- ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: - ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว  (อ่าน 175194 ครั้ง)

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
Re: - ชลนที - [บทที่38] P.13 (08/01/2017)
«ตอบ #390 เมื่อ09-01-2017 11:51:22 »

พาร์ น้องแกเหี่ยวแน่ 5555 มีสัญญาผูกมัด

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ1] P.14 (10/01/2017)
«ตอบ #391 เมื่อ10-01-2017 22:18:49 »

ตอนพิเศษ 1
ไดอารี่คุณพ่อมือใหม่  (พ่อแทน)

< พาร์ 3 ขวบ >

“คุณพ่อของน้องพาร์ใช่ไหมคะ?”

“ใช่ครับ”

ใจคนรับวิตกกลัวลูกชายจะเป็นอะไรไป ยิ่งช่วงนี้ผีเข้าผีออก อารมณ์แปรปรวนยิ่งกว่าพายุเฮอร์ริเคน แต่ความจริงหลังฟังจากปากคุณครูทำเอาเงิบ เด็กน้อยของผมพึ่งไปอาละวาดใส่เพื่อนมา นี่หรือคือเหตุที่ผมถูกเรียกตัวด่วนระหว่างทำงาน

สรุปคือครูอยากให้รีบมารับตัวลูกชายไป เพราะเพื่อนร่วมห้องกลัวเขาหมดแล้ว

โดยปกติ พาร์ไม่ใช่เด็กเกเรก้าวร้าว แต่เพราะช่วงนี้เด็กน้อยตัวอ้วนกลมกำลังโดนงดของหวาน เหตุเพราะน้ำหนักเกินมาตรฐานเด็กสุขภาพดีไปโข ผมโดนครูต่อว่าเรื่องหักดิบให้ลูกงดของหวานกะทันหัน แต่เมื่อเริ่มไปแล้วให้กลับมากินตอนนี้คงไม่ดี เลยจำเป็นต้องทำเรื่องของดเอาลูกมาโรงเรียนชั่วคราวจนกว่าสภาวะอารมณ์เด็กน้อยดีกว่านี้

แต่ลูกระเบิดย่อมๆ ยังถล่มบ้านไม่ยอมหยุดหย่อน ต้องรีบเก็บข้าวของแตกได้ให้พ้นมือน้อยๆ ไม่งั้นคงกลายเป็นเศษแก้วไร้ค่า ลูกชายอารมณ์ร้ายกว่าที่คาดไว้โข จนฝ่ายภรรยามาปรึกษาว่าควรให้ของหวานกล่อมปีศาจน้อยให้อยู่ในความสงบดีหรือไม่

“อย่าพึ่งดีกว่า ขืนติดของหวานหนักกว่าเก่าจะยิ่งแก้ลำบาก เดี๋ยวผมลองโทรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญดู”

ผมได้รับคำแนะนำว่าให้หาอะไรดึงความสนใจเจ้าตัวน้อย ไม่ให้สมองว่างไปคิดเรื่องของหวาน ถ้าจะให้ดีพาไปออกกำลังกายควบคู่ด้วย จะช่วยลดน้ำหนักได้ดียิ่งขึ้น แต่ตอนนี้ผมเข้าหน้าลูกชายไม่ติด แถมเด็กน้อยยังประท้วงไม่ยอมออกจากบ้าน เลยต้องเค้นสมองคิดแทบตายในการเลือกอุปกรณ์กีฬาที่ลูกพอจะเล่นคนเดียว และเล่นที่บ้านได้ สุดท้ายก็คว้าแป้นบาสกับลูกบาสสำหรับเด็กมาติดไว้ที่บ้าน

“เอาเลยลูก หงุดหงิดอารมณ์เสียเมื่อไหร่ โยนเจ้าลูกกลมๆ ในมือเข้าห่วงตรงนั้นได้ ลูกจะหงุดหงิดน้อยลง”

พอได้ของเล่นใหม่ก็เห่อตามประสาเด็ก หลังจากผ่านพ้นช่วงสามวันแรก ลูกก็ยังเล่นได้อยู่ ผมก็โล่งใจที่ลูกชอบ เพราะถ้าเขาไม่ชอบหรือเบื่อคงไม่สนใจใยดีแล้ว

ผ่านมาอาทิตย์หนึ่งบ้านสงบขึ้นเยอะ ลูกชายยังทำหน้าหงุดหงิดอารมณ์เสียอยู่ แต่ไม่อาละวาดแล้ว ผมทั้งโล่งใจทั้งอยากร้องคราง คิดถึงรอยยิ้มของลูกชะมัด!

แต่วันหนึ่งฝ่ายภรรยาที่อยู่ในสภาวะอึกครึมไม่แพ้ลูกก็ฉีกยิ้มร่ากลับบ้าน

“คุณค่ะ ฉันได้ของดีมา”

“หือ?”

“นี่ค่ะ”

รูปถ่ายครับ ภรรยาอมยิ้มชูรูปทีละใบให้ผมกับลูกชายดู ภาพแรกเป็นเด็กหน้าตาน่ารักเหมือนตุ๊กตาอายุคงพอๆ กับพาร์ อยู่ในชุดกะลาสีเรือขาวฟ้ากำลังตะเบ็งท่าน่ารัก ฉีกยิ้มแสนหวานที่ทำให้โลกหม่นๆ ของผมสว่างไสวขึ้นทันตา

“ลูกบ้านไหนเนี่ยคุณ!”

“หุๆ ลูกของรุ่นน้องค่ะ”

ภรรยาเปลี่ยนภาพ หมวกเข้าชุดกาละสีกำลังโดนลมพัดปลิว เด็กน้อยหลับตาปี๋เหมือนตกใจแรงลม เปลี่ยนอีกภาพ เด็กน้อยกำลังแหงนหน้ามองต้นไม้ที่มีหมวกไปติดอยู่ อีกภาพเด็กปีนขึ้นไปแล้ว

“เฮ้ย!” ผมอุทาน “ยอมให้ปีนได้ไงเนี่ย!”

ถึงต้นไม้จะเตี้ยไม่สูงมาก ผู้ใหญ่อย่างผมแค่ยืนก็เก็บหมวกให้ได้แล้ว แต่นี่คนถ่ายให้ปีนเฉย

“คำตอบอยู่นี่ค่ะ”

ภรรยาของผมพลิกด้านหลังรูป มีข้อความเขียนด้วยปากกาลายมือภรรยา “ลอกมาจากต้นฉบับจริงเลยค่ะ”

‘ไม่ให้ทีเจ็บตัว ทีก็ไม่ได้เรียนรู้…นิก’

ใจผมดุจโดนกระแทก เหล่มองลูกชาย สงสัยต้องเอาอย่างบ้าง ขนาดทางโน้นเป็นเด็กผู้หญิงยังยอมให้เจ็บตัวเลย

ภาพต่อมา เด็กตกจากต้นไม้ตามคาดครับ แต่ตัวเด็กกลับยิ้มร่า ไม่ร้องงอแง ในมือยังมีหมวกที่คว้าทันก่อนตกลงมาด้วย ภาพสุดท้ายเป็นภาพเด็กฉีกยิ้มหวานจ๋อย ยืดอก โชว์หมวกในมือให้คนถ่ายรูปดู ติดมือคนถ่ายกำลังลูบหัวแทนคำชมมาด้วย

“พาร์ขอ!”

หือ?

ผมกับภรรยาหันมองลูกชาย เด็กน้อยของผมชี้นิ้วใส่รูปภาพ ย้ำอีกครั้ง “พาร์ขอ”

ฝ่ายภรรยาเลิกคิ้ว ก่อนยิ้ม “แม่ยกให้เลย ถ้าลูกสัญญาว่าจะเก็บรักษาดีๆ”

รีบพยักหน้าหงึกๆ เชียวลูกชาย

หลังจากนั้นผมต้องแปลกใจ พาร์สงบขึ้นเยอะครับ เกือบจะกลับเป็นปกติทีเดียว เขาก็ยังโยนลูกบาสลงห่วง แต่พอเล่นเบื่อหรือเหนื่อย แล้วเกิดหงุดหงิดอยากของหวาน เขาจะเอารูปถ่าย (ที่พึ่งได้) มานั่งดู แล้วอมยิ้มนิดๆ ภรรยาผมเห็นลูกชายชอบก็ติดต่อรุ่นน้องที่เป็นหลานรหัสขอรูปถ่ายมาอีก ทางนู้นก็ยินดี หลังๆ ทั้งสองคนเลยไปมาหาสู่กัน ได้รูปกลับมาเยอะแยะ จนผมต้องซื้ออัลบั้มรูปหลายเล่มให้ลูกชาย กลายเป็นของสะสมของพาร์ไปเลย

ลูกชายดูแลของสะสมดีครับ ผมเห็นเขานั่งจัดเรียงเข้าอัลบั้ม เก็บเข้าตู้กระจก อยากดูก็หยิบออกมานั่งดูบนพื้นพรม แถมยังเก็บเข้าที่ไม่มีวางทิ้งไว้เรี่ยราด แค่เห็นก็รู้ว่าเป็นของรักของหวง

ผมสะกิดภรรยา หลังลองสังเกตมาหลายอาทิตย์

“พาร์ถามถึงขนมหวานหรือเปล่า?”

“ไม่เลยค่ะ ดูเหมือนจะลืมไปแล้ว เดี๋ยวนี้ถ้าเจนออกไปข้างนอกแล้วกลับบ้าน เจ้าตัวน้อยถามหาแต่รูปถ่าย”

“…เป็นเอามากนะเนี่ย”

ภรรยาหัวเราะ “สงสัยติดรูปถ่ายแทนขนมหวานแล้วมั้งค่ะ”

ผมมองรอยยิ้มลูกชาย ไม่ได้ยิ้มให้ผมหรอก นู้น…เขายิ้มให้รูป

“อย่าบอกนะว่าเด็กตัวแค่นั้นกำลังมีความรัก?”

ภรรยาหัวเราะขำหนักมาก “ไม่ใช่หรอกค่ะ ถ้าคุณอยากรู้ ลองไปขอดูรูปสิค่ะ”

ผมเดินมาหาลูกชาย เอ่ยขอดูรูป พาร์ยอมให้แต่โดยดี มีแนะนำด้วย

“เล่มนี้ดีที่สุด”

ผมก็เปิดดูครับ รูปหน้าแรกเป็นฉากสนามหญ้า คนนั่งเล่นดอกหญ้ากำลังสวมชุดกระโปรงลูกไม้สีขาวกับมงกุฎดอกไม้ น่ารักมาก เจ้าหญิงตัวน้อยชัดๆ!

คราวนี้มาเป็นเซ็ตเช่นเดิม (ถึงว่าภรรยาบอกให้ซื้อเล่มใหญ่ๆ หน้าหนึ่งใส่ได้หลายรูป) บันทึกเหตุการณ์ทุกช็อตตั้งแต่เจ้าหญิงน้อยลุกขึ้นถลกกระโปรง วิ่งเข้าหาสุนัขตัวโตสีขาวที่บังเอิญเดินผ่านมา เข้าไปคลอเคลียวุ่นวาย สุดท้ายก็โดนหมาตัวโตงับหลังเสื้อ คาบหิ้วทั้งตัวมาวางคืนที่เดิม ก่อนมันสะบัดก้นเดินจากไป ทิ้งให้คนโดนหางปุกปุยปัดโดนจมูกจามอย่างแรง

ผมเผลออมยิ้มขำ พลิกไปดูรูปเซ็ตต่อไปทันที ก่อนจะเปิดดูต่อไปเรื่อยๆ อย่างเพลิดเพลิน

อ่า…ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมลูกชายกับภรรยาถึงได้ชอบขลุกดูรูปด้วยกันนัก และแล้วผมก็กลายเป็นแฟนคลับ (เรียกตามภรรยา) เด็กตัวน้อยในรูปอีกคน

เห็นแล้วชักอยากได้ลูกสาว แต่รอพาร์โตกว่านี้ก่อนดีกว่า

-------------

<พาร์ 5 ขวบ>

ลูกชายผมจบชั้นอนุบาลแล้ว พุงก็ยุบแล้ว พอพาออกกำลังกายบ่อยๆ ร่างกายลูกดูแข็งแรงขึ้น ไม่ป่วยง่าย ผมกับภรรยาเลยตัดสินใจยอมเสี่ยงซื้อเค้กก้อนเล็กๆ มาสังเกตอาการลูกว่ายังติดของหวานอยู่หรือเปล่า เป็นของหวานชิ้นแรกในรอบสองปี ถือว่าฉลองเล็กๆ น้อยๆ ให้ลูกแล้วกัน

พาร์ดูดีใจมากที่เห็นเค้ก แต่เขากินแค่สองชิ้นก็ส่ายหน้าไม่เอาแล้ว นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ทำผมกับภรรยาโล่งใจ เพราะก่อนหน้านี้ลูกผมฟาดเรียบทั้งก้อน ดุจท้องเป็นหลุมดำสำหรับของหวานโดยเฉพาะ ห้ามก็ไม่ได้นะ เดี๋ยวกลางคืนจะแอบลงมาเปิดตู้เย็น เอาออกมากินจนเลอะเทอะไปหมด ต้องเสียเวลาทำความสะอาดอีก

“พาร์อยากไปเจอคนในรูปไหมจ๊ะ? แม่พาไปเจอได้นะ”

ได้ยินที่ภรรยาถาม ผมก็แอบสนใจคำตอบ เจ้าตัวน้อยส่ายหน้าปฏิเสธรัวๆ ตอบเพียงสั้นๆ

“พาร์เขิน”

ภรรยาหัวเราะใหญ่ แต่ผมกลับกลุ้มใจ

พึ่งรู้ความจริงเมื่อไม่นานมานี้ว่า คนในรูปเป็นเด็กผู้ชาย ผมจำต้องคิดแผนเบี่ยงความสนใจลูกอีกครั้ง เริ่มตอนนี้ยังไม่สาย ผมใช้เวลาค้นหาและเก็บสะสมรูปถ่ายสวยๆ มากมาย แล้วเอาไปให้ลูกดู

“พาร์รู้ไหม ในโลกนี้ไม่ได้มีแค่รูปคนหรอกนะ นี่ไง”

ค่อยๆ หยิบมาวางโชว์บนพื้น ทั้งภาพทิวทัศน์หลากหลายสถานที่ ภาพสัตว์หลายชนิด สิ่งของน่าสนใจ เจ้าตัวน้อยดูสนอกสนใจมาก สุดท้ายผมก็ใจชื้นขึ้น ยามได้ยินคำพูดของลูก

“พาร์ชอบหมดเลย! พาร์ขอ”

เอาไปเลยลูก พ่อแถมอัลบั้มอีกสิบเล่ม หรือมากกว่านี้ก็ยังได้

-------------

<พาร์ 7 ขวบ>

ลูกชายผมเป็นพี่คนแล้ว พาร์ดูดีใจที่มีน้องสาว

ผมพอเข้าใจ ลูกคงจะเหงา เพราะพวกผมออกไปทำงานบ่อยๆ ลูกเลยต้องอยู่บ้านกับแม่บ้านที่มาทำงานไปเช้าเย็นกลับ บางทีก็ต้องอยู่ตามลำพังรอพวกผมกลับมา

ผมดีใจที่ลูกชายกระตือรือร้นช่วยแม่ดูแลน้อง

แต่ว่า…ลูกชายเริ่มเขียนจดหมายไปขอรูปถ่ายเองแล้ว

เอ่อ ที่ลูกมาขอให้พ่อสอน ตั้งอกตั้งใจฝึกเรียนเขียนอ่านอย่างจริงจังตั้งครึ่งปี เพื่อเรื่องนี้?

ผมยอมใจลูกชายจริงๆ

-------------

<พาร์ 8 ขวบ>

เด็กน้อยของผมเรียนชั้น ป.2 แล้ว พอได้เป็นพี่คน ความคิดอ่านดูโตกว่าเดิมเล็กน้อย

แต่หลายๆ อย่างก็ยังเหมือนเดิม เช่น สะสมรูปถ่าย

“เอ่อพาร์ พ่อขอถามอะไรหน่อยได้ไหม?”

“อื้อ”

“ในบรรดารูปถ่ายที่สะสมมา รูปถ่ายประเภทไหนที่พาร์ชอบมากที่สุด”

“นั่น”

ชี้ไปที่แถวกลางๆ ของชั้นหนังสือ แน่นอนว่าเป็นแถวที่ลูกชายหยิบได้ถนัดสุด และมักหยิบออกมาดูบ่อยๆ

ก็รูปถ่ายเด็กคนนั้นนั่นแหละ… ผมลูบหน้าพยายามทำความเข้าใจ

“เอ่อ แล้วทำไมถึงชอบล่ะ”

ลูกชายยอมหันมองหน้าผมจนได้ หลังสนใจเล่นกับน้องอยู่ตั้งนาน

“พาร์ชอบรอยยิ้ม”

ผมก็ชอบ “แล้วอย่างอื่นล่ะ?”

“…แววตามั้ง”

“ทำไมล่ะ?”

“ก็…เวลาพาร์เห็น พาร์อยากยิ้มตามทุกครั้ง”

อ้อ นั่นผมก็เป็น…คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง ผมคงคิดมากไปเอง

วันเดียวกัน ภรรยาก็กลับมาพร้อมใบหน้าเศร้าซึม แต่แววตาเคร่งเครียด เธอประกาศว่าต่อจากนี้ไปจะไม่มีรูปถ่ายเด็กคนนั้นอีกแล้ว

ผมทันเห็นลูกชายเผลอปล่อยแก้วหลุดมือ หล่นกระแทกพื้นแตกกระจาย

...ลูกหมุนตัวเดินหนีขึ้นห้องไปเลย

พาร์ซึมหนักถึงสามวันเต็มๆ กินข้าวน้อยลงมากจนน่าเป็นห่วง แต่การมีน้องสาวคอยอยู่ข้างๆ กลับช่วยฟื้นฟูสภาพจิตใจลูกชายให้ดีขึ้นได้ ผ่านพ้นอาทิตย์แรกไป พาร์ก็เริ่มทำใจได้ ผมพึ่งเข้าใจทีหลัง ลูกชายนึกว่าอีกฝ่ายจากโลกนี้ไปแล้ว เหมือนเพื่อนเขาที่พึ่งเกิดอุบัติเหตุจากไปกะทันหันเมื่อสองอาทิตย์ก่อน

มองโลกในแง่ร้ายมากลูกชาย

“ไม่แก้ความเข้าใจผิดให้ลูกจะดีเหรอคะ?”

“ไว้ก่อนดีกว่า สภาพจิตใจของเด็กอีกคนก็ยังไม่ดีขึ้นเลยนี่” ผมว่า หลังรู้เรื่องราวจากภรรยา “ให้เขาเข้าใจแบบนี้แหละ จะได้ไม่ซักถามมาก ต่อไปถ้าเด็กทั้งสองคนเกิดได้เป็นเพื่อนกันขึ้นมา จะได้ไม่ต้องพูดถึงเรื่องพวกนี้”

ภรรยาพยักหน้าเข้าใจ แต่ใจผมแอบซ่อนเหตุผลอีกอย่าง

ลูกชายจะได้เลิกยึดติดกับคนในรูปถ่ายซะที

เพราะจนป่านนี้ ลูกยังเข้าใจผิด คิดว่าคนในรูปเป็นเด็กผู้หญิงอยู่เลยครับ ผมก็พยายามค่อยๆ บอก แต่ลูกไม่เคยฟังผมจนจบประโยคสักที

เฮ้อ…

-------------

<พาร์ 9 ขวบ>

วันมหัศจรรย์ ลูกชายผมหัดเข้าครัวทำขนม

ผมได้ชิมตอนกลับจากที่ทำงาน มีความสุขมาก ก่อนหัวใจที่พองโตจะโดนเจาะลมจนฟืบ

ลูกไม่ได้ทำให้ผมกิน แต่ทำทดลองให้ผมชิมก่อน

ภรรยาหัวเราะคิกคัก เล่าให้ฟังว่า สองวันก่อน พาร์ได้รับจดหมายจากน้าอร (รุ่นน้องภรรยา) ข้างในเป็นรูปถ่ายใบเดียว

ผมขอดูก็เห็นเด็กคนนั้นที่ดูต่างจากเดิมมาก ผมสั้นลง ร่างกายดูแข็งแรงขึ้น (ได้ยินว่าเรียนศิลปะป้องกันตัวอยู่) รอยยิ้มไม่สดใสร่าเริงเท่าเดิม แม้แต่แววตาก็เปลี่ยนไป เห็นแล้วก็แอบสะท้อนใจ เด็กตัวแค่นี้ต้องมาเจอเรื่องโหดร้ายแบบนั้น

ภรรยาถ่ายทอดทุกประโยคไม่มีตกหล่น

“ลูกเอ่ยถามเป็นครั้งแรกว่า คนในภาพชื่ออะไรฮะ? ก็ตอบไปว่า ที จ๊ะ”

“…แม่ว่าเขาจะชอบของหวานไหม?”

“หมายถึงคนในภาพ? ลูกรีบพยักหน้าหงึกๆ”

“ไม่รู้สิ แม่ก็เห็นกินได้ทุกอย่าง อ้อ ถ้าเป็นอาหารทำเองกับมือ ทีจะชอบมากเป็นพิเศษ”

“ทำเอง…ลูกทวนคำพร้อมเหลือบมองห้องครัวที่ไม่มีคนในบ้านเหยียบย่างเข้าไป (ยกเว้นแม่บ้าน) เจนล่ะอยากกรี๊ด แถมวันนี้มีขนมออกมาให้ลองชิมด้วย”

ผมยกมือกุมขมับ ก่อนคบเป็นแฟน ผมเคยแอบเห็นภรรยาอ่านการ์ตูนอะไรน้า ชื่อเรียกติดอยู่ที่ริมฝีปาก ที่เป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษสองตัว…อ้อ BL หรืออะไรนี่แหละ พอแต่งงานคงรู้ว่าผมไม่ค่อยอยากให้อ่าน เลยอ่านน้อยลงไปเยอะ พอมีลูกก็ดูยุ่งๆ จนไม่ได้แตะของพวกนั้นอีก (ตอนนี้เก็บลงลังอยู่ในห้องเก็บของหมดแล้ว)

นี่ลูกผมไปกระตุ้นปลุกต่อมที่ฝ่อไปนานแล้วของคนเป็นแม่เข้าหรือ?

“เอ่อ คุณ ผมยังอยากอุ้มหลานอยู่นะ”

“ก็รอเบอร์ดี้มีให้คุณสิค่ะ”

“…ผมยังอยากให้หลานเรียกว่าปู่”

“เรื่องนั้นง่ายมาก แค่สอนให้หลานเรียกปู่แทนตาก็ได้แล้วค่ะ”

ผมค่อยๆ เหลือบมองลูกชายที่กำลังป้อนขนมน้องสาวด้วยความสงสารอย่างสุดซึ้ง

พ่อช่วยลูกได้เท่านั้นแหละนะ เพราะดูเหมือนแม่ของลูก...ไฟติดแล้ว

-------------

<พาร์ 12 ขวบ>

ผมมองภรรยาเอาสายสิญจน์ผูกข้อมือขวาลูก

สามปีแล้ว ภรรยาผมก็ยังไม่ยอมแพ้

แต่ก็แปลกดีจริงๆ นั่นแหละ เด็กสองคนนี้เอาแต่คลาดกันไปคลาดกันมา ไม่ได้เจอกันสักที ผมกับอรรถพนันไปสามรอบ โดนฟาดเรียบทั้งคู่ ต้องยกเงินก้อนนั้นให้ภรรยาเอาไปถลุงเล่นด้วยเรื่องของสองคนนี้เนี่ยแหละ คราวนี้ถึงขั้นเอาไปใช้เป็นค่าเดินทางไปเกือบสุดเขตประเทศ เพื่อไปหาพระอาจารย์ที่ได้ชื่อว่าอาคมแรงกล้าที่สุด

“ใส่ติดตัวตลอด ห้ามถอดนะลูก”

มีย้ำอีก

“ของหนูล่ะ?” ลูกสาววัยหกขวบถาม

“เบอร์ยังไม่จำเป็นหรอกจ๊ะ เอาไว้จำเป็นเมื่อไหร่ แม่จะไปขอให้นะ”

“เชื่อได้จริงเหรอคุณ?” ผมถามด้วยความติดใจ

“แน่นอนค่ะ”

ท่าทางมั่นใจมาก

ผมมองลูกชายอย่างปลงตกอีกรอบ เห็นหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราวแล้วสงสารเป็นบ้า เอาเถอะ อะไรจะเกิดก็ปล่อยให้เกิดไป สามปีที่ผ่านมาทำผมปลงตกได้เยอะแล้ว

-------------

<พาร์ 15 ปี>

ครอบครัวผมกับครอบครัวอรรถมาฉลองกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง เจ้าอรรถเป็นเพื่อนเก่าผมเอง เป็นพ่อของเด็กในรูปถ่ายด้วย เราพึ่งกลับมาติดต่อกันอีกครั้งหลังเจอหน้ากันที่โรงเรียนอนุบาลลูกสาว และเพราะภรรยาติดต่อกันอยู่เรื่อยๆ เราเลยกลับมาสนิทอีกรอบอย่างง่ายดาย
 
พวกเราฉลองทั้งเรื่องเรียนจบม.ต้นของสองลูกชาย และเลี้ยงส่งพาร์ที่จะไปเรียนต่อต่างประเทศสามปี หรืออาจอยู่ต่อจนจบ ป.โท

ผมคิดว่าวันนี้เด็กทั้งสองต้องได้เจอหน้ากันแน่ๆ ลูกผมจะได้หายโง่คิดว่าอีกฝ่ายเป็นผู้หญิงสักที

แต่…

ตัวเอกอีกคนดันมาร่วมงานไม่ได้ เพราะพึ่งบินออกนอกประเทศเมื่อเช้ากับคุณปู่ของเขา เนื่องจากพี่ชายบุญธรรมของอรรถดันเข้าโรงพยาบาล ตอนแรกอรรถจะตามไปด้วย แต่โดนห้ามไว้ เพราะยังต้องอยู่เป็นตัวแทนที่นี่

นึกแล้วก็อยากหัวเราะดังๆ ให้ฟันหัก เพราะเจ้าสายสิญจน์ไม่เห็นทำงานให้สมกับที่ดั้งด้นไปตั้งไกล

“ลูกชายน้าอรรถอยู่ห้องไหนเหรอครับ?”

นี่ไง! ป่านนี้เด็กสองคนนี้ยังไม่รู้จักกันเลย

แน่นอนว่าไม่มีใครตอบ สองแม่ทำหน้าเซ็งไปแล้ว ส่วนพ่ออย่างพวกผมลอบส่งยิ้มขบขันให้กัน แสร้งยกแก้วมาจิบ ให้ภรรยาเห็นว่ายิ้มไม่ได้หรอก เดี๋ยวเป็นเรื่อง

...พนันครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ก็โดนฟาดเรียบอีกแล้ว แต่คราวนี้ตังค์อยู่ครบแน่ เพราะพาร์จะไม่อยู่ให้พวกแม่ๆ จับคู่ให้แล้ว

โชคดีนะลูก พ่ออวยพรให้

-------------

<พาร์ 18 ปี>

ลูกชายผมกลับมาแล้วหล่อขึ้นเป็นกอง แถมยังนิ่งขึ้นด้วย

“ไปอยู่กับปู่มา เป็นไงบ้าง?”

ผมถามระหว่างขับรถพาลูกชายที่พึ่งลงเครื่องหมาดๆ กลับบ้าน

“ก็ดีครับ”

“แล้วจะกลับมาอยู่บ้านนานแค่ไหน?”

“หลายปีครับ”

“ฮะ?”

“ผมกะจะเข้ามหาลัยที่ไทย”

“อ้าว ไม่ชอบที่นู้นเหรอ?”

“ก็ชอบครับ แต่ผม…” จู่ๆ ลูกก็เงียบ แล้วเปลี่ยนคำถามซะเฉยๆ “พ่อรู้วิธีจีบผู้หญิงไหม”

โอ๊ะโอ๋…

“แล้วตอนอยู่นู้นไม่ได้ฝึกจีบ?”

“ผมจีบไม่ลง”

“ทำไมล่ะ? พวกเธอเปิดเผยดีออก”

“ผมชอบทางฝั่งเอเชียมากกว่า”

ผมอยากขำ ในที่สุดลูกผมก็โตเป็นผู้ชายเต็มตัวซะที

“แล้วไปปิ๊งสาวไหนเข้าล่ะ คนไทยเหมือนกันล่ะสิ ถึงได้รีบตามกลับประเทศแบบนี้”

“พ่อก็รู้จักนี่”

“พ่อเนี่ยนะ?” 

“ผมมีรูปนะ นี่ไง”

เหลือบไปเห็นปุบ ผมแทบจะกระทืบเบรก แต่ดีนะตั้งสติทัน เลยเลี้ยวรถไปจอดข้างทางแทน

“ลูกว่าไงนะ”

“นี่รูปเดิม พ่อเคยเห็นออกบ่อย บ้านเรามีรูปเขาตั้งหลายอัลบั้ม พ่อไม่น่าจะลืมง่ายๆ นะ”

ผมอ้าปากเหวอ ไม่นึกว่าลูกผมจะพกรูปถ่ายของเด็กคนนั้นติดตัวไปด้วย แถมยังเอาไปเคลือบอย่างดี พกใส่กระเป๋าสตางค์อีกต่างหาก

“ทะ…ทำไม”

แต่ลูกไม่ฟังผม ยังพล่ามต่อไปว่า “เพราะเธอ ตอนอยู่นู้น ผมถึงไม่ออกนอกลู่นอกทางมากเกินไป”

ฟังแล้วอยากจะเป็นลม

ทำไมล่ะลูก ผู้หญิงมีตั้งเยอะตั้งแยะ ทำไมต้องเป็นคนนี้…

ผมคันปากยิบๆ อยากบอกความจริงใจจะขาด แต่ติดเคยสัญญากับภรรยาว่าจะให้ลูกรู้ด้วยตัวเอง (ก็หลังจากภรรยาคิดจับคู่ให้ลูกนั่นแหละ)

“พาร์”

“ครับ?”

“เตรียมเผื่อใจอกหักไว้ด้วยนะ”

“…ไม่ให้กำลังใจกันเลย”

พ่อก็อยากให้ แต่คนนี้…ยังไงลูกก็ต้องถอย ยกเว้นว่า ลูกจะยอมรับเพศแท้จริงของเขาได้น่ะ

ผมถอนหายใจ ออกรถอีกครั้ง พร้อมพูดเตือน

“อย่าเอาไปปรึกษาแม่ล่ะ”

พ่อขอร้อง อย่าหาเรื่องไปกระตุ้นแม่เลยนะลูก

-------------

<หลังพาร์เข้าเรียนมหาลัยสามเดือน>

หลังออกจากโรงพยาบาล แล้วได้มาฉลองที่บ้านไอ้อรรถ ผมค้นพบความจริงบางอย่าง

…สายเลือดนั่นเข้มข้นมาก ลูกสาวของผมถึงได้เหมือนภรรยาเปี๊ยบ แถมยังเป็นฝ่ายรื้อฟื้นเอาเรื่องจับคู่พี่ชายไปกระตุ้นบรรดาแม่ๆ ให้ร่วมขบวนการด้วยอีกต่างหาก

จากสองคนกลายเป็นสี่คน แถมลูกชายยังมีความรู้สึกดีๆ ให้อีกฝ่ายอีก ไม่ต้องเสี่ยงทาย ผมยังเดาผลลัพธ์ออกเลย ยกเว้นจะมีเรื่องพลิกล็อก ก็ว่ากันไปอีกที

เฮ้อ~อ

แต่…

“ไอ้อรรถมาพนันกับกูอีกรอบซะดีๆ”

คนโดนถามยิ้มกริ่ม แววตาพราวระยับสนุกสนาน “น่าสนุก เอาสิ”

############

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ1] P.14 (10/01/2017)
«ตอบ #392 เมื่อ10-01-2017 22:37:54 »

 :m20: ฮาคุณพ่อค่ะ  :laugh:

ออฟไลน์ rinny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 517
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ1] P.14 (10/01/2017)
«ตอบ #393 เมื่อ10-01-2017 23:16:40 »

คู่นี้รุ่นพ่อแม่เค้าก็ชงให้ได้กันตั้งแต่เด็กๆเลยนะคะเนี่ย แต่ก็ดันนกคลาดกันทุกที ยังดีนะที่ตอนโตได้เจอกัน

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ1] P.14 (10/01/2017)
«ตอบ #394 เมื่อ10-01-2017 23:25:33 »

คุณพ่อคะ คุณพ่อสู้พลังสาววายแบบคุณแม่ไม่ได้หรอกค่ะ อีกอย่างพาร์ตกหลุมรักทีเข้าไปเต็มๆแล้ว ห้ามยากค่ะ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ1] P.14 (10/01/2017)
«ตอบ #395 เมื่อ11-01-2017 00:11:16 »

พาร์ ที สุดยอดดดดด  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
พาร์เจอที ทางรูปถ่ายฝ่ายเดียว ตั้งแต่ 3 ขวบ
ผูกจิตผูกใจตั้งแต่นั้นมา
รักเดียวใจเดียวจริงๆ
พาร์ น่ารักมากกกกก
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ1] P.14 (10/01/2017)
«ตอบ #396 เมื่อ11-01-2017 01:00:01 »

เคยเปงสายหวานมาก่อนนี่เอง55555

เปลี่ยนปุ้ปหล่อปั้ป

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ1] P.14 (10/01/2017)
«ตอบ #397 เมื่อ11-01-2017 08:56:13 »

 :laugh: :laugh: :laugh: :laugh: :laugh:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ1] P.14 (10/01/2017)
«ตอบ #398 เมื่อ11-01-2017 10:44:10 »

นี่ มีผู้ร่วมขบวนการหลายคนนี่นา

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ1] P.14 (10/01/2017)
«ตอบ #399 เมื่อ11-01-2017 11:51:11 »

ฮาคุณแม่ ฝึกให้หลานเรียกปู่แทนตา

เลือด BL เข้มข้น พาร์ไม่มีปัญหาแน่นอน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ1] P.14 (10/01/2017)
« ตอบ #399 เมื่อ: 11-01-2017 11:51:11 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ1] P.14 (10/01/2017)
«ตอบ #400 เมื่อ11-01-2017 18:30:26 »

ที่แท้รุ่นแม่ก็เป็นสาววายด้วยนี่เอง 555555

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ1] P.14 (10/01/2017)
«ตอบ #401 เมื่อ11-01-2017 18:39:27 »

ไม่ใช่แค่พรหมลิขิตล่ะคู่นี้

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ1] P.14 (10/01/2017)
«ตอบ #402 เมื่อ12-01-2017 08:50:55 »

