บทที่ 39
ผมพึ่งเสียเพื่อนคนหนึ่งไป เห็นว่าจะย้ายไปอยู่กับพี่ชายเหมือนที่ก่อนหน้านี้มันโดดสอบไปอยู่กับเขามา
พี่ชายที่ว่าไม่ใช่พี่ชายแท้ๆ แต่เป็นพี่ชายข้างบ้านสนิทกันมาตั้งแต่เล็ก เห็นมันบอกว่าเวลามีเรื่องทุกข์ใจหรือต้องการที่พึ่ง มักไปหาพี่ชายประจำ ผมก็พึ่งจะรู้ว่ามันมีความสัมพันธ์ไม่ค่อยดีกับคนที่บ้าน และน่าจะมีอีกหลายเรื่องที่ผมไม่เคยรู้ และคงไม่มีโอกาสได้รู้
มันคิดจะเริ่มต้นใหม่ และการเริ่มต้นนั่นจะไม่มีพวกผมไปเกี่ยวข้องด้วย
ก็ได้แต่หวังว่ามันจะโชคดี ได้เจอเพื่อน พี่ แฟนที่ดีกว่าพวกผม
หลังออกจากร้านอาหาร พี่ภูไปส่งพวกผมตรงจุดนัดหมาย เทมจะเอาลูกรักมาคืน กว่าจะได้กลับบ้านทากะซังก็เกือบสี่โมงเย็นแล้ว หลังอาบน้ำคลายร้อนก็มานั่งดูหนังตรงพื้นที่นั่งเล่นชั้นสอง หนังสนุก แต่ผมไม่ค่อยมีสมาธิ ในหัวคิดเรื่องนู้นเรื่องนี้ไม่หยุด หันไปมองคนข้างๆ อีกทีก็พบว่าหลับไปแล้ว
…หลับสนิทชนิดเอาขวดน้ำเย็นจัดแตะแขนก็ยังไม่รู้สึกตัว
ผมเทน้ำลงแก้วยกดื่ม พลางมองคนหลับด้วยอารมณ์หลากหลาย ถ้าถามว่าจำเรื่องเมื่อคืนได้ไหม ผมสามารถตอบเต็มปากเต็มคำเลยว่าไม่…ดีกว่าจำได้แล้วมองหน้ากันไม่ติด ผมคิดแบบนั้นเลยไม่พยายามนึกให้ออก
อีกเรื่องที่ทำผมคิดมากคือช่วงที่ตัวเองจำไม่ได้ แต่คนอื่นบอกว่ากลายเป็นเด็ก สายตามองมือถือบนโต๊ะ เบอร์จิตแพทย์ส่วนตัวอยู่ในนั่น ลังเลมาเกือบทั้งวันก็ยังไม่โทรไปหา กลัวว่าโทรไปแล้วจะกลายเป็นถูกจำกัดอิสรภาพ บอกตามตรงผมเบื่อโรงพยาบาลจะแย่ โดยเฉพาะโรงพยาบาลของลุงหมอ ผมเข้าออกที่นั่นบ่อยพอๆ กับโรงเรียน
ช่วงห้าโมงกว่ามีเสียงรถแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้าน ผมชะเง้อคอมอง เห็นรถก็แน่ใจว่าพวกลุงกลับมาแล้ว
รีบวิ่งเข้าห้องน้ำชั้นล่าง สำรวจตัวเองเร็วๆ โชคดีชะมัดที่พาร์ไม่ทำรอยแถวคอ ก่อนวิ่งไปดักรอหน้าประตูบ้าน ฉีกยิ้มเป็นธรรมชาติที่สุดนำทัพ แกล้งทำเป็นไม่เห็นคิ้วเลิกสูงของคนทั้งคู่ แบมือทั้งสองตรงหน้าผู้ปกครอง
“ของฝากทีล่ะ”
“ทากะดูเจ้าที เจอหน้าปุ๊บทวงของฝากปั๊บ”
โดนเหน็บแหนมก็ดีกว่าโดนจับผิดได้ ผมแสร้งหัวเราะไปกับคนทั้งคู่ทั้งที่แผ่นหลังเริ่มชื้นเหงื่อ
“เดี๋ยวทีช่วยขนของ” ขันอาสาเรียบร้อยก็รีบปรี่ไปยกของท้ายรถลงมา
เฮ้อ…เครียดชะมัด
“แล้วไอ้หนูนั่นล่ะ กลับไปแล้ว?”
ผมสะดุ้งเล็กๆ หันไปมองลุงที่มาอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้…เห็นผมถอนหายใจหรือเปล่าหว่า
“เอ่อ หลับอยู่ตรงพรมชั้นสองครับ”
“หนอยมาอาศัยบ้านคนอื่น แต่กลับหลับสบาย ไปตามลงมาช่วยเจ้าของบ้านยกของเลย”
ผมน้ำท่วมปาก จะบอกว่ามันเหนื่อยเพราะผมก็ไม่ได้
“ปะ ปล่อยให้นอนไปเถอะน่า เรื่องแค่นี้ ทีคนเดียวเหลือเฟือ”
ยกแขนให้ลุงเห็นว่าผมแข็งแรงจะตาย
“ทำตัวแปลกๆ นะเจ้าที”
“แปลกตรงไหน” ย้อนถาม สบตาสู้ด้วยสุดฤทธิ์
“…ไปช่วยทากะตรงนู้นไป ทางนี้ลุงจัดการเอง”
ผมรีบพยักหน้า หมุนตัวกำลังจะเดินไปช่วยทากะซังอุ้มของออกจากเบาะหลังก็ต้องสะดุ้ง เพราะโดนลุงนิกตีก้น
“ทำอะไรของลุงเนี่ย?” ผมหันไปโวยใส่ เจอสายตาโคตรจับผิดเขม็งมาชวนหนาวๆ ร้อนๆ “มะ มองทีอย่างนั้นทำไม”
“จะไปหาทากะก็ไปสิ”
ผมรีบผละไปอยู่กับทากะซัง ไม่นึกฝันว่าจะโดนทดสอบด้วยการโดนตีก้น เข้าประชิดตัวคนตัวเล็กกว่าก็รีบกระซิบบอก
“ลุงนิกทำตัวแปลกๆ”
คนฟังหัวเราะใหญ่ “ก็แค่หาเรื่องจับผิดมาไล่แมลงที่เกาะแกะลูกเท่านั้นแหละ อย่าสนใจเลย ทาจังได้ยินว่าทีไปก่อเรื่องมาอีกแล้ว”
สะดุ้งโหยงเลยครับ
“ไม่มีสักหน่อย”
“ไม่มีน้อยน่ะสิ”
“ทาจังก็เหมือนกัน รู้ทั้งรู้ว่าทีจะเจอเรื่องอะไรก็ไม่บอกกันสักคำ! ไม่ต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้เลย เพื่อนลุงนิกใช้เพื่อนทีเป็นนกต่อใช่ไหมล่ะ?”
ผมมองแผ่นหลังคนอุ้มของเดินหนีก็ได้แต่แยกเขี้ยว รู้ก่อนล่วงหน้า แต่ดันมาบอกว่ารู้จากหมอดู!
กะแล้วว่าหมอดูที่ว่าต้องชื่อโฮทากะ
“ทาจัง” ผมหิ้วของเร่งฝีเท้าตามหลัง “ทีจะไปเที่ยวปิดเทอมกับเพื่อนนะ”
ผู้ปกครองหันมองหน้า “คราวนี้ไปไหนกันล่ะ”
“เที่ยวเกาะ”
“เกาะส่วนตัว?”
ผมพยักหน้า รีบพูดเสริม “พ่อเพื่อนส่งคนลงพื้นที่สำรวจกับรักษาความปลอดภัยแล้ว หายห่วงแน่นอน”
ใจลุ้นให้ทากะซังอนุญาต ถ้าคนนี้ให้ไป ผู้ปกครองอีกคนก็แย้งไม่ได้หรอก
“ก็ได้”
“เย้! รักทาจังที่สุด”
“ถ้าที่เกาะมีสัญญาณ ต้องส่งเมลมารายงานตัวทุกวันด้วย เข้าใจไหม?”
“ครับ”
“แต่ถ้าไม่ก็บอกช่องทางติดต่อให้ทาจังรู้ด้วยล่ะ”
ผมรีบพยักหน้า “เดี๋ยวทีให้เบอร์คนดูแลเกาะกับทาจังเลย”
“และคงไม่ลืมธรรมเนียมวันนี้ใช่ไหม”
ผมชะงักกึก เหงื่อเริ่มผุดขึ้นตามตัว “เอ่อ ทีรู้สึกไม่ค่อยสบายคงแช่น้ำด้วยไม่ได้”
“ไหน ให้ทาจังวัดไข้หน่อย…ปกติดีนี่”
อาการเหงื่อแตกพลั่กๆ มันเป็นแบบนี้นี่เอง
“ส สงสัยดีขึ้นแล้วมั้ง”
ผมเครียด แต่แสดงออกไม่ได้ พูดแก้ตัวมากกว่านี้ก็ไม่ได้ ทำได้แค่สงบปากสงบคำ หิ้วของตามทากะซังเข้าบ้าน ทำหน้าที่เรียบร้อยก็รีบเผ่นขึ้นชั้นบน คว้ามือถือกดค้นหา
‘วิธีทำให้รอยบนตัวหายโดยเร็ว’
รอยเพียบ รอยสิว รอยสัก รอยแผลเป็น ไม่ได้ต้องการเฟ้ย! อ๊ะ เจอแล้ว ผมกดเข้าไปอ่าน มีทั้งประคบน้ำร้อน น้ำเย็น เหรียญขูด ทารองพื้น ปิดพลาสเตอร์ยา แผ่นประคบก็มี…ผมกดปิดทันที ระบายลมหายใจ ทิ้งตัวนอนหงาย ยกแขนก่ายหน้าผากอย่างกลัดกลุ้ม
ดูแต่ละวิธีคงไม่มีทางหายภายในสองชั่วโมง เหลือบมองคนกำลังหลับสบาย นึกอยากจะงับหัวมันสักที แต่เห็นแก่ความดีที่ไม่ทำผมเจ็บก้นเลยจำยอมยกประโยชน์ให้จำเลย แล้วมาเครียดเองตามลำพัง
ตาย…ผมตายแน่ๆ
…เดี๋ยวก่อน ถ้าลากพาร์ไปแช่น้ำด้วยล่ะ?
ผมชักมองเห็นแสงสว่าง จ้องคนหลับสนิทอย่างหมายมาด ยังไงวันนี้มันต้องลงแช่น้ำกับครอบครัวผม!
-------------
“ครับ? แช่น้ำ?”
“ใช่แล้ว” ทากะซังส่งยิ้มให้คนถาม ผู้กำลังตกเป็นเป้าสายตาคนทั้งโต๊ะด้วยอารมณ์ต่างกันไป
ลุงนิกจ้องเขม็งให้พาร์ปฏิเสธคำชวน ส่วนผมจ้องกดดันให้มันตอบตกลง มีแค่ทากะซังคนเดียวที่ยิ้มให้อย่างปรานี
“มันเป็นธรรมเนียมของครอบครัวเรา คืนสุดท้ายก่อนแยกย้าย เราต้องแช่น้ำด้วยกัน”
“เอ่อ…” พาร์กวาดมองคนทั้งโต๊ะ ก่อนเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ “ให้ผมไปแช่น้ำด้วยจะดีเหรอครับ?”
“แล้วพาร์อยากเป็นคนในครอบครัวนี้ไหมล่ะ”
“ทากะ!”
ผมหลบสายตาพาร์ จิ้มกับข้าวใส่ปากเคี้ยวเงียบๆ มึงตอบตกลงไปเถอะ ไม่งั้นเรื่องรอยบนตัวกู ความแตกแน่ๆ
“ว่าไงจะแช่ไหม?”
“…แช่ครับ”
สิ้นคำตอบ มันก็โดนลุงนิกจ้องพิฆาตใส่ จ้องไปเถอะ ยังไงผมก็รอดตายแล้ว ฟู่…
เมื่อมีพาร์ร่วมแช่ด้วย ลุงนิกก็เรื่องเยอะตามคาด ตั้งแต่สร้างเงื่อนไขห้ามให้ผมกับทากะซังเปลือยกายลงน้ำ ไล่พวกผมเข้ามาก่อน ดึงพาร์ไปคุยอะไรก็ไม่รู้นานจนน้ำเต็มบ่อถึงพึ่งเข้ามา
“ทากะ! นั่นชุดบ้าอะไร!!”
กะแล้วว่าลุงนิกต้องโวยวาย
“ก็ชุดซับในไง”
ชุดที่อยู่บนตัวผมกับทากะซังคล้ายยูกาตะสั้น ความยาวประมาณเข่า ตรงสาบเสื้อมีเชือกไว้ผูกกับเชือกอีกเส้นตรงข้างเอวกันหลุด ดูสะดวกที่สุดแล้ว (เพราะชุดอื่นไม่มีเชือกผูกแบบนี้ต้องใช้สายคาดเอวรัดเอา) ที่สำคัญปกปิดรอยแดงของผมได้หมดจด
ขอบคุณที่มันมีสติมากพอทำรอยทิ้งไว้เฉพาะใต้ร่มผ้าจริงๆ
“ทำไมต้องเลือกสีขาวเล่า!”
“อย่าเรื่องมากนิก แค่นี้ก็ยอมพอแล้ว”
ทากะซังหย่อนตัวลงบ่อ ท่าทางหงุดหงิดเล็กๆ ผมรีบลงน้ำตาม ช่วงแรกร้อนเหมือนโดนต้ม พอร่างกายปรับตัวสักพักก็รู้สึกร้อนน้อยลง ค่อยๆ ผ่อนคลายมากขึ้น
“ผมยาวขึ้นนะเนี่ย ไว้ผมยาวกว่านี้ก็ดีนะ น่าจะเหมาะกับที”
“แต่มันเกะกะ”
“ไม่ต้องยาวมากหรอก ประมาณนี้น่าจะโอเค”
ผมมองตามมือที่จิ้มหน้าอกก็เบ้ปาก “เกือบกลางหลังแหนะ ไม่เอาอ่ะยาวเกิน”
“งั้นสั้นอีกประมาณนี้เป็นไง” ทากะซังชวนผมคุยไปเรื่อย ไม่คิดสนใจคนพึ่งล้างตัวเอาขาหย่อนลงน้ำเพื่อปรับตัวก่อนเลยสักนิด
“ไม่ต้องไว้ยาวหรอก ทีเหมาะกับผมสั้นมากกว่า”
ผมมองลุงนิกสลับกับทากะซัง…คิดไปเองหรือเปล่าเหมือนผู้ปกครองทั้งสองกำลังหงุดหงิดใส่กัน
ลุงนิกพันแค่ผ้าเช็ดตัวลงบ่อ (ทั้งที่ทากะซังก็เตรียมชุดซับในวางไว้ให้แล้วแท้ๆ) ชักเริ่มเข้าใจนิดๆ ว่าทำไมทากะซังถึงหงุดหงิด เพราะคนที่บอกให้คนอื่นแต่งตัวมิดชิด กลับนุ่งแค่ผ้าขนหนูผืนเดียว ผมเหลือบมองพาร์บ้าง รายนั้นใส่ชุดซับในอาบน้ำเลยครับ แล้วก็เดินตัวเปียกโชกมาหย่อนขาแช่น้ำร้อน ท่าทางเกร็งๆ
“พาร์ มานั่งกับทาจังตรงนี้”
“ไม่ต้อง ที่ฝั่งนี้เยอะแยะ จะไปเบียดฝั่งนั้นทำไม”
ผมนิ่วหน้า รู้สึกถึงบรรยากาศมาคุแปลกๆ ค่อยๆ ตัวเขยิบออกห่างทากะซังช้าๆ มองผู้ปกครองตัวเองตอบโต้กันเป็นภาษาญี่ปุ่น
…กลัวมีมวยกลางบ่อน้ำชะมัด
เหมือนยกแรกทากะซังเถียงแพ้ ผมเห็นมุดหัวลงใต้น้ำข่มอารมณ์ สักพักถึงโผล่ขึ้นมา เสียงน้ำกระจายดังพอสมควรเรียกสายตาให้มองไป ทากะซังลุกขึ้นยืน มือเสยผมไปด้านหลัง เนื้อผ้าสีขาวที่ดูโปร่งบางกว่าปกติแนบกลืนไปกับกล้ามเนื้อ เป็นภาพที่ทำผมอ้าปากค้าง แก้มร้อนผ่าวๆ
ทากะซังเซ็กซี่ขึ้นผิดหูผิดตา…ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรพิลึกซักหน่อย
“ทากะ!” น้ำเสียงลุงเข้มจัด
“อะไร?”
“จะแช่ก็นั่งลงไป! ถ้าจะขึ้นก็รีบขึ้นมา!”
“แช่ไม่ถึงสิบนาที ใครจะขึ้นกัน!”
ผมมองผู้ปกครองเถียงภาษาไทยตาปริบๆ เริ่มมีสาดน้ำใส่กันเป็นเด็กๆ ปล่อยเด็กตัวจริงอย่างพวกผมรับลูกหลงเปียกทั้งหัว
“จะเอาเรอะ!” ทากะซังดึงขาลุงนิกลงน้ำ
ผมรีบขยับตัวหลบลูกหลง เดินไม่กี่ก้าวดันถูกอะไรสักอย่างใต้น้ำขัดขา เซถลาหน้าคะมำ น้ำหนักของผมคงทำให้เกิดน้ำกระเซ็นใส่คนนั่งอยู่ใกล้ๆ
“แค่กๆ”
ต่างคนต่างสำลักไอ ยังไม่ทันมองกันก็ต้องรีบลุกหนีลูกหลงต่อ จิ้งจอกเล็กใหญ่เริ่มเล่นมวยปล้ำกลางน้ำไม่สนใจเด็กตาดำๆ ที่เขยิบหนีสังเวียนไปหลบแถวขอบบ่อ แววตาพาร์มีแต่ความตื่นตระหนก ส่วนผมเหรอ…ชิน จึงตบไหล่ปลอบคนข้างๆ
“อย่างนี้แหละ เรื่องปกติ”
“ปกติ?” พาร์ทวนคำอึ้งๆ “จะชกกันแล้วนะนั่น”
ผมพ่นลมหายใจเบาๆ ให้คำแนะนำสั้นๆ “ขึ้นกันดีกว่า”
พาร์รีบผงกหัวเห็นด้วย แต่สองคู่มวยไม่รอให้เราขึ้นจากน้ำ ผิวน้ำไหวแรงขึ้นเรื่อยๆ น้ำแตกกระเซ็นกระจายไปทั่ว ผมรีบคว้าแขนพาร์ดึงหลบไปอีกทาง สายตาคอยจับจ้องแล้วหลบไปเรื่อย ต้องพยายามอยู่หลังทากะซังเข้าไว้ เนื่องจากลุงนิกชอบกันกับถอยหลัง จากที่แขนปะทะแขน เริ่มมีขาปะทะขา ยิ่งนานยิ่งหลบยากขึ้นทุกที
“หวา!”
เท้าผมลื่นพรืดไปข้างหน้าพุ่งใส่แผ่นหลังทากะซังพอดิบพอดี ด้วยสัญชาตญาณมือคว้าหาที่ยึดเหนี่ยว แต่ดันคว้าทันแค่เสื้อ เพราะตัวทากะซังพุ่งไปข้างหน้าเตรียมเตะลุงนิก
“เฮ้ย!”
ตูม! ซ่า!
ผมรีบยันตัวขึ้นนั่ง ลูบหน้าเอาน้ำออก ลืมตาขึ้นมาก็เห็นลุงนิกรวบทากะซังที่เปลือยเปล่าอุ้มขึ้นจากน้ำ ไม่นานก็ได้ยินเสียงประตูห้องอาบน้ำเลื่อนเข้าออก
ตายล่ะหว่า จะโดนโกรธไหมนั่น…
“…น่าจะทำตั้งนานแล้ว”
ผมรีบแย้งพาร์ “กูไม่ได้ตั้งใจ”
พาร์ชี้นิ้วตรงมา “มือยังกำนั่นไม่ยอมปล่อย”
ผมรีบก้มมองหลักฐานในมือ รีบดึงชุดของทากะซังขึ้นมาบิดน้ำออก โยนไปพาดขอบบ่อ แล้วหันมาถามอีกคน “เอาไง?”
“หมายถึงอะไร”
“จะแช่น้ำต่อไหม?”
พาร์ส่ายหน้า “ขึ้นดีกว่า”
มันเดินมาหา ยื่นมือให้จับ ผมส่งมือให้ก็ช่วยดึงขึ้น เพียงแค่ลงน้ำหนักเท้าข้างขวาความเจ็บแปล๊บก็แล่นเข้าสู่โสตประสาท กะทันหันจนผมเซถลาอีกรอบ ดีที่พาร์คว้าตัวผมทัน แต่เพราะสาเหตุอะไรไม่รู้ มันดันหงายหลังพาผมล้มตาม อาการเจ็บตรงเท้าชัดเจนมากกว่าเดิม
“ทำอะไรของมึง”
“ก็อยู่ๆ มึงเซมา…”
ขณะกำลังสนใจข้อเท้า ผมเริ่มรู้สึกแปลกๆ กับความเงียบที่เกิดขึ้น เลยเงยหน้ามองอย่างสงสัย คล้ายกับห้วงเวลาหยุดชะงัก ต่างคนต่างมองหน้าห่างเพียงแค่คืบของกันละคนอย่างนิ่งงัน
“…ที”
ผมสะดุ้งยามมืออีกคนสัมผัสแนบแก้ม
“กูว่า…กูทนไม่ไหวแล้ว ขอ…”
“เด็กๆ ขึ้นจากน้ำได้แล้ว…ทำอะไรกัน!”
ผมหันไปแยกเขี้ยวใส่ลุงนิกที่ยืนกอดอกทำหน้าโหดตรงประตูห้องอาบน้ำ
“เพราะพวกลุงเล่นอะไรกันไม่รู้ ทีเจ็บเท้าเลย”
คิ้วของลุงขยับเข้าหากัน สองเท้าก้าวเข้าใกล้ ชี้นิ้วที่ขอบบ่อน้ำ
“พามานั่งตรงนี้ ให้ลุงดูที่เจ็บหน่อย”
พาร์ช่วยพยุงผมขึ้นจากน้ำ เห็นแค่เสี้ยวหน้าพาร์ก็พอดูออกว่ากำลังหงุดหงิดที่โดนขัดจังหวะ แต่ผมกลับรู้สึกโล่งใจเล็กๆ หลังทรุดตัวนั่งขอบบ่ออย่างระวังก็บอกอาการ
“ทีเจ็บข้อเท้าขวา อึก…”
แค่แตะถูกก็เจ็บสุดๆ
“น่าจะข้อเท้าแพลง…จะขึ้นบันไดไหวไหม”
“ทีขึ้นได้”
“แต่ลุงจะให้เรานอนห้องรับแขก”
“ไม่เอา ทีจะไปนอนห้องตัวเอง”
หน้าผากผมโดนมือลุงสับเข้าให้ “เจ้าเด็กดื้อ”
ลูบหน้าผากเบาๆ ให้คลายเจ็บ ไร้คำโต้แย้ง เลยถูกลุงนิกถอนหายใจใส่
“งั้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วรออยู่ข้างบน เดี๋ยวลุงเอากล่องปฐมพยาบาลขึ้นไปให้”
ผมรีบพยักหน้า ให้พาร์ช่วยพยุงพาไปเปลี่ยนชุดยูกาตะ แต่กลับโดนลุงนิกช่วยพยุงแทน
“เดี๋ยวลุงช่วยเอง”
ผมรีบส่ายหัว ใจแอบกลัว “ลุงไปดูทาจังเถอะ ผมไม่เป็นไรหรอก เปลี่ยนเสื้อคนเดียวได้”
หลังยืนยันอยู่สามรอบ ลุงนิกถึงยอมปล่อยให้พาร์ช่วยพยุง
“งั้นไอ้หนู พยุงทีไปห้องน้ำ แล้วส่งยูคาตะให้ทีเปลี่ยน แล้วค่อยพาไปชั้นสามก็แล้วกัน”
“ครับ”
“ห้ามตุกติกนะไอ้หนู”
“ครับ”
ผมปวดหัวกับลุงมาก
“รีบๆ ไปหาทาจังเถอะน่า เคลียร์กันให้เรียบร้อยด้วยนะ”
คล้อยหลังลุงออกไป ผมก็ถอนหายใจ
“…มึงไม่ไหวก็น่าจะนอนชั้นล่าง”
“ไม่ได้หรอก” ผมลดเสียงลงเหลือแค่กระซิบ “เสี่ยงให้ลุงเห็นรอยบนตัวกูไม่ได้หรอก ไม่งั้นโดนหิ้วไปอยู่ด้วยตลอดปิดเทอมแน่”
“…แล้วพรุ่งนี้จะลงมายังไง”
“เกาะมึงลงมาไง และกูยังไปเที่ยวไหว!”
หลังยืนยันเจตนารมณ์ พาร์ก็ถอนหายใจใส่ผม
-------------
YamYam: มึงจะไหวจริงเหรอ?
TEE: ไหว!
YamYam: เที่ยวฉบับเราไม่ใช่ชิวๆ นะโว้ย’
TEE: กูรู้
YamYam: มึงไม่รู้ เมื่อกี้พวกเราพึ่งให้ว่าที่เจ้าของเกาะจับฉลาก มันจับได้อะไรรู้ป่าว
TEE: อะไรล่ะ?
YamYam: เอาตัวรอด’
TEE: จริงดิ!
YamYam: จริง งานนี้มันแน่ เพราะดันถูกจริตเจ้าภาพคิดเกม จนกูกำลังคิดว่ามันโกงฉลากอยู่เนี่ย
“นอนได้แล้ว”
ผมละสายตาจากคุยโต้ตอบกับยำทางไลน์มามองคนพูดเตือน พาร์ช่วยปิดไฟดวงใหญ่เหลือแค่แสงไฟสีอ่อนของโคมไฟตั้งพื้นตรงมุมห้อง ผมพลิกตัวนอนหงาย ได้หมอนอิงมารองขาข้างที่เจ็บ
“พรุ่งนี้เพื่อนนัดกี่โมง”
“...ไม่มีระบุเวลาแน่ชัด บอกแค่ใครมาถึงเร็วก็ยิ่งมีเวลาเตรียมตัวมากขึ้น”
“แล้วผู้ปกครองมึงล่ะกลับเมื่อไหร่”
“ขึ้นเครื่องประมาณสิบเอ็ดโมง แปดโมงพวกลุงก็ต้องไปสนามบินแล้วล่ะ กูเลยว่าจะออกเวลานั้นเหมือนกัน”
“โปรแกรมเที่ยวล่ะมีอะไรบ้าง?”
“อยู่แต่บนเกาะ เราจะเล่นเกมกันที่นั่น หัวข้อคราวนี้คือการเอาตัวรอด ถ้าให้เดาจากคนคิดเกมก็น่าจะเป็นแนวๆ สถานการณ์ติดเกาะร้างมั้ง”
“…มึงไหวแน่นะ”
ผมนิ่วหน้า “บอกว่าไหวก็ไหวสิ!”
-------------
สถานที่รวมตัวก่อนไปเกาะคือโรงแรมแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ชายหาด กว่าขับรถไปถึงก็เลยเที่ยงมาเล็กน้อย พวกผมเลยจอดหาอะไรกินแถวริมหาดระหว่างทางก่อน กว่าเข้าไปที่ตัวโรงแรมก็บ่ายโมงนิดๆ แล้ว
ไม่ต้องโทรหาลูกชายเจ้าของโรงแรมให้ยุ่งยาก แค่เดินไปที่แผนกต้อนรับด้านหน้า บอกชื่อตัวเองก็ได้กุญแจห้องมาเลย ที่เพิ่มเติมคือซองจดหมายที่ทำออกมาซะเหมือนบัตรเชิญพิเศษ
ผมส่งยิ้มให้พนักงานที่ดูนอบน้อมกับเด็กอย่างผมเป็นพิเศษ และผละจากมา ในใจแอบด่าเพื่อนที่ทำให้ผมเป็นเหมือนแขกวีไอพีของโรงแรม ยังไม่ต้องไปถึงห้องพักผมก็เดาได้เลยว่าห้องต้องหรู
...เดี๋ยว หรือว่าที่นี่ก็มี?
ผมรีบพลิกกุญแจห้อง อักษรสองบรรทัดเด่นหรา
Pleiades's Meeting Room
25C - 02
...ว่าแล้ว
ผมกลับไปหาพาร์ บอกเสียงเนืองๆ “ไปชั้น 25C กันเถอะ”
พวกผมกลับมาขึ้นรถขับไปตามป้ายบอกทางจนถึงอาคารC หาที่จอดเรียบร้อยก็ช่วยกันหิ้วออกจากรถตรงเข้าอาคาร เข้าลิฟต์มาได้ผมกดชั้น24 พาร์หันมามองผมทันที แต่ไม่ได้พูดอะไร ถึงชั้นที่ต้องการขอทางออกมากัน ตัวลิฟต์ยังคงขึ้นไปต่อ
“ลงชั้นนี้ทำไม?”
“ก็ทางเข้ามันอยู่ชั้นนี้” ผมกวาดตามองหาป้ายเจอแล้วก็ชี้บอกทางให้พาร์รู้ จนเดินไปเจอประตูไม้ติดป้ายสีทองเขียนบอกชัดเจนว่าเป็นห้อง Meeting Room
“...ห้องประชุม?”
ผมกรอกตาไปมา เสียบการ์ดที่ช่องประตู รอจนไฟเปลี่ยนสีก็ผลักประตูเข้าไป มองตรงไปเหมือนเป็นทางตันแต่ตรงกำแพงมีป้ายบอกทางให้เลี้ยวซ้าย
“มึงคิดว่าถ้าเลี้ยวไปจะเจออะไร?”
พาร์ขมวดคิ้ว “ทางเดินไม่ใช่หรือไง”
“งั้นไปดูกัน”
พวกผมเดินตามพื้นพรมจนสุดทางเพื่อเจอบันไดทอดยาวสู่ชั้นบน พาร์เบิกตากว้างเมื่อเงยหน้าไปเจอหลังคากระจกมองทะลุเห็นท้องฟ้าสีคราม แต่ด้านนอกมองทะลุเข้ามาไม่ได้หรอก
ผมตบหลังพาร์ “อย่าพึ่งตกใจ ข้างบนมีอะไรให้มึงแปลกใจอีกเยอะ”
พื้นพรมหยุดลงแค่ทางพักเท้า หลังจากนั้นเป็นพื้นหินขัดที่เหยียบแล้วไม่ลื่นแทน ขึ้นไปเจอสระว่ายน้ำก่อนเลย มองเลยไปจะเห็นบ้านสี่หลังติดกัน
ผมดึงพาร์ที่เหมือนจะตกใจมากเกินไปจนยืนอึ้งกับที่เดินไปบ้านหลังที่มีป้ายห้อยหมายเลข 02 ขึ้นบันไดไปสองขั้นเล็กๆ ก็เจอพื้นที่สำหรับถอดรองเท้า ผมส่งการ์ดในมือให้พาร์ พยักเพยิบไปทางประตูสีขาวตรงหน้า
“...อยากเปิดเองไหม?”
มันส่ายหัวกลับมาทันที
ผมยิ้มขำเปิดประตูออกให้เอง แล้วหัวเราะขำพาร์ที่กวาดมองข้างในรอบหนึ่ง แล้วถอยออกมาดูด้านนอก ก่อนทำหน้าเหมือนโดนหลอก
“กูก็นึกว่าเป็นบ้านสองชั้นจริงๆ”
ผมหัวเราะร่วน “ก็แค่ทำให้ด้านหน้าเหมือนเฉยๆ แต่ความจริงก็เป็นแค่ห้องพักห้องหนึ่งในโรงแรมนั้นแหละ เพียงแต่ทางเข้ามันอยู่ตรงนี้ ด้านที่ควรเป็นประตูเลยกลายเป็นกำแพงแทน กุญแจถึงได้บอกว่าอยู่ชั้น 25”
“ไง”
เพื่อนบ้านข้างๆ โผล่หัวมาทักทายยิ้มๆ ผมทักไวไวกลับ
“ไง มึงอยู่บ้านเลขสาม”
มันส่ายหัว “ยำจะพาพี่ภูมาด้วย มึงก็เหมือนกันนี่ กูกับเทมเลยต้องย้ายไปอยู่บ้านวินชั่วคราว ส่วนเจ้าของบ้านตัวจริงไปเกาะตั้งแต่เช้า...มึงอ่านจดหมายยัง?”
“ยัง มันลงทุนดีทำซะเหมือนการ์ดเชิญงานเลี้ยงอะไรสักอย่าง”
ไวยักไหล่ “ต้องเอาไปฝากแผนกต้อนรับนี่หว่า ถ้าเอาซองจดหมายธรรมดาไปฝากคงโดนสงสัยแย่ ยังไงที่นี่ก็มิตติ้งรูม แล้วมึงบอกต้อนรับคนข้างๆ ยัง?”
“ยัง”
“อ้อเรอะ งั้นกูพูดให้เองแล้วกัน” ไวไวหันมายิ้มให้พาร์ “ยินดีต้อนรับสู่ ห้องรวมพลของดาวลูกไก่ ถ้าโรงแรมไหนเป็นของไอ้วินในอนาคต จะมีห้องรวมพลแบบนี้ทุกที่เลยล่ะ”
“มึงก็พูดเกินจริง” ผมแย้ง “วินก็เลือกสร้างเถอะ”
ไวยักไหล่ “จะกี่แห่งก็ช่างเถอะ กูชอบที่นี่เป็นส่วนตัวเฉพาะพวกเราดี อ้อ ไม่ต้องไปออกประตูชั้นล่างนะโว้ย เดี๋ยวออกผ่านประตูจากห้องวินเอาก็ได้”
มันแน่อยู่แล้ว แต่ขาเข้า ถ้าไม่มีกุญแจห้องนั้นก็เข้าไม่ได้ ผมเลยต้องเข้าประตูจากชั้นล่างเอา
“อย่าลืมอ่านจดหมายด้วยล่ะ ทีมพวกมึงเริ่มต้นช้ากว่าพวกกูแล้ว”
ผมชะงัก รีบขนของเข้าไปในห้องพัก แล้วแกะจดหมายออกดูทันที กวาดมองอ่านเร็วๆ จนจบก็ด่าไอ้คนคิดเกมทันที
“มึงโหดไปแล้วโว้ย!!”
พาร์ฉวยจดหมายไปจากมือผม อ่านสักพักก็มองผมขำๆ
“ท่าทางน่าสนุกดี”
แต่ผมขำไม่ออก ได้แต่หยิบมือถือโทรหายำ รอจนมีคนรับก็ถามไปอย่างรวดเร็ว
“มึงอยู่ไหน?”
[โรงแรม นี่พึ่งได้กุญแจกับจดหมายมา]
“ดี รีบขึ้นมาเลย มึงกับพี่ภูอยู่ทีมเดียวกับกู เราต้องเริ่มประชุมกันเดี๋ยวนี้ เพราะสามโมงสี่สิบห้าจะมีคนมารับเราไปท่าเรือแล้ว”
[เออๆ รอแปบเดียว]
---- มีต่อ ----