บทที่ 36
ผมกำลังเล่าเรื่องที่รู้มาให้เพื่อนๆ ฟัง พยายามเก็บรายละเอียดให้ได้มากที่สุด ตรงกลางกลุ่มมีหลักฐานทั้งภาพจากมือถือของผม ทั้งจดหมาย แต่อยู่ๆ ภาพหลักฐานก็เปลี่ยนเป็นหน้าจอคนโทรเข้า แค่เห็นภาพบุคคลที่บันทึกไว้ทั้งกลุ่มก็แตกฮือ
“รีบรับเลยไอ้ที!”
“ห้ามบอกนะว่าอยู่กับพวกกู”
ผมคว้ามือถือกดรับสาย “มีอะไรอ่ะลุง” พลางเลิกคิ้วมองเพื่อนๆ ที่พร้อมใจกันเงียบกริบ แถมยังชี้ให้ออกไปคุยที่ระเบียงห้อง หน้าตาแต่ละคนเครียดว่าเมื่อครู่นี้อีกครับ ผมเลยจำต้องลุกขึ้นเดินไปเลื่อนประตูกระจกเปิดและปิด ก่อนเท้าแขนกับขอบระเบียงสูงสิบกว่าชั้น
“เมื่อกี้ลุงถามว่าอะไรนะ?”
[อยู่ไหน?]
“ทีอยู่ห้องรุ่นพี่”
[เจ้าหนูนั่นล่ะ ไปด้วยกัน?]
“ลุงจะคุยด้วย?”
[เปล่า สอบเสร็จแล้วใช่ไหม คืนนี้จะอยู่บ้านหรือออกเที่ยว]
คำถามมาเป็นชุด นี่ขนาดยังไม่ได้บอกว่าจะเที่ยวเลยนะ ผมทำใจสักพักก่อนตอบว่าออกเที่ยว ตามคาดโดนซักถามจนพรุน ผมก็พยายามตอบเลี่ยงๆ เท่าที่ทำได้ สุดท้ายก็จบแค่ให้ระวังตัว บ้านผมก็แบบเนี่ย ไม่ห้าม แต่ถ้าจะไปไหนกับพวกเพื่อนๆ ต้องรายงาน เช่น ออกต่างจังหวัด หรือเที่ยวกลางคืนต้องรายงานตลอด แน่นอนว่าขัดไม่ได้ ไม่งั้นจะอดงบเที่ยว
[ทากะจะคุยด้วย]
สักพักก็ได้ยินเสียงผู้ปกครองอีกคน [ฮัลโหลที]
“ลุงพาทาจังไปเที่ยวไหน?”
[นิกขับรถพาขึ้นเหนือมาเรื่อยๆ สนใจที่ไหนก็แวะ มืดก็หาที่นอนแถวนั้น ทาจังเลยมึนๆ นิดหน่อย ไม่คิดว่านิกจะพาเที่ยวแบบนี้]
“อย่าไว้ใจนะทาจัง อย่างลุงอาจปล่อยให้ทาจังตายใจก่อนก็ได้”
[นั่นสิ ทาจังกลัวมีเซอร์ไพรส์เหมือนกัน ว่าแต่คืนนี้เราจะไปเที่ยวสินะ]
“อือ” ผมลังเลนิดหน่อย แต่ก็เอ่ยถาม “…ไม่อยากให้ทีไปเหรอ?”
[ก็แค่เป็นห่วง]
ผมจับน้ำเสียงผิดสังเกตได้ทันที “มีอะไรหรือเปล่า ดูเหมือนทั้งสองคนกังวลเรื่องที”
[นิดหน่อย] ทากะซังเว้นวรรคไปเล็กน้อยก็พูดอธิบาย [นิกกับทาจังพึ่งเจอหมอดูทักมา]
“หมอดู?” ผมทวนคำงงๆ “ที่รับทำนายเป็นอาชีพ?”
[ไม่ใช่หรอก เอาเป็นว่าทำนิกกับทาจังกังวลเรื่องเราไปเลย]
“เขาพูดว่าอะไร?”
[อยากฟัง]
“อือ”
[บอกว่า…] น้ำเสียงทากะซังอึกอักพิกลจนผมขมวดคิ้ว [ดวงช่วงนี้ของทีให้ระวังมีเรื่อง]
“แค่นั้น?”
[บอกอีก เขาว่าดวงความรักของทีกำลังขึ้น ถ้ากำลังทำงานหรือเรียนจะได้หยุดพักผ่อนช่วงหนึ่ง มีความเป็นไปได้สูงว่าจะได้ไปท่องเที่ยวกับเพื่อน แต่ก่อนได้เที่ยวมีสิทธิ์จะเกิดเรื่อง ควรระมัดระวังตัวตลอดเวลา]
ผมฟังแล้วรู้สึกทะแม่งๆ เลยเอ่ยถาม “เดี๋ยวนี้ทาจังเชื่อเรื่องพวกนี้แล้ว?”
[ก็…ไม่เชิง แต่ฟังไว้ก็ดีกว่าไง]
ผิดปกติ!
“ทีขอถาม หมอดูที่ว่ารู้ได้ไงว่าทาจังรู้จักที”
[เขาก็ไม่ได้เอ่ยถึงทีตรงๆ หรอก เขาถามว่าพวกคุณมีลูกชายใช่ไหมน่ะ ถ้าพูดถึงลูกชายของเราก็ต้องเป็นทีอยู่แล้ว]
“แล้วเขารู้ได้ไง ในเมื่อทั้งนิกทั้งทาจังเป็นผู้ชายทั้งคู่ เดินผ่านๆ ไม่มีทางฟันธงว่ามีความสัมพันธ์แบบไหน ยิ่งถ้าจับตามองมาสักระยะจะรู้ว่าลุงกับทาจังเป็นคู่รัก ไม่มีทางพูดเรื่องลูกให้ฟังหรอก”
[เอ่อ…ก็…เขาเป็นหมอดูไง]
รู้สึกเหมือนเดจาวู คงรู้แล้วใช่ไหมว่าผมเรียนวิธีตอบแบบกำปั้นทุบดินมาจากใคร
“ทีขอถามอีกคำถาม” ผมข่มน้ำเสียงให้ราบเรียบ “หมอดูที่ว่าคงไม่ได้ชื่อขึ้นต้นด้วยตัว ฮ. หรือ ท. หรอกใช่ไหม”
[…อ๊ะ นิกเรียกแล้ว ทาจังไปนะ]
ผมหรี่ตาลงมองมือถือที่โดนตัดสายทิ้ง รู้สึกแปลกๆ เหมือนพวกลุงรู้อะไรบางอย่างมา แต่ปิดปังไว้ไม่ยอมบอกกัน
ทำไม?
ไม่ทันได้คิดมากกว่านี้ หน้าจอก็กระพริบสายคนโทรเข้า คราวนี้จากพ่อ
[ไงลูก สอบเสร็จหรือยัง?]
“เสร็จแล้วครับ”
[ดีเลย คุยกับน้องหน่อย น้องขู่พ่อว่าถ้าไม่โทรหาพี่ให้ จะโกรธพ่อไปสามวัน]
ผมเลิกคิ้วเล็กน้อย มีน้องสองคน แน่นอนว่าไม่ใช่ยัยน้ำแน่ เพราะตั้งแต่ออกจากบ้านมาน้องสาวก็ไลน์บอกให้ผมติดต่อไปหาทุกวัน จะส่งแค่สติกเกอร์วันละครั้งก็ได้ ผมเลือกส่งหาน้องก่อนนอนทุกคืน ถ้าลืมวันรุ่งขึ้นน้องจะส่งข้อความบ่นยาวเหยียดมาให้ในตอนเช้า ตามด้วยบทลงโทษแสนเอาแต่ใจ
Nam: ต้องให้พวกน้ำไปเที่ยวมหาลัยพี่
Nam: พี่ติดทำอาหารตามน้องสั่งสองรายการ
Nam: ต้องซื้อของอร่อยที่สุดในแหล่งท่องเที่ยวมาฝากน้อง
อันหลังสุดพึ่งได้มาสดๆ ร้อนๆ ตอนเช้า เพราะเมื่อคืนผมมัวแต่คิดเรื่องจดหมายจนลืมส่งข้อความไปหา สรุปคือผมลืมมาแล้วสามครั้ง
[พี่] เสียงน้องอันข้างหูดึงผมออกจากภวังค์
“ไงตัวเล็ก” เลื่อนมือถือดูนาฬิกาตรงมุมจอแวบหนึ่ง จากเวลาน่าจะกำลังเดินทางกลับกัน “วันนี้พ่อไปรับกลับ?”
[อือ! พี่อยู่ไหน]
จะบอกไงดี พูดคำว่า ‘รุ่นพี่’ ไปคงไม่รู้จักมั้ง งั้น…
“บ้านเพื่อนครับ”
[กลับบ้าน]
หือ!
เหมือนผมจะหูฝาด เลยถามซ้ำ “อะไรนะ?”
[กลับบ้าน!]
คราวนี้ชัดเจน ผมพึ่งโดนน้องคนเล็กสั่งให้กลับบ้าน ริมฝีปากเผลอคลี่ยิ้มขำขัน บอกตามตรงผมถูกใจเสียงขึงขังของน้องไม่น้อย
“พี่ยังกลับไม่ได้”
น้องเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนคำสั่งที่สองจะตามมา [มารับอันด้วย]
ผมเลิกคิ้วสูง “จะมาอยู่กับพี่?”
[อือ!]
ตอบรับหนักแน่นมากครับน้องผม รีบยกมือปิดปากก่อนเผลอปล่อยเสียงหัวเราะออกมา…เผลอๆ เจ้าตัวเล็กติดผมมากกว่าน้ำอีกมั้งเนี่ย
ผมรีบสะบัดไล่ความคิดในหัวตอนนี้ออก ครุ่นคิดสักพักก็เอ่ยถาม “น้องอันปิดเทอมยัง?”
[ปิดเทอม?] ทวนคำพูดกลับมา […ยังนะ]
“งั้นมาอยู่กับพี่ไม่ได้หรอก”
[ทำไมล่ะ?]
“ก็ถ้ามาอยู่กับพี่ตอนนี้ อันจะขาดเรียนนี่น่า”
[อันยอม]
“จะไม่ได้เจอคุณครู แถมอดเล่นกับเพื่อนๆ ด้วยนะ” ไม่มีเสียงตอบกลับมาทันทีเหมือนเมื่อครู่ ดูเหมือนเจ้าตัวเล็กจะเริ่มลังเล ผมเลยถือโอกาสกล่อมต่อ “เดี๋ยวพี่ก็กลับไปหาแล้ว รอพี่เอาของเจ๋งๆ ไปให้ดีกว่า”
[…นานไหม]
“ก็” ผมกรอกตามองท้องฟ้า จะอธิบายเรื่องเวลากับเด็กห้าขวบยังไงดี “เอางี้ อันรู้จักปฏิทินไหม”
[อันรู้]
“เก่งมาก งั้นกลับบ้านก็ถามพ่อดูว่าวันนี้คือตรงไหน แล้วนับไปอีกสองช่องจะเห็นตัวเลขสีแดงๆ อันก็เริ่มนับตัวสีแดงๆ ลงมาอีกสองครั้ง…”
ยังอธิบายไม่ทันจบ ก็ได้ยินเจ้าตัวเล็กร้องหาปฏิทินจากพ่อ ด้วยความที่ออกเสียงไม่ชัด ฟังไปฟังมาเหมือนน้องเรียกปาทิน พ่อคงงงเลยถามกลับมาหลายครั้ง เดือดร้อนผมต้องพูดคำเดิมให้ฟังช้าๆ ปล่อยน้องออกเสียงตาม สุดท้ายเจ้าตัวเล็กก็ได้ของที่ต้องการ ไม่นึกว่าบนรถพ่อมีปฏิทินเก็บไว้ด้วย
“หาคำว่าธันวาคมก่อน ใช่ๆ เดือนสิบสอง แล้วก็หาเลขสิบแปด”
[อันเจอแล้ว]
“นับออกไปอีกสองจะเป็นเลขยี่สิบใช่ไหม เป็นสีอะไรครับ”
[สีแดง]
“นับลงมาข้างล่างอีกสองครั้ง…”
[สองครั้งไม่ได้ ข้างล่างมีแค่อันเดียว]
อ้าว นึกๆ ดู อ้อ สิ้นสุดเดือนนี่น่า งั้น…
“ถามพ่อนะเดือนถัดไปอยู่ไหน”
[พ่อ เดือนถัดไปอยู่ไหน]
[ต่อจากธันวาเหรอลูก นี่ไง ตรงนี้ที่เป็นสีจางๆ]
[อันเจอแล้ว]
“เห็นเลขหกไหม?”
[อือ]
“พี่กลับวันนั้นแหละ”
อันที่จริงผมน่าจะบอกน้องแบบนี้ตั้งแต่แรกนะ พอเจ้าตัวเล็กได้คำตอบพอใจก็คุยกับผมอีกนิดหน่อยก็วางสายไป แต่เชื่อเถอะ น้องอันไม่เข้าใจหรอกว่ามันนานแค่ไหน เพราะถ้ารู้คงโวยวายใส่ผมไปแล้ว
ผมโคลงหัว ต้องรอโตกว่านี้อีกหน่อย
พอกลับเข้ามาในห้อง ทันได้ยินพาร์ (น่าจะอาสาเล่าเรื่องต่อจากผม) กำลังพูดปิดท้ายพอดี ระหว่างเดินไปนั่งที่เดิม สายตาก็เหลือบมองไอ้ยำที่ดูตั้งใจฟังสุดพลางแอบส่ายหน้า
ถ้าถามหาเจ้าของห้องอีกคน ผมพึ่งเดินสวนกับพี่แกแถวลิฟต์ชั้นล่างตอนขามา เท่าที่คุยกันเห็นว่าจะไปซื้อของตามใบสั่ง เอ้ย ใบรายการที่คุณเมียเขียนส่งให้ ไม่รู้มันไปหลอกล่อพี่ภูท่าไหน ถึงได้ยอมทิ้งเมียไว้ที่ห้องตามลำพังทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าจะมีแขกมาหา
“เดี๋ยวก่อน กูไม่เข้าใจว่าแค่ส่งข่าว แฟนเก่ายำจะทำเรื่องซับซ้อนไปทำไม”
“กูเห็นด้วย เดี๋ยวนี้ติดต่อทางอื่นสะดวกกว่าส่งจดหมายตั้งเยอะ”
“เจ้าของจดหมายจริงๆ ไม่ใช่แฟนเก่ายำนี่”
ผมพูดบ้าง “กูเดาว่าเจ้าของจดหมายจริงๆ คงไม่กล้าติดต่อมาทางอื่นมั้ง เพราะตามความจริงกูไม่รู้จักก็ถือเป็นคนแปลกหน้าอยู่ดี”
“เหอะๆ มึงคิดมากไปแล้ว ไอ้วินยังมีคนแปลกหน้าติดต่อหาทุกวี่ทุกวัน ไลน์บ้าง เฟซบ้าง เต็มไปหมด”
“นั่นคนดัง” ผมว่า
“แล้วมึงไม่ดังหรือไง!”
“ไม่”
“โหยย! กล้าพูด! ยำฝากตบหัวมันทีดิ”
คนโดนสั่งหันมองผม แล้วรีบหันไปส่ายหน้าให้ไวไว มันขมวดคิ้วทันที เมื่อเห็นคู่หูไม่ยอมทำตามที่บอก นับเป็นเรื่องผิดปกติอย่างหนึ่ง ไวไวเลยจ้องจับผิดผมแทน จ้องไปเถอะ ไม่มีทางรู้หรอก ในเมื่อเจ้าของความลับไม่คิดเปิดเผย ผมก็คงกุมความลับของยำไว้ในกำมือต่อไป
“หรือมึงบล็อกทุกการติดต่อกับแฟนเก่าแล้ว?” เทมถามขึ้นมา
ประเด็นเริ่มมีสาระ ยำส่ายหน้าแทนการตอบ ผมเริ่มเอะใจบางอย่าง เลยยื่นมือไปหาคนนั่งทางซ้าย
“เอามือถือมึงมาดูดิ”
หลังได้มาก็กดปลดล็อก ไม่ใช่แค่ผมหรอกที่รู้ และไม่ใช่แค่ของยำ สรุปคือรู้รหัสกันหมดทุกคน สมกับที่เคยบอกว่าไม่มีความลับระหว่างกัน แต่ข้อนี้ยิ่งเติบใหญ่ก็ยิ่งรักษาไม่อยู่…ตัวอย่างก็มีให้เห็นอยู่ชัดๆ
หลังกดดูสักพักก็ส่งคืนเจ้าของ รายงานให้คนนั่งรอฟัง “บล็อกหมดแล้ว”
“เฮ้ย แต่กูไม่เคยกด…”
ผมพูดขัดยำทันที “ยำอาจไม่ได้ทำ แต่มีคนอื่นทำแทน”
“ใครวะ?” ไวไวถาม
ผมเหล่มองไอ้คนข้างๆ ยกยิ้มมุมปาก “แฟนใหม่ไอ้ยำ”
“อ้าว มึงมีแฟนใหม่แล้ว?”
ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ทั้งที่โดนยำจ้องเขม็งคาดโทษใส่ บอกตามตรงผมทั้งหมั่นไส้ทั้งคันปากยิบๆ อย่างจะแฉมันจะแย่
“ยังไม่ใช่แฟน!”
เพื่อนคนอื่นพยักหน้ารับรู้ ไม่ได้สนใจประเด็นนี้อีก ผิดกับผมที่เอียงตัวกระซิบข้างหูไอ้คนปฏิเสธเสียงแข็ง
“เพราะเป็นยิ่งกว่าแฟนนี่เนอะ”
“ไอ้ที!”
ผมหัวเราะเอียงหัวหลบฝ่ามือมัน หันไปสนใจประเด็นที่ทั้งกลุ่มกำลังพูด
“สรุปว่าเพราะติดต่อยำไม่ได้ เลยติดต่อทางทีแทน?”
“แล้วทำไมต้องทำอะไรลึกลับอย่างส่งแทรกมากับจดหมายคนอื่น?”
“มึงบล็อกเหมือนกัน?”
ผมส่ายหน้า พูดเสริม “ถึงไม่บล็อก มันก็คงไม่กล้าติดต่อกูก่อนหรอก ล่าสุดที่คุยกันต่อหน้าจบได้ยอดแย่ และมันคงนึกว่ากูยังโกรธอยู่มั้ง”
“แต่กูว่ามันกะยิงครั้งเดียวได้นกสองตัวมากกว่า”
“ยังไง?”
“ก็ถ้าทีรู้ มันคงไปกับยำอยู่แล้ว”
แต่ละคนพยักหน้า เพื่อนทั้งกลุ่มขาดแค่สองคือต่อที่บอกมาชัดเจนว่าไม่ว่างมาเจอ กับกายที่ยังติดสอบช่วงเย็น ถึงอย่างนั้นผมก็ส่งพิกัดร้านไปเผื่อ กายยืนยันกลับมาว่าจะไปหา ส่วนต่อยังไม่แน่ใจว่าจะปลีกตัวมาได้ มันบอกว่าต้องทำงานชิ้นหนึ่งให้พ่อ ต้องทำให้เสร็จก่อนไปเที่ยว ไม่งั้นคงอดไปเที่ยวกับพวกผม ฟังแล้วก็เครียดแทน พ่อมันรีบร้อนเกินไปแล้ว
“กับดักใช่ไหม?”
“มองเป็นอย่างอื่นได้ด้วย?”
“ใจเย็นๆ อย่าพึ่งอคติ ถ้าเป็นกายคงพูดแบบนี้” วินว่า “ลองมาคิดกันใหม่เถอะ เอาแบบที่มีเหตุผลรองรับ หัวข้อคือ คิดว่าเป็นแง่ดีหรือร้ายมากกว่ากัน ให้เวลาคิดห้านาทีค่อยตอบ”
หลังผ่านไปห้านาที คนที่พูดคนแรกคือเทม
“กูว่าร้าย” น้ำเสียงราบเรียบ ชี้นิ้วทางกระดาษ A4 ปรินต์เป็นแผนที่มา มีวงปากกาไว้ว่าที่ไหน ด้านล่างมีเขียนวัน เวลา ชื่อคนนัดหมายด้วยลายมือของเด็น “สถานที่นัดคุยมีตั้งเยอะตั้งแยะ ทำไมต้องระบุเจาะจงว่าเป็นที่ผับ”
“กูเห็นด้วย” ไวไวยกมือ “เป็นกูคงหาที่เงียบสงบคุยมากกว่าเลือกที่เสียงดังๆ ต้องคอยกระซิบข้างหูถึงจะได้ยินแบบผับ กูเลือกมองในแง่ร้าย”
“คนอื่นล่ะ”
ผมกับพาร์สบตากัน ก่อนที่ผมจะพูดขึ้น “พาร์เล่าเรื่องที่เจอเด็นตรงหน้าโรงแรมแล้วใช่ไหม”
“อือ”
“อันที่จริงคืนนั้นกูเห็นมันไปเที่ยวผับกับเพื่อนกลุ่มใหม่” พูดไปแล้วก็เผลอถอนหายใจ เหลือบมองแผนที่วางกลางวงอีกรอบให้แน่ใจ “ตอนที่กูเห็นมันเดินอยู่ ผับที่วงกลมไว้อยู่ในละแวกนั้นพอดี”
“เดี๋ยวๆ มึงหมายความว่ามันไปผับนั่นกับเพื่อนกลุ่มใหม่ แล้วเจอไอ้พวกนั้นสินะ”
“กูแค่เดา เพราะอีกสองคนที่ยืนหน้าโรงแรมกับมัน เป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับที่กูเห็นคืนนั้นด้วย เสียดายกูไม่ได้ถ่ายรูปไว้ เลยไม่มีหลักฐานยืนยัน”
“ประเด็นคือผับที่นัดหมายมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นจุดล่าเหยื่อสินะ”
“คิดว่า” พาร์บอกเสียงขรึม
“มันล่อเราไปเจออันตรายชัดๆ”
“มองหาแง่ดีไม่ไหวจริงๆ”
“นี่พวกมึงสองตัวคบไอ้คนแบบนี้เป็นเพื่อนเป็นแฟนได้ไงเนี่ย!”
ยำทำหน้าอ้ำอึ้ง ส่วนผมทำได้แค่ถอนหายใจ อธิบายแทน “เมื่อก่อนถึงมันจะเอาแต่ใจไปหน่อย แต่นิสัยโอเคดี ที่มันเปลี่ยนไปกูเดาว่าคงเกิดจาก…หลายๆ สาเหตุ”
“ไม่ก็สันดานเป็นแบบนี้อยู่แล้ว เพียงแค่ยังไม่ได้เผยออกมาให้พวกมึงรู้”
จังหวะนั้นประตูหลักเปิดออก คนที่ไขกุญแจเข้ามาเป็นใครไม่ได้
“สวัสดีครับ”
วินยกมือไหว้รุ่นพี่คณะตัวเองก่อนคนแรก พวกผมเลยทำตามกันหมด ทำไปแล้วก็นึกขึ้นมาว่า ผมทักทายกับพี่ภูไปแล้วนี่หว่า…ว่าแต่ไหงกลับมาเร็วจัง คิดแล้วก็ชำเลืองมองคนทางซ้าย ไอ้ยำทำหน้าตกใจน่าดู
“หวัดดี” พี่ภูกวาดมองพวกผมทีละคน อย่างกับโดนแสกน ก่อนพี่แกจะยิ้มให้นิดๆ “เดี๋ยวพี่เอาของไปเก็บก่อน ยำลุกมาดูด้วยว่าครบไหม”
คนโดนเรียกนั่งลังเล ดูเหมือนมันก็อยากรู้ว่าพี่ภูลักไก่ซื้อของไม่ครบหรือเปล่า ถ้าดูจากรายการที่เพื่อนผมเขียนให้ คนละทิศละทางแบบนั้น น่าจะใช้เวลามากกว่านี้เยอะ คิดแล้วผมยังอยากลุกไปถามว่าพี่ใช้วิธีอะไรถึงได้กลับมาเร็วกว่าที่คาดตั้งเยอะ
มันหันมองผม เอียงตัวมากระซิบ “ไปดูให้กูหน่อย”
“ทำไม?”
“น่านะ ไปดูให้กูหน่อย”
ผมไม่ได้หลงกลน้ำเสียงอ้อนของเพื่อน แต่ยอมทำตาม เพราะความอยากรู้อยากเห็นล้วนๆ ลุกขึ้นยืนเดินตามพี่ภูที่เลี้ยวหายไปโซนครัว พอพี่ภูเงยหน้าเจอผมก็พ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ พูดแค่สองคำ
“กะแล้ว”
“ผมก็ไม่อยากมาหรอกพี่”
พี่ภูส่งใบรายการให้ “จะเช็ดใช่ไหมล่ะ ของทั้งหมดอยู่นู้น”
ผมรับมาเช็ดอย่างละเอียด ดูทั้งชื่อร้าน ทั้งวันปีผลิต ทั้งหมดนั้นคือขนมครับ เป็นของร้านดังๆ ที่เพื่อนผมชอบมากซะด้วย ทุกอย่างครบไม่มีขาด มีเกินด้วยซ้ำ
“พี่ทำได้ไงเนี่ย ซื้อของทั้งหมดนี่ในเวลาแค่นี้?”
“เพราะพี่ฉลาดไง”
ผมวางกระดาษในมือลง หันไปมองคนพิงโต๊ะเคาน์เตอร์ ในมือมีแก้วน้ำเย็นๆ กวาดสำรวจเร็วๆ พี่แกไม่มีท่าทางเหน็ดเหนื่อยให้เห็นด้วยซ้ำ
“ผมขอถามได้ไหม”
“งั้นมาแลกเปลี่ยนกัน เราถามมากี่คำถาม พี่ก็จะถามกลับเท่ากัน”
แฟร์ดี ผมเลยพยักหน้า เอ่ยปากถามก่อน “พี่ใช้วิธีอะไรถึงซื้อของทั้งหมดเร็วขนาดนี้?”
“ง่าย ในเมื่อมันอยู่คนละทิศละทางขนาดนั้น พี่ก็แค่จอดรถไว้กึ่งกลางของสถานที่ทั้งหมด แล้วรอของเดินทางมาหาเอง”
“พี่ใช้คนอื่นไปซื้อของให้?”
“ใช่ มันระบุชัดเจนขนาดนี้ คนอื่นก็ซื้อให้พี่ได้”
ผมเหลือบมองเพื่อน มันพลาดอีกแล้ว น่าจะเขียนบอกแค่ร้าน แล้วตั้งเงื่อนไขให้พี่ภูลองเลือกของที่มันชอบมากกว่า พี่ภูน่าจะใช้เวลาเยอะกว่านี้ แต่ก็ไม่แน่ คนๆ นี้อาจคิดแผนแก้ออกอีกก็ได้
“จะถามอะไรพี่อีกไหม”
ผมรีบพยักหน้า “ยำใช้อะไรล่อให้พี่ออกจากห้อง?”
มุมปากทั้งสองข้างยกขึ้นทันที เป็นรอยยิ้มกริ่มที่ผมรู้คำตอบทันทีว่าเพื่อนผมต้องเสียรู้ให้คนตรงหน้าอีกแล้ว
“ถ้าพี่ทำได้ในเวลาที่กำหนด ปิดเทอมนี้พี่จะได้ไปเที่ยวด้วย”
“ไม่ใช่แค่นั้นใช่ไหม ไม่งั้นพี่ไม่ทำเวลาดีขนาดนี้หรอก”
“เรานี่ฉลาดจริงๆ ถ้ายำเป็นแบบเรา พี่คงแย่”
ก็พี่เล่นฉกคนที่ตรงไปตรงมา ไร้เล่ห์เหลี่ยมที่สุดของกลุ่มผมไปนี่!
“ก็…ถ้าพี่ทำเวลาได้ดี พี่จะได้ของตอบแทนบางอย่างน่ะ”
ผมหันมองเพื่อนตัวเองอีกครั้ง ไอ้ยำกำลังมองมาทางนี้พอดี แววตาสั่นไหวคล้ายกลัวอะไรบางอย่าง ไม่สิ กลัวพี่ภูล่ะมั้ง
“พี่ทำเพื่อนผมกลัวแล้วนะนั่น”
“อ้อ ก็แค่กลัวจะได้ขึ้นเตียงกับพี่น่ะ เป็นแบบนี้ทุกที ป่านนี้แล้วยังทำใจเป็นฝ่ายรับไม่ได้ ทั้งที่ร่างกายตอบสนองสัมผัสพี่แล้วแท้ๆ แมวเถื่อนของพี่ซึนได้ใจจริงๆ ว่าไหม”
“…” ผมของดออกความเห็นดีกว่า
“เมื่อกี้สี่คำถาม…ถูกไหม?”
ผมพยักหน้า รอฟังว่าพี่แกจะถามอะไร
“ยกโขยงมาห้องพี่ทำไมกัน?”
“มาหายำ”
“บอกสาเหตุมาให้หมดทุกเรื่อง”
ผมพ่นลมหายใจ “มาดูความเป็นอยู่ของเพื่อน มาปรึกษา มาประชุมวางแผน”
พี่ภูหรี่ตามองมา “ปรึกษากับวางแผนเรื่องอะไร?”
เข้าใจถามมาก! แต่อย่าคิดว่าผมจะจนมุมง่ายๆ
“เรื่องไปเที่ยวผับคืนนี้”
พี่ภูย่นหัวคิ้ว หันมองคนด้านนอก สีหน้าพี่แกดูหงุดหงิด ผมก็ได้แต่รอฟังคำถามสุดท้าย นานทีเดียวกว่าพี่ภูหันกลับมา
“อธิบายให้พี่ฟังหน่อย ทั้งกลุ่มเครียดเรื่องอะไร? อ้อ พี่ขอแบบละเอียดยิบ ห้ามแถ ห้ามโกหก ห้ามพูดจริงแค่ผิวเผิน ห้ามพูดจริงแค่ครึ่งเดียว ห้าม…”
ผมพูดขัดอย่างทนไม่ไหว “พี่แค่สั่งว่าให้พูดความจริงทั้งหมด ขอแบบเจาะลึก ห้ามหมกเม็ดก็พอแล้ว!”
-------------
“เป็นไร?”
ผมหันมองคนขับรถ หลังการประชุมวางแผนรับมือจบลง ยังเหลือเวลาอีกสองชั่วโมงจึงแยกย้ายไปแต่งตัวที่บ้านใครบ้านมัน
“ปวดหัวน่ะสิถามได้”
“นอนพักไปก่อน เดี๋ยวถึงบ้านกูปลุก”
ผมโบกมือปฏิเสธ ก่อนถอนหายใจยาวเหยียด “สุดท้ายก็ได้คนมาเพิ่มกว่าที่คาดการณ์ กูว่าชักจะวุ่นวายยังไงชอบกล”
“มึงไปบอกพี่เขาเอง”
“ถึงกูไม่บอก เขาก็ต้องตื้อขอตามไปอยู่ดี”
“…เลยมากันหมด”
ใช่ มาหมด ทั้งพี่นัทที่พอได้ยินชื่อเด็นก็ยอมมาง่ายๆ เหมือนอยากจะเคลียร์กับเด็นเช่นกัน ส่วนพี่เต้…พี่ภูตะลอมด้วยของฟรีก็แล้ว ด้วยเหตุผลก็แล้ว พี่เต้ยังปฏิเสธเสียงแข็ง แต่มาตกม้าตาย เพราะสองประโยคนี้
“กำลังจะมีเรื่องน่าสนุกเกิดขึ้น มึงไม่อยากมาร่วมวง?”
หลังจากนั้นก็เสนอฟรีทุกอย่างอีกรอบ แถมพี่ภูยังย้ำอีกว่าถึงเวลาออกโรงอยากทำอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น แต่หลังวางสายพี่ภูกลับถอนหายใจเฮือกหนึ่ง
“ที เดี๋ยวเพื่อนเต้อีกสองคนมาเข้าร่วมด้วย ถ้าเป็นสามคนนี้ทำได้ทุกอย่างแหละ ต่อให้ต้องทำตัวออกสาวก็ทำได้”
นึกถึงแล้วก็ได้แต่นวดขมับ สักพักก็ถอนหายใจยาวเหยียดด้วยความปลง
-------------
สองทุ่มกว่า กลุ่มลุยแนวหน้าประกอบด้วยผม ยำ และเพื่อนพี่ภูอีกสามคนนัดรวมกลุ่มกันที่หน้าทางเข้า นอกจากพวกผมยังมีอีกสองกลุ่มเข้าไปก่อนแล้ว แบ่งเป็นกลุ่มสังเกตการณ์ระยะใกล้ มีกาย (ที่จะมาสมทบภายหลัง) เทม พี่ภู และพาร์ คนหลังสุดควบสองตำแหน่ง เพราะช่วงแรกมันต้องพาวินกับไวไวไปหากลุ่มลูกหว้าก่อน ทิ้งทั้งคู่ไว้คอยดูแลกลุ่มลูกหว้า หลังจากนั้นพาร์จะย้ายกลับมาอยู่กลุ่มพี่ภูอีกที วินกับไวไวเลยเป็นกลุ่มที่สอง คอยคุมเพื่อนผมไม่ให้เข้ามาวุ่นวายจนเสียแผน
พูดถึงพี่ภู รายนี้เล่นแต่งตัวจนจำไม่ได้ ไม่ใช่ว่าแย่นะครับ ตรงข้าม ดีมากจนขนาดยำยังอ้าปากค้าง แล้วมาบ่นให้ผมฟังอยู่เนี่ย
“พอๆ กูขี้เกียจฟังแล้ว นี่มึงกำลังหึงใช่ไหม?”
“ใครหึง!” ยำเถียงกลับมาทันที
“ไม่หึงก็เลิกบ่น เกรงใจพวกพี่เขาหน่อย”
“ฮ่าๆๆ ไม่เป็นไรๆ”
พี่สามคนนี้ชื่อพี่ช้าง พี่เพชร และพี่เต้ พอทางพี่ภูบอกให้แต่งแบบไหนก็ออกมาแบบนั้น เห็นแวบแรกผมนึกว่าพวกพี่เป็นพวกออกสาวจริงๆ แต่พอคุยๆ กันแล้วก็รู้ว่าไม่ใช่ แถมพวกเขายังเฮฮากันดี แนะนำอีกต่างหากว่าทั้งกลุ่มโดนคนที่มหาลัยเรียก ‘เพี้ยนคูณสาม’ น่าจะเป็นชื่อกลุ่มล่ะมั้งครับ
“อ๊ะ ไม่สิ เปลี่ยนชื่อเรียกแล้วนี่หว่า อะไรเถาๆ นะ?”
“สามใบเถากลางถนน” พี่เต้ว่า
“นั่นแหละ!” พี่ช้างดีดนิ้ว “ว่าแต่ทั้งสองคน แต่งตัวผิดคอนเซปนะ”
“ครับ?” ผมถามกลับเสียงสูง ก้มมองเสื้อผ้าตัวเอง บอกตามตรงผมก็ไม่ค่อยมั่นใจหรอก แต่คนเลือกให้อย่างพาร์บอกว่าดีแล้ว “มันแย่เหรอพี่”
“ถ้าจะเล่นบทออกสาวต้องเปลี่ยนลุคกันหน่อย มาเดี๋ยวพวกพี่จัดการให้”
เดี๋ยวๆๆ ผมไม่ได้จะเล่นด้วยนะพี่!
“กูจัดการน้องทีเอง เต้มาช่วยกู เพชรไปจัดการน้องอีกคน”
ผมโดนพี่ช้างจับล็อกแขน “เฮ้ย! พี่ช้าง! เดี๋ยวก่อนนนน”
“จัดการเลยเต้”
พี่แกทั้งสองไม่ฟังผมเลย ลากผมไปลานจอดรถ ยัดขึ้นรถคันหนึ่ง
…ผมไม่ขอบรรยายสารรูปตัวเองแล้วกัน (ผมไม่เห็น และไม่กล้าไปส่องกระจกด้วย)
ส่วนเพื่อนผมน่ะเหรอ…เห็นมันแล้วนึกหน้าพี่ภูหงุดหงิดออกเลย ยำแค่ขมวดคิ้วหน้ายุ่ง แต่ไม่ยักโวยวาย คงรู้สึกเหมือนผมมั้งว่าสามรุ่นพี่ไม่ได้มีเจตนาแกล้งแต่อย่างใด พวกเขาแค่ทำให้พวกผมดูกลมกลืนไปกับกลุ่มด้วยเฉยๆ (ล่ะมั้ง)
“น่ารักกว่าพวกเราอีกนะเนี่ย ไหนๆ ไอ้เพชร ไอ้เต้มายืนนี่ดิ…ฮ่าๆๆ พวกมึงน่ารักสู้น้องไม่ได้วะ”
“กูไม่คิดสู้อยู่แล้ว”
“ปลงเร็วไปแล้วเพชร ปะ ไปวาดลวดลายกัน”
ผมเดินตามสามรุ่นพี่ผ่านลานจอดรถ ใกล้ถึงประตูอาคารก็ชะงักกึก เขม็งมองป้ายประกาศชัดว่า ‘Men Only’ พร้อมกับเสียงการ์ดเฝ้าประตูพูดเหมือนท่องสโลแกน
“ไม่ว่ารูปลักษณ์ภายนอกจะเป็นชายหรือหญิง ขอแค่บัตรประชาชนใช้คำว่าเพศชาย อายุถึงเกณฑ์ก็เข้าไปได้”
“อ้อ ขอดูบัตรประชาชนสินะ”
พวกพี่ๆ ยื่นให้หมดแล้ว ผมกับยำยังไม่เลิกตัวแข็งทื่อ จนสามรุ่นพี่ต้องช่วยกันสะกิด
“ยืนเฉยทำไมเล่า ยื่นบัตรให้เขาดูเร็ว”
เม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาบนหน้าระหว่างยื่นบัตรประชาชนให้ดู พลางหวนนึกถึงกลุ่มเพื่อนๆ ที่นำหน้าเข้าไปก่อนที่สามรุ่นพี่จะมา ตอนนั้นน่าจะเอะใจที่เห็นพวกมันยืนแถวประตูทางเข้าตั้งนาน ผมก็นึกว่ามีปัญหาเรื่องอายุ ที่ไหนได้…แล้วก็ไม่บอกกันนะพวกมึง
“ทำไมมึงไม่บอกกูว่าเป็นผับแบบนี้”
ผมรีบกระซิบกลับ “กูก็พึ่งรู้พร้อมมึงเนี่ย”
“ตายโหง สารรูปแบบนี้อีก เอ่อ เราถอยหลังกลับยังทันไหมวะมึง”
“ผ่านครับ”
เสียงการ์ดเอ่ยแทรกขวางบทซุบซิบ เราทำได้แค่มองหน้ากัน ก่อนโดนพี่ๆ ฉุดเข้าด้านใน
“เป็นอะไรไอ้น้อง กลัวขึ้นมาเหรอ”
ผมที่กำลังเหงื่อแตกกับสายตาที่มองมารีบพยักหน้า “ก็กลัวน่ะสิครับ!”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ถือเป็นประสบการณ์ชีวิต”
พูดง่ายไปแล้ว!
“เกือบลืม มาเดิมพันกันว่าใครได้เบอร์มากที่สุด”
ฮะ! ยังมีอารมณ์พนันกันอีกเหรอพี่!
“ผู้ชนะได้อะไร?”
“เมนูฟูลคอร์สสักมื้อเป็นไง”
“ก็ได้”
“ตามนั้น”
ผมเบะปาก สามคนนี้ชิวเกินไปแล้ว
“ทีกับยำก็เล่นกับพวกพี่ด้วยล่ะ”
ผมสะดุ้ง “เดี๋ยวพี่…”
“ห้ามออมมือให้พวกพี่เชียวนะ ไม่งั้นมีโกรธ”
ผมหุบปากฉับ ได้แต่สบตายำที่อยู่ใกล้ๆ มันกำลังหน้าซีดลงเรื่อยๆ แต่ยังมีใจโน้นหน้ามากระซิบบอก
“ทะ ทำไมกูรู้สึกเหมือนเห็นนรกอยู่ตรงหน้าวะ”
“ถามกูเหรอ?” ผมว่า
“เออ!”
“กูบอกได้แค่ว่า ‘ปวดหัว’ วะ!”
############
อีกไม่กี่วันก็ขึ้นปีใหม่แล้ว เราขอสวัสดีปีใหม่ล่วงหน้านะคะ
Happy New Year!
ขอให้ปี 2017 เป็นปีที่ดี
เป็นปีที่มีความสุขความเจริญทั่วหน้าค่ะ 

ตอนนี้คนเขียนขอตัวไปแพ็คกระเป๋า เตรียมหนีเที่ยวบ้างแล้ว
ไว้เจอกันใหม่ปีหน้านะคะ