแทกเมาส์แล้วถอนหายใจ
ผมเองก็ผิดหวังแต่จะให้ทำไงวะ มันกลับไปแก้อะไรไม่ได้แล้ว ดังนั้นก็ต้องทำปัจจุบันให้ดีที่สุดสิ

“วันนี้กลับไปพักผ่อนกันก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยว่ากันต่อ”

ปกติพออนุญาตให้กลับบ้านก่อนเวลา กระตือรือร้นกันจะตายแต่วันนี้ทุกคนค่อยๆ เก็บของเหมือนพวกซังกะตาย

ให้ตายเถอะไม่ชอบบรรยากาศแบบนี่เลยว่ะ

“งั้นเราก็กลับบ้านกันเถอะ” ต้นแขนของผมถูกสัมผัสแผ่วเบาให้เหลือบมองรอยยิ้มกว้างที่ผมรู้ดีว่าเขายิ้มเพื่อให้ผมยิ้มตาม แต่ในสถานการณ์แบบนี้ใครจะยิ้มออก

“กลับอะไร เหลืองานให้ต้องเคลียร์เป็นกระตั๊ก”

“ก็ผมอนุญาตให้กลับบ้านได้แล้วไง”

“ก็ต้องหอบงานกลับไปทำที่บ้านอยู่ดี”

“ผมจะบอกอะไรให้นะสรัล รักงานมันก็ดีแต่ก็ควรรักตัวเองให้มาก อยากแบบงานหรือความกดดันจากงานกลับบ้าน บ้านคือสถานที่พักผ่อน คุณควรใช้มันเพื่อพักผ่อน”

“ผมจะบอกอะไรคุณอัคคีนะครับ…”

ผมหันกลับไปเผชิญหน้า

“งานแบบที่เราทำมันไม่มีวันหยุดหรอก ในเมื่อพนักงานที่เราดูแลยังคงอยู่ในพื้นที่ขาย หน้าที่ของเราก็คือต้องดูแลเขา”

“ผมรู้ว่าคุณรักงานนี้มาก”

“มันเป็นหน้าที่ ตราบใดที่ผมยังสวมบทบาทเป็นสรัลและทำงานกินเงินเดือน The agent ผมก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด”

“กลับไปพักเถอะเสือ หน้าแกเพลียมากเลยนะ” พี่อร หัวหน้าโปรเจ็คเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ผมคิดว่าแกคงฟังเราอยู่นานแล้วขยับไปอยู่ฝั่งไอ้เอิ้นอีกเสียง แถมสายตาที่เคยมองผมอย่างเอ็นดูตลอดมาก็กำลังจับจ้องแกมบังคับว่า ‘แกรีบๆ กลับไปซะ ฉันรำคาญพวกแกจะตายชัก’

ถ้าอย่างนั้นก็เลี่ยงได้แล้วสินะ

“กลับก็กลับครับ”

ผมเลือกขึ้นรถเมล์คันแรกที่จอดป้าย นั่งลงบนเบาะติดหน้าต่างทอดสายตามองทิวทัศน์ 2 ข้างทางที่ค่อยๆ เปลี่ยนจากคุ้นเคยเป็นไม่คุ้นตา

ความรู้สึกผมตอนนี้ไม่ต่างจากคนอกหัก มันเคว้งคว้างอย่างบอกไม่ถูก

ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเสียบหูฟังแล้วเปิดเพลงที่ไม่ค่อยได้ฟังเท่าไหร่นัก ถ้ามีฝนตกลงมาด้วยบรรยากาศคงเหมาะกับคนอกหักมากๆ เลย

ทุกปัญหามีทางแก้ ทำไมผมจะไม่รู้แต่สิ่งที่ผมไม่รู้คือเราควรจะแก้ยังไงในเมื่อเขาไม่เปิดโอกาสให้เราเลย

“คุณครับ สุดสายแล้วครับจะเข้าอู่ไปกับรถหรือเปล่า” เสียงคนขับดึงผมให้ตื่นจากภวังค์ ลุกขึ้นยืนแล้วรีบก้าวยาวๆ ไปที่ประตูแบบอัตโนมัติซึ่งเปิดอยู่แล้ว กล่าวขอโทษคนขับอายุคราวพ่อแล้วจึงก้าวลงมา

เมื่อรองเท้าหนังเหยียบพื้น สายตาจับจ้องไปข้างหน้าซึ่งเป็นสถานที่ไม่คุ้นเคย ผมมองซ้าย มองขวา มองไปรอบตัว
จะกลับบ้านยังไง

ผมก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือ

4 โมงเย็นแล้ว ใกล้ถึงเวลารถติดแล้วสินะ

เพราะไม่มั่นใจว่าที่นี่คือที่ไหนผมจึงตัดสินใจเรียกแท็กซี่ รถโดยสารสาธารณะที่รู้ทุกเส้นทางในเมืองแห่งนี้ เขาสามารถพาเราไปได้ทุกหนทุกแห่ง

รู้ทุกอย่างงั้นเหรอ

ผมยกยิ้มเมื่อบางอย่างผุดขึ้นในหัวเอื้อมมือไปตรงหน้าเพื่อเปิดประตูหากแต่กลับเปิดมันไม่ออกดั่งคาด

กระจกประตูด้านคนขับเปิดออกพี่คนขับที่อายุยังไม่มากขอโทษขอโพยผมแล้วบอกให้ไปใช้ประตูอีกฝั่ง

“ประตูพังแล้วทำไมไม่ซ่อมก่อนออกมาให้บริการล่ะครับ ประตูฝั่งนั้นมันอันตรายนะ”

“ขอโทษครับ ก่อนออกมาประตูยังใช่ได้ปกติอยู่เลย คิดว่าคงเสียระหว่างให้บริการ”

“ถ้ารถไม่พร้อมก็ไม่ควรจอดรับผู้โดยสารนะครับ”

“ขอโทษครับ ผมกำลังหาค่าเรียนพิเศษให้ลูกสาว ผมคงคิดน้อยไปที่คิดว่าประตูมีตั้ง 2 บาน ถึงอีกบานมันจะเสี่ยงต่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร แต่ถ้าระวังสักนิด…”

นั่นสินะประตูไม่ได้มีแค่บานเดียวสักหน่อย

ผมเดินอ้อมหลังรถเพื่อใช้ประตูอีกฝั่ง ระวังตัวมากขึ้นอีกหน่อยก็เข้ามานั่งในรถได้โดยสวัสดิภาพแล้ว




[- T B C -]


ทุกปัญหามีทางออก ถ้าออกทางนี้ไม่ได้ก็แค่หาทางออกอื่น หาไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอ
พี่เสือจะบอกเราแบบนั้นแหละค่ะ
เพราะไม่ใช่นิยายรักหวานแหวว อาจจะมีเรื่องราวเครียดๆ ให้เสือแก้ปัญหาเข้ามาแทรกอยู่เนืองๆ
คิดว่าปัญหาเหล่านี้แหละที่จะกระชับความสัมพันธ์ของเสือกับเอิ้นให้แนบชิดขึ้น
แต่อย่างไรซะ ความหื่นของตาเอิ้นไม่มีทางลดลงแน่นอน
ขอบคุณสำหรับทุกๆ คอมเมนต์ อ่านแล้วชื่นใจมากเลยค่ะ
เจอกันตอนหน้านะ อย่าเพิ่งทิ้งเราไปไหน เราเหงา
แจ๊ส
 :mew1:

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
เสือคิดไปไกลแล้ว อิอิ

ออฟไลน์ Sky

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 933
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-2
พี่เอิ้นนี่ก็หื่นตลอดดดดดดด เสือไม่เครียดนะ ค่อยๆคิดเดี๋ยวก็แก้ปัญหาได้ สู้ๆ

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ผลัดกันรุกผลัดกันรับก็ดีนะเอิ้น

ออฟไลน์ lnudeel

  • I wanna be a CAT!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-5
อยากเห็นวันที่เสือจะชนะเอิ้นบ้าง :hao7:

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ปัญหาหนักของเสือก็เอิ้นเนี่ยแหละ  :laugh:

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0

 
ตอนที่ 5 {เสือใหญ่}




ปัญหามีไว้ให้แก้ไขไม่ได้มีไว้เพื่อกลุ้มใจ

ผมบอกคำนี้กับน้องๆ ในทีมหลังจากการประชุมจบลงในช่วงสายขอวัน

ถึงแม้ลูกค้าจะไม่ต่อสัญญาแต่สิ่งที่ทำค้างอยู่นี้ก็ต้องทำต่อด้วยพลังใจที่ต้องไม่ลดลง ทำเหมือนปกติ อาจจะเหมือนการโกหกตัวเอง แต่อย่างน้อยการไม่คิดลบก็เป็นพลังขับเคลื่อนที่ดี

ผมบอกคำนั้นกับอัคคีตอนที่เข้าไปรายงานผลการประชุม เขาให้กำลังใจผม แน่นอนว่ามันให้ความรู้สึกที่ดี

“เจ๋งไปเลยว่ะพี่เสือ”

“อะไรเจ๋งวะ”

“พอประกาศงานด้วยเงื่อนไขการเซ็นสัญญาแค่ 3 เดือน ผู้สมัครสวยๆ รับงานเพียบ”

ผมมุ่นคิ้วฉับ ว่าแล้วเชียว ปัญหามันอยู่ที่ระยะเวลาของสัญญานั่นเอง แปลกที่น้องไม่อยากทำงานประจำแบบต่อสัญญารายปี แต่กลับชอบงานระยะสั้น

ช่วงบ่ายมีผู้สมัครเข้ามาสัมภาษณ์พอดี ผมอาศัยจังหวะนี้สอบถาม

“ทำฆ่าเวลาค่ะพี่ เดี๋ยวต้นปีก็มีงานมอเตอร์โชว์แล้ว ไม่อยากมีพันธะ แล้วอีกอย่างงานพวกพี่เงินน้อย งานหนักด้วย ทำขำๆ หาประสบการณ์” ผู้สมัครสาวสวยใบหน้าแบบพิมพ์นิยม ผมดัดลอน แต่งหน้าเกาหลีแต่ใส่บิ๊กอายสีน้ำทะเลไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระ

“ทำขำๆ แล้วจะทำยอดขายให้พี่ได้เหรอครับ”

“ก็ต้องทำให้ดีที่สุดสิคะ หาประสบการณ์ หนูก็อยากได้ประสบการณ์ที่ดีนะพี่”

“แล้วเราเริ่มงานได้เลยมั้ย”

“พี่กวินบอกว่าให้เข้ามาอบรม แล้วเริ่มงานวันจันทร์ค่ะ”

“โอเค ขอบคุณครับ” ผมยิ้มให้แล้วลุกขึ้น หากแต่กลับถูกมือเรียวสัมผัสที่ข้อศอก เอี้ยวตัวมองก็สบเข้ากับดวงตากลม ให้ตายเถอะ ผมไม่ชอบบิ๊กอายเธอเลยว่ะ น่ากลัวสัส

“พี่สรัลมีแฟนรึยังคะ”

“ปิดยอดขายให้พี่ได้ทุกเดือนสิ แล้วพี่จะบอก”

“ร้ายจัง หนูชอบ”

“ตั้งใจทำงานครับ”

“แล้วถ้าอยากเจอพี่สรัลต้องทำยังไงคะ”

“ทำยอดขายให้มันดีๆ สิ แล้วพี่จะไปเยี่ยมที่ห้าง”

“ที่สุด ไม่เปิดโอกาสให้หนูเลย มีแฟนแล้วแน่ๆ อะ”

“ไม่รู้สิ ถ้าอยากรู้ต้อง...”

“ปิดยอดขายให้ได้ทุกเดือน รู้แล้วค่ะ ย้ำจัง เอาไว้เจอกันวันอบรมนะคะ” ว่าจบก็กรีดยิ้มสวย โบกมืออย่างมีจริตแล้วเยื้องย่างผ่านผมออกจากห้องไป

ก็ต้องยอมรับว่า มีพริตตี้ เอ็มซีสวยๆ อย่างน้องน้ำหวานไม่มากนักหรอกที่จะเอาเวลาอันมีค่าของพวกเธอมาเพื่อเป็นพนักงานขายผลิตภัณฑ์ตามห้างสรรพสินค้า เป็นสาวเชียร์เบียร์ พริตตี้มอเตอร์โชว์สบายกว่าเยอะ

“อารมณ์ดีเชียว” พอน้องน้ำหวานก้าวผ่านประตูออกไป ไอ้คุณอัคคีก็ก้าวเข้ามาแทน

ประตูห้องถูกปิดลง

“น้องเค้าน่ารัก”

“ที่ชอบงานนี้เพราะได้ใกล้ชิดสาวๆ สวยๆ ใช่มั้ย”

“ก็ส่วนนึงครับ”

“แล้วอะไรทำให้เสือรักงานนี้”

“ไม่มีเหตุผลที่ผมต้องบอกคุณ ขอตัวครับ”

“มีข่าววงในแว่วมาว่า...” เหมือนเขาเว้นจังหวะไว้ให้ผมเอี้ยวตัวกลับไปมอง “The First เป็นเอเยนซี่เจ้าใหม่ที่จะมารับงานต่อจากเรา ผมจะไม่ได้รับใบลาออกจากคุณใช่มั้ยสรัล”

“อะไรทำให้คิดแบบนั้น”

“วงในเขาแจ้งมาว่าคุณมีเพื่อนทำงานที่นั่นเยอะ”

“ก็เลยคิดว่าผมจะทิ้งที่นี่แล้วไปอยู่ที่นั่นอย่างนั้นเหรอ เห็นผมเป็นคนแบบนี้เองสินะ ก็ไม่แน่หรอก ความคิดของคุณอาจทำให้ผมเปลี่ยนใจก็ได้”

“ถ้าคุณได้อ่านกฎระเบียบ”

“อ่าน และถึงแม้จะไม่อ่านผมก็ไม่มีทางย้ายไปทำงานกับบริษัทคู่แข่ง”

ปัง!

ผมกระแทกประตูปิดแรงๆ จนผนังสั่น แม่ง! โมโหว่ะ ไหนมันบอกว่าชอบผมแล้วทำไมถึงดูถูกกันด้วยความคิดแบบนั้น

ผมเป็นเสือนะ เสือที่ถึงแม้จะจนตรอกแต่ก็ไม่มีทางเปลี่ยนฝักเปลี่ยนฝ่ายเพื่อให้ตัวเองรอดตายเพียงลำพังหรอก



▼▲▼▲▼



คำชมของลูกค้าหลังจากเติมพนักงานจนเต็มพื้นที่ขายทำให้ใจชื้นขึ้นมาหน่อย ถึงแม้โอกาสที่เขาจะเปลี่ยนใจกลับมาต่อสัญญาเท่ากับศูนย์แต่อย่างน้อยระหว่างเราก็จบกันด้วยดี ถ้าสัญญากับเดอะเฟิร์สจบลงโอกาสอาจจะกลับมาหาเราอีกครั้ง

“หาอะไรตื้ดๆ ฟังกันมั้ยพี่”

“เอาดิ” ผมพับแขนเสื้อเชิ้ตขึ้นเมื่อชัตดาวน์คอมพิวเตอร์เครื่องเต่ารออีก 10 นาทีนู่นแหละเขาถึงจะปิดลง

“ไปร้านเพื่อนผมมั้ยมันโดนไล่มาจากหลังมอ”

“สาวๆ แจ่มมั้ย”

“แน่นอนสิพี่ น้องนักศึกษาตรึม”

“แล้วจะรออะไรล่ะไอ้น้อง ไปกันโลด”

“ยังไปไม่ได้ดิพี่”

“ทำไมวะ” เมื่อมองตามสายตาที่เหล่มองก็พบกับ…

ไอ้สันดาป

เครื่องกูยังปิดไม่เสร็จเลยครับพี่น้อง ผมนี่อยากชักปลั๊กออกให้รู้แล้วรู้รอด

“คุณอัคคีจะกลับแล้วเหรอครับ”

หน้าจอดับลงในตอนที่เจ้าของชื่อหยุดลงตรงหน้าพวกเราพอดี

“ครับ แล้วนี่จะกลับกันเลยมั้ย ติดรถผมไปก็ได้นะ”

“พวกผมจะไปดื่มกันต่อ ถ้าคุณอัคคีว่าง…”

สนใจเท้ากูที่สะกิดมึงยิกๆ นี่สักหน่อยมั้ยไอ้กวิน ชวนมันทำไม เชื่อกูสิมองสายตาเจ้าเล่ห์ของมันที่กำลังมองกูแล้วมึงจะรู้ว่ามันไม่ปฏิเสธมึงแน่

“ว่างสิ ผมไปด้วยได้ใช่มั้ย”

“ได้อยู่แล้ว แต่คุณอัคคีต้องเลี้ยงนะครับ”

“สบายเลี้ยงตลอดชีวิตยังได้เลย”

คำพูดติดตลกที่กวินทำหน้างง เกาหัวแกร๊ก อาจจะมีเพียงผมที่เข้าใจสิ่งทีมันต้องการจะสื่อ

ลืมไปรึเปล่าว่าเสือไม่ใช่สัตว์เลี้ยง ไม่ต้องมาบอกผ่านสายตาว่าอยากเลี้ยง กูหาเลี้ยงตัวเองได้ครับ

ถึงไม่ค่อยเต็มใจนักแต่เพราะความอยากส่วนตัวทำให้จำต้องขึ้นมานั่งข้างคนขับอย่างเงียบเชียบ ฟังไอ้กวินกับไอ้คุณอัคคีคุยกันเรื่องสัพเพเหระ แต่เดี๋ยวนะมันลากมาถึงเรื่องของผมได้ไง

“ความหล่อของพี่เสือเคยช่วยให้หาพนักงานลงงานเต็มทุกสโตร์มาแล้วนะครับ ไม่ธรรมดาใช่มั้ย”

“งั้นเหรอหล่อจริงๆ ด้วย” รถก็ช่างมาติดไฟแดงตอนนี้ เปิดโอกาสให้เจ้าของรถหันมามองผมเต็มตา

เออไม่ต้องมองมาก กูรู้แล้วว่ากูหล่อ

“ใช่มั้ยครับและผมก็แปลกใจมาก เป็นความแปลกใจที่ไม่เคยถูกไขให้กระจ่างเลยตลอดปีกว่าที่ผ่านมา”

“มึงหุบปากได้มั้ยไอ้วิน”

“ก็ผมสงสัยนี่หว่าพี่ คุณอัคคีไฟเขียวครับ” รถออกตัวเมื่อเสียงไอ้กวินเงียบไป

“เรื่องอะไรเหรอครับวิน ถามผมได้นะผมเป็นเพื่อนสนิทเสือ”

“ถามได้จริงๆ เหรอครับ” ไอ้กวินตาโตเท่าไข่ห่าน

“ได้สิ”

พอได้รับอนุญาตมันก็รีบยื่นหน้าเข้ามาใกล้แล้วฉีกยิ้มกว้าง อยากช่วยฉีกให้ปากแหกถึงติ่งหูจังเว้ย

“คุณอัคคีรู้หรือเปล่าครับว่าพี่เสือเคยมีแฟนรึเปล่า” ไม่พ้นเรื่องนี้สินะ

“นั่นสิ ผมก็อยากรู้เหมือนกัน ตอนนี้มีแฟนหรือเปล่า”

“การรู้ว่ากูมีแฟนหรือยังไม่มีมันทำให้หน้าที่การงานพวกมึงมั่นคงขึ้นเหรอวะ”

“เปล่า” พร้อมใจกันส่ายหน้า

“งั้นก็ไม่เสือกนะ”

“แบบนี้ทุกที ถ้าไม่มีก็บอกดิพี่ เพื่อนผมสนใจพี่หลายคนนะ”

“เท่าที่ผมรู้มา เสือไม่ชอบผู้หญิงอายุน้อยกว่าหรอกกวิน” เอิ่ม...กูบอกตอนไหนวะ

“พี่ชอบคนอายุมากกว่าเหรอ”

“เปล่า” ให้โอกาสผมตอบซะที่ไหน ไอ้เจ้าของรถนั่นแหละที่เป็นฝ่ายตอบ “เสือชอบคนอายุเท่ากัน”

“โห อะไรของพี่วะ อายุไม่สำคัญหรอก ลองเปิดใจคบดูพี่ ไม่ว่าจะอายุมากกว่าหรือน้อยกว่าแค่เข้าใจกันก็พอแล้ว”

“เอิ้นเข้าใจเสือนะ” คนที่วางมืออยู่บนพวงมาลัยโน้มใบหน้าเข้ามากระซิบผมในตอนที่ไอ้กวินมองซ้ายมองขวาหาร้านของเพื่อนมัน

ผมอยากจะถอนหายใจเป็นจังหวะเพลงสามช่า บันเทิงมั้ยล่ะ หาทางหยอดกูจนได้เลยสิ



▼▲▼▲▼




 “เหล้าที่แพงที่สุดได้แล้วครับ” เหล้าถูกยกมาเสิร์ฟที่โต๊ะ คนอายุน้อยที่สุดกุลีกุจอชงเหล้าแล้วส่งให้

เราชนแก้วกัน จำไม่ได้ว่าชนไปกี่มากน้อยเพราะผมเอาแต่กระดกน้ำสีอำพันในแก้วลงคอไม่สนใจนับจำนวน ด้วยขี้เกียจจะเสวนาเรื่องต่างๆ รอบตัว ได้แต่นั่งฟังไอ้กวินมันพูดจ้อ กระทั่งวกเข้าเรื่องงานที่กำลังจะจบสัญญา

ดราม่าเริ่มบังเกิดเมื่อบ่อน้ำตาไอ้กวินเริ่มร้าว

ผู้ชายประสาอะไรร้องไห้ง่ายชิปเป๋ง

“ไม่เป็นไรน่ากวิน บริษัทไม่ลอยแพพวกคุณหรอก” คนเป็นผู้จัดการปลอบใจ

“ผมไม่ซีเรียสเรื่องนั้นครับ ผมเสียใจที่ทำให้งานหลุด ถ้าพวกเราขยันกว่านี้ ตั้งใจกว่านี้ ฮึก ผลต้องไม่ใช่แบบนี้ ผมเสียใจครับพี่”

ฟูมฟายแล้วก็วิ่งหายเข้าไปหลังร้าน ถ้าไม่ใช่ร้านเพื่อนมันผมคงตามไปลากคอมันออกมาหรอก แต่ในสถานการณ์นี้ปล่อยมันไปน่ะถูกแล้ว

“เสือเมาแล้วนะ”

“อือ”

“พอแค่นี้มั้ย เดี๋ยวเอิ้นไปส่งบ้าน”

“ไม่อะ กูอยากเมาอีก”

“ไม่กลัวเอิ้นเหรอ”

“กลัวทำไม”

“เสือก็น่าจะรู้”

“กูหมายความว่าจะกลัวทำไมในเมื่อก็เคยแล้ว มันคงไม่แย่ไปกว่าเดิมหรอก”

“หมายความว่าคืนนี้ก็ได้งั้นเหรอ”

“มึงนี่หมกมุ่นนะ อยากเคลมกูอะไรขนาดนั้นวะ”

“กอดใครก็ไม่อุ่นเท่ากอดเสือ”

“ก่อนจะกลับมาหากู กอดมาหลายคนแล้วล่ะสิ”

“หึงเหรอ”

“เหอะ” ตลกมั้ย ผมเหลือบมองหน้าคนที่ฉีกยิ้มกว้างด้วยสายตาละเหี่ยใจแล้วกระดกเหล้าในแก้วจนหมดรวดเดียว

“พอยัง”

“พออะไร”

“เมาพอยัง มีแรงเดินมั้ย”

“ไม่รู้กูนั่งอยู่นี่ไง ยังไม่ทันได้เดินมึงก็เห็น แล้วมึงถามทำไม”

“ถ้าไม่มีแรงเดินก็ไม่มีแรงขัดขืนเอิ้น ถูกป่ะ”

“มึงนี่แม่ง จะเอากูให้ได้เลยใช่ป่ะ”

“ถ้าได้ก็ดี แต่ถ้าได้ทั้งใจจะดีมากๆ เลย”

“กูถามจริงนะเอิ้น” ผมวางแก้วลงแล้วเท้าคางจ้องมองหน้ามันด้วยสายตาที่พร่าเบลอเต็มที เมาว่ะ เมามากด้วย เหล้ายิ่งแพงยิ่งแรงเหรอวะ “มึงโกรธอะไรกูนักหนาวะ บอกกูสิว่าทำยังไงมึงถึงจะหายโกรธ”

“เอิ้นไม่ได้โกรธเสือ”

“มึงโกรธ ถ้ามึงไม่โกรธมึงจะมาตามกวนใจกูทำไม”

“ไม่โกรธจริงๆ ทำไมถึงคิดว่าเอิ้นโกรธล่ะ”

ก็เพราะเรื่องในอดีตที่ผมทำไม่ดีกับมันไว้ไง แค่นั้นก็มากพอที่มันจะเจ็บจนจำฝังใจและกลับมาแก้แค้นผมแล้ว

“เรื่องนั้นน่ะ เอิ้นไม่โกรธหรอกนะ เอิ้นรู้จักเสือดี เสือไม่ได้ตั้งใจหรอก”

“แล้วมึงย้ายโรงเรียนทำไม”

“ป๊าต้องย้าย เอิ้นไม่ได้อยากไป เอิ้นอยากอยู่กับเสือ แต่เสือรู้ใช่มั้ยว่าตอนนั้น ตอนที่เราเป็นเด็กเราตัดสินใจอะไรได้ด้วยตัวเองที่ไหนกัน ทีนี้เข้าใจรึยังว่าเอิ้นไม่ได้โกรธเสือ ที่มาตามกวนใจก็เพราะชอบ จีบนะเนี่ย ไม่รู้เหรอ”

“จีบห่าอะไร ผู้ชายด้วยกัน” หน้าร้อนเลยว่ะ

“ทำไมอะ เป็นผู้ชายจีบกันไม่ได้เหรอ งั้นเป็นแฟนกันเลยมั้ย”

“ตลก กูอยากกลับบ้านแล้ว ไปส่งเลย เจ๊ศรีโทรจิกกูจนกูนึกว่ามีแม่เป็นไก่แล้ว”

“พยุงมั้ย”

“ถ้ามึงไม่พยุงกูคงต้องคลานไปที่รถอะ”

“เสือน่ารัก รู้ตัวมั้ย” หยอดแล้วก็สอดแขนเข้ามาโอบเอว ยกแขนข้างหนึ่งของผมพาดคอ

“ก็มีแต่มึงคนเดียวแหละที่พูดแบบนี้ เสือครับ ไม่ใช่แมว น่ารักได้ไง”

“เหรอ ไม่มีคนพูดว่าเสือน่ารักเลยเหรอ”

“ไม่มี” ผมส่ายหน้า

“ก็ดีแล้ว ไม่อยากให้ใครมาแย่งชอบเสือ”

“ขี้หวงนะมึง”

“หวงมากด้วย” ผมส่ายหน้าหน่ายใจกับการหยอดที่ไม่เคยลดลงเลยสักนิดไม่ว่าจะตอนมีสติหรือตอนเมา ว่าแต่ไอ้คนที่บอกจะไปส่งผมที่บ้านนี่มันเมาหรือเปล่าวะ

“เอิ้น...”

“หืม”

“มึงเมาป่ะ”

“ไม่นะ” ใบหน้าหล่อเหลาโฉบเข้ามาใกล้ “ลองดมดูสิ ไม่มีกลิ่นเหล้าเลยซักนิด”

“ดมเหี้ยไร ออกไป”ผมยกมืออันอ่อนแรงขึ้นดันไหล่แกร่งออกแต่ไอ้เอิ้นก็คือไอ้เอิ้นยิ้มเก่งอะไรขนาดนี้

“อย่ามาทำตัวน่ารักได้มั้ย”

“กูไม่ได้ทำ” ผมเถียง นึกโกรธเรี่ยวแรงอันน้อยนิดของตนที่ไม่สามารถดันร่างมันออกห่างได้สักนิดเดียว

“ก็ที่มองเอิ้นด้วยตาเยิ้มๆ เนี่ยเขาไม่ได้เรียกว่าทำตัวน่ารักเหรอ”

“กูเมา เอ๊ะ!” ผมเบี่ยงหน้าหลบเมื่อนิ้วเรียวยื่นมาเขี่ยปลายจมูกแผ่วเบา ใช้มือที่ไร้เรี่ยวแรงปัดออกแต่ก็เท่านั้นนอกจากไม่ยอมออกห่างง่ายๆ แล้วยังโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้จนสายตาโฟกัสภาพไม่ได้อีก

“อยากจูบเสืออีกแล้วอะ”

“จูบเหี้ยไร ขับรถไปกูอยากกับบ้านแล้ว”

“ให้จูบก่อนแล้วจะพากลับบ้าน”

ยังไงผมก็ต้องยอมใช่มั้ย ดังนั้นผมจึงปิดเปลือกตาลงแล้วว่าด้วยน้ำเสียงไม่ยินดียินร้าย “จะทำอะไรก็รีบทำ” เคยแล้วนี่คงไม่มีอะไรที่ต้องกังวลหรอก

ภายใต้ความมืดของเปลือกตาผมสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่รินรดตรงปลายจมูก กลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ ทำให้เชื่อได้ว่าคนตรงหน้าผมยังมีสติดี

“เวลาเมานี่เสือว่าง่ายจังนะ เอาล่ะกลับบ้านกัน” ไออุ่นผละห่างออกไป

แล้วจูบล่ะผมลืมตาขึ้นในจังหวะที่รถเคลื่อนตัวออกไปถามตัวเองว่ากำลังคาดหวังอะไร

ที่จริงจูบในวันนั้นก็ดีนะ



▼▲▼▲▼




ผมรู้สึกตัวขึ้นมาในตอนที่สัมผัสเย็นๆ ลูบไล้บนผิวกายตรงแผ่นอก กวาดสายตาที่เปลือกตาหนักอึ้งมองไปรอบห้องซึ่งเปิดไฟสลัวก็พบกับความคุ้นตาที่ไม่ค่อยคุ้นเคยนัก

“เมาหนักเลยนะเรา” เสียงไอ้เอิ้น

หลุบตามองตามสัมผัสเย็นๆ ก็พบกับมือเรียวซึ่งจับผ้าขนหนูลากผ่านแผ่นอกเปลือยอย่างทะนุถนอม

แค่เพียงจิตใต้สำนึกรู้ว่าเป็นสัมผัสจากเขาขนอ่อนทั้งกายก็พร้อมใจกันลุกขึ้นมา

“เอิ้นไม่เช็ด กูหนาว” ผมคว้าสะเปะสะปะเพื่อจับต้นแขนแกร่งเอาไว้

“เดี๋ยวเอิ้นกอด”

“หาเสื้อมาให้กูใส่ก่อน”

“ใส่ทำไมเดี๋ยวก็ต้องถอด”

“กูไม่ถอด” ผมเถียง ถ้าไม่เมาจนขาอ่อนป่านนี้ลุกขึ้นยันมันกระเด็นไปโน่นแล้ว

“ไม่ถอดอะไรนี่ถอดทุกชิ้นแล้ว”

หืม…ลองสอดมือเข้าไปใต้ผ้าห่มซึ่งคลุมท่อนล่าง จับที่สะโพกต้นขาและเสือใหญ่

ล่อนจ้อนไม่มีเสื้อผ้าติดกายซักชิ้น

ไอ้ห่าเอิ้น ไอ้เวรคิดจะฉุกเฉินตอนผมเมาอีกแล้วเหรอวะ ตั้งใจจะด่ามันแต่ยังไม่ทันได้อ้าปากร่างทั้งร่างก็ถูกคร่อมทับเอาไว้ ใบหน้าหล่อเหลาซุกซบที่แผ่นอก ไออุ่นของลมหายใจปลุกความรู้สึกบางอย่างให้ตื่นขึ้นมา

“แบบนี้อุ่นมั้ย ที่จริงยังอุ่นได้กว่านี้อีกนะ” คิดแต่จะมอบไออุ่นให้ไม่ถามสุขภาพกันซักคำว่าอยากไดไหม

ผ้าห่มที่คลุมร่างผมถูกตลบขึ้นเพื่อคลุมกายคนที่พลิกตัวลงนอนข้างๆ ไอ้เอิ้นซุกจมูกลงบนซอกคอของผม จั๊กจี้จนต้องย่นคอหนี

“ขนาดไม่อาบน้ำยังตัวหอมเลย” อยากกินไงเหม็นแค่ไหนมันก็บอกหอมอยู่ดี

“จะเอาให้ได้เลยใช่มั้ย” ผมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงขาดห้วง “ขอน้ำกูก่อน คอแห้งชะมัด”

“ร้ายกาจ” ว่าแล้วก็ผงกศีรษะขึ้นมายิ้มร้ายทำผมงงไปหมดแค่ขอน้ำกินมันร้ายกาจตรงไหนวะ

และก็ถึงบางอ้อเมื่อไอ้เจ้าของห้องลุกขึ้นนั่งคุกเข่าแล้วแหวกเสื้อคลุมอาบน้ำออก ขยับเข้ามานิดเพื่อให้เอิ้นน้อยที่ยังซุกตัวอยู่ในเสื้อคลุมอยู่ในระดับเดียวกับใบหน้าผม

“ไอ้เวร” อยากจะด่ายาวกว่านี้อีกสักกิโลเมตรแต่คอแห้งไงด่าได้เท่านี้ ถือว่าเป็นบุญของมัน

“ทำไมล่ะ เสืออยากดื่มน้ำไม่ใช่เหรอ” ไอ้เอิ้นว่าด้วยน้ำเสียงแผ่วแล้ววางมือลงบนหลังมือของผมซึ่งวางอยู่บนต้นขาเพื่อผลักมันออกห่าง

“กูหมายถึงน้ำ ไม่ได้หมายถึงของมึง อย่าให้กูต้องพูดมากได้มั้ย เมาอยู่นะเนี่ย”

“รู้ครับรู้ ถ้าเสือไม่เมาคงไม่นอนนิ่งๆ ให้เอิ้นกอด ถูกมั้ย”

อือ ก็ถูกของมัน

ไออุ่นจากผิวกายที่สัมผัสกันผละห่างออกไป ไม่นานนักคนเป็นเจ้าของห้องก็ถือเหยือกน้ำกลับมา เตียงนอนอ่อนยวบลงเมื่อร่างหนาทิ้งกายลงบนเตียง เอิ้นค่อยๆ คลานเข้ามาหาผม มือเย็นๆ วางลงบนต้นแขนลากขึ้นมาที่หัวไหล่ บีบเบาๆ แล้วโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้

ผมเห็นว่ามันอมน้ำไว้เต็มกระพุ้งแก้ม ไม่อยากจะยอมรับแต่ริมฝีปากกลับอ้าเผยอเมื่อริมฝีปากสีอ่อนขยับเข้ามาใกล้ น้ำใสๆ ถูกส่งมา ความเปียกชื้นถูกแทนที่ด้วยความนุ่มหยุ่นที่เบียดชิด

เอิ้นป้อนน้ำให้ผมจนหมด รสชาติหวานอย่างประหลาดถูกส่งผ่านเข้าไปในลำคอบางส่วน และบางส่วนก็ไหลผ่านขอบปากออกมาเปรอะเปื้อนที่ลำคอ

บางทีเอิ้นเองก็อาจจะกระหายน้ำเหมือนกัน

ริมฝีปากรสชาติหวานๆ ผละออกอ้อยอิ่ง ดวงตาสั่นไหวจ้องลึกเข้ามาในดวงตาผมก่อนที่ความเสียวแปลบจะลามเลียไปทั่วผิวกายเมื่อหยาดน้ำที่เปรอะเปื้อนตั้งแต่ปลายคางระเรื่อยไปถึงแผ่นอกถูกกวาดเก็บด้วยลิ้นชื้นที่ลากผ่านอย่างเชื่องช้า

กล้ามเนื้อทั้งร่างกายของผมกระตุกเกร็งเมื่อหน้าอกถูกริมฝีปากอุ่นจูบซ้ำๆ

ผมวางมือลงบนไหล่แกร่งพยายามดันร่างมันออกแต่ก็ช่างไร้ประโยชน์

“ไม่ชอบเหรอ”

อืม ไม่รู้สิ

“แต่เอิ้นว่าเสือชอบนะ ตรงนี้...” เสือใหญ่อันเปลือยเปล่าถูกสัมผัสด้วยฝ่ามือที่วางลงไปตรงกลางกายจนร่างกายผมสะท้าน “…ตื่นแล้ว”

เถียงได้ไงเมื่อหลักฐานชัดเจนเสียขนาดนี้

“เอิ้นก็ตื่นเหมือนกัน” ไม่ต้องบอกก็ได้ มือด้วย ไม่ต้องพามือกูไปเจอกับหลักฐานหรอก ไม่อยากสัมผัสโว้ย

เกิดความเงียบงันขึ้นชั่วครู่ก่อนเสียงแลกเปลี่ยนน้ำหวานในโพรงปากจะเข้ามาแทนที่เมื่อจุมพิตอันหนักหน่วงตั้งแต่ในตอนต้นเริ่มขึ้น

ความรู้สึกที่ยังตกค้างอยู่ในส่วนหนึ่งของร่างกายชัดเจนขึ้นให้เรียวลิ้นที่เอาแต่หนีในคราแรกหยุดชะงักก่อนจะรวบรวมความกล้าแล้วลองส่งมันไปแตะกับส่วนเดียวกันที่พลิ้วไหวอยู่ภายใน

ความปลาบแปลบหลั่งไหลโอบล้อมร่างกายเช่นเดียวกับมือของผมที่กดท้ายทอยอีกฝ่ายเพื่อให้ริมฝีปากเราแนบชิดมากขึ้นอีก

ดีว่ะ ไม่เคยรู้ว่าจูบกับผู้ชายมันรู้สึกดีขนาดนี้ ไม่นับครั้งก่อนในห้องนอนของผม ตอนนั้นมัวแต่โกรธจนหน้ามืดตาลายคิดแต่ว่าจะต้องกระทืบมัน หากพอในร่างกายมีแอลกอฮอล์ปะปนอยู่ผมกลับโอนอ่อนผ่อนตาม มือไม้จับสะเปะสะปะไปบนแผ่นหลังแกร่ง กอดมันอย่างที่ยามมีสติผมไม่มีทางทำแน่ๆ

“ชอบที่เอิ้นทำมั้ย”

“อ๊ะ!” ร้องเป็นสาวเวอร์จิ้นเลย เกลียดตัวเองจังแต่ก็ต้องยอมรับว่าพอถูกมืออุ่นๆ ของคนอื่นมาคลึงๆ ที่เสือใหญ่มันให้ความรู้สึกตื่นเต้นกว่าตอนสัมผัสด้วยตัวเองเยอะเลย

“ชอบล่ะสิ” ปากก็ขยับเพื่อถามส่วนมือก็ลูบเสือใหญ่ขึ้นๆ ลงๆ ให้ผมกัดริมฝีปากสะกดกลั้นเสียงน่าอาย

ใครจะอยากครางอยู่ใต้ร่างผู้ชายวะ ผมเสือนะเว้ย

“รู้สึกดีใช่มั้ย”

“อ๊ะ!” แผ่นอกของผมกระตุกเมื่อยอดอกถูกจูบย้ำๆ หลายครั้งก่อนที่ริมฝีปากจะครอบลงมา เรียวลิ้นซึ่งก่อนหน้าเคยหยอกล้อกับลิ้นผมกำลังทำแบบเดียวกันกับจุดเล็กๆ ที่รวมทุกความรู้สึกเสียวปลาบ

ผมผวาเฮือกกับความซ่านสยิว เพิ่มแรงกอดรัดมันให้แน่นขึ้นแต่ก็ถูกดึงออกแล้วจับกดไว้กับฟูกนอน

ร่างแกร่งขึ้นมาคร่อมทับ นัยน์ตาของเขาทอประกายความปรารถนาชัดเจน ริมฝีปากขยับเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนก่อนจะกดจูบลงบนหน้าผากของผมให้หลับตายอมรับความอ่อนโยนที่แทบจะไม่เคยสัมผัส

ความนุ่มหยุ่นลากลงมาที่ปลายจมูกขบมันด้วยเขี้ยวแหลมๆ ให้ผมร้องด้วยเสียงผะแผ่ว

อีกครั้งที่ริมฝีปากของเราเบียดชิดกัน ความร้อนรุ่มเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่ได้สัมผัสจนผมตั้งตัวรับแทบไม่ทัน ทำได้เพียงตอบรับเท่าที่คนธรรมดาคนหนึ่งจะทำได้

ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าไอ้เอิ้นมันช่ำชองขนาดนี้ ก่อนหน้าที่จะมาหาผมมันต้องเคยมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนแน่ๆ

ความคิดนั้นทำให้หัวใจของผมหนักอึ้งราวกับถูกถ่วงด้วยก้อนหินน้ำหนักมหาศาล การกระทำเพื่อตอบสนองหยุดลงชั่วขณะให้คนที่รุกเร้าผมผละห่างแล้วจ้องลึกเข้ามาในดวงตา

“เป็นอะไรหืม” มือเรียวลูบเส้นผมชื้นที่ปรกหน้าผากของผม

“มึงเก่งจัง”

“เก่ง?” ต้องทำหน้าครุ่นคิดด้วยเหรอในเมื่อตอนนี้เราอยู่บนเตียงด้วยกัน ผมก็ต้องพูดถึงเรื่องนี้อยู่แล้ว “อ๋อ แล้วเสือไม่ชอบเหรอ”

กว่าจะคิดได้ก็นานพอตัว

ผมส่ายหน้าหน่อยๆ แทนคำตอบ ไม่ใช่ไม่ชอบ ทุกสัมผัสทำให้รู้สึกดีแต่ว่า…

เพียงคิดถึงที่มาของความเก่งกาจก็พาลไม่พอใจซะอย่างนั้น

“ไม่ต้องห่วงนะตอนนี้เอิ้นมีเสือคนเดียว”

ผมกำลังมัวเมากับจุมพิตหวานๆ ที่ถูกป้อนให้หลังจากคำตอบที่ปัดเป่าความไม่พอใจออกไป เสียงแลกเปลี่ยนน้ำหวานที่ไหลเลอะขอบปากยิ่งกระตุ้นให้ไฟในกายพัดโหม

ริมฝีปากของผมถูกขบเม้ม ความชื้นแฉะที่ปลายคางถูกกวาดเก็บไปจนหมด

เอิ้นฟอนเฟ้นเล้าโลมผมด้วยริมฝีปากที่จูบซับไปทั่วทั้งแผ่นอก ดูเหมือนว่ามันจะชื่นชอบหน้าอกของผมเป็นพิเศษถึงได้เฝ้าปาดเลียจูบซับอยู่อย่างนั้นซ้ำๆ

“ตรงนี่ของเสืออร่อยมากเลย”

เหลือบมองแล้วจึงขบตรงนั้นด้วยฟัน จี๊ดเลยแต่มากกว่าความเจ็บคือความซ่านสยิวที่ทำเอาผมผวาขึ้นจนแผ่นหลังห่างจากฟูกนอน

เส้นผมของเอิ้นถูกผมขย้ำจนกระเซอะกระเซิงแต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอ

ผมบีบไหล่แกร่งแรงๆ จิกเล็บสั้นลงบนนั้นเมื่อลิ้นชื้นลากผ่านอกลงไปที่หน้าท้อง หลุมสะดือถูกเย้าแหย่จนรู้สึกเสียดท้องแปลบๆ ที่จริงผมต้องผลักมันออก หากในความเป็นจริงนั้นมือเวรกลับกดท้ายทอยให้ร่างกายแนบชิดกว่าเดิม
ให้ตายเถอะ ถ้าไม่เมาจนไร้สติเสือไม่มีทางทำแบบนี้แน่

“ไม่!!” ถึงแม้จะร้องห้ามแต่ร่างกายของผมกลับตอบสนองด้วยการยกสะโพกขึ้นรับการปรนเปรอจากมือหนาที่กำลังลูบไล้เสือใหญ่แล้วรูดรั้งจนปวดหนึบ

เฮือก!!

ราวกับลมหายใจถูกพรากออกไป เมื่อริมฝีปากอุ่นๆ ที่เคยจูบซับตรงแผ่นท้องลากต่ำลง โพรงปากครอบลงบนเสือใหญ่อย่างระมัดระวัง สะโพกของผมลอยสูงขึ้นอีกเมื่อมือหนาสอดเข้ามาลูบไล้ที่แก้มก้น เช่นเดียวกับลิ้นชื้นที่ปาดเลียทุกสัดส่วนของเสือใหญ่อย่างไม่นึกรังเกียจ

แต่ผมโคตรเกลียดตัวเอง

เกลียดที่ตอบสนองทุกการกระทำที่ปรนเปรอให้ มิหนำซ้ำยังส่งเสียงครางพร่าอย่างน่าอายให้ดังก้องอยู่ภายในห้อง และเหมือนว่าไอ้เอิ้นจะชอบการกระทำนี้ของผม

ทุกความเคลื่อนไหวหยุดชะงักลงเมื่อดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความเสน่หาเหลือบขึ้นสบกับผม

“รู้สึกดีรึเปล่า”

ครางขนาดนี้ กูคงกำลังรู้สึกแย่มั้ง

“เดี๋ยวเอิ้นจะทำให้เสือรู้สึกดีกว่านี้อีก”

เดี๋ยวในที่นี้หมายถึงเดี๋ยวนี้ใช่หรือเปล่าวะ

ให้ตายเถอะ นี่ไอ้เอิ้นคิดจะฆ่าผมทางอ้อมใช่ไหม เมื่อมันกดจูบลงบนส่วนยอดของเจ้าเสือใหญ่ซ้ำๆ เหมือนจูบสัตว์เลี้ยงที่น่าเอ็นดู แค่นั้นยังคงไม่สาแก่ใจถึงได้ใช้ปลายลิ้นไล้เลียซะจนส่วนที่ชื้นอยู่แล้วถึงกับเปียกแฉะ

ตอนนี้เองที่ผมรู้สึกว่าร่างกายใกล้จะปริแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

ขาที่ถูกบังคับให้แยกออกเพื่อที่อีกฝ่ายจะได้แทรกเข้ามาได้ง่ายๆ นั้นบิดเกร็ง ผมจิกเล็บสั้นกุดลงบนแผ่นหลังแกร่งแล้วลากลงมาเป็นทางยาวเพื่อระบายความซ่านสยิว

ร่างกายของผมเสียการควบคุม น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเหมือนไม่ใช่เสียงตน แต่มันจะไม่ใช่ได้อย่างไรในเมื่อมันดังออกมาจากริมฝีปากอันบวมเจ่อของผม

จังหวะลิ้นที่กำลังไล้เลียเสือใหญ่ในโพรงปากอุ่นๆ เปลี่ยนไป เช่นเดียวกับจังหวะของปากที่ครอบแล้วขยับขึ้นลงนั้นก็กลายเป็นหนักหน่วงขึ้น

หากเปรียบสิ่งที่อยู่ในร่างกายผมคือลาวา ตอนนี้มันคงเอ่อมาจนถึงปากปล่องภูเขาไฟแล้ว

“เอิ้น...”

ผมเรียกมันในจังหวะที่ยกสะโพกสูงขึ้นรับจังหวะโพรงปากที่ครอบลงมา เลื่อนมือขึ้นมาเพื่อกดศีรษะมันเอาไว้แล้วจึงปลดปล่อยทุกความปรารถนาเข้าไปในโพรงปากนั้น

ทุกอย่างในหัวของผมถูกแทนที่ด้วยกลุ่มควันจางๆ ลอยฟุ้ง สักพักจึงค่อยๆ จางลงเหลือเพียงความว่างเปล่า

ในหูได้ยินเพียงเสียงหอบหายใจของตน ไม่รับรู้ถึงความเคลื่อนไหวหรือเสียงของสิ่งมีชีวิตอื่นใด

แค้กๆ

เสียงไอของสิ่งมีชีวิตอีกหนึ่งบนเตียงนี้ดังขึ้นใกล้ๆ เมื่อลืมตาก็พบกับใบหน้าหล่อเหลาแดงซ่านซึ่งอยู่ใกล้เพียงแค่ลมหายใจขั้น

“ออกมาเยอะเลย ไม่ได้เอาออกนานเลยใช่มั้ย”

ต้องหน้าด้านแค่ไหนถึงกล้าถามอะไรแบบนี้ อยากจะตอบโต้อยู่หรอก แต่ตอนนี้ร่างกายผมไม่ต่างอะไรจากโทรศัพท์มือถือที่แบตใกล้จะหมด

ดวงตาของผมค่อยๆ ปิดลงอย่างยากที่จะต้านทาน

“เสือ” เสียงไอ้เอิ้นดังอยู่ที่เดิม เพิ่มเติมคือมือที่จับไหล่แล้วเขย่าแรงๆ

เขย่าเข้าไปเถอะ อย่างไรก็ไม่มีทางลุกขึ้นมาทำอะไรได้อีกแล้วล่ะ

“เสือจะทิ้งเอิ้นไว้กลางทางแบบนี้ไม่ได้นะ เสือ เสือ เสือครับ เสืออออออ~”

เสียงคร่ำครวญแผ่วเบาลงพร้อมๆ กับสติของผมที่ดับวูบลง

ฝันดี...






[- T B C -]


ทั้งสงสารทั้งขำตาเอิ้น ตะล่อมจะกินเขามาตั้งนาน
ไงล่ะ ถูกทิ้งไว้กลางทางเฉย
ส่วนตัวชอบเสือตอนเมานะ พอเมาแล้วจากเสือก็กลายเป็นแมวทันทีเลย
ถึงจะเป็นแมวก็เป็นแมวที่ร้ายกาจไม่เบา
สุดท้าย ขอบคุณทุกๆ คอมเมนต์นะคะ รักเลย
แวะมาพูดคุยกันในทวิตเตอร์ก็ได้ ในแท๊ก #เสือของเอิ้น
เจอกันตอนหน้า อย่าทิ้งเราไว้กลางทางเหมือนเสือน้า
 :mew1:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
สะจายยย...แทนเสือ ได้เอาคืนเอิ้นบ้างแล้ว ฮา

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ค้างไหมถามใจเอิ้นดู

ออฟไลน์ Ra poo

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
น่ารัก ตลกอะ เอิ้นโดนทิ้ง 5555555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ lnudeel

  • I wanna be a CAT!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-5
รู้สึกสะใจ :laugh: :hao7:

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0

ตอนที่ 6 {ใส่ร้ายป้ายเสือ}




ถึงแม้ว่าสมองอันหนักอึ้งจะจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่ได้ซักอย่าง แต่ร่างกายกลับจดจำทุกเรื่องราวได้อย่างชัดเจน

ผมเมา พอเมาแล้วจากเสือร้ายก็กลายเป็นเป็นเสือเชื่องๆ จากคำบอกเล่าของคนที่เคยดื่มด้วยกัน เมื่อมองไปยังท่อนแขนที่พาดอยู่บนลำตัวระเรื่อยไปจนถึงคนที่กำลังหลับพริ้มยิ่งชัดเจนว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นระหว่างเราแต่ก็แปลกดี มันไม่เจ็บเหมือนครั้งแรกทั้งยังรู้สึกสบายตัวเป็นพิเศษ

ไม่สิ ผมพยายามข่มความรู้สึกดีเอาไว้

“เชี่ยเอิ้น” ผมเขย่าแขนที่พาดอยู่บนลำตัว น้ำหนักของท่อนขาที่กดทับบนท่อนล่างทำให้รู้สึกปวดเมื่อยไปหมด ทั้งศีรษะที่ซุกซบอยู่บนแผ่นอก รวมๆ แล้วช่างน่ารำคาญเหลือเกิน ไม่ได้พูดแก้เขินผมคิดอย่างนั้นจริงๆ

เหมือนกับว่าแรงเขย่าของผมจะไม่สามารถทำอะไรมันได้

หลับลึกอะไรขนาดนั้น

“เอิ้น ถ้ามึงไม่ตื่นกูถีบนะ”

“งื้อ รุนแรงแต่เช้าเลย” สะลืมสะลือว่าเสียงงัวเงียแต่ไม่ยักกะผละออกห่าง มิหนำซ้ำยังซุกร่างเข้ามาเบียดชิดมากกว่าเดิมเสียอีก

สงสัยอยากให้ใช้กำลัง

ไม่พูดพร่ำทำเพลงผมยันตัวลุกขึ้นแล้วผลักคนที่นอนหลับอยู่ข้างๆ ด้วยแรงทั้งหมดที่มี ผลคือร่างทั้งร่างของไอ้คนขี้เซาลงนอนกองอยู่บนพื้นด้วยท่าแผ่หลาสวยงาม ที่จริงมันก็ไม่ได้สวยงามหรอกออกจะอุบาทว์เสียมากกว่า

ไอ้เอิ้นแม่งเปลือยทั้งตัวเลยว่ะ

“เอิ้นเจ็บนะเสือ”

“ก็ถูกแล้วไง” ผมยิ้มหยันเมื่อมันค่อยๆ ปีนขึ้นมาบนเตียงทำหน้ามุ่ยแล้วทุบไหล่ผมเบาๆ นี่แน่ะๆ!

“เรื่องเมื่อคืนยังไม่เคลียร์เลยนะ”

“อะไร” ผมถามกลับอย่างไม่สบอารมณ์ กระถดออกห่างเมื่อใบหน้าหล่อเหลามีแววเจ้าเล่ห์โน้มเข้ามาใกล้

“เสร็จแล้วก็ชิ่งกันเฉยเลย”

“กูเมาไง” หน้าร้อนฉ่า

“เวลาเมาเสือน่ารักมาก”

“กูไม่รู้นะว่าตอนเมากูมีปฏิกิริยากับคำชมของมึงยังไงแต่ตอนนี้กูไม่ซึ้ง ไม่ต้องหยอด”

“พูดแบบนี้เดี๋ยวก็มอมเหล้าซะเลย”

“กูไม่ง่าย”

“ง่ายไม่ง่ายไม่รู้แต่ที่รู้ๆ เมื่อคืนเราก็…” น้ำเสียงมันโคตรเจ้าเล่ห์แสดงความเหนือกว่าเข้าไปเถอะรู้หรอกน่าว่าเมื่อคืนไม่ลึกซึ้งถึงขั้นร่างกายประสานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

“มึงก็แค่ฉวยโอกาส กูไม่ต่อยให้ก็บุญหัวมึงเท่าไหร่แล้ว”

ผมพยายามข่มใจให้เย็นที่สุดแล้วจึงก้าวลงจากเตียงตั้งใจจะไปอาบน้ำแต่ก็ถูกรั้งเอาไว้ด้วยน้ำเสียงหยอกเอิน
“ตั้งใจจะยั่วกันรึเปล่า”

ดวงตาคมของคนที่นอนคว่ำเท้าคางอยู่บนเตียงกวาดมองร่างกายเปลือยเปล่าของผมตั้งแต่หัวจรดเท้า

ผมไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระ

“อยากให้เอิ้นช่วยอาบน้ำก็บอกดีๆ”

“คนก่อนๆ ของมึงคงทำให้มึงคิดว่าการกระทำแบบนี้คือการเชิญชวนแต่สำหรับกูไม่ใช่ว่ะ”

“แต่เอิ้นอยากช่วยว่ะ” ว่าจบก็กระโดดเข้ามาประชิดตัว ขยับหนีตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วเมื่อร่างกายในสภาพแรกเกิดถูกดึงรั้งเอาไว้ด้วยแขนแกร่งที่กอดเกี่ยวเอวเอาไว้

“ไอ้เหี้ย”

คนถูกด่าว่าเหี้ยจำเป็นต้องทำหน้าระรื่นขนาดนี้มั้ย เหี้ยคือคำด่าโว้ย ไม่ใช่คำชม

“เอิ้นตื่นอีกแล้วอะ” หลุบตามองต่ำก็พบว่ามันตื่นจริงๆ

เรื่องปกติของผู้ชายนะ แต่มันผิดปกติตรงที่มันดันมาตื่นตอนที่ผู้ชายเปลือยสองคนกำลังยืนกอดกันด้วยท่าทางหมิ่นเหม่อย่างไรละ

“ช่วยหน่อย แบบที่เอิ้นช่วยเสือเมื่อคืน”

“ฝันไปเถอะ ห่า” ผมผลักไหล่มันแรงๆ ให้ไอ้เอิ้นผละออกอย่างง่ายดายแล้วหัวเราะชอบใจ

“ทำไมล่ะ เอิ้นยังเคยทำให้เสือเลย”

“นั่นก็เรื่องของมึง”

“งั้นให้เอิ้นช่วยเสืออีกครั้งมั้ย เมื่อคืนเสือก็เหมือนจะรู้สึกดีนะ”

มองตามสายตาที่หลุบมองเสือใหญ่ของผมที่กำลังยืนตรงแล้วก็อยากจะกระโดดถีบยอดหน้าแม่งจริงๆ แต่ขี้เกียจจะต่อล้อต่อเถียง ทั้งยังรู้สึกว่าการยืนเป็นอาหารตาให้มันเป็นเรื่องที่เสียเปรียบมากผมจึงเดินโทงๆ เข้าห้องน้ำมา

ไม่ลืมตะโกนบอกให้ไอ้เจ้าของห้องเตรียมเสื้อผ้าไว้ให้ด้วย อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ชิ่งแน่นอน ไม่อยู่รอให้มันจ้องจะกินหรอก


▼▲▼▲▼


เกลียดไอ้เอิ้นว่ะ เพราะมันคนเดียวทำให้ผมต้องสวมเสือเชิ้ตแล้วติดกระดุมจนมิดคอเพื่อปิดร่องรอยที่มันฝากเอาไว้ เป็นจ้ำสีช้ำๆ ชัดมากจนแม่ถามว่าไปนอนกับผู้หญิงที่ไหนมา อยากบอกเจ๊เหลือเกินว่าเด็กข้างบ้านสุดที่รักของเจ๊นั่นแหละที่จ้องจะเคลมเสือ แต่เชื่อไหมว่าบอกไปก็เปล่าประโยชน์ ดีไม่ดีอาจจะโดนเจ๊ด่าจนหูดับอีกด้วย

ไม่เอาอะ เสือไม่อยากเสี่ยงตาย

“คุณเสือ”

พี่อลิซสาวสวยตำแหน่งเจ้าของร้านกาแฟหนุ่มหล่อเพียงหนึ่งเดียวในตึกร้องเรียกให้ผมหยุดเดินเพื่อทักทาย

“วันนี้แต่งตัวแปลก ถ้าเอาหน้าม้าลงแล้วใส่แว่นนี่สเป็คพี่เลยนะ”

คอนเซ็ปร้านเธอคือหนุ่มเนิร์ดสุดหล่อ มองๆ แล้วก็คล้ายๆ โนบิตะเหมือนกัน

ผมยิ้มแห้งๆ ยกมือต้นคอเก้อๆ อย่างไม่รู้ว่าควรตอบว่าอย่างไรดี ปกติเสือช่างพูดนะครับแต่วันนี้พูดไม่ค่อยออก อาจเพราะกระดุมเม็ดบนที่ทำให้รู้สึกอึดอัดมากๆ เลย

“วันนี้รับอะไรดีคะ เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง”

“ไม่เป็นไรครับ” ผมปฏิเสธในทันทีให้พี่สาวหน้ามุ่ย รู้สึกผิดเหมือนกันแต่ความเกรงใจมีมากกว่า

“ไม่ต้องเกรงใจ แต่ถ้าคุณเสือเกรงใจ ว่างๆ แต่งตัวแบบนี้มาช่วยงานที่ร้านพี่สิคะ”

“เอางั้นเหรอครับ วันนั้นร้านพี่อลิซต้องขายดีมากแน่ๆ เลย”

“พี่ก็ว่างั้น นั่งรอซักครู่ ชาเขียวเนอะวันนี้”

“ก็ดีครับ ผมดื่มกาแฟมาจากบ้านแล้ว”

“คุณเสือของพี่น่ารักที่สุดเลย”

เรายิ้มให้กันก่อนผมจะนั่งลงบนเก้าอี้ จ้องมองพี่อลิซที่ยืนชี้นิ้วสั่งพนักงานหนุ่มหล่อของเธอด้วยท่าทีคล่องแคล่ว ไม่นานหลังจากนั้นชาเขียวก็ถูกนำมาเสิร์ฟถึงมือ

ได้กินอะไรหวานๆ แล้วก็รู้สึกชื่นใจ แต่ชื่นใจและดื่มด่ำบนเก้าอี้ออฟฟิศแข็งๆ ได้ไม่นาน โปรแกรมแชทที่ใช้ภายในบริษัทฯ ก็เด้งขึ้นเพื่อแจ้งเตือน

‘สรัลครับ’

เป็นข้อความจากไอ้คุณอัคคี และไม่รู้เป็นอะไร เมื่อถูกเรียกแบบนี้ทีไรผมรู้สึกไม่ดีทุกทีเลย

‘เชิญที่ห้องซักครู่’

ถูกเชิญแต่เช้า ฤกษ์ไม่ดีแล้วว่ะ นาทีนี้ชาเขียวรสชาติกลมกล่อมก็ไม่ช่วยอะไร ผมก้มดูดน้ำในแก้วอีกอึกหนึ่งให้ใจร่มๆ แล้วจึงลุกขึ้นเพื่อไปยังจุดหมาย

“โชคดีพี่”

เหมือนไอ้กวินรู้ถึงได้หันมายกกำปั้นทำท่าไฟต์ติ๊งต๊องๆ ให้กำลังใจ บอกเลยว่าไม่ได้ช่วยอะไรสักนิด

“เชิญครับ” อนุญาตเหมือนรออยู่แล้ว ไม่เปิดโอกาสให้เคาะประตูเลย

เมื่อผลักประตูเข้าไปแล้วสบตากับคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้บริหารที่ดูดีกว่าเก้าอี้ผมสักพันเท่าความเครียดก็เข้าโอบล้อมพวกเราไว้ทันที

มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีกอย่างนั้นเหรอ

“นั่งสิ”

“เรื่องยาวเหรอครับ”

“อื้อ คิดว่าน่าจะยาว” ดังนั้นผมจึงทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้าม แม้มันจะให้ความรู้สึกดีกว่าเก้าอี้ของผมแต่บอกตรงๆ ไม่ชอบเลยว่ะ

“มีเรื่องอะไรเหรอครับ”

ไอ้คุณอัคคีประสานมือรองไว้ที่ปลายคาง ข้อศอกทั้งสองข้างเท้าอยู่บนโต๊ะ ใช่สายตาเรียบนิ่งที่ซ่อนเอาไว้ด้วยความจริงจังมองใบหน้าของผม

ตอนแรกแอบคิดว่าอาจจะถูกล้อเรื่องเสื้อที่ติดกระดุมจนมิดคอ แต่ไม่เลย ระหว่างเราตอนนี้มันเคร่งเครียดเกินไป

“เสือรู้จักคุณปรางมั้ย”

“รู้จักสิ ปรางเข้ามาที่นี่พร้อมกับผม ทำงานด้วยกันจนเธอลาออก ทำไมเหรอ สงสัยอะไร”

“ผมถามตามหน้าที่นะเสือ ทุกวันนี้ยังติดต่อกับเธออยู่มั้ย”

“ก็ไม่นะ”

“แล้วคนอื่นๆ ล่ะ”

“หมายถึงใครล่ะ”

“เพื่อนๆ ของคุณที่ทำงานกับบริษัทฯ คู่แข่งน่ะ ได้คุยบ้างมั้ย”

ที่จริงผมมีเพื่อนที่ทำงานในสายงานเดียวกันแต่อยู่คนละบริษัทเยอะมากเลยล่ะ ปกติไม่ค่อยมีโอกาสคุยกันเท่าไหร่ แต่พักหลังมานี้เจ้าพวกนั้นโทรหาผมถี่กว่าปกติจนบางครั้งก็สงสัยว่ามันกลับมาตีสนิทเพื่อยืมเงินหรือเปล่า

“ถามทำไม มีอะไรก็พูดมาเลย ไม่ต้องอ้อมค้อมหรอก”

“ถ้าบริษัทคู่แข่งให้เงินเดือนคุณมากกว่าที่นี่ 2 เท่าคุณจะไปมั้ย”

“ก่อนเข้ามาทำงานที่นี่ผมอ่านกฎบริษัทอย่างถี่ถ้วนนะ กฎก็บอกอยู่ว่าหลังจากออกจากที่นี่ห้ามทำงานกับบริษัทฯ คู่แข่งเป็นเวลา 1 ปี มันเรื่องอะไรกัน สงสัยอะไรในตัวผมเหรอ”

คุณอัคคีมีสีหน้าลำบากใจอย่างที่ผมเองก็สัมผัสได้ สิ่งที่เขากำลังจะพูดต่อจากนี้ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ

“เจอคุณปรางครั้งล่าสุด เธอเสนอเงินเดือนให้เสือเท่าไหร่เหรอ ถ้าที่นี่ให้มากกว่าคุณยังจะไปอยู่รึเปล่า”

ไปไหนวะ ตัวผมเองยังไม่รู้เลยว่าจะไปไหน คนอื่นจะมารู้ดีไปกว่าผมได้ยังไง

และก็ถึงบางอ้อเมื่อรูปถ่ายจำนวนหนึ่งถูกวางลงบนโต๊ะ ผมหยิบมันขึ้นมาพิจารณาแล้วความคิดก็ย้อนกลับไปในวันที่บังเอิญเจอปรางที่ห้างสรรพสินค้า เราคุยกันในร้านกาแฟ แต่ก็แค่สอบถามสารทุกข์สุขดิบตามประสาคนรู้จัก แล้วมันมีประเด็นอะไร

ผมมุ่นคิ้วอย่างไม่เข้าใจเมื่อวางรูปถ่ายในมือลงแต่ยังไม่ละสายตา

“เสือ” คนที่มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าโดยตรงว่าเสียงแผ่วๆ ผมสัมผัสได้ถึงความเห็นใจที่ถูกส่งมา ไม่ชอบเลยว่ะ “วงในแจ้งมาว่าคุณมีแพลนจะย้ายไปทำงานกับเพื่อนของคุณ”

มิน่าล่ะเมื่อครู่ถึงพูดเรื่องเงินเดือน

“ผมเนี่ยนะ วงในวงไหนที่บอกมา” คำพูดที่ไม่ต่างจากการเอาไม้หน้าสามตีแสกหน้าทำให้ผมโมโหจนไม่สามารถสงบใจให้พูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งได้อีก

“ผมเชื่อเสือนะ เสือที่ผมรู้จักไม่มีทางหักหลังใครแต่ผู้ใหญ่เค้า...”

ผมนึกว่าเรื่องของเราในอดีตทำให้เขาปักใจเชื่อว่าผมเป็นพวกที่ชอบหักหลังเพื่อนฝูงซะอีก เหลือเชื่อเลยว่ะ

“มีใครไม่อยากได้เงินเดือนเยอะๆ บ้างล่ะ”

ยอมรับนะว่าตอนเห็นตัวเลขที่ปรางหรือคนอื่นๆ เสนอให้ หัวใจผมนี่พองโตเหมือนลูกโป่งอัดแก๊ส แต่ด้วยศักดิ์ศรีถึงจะอยากรับไว้เพียงใดแต่ก็ต้องข่มใจปฏิเสธ

“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนมาเสนอเงินเดือนที่มากกว่าที่นี่เป็นเท่าตัวให้หรอก บ่อยจนชิน คิดดูดิ แรกๆ ก็งงนะว่าเราเก่งกาจขนาดนั้นเลยเหรอวะ แต่ก็คงเก่งมั้งถึงมีคนมาชวนไปทำงานด้วยเยอะขนาดนี้”

“แล้วเสือไม่หวั่นไหวเหรอ”

“หวั่นไหวสิ”

“แล้วทำไมถึงไม่ไป รักที่นี่มากเหรอ ภักดีต่อบริษัทอย่างนั้นเหรอ”

ผมอยากจะหัวเราะให้ฟันร่วง

อย่าพูดถึงเรื่องภักดีเลย ที่ทำงานอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะสบายใจที่ได้ทำ และเงินที่ได้รับตอนสิ้นเดือนทั้งนั้นแหละ

“เอาล่ะ ที่เรียกมาก็เพื่อจะไล่ออกใช่มั้ย”

“ยังไม่ถึงขั้นนั้น ในที่ประชุมมีมติให้พักงานเสือไม่มีกำหนด”

“แล้วมันต่างจากไล่ออกตรงไหนวะ”

“เสืออย่าทำเหมือนไม่ทุกข์ร้อนได้มั้ย”

“ต้องร้องไห้ฟูมฟายเหรอวะ มึงคิดว่ากูเป็นคนแบบนั้นเหรอ เชี่ยเอิ้น นี่เสือนะเว้ย เสือไม่ร้องไห้หรอก” ถึงแม้จะรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ ก็ไม่ร้องไห้หรอก

“เราจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ”

“มันจะลับได้ยังไง คนทั้งคนหายไปนะ ต้องมีคนสงสัยอยู่แล้ว บอกความจริงไปสิ กูไม่รู้สึกอะไรหรอก”

“เชื่อใจกันบ้างสิเสือ”

“กูต้องเชื่อใจคนที่ไม่เชื่อใจกูด้วยเหรอ จะทำอะไรก็ทำเถอะ กูลาออก”

“ผมไม่อนุมัติ จนกว่าผมจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเสือได้ ผมไม่มีทางให้เสือลาออกหรอก”

“เอาเวลาไปหางานให้ทีมกวินเถอะ อย่ามาเสียเวลากับเรื่องพวกนี้เลย” ผมลุกขึ้นยืนตั้งใจจะออกจากห้องแล้วแต่ก็นึกขึ้นได้ว่าลืมถามอีกอย่าง “กลับบ้านได้เลยมั้ย”

“เสือ จะไม่ยอมแพ้แค่นี้ใช่มั้ย”

“ทำงานของตัวเองไปเถอะ ที่เหลือกูจัดการเอง” ผมยกยิ้มร้าย ใครทำเสือเจ็บ คนนั้นต้องเจ็บกว่าเสือ เห็นทีพักยาวคราวนี้ต้องเรียกรวมทีมงานซักหน่อย ไม่ได้ฟอร์มทีมนานแล้ว ถือซะว่านี่คือโอกาสที่ดีก็แล้วกัน

“วิน พี่ถูกพักงานนะ”

“หืม” ไม่ใช่เพียงเสียงไอ้กวินคนเดียวแต่เป็นของทุกคนในออฟฟิศดังประสานกัน

“คงไม่กลับมาอีกแล้ว ฝากทำงานต่อด้วย งานทั้งหมดอยู่ในเซิร์ฟเวอร์ ไม่เข้าใจตรงไหนโทรถามได้ตลอด ขอโทษจริงๆ ว่ะที่อยู่ด้วยจนจบไม่ได้”

“พี่เสือไม่เอาดิวะ มันเรื่องอะไร”

“นั่นสิเสือ พี่จะไม่ถามนะว่าเกิดเรื่องอะไร แต่เสือจะออกแบบนี้ไม่ได้”

“ผมไม่อยากทำแล้วพี่ เบื่อว่ะ”

“ทำไมเอ็งขี้แพ้ ที่ทำอยู่มันไม่ต่างอะไรจากการหนีปัญหา เสือไม่เคยหนีปัญหา และยิ่งแกไปแบบนี้ คนอื่นเค้าก็ยิ่งเข้าใจผิดไปใหญ่ แกต้องกลับมา เข้าใจพี่ใช่มั้ย”

นี่พี่แกไม่รู้จริงๆ เหรอว่าเกิดเรื่องอะไรกับผม พูดเป็นฉากๆ แบบนี้ต้องรู้เรื่องอะไรมาบ้างแหละ

“ครับๆ ถ้าพิสูจน์ตัวเองได้เมื่อไหร่จะมาลาออกให้ถูกต้อง เตรียมเลี้ยงส่งด้วย ไปละ โชคดีทุกคน”

“พี่เสือ ไม่มีพี่แล้วผมจะทำยังไงล่ะ”

ชายเสื้อถูกรั้งเอาไว้ นี่คงเป็นครั้งแรกที่ไอ้กวินจะได้เห็นเสือในโหมดอ่อนโยน

“ถ้าพี่ไม่มั่นใจว่าเอ็งทำได้พี่คงไม่ฝากงานไว้กับเอ็ง มั่นใจในตัวเองหน่อย มีอะไรก็โทรมา พี่ยังเป็นพี่เอ็งเสมอ ไอ้น้อง” เท่ชะมัด

ผมเงยหน้าเพื่อสบตากับคนที่ยืนอยู่บนชั้นที่สูงกว่าในจังหวะที่กำลังจะหมุนตัวกลับ ไอ้เอิ้นยืนมองผมตาละห้อย รู้ว่าทำให้ลำบากใจ แต่ผมไม่มั่นใจในกระบวนการของบริษัทหรอก ถึงจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้ผมได้แต่คงช้าเป็นเต่าขาเจ็บ สู้มาจัดการด้วยตัวเองสบายใจกว่าเยอะ


▼▲▼▲▼


ผมลงรถเมล์ตรงที่ประจำแล้วเดินอย่างเชื่องช้าไปตามทางเดินเพื่อประวิงเวลาเผชิญหน้ากับเจ๊ศรี เมื่อถึงหน้ามินิมาร์ทก็ตั้งใจจะรีบวิ่งเข้าบ้านแต่ก็ถูกเรียกเอาไว้ด้วยเสียงอันแหลมสูงแบบที่นกที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้บินหนีกันทั้งฝูง

“ตาเสือ ทำไมกลับเร็ว”

“ถูกพักงานครับ” พูดกันตรงๆ นี่แหละ สบายใจดี

“ไปทำอีท่าไหนถึงถูกพักงาน”

“ต้องมีท่าด้วยเหรอ เสือก็จำไม่ได้ว่าทำท่าไหนแต่คงไม่เท่เท่าไหร่หรอก”

“แกต้องเครียดมั้ย ตกงานนะยะยังจะมาตลกอีก”

“เสือชอบนะแม่ ได้นอนตีพุงอยู่บ้านทั้งวัน สบายจะตาย”

“สบายจ้า แล้วค่าใช้จ่ายในบ้านล่ะ แกโตแล้วจะมาเกาะแม่กินไม่ได้แล้วนะ”

“เกาะมาตั้งนานแล้ว ขอเกาะอีกหน่อยไม่ได้เหรอ” เข้าไปกอดอ้อนขอเกาะซักหน่อยเผื่อเจ๊จะใจอ่อน แต่ไม่เลยว่ะ นอกจากไม่ใจอ่อนแล้วยังฟาดไหล่ผมเต็มเหนี่ยวอีก

เจ็บชะมัดเลย

“ไม่ได้ย่ะ อายุเกิน 25 ปีแล้วจะมาเกาะแม่กินอยู่ได้ยังไง ตั้งใจทำงานแล้วหาเมียซะ แม่อยากอุ้มหลาน”

“อ่อ เมื่อเช้าสิงห์สไกฟ์มาบอกว่าพี่สะใภ้ท้องแล้วนะแม่ รออุ้มลูกพี่สิงห์แล้วกันนะ” ผมยิ้มแฉ่งแล้วขยิบตากวนๆ ให้เจ๊ศรีไปทีแล้วรีบจ้ำอ้าวออกจากร้านมา ถ้าไม่รีบล่ะก็เจ๊ต้องหาเรื่องให้ผมไปนัดบอดอีกแน่ๆ

น่าเบื่อ

ปึ้ง!!

ประตูห้องถูกกระแทกปิดแรงๆ ด้วยอารมณ์หงุดหงิดที่ยังคั่งค้างเป็นตะกอนอยู่ในใจ

อย่าให้รู้เชียวว่าใครใส่ร้ายผม จะจัดแม่งให้หนักเลย

ผมปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสามเม็ดบนออกแล้วทิ้งตัวลงบนเตียง ก่ายหน้าผากและกำลังจะหลับตาแต่เสียงโทรศัพท์ที่ยังอยู่ในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้นซะก่อน

น่าจะเป็นไอ้เอิ้น

ผมล้วงมือถือออกมา มองที่หน้าจอเพื่อพบว่าตัวเองคิดผิด

ทำไมถึงคิดว่ามันจะโทรมา

ผมสไลด์หน้าจอด้วยความหงุดหงิดแล้วจึงกรอกเสียงเบื่อหน่ายลงไป

“กูไม่มีตังค์โว้ย” มีไม่กี่เรื่องหรอกที่ทำให้ไอ้แชมป์โทรหาผม ไม่ยืมเงินก็มีหนังใหม่เข้า

“ได้ข่าวว่าตกงานเหรอครับ” หยอกกูไม่ดูเวร่ำเวลาเลยไอ้เพื่อนเลว

“ข่าวเร็วนะมึง รู้ก็ดีแล้ว หางานให้กูทำหน่อย”

“มาซิ่งกับกูมั้ย หรือไม่ก็เอาเงินมาลงทุนธุรกิจกับกูสิ”

“หนังอาร์ตอะนะ น่าสนฉิบหาย”

“นี่กูกะว่าจะถ่ายเองแล้วว่ะ ลงทุนเองเป็นพระเอกเอง มีแต่ได้กับได้”

“ความคิดมึงนี่” อดที่จะแขวะมันไม่ได้ “เออแชมป์มึงช่วยตามตัวไอ้สนิมให้กูหน่อยสิ”

“มึงจะทำอะไร”

“มีเรื่องจะให้มันช่วยหน่อย”

“เรื่องที่มึงโดนไล่ออกอะนะ”

“กูถูกพักงานไม่ได้ถูกไล่ออก เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก ตอนนี้กูโคตรอยากรู้ว่าใครกล้าใส่ร้ายกู ตามพวกไอ้กั๊กให้กูด้วย”

“ไอ้กั๊กมันนักเลงนะ มึงจะเรียกมันมาทำไม”

“มากระทืบไอ้คนที่ใส่ร้ายกูไง”

“แค่กูกับมึงก็พอแล้วมั้ง เดี๋ยวช่วงนี้กูฟิตร่างกายรอเลย”

“เอาเวลาไปดูแลลูกมึงเถอะ แค่นี้นะ บอกไอ้สนิมโทรหากูด้วย”

“แล้วแม่งไม่โทรเองวะ”

“มันคงรับสายกูหรอก เงิน 2 พันตั้งแต่เมื่อ 4 ปีที่แล้วแม่งยังไม่คืนกูเลย ถ้าเก็บดอกเบี้ย กูแม่งเศรษฐีแล้วเนี่ย”

“มึงนี่คล้ายเจ้าพ่อเงินกู้เหมือนกัน ถ้าเบื่อๆ ก็มาขับวินนะ คนขาดอยู่พอดี”

“เออ ขอบใจเว่ย”

“เปลี่ยนเป็นลดหนี้ให้กูมั้ย”

“ไม่ กูตกงานอยู่ แค่นี่แหละห่า กูจะนอน”

เสียงหัวเราะชอบใจดังขึ้นก่อนสายจะถูกตัดไป

ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่ต้องใช้บริการไอ้สนิม คนที่ใครก็คาดไม่ถึงว่ามันจะกลายเป็นนักค้าข้อมูลมือฉมัง อยากได้ข้อมูลอะไรมันหาได้หมด แต่ค่าจ้างก็ไม่ใช่ถูกๆ เหมือนกัน นี่คิดไม่ตกเลยว่าจะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายมัน คนตกงานที่ไหนเขามีเงินกันล่ะ

ผมหลับไปตอนที่นอนก่ายหน้าผากคิดเรื่องเงินที่จะเอามาจ่ายค่างจ้างไอ้สนิม และรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกทีตอนที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น

“เสือ เอิ้นเข้าไปได้มั้ย”

ไม่โทรมาแต่มาหาถึงที่เลย

“ลงไปคุยข้างล่าง” ผมเปิดประตูแล้วคว้าไหล่แกร่งเพื่อพามันลงไปคุยกันที่ห้องรับแขกแต่อีกฝ่ายกับดื้อดึงยื้อยุดให้เรากลับเข้าไปนั่งในห้องผมตามเดิม

“คุยกันในนี้แหละ ไม่อยากให้แม่ได้ยิน เดี๋ยวจะไม่สบายใจ”

“มีอะไร”

“เสือโอเคมั้ย”

“เรื่องอะไร”

“สุขภาพจิต”

“มึงว่ากูบ้าเหรอ”

“เปล่า ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เอิ้นเป็นห่วงเสือนะ”

“มึงห่วงตัวเองเถอะ”

“เอิ้นขอโทษนะเสือ ขอโทษที่เอิ้นช่วยอะไรเสือไม่ได้เลย”

“กูบอกแล้วไงว่าเรื่องนี้กูจะจัดการเอง จะสั่งสอนให้แม่งรู้ว่าอย่าริอาจมาแทงข้างหลังเสือ กูเอาคืนแน่”

“เสือจะทำอะไร”

“เรื่องของกู ตอนนี้กูไม่ใช่คนของบริษัทแล้ว กูจะทำอะไรก็ได้”

“เอิ้นบอกแล้วไงว่าเอิ้นไม่ให้เสือลาออก”

“งั้นกูหนีงาน ส่งใบพ้นสภาพมาที่บ้านได้เลย ลงว่าทำงานวันนี้วันสุดท้ายนะ”

“ถ้าเสือทำแบบนี้มันก็เท่ากับเสือยอมรับว่าเสือเป็นอย่างที่เขาครหา”

“กูไม่สน เพราะยังไงกูก็ไม่กลับไปทำงานในธุรกิจพวกนั้นอีกแล้ว”

“แล้วเสือจะทำอะไร”

“มีงานเยอะแยะ ถ้าไม่เลือกงานก็ไม่ยากจนหรอกเว้ย ทำไม หรือมึงอายที่ต้องมาตามจีบคนไร้อนาคตอย่างกู ก็ดี กูโคตรรำคาญมึงเลย”

“เสือ...”

“กลับไปซะ กูจะนอน”

ผมทิ้งตัวลงนอนบนตะแคง หันหลังให้คนที่เพิ่งจะพ่นคำว่ารำคาญใส่หน้ามันไปหมาดๆ เสียงความเคลื่อนไหวดังขึ้นต่อจากนั้น เสียงประตูปิดลงดังให้ได้ยิน

ไปแล้วเหรอวะ

โกรธหรือเปล่า

ผมเฝ้าถามคำนี้กับตัวเองซ้ำไปซ้ำมา

ทั้งๆ ที่ไม่ต้องแคร์ก็ได้ แต่จะให้ทำไงวะในเมื่อแคร์เขาไปแล้ว



[- T B C -]


งานเข้าคุณเสือแล้ว ทั้งถูกพักงาน ทั้งพูดให้เอิ้นโกรธ
วุ่นวายชะมัด ช่วยให้กำลังใจเสือด้วย
แล้วก็มาตามหาคนใส่ร้ายไปพร้อมๆ กันนะ
ขอบคุณทุกๆ คอมเมนต์ค่ะ รักเลย
แจ๊ส

 :hao3:

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
เสือสู้ ๆ ค่ะ แต่อย่าลืมง้อเอิ้นบ้างนะค๊ะ

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ bulldog17

  • ❤GOT7
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +265/-12
บริษัทงี้ไม่น่าทำงานด้วยแล้วอ่ะ
ไม่น่าล่ะ พนักงานลาออกเยอะจัง

ออฟไลน์ lnudeel

  • I wanna be a CAT!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-5

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
อุ้ย! นี่นิยายสอบสวนหรือเนี่ย

ออฟไลน์ mirage

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
อื้อหืออออ ใครเป็นตัวการเนี่ย?

จัดการเลยเสือ ไม่ต้องออมมือๆ

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
จัดเอาให้เจ็บ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ minmin96

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 435
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1

คือบริษัทนี้มันปัญญาอ่อนไหม?? เห็นแค่รูปถ่ายที่อยู่กับ พนง.เก่าที่ลาออก???
ไม่มีการสอบสวน!! จู่ๆก้อมีคำสั่งพักงาน..เป็นเราจะร้องเรียนกรมแรงงานแน่..
ส่วนเอิ้น เป็น ผจก.ที่ดูหลักลอย..ไม่ได้มีความคิดสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆมาช่วยบริษัท
ลุ้น..รอวันบริษัทนี้ปิดกิจการ..ด้วยใจจดจ่อ!!

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
บอกตรง บริษัทห่วยเป็นบ้า โดนแบบเสือเราลาออกดีกว่า ไม่ให้ออกก็ไม่กลับมาทำงานด้วยแล้ว

การที่คนเก่งหรือคนมีความสามารถได้รับการทาบทามจากบริษัทอื่นมันผิดมากเลยเหรอ

มันเป็นความผิดของพนักงานเหรอ ถึงได้โดนลงโทษน่ะ ถามจริง  :m31:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
เสือผิดอะไรเนี่ยยยยย ถ้าจะไปจริง คงไปนานแล้วปะ
บริษัทนี้ตลกละ !!!!

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0


ตอนที่ 7 {เสือคนดีของโลกใบนี้}



ผมตื่นแต่เช้ามานั่งทำหน้าหล่อชะเง้อมองหาใครบางคนจากที่นั่งภายในร้านกาแฟคุณอลิซ

เพื่ออะไร ได้แต่คิดแล้วก็สงสัยว่าที่ทำอยู่นี้ใช่สาระสำคัญของชีวิตไหม ทบทวนดูหลายครั้งแล้วก็ได้คำตอบว่า – ไม่!

“คุณเสือน่าจะมาทำงานกับพี่”

“ช่วงนี้อยากพักครับ นี่กะว่าจะนอนวันละ 24 ชั่วโมงซักอาทิตย์สองอาทิตย์”

“บ้า คนอะไรจะนอนได้ขนาดนั้น” คุณอลิซว่าทีเล่นที่จริงแล้วฟาดมือเรียวลงบนไหล่ผมเบาๆ “ว่าแต่คุณเสือไม่เครียดเลยเนอะ ยังดูอารมณ์ดีอยู่เลย อย่าฝืนนะ ถ้าเครียดก็เล่าให้พี่ฟังได้ จะได้สบายใจ”

“ขอบคุณครับ”

บอกกับคนตรงหน้าเสร็จพอดีกับคนที่ผมนั่งรอแต่เช้าปรากฏตัว ไอ้เอิ้นก็คือไอ้เอิ้น เคยเอาแต่มองไปยังจุดหมายโดยไม่สนใจรอบข้างอย่างไรก็ยังคงเป็นอย่างนั้น

“ผมขอตัวก่อนนะครับ” เก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋าแล้วรีบวิ่งตามไปที่ลิฟต์ซึ่งกำลังจะปิดลงพอดี ผมจึงต้องใช้แขนขั้นมันเอาไว้เพื่อบังคับให้เปิดออกอีกครั้ง

“เสือ อันตรายนะ” น้ำเสียงไอ้เอิ้นตื่นเต้นอย่างโอเวอร์ ขณะกดปุ่มเพื่อเปิดประตูลิฟต์ออกแล้วจึงดึงผมเข้าไปข้างใน

“ปล่อยกูเลยห่า” ผมปัดมือมันแล้วจึงอ้อมแอ้มถามอย่างไม่เป็นตัวของตัวเอง “มึงโกรธกูรึเปล่า”

“โกรธเรื่องอะไร”

“เออ ไม่โกรธก็ดีแล้ว”

ตัวเลขบนหน้าจอดิจิตอลบอกเลข 14 ผมจึงกดชั้น 16

“เสือพูดเรื่องอะไร เอิ้นไม่เข้าใจเลย”

“ไม่โกรธก็ดีแล้ว กูไม่ได้แคร์มึงหรอกนะ แค่ไม่สบายใจอย่าหลงดีใจไปล่ะ”

“เสือพูดเรื่องอะไร เสือ...” ประตูลิฟต์เปิดออก ผมจึงก้าวออกมาแล้วปล่อยให้กล่องสีเหลี่ยมแคบๆ พาไอ้เอิ้นขึ้นไปชั้นบน อยู่ๆ มุมปากก็กระตุกสูงขึ้นเป็นรอยยิ้มอย่างที่ไม่สามารถห้ามได้เลย หัวใจเองก็กำลังรู้สึกคันยุบยิบ เป็นความรู้สึกที่ผมไม่ค่อยชินสักเท่าไหร่ แต่ไม่ได้หมายความว่ามันแย่นะ


▼▲▼▲▼


ไม่บ่อยหรอกที่จะได้นั่งรถบนถนนโล่งๆ ในเมืองหลวง เป็นเรื่องดีๆ ของการถูกพักงานนะ จริงๆ เสือก็มีมุมโลกสวยเหมือนกันนะ ขอบอก

ผมกวาดสายตามองรถเมล์โล่งๆ ที่มีผู้โดยสารเพียงไม่กี่คน อยากประชดชีวิตด้วยการทิ้งตัวนอนเหยียดยาวที่เบาะหลังแต่ก็เกรงใจอุปกรณ์เก็บเงินของกระเป๋ารถเมล์ที่ดังแก๊บๆ ใกล้ๆ หู จึงทำได้เพียงนั่งอย่างสงบเสงี่ยมทอดสายตามองท้องถนนที่ปราศจากคำว่ารถติด

ดี๊ดี

ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียงทันทีเมื่อกลับมาถึงบ้าน ทำสมองให้ว่างแล้วหลับยาวจนถึงเที่ยง เมื่อท้องหิวจึงลงไปข้างล่างเพื่อหาของกิน

เพราะเคยกินมื้อเที่ยงตรงเวลา พอนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงตรงปุ๊บ ท้องก็ร้องบอกว่าหิวทันที

ผมเกลียดกระเพาะอาหารตัวเอง ถ้าไม่หิวก็คงไม่ต้องลงมาเจอไอ้เอิ้นที่นั่งเสนอหน้าอยู่ในครัว เจ๊ศรีกำลังเตรียมกับข้าวกับปลาให้อย่างคล่องแคล่ว หน้าเจ๊ฟินมาก มีความสุขจนผมหมั่นไส้

“นอนได้นอนดี ลงมาช่วยแม่ตั้งโต๊ะเร็ว” เมื่อเหลือบมามองก็เรียกไปจิกหัวใช้ นี่ลูกนะครับ ลูกที่เจ๊เบ่งออกมาเองเลยนะเฟ้ย

แล้วไอ้คนที่นั่งยิ้มแป้นอยู่นั่นก็ไม่ให้มันช่วยเนอะ

ป่วยการที่จะเถียง ผมจึงเดินอย่างไร้เรี่ยวแรงเข้าไปในครัว เอ่ยถามเมื่อเดินผ่านมัน

“โดดงานมารึไง”

“พักก่อนเวลา 5 นาที”

“แล้วมึงมาทำไม” ผมถามต่อเมื่อรับจานข้าวจากเจ๊แล้ววางลงบนโต๊ะ

“เป็นห่วงเสือ”

“สบายดี สบายกว่าตอนทำงานอีก”ผมรับจานข้าวจากเจ๊ศรีมาอีกก่อนจะเดินอ้อมไปนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

“ตามสบายนะหนูเอิ้น”

“แล้วคุณแม่ไม่กินด้วยกันเหรอครับ”

“ไม่ล่ะจ้ะแม่ยังไม่หิว กินเสร็จแล้วช่วยเก็บโต๊ะและล้างจานด้วย” ท้ายประโยคนั้นพูดกับผมล่ะ

กระทั่งเจ๊เดินออกจากห้องไปบทสนทนาระหว่างเราจึงเริ่มต้นอีกครั้ง

“เมื่อเช้าเสือทำตัวแปลกๆ ไปดักเจอเอิ้นเหรอ” เป็นประโยคคำถามที่ทำเอาช้อนที่กำลังจ้วงตักแกงจืดหยุดค้างกลางอากาศ

อย่าพูดถึงได้มั้ย แค่คิดว่าตัวเองทำอะไรลงไปหูก็ร้อนแล้ว

ผมทำเป็นไม่สนใจแล้วจ้วงตักแกงจืดส่งเข้าปาก แต่คนเซ้าซี้ก็ยังไม่ยอมแพ้

“คิดว่าเอิ้นโกรธเรื่องเมื่อวานเหรอ เอิ้นไม่เคยโกรธเสือเลยนะ แค่เห็นหน้าก็โกรธไม่ลงแล้ว”

“ที่ออฟฟิศเป็นไงบ้าง ไอ้วินไม่เห็นโทรหากูเลย งานไม่มีปัญหาใช่มั้ย” เปลี่ยนเรื่องซะก่อนที่คำพูดของคนตรงหน้าจะทำให้ผมปลื้มปริ่มจนกินข้าวไม่ลง

“ก็ราบรื่นดีนะ กวินเป็นคนเก่ง”

“ใช่ เก่งมาก เป็นเด็กที่มีอนาคต เรื่องโปรเจ็คใหม่น่ะ กูเชียร์ให้กวินดูแลนะ”

“กวินเก่ง แต่ก็ยังมีบางเรื่องที่เอิ้นมองว่าเค้ายังไม่เหมาะที่จะทำงานแบบเสือ”

“อะไรล่ะ เรียกน้องคุยสิ กวินมันเหมือนแก้วที่ยังสามารถเติมน้ำเข้าไปได้อีก เป็นคนที่พร้อมจะพัฒนาตัวเอง”

“เสือเชียร์กวินจัง เอิ้นหึงแล้วนะ”

“เรื่องของมึง หยุดชวนคุยซักทีจะแดกข้าว”

“กินเยอะๆ นะ นี่เอิ้นซื้อมาฝากเสือ” ไก่ทอดชิ้นโตจากร้านฟาสฟู๊ดถูกวางลงในจาน ผมจึงเหลือบมองด้วยสายตาจับผิด

“ไหนบอกออกจากออฟฟิศก่อนแค่ 5 นาที เอาเวลาที่ไหนไปซื้อไก่”

“สั่งออนไลน์ไง ง่ายจะตาย”

“ทีหลังไม่ต้องโดดงานมาแล้วนะ กูไม่ซึ้ง เบื่อหน้าด้วย อุตส่าห์ถูกพักงานนึกว่าจะไม่ได้เจอหน้ามึง ยังทำเสล่อเสนอหน้ามาให้เห็นอีก น่าเบื่อว่ะ”

“จะโกรธจริงๆ แล้วนะเนี่ย”

“โกรธอะไร เมื่อกี้มึงบอกเองว่าไม่มีทางโกรธกู”

“ยิ้มให้ก่อนทีนึงสิ จะไม่โกรธเลย”

“เชิญโกรธ”

“ถ้าโกรธ เสือจะไปง้อเอิ้นที่ออฟฟิศอีกป่ะ”

“ไม่มีทาง กูไม่มีทางทำอย่างนั้นอีก - แดกเข้าไปสิไก่ ซื้อมาทำไมเยอะแยะ” พอเรื่องที่ผมทำไปเมื่อเช้าถูกหยิบยกขึ้นมาเล่าหน้าก็ร้อนผ่าวขึ้นมาทุกที จนต้องกลบเกลื่อนด้วยการตักไก่ใส่จานไอ้คนที่ซื้อมา

“ขอบคุณครับ”

อย่ามายิ้มได้มั้ย เพิ่งรู้ตัวตอนนี้ว่าตัวเองเกลียดรอยยิ้มอ่อนโยนของไอ้เอิ้นมากมายแค่ไหน เกลียดที่มันทำให้หัวใจของผมคันยุบยิบเหมือนมดนับสิบนับพันไต่เล่นอยู่ข้างในนั้น

เกลียดว่ะ


“เจ้าเสือ ไปรับน้องชิปหน่อย”

ถูกพักงานเพื่อมานั่งๆ นอนๆ อยู่บ้านเป็นเวลาเกือบ 2 สัปดาห์ การไปรับน้องชิปหลังเลิกเรียนจึงกลายเป็นหน้าที่ของผมไปโดยปริยาย เคยถามเจ๊ศรีว่าพ่อมันไปไหนก็ได้คำตอบง่ายๆ ว่ารับจ้างไปรับส่งลูกคนอื่น

แล้วมันไม่จ้างผมบ้างวะ ตกงานอยู่นะเว้ย

ที่หน้าโรงเรียนประถมใกล้ๆ บ้านวุ่นวายฉิบหาย ก็มารับหลายวันแล้วแต่ก็ไม่ชินซักที

“อาเสือ” เสียงเล็กๆ ดังขึ้นก่อนเจ้าตัวเล็กจะโผเข้ามากอดผมแน่น ผมดันเจ้าตัวเด็กน้อยออกจนสุดแขน จ้องมองใบหน้าที่มีรอยช้ำที่แก้มและดวงตา

“ใครทำอะไรน้องชิปครับ”

“เปล่าครับ น้องชิปหกล้ม”

“ไม่โกหกอาเสือสิครับ”

“หกล้มจริงๆ ครับ น้องชิปหกล้มจริงๆ”

ผมถอนหายใจแล้วอุ้มเด็กน้อยขึ้นมา ที่หยุดซักไซ้เพราะรู้ดีว่าไม่ว่าอย่างไรน้องชิปก็ไม่มีทางบอกเรื่องนี้หรอก ดังนั้นจึงตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะมาสอบถามจากคุณครูเอง

ส่วนตัวผมคิดว่าร่องรอยพวกนี้อาจจะเกิดจากการทะเลาะวิวาท หรือไม่ก็เรื่องความรุนแรงภายในโรงเรียนอย่างที่พวกผมเคยทำเมื่อหลายปีก่อน

เชื่อไหมว่าถ้าเล่าให้เจ๊ศรีฟังล่ะก็ ทั้งผมและไอ้แชมป์ต้องถูกเรียกเข้าฟังธรรมแน่ๆ แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องกฎแห่งกรรม กรรมที่เกิดจากการกระทำนั่นแหละ ใครทำอะไรไว้ก็ย่อมได้รับผลตอบแทนที่สาสม คนที่รังแกน้องชิปก็ต้องได้รับผลของการกระทำเช่นกัน

วันรุ่งขึ้นผมตื่นแต่เช้า ออกจากบ้านไปรับน้องชิปเพื่อไปส่งที่โรงเรียน

เพราะยังเช้าเกินไป คุณครูเวรหน้าโรงเรียนจึงบอกให้ผมรอก่อนเพราะคุณครูประจำชั้นยังไม่มา ผมเลือกร้านกาแฟตรงข้ามโรงเรียนเป็นสถานที่นั่งรอ กระทั่งกิจกรรมหน้าเสาธงจบลงผมจึงข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง

“เสือ”

“มึงเป็นสตอล์กเกอร์เหรอ” เมื่อหันไปมองต้นเสียงแล้วพบว่าเป็นไอ้เอิ้นที่อยู่ในชุดพร้อมเข้าออฟฟิศก็หยุดปากที่เอ่ยคำหยาบคายไม่ได้เลย

“เมื่อเช้าไปหาเสือที่บ้าน แม่บอกเสืออยู่นี่ หาที่จอดรถยากมาก”

“แต่ก็ยังอุตส่าห์มาให้กูด่าเนอะ มีความพยายามนะมึงอะ เป็นความพยายามที่ไร้ค่าฉิบหาย”

“ไม่ไร้ค่าหรอก แค่ได้เห็นหน้าเสือก็มีความสุขแล้ว”

“เห็นแล้วก็ไปสิ กูมีธุระ”

“ธุระอะไรที่โรงเรียนอนุบาล”

“ไม่เสือกนะ” ว่าจบก็มุ่งหน้าเข้าไปภายในโรงเรียน บอกเจตจำนงการมาให้พี่ รปภ. ทราบ เขาจึงให้อีกคนพาผมไปที่ห้องพักครู

คุณครูประจำชั้นน้องชิปเป็นหญิงสาวอายุน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับผม เธอผายมือให้ผมนั่งลงเก้าอี้ตรงข้ามแล้วส่งยิ้มอ่อนหวานแบบครูประถม

“คุณพ่อน้องชิปเหรอคะ แต่เท่าที่ครูจำได้ ครั้งที่แล้วไม่ใช่คนนี้นี่นา”

“ผมเป็นเพื่อนพ่อน้องชิปครับ ตอนนี้ทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองชั่วคราว คืออย่างนี้นะครู เมื่อวานผมเห็นหน้าน้องมีรอยช้ำ เด็กมีเรื่องกันเหรอ”

“น้องบอกว่าล้มนะคะ”

“แล้วครูก็เชื่อ?”

เธอพยักหน้า ทำเอาผมอดที่จะกลอกตาด้วยความรู้สึกหน่ายใจไม่ได้ ให้ตายเถอะ ไม่คิดว่าครูประถมที่ต้องดูแลเด็กเล็กๆ จะมีความสามารถเท่านี้

“ครู รอยแบบนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นเพราะหกล้มหรอกนะ”

“เดี๋ยวครูจะจับตาดูให้นะคะ จะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก”

“ถ้าครูไม่จัดการ ผมจะจัดการเรื่องนี้เอง หวังว่าหลานของผมจะไม่เจ็บตัวกลับบ้านอีก”

“แค่เด็กทะเลาะกันเองค่ะ”

“นั่นไง ครูก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องทะเลาะวิวาทแล้วยังนิ่งเฉยอยู่เนี่ยอะนะ”

“ครูไม่ได้เฉยนะคะ แต่เรื่องน้องชิปครูถามน้องแล้ว น้องก็บอกว่าล้ม ในเมื่อเจ้าตัวไม่ยอมบอกจะให้ครูทำยังไง”

“ไม่รู้แหละ คุณเป็นครู ครูต้องเป็นที่พึ่งให้เด็กได้ การที่น้องไม่ยอมบอกคุณ นั่นก็หมายความว่าน้องไม่มั่นใจว่าคุณจะเป็นที่พึ่งให้เขาได้ คุณครูควรพิจารณาตัวเองนะครับ ขอบคุณที่สละเวลา ลาก่อนครับ”

ผมหันหลังให้เมื่อบอกลา

เรื่องนี้ไม่จบแค่นี้หรอก จนกว่าจะหาตัวคนที่ทำร้ายหลานผมได้ ผมไม่มีทางรามือแน่


▼▲▼▲▼


ตอนผมทำงาน ผมไม่เห็นจะมีเวลาเหมือนไอ้เอิ้น

“มึงมาทำไมแต่เช้า”

ผมถามด้วยน้ำเสียงงัวเงียเมื่อเปิดประตูห้องนอนออกมาในตอนสายแล้วพบกับคนที่ควรจะไปทำงานแต่วันนี้กลับแต่งตัวด้วยชุดไปรเวทยืนยิ้มแป้นที่หน้าห้องของผม

“ไม่ไปทำงานเหรอวะ”

“พักร้อน”

“มึงนี่ว่างเนอะ”

“จะสิ้นปีแล้ว พักร้อนยังเหลือตั้งหลายวัน”

“พักร้อนกูก็เหลือโคตรเยอะ เสียดาย ถ้ารู้ว่าจะโดนพักงานรีบใช้พักร้อนให้หมดตั้งแต่ต้นปีก็ดี”

“เดี๋ยวเอิ้นยกยอดไปไว้ให้ใช้ปีหน้าดีมั้ย”

“มันทำได้ที่ไหน แล้วกูก็บอกแล้วใช่ป่ะว่ากูลาออก แล้วนี่ทำไมไม่ส่งใบพ้นสภาพมาซักที”

“ก็ไม่ให้ออก”

“ดื้อด้านจริงนะมึง แล้วก็ออกไปจากห้องกูเลย จะนอน”

“นอนอะไร นี่สายแล้ว”

“ก็จะนอน มีปัญหาอะไรรึเปล่า”

“ไปหาอะไรทำแก้เบื่อกัน”

“กูไม่เบื่อ”

“เอิ้นก็ไม่เบื่อ”

“อย่ามาพูดตามได้มั้ย น่ารำคาญ”

“ไม่เบื่อจริงๆ แค่ได้อยู่กับเสือก็สะกดคำว่าเบื่อไม่ถูกแล้ว”

เฮ้ออออ~

ผมถอนหายใจใส่หน้ามันแรงๆ แล้วหมุนตัวกลับเข้ามาทิ้งตัวลงบนเตียงตามเดิม ดูเหมือนว่างแต่วันนี้ผมไม่ว่างหรอก ตั้งใจว่าจะไปตามสืบเรื่องน้องชิปซักหน่อย

“รอยที่ตัวจางแล้วเนอะ” เพราะผมใส่เสื้อยืดที่ทั้งเก่าและย้วย ตรงช่วงคอถึงไหปลาร้าจึงโชว์หราให้ไอ้คนมักมากกวาดสายตามองด้วยความหื่นกระหาย

มันก็ควรจะหายหรอก นี่ก็ผ่านมาหลายสัปดาห์แล้ว

“ทำไม มึงจะทำอีกรึไง”

“ถ้าเสือให้ทำ”

“ฝันไปเถอะ”

“ไม่ต้องฝันหรอก แค่มอมเหล้าเสือก็ได้ทำแล้ว” ก็ถูกของมัน

เกลียดตัวเองตอนเมาแค่ไหนก็เกลียดการดื่มเหล้าไม่ลงซักที

“ถึงกูจะไล่ มึงก็ไม่ไปถูกมั้ย”

“ถูกต้องนะครับ” ในเมื่อไล่อย่างไรก็ไร้ประโยชน์ งั้นก็ปล่อยไว้อย่างนี้แล้วใช้มันให้เป็นประโยชน์ดีกว่า

“มึงเอารถมาป่ะ”

เจ้าของรถยนต์คันหรูพยักหน้า

“ก็ดี ไปโรงเรียนน้องชิปกัน อีกสองชั่วโมงปลุกด้วย และก็นะ อย่าคิดจะทำอะไรตอนกูหลับ เข้าใจ๊”

“เข้าใจครับ แต่ไม่รับปาก”

“อยากถูกกูยันปากใช่ป่ะ”

“โหดตลอดแต่ก็รัก”

ผมถอนหายใจอีกครั้งแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปลง เป็นวิธีเดียวที่จะหลุดพ้นจากสถานการณ์ชวนกระอักกระอ่วนนี้ หัวใจก็นะ มึงจะเต้นแรงไปถึงไหน เดี๋ยวไอ้คนหน้าด้านก็ได้ยินเอาหรอก


▼▲▼▲▼


เราออกจากบ้านมาตอนบ่ายหลังจากวางสายจากไอ้แชมป์ซึ่งโทรมาบอกข่าวเรื่องไอ้สนิม

ไอ้นักเผือกมืออาชีพนั่นตามตัวยากฉิบหาย คนหรือนินจา ตามตัวมา 2 สัปดาห์แล้วยังไม่เห็นหัวเลย

“น้องชิปยังไม่เลิกเรียนนี่”

“ก็ยังไม่เลิกเรียนไง”

“แล้วไปทำไม”

“ขับรถไปเงียบๆ เถอะน่า”

“เปิดเพลงได้ป่ะ”

“อยากทำอะไรก็ทำ”

“พูดจริงอะ” ถามด้วยสายตาเจ้าเล่ห์แบบนี้ เชื่อเถอะว่าในหัวมันกำลังคิดเรื่องเอาเปรียบผมอยู่แน่ๆ ไอ้เวรตะไล ถ้าผมเป็นผู้หญิงป่านนี้ท้องลูกเป็นโหลแล้ว

“กูหมายถึงอยากเปิดเพลงก็เชิญเปิดตามสบาย”

เสียงเพลงอินดี้ไม่คุ้นหูดังขึ้นหลังจากได้รับอนุญาต รถยนต์วิ่งไปตามถนนที่เกือบโล่ง มุ่งหน้าสู่โรงเรียนของน้องชิปซึ่งอยู่ห่างจากบ้านประมาณ 3 กิโลเมตร

ผมบอกให้ไอ้เอิ้นรอที่ร้านกาแฟหลังหาที่จอดรถได้แล้ว แต่คนดื้อด้านจนเป็นสันดานก็ไม่คิดจะเชื่อฟัง เพราะขี้เกียจจะต่อปากต่อคำให้เสียเวลาจึงยอมให้มันเดินตามตูดเข้ามาในโรงเรียนต้อยๆ

“เราจะทำอย่างนี้จริงๆ เหรอเสือ”

หลังจากแลกบัตรประชาชนไว้ที่ป้อมยาม เราทั้งคู่ก็มานั่งหลบมุมเพื่อสังเกตการณ์อยู่แถวๆ พุ่มไม้ใกล้บริเวณสนามเด็กเล่น

เจ๊ศรีเคยบอกว่าช่วงบ่าย 3 โรงเรียนของน้องชิปจะปล่อยให้เด็กๆ ได้ทำกิจกรรมนอกสถานที่

เด็กๆ เริ่มทยอยกันออกมาวิ่งเล่น โดยมีคุณครูสาวสวยนั่งมองอยู่ห่างๆ

“ชอบผู้หญิงแบบนั้นเหรอ”

“อือ กูชอบผู้หญิง” ผมรับคำทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากคุณครูสาว ที่จริงก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่หรอก แค่อยากย้ำให้ไอ้เอิ้นรู้ว่าผมไม่สนใจมันสักนิด รีบตัดใจจากกูซักที

“แต่เอิ้นไม่เคยชอบใครเลยนะ เอิ้นชอบแต่เสือ”

อยู่ๆ อากาศรอบตัวก็กลายเป็นร้อนอบอ้าว จนต้องกระพือคอเสื้อเพื่อระบายอุณหภูมิในร่างกาย

ขณะที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์กระอักกระอ่วน น้องชิปก็ปรากฏตัว มองไปยังมุมตึกที่น้องกำลังถูกเด็กตัวโตดันหลังให้เดินเข้าไปนั้น รับรู้ได้เลยว่าน้องชิปกำลังหวาดกลัว

ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง สาวเท้ามุ่งหน้าไปยังบริเวณนั้นโดยมีไอ้เอิ้นวิ่งตามมาไม่ห่าง

“เราบอกครูไม่ดีกว่าเหรอเสือ”

“เดี๋ยวค่อยบอก”

หันไปบอกแล้วจึงโผล่พรวดเข้าไปยังซอกเล็กๆ มุมตึกซึ้งทั้งอับชื้นและสกปรก

สถานการณ์ทุกอย่างหยุดลงราวกับนาฬิกาหยุดหมุน

“อาเสือ” น้องชิปซึ่งนั่งแหมะอยู่บนพื้นแฉะๆ จ้องหน้าผมด้วยดวงตาที่เอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำใสๆ

“ไม่เป็นไรนะครับ” เป็นไอ้เอิ้นที่เข้าไปพยุงเด็กน้อยให้ลุกขึ้น ขณะที่ผมกำลังจ้องหน้าพวกเด็กตัวโตที่มองอย่างไรก็ไม่น่าจะใช่เด็กรุ่นเดียวกับน้องชิป

“คิดว่าเจ๋งนักเหรอ” ผมถามให้เด็กที่เหมือนจะเป็นลูกน้องหลบสายตา

“ลุงยุ่งอะไรด้วยล่ะ” เด็กที่เหมือนจะเป็นหัวโจกถามผมด้วยน้ำเสียงกร้าว ดวงตาที่มองมาไม่มีแววรู้สึกผิดสักนิด มันน่าตบกะโหลกจริงๆ

“อยากยุ่งมีปัญหาอะไรป่ะ”

“ลุงรู้มั้ยว่าผมลูกใคร”

“เป็นเด็กกำพร้าเหรอเรา พี่ช่วยหาพ่อให้มั้ย แต่ท่าทางจะยากนะ นิสัยแบบนี้ ใครเขาจะอยากเลี้ยง” ในดวงตาของเด็กนั่นสั่นไหว ก็รู้แหละว่าคำนั้นมันรุนแรงสำหรับเด็ก แต่ผมก็แบบนี้ พอโกรธก็ยั้งคำพูดตัวเองไม่ได้เลย

“ถ้าลุงรู้ว่าผมลูกใครแล้วลุงจะหนาว”

ความรู้สึกผิดเมื่อครู่คิดว่าเป็นโมฆะไปก็แล้วกัน

ผมโน้มตัวลงไปจนใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกับเด็กนั่น มองหน้ามันด้วยสายตากวนประสาทแล้วจึงว่า

“อ้าว สรุปมีพ่อเหรอ งงกับชีวิตนะเราน่ะ ไหน พ่อเป็นใคร บอกสิ ที่นี่ร้อนมาก อยากสัมผัสอากาศหนาวเหมือนกัน”

“ลุงอย่ามากวนนะเว้ย”

“ไม่ได้กวน ถ้าพ่อใหญ่ก็เรียกพ่อมาคุยหน่อย อยากเจอ”

ว่าจบก็ลากคอให้เด็กขี้อวดพ่อออกมาจากพบกับอากาศบริสุทธิ์ข้างนอก เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่ปลอดภัยไอ้เด็กลูกกระจ้อก 2 คนก็ทำท่าจะชิ่ง โชคดีที่ไอ้เอิ้นมาด้วย มันจึงคว้าคอเสื้อไอ้เด็กขี้ขลาดเอาไว้ได้

แน่นอนว่าเรื่องนี้ถึงหูครูฝ่ายปกครองแน่

นั่งรอจนเลยเวลาเลิกเรียนมาเป็นชั่วโมง พ่อที่เด็กเวรบอกว่าใหญ่นักใหญ่หนาถึงได้โผล่หน้ามา

คนที่เดินวางมาดเข้ามาภายในห้องที่ร่ำลือกันว่าเย็นนักเย็นหนาคือชายในชุดสูทท่าทางภูมิฐานคล้ายๆ ผู้บริหาร กับหญิงวัยกลางคนที่หน้าตาดูเหวี่ยงโลก

ประเมินด้วยสายตาแล้ว คู่แข่งวันนี้คือมนุษย์ลุงกับมนุษย์ป้าว่ะ

“น้องบีเอ็ม เจ็บตรงไหนไหมคะลูก” คนเป็นแม่ปรี่เข้าไปถามลูก กรุณาชายตาแลหลานผมนิดนึงครับคุณนาย ตาช้ำทั้งสองข้างจนนึกว่าที่นั่งอยู่ข้างๆ นี่คือหมีแพนด้า

ลูบคลำตรวจความเสียหายของสภาพร่างกายเด็กเวรเสร็จจึงได้ฤกษ์หันมามองพวกผมบ้าง สายตานั่นถ้าเปรียบเป็นมีดก็คมพอที่จะปาดคอพวกผมทีเดียวสิ้นลม

“คุณทำอะไรลูกฉัน” น้ำเสียงอ่อนโยนกลายเป็นเกรี้ยวกราด นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นผู้หญิง ผมกระโดดยันยอดหน้าไปแล้ว

“กันสาดบนตาบดบังทัศนียภาพเหรอคุณนาย” งอนเป็นแพจนมองไม่ออกเลยว่าเคยเป็นขนตามาก่อน

“กันสาดอะไรยะ ไร้รสนิยมที่สุด” ว่าแล้วก็กระพือกันสากผับๆ

“มองยังไงก็กันสาด” ผมบ่นอุบอิบให้คนที่อุ้มน้องชิปไว้บนตักสลับให้น้องมานั่งกับผม ก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายเผชิญหน้ากับมนุษย์แม่ผู้มีขนตางามงอนด้วยตัวเอง

“ทราบว่าคุณครูแจ้งคุณแม่ไปแล้วว่าน้องบีเอ็มทำร้ายร่างกายเพื่อน”

“ลูกชายฉันไม่มีทางทำอย่างนั้น น้องบีเอ็มเป็นเด็กดี อย่ามาใส่ร้ายลูกฉัน”

“มีเหตุผลอะไรที่พวกเราต้องใส่ร้ายเด็ก ยอมรับความจริงเถอะครับคุณแม่ว่าลูกชายคุณแม่มีปัญหา”

“จะเป็นอย่างนั้นได้ยังไง ฉันเลี้ยงลูกฉันมาดี อยากได้อะไรก็หาให้ อย่ามาว่าลูกฉันเป็นเด็กมีปัญหานะ”

“การมีทุกสิ่งไม่ได้เป็นเครื่องการันตีว่าเด็กสมบูรณ์พร้อม ผมไม่รู้นะครับว่าคุณแม่เลี้ยงดูน้องยังไง แต่ดูเหมือนว่าน้องจะไม่ค่อยสนิทกับคุณพ่อคุณแม่เลยนะครับ”

เมื่อมองตามสายตาคมที่ก้มมองเด็กเวรก็พบว่าเด็กนั่นเอาแต่ก้มหน้า ประสานมือกุมไข่ ไหล่เล็กๆ สั่นไหวอย่างที่มองออกในทันทีว่ากำลังตกอยู่ในความหวาดกลัว

“อย่ามาทำเป็นสอดรู้ จะสนิทหรือไม่สนิทก็เรื่องของครอบครัวฉัน ที่จะเอาเรื่องเพราะอยากได้เงินใช่มั้ย เท่าไหร่ล่ะ”

“แล้วคุณนายจะให้เท่าไหร่ล่ะ” เป็นผมที่โพล่งออกไปให้ทั้งห้องตกอยู่สถานการณ์เงียบงัน

ยัยคุณนายยกริมฝีปากยิ้มหยัน

“ไม่สิ ผมถามผิดไป ที่จริงต้องถามว่าถ้าผมจะจ้างให้คุณนายเลี้ยงลูกชายซักชั่วโมง คุณนายคิดเงินเท่าไหร่”

“เธอ...”

“เอาเป็นว่าผมขอค่าเสียหายเป็นเวลาของคุณนายที่ควรจะมีให้ลูกซักชั่วโมง คงไม่แพงเกินไปใช่มั้ยครับ”

“อย่ามาทำเป็นสอดรู้ นี่มันเรื่องของครอบครัวฉัน”

“ผมไม่ได้สอดรู้ ผมไม่ได้ยุ่งเรื่องของครอบครัวคุณนาย ผมแค่เรียกค่าเสียหายอย่างที่คุณนายต้องการให้ผมเรียก นี่เด็กเวร” ผมก้มมองไอ้เด็กนั่นแล้วถามต่อ “อยากทำอะไรกับคุณพ่อคุณแม่ในวันหยุดเหรอ”

“อย่ามายุ่ง” เด็กนั่นว่าเสียงแข็งทว่าแผ่วเบา คงเพราะกลัวพ่อกับแม่ซึ่งยืนจ้องเขม็งได้ยิน

“ก้าวร้าวขนาดนี้ ยังจะบอกว่าลูกไม่มีปัญหาอีกเหรอคุณนาย”

“ก็พวกเธอ...” ยัยคุณนายจ้องผมจนตาแทบถลนออกมานอกเบ้า เท้าในรองเท้าส้นสูงราคาแพงกระทืบเบาๆ อย่างเอาแต่ใจ

รู้เลยว่าเด็กนั่นนิสัยเหมือนใคร

“อย่าทะเลาะกันต่อหน้าเด็กเลยนะคะ ที่จริงทางโรงเรียนเคยแจ้งเรื่องนี้ไปกับพี่เลี้ยงน้องบีเอ็มแล้ว ไม่ทราบว่าคุณพ่อกับคุณแม่ได้รับรายงานจากพี่เลี้ยงรึเปล่า”

“คนไหนล่ะ”

เมื่อเจอคำถามแบบนั้น คุณครูที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าฝ่ายปกครองก็เงียบไป

“ฉันส่งลูกฉันมาโรงเรียนก็เพื่อให้พวกคุณอบรม แต่ในเมื่ออบรมไม่ได้ก็ไม่ควรเรียกตัวเองว่าครู เรียนจบจากที่ไหนกัน ไร้ประสิทธิภาพที่สุด”

“แล้วคุณนายเรียนจบหลักสูตรแม่จากที่ไหนเหรอ ถึงได้ทำหน้าที่แม่ได้ห่วยบรมขนาดนี้ ไม่เคยได้ยินเหรอครับว่าโรงเรียนเปรียบเสมือนบ้านหลังที่ 2 ยังไงซะที่สองก็ไม่สำคัญเท่าที่ 1 หรอก เพราะฉะนั้นสถาบันครอบครัวจึงสำคัญที่สุด ลูกก็เหมือนกระจกสะท้อนตัวตนของพ่อแม่ครับ ถ้าอยากให้ตัวเองดูดีก็ช่วยสอนลูกให้เป็นคนดีด้วย”

“เธอ อายุเท่าไหร่กัน เป็นใครถึงกล้ามาสั่งสอนฉัน รู้มั้ยว่าฉันเป็นใคร”

“ถ้าถามว่าเป็นลูกใครจะเหมือนกับที่ลูกคุณนายถามผมเป๊ะเลยนะ ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นชัดๆ”

“เสือ พอแล้ว” ไหล่ของผมถูกสัมผัสแล้วบีบเบาๆ บอกผ่านการกระทำว่าให้ใจเย็นๆ

ที่จริงผมก็ไม่ได้อยากมีเรื่องหรอก ก็แค่สงสารเด็ก

“พอเถอะคุณ” คุณพ่อที่นั่งวางมาดประเมินสถานการณ์อยู่นานออกตัวบ้าง เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วก้าวมาตรงหน้าเราเคียงข้างภรรยา “เอาเป็นว่าผมรับรู้ปัญหาของลูกแล้ว พวกคุณอยากให้ชดใช้ยังไงก็คุยกับทนายของผมก็แล้วกัน”

นามบัตรถูกยื่นมาตรงหน้า ให้เอิ้นรับเอาไป

“ขอตัวครับ” ข้อมือเล็กๆ ของเด็กสิ้นฤทธิ์ถูกจับจูงออกจากห้องปกครองไป

ถ้าไม่คิดไปเอง เมื่อมองแผ่นหลังเล็กๆ นั้นผมสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวที่แผ่รังสีออกมา

“จะไม่เป็นไรเหรอวะ”

“อะไรเหรอ”

“เด็กนั่นน่ะ ดูเหมือนว่ามนุษย์พ่อกับแม่คู่นั้นไม่ได้เข้าใจสิ่งที่เราสื่อเลยนะ”

“เรื่องของครอบครัวเขาน่าเสือ อย่ายุ่งเลย เราไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาล ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกไม่ได้หมุนรอบตัวเรา เพราะงั้นจึงมีหลายๆ เรื่องที่เราควบคุมไม่ได้”

บอกผมแล้วจึงหันไปเอ่ยขอบคุณบรรดาคุณครูที่นั่งเป็นสักขีพยาน

พวกเราทั้งสามเดินไปตามทางเดินเท้าโดยมีน้องชิปเดินอยู่ตรงกลางจับมือของเราไว้คนละข้าง

“ชิปขอโทษฮะ” เสียงเล็กๆ ที่เจือด้วยความรู้สึกผิดรั้งพวกเราเอาไว้ให้หยุดเดินแล้วก้มลงมองเด็กน้อยที่แหงนเงยใบหน้ามองเราอยู่ก่อน

“อาเสือไม่ได้อยากได้ยินคำขอโทษแล้ว”

“ชิป...”

“ทีหลังอย่าปล่อยให้ตัวเองถูกรังแกอยู่ฝ่ายเดียว มีมือมีเท้าเหมือนกัน เป็นผู้ชายด้วย น้องชิปต้องสู้นะครับ ไม่มีใครอยู่ปกป้องน้องชิปได้ตลอด”

“ฮะ” เด็กน้อยพยักหน้ารับคำ

“สอนอะไรหลานน่ะเสือ”

“เรามีชีวิตอยู่เพื่อสู้ ถ้าไม่สู้ก็อยู่บนโลกนี้ไม่ได้” ผมเงยหน้าบอกไอ้เอิ้น

“เอิ้นไม่คิดอย่างนั้นนะ บางเรื่องเราก็ไม่จำเป็นต้องสู้หรอก แค่ตั้งรับ สักพักเรื่องแย่ๆ เหล่านั้นก็จะผ่านไป”

“แล้วเมื่อไหร่มันจะผ่านไป”

“เราจะผ่านมันไปด้วยกัน เอิ้นจะไม่ทิ้งเสือไปไหนอีกแล้ว”

“งั้นก็ช่วยหาตัวคนที่ใส่ร้ายกูมาให้กระทืบหน่อย คันตีนฉิบหาย”

“ชอบความรุนแรงนะเราอะ”

 “แน่นอนสิ จะว่าไปเรื่องน้องชิปกับไอ้เด็กเวรนั้นทำให้กูนึกถึงเรื่องเมื่อก่อนว่ะ ถ้าตอนนั้นกูมีความกล้าซักนิด มึงคงไม่ต้องถูกรังแก”

“ใครบอกว่าเสือไม่กล้า ที่ยอมเข้ากลุ่มนั้นก็เพื่อช่วยเอิ้นไม่ใช่เหรอ เสือเป็นคนดี”

“มึงเข้าใจผิดแล้ว กูแม่งเลวกว่าพวกพี่รุ่นก่อนหน้านี้อีก ทั้งรีดไถ ทั้งต่อยตี บ้าระห่ำสุดๆ ไปเลย”

“ขี้โม้”

“จริงๆ นะมึง รอยมีดดาบยังพาดอยู่กลางหลังเลย”

“สำรวจทั้งตัวแล้วไม่เห็นจะมีอะไรเลย นี่เสือ เลิกพูดว่าตัวเองเป็นคนไม่ดีซักที สิ่งที่เสือทำวันนี้มันทำให้เอิ้นยิ่งมั่นใจว่าความเชื่อตลอดหลายปีที่ผ่านมามันเป็นเรื่องจริง เอิ้นชอบคนไม่ผิดจริงๆ”

“มึงไม่พูดเรื่องรักๆ ใครๆ ซักพักได้มั้ย เอียนจะตายห่า”

“เขินก็บอก”

“เขินจะตายอยู่แล้วไอ้ห่า” ด่าไอ้คนมั่นหน้าเสร็จแล้วจึงนั่งลงบอกให้น้องชิปขี่หลัง

จะว่าไปผมนี่ก็เป็นคนดีคนหนึ่งเลยนะเนี่ย




[- T B C -]



อ่านคอมเมนต์ของตอนที่แล้วแล้วค่ะ
บริษัทโดนกระหน่ำเลย 555
เราก็ว่าไม่ถูกต้องหรอก แต่ก็อยากให้ตามอ่านกันไปเรื่อยๆ นะ
ยังไงก็ขอบคุณทุกๆ คน ทุกๆ คอมเมนต์นะคะ
เจอกันตอนหน้า
แจ๊ส
 :katai4:



ออฟไลน์ lnudeel

  • I wanna be a CAT!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-5
พี่เสือคนดีของน้องเอิ้น~~ :hao7:

ออฟไลน์ bpyt

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1319
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
สะใจที่เสือตอกหน้ายัยมนุษย์ป้าจริงๆ

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
เสือทำดีมาก
มนุษย์พ่อมนุษย์แม่ แบบนั้น
น่ารังเกียจที่สุด

 :z6: :z6:

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
ตอนที่แล้วว่าด้วยเรื่องบริษัท

ตอนนี้ว่าด้วยเรื่องมนุษย์พ่อมนุษย์แม่คู่นั้น  :m31: โมโห แต่ก็ต้องปล่อยไปอย่างเสือว่า
พ่อแม่แบบนั้นมันมีอยู่บนโลกแห่งความจริงไม่น้อย ไม่อย่างนั้นคงไม่มีประโยคที่ว่า "พ่อแม่รังแกฉัน" หรอก  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
บีเอ็มโดนที่บ้านดุต่อแน่ๆ

ออฟไลน์ ราตรีสีน้ำเงิน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 121
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด