บทที่ 26
ผมคันปากยิบๆ อยากด่าไอ้ไวไวมากที่สุด เรื่องมีตั้งเยอะ ทำไมต้องยกเอาเรื่องนี้มาพูดวะ แล้วไอ้เทม มึงนะมึง พูดอะไรออกไป แต่ที่แสดงออกทำได้แค่ยกน้ำดื่มอึกๆ
“ไอ้ที!?!”
“อะไร?” ตะโกนเรียกซะทำคนอื่นตกใจเกือบสำลักน้ำ
นิ้วไวไวชี้ที่หม้อสุกี้ให้ทุกคนมองตาม…หางกุ้งที่อยู่ในปากผมเมื่อกี้ บัดนี้ลงไปนอนลอยคอกลางน้ำเดือดปุๆ แล้วครับ ท่ามกลางความเงียบกริบ พี่ใหญ่ของกลุ่มถอนหายใจยาวเหยียด คีบหางกุ้งออกมาวางทิ้งบนทิชชู่
เหมือนเปิดสวิตช์ให้คนรอบข้างเคลื่อนไหว
“ซกมก!” คู่หูบะหมี่สำเร็จรูปตะโกนพร้อมกัน
“ช่างเถอะๆ กินต่อดีกว่า” วินว่า
เพื่อนๆ เริ่มคีบอาหารในหม้อสุกี้อีกครั้ง แต่บางคนคีบไปบ่นผมไปไม่หยุด จนเพื่อนคนอื่นต้องชวนคุยเรื่อยเปื่อยถึงเลิกบ่น
ผมเหล่มองหางกุ้งสีส้มบนทิชชู่สีขาว…ถูกช่วยชีวิตซะแล้ว ผมควรขอบคุณมันไหม
ชิ่ง…
ไม่สิ ยังไม่รอดนี่หว่า
ผมค่อยๆ ชำเลืองมองคนทางขวา ผงะทันทีที่เห็นแววตาข้องใจจ้องมาอยู่ก่อนแล้ว เริ่มเหงื่อแตกพลั่กๆ รีบหันไปมองหม้อสุกี้แย่งกุ้งจากตะเกียบเทมไปวางใส่ชามพาร์
กินเข้าไปนะมึง จะได้ลืมๆ หรือนึกว่าหูฝาดก็ยังดี
“ไอ้ที!”
“โอ๊ย”
เทมเอาหัวมันมาโหม่งหัวผมเป็นการแก้แค้นที่ไปแย่งกุ้งมันครับ
“เล่นผิดกฎ จ่ายค่าปรับมาเลย”
เทมทำหน้าหงุดหงิด ยอมยื่นชามในมือมาทางผม (ตามกฎที่ตั้งขึ้นมานานแล้วว่าห้ามทำร้ายร่างกายเพื่อนตอนแย่งสุกี้ หลังทำผิดต้องยินยอมให้เลือกอาหารอะไรก็ได้ในชาม หนึ่งชิ้นต่อหนึ่งการทำผิด) ผมคีบมาถึงสอง เลยเจอเทมโวยวายใส่
“ได้แค่ชิ้นเดียวโว้ย เอาอีกชิ้นคืนมาเลย”
ผมโยกชามหลบ “สองน่ะถูกแล้ว มึงทำผิดสองกระทง ไม่สิ สามด้วยซ้ำ กูใจดีลดเหลือแค่สองเชียวนะ”
“สองสามบ้าอะไร! เอาคืนมา!”
“ไม่มีทาง เพราะมึงผิดจริง”
“กูผิดอะไรวะ?”
“ทำร้ายกู ทำร้ายกู และทำร้ายกู”
เทมทำหน้าเงิบใส่
ผมพูดจริงนะ ครั้งแรกมันบอกจะแฉผม ครั้งที่สองมันทิ้งระเบิดใส่ผม ครั้งที่สามมันทำร้ายร่างกายผม ความผิดสามกระทงชัดเจน!
หลังจ้องหน้ากันสักพัก เทมก็หันไปหาต่อที่อยู่ข้างๆ พูดฟ้องเป็นเด็กๆ
“ทีโกงกู”
“มึงเถียงสู้ทีไม่ได้ เลยจะมาขอค่าปลอบใจจากกูงั้นสิ”
ผมขำก๊าก คนโดนพูดดักคอทำหน้าบึ้ง เผยธาตุแท้ข่มขู่เอาของปลอบใจแทนเรียบร้อย สรุปไอ้เทมแค่หาเรื่องจิ๊กของในชามต่อแทนของที่เสียมาให้ผมครับ ฮ่าๆๆ
-------------
ตามหลักแล้ว หลังกินของคาวต้องตามด้วยของหวาน แต่กลุ่มผม หลังสุกี้ต้องขนมจีบ
“เอาขนมจีบไปอุ่นเลยไหม?”
“อือ”
ผมตอบวิน สองมือกำลังยุ่งกับการแกะน้ำจิ้มเทใส่ถ้วยเล็กตามจำนวนคนใส่ถาด คนอื่นๆ ยุ่งกับการเก็บกวาด เช็ดถูพื้น เพื่อตั้งวงขนมจีบอีกรอบเป็นการส่งท้ายมื้อเย็น ตอนผมเดินเอาถาดน้ำจิ้มออกมาวาง พื้นที่เคยเลอะเทอะเพราะสุกี้ตอนนี้สะอาดแล้วครับ
หือ?
ผมที่เกือบจะเดินกลับโซนครัวหยุดชะงักเท้า เพ่งมองเทมกับพาร์ยืนคุยกันหน้าห้องน้ำ
คุยอะไรกันวะ
ผมมองอย่างระแวง กำลังจะเดินไปหา
“ที! ไอ้ทีมาด่วน!!”
ผมมองทางครัวที ทางสองคนนั้นที ก่อนยอมเดินกึ่งวิ่งกลับครัว ฟังจากเสียงโวยวายของวินท่าจะเกิดปัญหาใหญ่ เข้าไปใกล้ก็เจอวินกับต่อมุงดูอะไรสักอย่าง ยืนบังจนเห็นแค่แผ่นหลังพวกมัน
“มีอะไร?”
เพื่อนทั้งสองหันมาหน้าเครียด บอกให้อ้าปาก แล้วยัดอะไรบางอย่างใส่ปากผม
รสชาติอย่างนี้ขนมจีบ…พอเริ่มเคี้ยวก็พบปัญหาจนอยากคายทิ้ง
“กูทำอะไรผิด มันถึงได้แห้งแข็ง ไม่อร่อยเหมือนที่มึงเคยอุ่นให้”
ผมฝืนกลืนลงคอ ต่อรีบส่งแก้วน้ำเปล่าให้ เฮ้อ ค่อยยังชั่วหน่อย
“มึงลืมพรมน้ำ ไม่ก็ลืมเอาน้ำใส่ถ้วยเข้าไปเวฟพร้อมกัน แล้วก็อุ่นนานไปแล้ว หรือไม่ก็หลังเอาแรปออกคงลืมเอาที่ครอบมาปิดก่อนอุ่นด้วยใช่ไหม”
วินยิ้มเจื่อน ที่ผมพูดต้องมีถูกบ้างล่ะ
ต่อขมวดคิ้ว “มีวิธีแก้ไหม?”
ผมส่ายหน้า “แต่มีตั้งหลายกล่องคงไม่เป็นไรหรอก แล้วนี่ก็แค่…ครึ่งกล่องเองไม่ใช่เหรอ”
ต่อพยักหน้าให้ผม ก่อนหันไปพูดกับวิน “งั้นมึงรับผิดชอบจานนี้ลงท้องไปเลย”
“ง่ะ”
ผมเห็นใจทันที กว่าจะเคี้ยวลงท้องหมด นรกชัดๆ
“เอ่อ เก็บไว้เป็นเกมลงโทษหลังกินขนมจีบดีกว่าไหม”
“ใช่ๆ” วินรีบสนับสนุน “ว่าแต่ตาใครเป็นคนคิดเกม?”
“กู แต่บอกตามตรงคิดไม่ออก มาช่วยกันคิดหน่อย”
ผมกับวินมองหน้ากัน แล้วหันมองคนต้องคิดเกม ตั้งแต่เล็กจนโตเป็นแบบนี้อยู่เรื่อย ที่จริงต่อคิดเกมได้ แต่มันออกแนวดูดีมีสาระเกินไป สมัยเด็กเลยไม่ค่อยมีใครชอบจนต่อเครียดทุกครั้งเวลาวนมาถึงตาตัวเองต้องคิดเกม หลังๆ เลยมาขอความเห็นจากเพื่อนมากกว่า
“จุดประสงค์ของการรวมตัวครั้งนี้คืออะไร?”
ผมพูดเกริ่น วินตอบทันที
“เพื่อยำยำ มันกำลังเจอปัญหา เลยอยากเจอพวกเรา”
“แล้วต่อคิดอยากทำให้ยำร่าเริงขึ้นแค่ตอนนี้ แล้วกลับไปเครียดอีก หรืออยากให้ยำพูดถึงปัญหาในตอนที่มีพวกเราอยู่ด้วยล่ะ”
“อย่างหลังสิ”
“งั้นก็คิดเกมที่ช่วยเพื่อนได้สิ เอาตามสไตล์ต่อ เครียดก็ไม่เป็นไรหรอก”
“กูเห็นด้วยกับที”
ต่อมองข้ามเคาน์เตอร์แบ่งเขตครัวออกไป พวกผมมองตามถึงเห็นว่ากำลังมองเพื่อนเตี้ยสุดในกลุ่ม
“คงได้เห็นไวไวหลับ”
พรืด
ผมกับวินปล่อยเสียงหัวเราะอย่างห้ามไม่อยู่ ภาพสมัยเด็กผุดขึ้นมาในหัว ไวไวนั่งหลับน้ำลายไหลยืด ยำยำอ้าปากหาวหวอดๆ เทมตาจะปิดอยู่แล้ว ส่วนผมกับวินนั่งหัวเราะคิกคักกับสภาพเพื่อนแต่ละคน มีแค่ต่อกับกายดวลเกมคำศัพท์ภาษาอังกฤษอย่างจริงจัง หาตัวผู้ชนะไม่ได้สักที
“กูออกความเห็นแล้ว ขอไปอุ่นขนมจีบที่เหลือก่อนล่ะ”
ผมปล่อยวินคุยกับต่อ แว่วเสียงวินมาเป็นระยะ
“งั้นเอาอย่างนี้ เป็นเกมที่ให้ยำระบายความเครียดออกมาบ้าง…”
หลังจากนั้นผมก็ไม่สนใจอีก จัดการอุ่นเรียบร้อยก็มาขอแรงสองคนที่ปรึกษากันเสร็จแล้ว มาช่วยยกออกไปวางข้างนอก…เหมือนในห้องเย็นน้อยลง
“ปรับแอร์แล้วเหรอ?”
“ใช่ ไอ้ไวบ่นหนาว” เทมว่า
พอนั่งรอบวงกันครบ กำส้อมในมือพร้อม เหรียญห้าก็ถูกดีดขึ้นบนอากาศ
“รอเหรียญกระทบพื้นก็เปิดศึกได้”
พวกผมขานรับพี่ใหญ่ของกลุ่ม รอฟังเสียงอย่างตั้งใจ
เคร้ง
ทันทีที่ได้ยินเสียงสัญญาณ แต่ละคนก็รีบจิ้มขนมจีบที่หมายตา มีหลายแบบครับ ทั้งขนมจีบกุ้ง ปู หมู เห็ดหอมสับ สาหร่าย แต่ไส้ปูน้อยที่สุด ไส้กุ้งเป็นอันดับต่อมา เลยต้องแย่งกันหน่อย
“เฮ้ย ปูหายไปไหนหมด”
“นั่นของกูโว้ย”
ผมไม่สนใจแย่งชิงกับคนอื่น ไส้ไหนก็อร่อยทั้งนั้น เลยขอเน้นปริมาณมากกว่ารสชาติ หลังจิ้มหมูกับเห็ดหอมเข้าปากหลายลูก จู่ๆ มีขนมจีบปูยื่นมาตรงหน้า พอหันมองเจ้าของส้อม กลับโดนถามสั้นๆ
“เอาไหม?”
ผมเลิกคิ้วประหลาดใจสุดๆ “ให้จริงดิ?”
“อือ”
“…ไม่มีขอแลกเปลี่ยนทีหลัง?” ผมถามอย่างระวัง
“ไม่มี”
ถึงบอกว่าไม่สน แต่ของดีมีน้อยชิ้นก็ล่อตาล่อใจมากโข ถึงอย่างนั้นผมก็ยังลังเล
“ตัดสินใจช้า อดไป…”
ผมรีบคว้าข้อมือพาร์ที่กำลังจะดึงกลับ รีบอ้าปากงับขนมจีบปูพร้อมเคี้ยวช้าๆ รสสัมผัสดีกว่าหมูหรือเห็ดหอมเยอะครับ อร่อยจนผมเสียดายถ้าต้องรีบกลืน
“อร่อยไหม?” พาร์ถามหลังผมยอมกลืนลงท้อง
“มากๆ”
“งั้นจ่ายมาได้แล้ว” พาร์แบมือตรงหน้าผม
ฮะ?
ผมทำหน้างง “จ่ายอะไร?”
“ค่าขนมจีบ จะจ่ายเท่าไหร่ก็ได้ รับหมด”
ผมอ้าปากเหวอ ทำไมผมต้องจ่ายด้วย ในเมื่อคนซื้อมาคือต่อ ถ้าจะจ่าย ผมควรให้เงินกับต่อต่างหาก
“โหย เล่นขายขนมจีบตรงนี้ ไม่เกรงใจคนรอบข้างเลยยย”
“แต่ดูจากหน้ามึนงงของไอ้ที มันคงตามมุขไม่ทัน”
มุข?
ผมนึกทวนในใจ ก่อนติดสตันหลังเข้าใจ ขายขนมจีบที่ว่า หมายถึงกำลังสนใจอยากได้มาเป็นแฟน สรุปคือพาร์เล่นมุขจีบผมทางอ้อมครับ
“ทีตัวแข็งไปเลยวะ ฮ่าๆๆ”
“ไม่แปลก มันห่างหายจากการโดนผู้ชายจีบตั้งหลายปี สรุปมึงกำลังจีบทีสินะ”
“ก็…นะ”
“กล้าดีวะ”
“ไอ้ทีโหดนะ ระวังไว้ด้วยล่ะ”
ผมจิ้มขนมจีบสาหร่ายเข้าปากเงียบๆ อุตส่าห์ทำตัวกลืนไปกับบรรยากาศแล้วแท้ๆ ไอ้คนข้างๆ กลับไม่ยอมปล่อยผมไร้ตัวตน มีมากระซิบข้างหูเสียงแผ่ว
“กูนึกว่ามึงชอบแค่ขนมอย่างเดียวมาตั้งนาน แต่เพื่อนมึงยืนยันว่าทีชอบคนทำขนมมากกว่านั้นเยอะ…จริงหรือเปล่า”
“โอ๊ะ ไอ้ทีแก้มแดงวะ”
ผมจิ้มขนมจีบปาไปโดนหน้าผากไอ้ไวไวพอดี “ถ้ายังอยากมีปากไว้กินของอร่อย หุบปากมึงไปเลย!”
“ที ห้ามเอาของกินปาเล่น!”
ผมยิ้มแห้งให้กายที่ส่งสายตาดุมาให้ ส่วนคนโดนผมตวาดเหรอ จับส้อมที่ตกใส่ตัก เอาขนมจีบเข้าปากแล้วครับ แถมยังส่งแววตาล้อเลียนมาให้อีกต่างหาก ผมเลยแยกเขี้ยวส่งกลับไป
“พอดีเลย เกมครั้งนี้ต้องสนุกมากแน่ๆ”
ทุกสายตาหันไปมองวิน
“มึงคิดเกม?”
“เปล่า ต่อต่างหาก ชื่อเกมอะไรนะต่อ?”
“เกมอะไรวะ?” เทมถามลุ้นๆ
“เกมเลือก”
“ฮะ?”
วินหัวเราะเมื่อเห็นพวกผมทำหน้างง “ต่อหมายถึงเกมเลือกว่าจะพูดความจริงตรงๆ หรือเลือกจะโดนเพื่อนในกลุ่มแฉเรื่องน่าอาย แน่นอนว่าแฉในกลุ่มมันไม่สนุก เพราะงั้นบทลงโทษคือพรุ่งนี้จะโดนเอาเรื่องน่าอายไปแฉกับคนนอกกลุ่มที่มหาลัย แล้วแต่ว่าคนแฉจะเลือกไปแฉกับใคร”
“คนคิดเกมนี่มึงใช่ไหม!”
“โหดสัดๆ”
“อย่าใส่ร้าย กูแค่ให้คำแนะนำ เนอะต่อ”
คนถูกเอ่ยชื่อผงกหัวรับ แววตาเปล่งประกายขบขับ
“แล้วขนมจีบแข็งๆ นั่นล่ะ?” ผมรีบถาม
วินทำหน้าเจื่อน “ลงท้องกูหมดแล้ว”
นึกภาพวินกินไอ้นั่นไปคำ น้ำไปคำออกเลยครับ…เห็นแก่ที่มันยอมฟาดไอ้นั่นลงท้อง ผมยอมหุบปากเงียบก็ได้ ถึงจะรู้สึกว่างานนี้ตายแน่ก็ตาม
“งั้นกูไปเอาไม้ไอติมก่อนนะ”
ต่อลุกเดินไปห้องนอน คราวนี้เทมกับยำยำช่วยกันเก็บจานชามไปไว้ในครัว ส่วนผมลุกไปหยิบผ้าขี้ริ้วในห้องน้ำมาเช็ดพื้นอีกรอบ มีคนเดินตามหลังมา คงเป็นเพื่อนสักคนนั่นแหละ แต่พอได้ยินเสียงประตูห้องน้ำปิดก็นึกแปลกใจเลยหันไปมอง ผงะสิ ไม่นึกว่าเป็นพาร์
“อะ…อะไร?”
พาร์จ้องหน้าผมไม่พูดอะไรสักแอะเดียว
“มองหน้าทำไม”
“กำลังมองคนใจร้าย ไม่คิดบอกกันเลยนะ”
น้ำเสียงตัดพ้อกันสุดๆ แถมยังเดินเข้ามาใกล้ ผมรีบถอยหลังด้วยความระแวง ไปๆ มาๆ ดันโดนต้อนหลังติดกำแพงซะงั้น
“เอ่อ มึงถอยไปยืนห่างๆ ก็ได้”
แต่พาร์กลับไม่ฟังผมเลย
“ถ้าวันนี้เพื่อนมึงไม่หลุดพูดออกมา กูคงไม่มีวันได้รู้”
ผมอ้าปาก มองสีหน้าน้อยอกน้อยใจของคนตรงหน้าอย่างคาดไม่ถึง ก่อนยืนตัวแข็งทื่อเมื่ออีกฝ่ายซบหน้ากับไหล่ สะดุ้งยามโดนโอบรอบเอวหลวมๆ
“ตอนแรกกูไม่อยากเชื่อนะ คิดสารพัดว่าหูฝาดบ้างล่ะ ฟังผิดบ้างล่ะ อึดอัดคับข้องใจจนต้องไปขอคุยกับเพื่อนมึง”
ภาพพาร์กับเทมคุยกันแวบเข้ามาในหัวผมทันที วินาทีนี้อยากอ้าปากพ่นไฟใส่เพื่อนที่สุด!
มันแฉผมอีกแล้ว!
“กูไปตั้งคำถามเพื่อนมึงมาตั้งหลายเรื่อง ยืนยันจนแน่ใจว่าไม่ได้หูฝาด และคนที่ว่านั่นคือกูแน่ๆ”
พาร์เงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มสว่างไสวที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น
“ดีใจนะ…ดีใจมากๆ เลยล่ะ”
ผมเม้มปาก เบือนหน้าหนี แต่ต้องสะดุ้งเมื่อโดนลูบแก้มแผ่วเบา
“แก้มแดงนะที”
เพราะใครล่ะ!
ผมผลักพาร์ออกห่าง มันดูตกใจปฏิกิริยาของผมพอสมควร หลังหายใจเข้าออกปรับอารมณ์สักพัก ผมก็พูดเสียงเฉียบขาดใส่มัน
“กูยังต้องไปเช็ดพื้น ถอยไป!”
พาร์รีบหลีกทางให้ ผมคว้าผ้าขี้ริ้วได้ก็เดิมดุ่มๆ ออกมานอกห้องน้ำ พอนึกได้ว่าลืมอะไรก็หันไปชี้นิ้วสั่งคนยืนอยู่ที่เดิม
“รองน้ำใส่ถังมาให้ด้วย”
“…อือ”
ก่อนผมจะปิดประตู แว่วเสียงพาร์งึมงำกับตัวเอง แต่เพราะในห้องน้ำเสียงก้อง ผมเลยพลอยได้ยินไปด้วย
“หนีหรือเนี่ย”
ผมปิดประตูใส่เสียงดัง
จะคิดยังไงก็เรื่องของมึง แต่คิดจะจับคนอย่างกู เร็วไปโว้ย!
เสียงมือถือไม่คุ้นหูดังขึ้นมาจากในห้องนอนเพื่อน พวกผมพร้อมใจกันเงียบ แว่วเสียงเจ้าของห้องพูดคุยลอดออกมาจากบานประตูที่ไม่ได้ปิด ครู่ใหญ่ต่อก็เดินหน้าเครียดออกมา
“โทษที คืนนี้กูต้องกลับไปนอนค้างที่บ้าน”
กายรีบเดินเข้าไปกอดคอต่อ
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า?”
ต่อส่ายหน้าทั้งที่ตีหน้าขรึม แต่พอโดนจ้องหนักเข้าก็ยอมเปิดปาก
“เรื่องธุรกิจที่บ้าน เหมือนจะมีหนอน พ่อเลยเรียกกูไปดูเขาจัดการปัญหานี้”
พวกผมไม่ได้พูดอะไร นอกจากกอด ตบหลัง ตบบ่าเบาๆ ให้กำลังใจ เพราะต่อเป็นลูกคนเดียวของบ้าน มันเลยต้องเป็นผู้สืบทอดธุรกิจพันล้านของครอบครัว อนาคตโดนปูทางไว้หมด แม้แต่เรื่องคณะมหาลัยก็ยังไม่มีสิทธิ์เลือก ดีที่มันปลงตกทำใจได้นานแล้ว เลยไม่ต้องห่วงเรื่องจะออกนอกลู่นอกทาง พวกผมกลัวแค่เรื่องเดียว กลัวเพื่อนจะเครียดมากเกินไป
“รถบ้านมึงจะมาเมื่อไหร่?”
“อีกสามสิบนาที”
กายหันมองพวกผม “ได้ยินแล้วใช่ไหม”
พวกผมขานรับ รีบแยกย้ายช่วยกันทำความสะอาดให้เรียบร้อย
“พวกมึงนอนค้างที่นี่ก็ได้”
ผมที่อยู่ใกล้ๆ ส่ายหัวให้เห็น ไม่ใช่ไม่อยากอยู่ แต่ถ้าอยู่แล้วพ่อแม่มันรู้เข้า คนที่โดนลงโทษคือต่อ ที่จริงเพื่อนผมไม่ได้หวงห้องทำงานหรือห้องนอนหรอก แต่ที่ไม่อยากให้พวกผมไปยุ่งก็เพราะในห้องมีเอกสารธุรกิจบ้านมันเยอะแยะ ถ้าเกิดเพื่อนเผลอไปซนจนเอกสารเสียหายขึ้นมา หรือเอกสารหายไป คงแย่ทั้งสองฝ่าย
“ขอโทษ”
“ไม่เป็นไรๆ” วินขยี้หัวเพื่อนที่หน้านิ่ง แต่แววตาสลด “อีกไม่กี่วันก็ได้รวมกลุ่มกันอีกแล้ว”
“ใช่ๆ มึงไม่ต้องคิดมากหรอก” ไวไวตะโกนออกมาจากทางครัว
ครึ่งชั่วโมงต่อมาพวกผมก็หอบหิ้วของลงมาพร้อมกัน ยืนส่งเจ้าของห้องที่มีรถมารอรับถึงหน้าคอนโดเรียบร้อย ก็เริ่มมองหน้ากันเอง ก่อนหันไปมองยำยำ เหมือนคนถูกมองจะรู้ตัว
“แยกย้ายเหอะ ไว้คราวหน้าค่อยคุยกัน”
“…เอางั้น?”
“อือ” ยำยำพยักหน้ายืนยัน “รอครบคนค่อยคุยกันทีเดียว”
พวกผมมองหน้ากันเองอีกรอบเป็นเชิงปรึกษา ก่อนพยักหน้ารับการตัดสินใจเจ้าของเรื่อง
“งั้นแยกย้าย” กายสรุป “ใครอยู่หอในก็รีบกลับ อย่าไปเถลไถลที่ไหนล่ะ”
“วินฝากยำด้วยล่ะ พวกกูไปนะ”
ไวไวกับเทมผละไปก่อน ไวไวยังขับรถไม่แข็ง แถมยังชอบหลงทาง เทมเลยขับมาให้ ที่รีบกลับคงเพราะต้องวนเข้ามหาลัยไปเอารถเทมก่อนประตูมหาลัยปิดล่ะมั้ง
คนที่เหลือบอกลากันเสร็จก็แยกย้าย ผมมองแผ่นหลังยำยำอย่างชั่งใจ
“ไม่กลับ?”
“เปล่า แค่กำลังคิดว่าบอกยำไปเลยดีไหม”
“ตามความคิดกู อีกสองสามวันค่อยบอกดีกว่า ถึงตอนนั้นเพื่อนมึงน่าจะมีสติรับฟังมากกว่าตอนนี้”
“…นั่นสินะ” ผมคล้อยตาม เพราะที่พาร์พูดก็ถูก
“แล้วเราล่ะ?”
ผมละสายตาจากแผ่นหลังเพื่อนหันมองพาร์ “ก็กลับไปนอนบ้านสิ”
“ไม่ใช่ กูหมายถึง…ขายขนมจีบให้แล้ว มึงล่ะให้จีบได้ยัง?”
ผมจ้องคนที่กล้าพูดประโยคเมื่อครู่ออกมาหน้าตาเฉยอึ้งๆ แต่แววตาพาร์กลับนิ่งสงบมีประกายอยากรู้คำตอบแฝงอยู่ลึกๆ เกิดความเงียบขึ้นระหว่างเรา และถูกทำลายด้วยรถที่ขับมาจอดใกล้ๆ กระจกรถถูกเลื่อนลง สิ่งแรกที่เห็นอีกแววตาดุๆ ของว่าที่หมอ
“ยืนเฉยให้ยุงหามทำไม ขึ้นรถกลับบ้านไปเดี๋ยวนี้!”
“ไปแล้วๆ”
ผมรีบลากพาร์มาที่รถ ใช้ช่วงเวลาสั้นๆ ครุ่นคิด ดังนั้นพอเข้ามานั่งในรถ ผมเลยถามสิ่งที่อยากรู้ก่อน
“มึงตัดสินใจแล้ว?”
“ใช่”
“ยังเหลือความลังเลสับสนอยู่ไหม”
“มี แต่ถ้าไม่ลองดู แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าคำตอบถูกหรือผิด กูเลยคิดว่าสมควรเริ่มต้นทำอะไรสักอย่างได้แล้ว”
ผมมองพาร์นิ่งๆ ระหว่างเอ่ยถามเสียงจริงจัง
“ถ้ากูไม่ให้คำตอบตอนนี้ มึงจะอ่านหนังสือสอบรู้เรื่องไหม?”
คนโดนถามหัวเราะร่วน “ถ้าเป็นอย่างนั้น กูคงอ่านไม่รู้เรื่องนานแล้ว…กูไม่ได้เร่งมึงนะที แค่ถามเฉยๆ ถ้าจะรอสอบเสร็จก่อน แล้วมึงค่อยคิดเรื่องของเราก็ได้ ไม่ว่าหรอก”
ผมพ่นลมหายใจโล่งอก “งั้นก็ตามที่มึงพูด”
“…ที”
“อะไร?”
“มึงกระตุ้นให้กูรู้สึกอยากล่ามึงวะ”
“อะไรนะ!”
พาร์ไม่ได้พูดอะไร นอกจากโน้มหน้ามาใกล้ ผมนึกว่ามันจะพูดกระซิบอะไรสักอย่าง แต่กลายเป็นว่าโดนหอมแก้มไปฟอดหนึ่ง กะทันหันจนได้แต่ตะลึง
“รู้ไหมยิ่งมึงพยายามหนี กูก็ยิ่งอยากตามจับมึง”
ผมอ้าปากจะด่า แต่ไม่ทันพาร์ที่เอ่ยพูดต่อ
“ขอบคุณที่เมื่อก่อนก็ชอบกู”
ผมหุบปากฉับ กลืนคำด่าลงคอ เหลือบมองคนอารมณ์ดีเหลือเกิน จู่ๆ ความหมั่นไส้ก็พุ่งพรวดจนต้องยกมือกอดอกไว้ กันเผลอไปฟาดหัวคนกำลังขับรถออกจากที่จอด
…หอมแก้มคือคำขอบคุณ แต่สัมผัสเมื่อครู่ต่างออกไป จนผมรู้สึกเหมือนโดนฉวยโอกาสยังไงชอบกล
-------------
และแล้ววันศุกร์ก็มาเยือน ผมแวะห้องพ่อเอาการ์ดไปวางบนหมอนเรียบร้อยก็กลับมาช่วยพาร์ยกข้าวของที่เตรียมไปค้างบ้านย่าขึ้นรถ แต่พอเห็นสภาพเหงื่อท่วมตัวเพื่อนก็อดถามไม่ได้ (พาร์พึ่งปั่นจักรยานเอาของที่จะให้ลุงแทนไปไว้ที่บ้านมันมาครับ)
“จะขึ้นไปอาบน้ำอีกรอบก่อนไหม?”
พาร์ส่ายหน้า “แต่กูขอถามอีกที มึงแน่ใจนะว่าไปค้างบ้านย่า ไม่ใช้จะไปเดินป่าที่ไหน”
ผมเซ็งคำถามนี้สุดๆ “ถามอะไรหลายรอบนัก”
“ก็มันน่าสงสัยนี่ แล้วไอ้ใบรายการที่ให้มาสำหรับจัดของ ดูยังไงก็เหมือนเตรียมไปเที่ยวชัดๆ”
“แล้วมึงจัดของตามใบรายการปะ?”
“จัด”
“งั้นก็ไม่มีปัญหา อีกอย่างกูบอกมึงแล้วนะว่าสอบเสร็จจะไปเที่ยวต่อ”
พาร์นิ่งไปเลยครับ ท่าทางคงพึ่งนึกออก
“…นี่มึงจะไม่กลับบ้านจริงๆ ใช่ไหม?”
ผมถอนหายใจ “จำสภาพเจ้าตัวเล็กเมื่อวันจันทร์ได้ปะ มึงคิดว่ากูสมควรกลับมาให้น้องเห็นหน้าไหมล่ะ”
“…ไม่”
“ก็นั่นน่ะสิ นี่ดีนะยัยน้ำโตแล้ว เพราะสมัยก่อนก็ไม่ต่างกับน้องอันหรอก แต่ถ้ากูหายไปนานๆ ก็ไม่แน่ ป้องกันไว้ก่อนดีกว่า”
ผมมองหน้าพาร์นิ่งๆ “กูว่าเราน่าจะตั้งเงื่อนไขกันหน่อย อย่างแรก กูกับมึงห้ามโผล่หน้าไปให้น้องๆ เห็นทุกกรณี”
“แม้แต่น้องเข้าโรงพยาบาล?”
มุมปากผมกระตุก “รู้ไหมกูเคยโง่โดนมารยาเด็กหลอกมาแล้ว แล้วมึงจะรู้ว่าน้องเรากล้ากว่าที่คิด เป็นไปได้อย่าเต้นตาม ไม่งั้นจะกลายเป็นการสนับสนุนให้น้องทำตัวเองบาดเจ็บ”
พาร์ทำหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งใส่ผม
“แต่กูว่ามึงปิดมือถือไปเลยดีกว่า ก่อนปิดก็โทรไปรายงานตัวกับพ่อแม่ก่อน ถ้าเขารู้ว่าเราอยู่ในช่วงสอบ คงไม่ว่าอะไรหรอก แล้วค่อยโทรไปหาเป็นระยะก็ได้”
“ข้อต่อมาล่ะ”
“ห้ามบอกพิกัดว่าอยู่ไหน ไม่ว่าจะพ่อแม่หรือน้องถาม ห้ามบอกหมด กูเคยพลาดมาแล้ว ปรากฏว่าพ่อแม่ทนไม่ไหวพาน้องมาส่งถึงที่”
“…ยังมีอีกไหม”
“ข้อสุดท้าย ถ้ามึงเผลอใจอ่อนจนโดนจับตัวได้ กูจะทิ้งมึง…” แววตาคนฟังเปลี่ยนไปทันที ทำเอาผมผวา ไอ้ที่ยังพูดไม่จบเลยกลายเสียงตะกุกตะกัก “เอ่อ ให้อยู่กับน้องที่นี่”
ผมมองหน้าพาร์อย่างระวัง นึกสงสัยมันอารมณ์เสียเรื่องอะไร
“แค่นี้ใช่ไหม?”
“อือ”
จู่ๆ พาร์ก็ยิ้ม แต่แววตาไม่ยิ้มไปด้วยเลย
“กูไม่ให้มึงหนีเที่ยวคนเดียวแน่”
คนเดียว?
ผมมองคนที่หมุนตัวไปยกของขึ้นรถต่อ แล้วเพื่อนผมอีกหกคนทำไมไม่นับรวมด้วยเล่า
กว่าจะได้ฤกษ์ออกจากบ้านก็ปาไปเกือบบ่ายสามกว่าแล้ว ต้องรีบไปโรงเรียนน้องอันให้ทันบ่ายสามห้าสิบ วันนี้โรงเรียนน้องอันมีกิจกรรมวันพ่อครับ พ่อเลยขอหยุดงานไปอยู่กับน้องอันทั้งวัน ช่วงเช้ามีกิจกรรมอะไรบ้างผมไม่รู้ แต่ช่วงบ่ายเป็นต้นไปจะเป็นการแสดงของห้องต่างๆ ไล่ตามระดับชั้นอนุบาล1 ถึงอนุบาล3
พวกผมมาเลทไปสิบนาที เลยได้ยืนดูแถวด้านหลังเก้าอี้ที่จัดเตรียมให้ผู้ปกครอง หลบอยู่ตรงกำแพงใกล้ประตู แม้จะพอมีที่ว่างให้ไปนั่งก็ไม่กล้าเข้าไปครับ เพราะผู้ปกครองบางคนถ่ายวีดีโออยู่
“อ๊ะ”
หมาป่าน้อยออกโรงพอดี หางสีเทาส่ายไปมาไม่หยุด ดูท่าเจ้าตัวเล็กจะตื่นเต้น ครูคงฝึกน้องมาพอสมควร เลยไม่มีหลุดบท แต่ท่าทางแข็งๆ ดูจะเกร็งมากไปหน่อย หลังดูสักพักผมก็เอนหัวกระซิบกับพาร์
“หนูน้อยหมวกแดงปลอดภัยแน่นอน”
“เผลอๆ อาจโดนหนูน้อยหมวกแดงจับไปเลี้ยงก็ได้”
ผมส่งเสียงเหอะในคอ
“ใครจะยอมยกหมาป่าน้อยแสนน่ารักให้ง่ายๆ”
ผมพูดจริงจังแท้ๆ แต่คนฟังกลับหัวเราะใส่ซะงั้น
ระหว่างกำลังดูน้องแสดงละครเพลินๆ เสียงไลน์ที่ดังขึ้นรีบทำให้ผมหยิบมือถือขึ้นมา ดีนะครับไม่ได้ตั้งเสียงไว้ดัง แต่พอเห็นข้อความ ผมรีบคว้าแขนพาร์ลากออกมาจากห้องประชุมทันที
“ไปไหน?”
“อย่าพึ่งถาม ไปที่รถเร็ว มึงขับนะ กูขอแบบเร่งด่วน สถานที่ก็…”
“ใจเย็น แล้วช่วยบอกให้กูเข้าใจหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น”
ผมรีบชูหน้าจอตัวเองให้พาร์ดูข้อความ
Wind: SOS ใต้ตึกคณะกู
Wind: ยำยำโกรธจัด ชกต่อยกับรุ่นพี่ปีสาม ไม่ฟังกูเลย
ผมรอจนพาร์อ่านจบก็ถามเรียบๆ แม้ในใจอยากหายตัวไปถึงจุดเกิดเหตุตอนนี้เลยด้วยซ้ำ
“รีบไปได้ยัง?”
############