55555 ใครรุกใครรับสินะ ..... สลับกันไปสิ อิอิอิ

ออฟไลน์ EoBen

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3322
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-6
Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ1] P.14 (10/01/2017)
«ตอบ #403 เมื่อ12-01-2017 10:24:56 »

พาร์น้อยน่าเอ็นดู


คุณพ่อช่วยพาออกมาจากทางสายนั้นแล้วนะ  แต่ดูเหมือนโชคชะตาจะทำให้คู่กัน


อร๊าายยยยย

ออฟไลน์ jimmyjimmy

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1966
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-17
Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ1] P.14 (10/01/2017)
«ตอบ #404 เมื่อ13-01-2017 23:33:19 »

ยังไงก้อได้สะใภ้เหมืนเดิมนะคุณพ่อ

ออฟไลน์ Legpptk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: - ชลนที - [ตอนพิเศษ1] P.14 (10/01/2017)
«ตอบ #405 เมื่อ14-01-2017 11:21:33 »

 :laugh: :laugh:

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
Re: - ชลนที - [บทที่ 39] P.14 (14/01/2017)
«ตอบ #406 เมื่อ14-01-2017 15:38:17 »

บทที่ 39

ผมพึ่งเสียเพื่อนคนหนึ่งไป เห็นว่าจะย้ายไปอยู่กับพี่ชายเหมือนที่ก่อนหน้านี้มันโดดสอบไปอยู่กับเขามา

พี่ชายที่ว่าไม่ใช่พี่ชายแท้ๆ แต่เป็นพี่ชายข้างบ้านสนิทกันมาตั้งแต่เล็ก เห็นมันบอกว่าเวลามีเรื่องทุกข์ใจหรือต้องการที่พึ่ง มักไปหาพี่ชายประจำ ผมก็พึ่งจะรู้ว่ามันมีความสัมพันธ์ไม่ค่อยดีกับคนที่บ้าน และน่าจะมีอีกหลายเรื่องที่ผมไม่เคยรู้ และคงไม่มีโอกาสได้รู้

มันคิดจะเริ่มต้นใหม่ และการเริ่มต้นนั่นจะไม่มีพวกผมไปเกี่ยวข้องด้วย

ก็ได้แต่หวังว่ามันจะโชคดี ได้เจอเพื่อน พี่ แฟนที่ดีกว่าพวกผม

หลังออกจากร้านอาหาร พี่ภูไปส่งพวกผมตรงจุดนัดหมาย เทมจะเอาลูกรักมาคืน กว่าจะได้กลับบ้านทากะซังก็เกือบสี่โมงเย็นแล้ว หลังอาบน้ำคลายร้อนก็มานั่งดูหนังตรงพื้นที่นั่งเล่นชั้นสอง หนังสนุก แต่ผมไม่ค่อยมีสมาธิ ในหัวคิดเรื่องนู้นเรื่องนี้ไม่หยุด หันไปมองคนข้างๆ อีกทีก็พบว่าหลับไปแล้ว

…หลับสนิทชนิดเอาขวดน้ำเย็นจัดแตะแขนก็ยังไม่รู้สึกตัว

ผมเทน้ำลงแก้วยกดื่ม พลางมองคนหลับด้วยอารมณ์หลากหลาย ถ้าถามว่าจำเรื่องเมื่อคืนได้ไหม ผมสามารถตอบเต็มปากเต็มคำเลยว่าไม่…ดีกว่าจำได้แล้วมองหน้ากันไม่ติด ผมคิดแบบนั้นเลยไม่พยายามนึกให้ออก

อีกเรื่องที่ทำผมคิดมากคือช่วงที่ตัวเองจำไม่ได้ แต่คนอื่นบอกว่ากลายเป็นเด็ก สายตามองมือถือบนโต๊ะ เบอร์จิตแพทย์ส่วนตัวอยู่ในนั่น ลังเลมาเกือบทั้งวันก็ยังไม่โทรไปหา กลัวว่าโทรไปแล้วจะกลายเป็นถูกจำกัดอิสรภาพ บอกตามตรงผมเบื่อโรงพยาบาลจะแย่ โดยเฉพาะโรงพยาบาลของลุงหมอ ผมเข้าออกที่นั่นบ่อยพอๆ กับโรงเรียน

ช่วงห้าโมงกว่ามีเสียงรถแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้าน ผมชะเง้อคอมอง เห็นรถก็แน่ใจว่าพวกลุงกลับมาแล้ว

รีบวิ่งเข้าห้องน้ำชั้นล่าง สำรวจตัวเองเร็วๆ โชคดีชะมัดที่พาร์ไม่ทำรอยแถวคอ ก่อนวิ่งไปดักรอหน้าประตูบ้าน ฉีกยิ้มเป็นธรรมชาติที่สุดนำทัพ แกล้งทำเป็นไม่เห็นคิ้วเลิกสูงของคนทั้งคู่ แบมือทั้งสองตรงหน้าผู้ปกครอง

“ของฝากทีล่ะ”

“ทากะดูเจ้าที เจอหน้าปุ๊บทวงของฝากปั๊บ”

โดนเหน็บแหนมก็ดีกว่าโดนจับผิดได้ ผมแสร้งหัวเราะไปกับคนทั้งคู่ทั้งที่แผ่นหลังเริ่มชื้นเหงื่อ

“เดี๋ยวทีช่วยขนของ” ขันอาสาเรียบร้อยก็รีบปรี่ไปยกของท้ายรถลงมา

เฮ้อ…เครียดชะมัด 

“แล้วไอ้หนูนั่นล่ะ กลับไปแล้ว?”

ผมสะดุ้งเล็กๆ หันไปมองลุงที่มาอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้…เห็นผมถอนหายใจหรือเปล่าหว่า

“เอ่อ หลับอยู่ตรงพรมชั้นสองครับ”

“หนอยมาอาศัยบ้านคนอื่น แต่กลับหลับสบาย ไปตามลงมาช่วยเจ้าของบ้านยกของเลย”

ผมน้ำท่วมปาก จะบอกว่ามันเหนื่อยเพราะผมก็ไม่ได้

“ปะ ปล่อยให้นอนไปเถอะน่า เรื่องแค่นี้ ทีคนเดียวเหลือเฟือ”

ยกแขนให้ลุงเห็นว่าผมแข็งแรงจะตาย

“ทำตัวแปลกๆ นะเจ้าที”

“แปลกตรงไหน” ย้อนถาม สบตาสู้ด้วยสุดฤทธิ์

“…ไปช่วยทากะตรงนู้นไป ทางนี้ลุงจัดการเอง”

ผมรีบพยักหน้า หมุนตัวกำลังจะเดินไปช่วยทากะซังอุ้มของออกจากเบาะหลังก็ต้องสะดุ้ง เพราะโดนลุงนิกตีก้น

“ทำอะไรของลุงเนี่ย?” ผมหันไปโวยใส่ เจอสายตาโคตรจับผิดเขม็งมาชวนหนาวๆ ร้อนๆ “มะ มองทีอย่างนั้นทำไม”

“จะไปหาทากะก็ไปสิ”

ผมรีบผละไปอยู่กับทากะซัง ไม่นึกฝันว่าจะโดนทดสอบด้วยการโดนตีก้น เข้าประชิดตัวคนตัวเล็กกว่าก็รีบกระซิบบอก

“ลุงนิกทำตัวแปลกๆ”

คนฟังหัวเราะใหญ่ “ก็แค่หาเรื่องจับผิดมาไล่แมลงที่เกาะแกะลูกเท่านั้นแหละ อย่าสนใจเลย ทาจังได้ยินว่าทีไปก่อเรื่องมาอีกแล้ว”

สะดุ้งโหยงเลยครับ

“ไม่มีสักหน่อย”

“ไม่มีน้อยน่ะสิ”

“ทาจังก็เหมือนกัน รู้ทั้งรู้ว่าทีจะเจอเรื่องอะไรก็ไม่บอกกันสักคำ! ไม่ต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้เลย เพื่อนลุงนิกใช้เพื่อนทีเป็นนกต่อใช่ไหมล่ะ?”

ผมมองแผ่นหลังคนอุ้มของเดินหนีก็ได้แต่แยกเขี้ยว รู้ก่อนล่วงหน้า แต่ดันมาบอกว่ารู้จากหมอดู!

กะแล้วว่าหมอดูที่ว่าต้องชื่อโฮทากะ

“ทาจัง” ผมหิ้วของเร่งฝีเท้าตามหลัง “ทีจะไปเที่ยวปิดเทอมกับเพื่อนนะ”

ผู้ปกครองหันมองหน้า “คราวนี้ไปไหนกันล่ะ”

“เที่ยวเกาะ”

“เกาะส่วนตัว?”

ผมพยักหน้า รีบพูดเสริม “พ่อเพื่อนส่งคนลงพื้นที่สำรวจกับรักษาความปลอดภัยแล้ว หายห่วงแน่นอน”

ใจลุ้นให้ทากะซังอนุญาต ถ้าคนนี้ให้ไป ผู้ปกครองอีกคนก็แย้งไม่ได้หรอก

“ก็ได้”

“เย้! รักทาจังที่สุด”

“ถ้าที่เกาะมีสัญญาณ ต้องส่งเมลมารายงานตัวทุกวันด้วย เข้าใจไหม?”

“ครับ”

“แต่ถ้าไม่ก็บอกช่องทางติดต่อให้ทาจังรู้ด้วยล่ะ”

ผมรีบพยักหน้า “เดี๋ยวทีให้เบอร์คนดูแลเกาะกับทาจังเลย”

“และคงไม่ลืมธรรมเนียมวันนี้ใช่ไหม”

ผมชะงักกึก เหงื่อเริ่มผุดขึ้นตามตัว “เอ่อ ทีรู้สึกไม่ค่อยสบายคงแช่น้ำด้วยไม่ได้”

“ไหน ให้ทาจังวัดไข้หน่อย…ปกติดีนี่”

อาการเหงื่อแตกพลั่กๆ มันเป็นแบบนี้นี่เอง

“ส สงสัยดีขึ้นแล้วมั้ง”

ผมเครียด แต่แสดงออกไม่ได้ พูดแก้ตัวมากกว่านี้ก็ไม่ได้ ทำได้แค่สงบปากสงบคำ หิ้วของตามทากะซังเข้าบ้าน ทำหน้าที่เรียบร้อยก็รีบเผ่นขึ้นชั้นบน คว้ามือถือกดค้นหา

‘วิธีทำให้รอยบนตัวหายโดยเร็ว’

รอยเพียบ รอยสิว รอยสัก รอยแผลเป็น ไม่ได้ต้องการเฟ้ย! อ๊ะ เจอแล้ว ผมกดเข้าไปอ่าน มีทั้งประคบน้ำร้อน น้ำเย็น เหรียญขูด ทารองพื้น ปิดพลาสเตอร์ยา แผ่นประคบก็มี…ผมกดปิดทันที ระบายลมหายใจ ทิ้งตัวนอนหงาย ยกแขนก่ายหน้าผากอย่างกลัดกลุ้ม

ดูแต่ละวิธีคงไม่มีทางหายภายในสองชั่วโมง เหลือบมองคนกำลังหลับสบาย นึกอยากจะงับหัวมันสักที แต่เห็นแก่ความดีที่ไม่ทำผมเจ็บก้นเลยจำยอมยกประโยชน์ให้จำเลย แล้วมาเครียดเองตามลำพัง

ตาย…ผมตายแน่ๆ

…เดี๋ยวก่อน ถ้าลากพาร์ไปแช่น้ำด้วยล่ะ?

ผมชักมองเห็นแสงสว่าง จ้องคนหลับสนิทอย่างหมายมาด ยังไงวันนี้มันต้องลงแช่น้ำกับครอบครัวผม!

-------------

“ครับ? แช่น้ำ?”

“ใช่แล้ว” ทากะซังส่งยิ้มให้คนถาม ผู้กำลังตกเป็นเป้าสายตาคนทั้งโต๊ะด้วยอารมณ์ต่างกันไป

ลุงนิกจ้องเขม็งให้พาร์ปฏิเสธคำชวน ส่วนผมจ้องกดดันให้มันตอบตกลง มีแค่ทากะซังคนเดียวที่ยิ้มให้อย่างปรานี

“มันเป็นธรรมเนียมของครอบครัวเรา คืนสุดท้ายก่อนแยกย้าย เราต้องแช่น้ำด้วยกัน”

“เอ่อ…” พาร์กวาดมองคนทั้งโต๊ะ ก่อนเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ “ให้ผมไปแช่น้ำด้วยจะดีเหรอครับ?”

“แล้วพาร์อยากเป็นคนในครอบครัวนี้ไหมล่ะ”

“ทากะ!”

ผมหลบสายตาพาร์ จิ้มกับข้าวใส่ปากเคี้ยวเงียบๆ มึงตอบตกลงไปเถอะ ไม่งั้นเรื่องรอยบนตัวกู ความแตกแน่ๆ 

“ว่าไงจะแช่ไหม?”

“…แช่ครับ”

สิ้นคำตอบ มันก็โดนลุงนิกจ้องพิฆาตใส่ จ้องไปเถอะ ยังไงผมก็รอดตายแล้ว ฟู่…

เมื่อมีพาร์ร่วมแช่ด้วย ลุงนิกก็เรื่องเยอะตามคาด ตั้งแต่สร้างเงื่อนไขห้ามให้ผมกับทากะซังเปลือยกายลงน้ำ ไล่พวกผมเข้ามาก่อน ดึงพาร์ไปคุยอะไรก็ไม่รู้นานจนน้ำเต็มบ่อถึงพึ่งเข้ามา

“ทากะ! นั่นชุดบ้าอะไร!!”

กะแล้วว่าลุงนิกต้องโวยวาย

“ก็ชุดซับในไง”

ชุดที่อยู่บนตัวผมกับทากะซังคล้ายยูกาตะสั้น ความยาวประมาณเข่า ตรงสาบเสื้อมีเชือกไว้ผูกกับเชือกอีกเส้นตรงข้างเอวกันหลุด ดูสะดวกที่สุดแล้ว (เพราะชุดอื่นไม่มีเชือกผูกแบบนี้ต้องใช้สายคาดเอวรัดเอา) ที่สำคัญปกปิดรอยแดงของผมได้หมดจด

ขอบคุณที่มันมีสติมากพอทำรอยทิ้งไว้เฉพาะใต้ร่มผ้าจริงๆ

“ทำไมต้องเลือกสีขาวเล่า!”

“อย่าเรื่องมากนิก แค่นี้ก็ยอมพอแล้ว”

ทากะซังหย่อนตัวลงบ่อ ท่าทางหงุดหงิดเล็กๆ ผมรีบลงน้ำตาม ช่วงแรกร้อนเหมือนโดนต้ม พอร่างกายปรับตัวสักพักก็รู้สึกร้อนน้อยลง ค่อยๆ ผ่อนคลายมากขึ้น

“ผมยาวขึ้นนะเนี่ย ไว้ผมยาวกว่านี้ก็ดีนะ น่าจะเหมาะกับที”

“แต่มันเกะกะ”

“ไม่ต้องยาวมากหรอก ประมาณนี้น่าจะโอเค”

ผมมองตามมือที่จิ้มหน้าอกก็เบ้ปาก “เกือบกลางหลังแหนะ ไม่เอาอ่ะยาวเกิน”

“งั้นสั้นอีกประมาณนี้เป็นไง” ทากะซังชวนผมคุยไปเรื่อย ไม่คิดสนใจคนพึ่งล้างตัวเอาขาหย่อนลงน้ำเพื่อปรับตัวก่อนเลยสักนิด

“ไม่ต้องไว้ยาวหรอก ทีเหมาะกับผมสั้นมากกว่า”

ผมมองลุงนิกสลับกับทากะซัง…คิดไปเองหรือเปล่าเหมือนผู้ปกครองทั้งสองกำลังหงุดหงิดใส่กัน

ลุงนิกพันแค่ผ้าเช็ดตัวลงบ่อ (ทั้งที่ทากะซังก็เตรียมชุดซับในวางไว้ให้แล้วแท้ๆ) ชักเริ่มเข้าใจนิดๆ ว่าทำไมทากะซังถึงหงุดหงิด เพราะคนที่บอกให้คนอื่นแต่งตัวมิดชิด กลับนุ่งแค่ผ้าขนหนูผืนเดียว ผมเหลือบมองพาร์บ้าง รายนั้นใส่ชุดซับในอาบน้ำเลยครับ แล้วก็เดินตัวเปียกโชกมาหย่อนขาแช่น้ำร้อน ท่าทางเกร็งๆ

“พาร์ มานั่งกับทาจังตรงนี้”

“ไม่ต้อง ที่ฝั่งนี้เยอะแยะ จะไปเบียดฝั่งนั้นทำไม”

ผมนิ่วหน้า รู้สึกถึงบรรยากาศมาคุแปลกๆ ค่อยๆ ตัวเขยิบออกห่างทากะซังช้าๆ มองผู้ปกครองตัวเองตอบโต้กันเป็นภาษาญี่ปุ่น

…กลัวมีมวยกลางบ่อน้ำชะมัด

เหมือนยกแรกทากะซังเถียงแพ้ ผมเห็นมุดหัวลงใต้น้ำข่มอารมณ์ สักพักถึงโผล่ขึ้นมา เสียงน้ำกระจายดังพอสมควรเรียกสายตาให้มองไป ทากะซังลุกขึ้นยืน มือเสยผมไปด้านหลัง เนื้อผ้าสีขาวที่ดูโปร่งบางกว่าปกติแนบกลืนไปกับกล้ามเนื้อ เป็นภาพที่ทำผมอ้าปากค้าง แก้มร้อนผ่าวๆ

ทากะซังเซ็กซี่ขึ้นผิดหูผิดตา…ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรพิลึกซักหน่อย

“ทากะ!” น้ำเสียงลุงเข้มจัด

“อะไร?”

“จะแช่ก็นั่งลงไป! ถ้าจะขึ้นก็รีบขึ้นมา!”

“แช่ไม่ถึงสิบนาที ใครจะขึ้นกัน!”

ผมมองผู้ปกครองเถียงภาษาไทยตาปริบๆ เริ่มมีสาดน้ำใส่กันเป็นเด็กๆ ปล่อยเด็กตัวจริงอย่างพวกผมรับลูกหลงเปียกทั้งหัว

“จะเอาเรอะ!” ทากะซังดึงขาลุงนิกลงน้ำ

ผมรีบขยับตัวหลบลูกหลง เดินไม่กี่ก้าวดันถูกอะไรสักอย่างใต้น้ำขัดขา เซถลาหน้าคะมำ น้ำหนักของผมคงทำให้เกิดน้ำกระเซ็นใส่คนนั่งอยู่ใกล้ๆ

“แค่กๆ”

ต่างคนต่างสำลักไอ ยังไม่ทันมองกันก็ต้องรีบลุกหนีลูกหลงต่อ จิ้งจอกเล็กใหญ่เริ่มเล่นมวยปล้ำกลางน้ำไม่สนใจเด็กตาดำๆ ที่เขยิบหนีสังเวียนไปหลบแถวขอบบ่อ แววตาพาร์มีแต่ความตื่นตระหนก ส่วนผมเหรอ…ชิน จึงตบไหล่ปลอบคนข้างๆ

“อย่างนี้แหละ เรื่องปกติ”

“ปกติ?” พาร์ทวนคำอึ้งๆ “จะชกกันแล้วนะนั่น”

ผมพ่นลมหายใจเบาๆ ให้คำแนะนำสั้นๆ “ขึ้นกันดีกว่า”

พาร์รีบผงกหัวเห็นด้วย แต่สองคู่มวยไม่รอให้เราขึ้นจากน้ำ ผิวน้ำไหวแรงขึ้นเรื่อยๆ น้ำแตกกระเซ็นกระจายไปทั่ว ผมรีบคว้าแขนพาร์ดึงหลบไปอีกทาง สายตาคอยจับจ้องแล้วหลบไปเรื่อย ต้องพยายามอยู่หลังทากะซังเข้าไว้ เนื่องจากลุงนิกชอบกันกับถอยหลัง จากที่แขนปะทะแขน เริ่มมีขาปะทะขา ยิ่งนานยิ่งหลบยากขึ้นทุกที

“หวา!”

เท้าผมลื่นพรืดไปข้างหน้าพุ่งใส่แผ่นหลังทากะซังพอดิบพอดี ด้วยสัญชาตญาณมือคว้าหาที่ยึดเหนี่ยว แต่ดันคว้าทันแค่เสื้อ เพราะตัวทากะซังพุ่งไปข้างหน้าเตรียมเตะลุงนิก

“เฮ้ย!”

ตูม! ซ่า!

ผมรีบยันตัวขึ้นนั่ง ลูบหน้าเอาน้ำออก ลืมตาขึ้นมาก็เห็นลุงนิกรวบทากะซังที่เปลือยเปล่าอุ้มขึ้นจากน้ำ ไม่นานก็ได้ยินเสียงประตูห้องอาบน้ำเลื่อนเข้าออก

ตายล่ะหว่า จะโดนโกรธไหมนั่น…

“…น่าจะทำตั้งนานแล้ว”

ผมรีบแย้งพาร์ “กูไม่ได้ตั้งใจ”

พาร์ชี้นิ้วตรงมา “มือยังกำนั่นไม่ยอมปล่อย”

ผมรีบก้มมองหลักฐานในมือ รีบดึงชุดของทากะซังขึ้นมาบิดน้ำออก โยนไปพาดขอบบ่อ แล้วหันมาถามอีกคน “เอาไง?”

“หมายถึงอะไร”

“จะแช่น้ำต่อไหม?”

พาร์ส่ายหน้า “ขึ้นดีกว่า”

มันเดินมาหา ยื่นมือให้จับ ผมส่งมือให้ก็ช่วยดึงขึ้น เพียงแค่ลงน้ำหนักเท้าข้างขวาความเจ็บแปล๊บก็แล่นเข้าสู่โสตประสาท กะทันหันจนผมเซถลาอีกรอบ ดีที่พาร์คว้าตัวผมทัน แต่เพราะสาเหตุอะไรไม่รู้ มันดันหงายหลังพาผมล้มตาม อาการเจ็บตรงเท้าชัดเจนมากกว่าเดิม

“ทำอะไรของมึง”

“ก็อยู่ๆ มึงเซมา…”

ขณะกำลังสนใจข้อเท้า ผมเริ่มรู้สึกแปลกๆ กับความเงียบที่เกิดขึ้น เลยเงยหน้ามองอย่างสงสัย คล้ายกับห้วงเวลาหยุดชะงัก ต่างคนต่างมองหน้าห่างเพียงแค่คืบของกันละคนอย่างนิ่งงัน

“…ที”

ผมสะดุ้งยามมืออีกคนสัมผัสแนบแก้ม

“กูว่า…กูทนไม่ไหวแล้ว ขอ…”

“เด็กๆ ขึ้นจากน้ำได้แล้ว…ทำอะไรกัน!”

ผมหันไปแยกเขี้ยวใส่ลุงนิกที่ยืนกอดอกทำหน้าโหดตรงประตูห้องอาบน้ำ

“เพราะพวกลุงเล่นอะไรกันไม่รู้ ทีเจ็บเท้าเลย”

คิ้วของลุงขยับเข้าหากัน สองเท้าก้าวเข้าใกล้ ชี้นิ้วที่ขอบบ่อน้ำ

“พามานั่งตรงนี้ ให้ลุงดูที่เจ็บหน่อย”

พาร์ช่วยพยุงผมขึ้นจากน้ำ เห็นแค่เสี้ยวหน้าพาร์ก็พอดูออกว่ากำลังหงุดหงิดที่โดนขัดจังหวะ แต่ผมกลับรู้สึกโล่งใจเล็กๆ หลังทรุดตัวนั่งขอบบ่ออย่างระวังก็บอกอาการ

“ทีเจ็บข้อเท้าขวา อึก…”

แค่แตะถูกก็เจ็บสุดๆ

“น่าจะข้อเท้าแพลง…จะขึ้นบันไดไหวไหม”

“ทีขึ้นได้”

“แต่ลุงจะให้เรานอนห้องรับแขก”

“ไม่เอา ทีจะไปนอนห้องตัวเอง”

หน้าผากผมโดนมือลุงสับเข้าให้ “เจ้าเด็กดื้อ”

ลูบหน้าผากเบาๆ ให้คลายเจ็บ ไร้คำโต้แย้ง เลยถูกลุงนิกถอนหายใจใส่

“งั้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วรออยู่ข้างบน เดี๋ยวลุงเอากล่องปฐมพยาบาลขึ้นไปให้”

ผมรีบพยักหน้า ให้พาร์ช่วยพยุงพาไปเปลี่ยนชุดยูกาตะ แต่กลับโดนลุงนิกช่วยพยุงแทน

“เดี๋ยวลุงช่วยเอง”

ผมรีบส่ายหัว ใจแอบกลัว “ลุงไปดูทาจังเถอะ ผมไม่เป็นไรหรอก เปลี่ยนเสื้อคนเดียวได้”

หลังยืนยันอยู่สามรอบ ลุงนิกถึงยอมปล่อยให้พาร์ช่วยพยุง

“งั้นไอ้หนู พยุงทีไปห้องน้ำ แล้วส่งยูคาตะให้ทีเปลี่ยน แล้วค่อยพาไปชั้นสามก็แล้วกัน”

“ครับ” 

“ห้ามตุกติกนะไอ้หนู”

“ครับ”

ผมปวดหัวกับลุงมาก

“รีบๆ ไปหาทาจังเถอะน่า เคลียร์กันให้เรียบร้อยด้วยนะ”

คล้อยหลังลุงออกไป ผมก็ถอนหายใจ 

“…มึงไม่ไหวก็น่าจะนอนชั้นล่าง”

“ไม่ได้หรอก” ผมลดเสียงลงเหลือแค่กระซิบ “เสี่ยงให้ลุงเห็นรอยบนตัวกูไม่ได้หรอก ไม่งั้นโดนหิ้วไปอยู่ด้วยตลอดปิดเทอมแน่”

“…แล้วพรุ่งนี้จะลงมายังไง”

“เกาะมึงลงมาไง และกูยังไปเที่ยวไหว!”

หลังยืนยันเจตนารมณ์ พาร์ก็ถอนหายใจใส่ผม

-------------

YamYam: มึงจะไหวจริงเหรอ?
TEE: ไหว!
YamYam: เที่ยวฉบับเราไม่ใช่ชิวๆ นะโว้ย’
TEE: กูรู้

YamYam: มึงไม่รู้ เมื่อกี้พวกเราพึ่งให้ว่าที่เจ้าของเกาะจับฉลาก มันจับได้อะไรรู้ป่าว
TEE: อะไรล่ะ?
YamYam: เอาตัวรอด’
TEE: จริงดิ!
YamYam: จริง งานนี้มันแน่ เพราะดันถูกจริตเจ้าภาพคิดเกม จนกูกำลังคิดว่ามันโกงฉลากอยู่เนี่ย

“นอนได้แล้ว”

ผมละสายตาจากคุยโต้ตอบกับยำทางไลน์มามองคนพูดเตือน พาร์ช่วยปิดไฟดวงใหญ่เหลือแค่แสงไฟสีอ่อนของโคมไฟตั้งพื้นตรงมุมห้อง ผมพลิกตัวนอนหงาย ได้หมอนอิงมารองขาข้างที่เจ็บ

“พรุ่งนี้เพื่อนนัดกี่โมง”

“...ไม่มีระบุเวลาแน่ชัด บอกแค่ใครมาถึงเร็วก็ยิ่งมีเวลาเตรียมตัวมากขึ้น”

“แล้วผู้ปกครองมึงล่ะกลับเมื่อไหร่”

“ขึ้นเครื่องประมาณสิบเอ็ดโมง แปดโมงพวกลุงก็ต้องไปสนามบินแล้วล่ะ กูเลยว่าจะออกเวลานั้นเหมือนกัน”

“โปรแกรมเที่ยวล่ะมีอะไรบ้าง?”

“อยู่แต่บนเกาะ เราจะเล่นเกมกันที่นั่น หัวข้อคราวนี้คือการเอาตัวรอด ถ้าให้เดาจากคนคิดเกมก็น่าจะเป็นแนวๆ สถานการณ์ติดเกาะร้างมั้ง”

“…มึงไหวแน่นะ”

ผมนิ่วหน้า “บอกว่าไหวก็ไหวสิ!”

-------------

สถานที่รวมตัวก่อนไปเกาะคือโรงแรมแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ชายหาด กว่าขับรถไปถึงก็เลยเที่ยงมาเล็กน้อย พวกผมเลยจอดหาอะไรกินแถวริมหาดระหว่างทางก่อน กว่าเข้าไปที่ตัวโรงแรมก็บ่ายโมงนิดๆ แล้ว

ไม่ต้องโทรหาลูกชายเจ้าของโรงแรมให้ยุ่งยาก แค่เดินไปที่แผนกต้อนรับด้านหน้า บอกชื่อตัวเองก็ได้กุญแจห้องมาเลย ที่เพิ่มเติมคือซองจดหมายที่ทำออกมาซะเหมือนบัตรเชิญพิเศษ

ผมส่งยิ้มให้พนักงานที่ดูนอบน้อมกับเด็กอย่างผมเป็นพิเศษ และผละจากมา ในใจแอบด่าเพื่อนที่ทำให้ผมเป็นเหมือนแขกวีไอพีของโรงแรม ยังไม่ต้องไปถึงห้องพักผมก็เดาได้เลยว่าห้องต้องหรู

...เดี๋ยว หรือว่าที่นี่ก็มี?

ผมรีบพลิกกุญแจห้อง อักษรสองบรรทัดเด่นหรา

Pleiades's Meeting Room
25C - 02

...ว่าแล้ว   

ผมกลับไปหาพาร์ บอกเสียงเนืองๆ “ไปชั้น 25C กันเถอะ”

พวกผมกลับมาขึ้นรถขับไปตามป้ายบอกทางจนถึงอาคารC หาที่จอดเรียบร้อยก็ช่วยกันหิ้วออกจากรถตรงเข้าอาคาร เข้าลิฟต์มาได้ผมกดชั้น24 พาร์หันมามองผมทันที แต่ไม่ได้พูดอะไร ถึงชั้นที่ต้องการขอทางออกมากัน ตัวลิฟต์ยังคงขึ้นไปต่อ

“ลงชั้นนี้ทำไม?”

“ก็ทางเข้ามันอยู่ชั้นนี้” ผมกวาดตามองหาป้ายเจอแล้วก็ชี้บอกทางให้พาร์รู้ จนเดินไปเจอประตูไม้ติดป้ายสีทองเขียนบอกชัดเจนว่าเป็นห้อง Meeting Room

“...ห้องประชุม?”

ผมกรอกตาไปมา เสียบการ์ดที่ช่องประตู รอจนไฟเปลี่ยนสีก็ผลักประตูเข้าไป มองตรงไปเหมือนเป็นทางตันแต่ตรงกำแพงมีป้ายบอกทางให้เลี้ยวซ้าย

“มึงคิดว่าถ้าเลี้ยวไปจะเจออะไร?”

พาร์ขมวดคิ้ว “ทางเดินไม่ใช่หรือไง”

“งั้นไปดูกัน”

พวกผมเดินตามพื้นพรมจนสุดทางเพื่อเจอบันไดทอดยาวสู่ชั้นบน พาร์เบิกตากว้างเมื่อเงยหน้าไปเจอหลังคากระจกมองทะลุเห็นท้องฟ้าสีคราม แต่ด้านนอกมองทะลุเข้ามาไม่ได้หรอก

ผมตบหลังพาร์ “อย่าพึ่งตกใจ ข้างบนมีอะไรให้มึงแปลกใจอีกเยอะ”

พื้นพรมหยุดลงแค่ทางพักเท้า หลังจากนั้นเป็นพื้นหินขัดที่เหยียบแล้วไม่ลื่นแทน ขึ้นไปเจอสระว่ายน้ำก่อนเลย มองเลยไปจะเห็นบ้านสี่หลังติดกัน

ผมดึงพาร์ที่เหมือนจะตกใจมากเกินไปจนยืนอึ้งกับที่เดินไปบ้านหลังที่มีป้ายห้อยหมายเลข 02 ขึ้นบันไดไปสองขั้นเล็กๆ ก็เจอพื้นที่สำหรับถอดรองเท้า ผมส่งการ์ดในมือให้พาร์ พยักเพยิบไปทางประตูสีขาวตรงหน้า

“...อยากเปิดเองไหม?”

มันส่ายหัวกลับมาทันที

ผมยิ้มขำเปิดประตูออกให้เอง แล้วหัวเราะขำพาร์ที่กวาดมองข้างในรอบหนึ่ง แล้วถอยออกมาดูด้านนอก ก่อนทำหน้าเหมือนโดนหลอก

“กูก็นึกว่าเป็นบ้านสองชั้นจริงๆ”

ผมหัวเราะร่วน “ก็แค่ทำให้ด้านหน้าเหมือนเฉยๆ แต่ความจริงก็เป็นแค่ห้องพักห้องหนึ่งในโรงแรมนั้นแหละ เพียงแต่ทางเข้ามันอยู่ตรงนี้ ด้านที่ควรเป็นประตูเลยกลายเป็นกำแพงแทน กุญแจถึงได้บอกว่าอยู่ชั้น 25”

 “ไง”

เพื่อนบ้านข้างๆ โผล่หัวมาทักทายยิ้มๆ ผมทักไวไวกลับ

“ไง มึงอยู่บ้านเลขสาม” 

มันส่ายหัว “ยำจะพาพี่ภูมาด้วย มึงก็เหมือนกันนี่ กูกับเทมเลยต้องย้ายไปอยู่บ้านวินชั่วคราว ส่วนเจ้าของบ้านตัวจริงไปเกาะตั้งแต่เช้า...มึงอ่านจดหมายยัง?”

“ยัง มันลงทุนดีทำซะเหมือนการ์ดเชิญงานเลี้ยงอะไรสักอย่าง”

ไวยักไหล่ “ต้องเอาไปฝากแผนกต้อนรับนี่หว่า ถ้าเอาซองจดหมายธรรมดาไปฝากคงโดนสงสัยแย่ ยังไงที่นี่ก็มิตติ้งรูม แล้วมึงบอกต้อนรับคนข้างๆ ยัง?”

“ยัง”

“อ้อเรอะ งั้นกูพูดให้เองแล้วกัน” ไวไวหันมายิ้มให้พาร์ “ยินดีต้อนรับสู่ ห้องรวมพลของดาวลูกไก่ ถ้าโรงแรมไหนเป็นของไอ้วินในอนาคต จะมีห้องรวมพลแบบนี้ทุกที่เลยล่ะ”

“มึงก็พูดเกินจริง” ผมแย้ง “วินก็เลือกสร้างเถอะ”

 ไวยักไหล่ “จะกี่แห่งก็ช่างเถอะ กูชอบที่นี่เป็นส่วนตัวเฉพาะพวกเราดี อ้อ ไม่ต้องไปออกประตูชั้นล่างนะโว้ย เดี๋ยวออกผ่านประตูจากห้องวินเอาก็ได้”

มันแน่อยู่แล้ว แต่ขาเข้า ถ้าไม่มีกุญแจห้องนั้นก็เข้าไม่ได้ ผมเลยต้องเข้าประตูจากชั้นล่างเอา

“อย่าลืมอ่านจดหมายด้วยล่ะ ทีมพวกมึงเริ่มต้นช้ากว่าพวกกูแล้ว”

ผมชะงัก รีบขนของเข้าไปในห้องพัก แล้วแกะจดหมายออกดูทันที กวาดมองอ่านเร็วๆ จนจบก็ด่าไอ้คนคิดเกมทันที

“มึงโหดไปแล้วโว้ย!!”

พาร์ฉวยจดหมายไปจากมือผม อ่านสักพักก็มองผมขำๆ

“ท่าทางน่าสนุกดี”

แต่ผมขำไม่ออก ได้แต่หยิบมือถือโทรหายำ รอจนมีคนรับก็ถามไปอย่างรวดเร็ว

“มึงอยู่ไหน?”

[โรงแรม นี่พึ่งได้กุญแจกับจดหมายมา]

“ดี รีบขึ้นมาเลย มึงกับพี่ภูอยู่ทีมเดียวกับกู เราต้องเริ่มประชุมกันเดี๋ยวนี้ เพราะสามโมงสี่สิบห้าจะมีคนมารับเราไปท่าเรือแล้ว”

[เออๆ รอแปบเดียว]

---- มีต่อ ----


ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
Re: - ชลนที - [บทที่ 39] P.14 (14/01/2017)
«ตอบ #407 เมื่อ14-01-2017 15:39:49 »

บทที่ 39 (ต่อ)

“อะไรนะ! ให้ขนอะไรไปก็ได้แต่ต้องอยู่ในงบจำกัด!”

“ยกเว้นรายการของที่ระบุไว้ว่าห้ามเอาไป” ผมชี้ให้ยำเห็นตรงท้ายจดหมาย มีตัวอักษรสีแดงหมายเหตุไว้ ระบุบอกหมดว่ามีของอะไรบ้าง และของพวกนี้สามารถไปตามหาได้จากบนเกาะ

“เป็นงบรวมของทีม?”

ผมพยักหน้า บอกยำเสียงเครียด “คิดหมดตั้งแต่ค่าเต็นท์ยังรองเท้า กางเกงในยังคิดเลย!”

“ใครจะไปจำราคาได้!”

ผมคว้ากระดาษเอสี่เย็บติดกันสามแผ่นวางตรงกลางวง พยักเพยิบให้ยำมอง

“ไอ้วินเลยทำตารางราคาคร่าวๆ มาให้นี่ไง ตอนไปซื้อเต็นท์กับพวกอุปกรณ์ต่างๆ เราทั้งกลุ่มไปซื้อมาด้วยกัน ราคาเลยประมาณนี้แหละ ส่วนพวกเสื้อผ้ากับของใช้อื่นๆ คิดราคาเดียวกันหมด ยกเว้นจะมีใบเสร็จ หรือหลักฐานอะไรไปแย้งว่าราคาถูกกว่า แต่ใครมันจะไปมี!”

“เฮ้ย! มีราคากางเกงในด้วย!”

“แบบยกแพ็คถูกกว่าด้วย เอาไปยกแพ็คคุ้มกว่า!”

ยำเงยหน้ามองผมทันที เลยเลิกคิ้วถาม

“กูพูดผิด?”

“เปล่า...แต่ฟังแล้วทะแม่งๆ เหมือนเราจะไปซื้อของลดราคากันเลยวะ”

แว่วเสียงหัวเราะจากคนใกล้ๆ พวกผมหันไปมองเหล่าคนนั่งเงียบมานาน

“มึงมาช่วยคิดเลย! พี่ด้วย! และต้องมีงบเหลือด้วยนะ ผมอยากซื้อตุนพวกอาหารแห้งกับน้ำเผื่อไว้ เพราะขืนไปหาเอาดาบหน้าแล้วไม่เจอขึ้นมามีหวังอดตายกันหมด”

“คงไม่อดจริงๆ เหรอมั้ง ยังไงก็แค่เกม” พี่ภูพูดยิ้มๆ

“อดจริง!” ผมกับยำประสานเสียง หน้าเคร่งเครียดทั้งคู่ ยิ่งคนนอกกลุ่มยังไม่เข้าใจก็ยิ่งเครียด

“เราเคยอดกันมาแล้ว” ผมว่า ยำพูดเสริม

“ไอ้วินเป็นพวกที่จะเล่นต้องเล่นให้สมจริง ลุยโคลน ก่อกองไฟ หลงป่า หรือสารพัดอย่าง พวกเราเคยเจอมาหมดแล้ว สรุปคือถึงเป็นเกม แต่ก็ไม่ได้เล่นๆ และถ้าคนที่คอยตามดูแลความปลอดภัยให้เรากล้ายื่นมือมาช่วยทั้งที่ยังไม่ถึงขีดสุด วินจะโกรธมาก”

ผมพูดสรุปอีกที “ถ้าแค่อดข้าววันสองวัน แต่ยังมีน้ำดื่มไม่ตาย ก็ไม่มีใครมาช่วยหรอก”

พี่ภูกับพาร์เริ่มหุบยิ้ม

“ต้องจริงจังขนาดนั้น?” พี่ภูถามเหมือนไม่เชื่อ

“มันถึงเป็นเกมเอาชีวิตรอดไงเล่า!” ยำพูดเสียงดังเหมือนหงุดหงิด “กูอธิบายให้มึงฟังตั้งแต่เมื่อวานแล้ว นี่มึงไม่ได้กูเลยใช่ไหม!”

ส่วนผมเบือนหน้าหลบสายตาพาร์ เพราะตัวเองไม่ได้บอกอะไรเลย ด้วยกลัวว่าขืนบอกไปเมื่อวาน ผมจะอดมาเที่ยวกับเพื่อนๆ

“หมายความว่าเกมเอาตัวรอดก็คือเอาตัวรอดจริงๆ” พี่ภูถามย้ำ

“ก็เออนะสิ! บาดเจ็บก็ไม่ได้ออกจากเกมนะ ปฐมพยาบาลกันเอาเอง”

“เดี๋ยว นี่มันอันตรายไปแล้ว!”

“ก็ไม่นี่” ยำส่ายหน้า มองพี่ภูอย่างฉงน “มันก็เหมือนเล่นกีฬาที่อาจต้องมีบาดเจ็บบ้าง และยังไงสถานที่ก็เคลียร์ไว้ล่วงหน้า แถมก็มีคนคอยจับตาดูอยู่ จะกลัวอะไร”

แก้มผมโดนดึงจนยืดจนส่งเสียงร้องโอ๊ยออกมา หันไปมองก็เจอแววตาดุจัดของพาร์

“มึงไม่ไหวแน่ๆ”

“ก็บอกว่าไหวไง แค่ขาเจ็บก็ใช่ว่าจะลงเล่นไม่ได้นี่ อีกอย่างถ้าไม่มีกู ใครจะทำอาหาร มึงกับยำทำไม่ได้แน่” ผมหันไปหาพี่ภู “พี่ล่ะ?”

“...ถ้าแค่เมนูง่ายๆ ก็พอไหว แต่ทำอาหารภาคสนาม พี่คงไม่รอด”

ผมหันไปมองพาร์อย่างผู้ชนะทันที “เห็นมะว่าทีมนี้ขาดกูไม่ได้”

พาร์พ่นลมหายใจออกมา แววตาเคร่งเครียดขึ้นมาบ้างแล้ว

การประชุมเริ่มต้นอย่างแท้จริง ต่างคนต่างช่วยออกความเห็น คัดเอาไปแต่ของที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น ส่วนของที่ไม่ได้เอาไปก็ทิ้งไว้ที่นี่แหละ ไม่หายหรอก

หลังจบการประชุม ผมกับพาร์ก็ต้องรื้อของที่เตรียมออกมาทั้งหมดกองไว้บนเตียง ก่อนจัดของสำหรับสองคนลงเป้ใบใหญ่เพียงใบเดียว ของชิ้นไหนเก็บลงเป้แล้วก็ขีดเครื่องหมายถึงไว้ด้านหลังรายชื่อที่จดเอาไว้

“แล้วมึงจะไปหาซื้ออาหารกับน้ำดื่มที่ไหน?”

ผมเข้าใจที่พาร์ถาม เพราะตอนนี้เหลือเวลาแค่ยี่สิบนาทีก่อนจะมีคนมารับ นิ้วชี้ไปที่จดหมาย

“ในนั้นก็เขียนบอกแล้วนี่ว่าอยากได้อะไรเพิ่มเติมให้โทรไปหมายเลขที่ระบุ กูเลยโทรไปบอกแล้ว แถมมีบริการช่วยขนลงเรือให้อีก ดีสุดๆ”

“แล้วทำไมมึงไม่ใช้งบให้หมด?”

“ก็เผื่อทีมเราโดนคิดค่าเดินทางไปเกาะไง ถ้าโดนคิดจริงๆ นี่จบเห่เลยนะ เพราะของที่เอาออกไป อาจจำเป็นต้องใช้ก็ได้” พูดจบผมก็โบกมือไปทางห้องน้ำ “มึงรีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อก่อนเลย เดี๋ยวกูใช้ต่อ”

เพราะคืนนี้คงไม่มีห้องน้ำให้อาบแน่ๆ   

พอใกล้ถึงเวลานัดหมาย มือถือผมก็ส่งเสียงร้องเรียกเข้า พูดคุยตรงเวลาเรียบร้อยก็ช่วยกันหิ้วของที่ต้องเข้าไปเดินออกมารวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ที่บ้านพักหมายเลขสี่ มากันครบก็พากันออกจากประตูสู่ชั้นยี่สิบห้า ลงมาก็อาศัยรถกอล์ฟพาไปส่งที่ตรงทางเข้า ฝากกุญแจไว้กับแผนกต้อนรับ แล้วออกไปยืนรอหน้าอาคาร

ไม่นานรถตู้คันหนึ่งก็หยุดจอดตรงหน้าพวกผม คนในรถออกมายื่นนามบัตรแนะนำตัว ผมชะโงกหน้าไปดูของในมือเทม...เห็นแค่คำว่าบอดี้การ์ด เทมก็เก็บลงกระเป๋า พยักหน้าให้พวกผมขึ้นรถตามคำเชื้อเชิญ

ได้เวลาออกผจญภัยแล้วครับ

############

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
Re: - ชลนที - [บทที่ 39] P.14 (14/01/2017)
«ตอบ #408 เมื่อ14-01-2017 16:21:29 »

เล่นกันแบบนี้เลยอ่ะ แต่ท่าทางน่าสนุก  :hao7:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: - ชลนที - [บทที่ 39] P.14 (14/01/2017)
«ตอบ #409 เมื่อ14-01-2017 17:24:48 »

ชีวิตทีนี่มีแต่เรื่องน่าตื่นเต้นทั้งนั้นเลย เกมที่เล่นก็น่าสนุกมากอ่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: - ชลนที - [บทที่ 39] P.14 (14/01/2017)
« ตอบ #409 เมื่อ: 14-01-2017 17:24:48 »





ออฟไลน์ powvera

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 702
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-3
Re: - ชลนที - [บทที่ 39] P.14 (14/01/2017)
«ตอบ #410 เมื่อ14-01-2017 20:33:21 »

แค่คิดก็สนุกแล้ว  สู้ๆนะ

 o13    :hao7:    :hao7:

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
Re: - ชลนที - [บทที่ 39] P.14 (14/01/2017)
«ตอบ #411 เมื่อ14-01-2017 20:51:49 »

กลุ่มดาวลูกไก่ไม่ธรรมดาจริงๆ
เล่นกันเหมือนจะไปนาซ่า 555

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: - ชลนที - [บทที่ 39] P.14 (14/01/2017)
«ตอบ #412 เมื่อ14-01-2017 21:23:11 »

ท่าทางน่าสนุก รีบพาดาวลูกไก่มาผจญภัยเร็วๆนะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: - ชลนที - [บทที่ 39] P.14 (14/01/2017)
«ตอบ #413 เมื่อ14-01-2017 21:31:08 »

ลุงนิกหวงเมียหวงหลานจริงจัง เวอร์มาก
ให้ใส่ชุดแช่น้ำทุกคน นกเว้นตัวเอง
สุดท้ายทีจับชายผ้าทากะ เลยทำทากะโป๊ กร๊ากกก
นึกว่าลุงนิกอุ้มทากะหายไปเลย
ที่ไหนมาเป็นก้างพาร์อีก
เกมเอาชีวิตรอดจริงหรือนี่  :katai1: :katai1: :katai1:
ยำ พี่ภู ที พาร์ อยู่ทีมเดียวกัน
อึ้ม.....ไม่รู้พี่ภูจะจุดไฟรักยำ  :pighaun: :haun4: :jul1:
จนพาร์ร้อนตามไปด้วยหรือเปล่า  :ling1: :ling1: :ling1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
Re: - ชลนที - [บทที่ 39] P.14 (14/01/2017)
«ตอบ #414 เมื่อ14-01-2017 23:14:41 »

เกมส์น่าสนุก แต่คงไม่อันตรายมากนะ ทีแกเจ็บอยู่นะเฟ้ยย

ออฟไลน์ jimmyjimmy

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1966
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-17
Re: - ชลนที - [บทที่ 39] P.14 (14/01/2017)
«ตอบ #415 เมื่อ15-01-2017 00:37:02 »

ไม่ต้องกลัว สามีที่ดี ไม่ทิ้งเมียหรอก ที กะ ยำ สบายใจได้

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
Re: - ชลนที - [บทที่ 39] P.14 (14/01/2017)
«ตอบ #416 เมื่อ15-01-2017 01:26:50 »

โอ้ยยยย!! น่าสนุกแท้ เปงเรื่องที่ครบรสฝุดๆ

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
Re: - ชลนที - [บทที่ 39] P.14 (14/01/2017)
«ตอบ #417 เมื่อ17-01-2017 08:05:50 »

หูยยยยย

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
Re: - ชลนที - [บทที่ 40] P.14 (20/01/2017)
«ตอบ #418 เมื่อ20-01-2017 11:10:23 »

บทที่ 40

“คนขาเจ็บมายุ่งอะไร”

ผมเมินเสียงดุของพาร์ จับคว้าอุปกรณ์มาช่วยพาร์กางเต็นท์บนพื้นทรายท่ามกลางแสงที่เหลือน้อยลงทุกที ทุกอย่างจึงต้องแข่งกับความเร็ว

ถึงว่าทำไมให้ขึ้นเรือตอนสี่โมงเย็น ผมก็นึกว่าเกาะอยู่ใกล้ๆ ที่ไหนได้เล่นหลอกล่อด้วยทิวทัศน์พระอาทิตย์กำลังลาลับบนท้องทะเล สวยจนมองเพลิน มาถึงเกาะท้องฟ้าก็เริ่มมืด จำต้องหยิบไฟฉายมาส่องหาทางกันเอง ไหนต้องแบกข้าวของพะรุงพะรัง รู้ตัวอีกทีก็โดนปล่อยเกาะ

ฟังไม่ผิดครับ พวกผมโดนปล่อยเกาะ!

ได้ยินเสียงเรือ (ที่มาส่ง) วิ่งฝ่าผืนน้ำจากไปชัดแจ๋ว ทิ้งไว้เพียงเสียงประกาศออกจากลำโพงทั้งที่เจ้าของเสียงไม่ได้อยู่บนเรือ

[ขณะนี้ทุกท่านอยู่ในสภาวะลอยมาติดเกาะพร้อมข้าวของที่พัดมาด้วยกัน]

มิน่าถึงให้ลงเรือเดินลุยน้ำทะเลสูงถึงเอวขึ้นเกาะเอง!

[เกมเอาชีวิตรอดเริ่มต้นวินาทีนี้แล้ว ปัจจัยจำเป็นต่างๆ ถูกซุกซ่อนอยู่บนเกาะ คำใบ้ซ่อนอยู่ในเครื่องบินกระดาษ]

แล้วเครื่องบินกระดาษปลิวว่อนตามแรงลม ตกน้ำบ้าง ลอยมาปักบนพื้นทรายบ้าง มีส่วนน้อยที่บินลอยข้ามหัว

[คำเตือน ห้ามออกนอกพื้นที่เล่นเกมเด็ดขาด ทางเราขึงรั้วเชือกไว้ให้แล้ว หากคนในทีมฝ่าฝืนปรับแพ้ทั้งทีม ไฮไลท์ประจำเกมคืออาหารสด จะมีแจกเที่ยงตรงทุกวัน มองหาได้จากของสีแดง สู้ๆ นะโว้ยเพื่อน อีกห้าวันเจอกัน!]

นั่นเป็นเหตุการณ์ที่พวกผมเจอเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน ป่านนี้ไอ้วินคงจามไม่ได้หยุด เพราะคงไม่ใช่แค่ผมที่บ่นด่ามันในใจ

สิ่งแรกที่ต้องทำคือหาที่พักสำหรับคืนนี้ก่อน พรุ่งนี้เช้าแล้วค่อยว่ากันอีกที

พวกผมคิดคล้ายๆ กันหมด ทีมผมกับทีมเทมจับมือเป็นพันธมิตรชั่วคราวตั้งเต็นท์ไว้ใกล้ๆ กัน แต่เพราะมองอะไรไม่ค่อยเห็น ทำให้ลำบากและสับสนวุ่นวายมาก จนป่านนี้ก็ยังไม่มีใครกางเต็นท์เสร็จ...

“เสร็จแล้ว”

ผมมองทีมโน้นอย่างอิจฉา พวกมันเอาเต็นท์ขนาดสี่คนนอนมาแค่หลังเดียว ช่วยกันกางทีเดียวก็นอนได้ครบทีม ส่วนของกลุ่มผมตัดสินใจแยกเป็นสองเต็นท์เพื่อความสะดวกใจ

ผมกับพาร์ช่วยกันกางเต็นท์ของตัวเองจนเสร็จ แล้วต้องไปช่วยพี่ภูต่อ หวังพึ่งยำไม่ได้ ทักษะกางเต็นท์ในที่แสงไม่พอของมันต่ำมาก ปล่อยให้ถือไฟฉายแบบนั้นช่วยพวกผมได้มากกว่า เรียบร้อยหมด ผมก็พยักหน้าขอบคุณเพื่อนอีกสี่คนที่คอยถือไฟฉายให้แสงสว่าง

“วันนี้เป็นมิตร แต่พรุ่งนี้ไม่ใช่แล้วนะโว้ย!”

ไวไวตะโกนมา ได้ข่าวว่าเทมเป็นหัวหน้าทีม ผมหัวเราะสะกิดยำให้ตะโกนตอบกลับ

“เออ!”

หลังเข้าเต็นท์มาได้ก็หยิบขวดน้ำดื่มมาแกะเปิดฝา ดื่มไปเกือบครึ่งขวดก็ปิดฝา อาศัยแสงตะเกียงเปิดเป้หยิบกางเกงขาสั้นสองตัวออกมา ตัวหนึ่งวางให้พาร์ อีกตัวผมเอามาเปลี่ยนเอง เสร็จแล้วก็ล้มตัวนอนแผ่หลากับพื้นเต็นท์ มองพาร์เอาตะเกียงไปแขวนไว้เหนือหัว แสงสีนวลตาให้ความสว่างกระจ่ายไปทั่วทำผมรู้สึกดีกว่าแสงจากไฟฉายปากกาอันล่ะร้อยเดียวเยอะ จนเผลอพึมพำออกมา

“โชคดีที่ตัดสินใจเอามันมา”

ถึงกินงบไปพันสามกว่า สองอันก็ประมาณสองพันเจ็ดก็เถอะ มันดีตรงที่ขนาดเหมาะกับพกพา แถมชาร์ตพลังงานด้วยแสงอาทิตย์ได้ด้วย

ผมละสายตาตะเกียงหันไปมองพาร์หยิบของในเป้อย่างฉงน

“มึงมากินน้ำก่อนดิ”

“เดี๋ยวค่อยกิน”

พอเห็นว่าพาร์หยิบอะไรออกมา ผมก็รู้สึกแปลกๆ ในใจทันที...

“ยื่นขามาทายาก่อน แล้วค่อยนอน”

“เดี๋ยวกูทำเอง มึงไปกินน้ำก่อนเถอะน่า”

ผมลุกขึ้น คว้าถุงยา แต่พาร์โยกมือหลบ ส่งสายตาดุกลับมา

“ขาเจ็บแล้วไม่เจียม นั่งเฉยๆ ไป” 

ผมยอมหุบปาก มองผ้าแกะผ้ายืดเปียกน้ำออกจากข้อเท้า มันมองพินิจรอบข้อเท้าอยู่ครู่หนึ่งก็หยิบทิชชูเปียกออกมาเช็ดทำความสะอาด แล้วทายาให้ ผมนิ่วหน้านิดๆ ยามเนื้อยาสัมผัสผิว ความเย็นผสมการนวดคลึงให้ยากระจายทำให้รู้สึกเจ็บไม่น้อย

“เจ็บเหรอ?”

“เออ”

แรงนิ้วเบาลงจนรู้สึกได้ ผมลอบพ่นลมหายใจ นั่งเงียบๆ ปล่อยพาร์ทายาให้เสร็จ แต่อีกคนกลับเอ่ยปากชวนคุยก่อน

“มึงกางเต็นท์เก่ง”

“...เพราะฝึกกางบ่อยล่ะมั้ง ที่จริงเวลาไปบ้านย่ากูช่วงสอบ พวกเราก็ไปกางเต็นท์นอนกัน”

“มีที่กาง?”

“มีสิ สนามหญ้าก็ได้ แถวสระว่ายน้ำก็กางได้”

“ท่าทางจะหลังใหญ่”

“ตัวบ้านไม่ใหญ่หรอก แค่พื้นที่รอบๆ เยอะ”

“เกาะนี้...เป็นของเพื่อนมึงเหมือนโรงแรม?”

“เรียกว่าของครอบครัวมันดีกว่า แต่ถ้าวินมาลงพื้นที่เองแบบนี้มีสองกรณี ไม่พ่อมันส่งงานให้รับผิดชอบ ก็คงเป็นพี่มันที่ยุ่งจัดไม่มีเวลามาดูแลเอง เลยโยนงานให้น้องทำแทน มันเลยถือโอกาสจัดเป็นสถานที่เล่นสนุกกับเพื่อนๆ”

“...กูไม่แปลกใจแล้วที่วันนี้เพื่อนมึงโทรไปสั่งโรงแรมใหญ่เปิดห้องพักรอได้”

“ก็นะ” ผมเหม่อมองอากาศครู่หนึ่ง “วินยังดีได้เรียนอะไรที่อยากเรียน ขณะที่ต่อทำไม่ได้ ไอ้เทมก็ต่อต้านทางบ้านตั้งแต่จบม.ต้น ยังดีทางบ้านมันส่งเสียจนจบม.ปลาย ตอนนี้ก็แยกตัวออกมาทำงานหาเงินเรียนเอง...ลำบากที่สุดในกลุ่ม จนบางครั้งก็อยากช่วย แต่มันไม่รับ ยกเว้นเดือดร้อนจริงๆ ถึงมาขอยืมเงิน”

“แล้วมึงล่ะ?”

“...ที่บ้านไม่ได้บังคับกู แต่ก็พูดเปรยๆ เหมือนกันว่าให้เลือกคณะที่สามารถเอามาประยุกต์ใช้งานได้ในอนาคต อย่าให้เสียเวลาเปล่าไปสี่ปี”

“แล้วชอบที่เรียนอยู่ตอนนี้ไหม?”

“ก็ดีนะ สนุกดี”

พาร์พยักหน้ารับรู้ ใช้ผ้ายืดผืนใหม่พันกระชับข้อเท้าอีกครั้ง “ถ้าไม่ทำอะไรหักโหม อีกไม่นานข้อเท้ามึงคงหายดี”

“กูถึงบอกไงว่าไม่ได้เป็นอะไรมากไง”

“กูรู้ว่ามึงเก่ง แต่ถนอมขาหน่อยก็ดี เดี๋ยวไม่ได้อยู่ถึงวันกลับ”

ผมอ้าปากหุบปากอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็พูดอ้อมแอ้ม “...ขอบคุณ”

“ไม่เป็นไร แกะทิชชูเปียกให้หน่อย”

ผมรีบหยิบส่งให้พาร์ไปเช็ดมือ

“เอาออกมาเช็ดหน้าเช็ดตัวมึงด้วย”

“มันเปลือง”

“พกมาก็ต้องใช้ดิ”

ไม่พูดเปล่าดังออกมาส่งให้ผมทันที ก็ได้แต่รับไปเช็ดหน้าเช็ดแขนขาเงียบๆ หลังพาร์เปลี่ยนกางเกงเสร็จก็โยนผ้าแห้งผืนหนึ่งให้ผมเช็ดพื้นเต็นท์ 

“แล้วมึงจะไปไหน?”

“เอากางเกงกูกับมึงไปผึ่งลมไง”

“เดี๋ยวกูช่วยส่องไฟให้”

“ไม่ต้อง...มึงแกะถุงนอนออกมาปูรองพื้นดีกว่า กูคิดว่าไม่น่าหนาว แต่ถ้าหนาวก็เอาถุงนอนอีกผืนมาเป็นผ้าห่มแล้วกัน”

ผมทำตามที่พาร์ว่า แต่ก็ชะเง้อดูจากมันจากหน้าต่างเต็นท์เป็นระยะ เห็นแต่แสงไฟกับเงาตะคุ่ม สักพักพาร์ก็กลับเข้ามา

“เอาไปตากไหน?”

มันชี้นิ้วขึ้นข้างบน ร้องขอให้ผมส่งทิชชู่เปียกไปให้

“ไม่ปลิวหายเหรอวะ?”

“ไม่หรอก กูเอาเชือกผูกเอวมัดมัดกับโครงไว้”

หลังพาร์เช็ดหน้า แขน ขา เรียบร้อยก็เดินตรงตรงไปหยิบหมอนเป่าลมออกมาในเป้ออกมา ผมลืมไปเลยว่ามี แต่ที่คาดไม่ถึงคือพาร์เอาออกมาสาม

“เฮ้ย! เอามาอีกอันได้ไง?”

ผ่านด่านตรวจบนเรือมาได้ด้วย?

“ง่าย” พาร์พลิกให้เห็นโลโก้ที่บ่งบอกว่ามันเป็นของแจกฟรี “แค่นี้ก็ไม่ต้องรวมกับงบแล้ว”

เออวะ...ทำไมผมลืมคิดเรื่องนี้ได้

ผมหยิบมาเป่าเองอันหนึ่ง กำลังจะล้มตัวนอน พาร์ก็ส่งหมอนแจกฟรีที่เป่าลมแล้วให้

“อันนี้ให้มึงรองขาข้างที่เจ็บ”

 ...ความรู้สึกแปลกๆ ที่ว่าแผ่ขยายในใจผมมากกว่าเดิมอีก 

“หรือมึงจะกินยาแก้ปวดก่อน?”

มองพาร์อย่างประหลาดใจ “เอามาด้วย?”

“กูพกใส่กระเป๋ากางเกงมา ไม่ยักเห็นใครมาตรวจ แต่ถึงตรวจก็ไม่เป็นไร มึงไม่ได้ใช้งบทีมเราหมดสักหน่อย กูอ้างได้อยู่แล้ว”

 อีกครั้งที่ผมมองมันด้วยความทึ่ง

“มึงก็นอนได้แล้ว กูปิดไฟนะ”

“อ...อือ”

ผมล้มตัวนอนทันที ไม่ลืมเอาของแจกฟรีไปรองใต้ข้างที่เจ็บ หลังความมืดมาเยือนไม่นานก็รู้สึกมีคนล้มตัวนอนข้างๆ...รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงกลองดังอยู่ไม่ไกล

ผมเม้มปากยกมือกำอกเสื้อข้างซ้ายตัวเอง...

เงียบๆ หน่อยเถอะนะ เดี๋ยวคนข้างๆ ได้ยิน

-------------

“ไอ้ที ไอ้ยำ พวกมึงตื่นเดี๋ยวนี้!!!”

ผมกับพาร์สะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ

“ทีโว้ย!! ตื่นๆๆ”

ผมรีบรูดซิบชะโงกหน้าออกไป กำลังจะถาม แต่มือที่ยื่นออกไปสัมผัสพื้นทรายด้านนอก เพื่อทรงตัวกลับพบว่ามีของเหลวเย็นๆ ซัดปะทะใส่ผิวเป็นระยะ ขจัดความง่วงที่เหลืออยู่ในตัวผมทันที

นี่มัน!

“น้ำขึ้นโว้ย! เก็บของหนีเดี๋ยวนี้!!”

คำตอบจากไวไวช่วยยืนยันความคิดของผม ไม่รอช้ารีบบอกเพื่อน

“ไอ้ยำอยู่เต็นท์ข้างๆ”

ผมเห็นเงาตะคุ่มรูปคนพยักหน้ารับรู้ เงานั่นมุ่งหน้าไปเต็นท์ข้างๆ แว่วเสียงตะโกนของไวไว แต่ผมไม่ได้สนใจฟัง รีบหมุนตัวกลับเข้ามาในเต็นท์ก็พบว่าพาร์เปิดตะเกียงส่องสว่าง กำลังยัดข้าวของที่เอาออกมาบางส่วนกลับลงเป้ลวกๆ

“ทิ้งเต็นท์ไหม?” พาร์ถามเสียงเครียดเมื่อผมตรงไปช่วยเก็บของ

ใจผมไม่อยากทิ้ง

“มึงคิดว่าเราจะเก็บเต็นท์ทันไหม?”

“กูไม่รู้ว่าน้ำทะเลขึ้นเร็วแค่ไหน”

เรื่องนี้ผมก็ไม่รู้ แต่ตัดสินใจบอก “งั้นถอนแค่สมอออก แล้วช่วยกันยกหนีเลย แต่ถ้าไม่ทันก็ช่างมัน หนีเอาตัวรอดก่อน”

“ได้ เอาไอ้นี่ไปคาบ”

พาร์ส่งปากกาไฟฉายให้ผมคาบไว้ในปาก ยัดตะเกียงเก็บลงกระเป๋า พร้อมแล้วก็รีบส่งเป้ให้ผมออกมา เพียงแค่มุดออกมาตัวผมก็เปียกบางส่วนแล้ว

“เดี๋ยวกูยกลังน้ำไปก่อน”

“กูช่วย” ผมยกพวกลังอาหารแห้งตามหลังพาร์ไป หาที่วางบนพื้นทรายในจุดที่คิดว่าน้ำทะเลไม่น่าจะถึงได้ก็รีบวกกลับมาเก็บเต็นท์ลวกๆ ให้พอช่วยกันถือหนีน้ำได้ ทุกอย่างต้องแข่งกับเวลา

“ไอ้ที มึงกลับมาช่วยพวกกูด้วย!”

“เออ!”

ผมตอบรับไอ้ยำ รีบช่วยพาร์ยกเต็นท์ไปกองไว้ข้างลังน้ำ เสร็จก็รีบกลับมาช่วยคนอื่นอีกที ผมส่งพาร์ไปช่วยเก็บเต็นท์ของพวกเทม ส่วนตัวเองตรงไปช่วยยำกับพี่ภู

“ยำขนเป้กับของขึ้นไปก่อน ตรงนี้กูกับทีทำเอง”

คนไม่ถนัดเรื่องเต็นท์รีบทำตาม ทั้งแบกเป้ทั้งยกของเดินหนีน้ำ

“รีบเหอะพี่” ผมรีบบอกพี่ภูเสียงเครียดทั้งที่พยายามงมหาสมอที่ยำบอกก่อนไปว่าเป็นตัวสุดท้ายของฝั่งนี้ เวลานี้น้ำสูงถึงต้นขาแล้ว

ระหว่างกำลังช่วยกันยกเต็นท์ กลับมีคลื่นพัดปะทะใส่ด้านหลังพี่ภู เราเกือบเสียหลัก ดีที่ทางพี่ภูทรงตัวทัน ช่วงที่ผมมองรุ่นพี่อย่างกังวลกลับตาดีเห็นครีบทรงสามเหลี่ยมเหนือผิวน้ำเข้า

“เฮ้ย”

สัญลักษณ์ของนักล่าแห่งท้องทะเลมุ่งหน้าตรงมายังเรา แย่กว่านั้นพี่ภูอยู่ใกล้พวกมันมากกว่า ผมหน้าซีด รีบร้องตะโกนเตือนอย่างตกใจ   

“ฉลาม!”

“อะไรนะ!”

“ฉลาม! อยู่ข้างหลังพี่! วิ่งเหอะ!!”

นาทีนี้เต็นท์คือตัวถ่วง มันเลยถูกทิ้งไว้ตรงนั้น เราวิ่งกระเสือกกระสนหนีจากน้ำทะเลดำมืด เป้าหมายคือหาดทรายเหนือน้ำที่อยู่ไม่ไกล โดยมีเจ้าฉลามสองสามตัวไล่หลังเรามา ท่ามกลางความตึงเครียดผมหันกลับไปมองอย่างกังวลว่าโดนไล่ตามถึงไหนแล้ว สิ่งที่เห็นกลับเป็นปากฉลามอ้ากว้างเห็นเหงือกในระยะประชิด เผยฟันเหลมคมชวนหวาดผวา

…นั่นเป็นภาพสุดท้ายที่ผมเห็น 

แฮ่กๆๆ

ผมนอนหอบหายใจแรง เสื้อเปียกเหงื่อจนชุ่ม ตาเหม่อมองเพดานเต็นท์มืดๆ เห็นก้นตะเกียงเป็นเงาตะคุ่มๆ อย่างสับสน แว่วเสียงคลื่นซัดเข้าฝั่งลอยเข้าหูเป็นระยะ สมองก็ค่อยๆ รับรู้ทีละนิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นความฝัน

ให้ตาย…สมจริงชะมัด

ผมลูบหน้าเรียกสติพักหนึ่ง ลมหายใจเริ่มสงบลง แต่หัวใจยังเต้นกระหน่ำไม่เลิก เหลือบมองเงาตะคุ่มข้างๆ พาร์กำลังตะแคงข้างหันหน้าไปทางนู้น กอดเป้หลับสบายจนน่าอิจฉา ผมพลิกตัวนอนตะแคงบ้าง พยายามข่มตาให้หลับ แต่ใจกลับกังวลจนนอนต่อไม่ลง

หลังพลิกตัวไปมาสักพักก็ตัดสินใจหยิบปากกาไฟฉาย เปิดเต็นท์ออกไปด้านนอกเงียบๆ

ลมทะเลยามค่ำปะทะตัวเป็นระยะ เย็นๆ ครับ ไม่ถึงกับหนาว สองเท้ามุ่งหน้าไปส่องดูคลื่นเป็นอย่างแรก…เหมือนระดับน้ำจะไม่แตกต่างจากตอนมาถึงเท่าไหร่ มองจนแน่ใจว่าไม่มีเหตุการณ์อย่างในฝันแน่ๆ ถึงค่อยสบายใจขึ้น

เฮ้อ…

เมื่อใจสงบมากกว่าเดิม ถึงเริ่มสังเกตเห็นความงามตามธรรมชาติ ทะเลดำมืดเหมือนถูกทาด้วยหมึกสีดำ ไกลออกไปเหมือนเห็นแสงไฟสีออกเขียวๆ ดวงเล็กๆ สองสามดวงวูบไหวไปมา แวบแรกนึกว่าตาฝาด แต่มันมีจริงๆ ครับ หลังจ้องดูด้วยความสงสัยสักพักก็เริ่มเบื่อ ย้ายสายตาขึ้นด้านบน

บนท้องฟ้าก็มีแสงเหมือนกัน ดวงเล็กกว่าดวงแสงปริศนาบนท้องทะเล แต่มีมากมายนับไม่ถ้วน ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นดาวเยอะขนาดนี้มาก่อนเลยครับ ดวงจันท์เว้าๆ แหว่งๆ ก็เห็นชัดกว่าทุกที

ผมกดปิดไฟฉาย ถอยออกห่างคลื่นหย่อนก้นนั่งบนพื้นทราย แหงนหน้าดูของหายากเงียบๆ

นานแค่ไหนไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็หลังได้ยินเสียงย้ำทรายอยู่ใกล้ๆ หันไปมอง เห็นพาร์…น่าจะเป็นพาร์กำลังยืนจ้องมองมา

“มานั่งทำอะไรตรงนี้”

พาร์จริงๆ ด้วย…ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า น้ำเสียงมันเหมือนจะดุว่า ‘ทำไมไม่นอน’ มากกว่า

ผมคิดนิดหนึ่ง ก่อนบอกมัน “กูฝันร้ายวะ”

พาร์หย่อนตัวนั่งข้างผม ปากก็ถาม “เรื่อง?”

“น้ำท่วมเต็นท์ แถมกำลังโดนฉลามงับอีก”

คนฟังหัวเราะซะงั้น “นี่ก่อนนอนมึงคิดอะไรไปเรื่อยล่ะสิ”

นึกๆ ดูก็ต้องยอมรับ “ก็แค่นึกกังวลว่ากลัวว่าน้ำทะเลจะขึ้นมาตอนหลับ”

“มึงเลยเก็บไปฝันเป็นตุเป็นตะ”

“ก็กูกลัวนี่หว่า”

“ช่วงพวกเรามาเป็นช่วงน้ำทะเลขึ้นสูงสุดแล้ว คงไม่ขึ้นมากกว่านี้หรอก”

“มึงรู้ได้ไง”

“คนขับเรือบอก...ถ้ามีท่าเทียบเรือคงเห็นระดับน้ำขึ้นลงชัดกว่านี้”

ผมเบ้ปาก “ตอนลุยน้ำขึ้นเกาะ ฟ้าก็เริ่มมืดแล้วเหอะ เวลาแบบนั้นใครจะไปสนใจเรื่องน้ำขึ้นน้ำลงกัน”

“แล้วก่อนนอนทำไมคิด”

“ก็กู…”

ผมอ้ำอึ้งตอบไม่ถูก นั่นสิ ทำไมคิด?

“กูเดาว่ามึงต้องเคยเล่นเกม หรือดูหนังที่มีสถานการณ์แบบนี้มาแหงๆ ถึงได้เก็บไปคิดมาก”

“…มั้ง”

อาจจะเป็นอย่างที่พาร์ว่าก็ได้

“…แล้วในฝันของมึง มีกูอยู่ด้วยหรือเปล่า?”

ผมเหลือบมองคนถาม “คำถามลองใจ?”

“เปล่า กูแค่จะบอกว่าถ้ามี ตัวกูในฝันคงไม่ปล่อยให้มึงเผชิญเรื่องพวกนี้ตามลำพังหรอก”

ผมชะงัก ข่มอาการสั่นไหวในใจ “…มึงดูมั่นใจมาก”

“เพราะกูเชื่อแบบนั้นน่ะสิ แต่ไม่รับปากว่าจะช่วยมึงได้ไหม เพราะบางทีกูอาจเอาตัวเองไม่รอดเหมือนกัน ที่มั่นใจคือจะอยู่ด้วยแน่ๆ”

ถ้อยคำในอดีตหวนกลับมาในหัวทันที   

‘ไม่เป็นไรหรอก ไม่เป็นไรแน่นอน’

‘ถ้าเป็นล่ะ’

‘ก็…ก็ยังมีเรานะ เราไม่ทิ้งหรอก เพราะงั้นอย่าร้องไห้เลยนะ เราจะร้องตาม’

ผมเบือนหน้าเปื้อนยิ้มไปอีกทาง นึกขำคนพูดปลอบ...เด็กคนนั้นกำลังเบะปากจะร้องตามอยู่แล้ว

สมัยนั้นเสียงของพาร์เล็กและใสมาก ต่างจากตอนนี้สุดๆ ไม่นึกว่าพอโตแล้วเสียงจะทุ้มต่ำขนาดนี้   

“เป็นไร?”

ผมรีบหุบยิ้ม “เปล่า”

“แน่นะ?”

“…แค่คิดเรื่องสมัยเด็กเฉยๆ”

“เรื่องไหน?”

“ก็…” ผมกรอกตา “นึกไม่ถึงว่าเด็กตุตะ แก้มเยอะจนตาหยีคนนั้นจะโตมาดูดี”

“นี่มึงกำลังชมกู?”

ผมหัวเราะ “กูแค่บอกเฉยๆ เหอะ”

“แล้วตอนนั้นร้องไห้ทำไม”

ผมชะงัก เผลอเม้มปากเข้าหากัน รู้ตัวก็รีบปล่อยริมฝีปาก นั่งนิ่งเงียบ

…นึกไม่ถึงว่าจะโดนพาร์ถามเรื่องนี้

“ไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร”

ผมหันมองคนข้างๆ น่าเสียดายมืดเกินกว่าเห็นสีหน้าของมัน

“…มึงอยากรู้?”

พาร์รับคำง่ายๆ “อยาก…แต่สำหรับมึงคงไม่อยากพูดถึงหรอกมั้ง”

“…ก็ไม่ใช่เรื่องที่พูดไม่ได้” ผมว่า พ่นลมหายใจออกปากเบาๆ “ถึงมันไม่น่าจดจำ แต่ก็เป็นเรื่องที่ลืมไม่ลง อีกอย่างกูเคยเล่าให้มึงฟังแล้ว”

พาร์ถามกลับมาทันที “ตอนไหน?”

“วันที่เจอกันในสวนสัตว์นั่นไง มึงยังพยายามพูดปลอบกูอยู่เลย”

พาร์เงียบไปเลยครับ ผมนึกว่าคงไม่ถามต่อ ที่ไหนแล้วกลับส่งเสียงแผ่วเบา น้ำเสียงอ้อนวอนมาเลย

“บอกอีกทีได้ไหม”

…บางทีผมคงแพ้ทางน้ำเสียงแบบนี้ของมัน

พ่นลมหายใจระอาความใจอ่อนของตัวเอง “มึงฟังผ่านหูแล้วกัน ไม่ต้องจำให้รกสมอง เพราะยังไงก็เป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้ว”   

“อือ”

หลังมันรับปาก ผมก็ครุ่นคิดว่าจะเริ่มต้นเล่ายังไงดี ใช้เวลาคิดสักพักถึงเริ่มเปิดปากพูด

“ตอนนั้นกูสับสนเรื่อง ‘ครอบครัว’ มาก โดยเฉพาะคำว่าพ่อกับแม่”

(มีต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
Re: - ชลนที - [บทที่ 40] P.14 (20/01/2017)
«ตอบ #419 เมื่อ20-01-2017 11:13:29 »

บทที่ 40 (ต่อ)

“ตอนนั้นกูสับสนเรื่อง ‘ครอบครัว’ มาก โดยเฉพาะคำว่าพ่อกับแม่”

“ทำไมล่ะ?”

“เพราะกูคิดว่า ลุงนิกกับทากะซังเป็นพ่อแม่ของกูน่ะสิ ยิ่งกว่านั้นไม่เคยมีความคิดว่า คนอื่นเป็นพ่อแม่อยู่ในหัวเลย”


ถ้าถามเด็กชายชลนทีสมัยสามสี่ขวบว่าพ่อแม่ของหนูคือใคร หรือให้วาดรูปครอบครัวตัวเองด้วยสีเทียน ก็จะเป็น ‘นิก ทาจัง และที’ เสมอ

ถ้าไม่นับช่วงเวลาหัดพูดใหม่ๆ เด็กชายทีก็ไม่เคยได้เรียกเรียกทั้งสองว่าปะป๊ะ มะม๊าอีก ถึงอย่างนั้นก็เข้าใจด้วยสัญชาตญาณว่าใครเป็นพ่อ ใครเป็นแม่ ช่วงเวลานั้นเป็นเด็กที่สุขภาพดีทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่รู้สึกขาดอะไรเลยสักอย่างเดียว


“เด็กขนาดนั้นแยกแยะเพศไม่ออกหรอก กูเลยไม่ได้สนใจเรื่องมีแม่เป็นผู้ชาย กูมองว่าแม่ก็คือแม่ และทาจังก็เป็นแม่ของกู”

“แล้วถ้ามึงโตแล้วล่ะ จะคิดไหม?”

ผมครุ่นคิดตามคำถามพาร์ “ก็…ถ้าโดนเพื่อนล้อ กูคงกลายเป็นเด็กเกเรชกต่อยกับเพื่อน ฐานเอาแม่ของกูไปล้อล่ะมั้ง”

“มึงคงรักทาจังมาก”

ผมผงกหัว “ก็เขาเป็นแม่กูนี่ จำความได้ก็โตมากับทาจัง กูอยู่กับทาจังมากกว่าลุงนิกอีก เพราะลุงนิกต้องไปทำงาน เอากูไปด้วยไม่ได้ แต่งานของทาจังมีเด็กๆ เยอะแยะ เลยพากูไปทำงานด้วยได้ และตอนนั้นกูไม่อยู่ไทย ชีวิตเลยไม่รู้จักญาติคนอื่น ยกเว้นญาติฝ่ายทาจัง แต่ทาจังก็ไม่ค่อยพาไปหาหรอก แล้วทางญาติฝ่ายลุงนิก นานๆ เจอกันสักที เด็กตัวแค่นั้นจะลืมคนไม่คุ้นหน้าก็ไม่แปลกหรอก”

“สรุปคือชีวิตมึงช่วงนั่นวนเวียนอยู่แค่กับลุงนิก และทากะซัง?”

“ใช่ และด้วยเหตุนี้วันหนึ่งกูตื่นกลางดึก ปกติถ้าตื่นผิดเวลากูจะไปหาพวกเขาอยู่แล้ว แต่ตอนนั้นกลับเจอทาจังกับลุงนิกโต้เถียงกันรุนแรง กูตกใจมาก ไม่กล้าเข้าไปใกล้ ได้แต่แอบซ่อนตัวอยู่หลังประตูทำอะไรไม่ถูก หลังจากนั้นทุกคืนต้องมีปากเสียงกัน ผิดกับต่อหน้ากูที่ทุกอย่างยังเหมือนเดิม กูเลยยิ่งกังวลหนักขึ้นเรื่อยๆ”

“มีปัญหาเรื่องส่วนตัว?”

“เปล่า ปัญหาเรื่องกูนี่แหละ ตอนเด็กไม่รู้หรอก มารู้ตอนโตว่าที่ผู้ปกครองตัวเองทะเลาะกัน เพราะปู่กับย่าจะลุงกับกูกลับไปอยู่ไทย…แบบถาวร” ผมพ่นลมหายใจ “มันเลยเป็นปัญหา เพราะกูกำลังจะเข้าอนุบาลที่นั่น ทาจังทั้งหาโรงเรียน ซื้อข้าวของเตรียมไว้ให้ แล้วก็…เตรียมลาออกจากงานเพื่อกู”

“ทำไมต้องลาออก?”

“เพราะทาจังให้กูเข้าโรงเรียนอนุบาลแบบที่ผู้ปกครองต้องมีเวลาไปทำกิจกรรมกับเด็กด้วย ตอนแรกที่เลือกโรงเรียนกัน ลุงนิกก็เห็นด้วย เลยไม่ได้ว่าอะไรถ้าทาจังจะลาออก”

“หมายความว่าครอบครัวมึงไม่มีความคิดจะกลับไทย?”

“เออ เผลอๆ คงอยู่จนกูโตเลยล่ะมั้ง แต่ความจริงมันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดล่วงหน้าเสมอไป และผลของมันแย่พอควร เรากลับไทยโดยไม่มีทาจัง”

สิ่งที่จำได้แม่นอีกอย่างก็คือน้ำตาของลุงนิก ไม่กี่หยดก็จริง แต่ทำให้คนเห็นอย่างผมหยุดร้องไห้ และไม่กล้าเอ่ยถึงทากะซังให้ลุงได้ยินอีกเลย (แม้ใจจะร้องหาทากะซังก็ตาม)

“สำหรับเด็กคนหนึ่ง การที่พ่อกับแม่แยกทางกันถือเป็นเรื่องใหญ่มาก สภาพจิตใจตอนนั้นของกูเลยย่ำแย่พอสมควร แต่เพราะไม่อยากให้ลุงนิกลำบากใจเลยพยายามไม่ร้องไห้ แถมยังเป็นเด็กดีว่าง่ายกว่าปกติหลายเท่า…ความเปลี่ยนแปลงแรกหลังไม่มีทาจังคือกูโดนปล่อยปละละเลยมากขึ้น แต่ก็ว่าลุงนิกไม่ได้หรอก สภาพจิตใจลุงนิกก็แย่พอกัน แต่ก็ยังพยายามทำอาหารให้กูกิน พยายามดูแลกูหลายอย่างทั้งที่ตัวเองไม่ถนัดเรื่องพวกนี้”

ผมยิ้มให้กับช่วงเวลาเหล่านั้น ยังจำรสชาติอาหารที่ไม่เหมือนอาหารได้อยู่เลย ถ้าตอนนี้ให้กินอีกผมขอหนีก่อนแน่นอน

“หลังลุงรู้ตัวว่าดูแลกูด้วยตัวเองไม่ได้ ก็เลยยอมพากูไปอยู่บ้านปู่กับย่าทั้งที่ตอนแรกต่อต้านไม่ยอมพาไป คือมันเป็นการแก้เผ็ดของลุงนิกหลังโดนปู่ย่าบังคับให้กลับมาอยู่ไทยน่ะ และนั่นเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งที่สองของกู”

ผมหยุดกลืนน้ำลาย แล้วเล่าต่อ

“ปู่กับย่าใจดีมาก ดูแลกูดีสุดๆ ถึงจะสื่อสารกับพวกท่านไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่กูก็ชอบพวกท่าน อาจจะเพราะตอนนั้นยังไม่รู้เรื่องหลายๆ อย่างก็เลยไม่มีอคติต่อพวกท่านด้วย เลยเปิดใจยอมรับได้เร็ว ลุงนิกยุ่งๆ เรื่องงานเหมือนปกติ แต่กลางคืนก็ยังได้นอนด้วยกัน แต่แล้วหลังเรียนรู้ภาษาไทยมากขึ้นจนคุยโต้ตอบรู้เรื่องระดับหนึ่ง ย่าก็ให้กูเปลี่ยนคำเรียกใหม่”

ผมมองพาร์เงียบๆ “ย่าบอกให้กูเติมคำว่าลุงลงไปเวลาเรียกนิก”

“…ตอนนั้นมึงเข้าใจคำว่าลุงหรือเปล่า?”

“ไม่เข้าใจความหมาย รู้ว่ามีไว้ใส่นำหน้าชื่อเวลาเรียกคนอายุเยอะกว่ามากๆ แล้วกูก็นึกว่าต้องใส่กับลุงนิกตามที่ย่าบอก หลังลองเรียกดูครั้งแรก แววตาลุงนิกกลับเปลี่ยนไป ดูเสียใจอะไรสักอย่าง หลังจากนั้นกูเลยไม่ยอมเรียกอีกเลย ต่อให้โดนทำโทษก็ไม่เรียก ถึงอย่างนั้นผลของมันก็ตามมาแล้ว ลุงนิกเริ่มห่างเหินกับกู ระหว่างเรามีช่องว่างที่มองไม่เห็น เจ้าช่องนั่นค่อยๆ ขยายไปเรื่อยๆ ท้ายที่สุดก็กลายเป็นว่ากูโดนทิ้งให้นอนในห้องกว้างคนเดียว”

ผมชันเข่าทั้งสองข้างมากอด วางคางลงไป

“กูอยู่กับช่วงเวลาแบบนั้นจนเกิดอาการซึมเศร้า แต่ต่อหน้าปู่กับย่าก็พยายามทำตัวให้ร่าเริง กูไม่กล้าเรียกร้องความสนใจ ยังไงพวกท่านก็เป็นคนที่พึ่งรู้จักไม่นาน คนอื่นๆ ก็ด้วย สภาพแวดล้อมก็แปลกใหม่ ถ้าเป็นสถานที่คุ้นเคยล่ะก็ กูคงออกไปตามหาทาจัง ไม่ก็ลุงนิกนานแล้ว ไม่อยู่รอด้วยจิตใจย่ำแย่แบบนั้นหรอก”

“…ถ้าไม่อยากเล่า ก็ไม่ต้องเล่าแล้ว”

แต่ผมตัดสินใจเล่าต่อ

“จุดเปลี่ยนครั้งที่สามคือหลังจากนั้นไม่นาน กูได้พบคนแปลกหน้าสองคนที่โต๊ะอาหาร ตอนแรกก็นึกว่าแขกของปู่กับย่า เลยไม่ได้สนใจอะไรมาก แต่ในทางกลับกันกูเป็นที่สนใจของแขกมาก พวกเขาสักถามกูไปเรื่อย ชวนคุยไม่หยุด ปู่กับย่าก็ไม่ห้าม แทบจะปล่อยให้พวกเขาอยู่กับกูตามลำพัง ในใจกูเกิดความหวาดกลัวขึ้นมา ด้วยอารมณ์หลายๆ อย่างที่อัดอั้นมานาน กูเลยร้องไห้ตรงนั้น แล้วก็วิ่งหนีมา มึงลองทายดูไหมว่าสองคนนั้นคือใคร”

“…พ่อกับแม่ของมึง”

“มึงเดาถูก แต่ตอนนั้นกูยังไม่รู้ รู้แค่ว่าพวกเขาน่ากลัว และใจกูกำลังร้องเรียกหาคนที่คุ้นเคยที่สุด หาทาจังก็ไม่ได้ ลุงนิกก็ไม่อยู่ กูเลยขังตัวเองอยู่ในห้อง ซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มที่ยังพอมีกลิ่นของลุงนิกเหลืออยู่จนใจเริ่มสงบลง…”

ผมกลืนน้ำลาย แล้วเล่าต่อ

“เขาว่าสัญชาตญาณเด็กดี คงจะจริงล่ะมั้ง หลังจากนั้นกูมักจะซ่อนตัวจากพวกเขาบ่อยๆ มันเป็นความกลัวในใจจิตที่อธิบายไม่ได้ แต่ปู่กับย่ากลับเข้าใจผิดคิดว่ากูเล่นซ่อนแอบกับพวกเขา นอกจากช่วยกันตามหาตัวกูแล้ว ยังพยายามให้กูอยู่กับพวกเขามาก พวกเขาเองก็กระตือรือร้นที่อยากจะอยู่กับกู สภาพจิตใจของกูเลยแย่ลงไปอีก กว่าพวกปู่ย่าจะรู้ตัว กูก็ยิ้มไม่ออกแล้ว และนั่นคงเป็นสาเหตุที่ลุงนิกโดนตามตัวกลับบ้านแบบจริงจัง”

ผมชี้นิ้วไปที่แสงสีเขียวดวงตรงทะเล

“ยามเจอลุงนิก ในใจกูเหมือนแสงสีเขียวดวงเล็กๆ ตรงนั้น กูเกาะติดลุงนิกแจ ใครก็ไม่ให้เข้ามาใกล้ พอจิตใจได้รับความผ่อนคลายบ้างกูก็ป่วยทันที ไข้ขึ้นสูงอยู่หลายวัน เมื่อได้สติก็ไม่เห็นลุงนิกแล้ว ความรู้สึกเหมือนโดนทิ้งอีกหน พอกูร้องหาลุงนิก ปู่ย่าก็เล่าให้ฟังว่ากูเพ้อเรียกหาทาจังตลอด ลุงนิกเลยกำลังไปพาตัวมา”

ผมยิ้มออกมา

“ทันทีที่ได้ยิน กูดีใจมาก เกิดความหวังขึ้นมาอีกครั้งทำให้มีกำลังใจสู้จนหายป่วย กูเฝ้ารอวันแล้ววันเล่าด้วยความหวังว่า ครอบครัวของตัวเองจะกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง พวกปู่เห็นกูตั้งหน้าตั้งตารอเลยถามว่าทาจังเป็นใคร มึงคิดว่ากูตอบไปว่าอะไร”

“…ไม่รู้สิ”

ผมหันไปมองพาร์

“มึงรู้ เพราะกูบอกมาตั้งแต่แรกแล้วว่าทาจังคือแม่ การตอบคำถามนี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งที่สี่ กูโดนบอกปฏิเสธว่าทาจังไม่ใช่แม่ ลุงนิกก็ไม่ใช่พ่อ พ่อกับแม่ที่แท้จริงคือสองคนตรงหน้า คนที่กูกลัวมาตลอด ยามนั้นกูเลยแผดเสียปฏิเสธไม่ยอมรับ แล้ววิ่งหนีมาร้องไห้ในห้องลุงนิก หลังจากนั้นก็ขังตัวเองอยู่ในห้อง ถึงหิวก็ไม่ยอมออกมา จนปู่ต้องให้คนมางัดห้องเอากูออกมาบังคับให้กินข้าว ที่จริงกูคิดเรื่องหนีออกจากบ้านนะ แต่แค่ออกจากประตูบ้าน กูก็ไม่รู้จะไปไหน ไม่รู้จักที่ไหนเลย แล้วก็ยังมีความหวังว่าลุงนิกจะพาทาจังมา กูเลยยอมทนอยู่รอ”

ผมหัวเราะในคอ

“ช่วงนั้นที่บ้านคือสงครามเย็น กูไม่พูดกับใครเลย ปู่กับย่าก็รักษาระยะห่าง พ่อกับแม่กูก็ไม่กล้ามาหา หลังกูต่อต้านด้วยการอดข้าวประท้วง ช่วงเวลานี้ดำเนินไปจนกระทั่งลุงนิกกลับมา แต่ไม่มีทาจัง กูอยากอาละวาด แต่ทำไม่ได้ สุดท้ายก็ปล่อยโฮออกมา ลุงพยายามปลอบ บอกว่าทาจังมาไม่ได้ แต่อนาคตถ้ามาหาได้ก็จะมา กูผิดหวังมาก มากจนพูดออกไปว่าอยากกลับบ้าน ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว แต่มันก็แค่คำพูดของเด็กที่กำลังงอแง สุดท้ายกูก็ต้องอยู่ที่นั่นต่อ”

“ช่วงนั้นกูไม่เอาใครเลย นอกจากลุงนิก ไม่ปล่อยลุงนิกห่างตัว ถ้าลุงนิกจะไปก็ต้องพากูไปด้วย เลยลำบากลุงนิกต้องเปลี่ยนพฤติกรรม เอางานมาทำที่บ้านแทน คนอื่นพยายามหาวิธีมาหลอกล่อกูสารพัด แต่ก็ไร้ผล สุดท้ายก็กลายเป็นลุงนิกที่หลอกล่อให้กูอารมณ์ดีขึ้นด้วยเรื่องพาไปเที่ยว มึงคิดว่าได้ผลไหม?”

“…ได้”

“เราช่วยกันวางโปรแกรมว่าจะไปทำอะไรบ้าง ลุงนิกให้กูเลือกสถานที่อยากไปเอง กูเลยเลือกสวนสัตว์ เพราะเมื่อก่อนทาจังกับลุงนิกเคยพาไป และตั้งแต่มาไทยกูยังไม่เคยได้ออกไปเที่ยวที่ไหนกับลุงนิก กูเลยตื่นเต้นมาก เฝ้านับวันรอวันเที่ยวให้มาถึงเร็วๆ แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นอย่างที่คิดไว้...คนที่พากูไปไม่ใช่ลุงนิก แต่เป็นคนที่ปู่ย่าบอกว่าเป็นพ่อแม่ของกู”

ผมหัวเราะเสียงขื่น แม้ผ่านมานานมากก็ยังจดจำความรู้สึกตอนนั้นได้

“ความรู้สึกของกูตอนนั้นก็คงเหมือนทะเลสีดำสนิทตรงหน้านี่ล่ะมั้ง พวกดวงแสงที่มีน้อยนิดก็พึ่งแหลกสลายไปหยกๆ กูร้องไม่ไป แต่กลับโดนลุงนิกต่อว่า แล้วสุดท้ายก็โดนจับขึ้นรถมา มึงน่าจะเดาบรรยากาศบนรถออก มีแต่ความอึดอัด สาเหตุก็คงเป็นกูนี่แหละ พวกเขาถามอะไรมากูก็เอาแต่นิ่งเงียบ ตลอดเวลาที่อยู่ในสวนสัตว์พวกเขาพยายามเอาอกเอาใจสารพัด แต่กูก็ไม่ตอบสนอง เรื่องเริ่มเลวร้ายลงอีกเมื่อความอดทนของผู้ใหญ่มาถึงขีดสุด กูโดนแม่ตวาดใส่”

เม้มปากครู่หนึ่ง แล้วเล่าต่อ

“…มาพูดตอนนี้ก็ยังไงอยู่ แต่แม่ในตอนนั้นน่าเห็นใจนะ พฤติกรรมของกูคงทำพ่อกับแม่เสียใจมาก ตอนนั้นกูไม่ได้คิดเรื่องนี้หรอก หมุนตัววิ่งหนีมาดื้อๆ ไม่ได้คิดด้วยว่าจะทำให้พ่อกับแม่เดือดร้อน หรือทำตัวเองมีภัย ความคิดในตอนนั้นคือไม่อยากกลับ ที่นั่นไม่ใช่บ้าน ไม่ใช่ครอบครัว แล้วก็ร้องไห้

เดินไปร้องไห้ไปจนมีคนมาทักว่าหลงทางเหรอ พาไปส่งผู้ปกครองไหม ตอนนั้นกูกลัวผู้ใหญ่มาก เลยสะบัดมือคนพวกนั้นออก แล้ววิ่งหนีอีก วิ่งๆๆ จนหมดแรง…สุดท้ายก็มานั่งร้องไห้อยู่ใต้ต้นไม้ เพราะไม่รู้จะไปที่ไหน แล้วกูก็เจอมึงตรงนั้น”

ผมเงียบไปอึดใจหนึ่ง แล้วสบหน้ากับเข่า

“นี่คือสาเหตุที่กูร้องไห้วันนั้น”

“...กูขอกอดมึงได้ไหม”

ผมนิ่งไปนิด แต่ก็พยักหน้า พาร์ดึงตัวผมให้หันไป มันเป็นฝ่ายขยับเข้ามาหารวบตัวผมไปกอดซะแน่น ถึงจะอึดอัดไปหน่อย แต่อ้อมกอดอุ่นๆ ก็ไม่ได้เลวร้าย มันทำให้ใจผมสงบลง

“กูขอโทษ”

ผมงง “มาขอโทษกูทำไม?”

“ที่ถาม” 

ผมร้องอ้อในใจ คิดไปคิดมาก็เอ่ยบอก “…กูไม่ได้อยากได้คำขอโทษ แต่อยากได้คำอื่น”

“คำอื่น?”

“อือ”

ผมโดนพาร์ผลักออกห่างเล็กน้อย มันจ้องผมนิ่ง เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงขึงขัง

“ไม่เป็นไรหรอก ไม่เป็นไรแน่นอน ข้างมึงมีกูเสมอ”

น้ำตาแทบจะร่วง ไม่ใช่เพราะความเสียใจ แต่เป็นความอุ่นใจประหลาดที่เคยได้สัมผัสมาก่อนแล้วครั้งหนึ่ง ผมแสร้งหัวเราะกลบเกลื่อน

“มึงนี่ปลอบคนไม่เป็นชัดๆ” 

“คำปลอบกูมันแย่ขนาดนั้น?”

“เปล่า”

ตรงข้ามต่างหาก

“คำปลอบของมึงไม่มีการพัฒนาเลยวะ”

ผมผละออกห่าง เบือนหน้ามองท้องทะเล ชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นเหนือน้ำ ทอแสงอบอุ่นอ่อนโยน…เหมือนคนข้างๆ ไม่มีผิด

แสงที่ดับไปจนหมดในวันนั้น มันเป็นคนจุดขึ้นมาให้ใหม่ เพราะงั้นผมถึง…

“มึงร้องไห้!”

ผมรีบยกมือขยี้ตา “ไม่ได้ร้อง อะไรไม่รู้เข้าตา”

“อย่าขยี้สิ ขอกูดูหน่อย ข้างไหน”

“ขวามั้ง”

“ทำไมมีมั้ง นี่มึงแน่ใจนะว่าไม่ได้ร้องไห้”

“แน่ กูเคืองตาขวาอยู่เนี่ย” ตอบพลางมองคนตรงหน้าที่กำลังขมวดคิ้ว

“ก้มมาดิ เดี๋ยวกูลองใช้เสื้อเขี่ยออกให้”

ผมทำตามอย่าว่าง่าย “ขอบคุณวะ”

“มึงค่อยบอกหลังหายเคืองตาดีกว่า”

ผมเพียงแค่ยิ้มให้กับคำพูดมัน

ขอบคุณ…ที่วันนั้นเราได้เจอกันต่างหาก 

-------------
 
“เป็นอะไรวะที ตาแดงๆ”

“อะไรไม่รู้เข้าตา” ผมตอบยำยำแบบส่งๆ โปรดอย่าถามมาก กูขี้เกียจคิดหาคำมาตอบมึง

รอบวงมื้อเช้าของกลุ่มผม (นั่งกับพื้นทรายนี่แหละ) คือขนมปังอบแห้งกับนมกล่องรสจืดที่ซื้อฝากซื้อเพิ่มเมื่อวาน อันที่จริงเราซื้อมาหลายอย่าง เดี๋ยวหาทำเลปักหลักอยู่ยาวตลอดห้าวันได้เมื่อไหร่ค่อยว่ากัน

“พี่สงสัย ถ้าอยากเข้าห้องน้ำขึ้นมา ต้องยังไง?”

ทั้งกลุ่มมองพี่ภู ยำเอ่ยถามทันที “หมายถึงหนักหรือเบาล่ะ”

“ทั้งสองอย่าง”

“ง่าย ถ่ายหนักก็ขุดหลุมเอา ถ่ายเบาก็หันหน้าหาทะเล อย่ามายิงบนบก มันเหม็น”

ผมกลั้นขำยามเห็นสีหน้าแปรเปลี่ยนของพี่ภูกับพาร์ ถ้าทำตามที่ยำบอกจริงๆ น่ากลัวว่าคราวหน้าสองคนนี้คงโบกมือขอบายไม่ยอมตามพวกผมมาเที่ยวแล้วแหงๆ แต่ถ้าโดนปล่อยเกาะของจริงก็คงเรื่องมากไม่ได้หรอก แต่นี่เรามีเวลาเตรียมตัว ถ้าไม่เตรียมพร้อมไว้บ้างคงแย่

ผมมองเห็นหัวหน้าอีกทีมเดินมาหา

“เอานี่ของพวกมึง แรกกับอาหารหกมื้อ” เทมโยนกระดาษลังแบนๆ ให้พวกผม

อย่าดูถูกนะครับ เพราะมันคือสุขากระดาษ

“ใครทำ?” ผมถามเป็นหลักประกันว่าระหว่างนั่งทำธุระส่วนตัว จะไม่มีเหตุการณ์กล่องกระดาษยุบลงมาให้เจ็บตัว

“กูเนี่ยแหละ ทั้งทำทั้งแบกมาให้พวกมึง”

ถ้าเป็นฝีมือเทม หายห่วงครับ

“วิธีประกอบก็เหมือนเดิม จำไม่ได้คิดค่าสอน และอย่าลืมข้าวหกมื้อ” เทมพูดย้ำทิ้งท้าย ก่อนเดินกลับไปกลุ่มตัวเอง

ผมรีบตะโกนไล่หลังเพื่อน “ของมึงคนเดียวนะ! ลูกทีมมึงไม่เกี่ยว!”

ไวไวตะโกนกลับมาทันที “งกวะ!! กูเป็นลูกทีมมึงมาตลอดนะ!”

ผมลอยหน้าลอยตาตอบกลับไป “แต่ตอนนี้ไม่ใช่ และงานนี้ไม่มีฟรีโว้ย!”

“ถ้ากูหาของดีเจอ อย่ามาง้อ”

“มึงก็เหมือนกัน”

“หยุดเลยทั้งคู่ คนที่ต้องประกาศศึกคือหัวหน้าทีมต่างหาก” เทมพูดอย่างไม่สบอารมณ์หลังโดนแย่งซีน

“ก็มึงชักช้า”

“แล้วมึงจะรีบไปไหน”

เอาแล้วครับ เทมกับไวไวเริ่มเปิดศึกกันแล้ว ผมฉวยโอกาสนี้บอกลูกทีม

“หมดห่วงเรื่องห้องน้ำแล้วก็...”

“เดี๋ยว...ไอ้กล่องแบนๆ นั่นจะช่วยอะไรได้?”

“อย่าดูถูกนะพี่ พอประกอบให้เข้าที่มันก็เหมือนเก้าอี้มีรูกลวงใหญ่ตรงกลาง เราจะใส่ถุงขยะไว้ในนั้น พับปากถุงมาคลุมด้านนอก จะถ่ายหนักพี่ก็พกทิชชูไปนั่ง ถ่ายเบาพี่ก็ยิงใส่มัน...หรือพี่สะดวกใจอยากขุดหลุมมากกว่า?”

“ไม่ๆ แบบนี้ดีกว่า”

ผมพยักหน้าทั้งที่ในใจแอบขำ ก่อนกวาดตามองอีกสองคน “มีใครจะถามอะไรอีกไหม?”

คนถูกมองส่ายหน้า

“งั้นรีบกินเถอะ วันนี้มีเรื่องให้ต้องทำเยอะแยะ ออกตัวก่อนอีกทีมได้ยิ่งดี”

############

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด