- ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: - ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว  (อ่าน 175253 ครั้ง)

ออฟไลน์ rinny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 517
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: - ชลนที - [บทที่28] P.9 (14/11/2016)
«ตอบ #270 เมื่อ15-11-2016 21:24:33 »

บ้านสุดยอดมากเลยค่ะที อ่านแล้วอยากได้บ้านแบบนี้บ้างแล้วสิเนี่ย พาพาร์เข้าบ้านแบบนี้คิดไรอยู่คะที?
เราเป็นหญิงต้องรักนวลสงวนตัวสิ(?) รวบหัวรวบหางกินกลางตลอดตัวเลยค่ะ55555 งานนี้พาร์กำไรสุดๆ

ออฟไลน์ threetanz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 766
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-1
Re: - ชลนที - [บทที่28] P.9 (14/11/2016)
«ตอบ #271 เมื่อ16-11-2016 21:30:56 »

ทีอ่อยพาร์นี้นาว๊ายๆๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ YounIn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1524
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-8
Re: - ชลนที - [บทที่28] P.9 (14/11/2016)
«ตอบ #272 เมื่อ21-11-2016 06:38:21 »

ชวนอาบน้ำ แช่น้ำเขาห้ามใส่อะไรลงนะ

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
Re: - ชลนที - [บทที่29] P.10 (21/11/2016)
«ตอบ #273 เมื่อ21-11-2016 20:45:31 »

บทที่29

พาร์มองหน้าผมสลับกับบรรดาซองผงแช่ตัวที่ทากะซังสะสมไว้ (กลับญี่ปุ่นเมื่อไหร่เป็นต้องไปซื้อมาตุนไว้เพียบ) จากสีหน้าอีกฝ่ายเหมือนผมพูดอะไรผิดสักอย่าง คิดทบทวนครู่ใหญ่ก็ร้องอ้อในใจ

“ถ้ามึงเขินพันผ้าขนหนูลงบ่อก็ได้ กูเข้าใจ”

“ไม่ มึงไม่เข้าใจ”

ผมเลิกคิ้วขึ้นสูง “แล้วต้องเข้าใจแบบไหน?”

พาร์เงียบใส่ รอแล้วรอเล่าไม่เห็นพูดอะไรสักที ผมเลยเป็นฝ่ายพูดแทน

“มึงควรฝึกอาบน้ำร่วมกับคนอื่นให้ชิน เผื่อได้ไปเที่ยวที่ญี่ปุ่นจะได้ไม่ลำบากใจ”

“เรื่องไร?”

“ก็…อย่างเวลาใช้ห้องอาบน้ำรวมหรือบ่อน้ำพุร้อนที่นู้น เขาห้ามเอาผ้าขนหนูพันเอวลงไป แต่กูอนุโลมเห็นแก่คนพึ่งลงแช่น้ำครั้งแรกอย่างมึง”

ผมจ้องจับผิดใบหน้าพาร์ เดี๋ยวแดงบ้างซีดบ้างสลับไปมาจนน่าสงสัย

“มึงกำลังคิดอะไรอยู่เนี่ย?”

“ช่างกูเหอะ ขอไปรอข้างนอก…”

หมับ!

ผมคว้าไหล่คนทำท่าชิ่งหนีด้วยมือข้างเดียว พร้อมฉีกยิ้มปลอบใจ

“อย่ากลัวไปเลยน่า คนเราต้องมีครั้งแรกกันทั้งนั้น” แต่ไหงมันทำหน้าผวาหนักกว่าเก่าเล่า “นี่แค่สองคนเอง ถ้าไปที่ญี่ปุ่นเจอคนมากกว่านี้ตั้งเยอะ”

พาร์ยกมือกุมขมับ ทำหน้าเหมือนจะป่วย “กูอยากรู้จริงๆ มึงโดนเลี้ยงมาแบบไหน”

“ฮะ?”

“โตมาถึงเป็นแบบเนี่ย”

“แบบไหนวะ?”

พาร์ขยี้ผมท่าทางหงุดหงิด “มึงจะอาบน้ำหรือแช่น้ำก็ตามสบาย กูไปล่ะ”

ผมมองคนหมุนตัวเดินหนีไปทางประตูด้วยความงง อะไรของมัน แต่รู้อะไรไหมครับ ท่าทางแบบนั้นกลับกระตุ้นผมให้รู้สึกอยากแกล้ง รู้ตัวอีกทีก็ไปยืนล็อกตัวพาร์จากทางด้านหลัง ยัดกล่องใส่มือมัน แถมยังช่วยปลดกระดุมเสื้อออกอีกต่างหาก

“ไอ้ทีปล่อยกู!”

“เรื่องสิ”

“ไอ้ที!”

พาร์ดิ้นอย่างหนัก จนผมต้องออกแรงรัดมากขึ้น มันเกือบหลุดรอด เลยต้องงัดไม้ตามออกมาใช้ดักเหยื่อ

“รู้ไหมกูแช่น้ำครั้งแรกตั้งแต่ยังไม่ถึงขวบ โดนลุงนิกอุ้มลงอ่างอาบน้ำ…”

พาร์หยุดชะงัก แค่เล็กน้อยก็ทำให้ผมล็อกเหยื่อที่กลับมาดิ้นหนีได้ต่อ

“แค่ปลายเท้าโดนน้ำร้อนก็แหกปากแล้ว แต่ผู้ใหญ่สองคนส่งเสียงหัวเราะยกใหญ่”

พาร์ดิ้นน้อยลงๆ จนหยุด

“จากที่กำลังร้องไห้เลยกลายเป็นหัวเราะตาม รู้ตัวอีกทีก็แช่น้ำเล่นกับลุงไปแล้ว”

“มึงโม้!” คนเลิกดิ้นหนีว่า “เด็กขนาดนั้นจะจำเรื่องพวกนั้นได้ไง”

ผมหัวเราะ “หนึ่งในคลิปวีดีโอจากชั้นสามไง สนใจล่ะสิ” 

คนโดนพูดยั่วกัดฟันกรอด ผมทั้งสนุกทั้งขบขัน

“ถ้ามึงลองลงแช่น้ำตอนนี้ เดี๋ยวก่อนนอนกูเอามาเปิดให้ดูก็ได้นะ”

พาร์ยืนเงียบเลยครับ ท่าทางคิดหนัก ผมใช้จังหวะนี้ปลดกระดุมที่เหลือของมัน ถ้าดื้อนักเดี๋ยวจับโยนลงบ่อซะเลย แต่ยังไม่ได้เติมน้ำลงไปนี่สิ ทำไงดีหว่า   

“กูไม่แช่!”

ผมผงะกับเสียงตะโกนลั่น ต้องรีบจับล็อกตัวคนพยายามหนีอีกรอบ นึกไม่ถึงว่าพาร์จะต่อต้านหนักขนาดนี้

“เป็นอะไรของมึงเนี่ย แค่แช่น้ำประมาณสี่สิบสององศาเองน่ะโว้ย ทำอย่างกับกูจะจับมึงไปต้มในบ่อ”

“ใช่! มึงกำลังจะฆ่ากู”

“ฮะ? แค่แช่น้ำเนี่ยนะ?”

“เออ!”

“น้ำร้อนแค่นั้นจะฆ่ามึงได้ไง!”

“น้ำไม่ได้ฆ่ากู แต่มึงนั่นแหละจะฆ่ากู!”

พวกผมหยุดยื้อยุด ต่างหอบด้วยความเหนื่อยทั้งคู่ หลังกอบโกยอากาศเข้าปอดจนพอใจก็มาฉะกันต่อ

“กูจะฆ่ามึงทำไม”

“จะไปรู้เรอะ! แล้วมึงบังคับกูลงแช่น้ำทำไม”

“อยากให้ลอง…” พูดไม่ทันจับก็โดนสวนทันที

“อ้อ มึงอยากให้กูเลือดหมดตัวตาย”

ผมชักรู้สึกทะแม่งๆ “มึงมีโรคประจำตัว?”

“ไม่มี”

ผมหรี่ตาลงมองคนทำท่าฮึดฮัด “...นี่มึงคงไม่ได้คิดอะไรลามกอยู่ในหัวหรอกนะ?”

พาร์เบือนหน้าหนี แต่ผมเห็นมันใบหูแดงก่ำชัดเจน ผมหัวเราะหึใส่หูมัน

“มึงกลัวกูนี่เอง ไม่ต้องห่วง กูไม่คิดทำอะไรมึงหรอก”

พาร์หันขวับกะทันหัน ดีนะถอยหน้าออกห่างทัน ช้ากว่านี้อาจเจออุบัติเหตุปากชนปากเอาได้ แต่ยังต้องสบตาในระยะประชิด แววตาอีกฝ่ายวาววับเอาเรื่อง เค้นเสียงออกมาเหมือนกำลังกัดฟันพูด

“ไม่คิดว่ากูจะเป็นฝ่ายทำมึงหรือไง”

“มีปัญญา?”

พวกผมจ้องตาฟาดฟันใส่กันเนิ่นนาน

“ตอนนี้กูรู้สึกเป็นฝ่ายได้เปรียบมึงวะ” ผมว่า

พาร์สวนกลับทันที “กูไม่รู้สึกตกเป็นรองเหมือนกัน”

“เหรอ…” ผมว่าขำๆ “มึงในสภาพนี้จะทำอะไรกูได้”

“ขอเตือน” พาร์ว่าเสียงหนัก “อย่าท้า” 

“ถ้ามึงมีปัญญากด กูยอมเป็นเมียมึงก็ได้เอา”

ความเงียบบังเกิดหลังผมหลุดปากพูดไปตามอารมณ์นึกสนุก มาได้สติก็ตอนเห็นแววตาวาววับแปลกๆ ของมัน ผมเผลอกลืนน้ำลายลงคอ รู้สึกว่าตัวเองเล่นมากไปแล้ว

“โฮ่…มึงพูดเองนะ มึงพูดเอง”

ผมออกแรงล็อกคนตรงหน้ามากกว่าเดิมกันไว้ก่อน กะว่าออกแรงดิ้นแค่ไหนก็ไม่ปล่อยให้หลุดแน่ แต่ผมคิดผิด พาร์ไม่ได้จะหนี พลิกตัวกลับมาก็ไม่ มันยืนอยู่กับที่เอื้อมมือกดหัวผมให้โน้มหน้าเข้าหา ลมหายใจร้อนปะทะใส่กัน ผมตื่นตัวตัวฉับพลัน   

เฮ้ย! เดี๋ยว!

ริมฝีปากเราแตะกันไปแล้ว ดุจห้วงเวลาภายนอกหยุดลง แต่ตะกอนที่นอนแน่นิ่งเนิ่นนานในใจผมกลับค่อยๆ ขยับ ผมหน้าซีดรีบดันตัวเองออกห่าง รีบถอยก่อนสติจะหลุด แต่เดินไม่ถึงสองก้าวก็โดนกระชากตัวกลับ จูบครั้งที่สองตามมา

ผัวะ!

คนโดนต่อยท้องส่งเสียงร้อง ก่อนจับล็อกมือผมไขว้หลัง อีกมือจับใบหน้าให้เอียงรับจูบครั้งที่สาม

โครม!

พาร์ลงไปนอนกองกับพื้นในสภาพตะลึงนิดๆ ผมยิ้มเหี้ยมกระทืบเท้าใส่คนนอนที่เบิกตากว้างรีบกลิ้งหลบ จุดยุทธศาสตร์กลางตัวรอดพ้นหวุดหวิด

“เดี๋ยวที…”

พาร์กลิ้งหนี ผมตามกระทืบ จนมันหาจังหวะลุกขึ้นยืนได้ แต่ต้องยอมให้ผมเตะถึงสองครั้งกว่ามันจะตั้งหลักได้จริงๆ ใบหน้าคนเจ็บตัวกำลังหงุดหงิด แต่พอได้จ้องหน้ากันกลับทำหน้าตกใจใส่

“มึง…ร้องไห้ทำไม?”

“พูดเรื่องไร?”

ใครร้องกัน

“ก็มึง…” พาร์ทำท่าจะเดินมาหา

“หยุดอยู่ตรงนั้นเลย ไม่งั้นกูยันมึงลงพื้นแน่”

พาร์ไม่สน พอเข้ามาในระยะผมก็จัดการออกลูกเตะสูงนำร่อง มันดันก้มหลบทัน แถมหมุนตัวส่งแรงถีบเข้าท้องผมจนเซ หลังผมกระแทกตู้เต็มๆ เจ็บแปล๊บทั้งตัว ยังไม่ทันตั้งหลักมันก็พุ่งเข้าประชิดแบบพวกนักมวย คอเสื้อโดนกระชาก รู้ซึ้งว่ามันร้ายก็ตอนนี้

“มึงร้องไห้เพราะอะไร” น้ำเสียงเครียดขึง

“ใครร้องวะ!”

“แล้วไอ้นี่อะไร?”

มันปาดนิ้วข้างแก้มผม พึ่งรู้สึกว่ามันชื้นก็ตอนนี้ ผมเม้มปาก จ้องตากลับไม่พูดอะไรสักคำ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเผลอทำน้ำตาร่วงตั้งแต่เมื่อไหร่

แววตาพาร์สั่นไหวหลังถามเสียงแผ่ว “รังเกียจจูบกูมากขนาดนั้นเลย”

ผมเบือนหน้าหนีอย่างทนมองไม่ไหว แต่ต้องสะดุ้งเมื่ออีกฝ่ายดันจับหน้าหันไปจ้องตากันใหม่

“ตอบกูมา”

“แน่ใจว่าอยากฟัง?”

“เออ”

“แต่กูไม่อยากพูดถึง!”

“แต่มึงต้องพูด กูจะได้รู้ว่าเรื่องของเรา มันเป็นไปได้หรือไม่ได้”

ผมเม้มปากอยู่นานกว่าจะยอมบอกเสียงแผ่ว “ขยะแขยง”

แรงกำคอเสื้อคลายออกทันที ใบหน้าคนฟังแย่มาก “ขอโทษ ต่อไปจะไม่ทำกับมึงแบบนั้นอีก”

ผมคว้าไหล่คนทำท่าจะผละออกห่าง น้ำเสียงทะมึน “มึงบังคับให้กูพูด ต้องอยู่ฟังให้จบ”

แววตาอีกฝ่ายโมโหทันที แต่ไม่พูดอะไร แค่มองมาเงียบๆ

“กูเกลียดจูบ เกลียดที่สุด ยิ่งแบบที่มีลิ้นสอดเข้ามาแค่คิดก็อยากอ้วกแล้ว มึงไม่มีทางเข้าใจหรอกว่ามันขยะแขยงแค่ไหน” ยิ่งพูดน้ำตาก็ยิ่งร่วงหล่น “กูพยายามผลักไอ้สารเลวนั่นออกแล้ว แต่ทำอะไรไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้เลย…”

“ที…”

ผมเมินเสียงเรียกแผ่วๆ จิ้มนิ้วโป้งใส่อกข้างซ้ายตัวเอง “มันตกตะกอนอยู่ในนี้มาตั้งนาน แต่มึงพึ่งไปกวนมันขึ้นมา!”

“พอแล้ว!”

“กูไม่ได้อยากจะจดจำสักนิดเดียว ทำไมต้องจำได้”

“พอแล้วที ไม่ต้องพูดแล้ว”

ผมรีบยันอกอีกฝ่ายที่ขยับเข้ามาใกล้ “ไม่ต้องมากอด ถอยไปห่างๆ ด้วย”

“ที…”

ผมปาดน้ำตาออกไปลวกๆ มองพาร์ที่ยอมถอยห่างแค่นิดเดียว

“กูขออยู่คนเดียวสักพัก”

พาร์นิ่งไปเลย แววตาลังเลชัดเจน นานกว่าเปิดปากพูด “ตอนนี้กูไม่ไว้ใจให้มึงอยู่คนเดียว”

“แต่กูไม่อยากเห็นหน้ามึง”

“ที…” เสียงอ่อนแรงจากพาร์ไม่ได้ทำผมใจอ่อนลงสักนิด

พาร์ไม่ได้เข้าหา แต่ดึงผมที่ไม่ทันตั้งตัวออกมา ร่างกายกระแทกกัน ผมเจ็บแผลเดิมที่โดนลูกถีบมัน นิ่วหน้าเจ็บเมื่อโดนกอดซะแน่นเหมือนกลัวผมหนีหาย ผมเจ็บทั้งตัวเจ็บทั้งใจ ยิ่งนึกถึงจูบเมื่อกี้ อยากเอาชนะ บังคับให้จำยอม น้ำตาก็ยิ่งร่วงทั้งที่พยายามห้ามแล้ว

“ขอโทษ”

ทันทีที่ได้ยิน ผมก็หวนนึกถึงความรู้สึกหนึ่งที่ตกค้างในใจท่ามกลางตะกอนสีดำที่ยังคงลอยฟุ้งกระจายไปทั่ว

กลัว…กลัว…กลัว

ผัวะ!

เสียงซีดปากอย่างหนักดังขึ้นข้างหูดึงสติผมกลับคืนมา พึ่งรู้ตัวว่ากำลังอยู่ในท่ายกเข่าค้างไว้ตรงหว่างขาพาร์ก็รีบเอาลง ส…สงสัยตอนสติหลุดเมื่อกี้จะเผลอทำร้ายกล่องดวงใจใครบางคนไปแล้ว แต่คนที่น่าจะทั้งจุกทั้งเจ็บ กลับกัดฟันไม่ยอมปล่อยผมออกจากอ้อมกอด


“ขอ…โทษ”

“ปล่อยกู”

“ไม่”

“อีกสักทีดีไหม” ผมลองขู่ดู แต่กลับโดนกอดแน่นกว่าเดิม สุดท้ายก็เป็นผมที่ใจอ่อน แต่ก็ใช่ว่าจะยกโทษให้ จึงประกาศบทลงโทษชัดถ้อยชัดคำ

“พรุ่งนี้กูจะไม่คุยกับมึง…”

“ที!”

พูดไม่ทันจบก็โดนเรียกชื่อเสียงดังลั่น ท่าทางแข็งแรงดี แต่ดูเหมือนขยับไม่ไหว เกาะผมส่งเสียงสั่นเครือ

“จะทำร้ายร่างกายกูยังไงก็ได้ แต่ไม่เอาแบบนี้”

ผมตบหลังพาร์ให้สงบใจลงหน่อย

“ฟังให้จบก่อน” รอจนแน่ใจว่ามันพร้อมฟังก็พูดต่อ “พรุ่งนี้มึงครองชั้นหนึ่งไป เดี๋ยวกูจะไปหมกตัวที่ชั้นสาม ต่างคนต่างอยู่สักวันน่าจะดีกว่าเจอหน้ากัน”

ผมตบหลังคนที่กอดผมแน่นกว่าเก่าจนชักจะเจ็บแผลเก่าอีกครั้ง แถมยังหายใจไม่ค่อยสะดวก

“แค่วันเดียวน่า คลายแรงหน่อยกูหายใจไม่ออก”

ฟู่…ค่อยยังชั่ว

“เมื่อไหร่”

“อะไรนะ?”

“จนถึงเมื่อไหร่”

“ในฐานะที่กูเป็นฝ่ายผิดเหมือนกัน จะให้มึงเลือกเวลาสิ้นสุดแล้วกัน แต่ต้องเป็นหลังพระอาทิตย์ตก…”

พูดดักคอไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็พูดสวนกลับมาทันที

“หกโมงเย็น”

นั่นไง ถ้าไม่พูดดัก มันคงบอกเที่ยงวัน ไม่ก็หกโมงเช้าแหงๆ

“งั้นเริ่มตั้งแต่ตอนนี้เลยแล้วกัน”

“มึงบอกว่าพรุ่งนี้”

“ถ้างั้นอาจต้องเลื่อนเวลาจนถึงเที่ยงคืนอีกวัน”

พาร์ปล่อยผมทันที หมุนตัวหันหลังให้ “งั้นเริ่มตอนนี้”

“เดี๋ยวกูเอาฟูกนอนลงมาให้ มึงไปนอนห้องรับแขกแล้วกัน”

ก่อนผมจะเปิดประตูออกไป พาร์กลับพูดทิ้งท้ายเสียงจริงจัง

“ถ้าถึงเวลาแล้วมึงไม่ลงมา กูจะขึ้นไปตามถึงที่”

หลังขนฟูกนอนสำรองจากชั้นสองลงมาให้พาร์ พร้อมหมอนกับผ้าห่ม ช่วยปูให้เสร็จสรรพ เพราะมันน่าจะทำไม่เป็น ผมก็กลับขึ้นชั้นสอง เลี้ยวมองประตูห้องอาบน้ำที่ยังปิดอยู่ พาร์ยังไม่ออกมาเลยครับ ประตูกำลังเลื่อนเปิดเล็กน้อยผมรีบวิ่งขึ้นบันได แอบส่องดูจากชั้นสองเห็นแผ่นหลังคนเดินหงอยพอดี

ผมรีบก้มหลบแทบไม่ทันเมื่อคนข้างล่างเงยหน้าขึ้นมามอง สักพักก็ได้ยินเสียงฝีเท้าไปทางห้องรับแขก ผมพ่นลมหายใจลุกเดินไปชั้นสาม

ทำไมรู้สึกผิด?

คิดแล้วก็เสยผมอย่างลำบากใจ รู้สึกเห็นแก่ตัวชอบกล แต่พอเข้าสู่อาณาเขตคุ้นเคยของตัวเอง ผมกลับค่อยๆ สงบใจลงได้ทีละนิด

ขอเห็นแก่ตัวสักช่วงเวลาหนึ่งนะครับ

-------------

บอกพาร์ว่าจะอยู่ชั้นสาม แต่ในความเป็นจริงกลับทำไม่ได้

ผมไขกุญแจประตูเชื่อมบ้านแฝดจากห้องทำงานชั้นสองเดินทะลุไปอีกด้านหนึ่งเป็นว่าเล่นตั้งแต่เช้า

ทั้งไปอาบน้ำ (ห้องน้ำสำหรับให้คนมาฝึกใช้) เดินออกนอกบ้านแวะทักทายลูกศิษย์ของทากะซังที่อยู่บ้านข้างๆ ตอนแรกว่าจะขอยืมจักรยานไปซื้อของกิน แต่กลายเป็นว่าได้กินข้าวที่นั่นแทน ทางนั้นใจดีครับให้กินเต็มที่ พอบอกว่าที่บ้านมีอีกคนก็ใส่ถุงมาให้

กลับมาถึงก็ย่องเอาอาหารวางบนโต๊ะกินข้าวเงียบๆ โดยไม่แวะทักคนที่น่าจะยังหลับอยู่

พวกหนังสือเรียนกับชีท พาร์เอามาวางกองไว้ให้ที่บันได ผมก็อาศัยจังหวะนี้รีบขนขึ้นข้างบนจนเหนื่อย สุดท้ายก็วางทิ้งไว้ตรงพื้นที่นั่งเล่นชั้นสอง นั่งอ่านหนังสืออยู่แถวนั้นแทน

ช่วงกลางวันผมได้ยินเสียงออด แว่วเสียงคุ้นหูคุยกัน ผมลองส่องดูชั้นล่าง

อ้อ พี่ข้างบ้านเอาอาหารกลางวันมาให้

สักพักใหญ่ได้ยินเสียงช้อนเคาะกับจานเป็นสัญญาณ…เหมือนเรียกแมวมากินข้าวไม่มีผิด ผมรอสักพักใหญ่ค่อยก้มมองชั้นล่าง มีจานข้าววางอยู่ใบพร้อมขวดน้ำเปล่า มองซ้ายมองขวาเห็นทางโล่งลงมานั่งกิน (จะได้ไม่ต้องยกจานขึ้นๆ ลงๆ) หมดจานก็หยิบแค่ขวดน้ำขึ้นชั้นบน

วันเวลาหมดไปกับการอ่านหนังสือสอบตามลำพัง กว่าจะถึงช่วงเวลาที่กำหนดไว้ ใจผมก็สงบขึ้นเยอะแล้ว อาจเพราะบ้านหลังนี้ด้วยล่ะมั้ง 

ในบรรดาบ้านทั้งสามหลัง ผมโตมากับบ้านใหญ่ของคุณย่าครับ อยู่ที่นั้นมากที่สุด จนกระทั่งคุณย่าจับได้ว่าทากะซังเป็นแฟนลุงนิก ในฐานะที่ลุงนิกเป็นผู้ปกครองเลยสามารถหิ้วผมออกจากบ้านใหญ่มาอยู่ที่นี่ได้ คุณย่าที่พิโรธอยู่แล้วเลยยิ่งโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ พลอยทำผมโดนโกรธไปด้วย เพราะส่ายหน้าไม่ยอมกลับหลังคุณย่าแอบให้คนขับรถมาจอดดักเจอผมที่โรงเรียนเพื่อพากลับบ้านใหญ่ ที่จริงผมก็อยากไปนะ แต่ลุงนิกขอไว้ เห็นว่าเป็นแผนไม่รับลูกสะใภ้ก็อย่าหวังจะได้เจอหลานชาย

เป็นสงครามเย็นที่เด็กอย่างผมลำบากใจที่สุด

ผมอยู่ที่บ้านแฝดถึงสี่ปี ระหว่างนั้นก็มีไปนอนบ้านพ่อบ้าง จนลุงนิกต้องไปทำงานที่สาขาต่างประเทศ (ผมคิดว่าเป็นแผนแยกลุงนิกกับทากะซังของคุณย่า และเป็นแผนของคุณปู่ที่เลือกประเทศเปิดเสรีทางเพศเป็นที่ตั้งบริษัทสาขา แถมเอื้อให้ลุงนิกกับทากะซังไปจดทะเบียนกันได้ด้วย ไม่รู้ว่าตอนนี้คุณย่าเปิดใจรับเรื่องนี้ได้มากน้อยแค่ไหน) บวกกับทางบ้านพ่อมีเรื่องน้องสาวน้องชายเข้ามา ทากะซังก็ไปๆมาๆ ต่างประเทศบ่อยขึ้น ผมเลยได้ไปอยู่บ้านพ่อจนถึงปัจจุบัน

“ที”

ผมหลุดจากภวังค์ มองคนที่พึ่งโผล่มาชั้นสอง เข็มนาฬิกาหยุดที่เลขหกกับเลขสิบสองพอดีเป๊ะ ยังไม่ทันอ้าปากพูดอะไรพนักเก้าอี้แบบนั่งติดพื้นปรับระดับได้ก็โดนกดซะราบ พาร์นั่งซ้อนด้านหลังดึงตัวผมไปกอด ซุกหน้ากับไหล่ นั่งเงียบๆ ไม่พูดไม่จา

เลียนแบบน้องอันชัดๆ

ผมพึ่งนึกออกว่ายังไม่ได้โทรกลับบ้านก็ตอนนี้ ถ้าโทรต้องกดเข้าเบอร์มือถือ เพราะพ่อแม่คงพาน้องๆ ไปเที่ยวข้างนอก มุขเดิมที่ใช้ได้ผลเสมอเวลาเด็กหญิงวาริร้องไห้เรียกหาพี่ชาย ผมตบแขนที่กอดรอบเอวเบาๆ

“ไปหาอะไรกินนอกบ้านกัน”

พาร์ส่ายหน้ากับไหล่ผม

“งั้นมื้อเย็นจะกินอะไร ไปรบกวนพี่ข้างบ้านตลอดคงไม่ดี”

มีแต่ความเงียบตอบกลับมา ผมลอบถอนหายใจ ตอนนี้ปล่อยให้กอดจนหน่ำใจก่อนดีกว่า

กลายเป็นว่าลูกศิษย์ทากะซังแวะเอาข้าวเย็นมาฝาก เพราะเห็นพวกผมไม่ได้ออกไปไหน

“ขอบคุณมากครับ วันนี้รบกวนถึงสามมื้อเลย” ผมพูดอย่างเกรงใจ

“ไม่เป็นๆ” พี่แกยิ้มให้อย่างใจดี ขยี้หัวผมจนยุ่งเหมือนสมัยก่อน “ตั้งใจอ่านหนังสือสอบเข้าล่ะ”

กลับเข้าบ้านก็ต้องผงะกับสายตาจ้องจับผิด

“อ…อะไร”

พาร์ไม่พูดอะไรเลย แค่ยื่นมือช่วยจัดผมให้เข้าที่เข้าทาง แย่งถุงข้าวในมือไปเทใส่จานให้เสร็จสรรพ

…เหมือนพาร์เปลี่ยนไปนิดหน่อย ผมรู้สึกอย่างนั้นนะ

หลังตักข้าวเข้าปากไปหลายคำ ก็เหล่มองคนนั่งตรงข้ามที่กินไปมองผมไป ช่วงล้างจานหลังกินเสร็จก็มองมาตลอด เดินไปไหนก็ตามติด ดีที่ไม่ตามไปถึงห้องน้ำ แต่ก็ออกมาก็เจอยืนเฝ้าอยู่ด้านหน้าไม่ไปไหน ทำผมอึดอัดใจสุดๆ

“เอ่อ พาร์…ไปชั้นสามกันไหม?”

ไม่มีคำตอบ ไม่ต้องลาก แค่เดินนำ อีกฝ่ายก็ตามมาแล้ว กะว่าเอาของล่อใจชั้นสามทำให้พาร์ห่างผมสักหน่อย พาร์หันมองของพวกนั้นด้วยแววตาสนอกสนใจ แต่พอผมเดินหลบไปที่อื่นก็รีบตามมาแล้ว   

“ไม่อยู่ดูรูปกูแล้ว?”

“ไม่เอา”

แผนแรกพลาด หยิบแผนสองมาใช้ต่อ จับพาร์มานั่งหน้าทีวีติดฝาผนัง เลือกแผ่นซีดีของรักของหวงลุงนิกมาเปิดให้พาร์ดู แอบพยักหน้าพอใจหลังเห็นว่าได้ผล ค่อยๆ เขยิบออกห่างทีละนิดๆ จนสามารถมาชั้นล่างได้โดยไม่ถูกตาม

เฮ้อ…ค่อยยังชั่วหน่อย

แต่ก่อนได้เปิดประตูบ้านเอาขยะไปทิ้ง แรงหนักๆ กลับโถมเข้าใส่ทางด้านหลังจนเกือบหน้าทิ่ม มันลากผมกลับเข้ามาด้านใน ประตูถูกดึงปิด

“จะไปไหน?”

“…เอาขยะไปทิ้ง” ผมชูของในมือให้มันเห็น

พาร์คว้าถุงขยะเดินออกไปทิ้งเอง ก่อนลากผมขึ้นชั้นสาม กดให้นั่งหน้าทีวีก่อนโดนกอดจากข้างหลังล็อกไม่ให้หนีไปไหน ภาพในจอเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง

“เดี๋ยว” ผมแย่งรีโมตมากดหยุด “จะเอากูมานั่งดูด้วยทำไม”

ไม่มีคำตอบ

“กูดูจนเบื่อแล้ว มึงดูคนเดียวเถอะ”

ผมแกะมือพาร์ออกจากตัว ส่งรีโมตให้ ลงบันไดแค่ครึ่งทางก็โดนเรียก จำต้องขึ้นมาใหม่ ปรากฏว่าพาร์กดปิดเครื่องเล่นเก็บแผ่นซีดีลงกล่อง ชูให้ผมดู

“เก็บไว้ตรงไหน”

ผมเลิกคิ้ว “ไม่ดูแล้ว?”

“ไม่”

หลังเอากล่องซีดีไปเก็บคืนที่ มาชั้นสองอ่านหนังสือก็โดนตามติด ผมกรอกตามองเพดานห้อง รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนักโทษที่มีผู้คุมตามดูพฤติกรรมทุกฝีก้าว

“เอ่อ ไม่อ่านหนังสืออ่ะ?”

พาร์มองผม ก่อนลุกขึ้น ลงบันไดไปข้างล่าง แปบเดียวก็หอบบรรดาชีทกับหนังสือที่ต้องใช้อ่านสอบขึ้นมานั่งเบียดใกล้ๆ ผมชักหงุดหงิด

“มาเบียดทำไม พื้นที่ว่างมีตั้งเยอะ”

“แต่มันไม่มีที”

ผมชะงักกึก หันมองคนพูด แววตาดูจริงจังมาก “…มึงติดกูมากไปหรือเปล่า?”

พาร์นิ่งเงียบ แต่ยอมถอยห่างไปเป็นเมตร

ประชดกันใช่ไหม?

ผมขมวดคิ้วนั่งอ่านหนังสือไปชำเลืองมองอีกฝ่ายไปอย่างไม่ค่อยมีสมาธิ เคยรู้สึกแบบนี้ไหมครับ ประมาณว่าน้องหมาในบ้านกำลังเฉาตาย เพราะเจ้าของไม่สนใจ ไม่มีเวลาดูแล หรือกำลังยุ่งกับงานจนเล่นด้วยไม่ได้…ตอนนี้ผมรู้สึกแบบนั้นเลย

“พาร์”

คนโดนเรียกเงยหน้ามอง แววตาเศร้าหมองน่าสงสาร

“อุ้มหนังสือมานั่งหันหลังตรงนี้”

ผมชี้นิ้วใส่พื้นห่างจากผมไปหน่อยเดียว ไม่ต้องให้พูดซ้ำก็รีบหอบหนังสือตรงมาทันที ผมถอนหายใจขยับตัวบ้าง ลากกองหนังสือมาวางใกล้ๆ ก่อนหันหลังพิงกับหลังพาร์ รู้สึกถึงแรงสะดุ้ง

“ต่อไปอยากอยู่ใกล้ๆ ก็ทำแบบนี้ดีกว่าจ้องมอง เดินตาม นั่งเบียด หรือบังคับให้อยู่ด้วย”

“พิงหลังน่ะเหรอ”

“ไม่เชิง ความหมายจริงๆ คือ ถ้าอยากอยู่ข้างๆ ก็ช่วยเว้นพื้นที่ให้หายใจบ้างอะไรบ้าง นึกภาพไม่ออกก็ทำแบบเมื่อก่อนเอา”

“…มันไม่มีอะไรเหมือนเดิมหรอก”

“มึงกำลังรน เพราะกลัวโดนกูทิ้งน่ะสิ”

ไม่มีคำเถียงกลับมา พาร์จะเถียงผมไปทำไมในเมื่อพฤติกรรมโคตรฟ้อง

ผมถอนหายใจเบาๆ “ถ้าจะไป กูจะบอกตรงๆ”

“…เหมือนเมื่อวาน”

“พูดตรงกว่าเมื่อวานอีก สำหรับกู พูดตรงดีกว่าพูดอ้อม ยิ่งประเภทให้ตีความเอาเองยิ่งแย่ เกิดแปลความผิด ปัญหาที่ควรจะจบก็ค้างคา เกิดความหวังนู้นนี่ สุดท้ายก็ต้องมาเจ็บหนักกว่าเดิมนี่ไม่ไหวนะ สู้เจ็บครั้งเดียวจบ แล้วให้เวลาเยียวยาจนลุกขึ้นมาเริ่มต้นใหม่ แบบนี้ดีกว่าตั้งเยอะ”

“ถ้าถามตรงๆ จะตอบไหม?”

“ตอบ”

“เกลียด…กูไหม”

“ไม่”

“แล้ว…ชอบล่ะ”

“ถ้าแบบเพื่อนน่ะใช่ ถ้ามากกว่านี้…ยังไม่แน่ใจ”

“แล้ว…จูบเมื่อวานล่ะ” เหมือนคนข้างหลังตัวเกร็งไปหมด “รู้สึกยังไง”

“แย่” ผมถอนหายใจ “กูรู้สึกถึงการบังคับ อยากเอาชนะ มันใกล้เคียงกับจูบแย่ๆ ในความทรงจำของกูมาก แต่จะโทษมึงฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ เพราะกูเล่นมากไปด้วย”

“แล้ว…ถ้ากรณีที่กูบังคับมึงด้วยตัวเอง ไม่เกี่ยวกับโดนยั่วโมโหล่ะ”

“มึงคงโดนถีบออกจากชีวิตกู”

“…ไม่มีโอกาสแก้ตัว?”

“ต้องดูก่อน ถ้ามีคงยากกว่าครั้งแรก กว่าจะตะเกียดตะกายกลับมายืนในจุดเดิมได้ กูอาจเปิดโอกาสให้คนใหม่ไปแล้วก็ได้”

เกิดความเงียบขึ้นระหว่างกัน มีเพียงเสียงพลิกหน้ากระดาษดังขึ้นเป็นระยะเท่านั้น 

-------------

จมูกขยับ ดมฟุดฟิดในอากาศ…หอมกลิ่นอาหารเช้าของทากะซัง

ผมลืมตาขึ้นในห้องนอนชั้นสามแบบเบลอๆ กวาดมองไปทั่วห้องภายใต้แสงสว่าง เอื้อมมือขึ้นเหนือหัวควานหานาฬิกาปลุกสะเปะสะปะ เจอแล้วหยิบมาดูเวลา แปดโมงสิบห้า…ตาเปิดกว้างลุกพรวดอย่างตกใจ

“ซวยล่ะ โรงเรียนเข้าแล้ว…เอ๊ะ”

ผมขยี้หัวมึนๆ มองแขนที่พาดเอว ห้องนี่ผมอยู่คนเดียว แล้วไอ้นี่เป็นใครมาจากไหน ไม่สิ ผมเข้ามหาลัยแล้วนี่หว่า ลูบหน้าเรียกสติให้กลับมา นึกไม่ถึงว่าจะเบลอหนักถึงขั้นนึกว่าตัวเองเป็นเด็กประถมตอนปลาย

ดมฟุดฟิดในอากาศอีกครั้ง กลิ่นคุ้นเคยอย่างน่าฉงน หรือผมคิดถึงอาหารเช้าฝีมือทากะซังมากเกินไปเลยหลอนได้กลิ่นขึ้นมาจริงๆ ด้วยความติดใจเลยลุกขึ้นก้าวข้ามพาร์ที่ควรนอนฟูกข้างๆ แต่สงสัยโรคติดกอดหมอนข้างกำเริบถึงได้มามุดนอนฟูกเดียวกับผมเฉย

ลงมาถึงชั้นสอง กลิ่นอาหารเช้าตลบอบอวนไปหมดเหมือนทุกครั้ง แปลก นี่ผมกำลังฝันซ้อนฝันหรือเปล่า ลองดึงแก้มจนยืด เจ็บมาก ไม่ใช่ฝัน

งั้นกลิ่นอาหารพวกนี้มาจากไหน? ในเมื่อคนทำป่านนี้คงซ้อมตอนเช้าอยู่ที่โรงฝึกในญี่ปุ่นนู้น

ผมรีบชักเท้ากลับก่อนเหยียบย่างลงบันไดไปชั้นล่าง เพ่งมองคนหน้าคุ้นแสนคุ้นกำลังนั่งยกแก้วดื่มอะไรสักอย่างที่โต๊ะกินข้าว อีกมือถือนิตยสารภาษาอังกฤษ สักพักคนแสนคุ้นหน้าอีกคนก็เดินเข้ามาวางจานอาหารเช้าไว้บนโต๊ะสามที่ คนนั่งอยู่ถือโอกาสคว้าข้อมือคนกำลังเดินผ่านให้ก้มลงมา ขโมยหอมแก้มขอบคุณคนทำอาหารไปฟอดใหญ่แต่เช้า ผมรีบขยี้ตาไล่ภาพที่มักเห็นประจำทุกเช้าออกไป ก่อนลืมตาขึ้นมาใหม่

ยังอยู่!

เฮ้ย! นี่ผมหลอนถึงขั้นเห็นลุงนิกกับทากะซังได้ไงเนี่ย?!

“ที” ผมสะดุ้งโดนลุกนิกเรียก “ตื่นแล้วก็รีบลงมากินข้าว…”

ผมต่อประโยคที่เหลือทันที “เดี๋ยวไปโรงเรียนสาย โดนทำโทษไม่รู้ด้วย”

คนข้างล่างเงียบกริบ ก่อนระเบิดเสียงหัวเราะออกดังลั่น

“ดูเหมือนเจ้าหนูของเรายังไม่ตื่นนะ”

“ไปล้างหน้าก่อนไป๊”

โอ๊ย! อะไรจะสมจริงขนาดนี้!! หรือผมโดนผีหลอกตอนเช้า ผีเรอะ!

“แว๊กกก!!”

ผมแหกปากร้องลั่นบ้านด้วยความเครียดถึงขีดสุดกับการตื่นมาหลอนเห็นฉากชีวิตประจำวันสมัยเด็ก แว่วเสียงประตูกระแทกอย่างดังจากชั้นบน สักพักมีเสียงวิ่งลงบันได ตามด้วยเสียงร้องเรียกจากข้างหลัง ผมรีบโผไปหาคนพึ่งมาใหม่ เพราะมั่นใจว่ารายนี้เป็นคนแน่ๆ

พาร์รีบกอดตอบผม ถามหน้าตาตื่น “เป็นอะไร”

“ผี…”

“อะไรนะ?”

“กูเห็นผี ไม่สิ กำลังประสาทหลอนอยู่ชัดๆ”

“ฮะ?”

สองคนที่อยู่คนละประเทศซีกโลกจะมาอยู่ที่นี่ ตอนนี้ ในเวลาแบบนี้ได้ยังไง

เพล้ง!

พาร์ที่กำลังกอดผมทำหน้าตกใจ ดันผมไปด้านหลัง เอ่ยถามสองคนข้างล่างเสียงดุดัน

“พวกคุณเป็นใคร?”

หือ? เห็นด้วยเหรอ?

ผมค่อยๆ ชำเลืองมองข้างล่าง แก้วในมือลุงนิกหายไปแล้ว คาดว่าใบที่แตกกระจายบนพื้นส่งกลิ่นกาแฟหอมฟุ้งกระจายไปทั่วคือใบที่เคยอยู่ในมือลุงมาก่อน เจ้าของแก้วกาแฟกำลังยกนิ้วสั่นๆ ชี้ตรงมา ทั้งเสียงทั้งแววตาห้วนดุจัด

“ฉันต่างหากที่ต้องถาม! แกเกี่ยวข้องอะไรกับลูกชายฉัน?!”

############

ออฟไลน์ jimmyjimmy

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1966
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-17
Re: - ชลนที - [บทที่29] P.10 (21/11/2016)
«ตอบ #274 เมื่อ21-11-2016 21:30:17 »

พ่อตา กะ ลูกเขย เจอกันแล้วเว้ย

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
Re: - ชลนที - [บทที่29] P.10 (21/11/2016)
«ตอบ #275 เมื่อ21-11-2016 22:40:47 »

เอาล่ะสิ เช้ามาเจอลูกชายพาผู้ชายมานอนที่บ้าน ลุงนิคจะทำยังไง 555

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
Re: - ชลนที - [บทที่29] P.10 (21/11/2016)
«ตอบ #276 เมื่อ22-11-2016 00:09:51 »

อุ้ต้ะ!! จะหมี่เหลืองมั้ย

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: - ชลนที - [บทที่29] P.10 (21/11/2016)
«ตอบ #277 เมื่อ22-11-2016 06:59:15 »

ความทรงจำโหดร้าย ที่โดนทำร้าย
เกือบถูกข่มขืนตอนเด็กของที ยังฝังอยู่ในหัวที
พาร์ ช่วยทำให้อดีตเลวร้าย หายไปจากที ด้วยเถอะ
ลุงนิก กับทากะซัง กลับมาแล้วสิ
ลุงนิก น่าจะหวงลูกชายที มากกกกกก
แถมมีหนุ่มรูปหล่อกอดทีอีกซะด้วย
พาร์ แสดงออกถึงความรักที ไเลย
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
 

ออฟไลน์ EoBen

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3322
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-6
Re: - ชลนที - [บทที่29] P.10 (21/11/2016)
«ตอบ #278 เมื่อ22-11-2016 09:11:08 »

มาอยุ่บ้านเค้ายังคืดว่าคนอื่นเป็นขโมยอีก 5555

แถมไปกอดลูกชายเค้าด้วย

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
Re: - ชลนที - [บทที่29] P.10 (21/11/2016)
«ตอบ #279 เมื่อ22-11-2016 10:21:29 »

ความทรงจำนั้นต้องแย่มากแน่ๆ  แต่ๆๆๆ ลุงนิกกะทากะมาแป๊บเดียว ไมดาเมจสูงนัก ฉากดึงข้อมือลงมาหอมนั่น.... #ตายไปเร้ย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: - ชลนที - [บทที่29] P.10 (21/11/2016)
« ตอบ #279 เมื่อ: 22-11-2016 10:21:29 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: - ชลนที - [บทที่29] P.10 (21/11/2016)
«ตอบ #280 เมื่อ22-11-2016 10:37:37 »

พาร์ติดทีมากเลยอ่ะ 5555555 แถมลุงนิกกับทากะซังก็กลับมาแล้วด้วย พาร์แย่แน่ๆ 55555

ออฟไลน์ Roman chibi

  • Death is not the end. Death can never be the end. Death is the road. Life is the traveller. The soul is the guide.
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-3
Re: - ชลนที - [บทที่29] P.10 (21/11/2016)
«ตอบ #281 เมื่อ22-11-2016 11:26:41 »

พาร์หลงทีอย่างแรงอย่างเต็มที่แล้ว สนุกมากๆ   
พ่อนิกท่าจะหวงน่าดู :hao7:

ออฟไลน์ rinny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 517
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: - ชลนที - [บทที่29] P.10 (21/11/2016)
«ตอบ #282 เมื่อ22-11-2016 21:40:14 »

ทีนี่ดวงดีจริงๆ ร้อยวันพันปีลุงนิคกับทากะซังก็ไม่มา พอทีแอบพาผู้ชายเข้าบ้านปุ๊บก็โดนจับได้ปั๊บ อะไรมันจะเป๊ะปานนั้น
นี่ไม่รู้ว่าจะขำหรือสงสารพาร์กับทีดีเนี่ย 55555 ดูๆแล้วลุงนิคต้องห่วงโหดมากแน่นอน พาร์ต้องสู้นะ ชนะใจลุงนิคให้ได้นะ

ออฟไลน์ Maylita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-1
Re: - ชลนที - [บทที่29] P.10 (21/11/2016)
«ตอบ #283 เมื่อ23-11-2016 00:17:42 »

 :-[ :-[ :-[ :o8: :o8: :o8:

ทีของเค้ามีปมฝังใจ หวังว่าคนคนนั้นๆจะเป็นพาร์ที่เข้ามาทำให้ทีมีความสุข
เราชอบทีนะ หลายๆอย่างทั้งความคิด การกระทำ คำพูดบอกให้รู้ว่าทีโตเกินกว่าจะเป็นเด็กที่เรียนมหาลัย
พาร์ก็พร้อมที่จะยอบรับฟังและรอคอย คอยสนับสนุน นี่มันพ่อบ้านใจกล้าชัดๆ

หวังว่าความรักของทั้งสองจะค่อยๆพัฒนา ช่วยกันรดน้ำ พรวนดิน จากต้นกล้าน้อยๆวันนี้
วันหน้าจะเป็นต้นไม้ใหญ่แห่งความรัก มีไว้ให้พักพิงและเยียวยาบาดแผล มอบความสุขให้คนทั้งคู่
โอ๊ยน้ำตาจะไหล อ่านไปก็ละมุนีหัวใจ เดาว่านี่เกือบครึ่งทางแล้ว เห็นคนเขียนว่ามี 60 ตอนรอลุ้นที่เหลืออีกครึ่ง
อย่ามาม่ามากนะคะ แค่นี้ชีวิตก็ชีช้ำแล้วค่ะ รอตอนต่อไป ขอคุณคนเขียนค่ะ

 :hao5: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
Re: - ชลนที - [บทที่30] P.10 (28/11/2016)
«ตอบ #284 เมื่อ28-11-2016 18:09:16 »

บทที่ 30

“ตัวจริงเหรอเนี่ย?”

ผมงึมงำขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ คนข้างหน้าผมคงได้ยินชัดถึงได้ส่งเสียงกระซิบถาม

“ใคร?”

“พี่ชายพ่อ ผู้ปกครองกู”

“แล้วอีกคน?”

“คู่แต่งงานลุงนิก ผู้ปกครองเหมือนกัน”

พาร์ทำหน้าแปลกๆ “เทียบเท่าพ่อแม่มึง?”

“ยิ่งกว่า…พวกเขาเลี้ยงกูมา สิทธิ์ของกูอยู่ที่พวกเขา”

“จริงดิ?”

“เออ”

“แล้ว…พ่อแม่มึงล่ะ?”

“พวกเขายกกูให้ลุงนิกตั้งแต่เกิด” 

“ยก? ยกให้แบบไหน?”

“ก็แบบจดทะเบียนรับรองเป็นบุตรบุญธรรม ตามกฎหมายลุงนิกเลยเป็นพ่อกู”

พาร์ขมวดคิ้วพึมพำ “ครอบครัวมึงนี่ซับซ้อนชะมัด”

ก่อนหน้านี้พาร์ก็เคยพูดอะไรคล้ายๆ แบบนี้

ผมถอนหายใจเบาๆ “เดี๋ยวมึงก็ชิน…”

ปึง!

ผมสะดุ้งตกใจกับเสียงตบโต๊ะ หน้าลุงดำทะมึนยิ่งกว่าเดิม 

“จะซุบซิบอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม!”

ผมมองหน้าลุงนิกที หน้าพาร์ที คนยืนใกล้ผมเริ่มเหงื่อตก ท่าทางประหม่าอย่างเห็นได้ชัด

“ลงมากันได้แล้ว!”

ได้แต่ทำตามครับ ผมลากพาร์ลงมาจากชั้นสอง มองลุงนิกชี้นิ้วให้พวกผมนั่งฝั่งตรงข้าม หลังหย่อนก้นนั่งเรียบร้อย ก็ต้องเจอสายตาจ้องกดดันจากลุงนิก เรียกเหงื่อเม็ดใหญ่ๆ ไหลอาบแก้ม

“แนะนำ ‘เพื่อน’ ให้ลุงรู้จักหน่อย”

ผมสะดุดหูกับคำเน้นย้ำว่าเพื่อนสุดๆ…นี่ผมคิดไปเองหรือเปล่า เหมือนลุงบังคับให้พาร์ต้องอยู่ในสถานะเพื่อนเท่านั้นเลย

“เป็นอะไรเจ้าที แนะนำเพื่อนสิ”

“เอ่อ…” ผมอึกอักอย่างลำบากใจ “เขาชื่อ…”

ลุงพูดแทรก “ทุกทีเราแนะนำเพื่อนยังไงหืม?”

“…เพื่อนทีชื่อภควัติครับ”

“ชื่อเล่นไม่มีหรือไง”

ผมเม้มปาก “มี แต่ทีไม่อยากบอก”

“เจ้าที!”

สถานการณ์บนโต๊ะอาหารตึงเครียดถึงขีดสุด พลันโดนทำลายด้วยเสียงหัวเราะจากคนกำลังเก็บกวาดเศษแก้วกาแฟ

“หัวเราะอะไรทากะ”

“ขำใครบางคน เพราะไปจีบลูกชายชาวบ้านก่อน พอมีลูกชายเลยโดนคนอื่นมาจีบบ้าง แบบนี้สินะที่คนไทยเรียกว่ากรรมตามสนอง”

“ทากะ!”

“ฉันพูดผิดตรงไหน?”

“ทากะ” เสียงเรียกครั้งที่สองอ่อนลงเหมือนเหนื่อยใจ

ตาผมแอบหัวเราะบ้าง นี่แหละตัวช่วยปราบลุงชั้นเลิศ

“เผลอๆ ลูกชายเราไปจีบเขามากกว่ามั้ง”

ผมสำลักน้ำลายทันทีกับข้อสันนิฐานจากทากะซัง ลุงนิกมองเป็นเชิงถามก็รีบส่ายหัวปฏิเสธ

ทีไม่ได้ทำ!

“ถ้าไม่ใช่ ก็คงเปิดโอกาสให้อยู่ล่ะมั้ง เพราะถ้าลูกชายไม่สนใจ ไม่มีทางได้มาอยู่ใกล้ๆ หรอก โดนส่งไปนอนโรงพยาบาลนานแล้ว”

“ทาจัง!”

“ทาจังพูดผิดตรงไหนล่ะ?”

ผมเม้มปากกับแววตารู้ทันที่ส่งมา

เสียงในลำคอไม่พอใจส่งตรงจากลุงนิก ผมโดนจ้องคาดโทษจนคอหด รีบเลื่อนเก้าอี้เผ่นหนีไปกอดคนที่เดี๋ยวนี้ตัวเล็กกว่า

จ้องมาเลย! เอาซี่! ผมมีป้อมปราการสุดแกร่งอยู่ตรงหน้าเชียวนะ

ได้ผลครับ เพราะลุงนิกย้ายสายตาไปทางพาร์แทนด้วยแววตาน่ากลัวกว่าเดิมหลายเท่า จนคนโดนจ้องเหงื่อซึมตัวเกร็งไปหมด   

“หึๆๆ กล้าดีนี่ไอ้หนู! คิดฉกลูกจิ้งจอกแสนสวยของฉันถึงในถ้ำเชียวหรือ”

ดูพูดเข้า ผมกรอกตามองเพดานอย่างเบื่อหน่าย

เพราะนามสกุลของทากะซังมีอักษรตัวหนึ่งหมายถึงสุนัขจิ้งจอก ลุงเลยแทนครอบครัวเราเป็นจิ้งจอกพ่อแม่ลูก ส่วนถ้ำหมายถึงบ้าน…ก็เปรียบเปรยตรงตัว กล่าวกระทบพาร์ทางอ้อมหาว่าจะขโมยลูกตัวเองนั่นแหละครับ (ลุงเล่นแปลงมาจากสุภาษิต ‘ไม่เข้าถ้ำเสือแล้วไยจะลูกเสือ’ น่ะ)

“จิ้งจอกแสนสวย…”

พาร์ทวนคำ สายตาเลื่อนมองผมอย่างสำรวจ ก่อนเม้มปากเบือนหน้าหนี ไม่ได้สนใจเลยว่าพ่อจิ้งจอกส่งสายตาพิฆาตหนักกว่าเดิม ถ้าสมมุติบ้านผมเป็นจิ้งจอกแปลงกายมาจริง คาดว่าตอนนี้พาร์คงโดนขย้ำกลืนลงท้องลุงนิกไปแล้วแหงๆ

“กลับบ้านไปเลยไอ้หนู! ตอนนี้เป็นเวลาของครอบครัว”

“…กลับไม่ได้ครับ”

“เจ้าของบ้านไล่กลับอยู่นี่ไง!”

“ทาจัง ลุงนิกเกเรล่ะ ปราบเลยๆ”

“เจ้าที!”

“ลุงไล่พะ…เอ่อ ภควัติไปไม่ได้หรอก เพราะตอนนี้เขาอยู่ในความดูแลของที”

ลุงนิกทำหน้าสงสัย “หมายความว่าไง”

“พ่อแม่เขาฝากมาน่ะ นอนห้องเดียวกับทีมาหลายอาทิตย์แล้ว”

ลุงตบโต๊ะเสียงดังสนั่นจนผมแอบเบ้หน้า รู้สึกเจ็บมือแทน

“สารภาพมาซะดีๆ ไอ้หนู! แกถึงขั้นไหนกับลูกฉันแล้ว!!”

“ลุกนิก!”

“…จูบครับ”

“เฮ้ย!!”

“อะไรนะ?!”

ผมกับลุงนิกประสานเสียงอุทาน พร้อมใจกันเขม็งมองไอ้คนสารภาพตามตรง แต่คนที่ทั้งโดนพ่อจิ้งจอกจ้องคาดคั้นกับลูกจิ้งจอกจ้องคาดโทษกลับดูสงบเกินคาด

“ทั้งจูบทั้งกอดไปแล้วครับ”

ผมเผยปากค้างไปแล้วกับความกล้าหาญที่โคตรมาไม่ถูกจังหวะอย่างยิ่ง ก่อนรีบหลบสายตาคาดโทษของพ่อจิ้งจอกด้วยการก้มหน้าซุกกับไหล่คนตัวเล็กกว่า

ถึงจะเป็นความจริง แต่ไม่ใช่แบบที่ลุงคิดซะหน่อย 

ท่ามกลางความอึกครึมระดับแม็กซ์ กลับมีเสียงหัวเราะชอบอกชอบใจดังขึ้นมา…ดุจมีแสงสว่างลอดผ่านเมฆหมอกหนาทึบเลยล่ะ

“ตรงดีนะ คนนี้ทาจังให้ผ่าน”

“ทากะ!”

“เอาน่า ทีโตขนาดนี้แล้วจะมีคนคบหาดูใจหรือมีแฟนก็ไม่เห็นแปลกตรงไหน”

“แต่ทียังเด็กเกินกว่าจะมีแฟนเป็นผู้ชาย!”

ทากะซังเลิกคิ้ว “เด็กเดี๋ยวนี้โตไวจะตาย ห้ามไม่ได้หรอกนะนิก สำหรับผู้ใหญ่อย่างเราทำได้แค่ให้คำแนะนำอย่างเหมาะสม อย่างเช่น ต่อจากนี้ห้ามทำเรื่องเกินเลยจนกว่าจะอายุยี่สิบขึ้นไป อะไรแบบเนี่ย”

“ได้ครับ”

ผมหันไปแยกเขี้ยวใส่คนขานรับหน้าตาเฉย

“ยี่สิบยังน้อยไป”

“นี่มาตรฐานอายุตอนฉันเสียตัวให้นายนะนิก”

เอ๊ะ!

ผมหูกระดิกมองผู้ใหญ่ทั้งสองสลับไปมา คนหนึ่งพูดเผยความลับหน้าตาเฉย ส่วนคนโดนแฉทำหน้าสะอึกพูดแย้งไม่ออก ความสงสัยของผมโดนกระตุ้นทันที

“ลุงจีบทาจังเมื่อไหร่เหรอ?”

ก็รู้ว่าคบกันมานาน แต่ผมนึกว่าเจอกันหลังเรียนจบมหาลัยซะอีก

“ถ้าครั้งแรกก็หลังทาจังมาอยู่ไทยไม่นาน นิกคิดว่าทาจังเป็นผู้หญิงเลยมาจีบ อยู่ช่วยจนทาจังปรับตัวได้”

“เห…” ผมมองลุงนิกยิ้มๆ ถึงรู้ว่าทากะซังตามพ่อที่ได้รับการจ้างวานเป็นครูฝึกมาไทย เลยเข้าเรียนม.ปลายที่นี่ แล้วอยู่ยาวจนจบมหาลัยก็จริง แต่ผมไม่คิดว่าทั้งคู่จะได้เจอตั้งแต่ช่วงแรกๆ แบบนี้เลย

“แต่พอรู้ความจริงว่าทาจังเป็นผู้ชายดันหนีหาย หลบหน้าตั้งหลายปี มาเจอกันอีกครั้งตอนทาจังเข้ามหาลัย ทีอย่างนี้ดันทำตัวเป็นหมาหวงก้าง ตามเกาะติดไม่ปล่อย น่าหงุดหงิดมาก”

อ้าว…

“ถ้ารู้อนาคตล่วงหน้า ทาจังคงเลือกไปเรียนมหาลัยอื่น”

“ทากะ!”

“อะไร” ทากะซังตวัดมองคนเรียก ฟังจากน้ำเสียงอารมณ์ยังกรุ่นๆ สงสัยเผลอนึกถึงช่วงเวลาน่าโมโหเข้า ลุงนิกรีบหดคอ ท่าทางสงบเสงี่ยม

“ไม่มีอะไรจ๊ะ”

ลุงผมเข้าสมาคมเกลียมัวตั้งนานแล้วครับ ฮ่าๆๆ

“เจ้าหนูนี่ยังตรงไปตรงมาน่าคบกว่านิกเยอะ ลูกเลือกได้ดีทีเดียว ฉันยอมให้การสนับสนุน”

“ทากะ!”

คนโดนท้วงไม่สนใจ แถมยังปาผ้าขี้ริ้วใส่อกลุงนิก ชี้นิ้วลงพื้น

“เก็บเศษแก้วให้หมดแล้ว ลงมาเช็ดกาแฟเองเลย”

โอ๊ะโอ๋ ดูเหมือนใครบางคนจะทำทากะซังหงุดหงิด พ่อจิ้งจอกเลยต้องลงจากเก้าอี้ไปเช็ดคราบน้ำกาแฟบนพื้นเงียบๆ ดูไปก็น่าสงสาร แต่ผมดันขำ…ขำแบบไม่มีเสียงนะครับ แว่วเสียงคนข้างๆ งึมงำกับตัวเอง ฟังไม่ถนัด ได้ยินแค่คำว่า ‘อนาคต’ กับ ‘เป็นอย่าง’ นึกดูอีกทีอาจเป็นคำว่า ‘เป็ดย่าง’ ก็ได้ครับ

“ตกลงชื่อเล่นอะไร?”

ไหงวนกลับมาที่คำถามนี้ล่ะทากะซัง

“ทีพูดแล้วว่าไม่บอก!”

“ไม่ได้ถามเรา” ทากะซังส่งสายตางดออกเสียงใส่ผม หันมองพาร์อีกครั้ง “ตอบคำถามได้แล้ว”

“เอ่อ คือ…” พาร์เหลือบมองผมแล้วเงียบไป

“ถ้าไม่ตอบเรื่องสนับสนุนคงต้องยกเลิก…”

“พาร์ครับ”

ชักอยากถีบคนข้างๆ ตกเก้าอี้ ไม่ค่อยเลยวะ แต่ปัญหาคือหลังจากนี้ต่างหาก

“พา? / ภา?”

ทั้งทากะซังทั้งลุงนิก (ที่โผล่หน้าจากครัว) พูดทวนพร้อมกัน คนเอาผ้าขี้ริ้วไปซักในครัวคงแอบยืนฟังสักพักเมื่อโดนจับได้ก็ยิ้มแห้งให้ทากะซัง

“เอ่อ ชื่อคุ้นๆ นะ ว่าไหมทากะ”

“นั่นสิ สะกดยังไงล่ะ?”

ลุงเบี่ยงความสนใจได้สำเร็จ ส่วนผมส่งซิกส่ายหัวไม่ให้พาร์พูด

“เอ่อ พ.พาน-สระอา-ร.เรือ-การันต์ ครับ”

ผมชักหงุดหงิด มันเลือกเชื่อทากะซังมากกว่าผม!

“พาร์งั้นเหรอ คุ้นจริงๆ ด้วยนะ”

เมื่อความจริงมาถึงขั้นนี้ ผมได้แต่พูดแทรกทั้งที่ไม่สบตาใครเลย

“นึกอะไรออกก็ช่วยเก็บเป็นความลับให้ทีหน่อยเถอะ”

“ความลับ?”

ผู้ใหญ่ทั้งสองทวนคำ ต่างพากันครุ่นคิดเงียบๆ ปล่อยเด็กอย่างผมเหงื่อแตกพลั่กๆ

“…อ้อ เด็กคนนี้เองเหรอเนี่ย” ดูเหมือนทากะซังนึกออกก่อน

“เด็กคนไหน?”

ทากะซังเดินไปกระซิบบอกลุงนิก คนฟังเบิกตากว้าง มองเขม็งพาร์ด้วยระดับความเป็นศัตรูเพิ่มมากกว่าเก่า “ไอ้หนูคนนี้เองเรอะ เจ้าคุกกี้อะไรนั่น เจอตัวสักทีนะ! หนอย มาหลอกล่อลูกชายคนอื่นด้วยขนมอยู่ได้”

“ลุงนิก!”

ผมพยายามลากพาร์ออกจากตรงนี้ แต่ดึงเท่าไหร่มันก็ไม่ยอมขยับ 

“จะว่าไปตอนทีพูดถึงคุกกี้ช่วงแรกๆ นึกว่าพูดถึงขนม แต่ฟังไปฟังมาน่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตมากกว่า เราเดาว่าเป็นลูกหมา เพราะทีบอกว่าคล้ายเดซี่”

“ใช่” ลุงนิกกัดฟันพูด

“ทั้งที่ทีไม่ได้พูดว่าอยากเลี้ยงสักคำ แต่ใครบางคนเห็นว่าทีชอบมาก ถึงขั้นมาปรึกษาว่าจะไปขอมาให้ลูกชายดีไหมด้วยซ้ำ”

“ไม่นับ!”

“รู้สึกว่าใครบางคนรับปากลูกว่าจะไปขอให้ด้วยนี่น่ะ”

“ก็บอกว่าไม่นับไง! ใครจะไปคิดว่าคุกกี้เป็นเด็กผู้ชายกัน!!”

แววตาทากะซังพราวระยับในแบบที่ผมออกแรงดึงพาร์มากกว่าเดิม

ถ้ามึงไม่ยอมตามมา กูจะไปเองแล้วนะ!

“เพราะข้อมูลเรามีน้อยเกินไป ต้องไปขอคุกกี้จากใครยังไม่รู้เลย”

ผมปล่อยมือจากแขนพาร์ ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกห่างจากวงสนทนาทีละนิด

“ดีนะไปถามคุณพ่อก่อน แต่ขนาดโดนย้ำหลายหนว่าคุกกี้เป็นเด็กผู้ชาย นิกยังยืนยันคำเดิมว่ายังไงก็จะไปขอให้”

“ก็ตอนนั้นนึกว่าตัวผู้!! แล้วก็นึกว่าพ่อหวงลูกสาวอย่างเดซี่ ไม่อยากให้มีหมาตัวผู้ในบ้าน!”

“แล้วยังไง? สุดท้ายนิกก็ทำสัญญากับทีต่อหน้าพยานอย่างคุณพ่อกับฉัน”

“พอเถอะ…” ผมครางออกมาแผ่วเบา หลังย้ายตัวเองมาแถวบันไดได้สำเร็จ   

“ไอ้นั่นมัน…” ลุงนิกขยี้ผม “ก็พ่อเล่นปรามาสว่าฉันไม่มีทางไปขอคุกกี้ให้ทีแน่ๆ นี่หว่า”

“ใครก็ไม่รู้แนะนำให้ทีทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรเก็บไว้อีกต่างหาก รับรองกับลูกว่าไม่เบี้ยวแน่ นี่ถ้าลูกเอาสัญญาฉบับนั้นออกมา ยังไงนายก็ต้องไปขอให้อยู่ดี”

“แต่ตอนเซ็นชื่อ ฉันนึกว่าเป็นลูกหมา!”

“แล้วในสัญญามันมีคำว่าลูกหมาหรือไง มีแค่ชื่อคุกกี้ อ้อ มีชื่อพาร์อยู่ในวงเล็บข้างๆ คุกกี้ด้วยนี่น่ะ”

จบกัน! ผมขอเผ่นก่อนล่ะ!

วิ่งขึ้นบันไดจะถึงชั้นสามอยู่แล้ว ข้างล่างยังตะโกนโหวกเหวกดังมาถึงชั้นบน

“ยังไงก็ไม่ไปขอให้แน่!”

“งั้นรอฝ่ายนั้นมาขอลูกเราแทนก็ได้”

“ทากะ!”

ผมอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าภายในสิบนาที คว้ากระเป๋าตังค์กับมือถือ เก็บชีทเรียนที่จำเป็นใส่เป้ย่องลงมาชั้นสอง ไขกุญแจเชื่อมไปบ้านแฝด รีบลงมาชั้นล่าง มองซ้ายขวาดูลาดเลาก่อนปีนกำแพงข้ามไปบ้านข้างๆ

เอาน่าลูกศิษย์ทากะซังไม่ว่าหรอก

ดูเหมือนในบ้านไม่มีคนอยู่ จักรยานก็ไม่อยู่ ผมเดินออกไปได้อย่างสบายโดยไม่ต้องตอบคำถามใคร ทางสะดวกขนาดนี้ขอเผ่นไปตั้งหลังสักพักก็แล้วกัน

หลังโบกเรียกมอเตอร์ไซค์ที่ขับผ่านมา ใช้เวลาพักใหญ่ๆ ในที่สุดผมก็ได้มาเดินบนฟุตบาทของถนนสายหนึ่งห่างจากหมู่บ้านแค่กิโลเดียว รอบๆ มีแต่ตึกสูง น่าจะเป็นคอนโดล่ะมั้ง ไม่เชิงว่าไร้คน แต่ก็เงียบดี เดินไปเดินมาก็ชักหิวข้าว ก่อนหน้านี้ยังไม่ทันได้กินข้าวเช้าเลย สายตาเหลือบไปเห็นร้านอาหารตามสั่งใต้คอนโดใกล้ๆ เข้าไปสิครับจะรออะไร

“ข้าวผัดหมู แล้วก็ขอน้ำเปล่าแช่เย็นขวดหนึ่งครับ”

สั่งเสร็จก็มองไปรอบร้าน ข้างในเป็นร้านแบบติดแอร์ ครัวแยกอยู่ด้านหลัง ยกจานข้าวเข้ามาทีกลิ่นอาหารหอมๆ ลอยอบอวนไปทั้งห้อง เรียกน้ำย่อยในท้องผมออกมาคร่ำครวญ

บนเคาน์เตอร์ผมเห็นกล่องข้าววางจัดใส่ถุงไว้เป็นชุดๆ…แบบจัดส่งหรือเปล่านะ

“กลับมาแล้วครับ”

“ช้าจริงน้องคนนี้ รีบมาเอาของชุดนี้ไปส่งเลย”

“โหย พี่สาวที่รัก ผมพึ่งกลับมาเองนะ ขอกินน้ำสักแก้วก่อนไม่ได้เหรอ”

เสียงแบบนี้เหมือนเคยได้ยินมาก่อน ผมสงสัยเลยหันไปมอง นั่นมัน…

“ไม่ได้ เดี๋ยวข้าวเย็นหมด”

“ลากน้องมาใช้แรงงานช่วงใกล้สอบไม่พอ ดันทารุณกรรมกันอีกเรอะ”

“ปากเรอะนั่น ถ้าไม่ช่วยงาน ค่าขนมสัปดาห์นี่ก็ไม่ต้องเอา”

“ครับๆ ทำครับทำ แต่เรื่องขอกินน้ำสักแก้วนี่จริงจังนะ” ไม่พูดเปล่า คว้าเหยือกเทลงแก้วใกล้มือ ดื่มอึกๆ “เฮ้อ ค่อยยังชั่วหน่อย…อ้าว ที?”

“หวัดดีเชน”

เชนจากนิติที่ลงแข่งบาสศึกชิงสะใภ้ ถ้าไม่เห็นหน้าวันนี้ผมอาจลืมเพื่อนของเพื่อนคนนี้ไปแล้ว

“เพื่อนเหรอ?” ผู้หญิงหลังเคาน์เตอร์ชะโงกหน้ามาดู

“อือ”

“ไปส่งข้าวก่อน ค่อยกลับมาคุย”

“ครับๆ ไปเดี๋ยวนี้ล่ะ ส่วนมึง อย่าพึ่งไปไหนล่ะ”

“เออ” ผมตอบรับ

ข้าวก็ยังไม่ได้กิน แถมไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน ขอแค่เจ้าของร้านไม่ว่าหลังเห็นผมนั่งแช่อยู่ที่เดิมนานไป ผมก็พอเอาชีทออกมานั่งอ่านรอได้อยู่แล้ว หลังจากนั้นประมาณเกือบชั่วโมงล่ะมั้ง เชนถึงเดินอาบเหงื่อมานั่งตรงข้ามผม แถมหอบหิ้วหนังสือแสนคุ้นตาที่ผมจำได้ว่าพาร์ก็มีมาด้วย

“พักอยู่คอนโดละแวกนี้?”

“เปล่า ตอนนี้พักอยู่ในหมู่บ้านห่างออกไปกิโลหนึ่งได้”

“โห แล้วมาทำอะไรแถวนี้?”

“พอดีบอกพี่วินมอเซอร์ไซค์ว่าช่วยไปส่งที่คนอยู่เยอะๆ หน่อย” พูดถึงตรงนี้ก็เผลอถอนหายใจ “ความหมายคือตรงที่มีมนุษย์เยอะๆ แต่พี่แกดันตีความว่าที่พักอาศัยเยอะๆ ซะได้”

“ฮ่าๆๆ” คนฟังหัวเราะร่วน “ละ แล้วไม่ให้เขาไปส่งที่อื่นล่ะ”

“ไหนๆ ก็พามาถึงนี่แล้ว อีกอย่างกลัวพี่แกจะพาไปที่ประหลาดกว่านี้ ถือซะว่าเปลี่ยนบรรยากาศหาที่อ่านหนังสือแล้วกัน”

คนหัวเราะไม่เลิกตบบ่าผม แรงไม่เบาเลยอดสงสัยไม่ได้ว่ากำลังปลอบหรือซ้ำเติม

“พาร์ล่ะ?”

“อ่านหนังสืออยู่มั้ง”

“…ทะเลาะกันหรือเปล่าเนี่ย?”

“งั้นมั้ง เมื่อวานก็ไม่ได้คุยกัน”

ผมรับสมอ้าง พูดความจริงแค่นิดหน่อย บอกตามตรงตอนนี้ไม่คิดอยากเจอมันเลย

“เอาน่าๆ พาร์คงเครียดเรื่องสอบ เดี๋ยวผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปคงดีขึ้น”

“อือ เข้าใจ…เอ่อ ขออ่านหนังสือที่นี่ได้ไหม”

“ได้เลย จะกินอะไรก็บอก”

“ฟรี?”

คนชวนส่ายหัว “ถือว่าอุดหนุนกิจการครอบครัวเพื่อนแล้วกัน”

ผมหัวเราะ ยอมสั่งของกินเล่นมานั่งกินกับเชน ตอนแรกพี่สาวเชนจะไม่คิดเงิน แต่ผมก็บอกให้คิดครับ เพราะเท่าที่ฟังเชนเล่าประวัติครอบครัว ฐานะทางบ้านเชนอยู่ในระดับปานกลาง พอมีค่าใช้จ่ายในมหาลัยของเชนเพิ่มเข้ามาทำให้ลำบากไม่น้อย พี่สาวเชนเลยมาเปิดร้านอาหารที่นี่เพื่อช่วยเหลืออีกแรง ฟังถึงขนาดนี้ใครจะกล้ากินฟรีกัน แต่ยิ่งอยู่นานเพื่อนพาร์คนนี้ก็เกรงใจน้อยลงเรื่อยๆ ถึงขั้นลากผมออกมาใช้แรงงานส่งข้าว

…เอาเถอะ มีกันสองแรงน่าจะเสร็จเร็วกว่าแรงเดียว ยิ่งช่วงมื้อกลางวัน แถมเป็นวันหยุด คนแถวนี้สั่งข้าวกล่องกันเยอะมาก

กล่องใส่ข้าวที่ร้านเชนไม่ใช่กล่องโฟมครับ แต่เป็นกล่องพลาสติกใสทรงสี่เหลี่ยม เห็นว่าเอาเข้าไมโครเวฟได้ ถ้าเป็นลูกค้าประจำเก็บกล่องข้าวล้างทำความสะอาดมาให้ที่ร้านใส่อาหารต่อจะได้ส่วนลดด้วยครับ (ถึงว่าทำไมกล่องข้าวส่วนใหญ่ถึงมีตัวอักษรเขียนกำกับไว้ว่าของห้องไหน ชื่ออะไร คอนโดไหน)

แถมยังมีใบสะสมแต้ม ครบตามจำนวนก็สามารถแลกของได้ตามที่ระบุไว้ เช่น ส่วนลดพิเศษ อาหารฟรี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นของกินเล่นที่คนนิยมกัน สามารถเลือกได้ว่าจะเอาอะไร เป็นต้น เชนต้องพกตัวปั๊มตราร้านอาหารติดตัวไว้ ใบสะสมแต้มหยิบได้ที่ร้านอาหารครับ หรือถ้าให้เอามาส่งก็อาจจะยับสักหน่อย เพราะต้องพับใส่กระเป๋ามา

“สวัสดีครับ เอาข้าวที่สั่งมาส่งครับ” 

หน้าที่ผมคือช่วยถือถุงกล่องข้าวและปั๊มตรา ลูกค้าบางคนก็ยื่นกระดาษขนาดเอสี่มาให้ บางคนติดไว้บนบานประตูด้านใน บางคนก็ตรงฝาผนังใกล้ทางเข้าออก ผมทำหน้าที่ตัวเอง ปล่อยเชนส่งถุงข้าวให้ลูกค้า รับเงินมา บางรายต้องทอนเงินให้ด้วย ถ้าลูกค้าประจำมากๆ คุ้นเคยกันดีในระดับหนึ่งอาจจ่ายเหมารวมไปก่อนหน้านี้แล้ว แค่เอาข้าวไปส่ง แล้วให้ลูกค้ากรอกจำนวนเงิน เซ็นชื่อกำกับว่ารับของไว้ในสมุดก็พอ

กลางวันว่าเยอะแล้ว ช่วงมื้อเย็นเยอะกว่าอีกครับ พวกผมเดินเข้าออกคอนโดละแวกนั้นเป็นว่าเล่น จนพี่พนักงานดูแลความปลอดภัยจำหน้าพวกผมได้ แถมยังเป็นลูกค้าประจำอีกต่างหาก ผมมองฟ้าที่เริ่มมืดอย่างกังวล ตั้งแต่หยิบมือถือที่ปิดเครื่องใส่กระเป๋าผมก็ไม่ได้ยุ่งกับมันอีกเลย 

“ทีเร็วเข้า”

“เออ”

เอาไว้มีจังหวะค่อยโทรกลับบ้านแล้วกัน

ผมเคาะห้องสองครั้ง พูดรูปแบบเดิมๆ ที่ฟังหลายครั้งมากจนจำขึ้นใจ

“สวัสดีครับ เอาข้าวที่สั่งมาส่งครับ”

และเพราะจำขั้นตอนได้นี่แหละ เชนเลยไล่ให้ผมเอาข้าวไปส่งห้องอื่น ยืนรอครู่หนึ่งประตูห้องค่อยเปิดออก ผมส่งถุงข้าวให้ รับเงินมาดู ถ้าเกินต้องถอนเงิน แต่ได้มาพอดีครับ เลยเอ่ยถามหาใบสะสมแต้มแทน

“ใบสะสมแต้ม?”

ดูท่าเป็นลูกค้าใหม่ ผมอธิบายเรื่องใบสะสมแต้มให้ฟังคร่าวๆ อีกฝ่ายพยักหน้า

“คราวหน้าเอามาให้ด้วยแล้วกัน”

“ได้ครับ…เฮ้ย!”

จู่ๆ ร่างของคนที่อยู่ในห้องก็โผล่แทรกกลาง แถมกระโดดกอดผมหมับ

“ไอ้ที! ช่วยกูด้วย!!”

แค่ฟังเสียงก็รู้ทันทีว่าใคร ปฏิกิริยาตอบสนองฉับพลัน ดึงยำหลบไปข้างหลัง ตวัดขากระแทกกล่องดวงใจคนที่ยืนตรงหน้าเต็มแรง คนโดนไปเต็มๆ ถึงกับทรุดฮวบนั่งหน้าเขียวกับพื้นห้อง 

“ไอ้เวรนี่เป็นใครวะยำ?” ผมชี้หน้าคนเจ็บ

“ไอ้พี่ภูไง มันจับกูมา”

ทันทีที่ได้ยินชื่อ ผมเพ่งมองหน้าคนที่เคยคุยกันทางโทรศัพท์หนเดียว “ผมไม่รู้ว่าเรื่องอะไรหรอกนะพี่ แต่ขอพาเพื่อนไปซักถามก่อนแล้วกัน ส่วนพี่รออยู่ที่นี่แหละ บางทีผมอาจจะเรียกพี่ไปหาอีกที”

“ดะ…เดี๋ยว”

“ไปยำ ช่วยกูส่งข้าว แล้วเราค่อยคุยกัน”

หลังส่งข้าวกล่องจนครบ ผมลากยำเดินไปจุดนัดหมาย ยืนรอเชนที่ต้องขึ้นไปชั้นอื่นก่อน

“เล่ามา”

“ไอ้พี่ภูบุกไปถึงห้องพักกู วินก็ไม่อยู่ กูยังปวดกล้ามเนื้อไม่หาย สู้อะไรไม่ได้ก็โดนมันจับมัด…มาอยู่ที่นี่แหละ แล้วมารู้ทีหลังว่าโดนขนข้าวของมาหมดแล้ว แถมไอ้พี่ภูยังแจ้งเรื่องย้ายออกจากหอให้กูอีก”

ฟังเพื่อนเล่าเสียงเครียด ผมก็ชักเครียดตาม

“สรุปคือเทอมหน้ามึงจะไม่ได้อยู่หอในแล้ว?”

“ใช่”

“แล้วช่วงสอบยังอยู่กับวินได้นี่”

“เดี๋ยวไอ้พี่ภูก็บุกไปลากตัวกูมา”

ผมกวาดมองยำยำขึ้นลง เส้นผมยังชื้นอยู่เลย ตัวก็หอมสบู่ แล้วไหนจะรอยแดงๆ หลายจุด กับท่าเดินแปลกๆ อีก ต่อให้โง่แค่ไหนก็รู้ว่ามันพึ่งไปทำอะไรมา

“มึงมีอะไรจะบอกกูไหม?”

“บอกอะไร?”

“ความสัมพันธ์ระหว่างมึงกับพี่ภูไง”

“ความสัมพันธ์เหี้ยอะไร ไม่มีโว้ย!”

ผมพ่นลมหายใจ “มึงตกเป็นเมียพี่ภูแล้วใช่ไหม”

“ไม่ใช่!”

“คราวก่อนกูไปหอมึง บังเอิญโดนพี่วิศวะปีสองขอให้ช่วยพยุงขึ้นชั้นสาม ฟังพวกเขาคุยกัน เขาบอกเป็นเรื่องผัวเมียตีกัน แล้วก่อนหน้านั้นกูพึ่งรู้ว่ามึงไปมีเรื่องชกต่อยกับพี่ปีสองชื่อภูมา อย่าพึ่งอ้าปาก ฟังกูให้จบก่อน…เผื่อมึงยังไม่รู้ สภาพมึงตอนนี้ยังกะคนพึ่งเสียตัวให้สามีมาก แถมรอยที่คอหรือตรงหน้าอก สียังสดใหม่อยู่เลย”

หน้าไอ้ยำแดงก่ำ ไม่รู้เพราะโกรธหรืออาย อาจจะทั้งสองอย่างผสมกันก็ได้

“ที่นี่บอกความจริงกับกูได้หรือยัง?”

############

ออฟไลน์ ShadeoftheMoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: - ชลนที - [บทที่30] P.10 (28/11/2016)
«ตอบ #285 เมื่อ28-11-2016 19:23:06 »

สงสารพาร์ เมื่อไหร่จะรับรักพาร์สักทีล่ะที

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
Re: - ชลนที - [บทที่30] P.10 (28/11/2016)
«ตอบ #286 เมื่อ28-11-2016 19:37:00 »

นอคกันเลยทีเดียว

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
Re: - ชลนที - [บทที่30] P.10 (28/11/2016)
«ตอบ #287 เมื่อ28-11-2016 19:55:18 »

จำนนด้วยหลักฐาน เล่ามาซะดีๆ หนูยำยำ  :hao3:

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
Re: - ชลนที - [บทที่30] P.10 (28/11/2016)
«ตอบ #288 เมื่อ28-11-2016 20:05:00 »

โหย นิกทากะ ชนะเลิศ

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
Re: - ชลนที - [บทที่30] P.10 (28/11/2016)
«ตอบ #289 เมื่อ28-11-2016 20:12:52 »

ทีหนีพาร์มาอย่างนี้ เดี๋ยวพาร์จิตตกแย่

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: - ชลนที - [บทที่30] P.10 (28/11/2016)
« ตอบ #289 เมื่อ: 28-11-2016 20:12:52 »





ออฟไลน์ jimmyjimmy

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1966
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-17
Re: - ชลนที - [บทที่30] P.10 (28/11/2016)
«ตอบ #290 เมื่อ28-11-2016 20:58:59 »

รับรับไปเหอะ ยำยำ เค้ารู้กันหมดแล้ว ที ก้อรีบกลับไปหา แฟน ได้แล้ว

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
Re: - ชลนที - [บทที่30] P.10 (28/11/2016)
«ตอบ #291 เมื่อ28-11-2016 21:49:00 »

อะไรกัน ยำยำ มาแย่งซีนได้ไง
นึกว่าพาร์จะออกตามหา
แล้วกันดิ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: - ชลนที - [บทที่30] P.10 (28/11/2016)
«ตอบ #292 เมื่อ29-11-2016 11:00:34 »

อ้าว ทีทิ้งพาร์ไว้งั้นเลยหรอ ระวังลุงนิกกินหัวพาร์ก่นนะ 5555555

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
Re: - ชลนที - [บทที่30] P.10 (28/11/2016)
«ตอบ #293 เมื่อ30-11-2016 11:52:01 »

เพิ่งเข้ามาอ่าน สนุกมาก ๆ

เราอยู่ข้างพาร์ล่ะ 555

ออฟไลน์ rinny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 517
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: - ชลนที - [บทที่30] P.10 (28/11/2016)
«ตอบ #294 เมื่อ30-11-2016 18:57:22 »

คู่ลุงนิคกับทาจังคือน่ารักมากๆเลย ดูรู้เลยว่าคู่นี้เค้าต้องผ่านอะไรๆมาเยอะมากแน่ๆ ทีโดนแฉปุ๊บนี่เผ่นปั๊บเลยนะ
แหมๆ คู่พาร์ทีนี่เค้าจะได้คู่กันแต่เด็กแล้วแท้ๆ แล้วก็นกจนได้ แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะตอนนี้คู่แล้วคงไม่แคล้วกันอีก
คู่พี่ภูกับยำนี่มันเข้าข่ายตบจูบชัดๆ แอบเชียร์คู่นั้นเล็กๆ ทีหายไปไม่บอกแบบนี้ต้องมีคนหัวร้อนแน่นอน รออออออ

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
Re: - ชลนที - [บทที่30] P.10 (28/11/2016)
«ตอบ #295 เมื่อ30-11-2016 22:49:09 »

หลักฐานมัดตัวนะจ๊ะยำยำ :laugh:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0
Re: - ชลนที - [บทที่30] P.10 (28/11/2016)
«ตอบ #296 เมื่อ01-12-2016 13:26:17 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ threetanz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 766
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-1
Re: - ชลนที - [บทที่30] P.10 (28/11/2016)
«ตอบ #297 เมื่อ05-12-2016 11:17:43 »

ป่านนี้น้องพาร์ร้องไห้งอแงที่หาทีไม่เจอแล้วมั้ง

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
Re: - ชลนที - [บทที่31] P.10 (06/12/2016)
«ตอบ #298 เมื่อ06-12-2016 06:48:23 »

บทที่ 31

“มึงเข้าใจไหมว่ากูเมา”

“เออ”

“กูไม่ได้อยากให้เกิดเรื่องน่ะโว้ย”

“อือ”

“ไอ้พี่ภูก็แย่ แทนที่จะฟาดกูให้สลบ แล้วถีบกูตกเถียง หรือถ้ามันไม่เลวก็น่าจะลากกูกลับไปนอนที่โซฟาก็ยังได้ แต่มันไม่ทำ ดันทำเรื่องที่กูไม่อยากให้ทำ นึกถึงแล้วกูอยากจะร้องไห้”

ผมซดชาเขียวรสข้าวในมือเงียบๆ มองไอ้ยำยกสองมือปิดหน้านั่งเครียดอยู่ขอบแปลงต้นไม้ดอกหน้าตึกคอนโด (มีผมนั่งอยู่ข้างๆ) ชาเขียวที่ผมซื้อมาให้โดนวางทิ้งลืมไปแล้วมั้ง

“ที่แย่กว่าพลาดครั้งแรกคือครั้งต่อๆ มา ไอ้พี่ภูแม่งเลว พยายามเปลี่ยนฝ่ายรุกอย่างกูเป็นฝ่ายรับ!”

“…แล้วทำสำเร็จมะ?”

“เออ!” คนตอบกระแทกเสียงมา ท่าทางจะสติหลุดได้ที่ถึงยอมบอกง่ายๆ

“มึงไปรุกใครไม่รอดแล้ว?”

“ไม่รู้ กูยังไม่ได้ลอง”

“อ่าฮะ”

ปากตอบมันไป แต่ในใจกลับคิดแล้วว่าพี่ภูคงไม่ปล่อยให้มันไปลองกับคนอื่นหรอก ขนาดเมีย ไม่สิ อดีตเมีย พี่แกยังหาทางกำจัดทิ้งเลย นึกถึงเด็นก็อดถอนหายใจไม่ได้ อนาคตเป็นเรื่องไม่แน่นอนจริงๆ ผมถึงไม่อยากด่วนตัดสินใจเหมือนพวกมันสองตัว นี่ถ้าแค่อยู่ในช่วงดูใจ เรื่องคงไม่แย่เท่านี้

“กูขอถาม ในเมื่อตอนนี้มึงรู้ความจริงแล้ว เรื่องเด็นจะเอายังไง” 

“…ไม่รู้”

“ไม่รู้ไม่ได้ อย่าลืมว่ามึงเป็นคนดึงเด็นให้มาทางสายนี้”

“เรื่องนั้นกูรู้ แต่ถ้าให้กลับไปคบกันใหม่ กูทำไม่ได้วะ”

“เพราะมันเป็นเกย์ออกสาวไปแล้ว?”

“…เพราะทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้วมากกว่า”

ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “ความรู้สึกมึงเปลี่ยนไปว่างั้นเถอะ...ถึงเลิกกันไปแล้ว มึงก็น่าจะไปขอโทษวะ เพราะฝ่ายนอกใจก่อนคือมึง”

“กูยังไม่เคยนอกใจมันนะ…จนกระทั่งมันเปลี่ยนไป ความรักที่มีเลยลดน้อยลงเรื่อยๆ จนตอนนี้กูมองมันอย่างแฟนไม่ได้แล้ว”

“นอกกายก็ได้ แล้วที่มันเปลี่ยนไปก็เพราะมึงนั่นแหละ ยังไงมึงก็เป็นฝ่ายผิดวะ”

ยำไม่ได้ตอบอะไรกลับมา แต่สีหน้าอมทุกข์โคตรๆ

“…พี่ภูเป็นมือที่สามระหว่างพวกมึงจริงๆ สินะ”

ยำเงยหน้าขมวดคิ้วใส่ผม “กูไม่ได้รักพี่ภูสักหน่อย”

“แล้วมึงยอมนอนกับมันทำไม”

“ก็มันทำเรื่องเลวๆ กับกูไว้น่ะสิ! ร่างกายของกูตอบสนองกับสัมผัสของมันไปแล้ว”

ผมมองยำขึ้นๆ ลงๆ “กูขอพูดตามประสาผู้มีประสบการณ์เกือบโดนขืนใจ อาการของมึงตอนนี้มองยังไงก็เหมือนพวกสมยอมมากกว่าขืนใจวะ”

“ไอ้ที!”

“แทงใจมึงล่ะสิ”

“อ้อเรอะ งั้นถามหน่อย ตอบแค่ใช่กับไม่ก็พอ แล้วช่วยตอบให้ตรงกับใจด้วย”

“ว่ามาเลย”

“เคยรู้สึกขยะแขยงเวลาโดนพี่ภูกอดไหม? กอดแบบธรรมดา”

“ไม่”

“แล้วจูบล่ะ?”

คิดนานขึ้นอีกนิด “ไม่”

“แล้วเวลาโดนทำเรื่องอย่างว่าล่ะ?”

คราวนี้หลายนาทีกว่ามันยอมตอบเสียงแผ่ว “…ไม่”

“…กูพึ่งโดนพาร์จูบมา ยังรู้สึกขยะแขยงจูบอยู่เลย”

“ฮะ!”

ผมมองเพื่อนด้วยแววตาจริงจัง “ถ้าโดนขืนใจจริงๆ จะเป็นแบบนี้แหละ ต่อให้คนๆ นั้นเป็นคนที่รู้สึกดีด้วยก็ใช่ว่ามันจะทำให้ลืมเรื่องเลวร้าย”

“เดี๋ยวๆ นี่มึงยอมให้มันจูบเรอะ!”

“เปล่า พอดีไม่คิดว่าจะโดนจูบ อีกอย่างความผิดกูด้วยแหละ ดันเล่นมากเกินไปหน่อย”

“ละ แล้วไอ้คนกล้าจูบมึงตายไปยังวะนั่น”

“ยัง แค่เจ็บตัวนิดหน่อยเอง”

“อะเมซิ่ง! รอดชีวิตจากมึงได้เนี่ย นับถือๆ”

“ไปกราบมันเลยดิ จะไปขอเป็นลูกศิษย์ก็ยังไหว มันต่อกรกับกูได้”

“จริงดิ?”

“ดูเหมือนจะเรียนมวยมา แต่กูว่าอาจจะไม่ใช่แค่มวย” ผมนึกย้อนไปถึงช่วงที่โดนมันถีบเข้าเต็มๆ ท้อง แล้วพึมพำ “บางทีคงได้นักเลงที่เก่งเรื่องต่อสู้เอาชีวิตรอดเป็นอาจารย์ด้วยล่ะมั้ง”

“ต่อกรกับมึง? ชกต่อยกันมา?”

“เปล่า” ผมดึงเสื้อขึ้นให้เห็นรอยเขียวๆ ที่จางลงไปพอสมควรตรงท้อง “กูแค่โดนถีบทีเดียว”

“ทำมึงเจ็บตัวได้ด้วย เจ๋งวะ!”

“ท่าทางทาจัง เอ้ย ทากะซังถูกใจพาร์อีก เกิดนึกคันไม้คันมือลากพาร์ไปเป็นคู่ฝึกซ้อม แล้วพาร์เกิดจับทางต่อสู้ทากะซังได้ขึ้นมา ต่อไปกูอาจสู้มันไม่ไหวก็ได้”

มองยำที่อ้าปากเหวอ ทำหน้าตะลึงก็อดถามไม่ได้

“ทำหน้าอะไรของมึง”

“กูกำลังตกใจ ไม่คิดไม่ฝันจะมีวันที่คนอื่น นอกจากทากะเซนเซ ปราบมึงได้ด้วย”

“เหอะ กูยังเป็นคนอยู่วะ ไม่ใช่สัตว์ร้าย”

“เป็นถึงทายาทของจิ้งจอกนี่น่า ถึงมึงเก่งน้อยกว่าทากะเซนเซก็เถอะ…แต่กูว่า เพราะอีกฝ่ายเป็นคุกกี้ของมึงมากกว่า มึงเลยไม่ค่อยดุร้ายเท่าไหร่”

“พูดเรื่องมึงต่อดีกว่า”

“จะให้กูพูดอะไรอีก?”

“นั่งเฉยๆ ฟังกูก็พอ…กูเดาว่ามึงน่าจะชอบพี่ภูเข้าแล้ว”

“ไม่มีทาง!”

“หลักฐานคือมึงไม่ได้รังเกียจอะไรเขาเลย”

“แต่กูอาฆาตแรงเลยล่ะ”

“นั่นก็แค่โกรธ เลยอยากหาทางเอาคืนไม่ใช่หรือไง”

“มะ มันก็…”

ผมมองเพื่อนอ้าปากพะงาบๆ ก็ถอนหายใจ “เอางี้ เดี๋ยวกูเปิดทางให้มึงได้เอาคืนเอง มึงจะได้เข้าใจความรู้สึกของตัวเองมากกว่านี้”

“ทำได้?”

“ได้ แต่มึงคงต้องอยู่พี่ภูต่อ”

“เฮ้ย! ไม่เอา!”

“ถ้าไม่อยู่กับเขา มึงจะหาทางเอาคืนได้ยังไงฮะ!”

“แต่…”

“ไหนๆ ข้าวของมึงอยู่ที่นี่ จะให้ขนย้ายตอนนี้ก็ไม่รู้จะขนไปไว้ไหนนอกจากบ้านมึง แต่ขืนขนของกลับไปพ่อแม่มึงคงซักถามน่าดู แล้วจะบอกกับพวกท่านว่าไง”

คนโดนถามปิดปากเงียบ

“แค่ช่วงสอบเอง หลังจากนี้มึงก็ได้ไปเที่ยวกับพวกกูแล้ว”

“แต่ที กูไม่อยากอยู่กับมันตามลำพัง มันชอบเอาเปรียบกู!”

“ก็บอกอยู่นี่ไงว่าจะให้มึงได้เปรียบ”

“…ทำยังไง?”

“เอาหูมา”

ผมซุบซิบบอกแผนการตัวเองให้เพื่อนฟัง ไอ้ยำทำตาโตขึ้นเรื่อยๆ ให้ตายเถอะ พึ่งรู้ว่าเพื่อนตัวเองมุ้งมิ้งขนาดนี้ก็ตอนนี้เนี่ยแหละ มิน่าพี่ภูถึงจับไอ้ยำไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือ

เพื่อนเอ๋ย ถ้ามึงเดินทางสายรับแต่แรก มึงคงป๊อบปูล่านานแล้ว

“เยี่ยมเลยที!” ยำอุทานหลังฟังแผนจบ

“ใช่ไหมล่ะ”

“แต่ถ้าพี่ภูไม่เล่นด้วยล่ะ?”

“กูก็จะเก็บข้าวของให้มึง แล้วพามึงออกมาเลยน่ะสิ…ไปอยู่บ้านทากะซังสักพัก แล้วค่อยคิดหาทางกันต่อ”

มันโผมากอดผมทันที “รักมึงจังเลย!”

“เอ่อ ขอโทษนะครับ คนที่คุณพึ่งบอกรักไปหยกๆ เป็นสะใภ้ของคณะนิติครับ อีกอย่างเขามีเจ้าของแล้วนะครับ”

พวกผมหันมองต้นเสียง เจอเชนยืนนิ่วหน้า ส่งสายตาไม่ค่อยชอบใจมองตรงมา

ไอ้ยำเอ่ยถามมึนๆ “ใครวะที?”

“เพื่อนพาร์ชื่อเชน”

“อ้อ ผมชื่อยำ ยินดีที่ได้รู้จัก”

“ถ้าจะแนะนำตัวก็ช่วยปล่อยทีก่อนเถอะ กอดคนมีเจ้าของแบบนี้ไม่ดีนะคุณ”

“ฮะ?”

“คือว่าเชน นี่เพื่อนสนิทตั้งแต่เด็กของกูเอง”

“แล้ว?”

“มันมีสามีแล้ว แถมพาร์ก็รู้จัก”

ผัวะ!

ผมพึ่งโดนคนบอกรักหยกๆ ตบหัว

“มึงแฉกูทำไมวะ!!”

-------------

กองทัพต้องเดินด้วยท้อง พวกผมเลยพากันเดินมาร้านของพี่สาวเชนอีกครั้ง สั่งข้าวเย็นมานั่งกิน พร้อมวางแผนบุกห้องพี่ภู

“ไอ้พี่ภูเก่งเรื่องชกต่อยเหมือนกัน กูว่ากำลังพลฝ่ายเราน้อยไปหน่อย”

“แต่มึงก็ไม่อยากให้คนอื่นรู้นี่” ผมว่า “น้อยแต่มีประสิทธิภาพดีกว่าเรียกคนมามากๆ แต่ทำได้แค่ยืนประกอบฉากข่มขู่ แถมความลับเรื่องมึงมีสามีอาจรั่วไหลก็ได้”

“มึงพูดถูก ที่จริงแค่มึงคนเดียวก็ไหว แต่กูเป็นห่วงมึง อย่างน้อยถ้าได้บอดีการ์ดคอยช่วยดูแลมึงอีกคนก็น่าจะดีกว่า”

พวกผมมองอีกหนึ่งหน่อที่อ่านหนังสือร่วมโต๊ะเงียบๆ เหมือนคนโดนจ้องจะรู้ตัว ถึงได้เงยหน้าจากหนังสือสอบส่ายหัวให้พวกผม

“ไม่ไหว กูไม่เก่งเรื่องชกต่อย แต่ถ้าให้แนะนำคนช่วยน่ะได้”

“ใคร?” ผมกับยำถามพร้อมกัน

“เพื่อนกู คนนี้ไว้ใจได้แน่นอน ขอเอาตัวเองเป็นประกันเลย”

ผมกับยำมองหน้ากัน ก่อนผลัดกันยิงคำถาม

“เก็บความลับเก่งหรือเปล่า?”

“ถ้าบอกไม่ให้พูด มันก็ไม่พูดหรอก”

“เก่งระดับไหน?”

“ได้ยินว่าเคยตกอยู่ในวงล้อมห้าคนตามลำพังก็เอาตัวรอดมาได้”

พวกผมผงกหัวให้เชนเป็นการบอกว่าผ่าน 

“ถ้าไว้ใจได้แน่ๆ ก็เรียกมาให้หน่อย”

“ได้เลย” เชนรีบลุกออกไปโทรศัพท์

“งั้นรอกำลังเสริมมาค่อยบุกห้องพี่ภูก็แล้วกัน” ผมว่า ยำผงกหัวเห็นด้วย

ข้าวที่สั่งไปมาเสิร์ฟพอดี ต่างคนต่างกิน ระหว่างนั้นผมนึกบางอย่างออกพอดีเลยกลืนข้าวลงคอ บอกคนนั่งตรงข้าม

“จะว่าไปวินกับไวก็ระแคะระคายเรื่องมึงอยู่เหมือนกัน”

“เฮ้ยวิน! ป่านนี้เป็นห่วงกูแย่แล้วมั้ง”

“โทรไปหาสิ”

“ไอ้พี่ภูยึดมือถือกูไป”

ผมขมวดคิ้วไม่พอใจ พี่จำกัดสิทธิ์เพื่อนผมมากไปแล้ว ควานหามือถือตัวเองในเป้ออกมากดเปิดเครื่อง กำลังจะยื่นให้ยำ ปรากฏว่าหน้าจอมืดกะทันหัน เครื่องดับสนิท ลองกดอีกครั้งก็เหมือนเดิม ครั้งที่สามไม่ติดซะแล้ว

“…แบตหมดวะ”

“อ้าว ที่ชาร์ตล่ะ”

“ไม่ได้เอามา”

“แบตสำรอง?”

“ไม่ได้พกมา” ผมถอนหายใจ เก็บมือถือลงเป้ ยอมรับชะตากรรมหลังกลับบ้าน…โดนลงโทษกักบริเวณแหง “ไว้มึงได้มือถือคืนมาเมื่อไหร่ค่อยโทรไปหาวินแล้วกัน”

“นอกจากสองคนนั้น ยังมีใครระแคะระคายอีกไหมวะ”

“พาร์”

“มึงบอกมัน?”

“ได้ยินมาพร้อมกัน ตอนนี้มันน่าจะรู้น้อยกว่ากูนิดหน่อยล่ะมั้ง”

ผมกับยำกินไปคุยไป  เชนออกไปคุยโทรศัพท์นานเหมือนกันเกือบสิบห้านาทีได้ พอนึกถึงมันก็กลับเข้ามาด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดี ผมกับยำมองตากัน สงสัยงานนี้ได้ลุยกันแค่สองคน

“เฮ้อ…” เชนถอนหายใจหลังนั่งเก้าอี้ข้างผม “กูมีข่าวดีกับข่าวร้ายมาบอกพวกมึง”

“เอาข่าวดีก่อน” ผมว่า

“เพื่อนกูกำลังเดินทางมา”

ดูเหมือนเราจะได้กำลังเสริมมาแฮะ

“แล้วข่าวร้าย?”

“มันกำลังอารมณ์เสียสุดๆ เลยวะ…ถ้าเจอหน้าเพื่อนกู ช่วยทำใจกันหน่อยนะ”

ผมถามทันที “มึงคงไม่ได้บังคับให้มาหรอกนะ”

“เปล่า แค่กูบอกชื่อพวกมึงไป ทางนั้นก็รับปากจะมาทันที”

“ชื่อพวกกูเนี่ยนะ?”

“เออ”

ยำที่เงียบมาพักหนึ่งรีบพูดถาม “เขารู้จักพวกกู?”

“ใช่มั้ง เดี๋ยวเจอหน้า พวกมึงก็รู้เองแหละ”

ฟังคำตอบแบบปัดๆ นั่นแล้ว ผมไม่ค่อยไว้ใจเลยครับ หวังว่าเชนคงไม่เรียกไอ้ยักษ์เพื่อนมันมาหรอกนะ ถ้าใช่ ผมไม่เอาด้วยแน่ๆ ยอมขึ้นไปกับยำสองคนดีกว่าให้อีกฝ่ายตามมาอยู่ใกล้ๆ ให้รู้สึกหวาดระแวง เจอศึกทางเดียวก็ดีกว่าเจอศึกสองทางครับ

ว่าจะถามข้อมูลเพื่อนของเชนมากกว่านี้ แต่พี่สาวเชนใช้ให้มันไปส่งข้าวก่อนเลยอดถาม สี่สิบห้านาทีต่อมาเชนก็กลับมานั่งข้างผมที่กำลังดูดน้ำเปล่ากันอยู่

“เพื่อนกูจะมาถึงแล้วนะ”

พวกผมพยักหน้ารับรู้ จู่ๆ ไอ้ยำก็ชะงักกึก อ้าปากพะงาบๆ ใส่ผม

ผมเลิกคิ้วใส่ อะไร?

ยำชี้นิ้วตรงมาที่ขวดน้ำในมือ ผมเหลือบมองขวดน้ำหมดแล้วตรงหน้ามันก็เข้าใจ รีบดูดน้ำเข้าเต็มปาก ยื่นขวดน้ำให้เพื่อน แต่มันดันส่ายหน้า ชี้นิ้วข้ามไหล่พูดออกเสียงสามคำ

“ข้างหลังมึง”

ออกเสียงแต่แรกก็รู้เรื่องแล้ว ผมบ่นในใจระหว่างหันไปมองด้านหลัง

แวบแรกเห็นแค่ชายเสื้อของคนยืนในระยะประชิด ไล่สายตาขึ้นไปก็เจอะหน้าดำทะมึน สบแววตากราดเกรี้ยวของใครบางคนเข้าจังๆ น้ำที่ยังไม่ได้กลืนลงท้องถูกพ่นออกมาทันที บางส่วนไหลลงคอทำเอาสำลักไอไม่หยุด ผมใช้แขนเสื้อเช็ดปากลวกๆ รีบหันไปดึงทิชชู่บนโต๊ะมาเช็ดคราบน้ำออกจากเสื้ออีกฝ่ายทั้งที่ยังไอไม่เลิก

ไม่ได้ตั้งใจนะครับ แต่เล่นมีโจทก์ตัวเองยืนข้างหลังเงียบๆ แบบนี้ เป็นใครก็ตกใจทั้งนั้นแหละ   

ว่าแต่…มันมาได้ยังไง

กำลังเช็ดให้อยู่ดีๆ ข้อมือกลับโดนรวบกำซะแน่นจนเจ็บแปล๊บ

“ไปไหนมา?!” เสียงอย่างโหด

ผมยิ้มแห้ง “อยู่แถวนี้แหละ”

“ทั้งวัน?”

“อือ”

“มือถือไปไหน?”

ผมรีบใช้มือข้างเดียวควานหาในเป้จนเจอ รีบชูให้คนถามเห็น

คำถามที่สองก็ตามมาติดๆ “ทำไมไม่เปิดเครื่อง”

“แบตหมด”

บอกไม่ทันขาดคำ แก้มผมก็โดนดึงจนยืดทั้งสองข้าง

“ต่อไปถ้าทำอย่างนี้อีก มึงเจอหนักกว่านี้แน่!...ตอบสิ เงียบทำไม”

มึงดึงแก้มกูจนเจ็บน้ำตาซึมขนาดนี้จะให้พูดถนัดได้ไงวะ

“ที”

ส่งเสียงขู่อีก จำใจตอบออกไป ไม่งั้นคงดึงแก้มไม่เลิกแน่

“เอ้าใอแอ้วๆ” (เข้าใจแล้วๆ)

ในที่สุดพาร์ก็ยอมปล่อยมือ สองแก้มเจ็บแปล๊บ ทำเอาพูดไม่ออกไปพักหนึ่งเลยครับ

“เชน”

“วะ ว่าไง?”

“ข้าวกะเพราะหมูไข่ดาว น้ำเปล่าขวดหนึ่ง แล้วก็ออกไปซื้อเค้กร้านใกล้ๆ มาให้หน่อย”

“ได้เลยเพื่อน”

คล้อยหลังเชนไม่นาน พาร์ที่ดูเหมือนโกรธน้อยลงก็เดินมานั่งข้างผมแทนที่เชน ส่วนผมเหรออยากได้น้ำแข็งประคบแก้มมากครับ แต่บนโต๊ะดันไม่มีใครสั่งน้ำแข็งมาสักคน

“เจ็บเหรอ”

ผมตวัดสายตามองคนถามทันที “มาก!”

“ดี จะได้จำเอาไว้”

ถึงจะพูดอย่างนั้นมันก็จับหน้าผมเอียงซ้ายขวาดูแก้มให้ ไม่ต้องเห็นผมยังเดาได้เลยครับว่าต้องแดงมาก

ฟอดๆ

ผมสะดุ้งโหยง ไอ้พาร์หอมแก้มผม! โดนทั้งซ้ายทั้งขวาต่อหน้าไอ้ยำ และเผลอๆ อาจมีสายตาประชาชีในร้านอาหารเห็นเข้าก็ได้ ผมรีบผลักมันออกห่าง

“ทำอะไรวะ!”

พาร์ยอมถอยง่ายๆ แต่แววตาพราวระยับ “น่าจะหายแล้วล่ะ”

“หายบ้านมึงดิ!”

“ยังเหรอ? งั้นมาทำอีกรอบ”

“กูชกมึงแน่!” ผมชูกำปั้นขู่

พาร์หัวเราะหึๆ ท่าทางอารมณ์ดีขึ้นโข ผมรีบดึงผ้าเช็ดหน้าออกมายื่นให้ด้วยความหมั่นไส้

“ไปขอน้ำแข็งมาให้เลย”

มันยอมลุกไปอย่างว่าง่าย แปบเดียวก็กลับมาพร้อมน้ำแข็งห่ออยู่ในผ้าเช็ดหน้า ความเย็นจากน้ำแข็งช่วยได้เยอะครับ   

“เอ๊ะ? มึงอารมณ์ดีแล้วเหรอ?” เชนที่พึ่งกลับมาถึงโต๊ะถามงงๆ แววตาประหลาดใจ

“ใช่”

“งั้นเค้กสองชิ้นนี้คงไม่ต้องแล้วมั้ง” คนพูดชูเค้กในถุงให้เพื่อนดู

เป็นผมที่คว้าไปทั้งถุง แกะเปิดกินเองแก้หงุดหงิดที่เผลอเสียรู้ให้ใครบางคน พาร์ไม่ได้ว่าอะไร ช่วยแกะพลาสติกออกจากเค้กอีกชิ้นเลื่อนมาตรงหน้าผมอีกต่างหาก มันนั่งเท้าคางมองมายิ้มๆ จนผมตักเค้กเข้าปากด้วยความกระอักกระอวนใจตามประสาคนมีชนักติดหลัง ส่วนไอ้ยำน่ะเหรอ หลังหายตกใจก็คว้าขวดน้ำผมไปดูดอึกๆ ไม่พูดไม่จา แต่ตาเนี่ยจับสังเกตพวกผมตลอด 

บนโต๊ะไม่มีใครพูดอะไร แต่จู่ๆ พาร์กลับหัวเราะกะทันหัน

“เป็นบ้าอะไร?”

“อยู่เฉยๆ ก่อน”

มันเช็ดครีมเค้กออกจากมุมปากผมไม่พอ ดันเอาเข้าปากตัวเองหน้าตาเฉย ไม่สนใจเลยว่าทำเพื่อนร่วมโต๊ะหน้าแดงเถือก   

“เอ่อ ดูเหมือนข้าวกะเพราะของมึงได้แล้ว เดี๋ยวกูไปเอามาให้”

เชนพูดขึ้นเป็นคนแรก ตามด้วยยำยำ

“เอ่อ กูขอไปเข้าห้องน้ำก่อน”

เมื่อเหลือกันอยู่แค่สองคน ผมก็เป็นฝ่ายเปิดปากพูดทันที

“เปิดเผยไปไหม?”

“ไม่ดีเหรอ”

“ดีกะผีอะไรล่ะ! แล้วนึกยังไงถึงทำแบบนี้ในที่สาธารณะ?”

“เป็นสิทธิ์ของกูนี่น่า ได้มาแล้วก็ขอใช้ให้คุ้มหน่อย”

ผมแย้งทันที “ยังไม่ได้เป็นแฟนกูเลยเหอะ”

คนฟังดันหัวเราะ “สถานะกูมากกว่าแฟนแล้วมั้ง ใครบางคนถึงขั้นคิดให้ผู้ใหญ่ไปสู่ขอเลยนี่”

ผมหันมามองเค้ก “แค่เรื่องสมัยเด็ก อย่าจริงจังนักเลยน่า” พูดจบก็ตักเค้กเข้าปาก

“เหรอ…แล้วหนีมาทำไม?”

เป็นคำถามที่แทงฉึกเข้ากลางอก

ผมรู้สึกว่าเค้กในปากรสชาติจืดชืดกะทันหัน ฝืนกลืนลงคอ เลื่อนเค้กที่เหลือครึ่งชิ้นออกห่าง คว้าน้ำเปล่ามาดูดแทน พาร์เห็นผมไม่กินแล้วก็เลื่อนมาตรงหน้า คว้าช้อนที่ผมทิ้งไว้ตักเค้กเข้าปากหน้าตาเฉย

ทำยังไงกับมันดี?

เป็นสิ่งที่ผมคิดวนเวียนอยู่ในหัว มองดูเค้กค่อยๆ หายไปทีละคำจนหมด ขึ้นชิ้นที่สองมองพาร์กินสักพัก ผมก็จับมือมันตักเค้กเข้าปากตัวเองคำหนึ่ง 

“เป็นไง” 

ฟังจากคำถาม พาร์คงรู้ว่าผมแค่อยากชิม

“…มึงทำอร่อยกว่า”

เป็นความจริงที่ต้องยอมรับ ฝีมืออย่างมันทำวางขายยังไปรอดเลยครับ

ผมปล่อยมือพาร์ กำลังจะหยิบขวดน้ำ แต่โดนไอ้คนทิ้งช้อนกะทันหันคว้ามือดึงไปแตะปากมันแผ่วเบา ไม่สนใจคนโดนกระทำที่สะดุ้งเฮือกเลยสักนิด ผมรีบกระชากมือกลับ มองเขม็งไอ้คนกล้าทำเรื่องน่าอายอย่างจูบหลังมือคนอื่นด้วยแววตาไม่อยากจะเชื่อ

“ทำบ้าอะไร!”

พาร์มองผมตาใส มีส่งยิ้มให้อีกต่างหาก ทำเหมือนตัวเองไม่ได้ทำอะไรประหลาด “แค่ดีใจมากไปหน่อย”

“ต่อไปกูจะไม่ชมมึงแล้ว!”

“เพราะมึงพูดจาน่ารัก กูเลยอยากจูบ แต่ในเมื่อทำที่ปากไม่ได้ กูเลยทำตรงอื่นที่คิดว่ามึงน่าจะยอมรับได้แทน”

“ตรงไหนก็ไม่ได้ทั้งนั้น”

พาร์มองกลับมาด้วยแววตามาดหมายบางอย่าง แค่เห็นแววตาแบบนั่น สัญญาณในตัวผมก็กรีดร้องเตือน

“คิดจะทำอะไร?” ถามเสียงเข้ม 

“คิดวิธีจับจิ้งจอกอยู่ หนีเก่งไม่พอ ยังปั่นหัวคนอื่นไม่หยุด…เป็นไปได้ช่วยซื่อตรงเหมือนสมัยเด็กจะดีมาก”

“ไม่มีทาง!”

“โตมาแล้วพวกขี้อายสินะ” นิ้วพาร์จิ้มแก้มผมเบาๆ “แก้มแดงแล้วที”

“ต้องแดงอยู่แล้ว มึงเล่นดึงซะเจ็บขนาดนั้น”

“แต่แดงก่ำแบบนี้ กูว่ามึงกำลังเขินมากกว่า…”

ผมลุกพรวด ข่มเสียงให้นิ่ง “กูไปห้องน้ำนะ”

“เดี๋ยวกูไปเป็นเพื่อน”

“ไม่ต้อง อยู่เฝ้าโต๊ะไป”

ผมรีบจ้ำเท้าเข้าห้องน้ำฝั่งผู้ชาย เห็นยำกับเชนกำลังยืนคุยกันตรงหน้าอ่างล่างมือแวบหนึ่ง 

“อ้าว ที…”

ผมไม่สนใจทัก เปิดประตูห้องส้วมได้ก็รีบเข้าไปพร้อมกดล็อก ยืนหลังพิงบานประตูสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนตะโกนลั่นระบายความเครียด

“อ๊ากกก! กูอยากจะบ้า!!”

“เฮ้ยที! มึงไม่เป็นอะไรแน่นะ!”

ผมหอบหายใจ ปล่อยให้ยำเคาะประตูเรียกไป ลมหายใจกลับมาเป็นปกติได้ก็ขยี้ผมตัวเองจนยุ่ง บางทีคงถึงเวลาเปิดใจคุยกันตรงๆ แล้วล่ะมั้ง

…ไม่สิ คนที่ต้องเปิดใจน่าจะเป็นผมคนเดียวมากกว่า   

############

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
Re: - ชลนที - [บทที่31] P.10 (06/12/2016)
«ตอบ #299 เมื่อ06-12-2016 11:23:59 »

อย่างที่ทีว่าเลย พาร์เก่งพอตัวเชียว

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด