- ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: - ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว  (อ่าน 175134 ครั้ง)

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
Re: - ชลนที - [บทที่ 43] P.16 (15/02/2017)
«ตอบ #450 เมื่อ15-02-2017 14:04:38 »

บทที่ 43

“บอกกูได้ยังว่าเกิดอะไรขึ้น?”

ผมสะกิดเทม ถามอย่างข้องใจหลังขึ้นเรือมาได้สักพัก ทุกอย่างกะทันหันมากจนผมแทบตั้งตัวไม่ทัน ได้แต่เก็บข้าวของให้ทันแล้วก็รีบมาลงเรือ

เทมหันมองผม หน้าตามันอิดโรย “รู้ไหมกูยังไม่ได้นอนเลย”

“อ้าว? ทำไมล่ะ?”

“คนของมึงเล่นนั่งเฝ้าจ้องอยู่อย่างนั้นทั้งคืน ใครจะไปหลับลง เพื่อนคนอื่นก็ไม่กล้าปล่อยมันอยู่กับกู กลัวมีเรื่องกันเลยมาบ้านพักกูกันหมด เมื่อไม่มีใครกล้านอน วินเลยไปเอาเกมเศรษฐีออกมานั่งเล่น ระหว่างดวลกันถึงเช้าก็ได้เปิดใจคุยกันหลายเรื่องอยู่ และตอนพวกกูออกมาที่ศาลาเมื่อตอนเช้าก็...”

พูดถึงตรงนี้มันก็ควักมือถือออกมา ควานหาหูฟังมาเสียบให้ แล้วส่งให้ผม ระหว่างใส่หูฟังที่หู เทมก็เปิดคลิปวีดีโอให้ผมดูแล้ว

ภาพปรากฏเป็นฉากพาร์กำลังเดินคู่มากับหญิงผมทองนอกศาลา

[นี่กูควรเชื่อที่มันบอกรักทีเมื่อคืนหรือเปล่า?] เสียงเทมแทรกมา [แล้วมึงจะเอามือถือกูไปอัดวีดีโอทำไม?]

[เก็บเป็นหลักฐานไง เอาไว้ใช้ช่วยทีโต้แย้งได้] คราวนี้เสียงไวไว

สองคนในหัวข้อสนทนากำลังเดินตรงดิ่งมาที่โต๊ะ พาร์ถามเสียงห้วน

[วินล่ะ]

เทมพูดเสียงห้วนใส่ [เดินมาโน้นไง]

[ทุกคน ข้าวเช้าใกล้เสร็จแล้วล่ะ…มีอะไรเหรอ?]

มุมภาพเปลี่ยนเป็นกว้างขึ้น แล้วหยุดอยู่แบบนั้นไม่ขยับส่ายไปไหน ผมเดาว่าไวคงเอามือถือวางพิงอะไรสักอย่างอยู่บนโต๊ะ ได้ยินเสียงพาร์พูดภาษาต่างประเทศกับเธอ ตอนแรกผมนึกว่าภาษาอังกฤษ แต่สงสัยจะไม่ใช่ ขนาดได้ยินชัดก็ยังฟังไม่รู้เรื่อง สาวผมทองพยักหน้า เดินไปนั่งเก้าว่างที่โต๊ะ พาร์กำลังจะนั่งตาม แต่กลับเปลี่ยนใจเดินอ้อมโต๊ะคว้าผ้าขึ้นมา

อ้าวเฮ้ย เสื้อผมนี่หว่า ไหงไปอยู่ตรงนั้นได้? ผมจำได้ว่าหลังเปลี่ยนเสื้อที่บ้านพักก็จับมันลงถังขยะไปแล้วนี่น่า

[มันมาอยู่นี่ได้ไง?]

[เจ้าของมันหนีมาที่นี่น่ะสิ] เทมว่า แล้วพูดต่อ [มึงดูสภาพเสื้อแล้วช่วยสำนึกด้วยว่าทำไอ้ทีหวาดผวาขนาดไหน ตอนนี้แค่มึงเข้าไปใกล้ตัวมัน ไอ้ทีคงขยับหนีแล้วแหงๆ]

ผมเหลือบมองเทมที่หันไปคุยกับกาย ในคลิปมันทำหน้าเอาเรื่องจริงจังมาก แถมยังพูดเกินจริงอีก ทำเอาพาร์ในคลิปหน้าเสียไปเลยครับ…นี่ล่ะมั้งเหตุผลที่พาร์ไม่ยอมเข้าใกล้ผมเลย ทั้งที่ปกติมันต้องลากผมไปคุยให้รู้เรื่องแล้ว

[ตอนนี้มึงจะพูดอะไรก็รีบพูด] เทมเขม่นพาร์อย่างชัดเจน เปรยตาไปทางผู้หญิงคนเดียวที่นั่งอยู่เหมือนต้องการคำอธิบาย

พาร์พยักหน้า สีหน้าค่อนข้างขรึม [วิน]

[วะ ว่าไง?]

[ยัยนี่บอกว่าโดนแม่มึงทาบทามให้มาเป็นคู่หมั้นลูกชาย ซึ่งก็คือมึง]

[อะไรนะ!!]

เสียงประสานดังรอบโต๊ะ ผมยังอ้าปากเหวอ เฮ้ยๆ ไม่ใช่ญาติ…

[เดี๋ยวดิ แม่สาวผมทองนี่ไม่ใช่ญาติฝ่ายแม่วินเรอะ!] ไวไวในคลิปถามเสียงดัง

พาร์ขมวดคิ้ว ส่งเสียงถามหญิงคนเดียวในกลุ่ม ก่อนจะเป็นล่ามแปลให้ [เธอบอกว่าเป็นญาติกันสิดี จะได้ไม่มีเรื่องหมั้นงี่เง่าให้ปวดหัว]

อ้าวๆ มองหน้าวินในคลิป เหมือนจะเห็นมันหน้าซีด ท่าทางเซเล็กๆ ให้เพื่อนตกใจกันใหญ่ เลยโดนกายฉุดแขนให้มานั่งข้างๆ คนอื่นที่มาพร้อมวินเลยหาที่นั่งตาม

[เธอฝากบอกว่าไม่คุ้นสำเนียงภาษาของมึงเลยคุยด้วยไม่รู้เรื่อง แล้วที่มาหามึงถึงที่นี่ เพราะอยากจะบอกให้ช่วยยกเลิกเรื่องหมั้นหมายกับแม่ของมึงให้หน่อย]

[เดี๋ยวก่อน!] วินรีบเบรก [ตั้งแต่แรกเจอหน้า พวกมึงก็คุยเรื่องนี้?]

[ไม่เชิง] พาร์ย่นคิ้ว [ตอนแรกก็ทักทายตามประสาคนไม่ได้เห็นหน้ากันตั้งแต่จบไฮสคูล ก่อนบอกว่าดีใจที่ได้เจอมาก ถามว่าพูดไทยคล่องไหม พอบอกว่าคล่องก็รีบลากกูไปเลย]

[ลากไปไหน?] ไวถาม

[ห้องครัว] พาร์ขมวดคิ้วเหมือนเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยอยากจำ [ยัยนี่เคยไปโวยวายกับพ่อครัวมา เพราะอาหารแต่ละมื้อเผ็ดเกินไป ปลาก็ก้างเยอะ เธอฝืนกินจนปากเป็นแผล แต่หลังโวยวายก็ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยน เธอยอมรับว่าคุยกับพ่อครัวไม่รู้เรื่อง เลยลากกูไปช่วยคุย หลังจากนั้นก็กักตัวกูไว้เป็นเพื่อนคุย ท่าทางเก็บกดมานานที่คุยกับใครก็ไม่รู้เรื่อง]

พาร์เล่าถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจ [เธอบ่นกับกูหลายเรื่องเลยล่ะ อย่างเช่น เรื่องมึงออกเสียงเรียกชื่อเขาผิด ยัยนี่ชื่อเบียทริซ ไม่ใช่เปียทีซ แล้วพอเธอทนไม่ไหวอยากจะกลับบ้านก็กลับไม่ได้ ไม่มีเรือลำไหนยอมไปส่งที่ฝั่ง เธอบอกว่าเหมือนโดนขัง]

นะ นี่มัน…

ในคลิปเงียบกริบอยู่นาน เป็นเทมที่เอ่ยถามคนแรก [มึงรู้จักหล่อนมาก่อน?]

[เพื่อนร่วมชั้นที่สวีเดนของกู ไม่ได้สนิทกันหรอก ศัตรูด้วยซ้ำ]

ฮะ? ศัตรู??

สาวผมทองร้องเรียงพาร์ ก่อนพูดอะไรบางอย่าง พาร์พยักหน้าแล้วช่วยแปล

[เธอบอกว่าเปลี่ยนใจไม่กลับแล้ว จนกว่าวินจะยกเลิกเรื่องหมั้นถึงจะยอมกลับ]

วินลุกพรวด [กูจะกลับไปคุยเรื่องนี้กับที่บ้านให้รู้เรื่อง!]

[ใจเย็นๆ] กายพยายามปลอบ

[เย็นไม่ไหวแล้ว กูจะกลับบ้านเดี๋ยวนี้ พวกมึงก็ด้วย ไปเก็บของ!]

ภาพในคลิปเริ่มสั่นไหวจนดูไม่รู้เรื่อง แล้วก็จบแค่นั้น ผมถอดหูฟังออก ส่งมือถือคืนเทม

หันไปมองวินที่หน้าตาเคร่งเครียดกว่าปกติ

สเป็กของวินต้องเป็นสาวเอเชียตัวเล็กน่ารัก แต่ว่าคู่หมั้นที่แม่หามาดันตรงข้ามกับที่มันชอบหมดเลย สาวเจ้าไม่อยากหมั้น มันก็ไม่อยากหมั้น งานนี้บ้านวินคงได้ระเบิดลงสักครั้ง

เพราะเมื่อไม่มีใครได้นอนเลย และพวกผมต้องกลับมาเก็บของที่ห้องพักในโรงแรม สาวผมทองได้ห้องพักสุดหรูก็สะบัดหน้าจากไป เหลือเพียงพวกผมที่มารวมพลกันที่ Pleiades's Meeting Room ที่ชั้น 25

ไม่มีใครขับรถกลับตอนนี้ไม่ไหว เลยให้วินโทรไปคุยกับที่บ้านก่อน คนอื่นๆ ก็นั่งล้อมวงกินข้าวต้มทะเลที่เอามาจากบนเกาะกันเงียบๆ แล้วแยกย้ายกันไปหาที่นอนหลับ

ผมมองพาร์ที่ยึดเก้าอี้ริมสระว่ายน้ำนอน แดดลงมาโดนเต็มๆ ก็เดินไปสะกิด

“...มึงไปนอนข้างในเถอะ เดี๋ยวกูเก็บของเอง”

พาร์มองผมเนิ่นนาน ก่อนผงกหัวเดินตามผมมาเงียบๆ ระหว่างกำลังเก็บของ ผมก็ได้ยินคนนอนบนเตียงพูดพึมพำ

“ขอโทษ”

พอผมหันไปก็พบว่ามันนอนตะแคงหันหลังให้อยู่ ไม่รู้ว่ายังตื่นอยู่ หรือละเมอพูดออกมา

นึกถึงคำพูดเทม...คู่มึงมีปัญหาเพราะมึงนี่แหละ

ผมก็หุบตามองพื้น พึมพำออกมาบ้าง

“...กูก็ผิดกับมึงเหมือนกัน” 

หลังเก็บของเรียบร้อย ผมก็ออกไปคุยโทรศัพท์ที่ริมสระน้ำ โทรกลับไปที่บ้าน พอน้องๆ รู้ว่าผมกลับวันนี้ดีใจยกใหญ่

[อย่าลืมของฝากนะ] ยัยน้ำบอกเสียงสดใส

[ของอันด้วย]

เออใช่ เกือบลืมแล้วไหมล่ะ

-------------

หลังเที่ยงพวกผมก็ทยอยกันกลับ 

“…แวะซื้อของฝากก่อนนะ”

“อือ” พาร์ขานรับแค่คำเดียว

ผมลอบถอนหายใจอย่างผิดหวัง นึกว่ามันจะช่วยต่อบทสนทนาซะอีก แล้วแบบนี้ใครจะกล้าชวนคุย   

หลังซื้อของฝากกลับบ้าน พวกผมก็ตรงดิ่งกลับบ้าน ไม่มีแวะที่ไหนทั้งนั้น แถมในรถเงียบประหนึ่งไม่มีใครอยู่ อึดอัดจนต้องเปิดเพลงคลอเอา บรรยากาศถึงค่อยผ่อนคลายลงหน่อย กว่าพวกเราจะถึงบ้านผมก็เย็นมากแล้ว แค่หิ้วของเข้าบ้านเจ้าตัวเล็กก็วิ่งมาแต่ไกล กระแทกใส่ซะเกือบล้ม

“พี่!”

ผมวางของในมือ รีบอุ้มน้องขึ้นมากอดแน่นๆ ด้วยความคิดถึง พ่อเดินตามน้องออกมา

“ปีนี้กลับเร็วดีนี่”

“เกิดเหตุฉุกเฉินนิดหน่อยครับ แผนเที่ยวเลยล้มไม่เป็นท่า”

พ่อหัวเราะใหญ่ พยายามดึงน้องออกจากตัวผม แต่มือเล็กเกาะหนึบ ทำไงก็ไม่ปล่อย แถมแหกปากจะร้องไห้ พ่อทำหน้าจนปัญญา โบกมือไล่ให้ผมอุ้มน้องอันเข้าบ้าน ก่อนก้มลงหยิบของช่วยหิ้วเข้าบ้านแทน

ระหว่างวางน้องอันบนโซฟา สองสาวก็วิ่งตึงตังลงมาจากชั้นสอง

“พี่!” ยัยน้ำโผมากอดผม ก่อนผละตัวออก “ของฝากน้องล่ะ”

“อยู่ในรถ เดี๋ยวหยิบลงมาให้” ตอบน้องสาวก็ต้องหันมาเกลี้ยกล่อมน้องคนเล็ก “รอพี่ตรงนี้ก่อน พี่ไปขนของแปบเดียว”

“อันไปด้วย”

“จะไปเกะกะพี่ทำไมเล่า” น้ำดุน้อง เจ้าตัวเล็กเลยเบะปากใส่พี่สาว “ไม่ต้องร้องเลยนะ เป็นผู้ชายซะเปล่า”

ผมใช้โอกาสนี้หลบออกมา พอเดินออกมาข้างนอกก็เจอสองพี่น้องตระกูลกอล์ฟกำลังคุยกัน

“ไม่อยากไปก็ไม่ต้องฝืนตามพี่ไปหรอก”

“แต่จะให้พี่ไปหาปู่คนเดียวได้ไงเล่า”

“ไม่เห็นเป็นไร” พาร์ขยี้หัวน้องสาว “ปู่ไม่ว่าเบอร์หรอกน่า”

เบอร์ดี้ทำหน้าครุ่นคิด “ปีนี้พ่อกับแม่ไม่ไปใช่ไหม?”

“อืม”

“งั้นเบอร์ไปกับพี่ด้วย รอแปบนะ เบอร์ไปบอกน้ำก่อน”

เบอร์ดี้หันมาเห็นผมพอดีก็ฉีกยิ้มให้ แล้ววิ่งสวนเข้าบ้าน พาร์เห็นผมเหมือนกัน มันช่วยเปิดประตูหลังรถให้ ผมมุดเข้าไปหิ้วของที่เหลือออกมา

“ที”

ผมหันไปมอง

“ขอยืมรถกลับบ้านแปบหนึ่ง เดี๋ยวเอามาคืน”

“…มึงจะไปสนามบินเมื่อไหร่?”

“ยังไม่รู้ แต่คงเป็นพรุ่งนี้”

“งั้นเดี๋ยวกูขับไปส่งที่สนามบิน” ผมเดินผละมาสามก้าวก็นึกได้ว่าต้องพูดอะไรสักอย่างกับมัน ถึงได้หันกลับไปมอง เจอมันกำลังก้มหน้ามองพื้นพอดี

“พาร์” คนโดนเรียกเงยหน้าขึ้น แววตาหม่นหมองจนผมใจอ่อนยวบ “กูไม่ได้โกรธมึงหรอกนะ”

“…แล้วกลัวหรือเปล่า”

ผมเดินถอยกลับมายืนข้างมัน แล้วถอนหายใจ “คือว่านะ มึงพึ่งแสดงออกชัดว่าอยากจับกูทำเมียมาก ถ้ากูไม่กลัวสิถึงแปลก”

พาร์ทำหน้าหงอยไปเลยครับ

“ถ...ถึงตอนนั้นกูตกใจจนหนี แต่พอตั้งสติได้กูก็ไม่ได้หนี หรือหลบหน้ามึงนี่” ผมว่า พูดเสริมอีก “ไม่ได้เว้นระยะห่าง ยังคุยกับมึงได้ตามปกติแบบเนี่ย”

“…อือ” พาร์พยักหน้า สีหน้าดูดีขึ้น

“แต่กูคงค้างคืนกับมึงไม่ได้แล้วนะ” พูดถึงตรงนี้ผมก็เบือนหน้าหนี “และจะไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าต่อหน้ามึงด้วย”

“ที”

ผมทำใจสักพัก ค่อยหันไปมอง เจอพาร์มองมาด้วยแววตาแปลกๆ ที่ผมอ่านไม่ออก

…เรียกแล้วเงียบนี่คืออะไร

“จะพูดอะไรก็ว่ามาดิ!” ผมว่าอย่างทนไม่ไหว

“อยากกอดมึง…ได้ไหม”

“หน้าบ้านเนี่ยนะ! ไม่ไห้โว้ย!!”

“งั้นขอกอดที่สนามบินก็ได้”

ผมเขม็งใส่มัน ในใจกำลังครุ่นคิดว่าแบบไหนน่าอายกว่ากัน แม่ง เหมือนโดนไล่ต้อน สุดท้ายผมก็ต้องวางของไว้บนกระโปรงรถ

“อยากกอดก็มา” เห็นมันทำหน้าระรื่นก็ชักหมั่นไส้ “กูให้แค่นาทีเดียวนะ”

“งั้น 30 วินาทีแรกที่บ้าน ที่เหลืออีก30 วิ ขอที่สนามบินนะ”

“มึงนี่มัน…”

ผมอ้าปากพะงาบๆ สรรหาหาคำมาด่ามันไม่ถูก ยิ่งโดนรวบกอดกะทันหันยิ่งคิดไม่ออกหนักกว่าเดิมอีก

กอดครั้งนี้แปลกไป มันทำให้ผมรู้สึกร้อนวาบที่ผิวหน้า หัวใจก็เต้นแรงผิดปกติ แถมยังรู้สึกกระอักกระอวนอย่างบอกไม่ถูก

“เอ่อ พอได้แล้วมั้ง”

“อะไร นี่พึ่งสิบวินาทีเองนะ”

หา! แค่สิบเองเหรอ!

ผมกัดฟันยืนทนให้มันกอดครบตามเวลา แต่ยิ่งนานก็ยิ่งรู้สึกร้อน…ร้อนเหมือนโดนไฟลวก สุดท้ายก็ผลักมันออกอย่างทนไม่ไหว

“ที? เอ๊ะ มึงมีไข้เหรอ หน้าแดง…”

“กูเอาของไปเก็บก่อนล่ะ!”

ผมตัดบทคว้าของบนกระโปรงรถ ชิ่งหนีเข้าบ้านอย่างเร็ว เดินจ้ำพรวดๆ หย่อนของทิ้งไว้ใกล้โซฟา เมินเสียงเรียกของน้องๆ หมุนตัวเดินเข้าห้องน้ำอย่างไว

ปัง!

แค่เห็นเงาสะท้อนบนกระจกก็แทบผงะ ไอ้คนหน้าแดงก่ำเหมือนโดนต้มสุกมานั่นคือผมเรอะ!

ไม่ได้การ รีบหมุนก๊อก กวักน้ำใส่หน้า เงยหน้าขึ้นมาดูอีกทีก็ยังไม่หาย แค่สีแดงจางลง

ผมลูบน้ำออกจากหน้า แววตาสับสนอย่างหนัก 

นี่ผมกำลังเป็นบ้าอะไร?

-------------

“นอนกับน้ำ!”

“ม่ายยย นอนกับอัน”

คนหนึ่งเกาะขา อีกคนเกาะแขน ผมพ่นลมหายใจออกจากปาก ส่งสายตาของความช่วยเหลือทั้งจากพ่อและแม่ แต่สองคนแก่กลับหัวเราะคิกคัก ผมเลยต้องช่วยตัวเอง

“งั้นมานอนที่ห้องพี่ทั้งคู่”

ในที่สุดก็เงียบ ผมพ่นลมหายใจ ไล่ให้ไปอาบน้ำ แล้วค่อยหิ้วหมอนไปห้องผม สองเสียงขานรับ แข่งกันวิ่งขึ้นบันได เอาเข้าไป เดี๋ยวพลัดตกบันไดมาหรอก

วันรุ่งขึ้นผมเดินจูงน้องสองคนในชุดนักเรียนลงบันไดมา จับส่งตัวถึงโต๊ะอาหาร

“ไปส่งน้องอันด้วยนะลูก”

ผมมองแม่ “แต่รถทีอยู่บ้านพาร์นะครับ”

“พาร์เอามาคืนตั้งแต่เช้าแล้วจ๊ะ เห็นว่าต้องไปสนามบินต่อ”

“อ้าว แล้วทำไมไม่ปลุกทีล่ะ”

“ปลุกลูกทำไม?” แม่งง

“ก็ทีบอกพาร์เมื่อวานว่าจะขับไปส่งที่สนามบิน”

“อ้อ สงสัยเปลี่ยนแผนมั้งลูก แม่เห็นลุงแทนกับป้าเจนไปส่ง เห็นว่าเดี๋ยวขับไปทำงานต่อเลย”

งั้นเหรอ…ที่จริงก็ดีนะครับ บอกตามตรงผมยังไม่พร้อมเจอหน้ามัน

“แล้วพาร์บอกไหมครับจะกลับเมื่อไหร่?”

“เอ เหมือนแม่ได้ยินว่าเบอร์ดี้จะกลับมาก่อน ส่วนพาร์คงกลับใกล้วันเปิดเทอมล่ะมั้ง”

ผมพยักหน้าหงึกๆ รับจานอาหารจานแม่มานั่งกินกับน้องๆ ผมกินเสร็จก่อนตัวเล็กตามเคย

“งั้นน้ำไปกับพ่อดีกว่า เดี๋ยวสาย”

“ค่ะ”

น้ำพุ่งมากอดผม กอดแม่ ก่อนคว้ากระเป๋าตามพ่อออกไป

“งั้นทีขอขึ้นไปเอาของที่ห้องก่อนนะครับ”

ผมบอกแม่ ขึ้นห้องไปหยิบกระเป๋าตังค์กับมือถือลงมา ชะงักนิดหน่อยเมื่อเห็นว่ามีข้อความไลน์จากพาร์ตอนหกโมงครึ่ง

PAR: ถึงมึงจะไม่โกรธ แต่กูก็รู้สึกผิดอยู่ดี เพราะงั้นกูจะลงโทษตัวเอง
PAR: ตลอดสองอาทิตย์ที่กูอยู่กับปู่ และอีกหนึ่งอาทิตย์ในสัญญา
PAR: รวมเป็นสามอาทิตย์ที่กูจะหายไปจากชีวิตมึง

ผมอ่านถึงตรงนี้ก็รู้สึกใจหายพิกล

PAR: และระหว่างที่กูไม่อยู่ [ห้าม] ผู้หญิงหรือผู้ชายเข้าใกล้มึงเด็ดขาด!
PAR: กูถือว่าเตือนมึงแล้วนะ แล้วเจอกัน

“ที! น้องพร้อมไปแล้วลูก!” แว่วเสียงตะโกนจากข้างล่าง ผมรีบส่งเสียงตะโกนกลับ

“กำลังลงไปครับ!”

ผมรีบยัดมือถือใส่กระเป๋ากางเกง หันไปมองข้าวของพาร์ที่ยังกองไว้ในห้อง ทิ้งคำพึมพำไว้ก่อนดึงประตูห้องปิด

“แล้วเจอกัน” 

-------------

หลังจากนั้นไม่กี่วัน ไลน์กลุ่มเพื่อนเก่าแก่ก็กระหน่ำ

Wind: SOS กูอยากได้ทัพเสริม
White Rabbit: มึงเถียงแม่แพ้ใช่ไหมวิน 555
Wind: เถียงแพ้ไม่เท่าไหร่ แต่แม่ง ทั้งพ่อทั้งพี่ชายแปรพรรคหมด
Wind: แค่แม่พูดไล่พ่อนอนนอกห้องกับบอกพี่ว่า น้องไม่เอาคู่หมั้น งั้นยกให้พี่แทน โอ๊ย กูอยากบ้า!!
YamYam: มึงก็บอกแม่ไปดิว่ามีแฟนแล้ว

อ้าวเฮ้ย เดี๋ยวมันไปบอกจริงหรอก

Wind: กูบอกแล้ว แต่แม่ไม่เชื่อ
Wind: พอบอกจะพามาให้ดูตัว แม่ก็ไม่เชื่อ
Wind: พูดอีกว่าถ้ากูพาใครสักคนในกลุ่มไปบอกว่าเป็นแฟน แม่ยังเชื่อกว่า กูล่ะเครียด

เอ๊ะ…ผมรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี รีบเฟดตัวเองออกไปเงียบๆ ปล่อยข้อความมาโดยไม่ไปอ่าน

หลังจากผ่านไปสองวัน ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผมเลยไปเปิดอ่านข้อความที่ค้างไว้

Wind: กูต้องการพวกมึงคนใดก็ได้ในกลุ่มมาบ้านกู!

นั่นไง กะแล้วไม่มีผิด

White Rabbit: แล้วใครจะยอมไปวะ
White Rabbit: สติกเกอร์หัวเราะสะใจ
Wind: กูตัดสินใจแล้วเอามึงเนี่ยแหละไว
White Rabbit: ฮะ! กูเนี่ยนะ!

Wind: เออ! ไอ้ทีก็มีเจ้าของแล้ว ยำก็มีแล้ว
Wind: พวกที่เหลือมีแต่ตัวควายๆ
Wind: ขืนเอามันมาแสดงบทแฟน มีหวังแม่นึกว่ากูเป็นเมียพวกมันพอดี
Wind: เพราะงั้นมึงเนี่ยแหละดีที่สุด!

White Rabbit: ให้แสดงบทเป็นแฟนมึงเนี่ยนะ ไม่เอาอ่ะ
Wind: งั้นระหว่างแสดงบทเป็นแฟนกู กับแสดงบทเป็นแฟนเทม มึงจะเลือกใคร!
White Rabbit: มึงสิ
Wind: นั่นไง มึงบอกเองนะ
Wind: พรุ่งนี้มาบ้านกูซะดีๆ ถ้ามึงไม่มา กูจะไปลากคอมึงถึงที่!

ยิ่งอ่านรอยยิ้มยิ่งกว้าง สุดท้ายก็เผลอหัวเราะขำตัวโยน มึงตกม้าตายจริงๆ วะ แค่วินยกไอ้เทมมาอ้างแท้ๆ ผมพิมพ์ข้อความกดส่ง

TEE: หลังจากนั้นเป็นไงบ้างวะ?

คำตอบมาทันทีทันใด

White Rabbit: ไอ้ที! ช่วยกูด้วย!! ไอ้วินจะ

หือ? ผมเลิกคิ้วมองข้อความขาดหายไปดื้อๆ สักพักก็เด้งข้อความใหม่จากวิน

Wind: ไม่มีอะไร มึงไม่ต้องสนใจ หลังจากนี้ถ้าติดต่อพวกกูไม่ได้ ไม่ต้องสนใจ โอเคนะ

อะไรเนี่ย? ยังไม่ทันได้พิมพ์ถาม ก็มีข้อความใหม่ขึ้นมาก่อน

Templar: Tee << ก่อนมึงจะไปสนใจเรื่องชาวบ้าน เอาเรื่องของตัวเองให้รอดก่อน

อย่างกับถูกลูกศรพุ่งเสียบทะลุใจ ผมรีบพิมพ์ข้อความทิ้งท้ายก่อนออกจากแอพ

TEE: Tem << กูเบื่อมึงที่สุด!!

ไม่ทันล็อกหน้าจอ กรอบข้อความก็เด้งให้เห็น

Templar: Tee << กูก็เบื่อมึงเหมือนกัน!

############
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-02-2017 10:56:38 โดย KatzeP »

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
Re: - ชลนที - [บทที่ 43] P.16 (15/02/2017)
«ตอบ #451 เมื่อ15-02-2017 15:18:48 »

มันต้องมีแอบรักแอบชอบชิมิ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: - ชลนที - [บทที่ 43] P.16 (15/02/2017)
«ตอบ #452 เมื่อ15-02-2017 15:29:09 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ EoBen

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3322
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-6
Re: - ชลนที - [บทที่ 43] P.16 (15/02/2017)
«ตอบ #453 เมื่อ15-02-2017 15:34:28 »

แล้วแม่จะเชื่อไหมละ หรือต้องมีบทโชว์ 5555

ว่าแต่ ไว อยากให้ช่วยอะไร

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
Re: - ชลนที - [บทที่ 43] P.16 (15/02/2017)
«ตอบ #454 เมื่อ15-02-2017 18:25:56 »

กลุ่มใหญ่ขนาดนี้ อยู่ด้วยกันนานขนาดนี้ แถมหน้าตาดีๆทั้งนั้น ต้องทีใครสะดุดขากันมั่งล่ะ ^^

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: - ชลนที - [บทที่ 43] P.16 (15/02/2017)
«ตอบ #455 เมื่อ15-02-2017 18:43:20 »

โอ๊ย.......สนุกมากกกกก 
อ่านไป ยิ้มไป  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
กอดของพาร์ ทำให้ทีร้อนผ่าว หน้าแดง แล้ว
วิน ไว  :mew1:
ที เป็นพี่ที่น่ารัก
น้องสองคน ติดทีมาก จนขอมานอนกับที
อยากอ่านต่ออีกและ  :ling1: :ling1: :ling1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:


ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
Re: - ชลนที - [บทที่ 43] P.16 (15/02/2017)
«ตอบ #456 เมื่อ15-02-2017 20:04:40 »

 :pig4:

ออฟไลน์ powvera

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 702
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-3
Re: - ชลนที - [บทที่ 43] P.16 (15/02/2017)
«ตอบ #457 เมื่อ15-02-2017 20:44:16 »

ตามอ่านเรื่องราว  วินกับไว  (แอบชอบกันหรือเปล่า) อิอิ

 :hao3:    :hao3:

ิ   

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
Re: - ชลนที - [บทที่ 43] P.16 (15/02/2017)
«ตอบ #458 เมื่อ15-02-2017 20:54:14 »

 :z1: แม่วินเป็นสาววายหรือเปล่าเนี่ย

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: - ชลนที - [บทที่ 43] P.16 (15/02/2017)
«ตอบ #459 เมื่อ15-02-2017 22:26:41 »

วินจะทำอะไรไวอ่ะ 555555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: - ชลนที - [บทที่ 43] P.16 (15/02/2017)
« ตอบ #459 เมื่อ: 15-02-2017 22:26:41 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ jimmyjimmy

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1966
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-17
Re: - ชลนที - [บทที่ 43] P.16 (15/02/2017)
«ตอบ #460 เมื่อ15-02-2017 23:48:53 »

จะกินกันเองซะละงานนี้

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
Re: - ชลนที - [บทที่ 44] P.16 (05/03/2017)
«ตอบ #461 เมื่อ05-03-2017 21:22:28 »

บทที่ 44

= เกิดอะไรขึ้นกับคู่นี้? แบบนี้นิติกับอีคอนไม่ตีกันแย่หรือเนี่ย =
ก่อนปิดเทอมยังหวานชื่นอยู่ดีๆ แล้วทำไมเปิดเทอมถึงห่างแบบนี้ล่ะลูก…
แฟนคลับงงตาแตกกันหมดแล้ว
เจ๊ก็มึนไปเหมือนกัน แถมขอสัมภาษณ์ใครบอกปัดหมด 

ลือกันเข้าไป ผมพ่นลมหายใจเซ็งๆ ทั้งที่ฟุบหน้ากับโต๊ะอาหาร พยายามเมินเสียงนกเจื้อยแจ้วใกล้ตัว

“มึงอย่าทำเมินค่ะคุณเพื่อน เงยหน้ามาตอบคำถามกูเลย” ลูกหว้าพยายามงัดหัวผมขึ้นมา

“ไม่เอา ขี้เกียจ”

“งั้นมึงแค่ขยับปากตอบคำถามก็ได้ เกิดอะไรขึ้นกับคู่มึง?”

ผมผงกหัวจ้องเพื่อนอย่างรู้ทัน “ใจจริงอยากจะถามเรื่องคู่หมั้นของวินมากกว่ามั้ง”

นอกจากข่าวผม มีข่าววินที่ดังกว่า...

= เตรียมใจสลาย แค่ปิดเทอมไม่ถึงเดือน หนุ่มวินมีเจ้าของแล้ว! =
สาวๆ กรี๊ดแตก เดือนมหาลัยพ่วงเดือนวิศวะกลับมาเรียนพร้อมแหวนที่นิ้วนางข้างซ้าย!
ใครไปถามก็เอาแต่ยิ้มไม่ยอมบอกสักทีว่า
ใครคือผู้โชคดีที่ได้ควงหนุ่มฮอตคนนี้ 

“โอ๊ย เบื่อคนชอบรู้ทัน แล้วใครกันที่บังอาจแย่งวินไปจากอกกู”

“กูไม่รู้เหมือนมึงนั่นแหละ”

ผมพูดตัดบท แว่วเสียงเรียกชื่อจากใครบางคนรีบหันไปมองด้านหลังทันที...ว่างเปล่าอีกแล้ว

“มองอะไรวะ?”

“เปล่า” ผมตอบลูกหว้าหันมาเขี่ยจานข้าวเล่น นอกจากเสียง บางทีก็เห็นเงาใครคนนั้นด้วย โดยเฉพาะในห้องนอนจนผมต้องโยกย้ายไปอาศัยห้องน้องอันชั่วคราว

มือสั่นเป็นระยะ ผมที่หมดอารมณ์กินข้าว วางช้อนลงหยิบขึ้นมาดู

Templar: Tee << กินข้าวแล้วยัง?
TEE: กินอยู่
Templar: กินให้หมด อย่าเอาแต่จ้องอาหาร จ้องให้ตายก็ลงท้องมึงเองไม่ได้

มันแอบอยู่แถวนี้ใช่ไหม?

Templar: หัวโนของมึงยุบยัง?
TEE: นานขนาดนั้น ถ้าไม่ยุบกูคงต้องไปหาหมอแล้ว

Templar: สติกเกอร์ถอนหายใจ
Templar: ตอนแรกกูก็งงที่มึงเดินชนประตูกระจกอัตโนมัติ
Templar: งงกว่าเดิมตอนเห็นมึงตักน้ำซุปมาจ้องมองอยู่นานสองนาน
Templar: มารู้ว่ามึงอาการหนักก็ตอนไปร้านหนังสือ
Templar: ทำไปได้หยิบหนังสือคู่มือเลี้ยงโกลเด้น รีรีฟเวอร์กับเที่ยวสวีเดนออกจากร้านโดยไม่จ่ายตังค์
Templar: ดีนะกูกระชากหนังสือไปวางบนเคาน์เตอร์คิดตังค์ทัน
Templar: แล้วมีหน้ามาแก้ตัว แค่ถือติดมือมา

TEE: กูเผลอถือติดมือมาจริงๆ นี่หว่า

Templar: แล้วดันมาบอกอยากเที่ยวห้าง มาเป็นเพื่อนหน่อย มึงนัดกูให้มาคอยช่วยดูแลชัดๆ
Templar: อีกอย่างกูเข้าใจ ขนเจ้าหมาโกลเด้นบนหน้าปกเหมือนสีผมใครบางคนนี่เนอะ
Templar: นี่ก็อีก ปากบอกไม่อยากไปเที่ยวสวีเดน แต่ก็เห็นเปิดหนังสือเที่ยวสวีเดนดูตั้งหลายรอบ
Templar:ทีหน้าทีหลังคิดถึงใครก็อยู่บ้านไป ไม่ต้องออกมาข้างนอก
Templar: แค่โทรมาบอก เดี๋ยวกูไปหามึงที่บ้านเอง เข้าใจนะ

TEE: แล้วมึงมาแฉกูในนี้ทำบ้าอะไรวะ!

สติกเกอร์หัวเราะมาเลยครับ นำขบวนโดยไอ้เทม

จงใจแกล้งกันชัดๆ อย่าให้ถึงตากูนะโว้ย จะทบต้นทบดอกให้ดู!

-------------

“น้องที! อย่าหนีพี่นะ”

“พี่ก็อย่าไล่ล่าผมสิ ยังไงผมก็บอกไม่ได้”

“ไอ้ที!! มึงจะให้เราเปิดศึกกับนิติตั้งแต่ยังไม่เข้าสงครามเรอะ!”

ผมผงะยามเห็นฝูงเพื่อนโผล่พรวดจากทางด้านขวา ด้านหลังก็นำขบวนมาโดนประธานชั้นปี4

โอ้ย อะไรกันนักหนา! นี่กะว่าถ้าไม่ได้คำตอบ จะไม่ให้อยู่อย่างสุขสบายภายในมหาลัยเลยใช่ไหม!

ผมรีบเบี่ยงเส้นทางวิ่งหนี ไปคณะตัวเองไม่ได้ ไปทางคณะนิติก็ไม่ได้ สงสัยต้องข้ามโซน ผมหนีมาแถวคณะสถาปัตย์ แต่ไอ้เทมไม่อยู่ แต่กลับเจอสาวแปลกหน้ามาดักหน้า ร้องถามหาเหตุผลให้ต้องหนีอีกรอบ จนวนไปแถววิศวกรรม แค่โผล่หน้าไป เสียงผิวปากดังระงม ตามด้วยคำแซว

“มาผิดคณะหรือเปล่าจ๊ะ”

“ที่นี่ไม่ใช่นิตินะ”

“หรือว่าข่าวลือเรื่องเตียงหักจริงล่ะเนี่ย”

“ถ้าหนุ่มนิติไม่ถูกใจ เลือกวิศวะได้นะน้อง”

ผมรู้สึกเหนื่อยใจปนหงุดหงิดมาก แต่เมื่อมาแล้วจะให้โดนแซวแล้วกลับนี่ก็ยังไงอยู่ เลยเลือกบุกคณะวิศวะอย่างกล้าหาญตามลำพัง เมินเสียงแซวเสียงผิวปาก คิดซะว่าเป็นแค่เสียงนกเสียงกา

คณะนี้มีเพื่อนสองคน ผมไม่เลือกวินแน่ๆ ไม่งั้นจากข่าวสองสาย จะกลายเป็นโดนยำเหลือเพียงสายเดียวขึ้นมาจะยิ่งปวดหัว

“อ้าวที?”

แต่แม่ง ทำไมโชคไม่ให้วะ

ผมเหลือบมองวินที่ทำหน้างงๆ อยู่กับคนกลุ่มใหญ่ แน่นอนว่าทุกสายตามองมาอย่างจับผิดเต็มที่ ผมช่างใจอย่างหนัก ถ้ายิ่งหนีคนก็ยิ่งสงสัย งั้น…

ผมเดินไปหา ยกมือทักง่ายๆ

“ไง เห็นยำปะ?”

“มึงมาหายำ?”

“เปล่า พอดีวิ่งหนีมาแถวนี้เลยถือโอกาสแวะหาเพื่อน”

วินทำหน้าบึ้งใส่ผมทันที “แล้วกูไม่ใช่เพื่อนมึงเรอะ ถึงเจอหน้ากูแล้วถามหาแต่ยำ”

ฝูงชนเริ่มแหกออก ให้วินเดินโกรธๆ มาหยุดตรงหน้าผม แต่วงไทยมุงดันขยับขยายมากกว่าเดิมหลายเท่า เอาวะ ถึงขั้นนี้แล้วก็เอาให้สุดไปเลย จะได้สยบก่อนเกิดข่าวลือมั่วนิ่ม ไม่งั้นไอ้วินได้มีข่าวเป็นมือที่สามของผมกับพาร์เพิ่มแน่ 

ผมยืนกอดอก พูดประชดมันเล่นๆ แต่ท่าทางที่แสดงออกเอาเรื่องมาก “อ้อ ที่แท้มึงยังเห็นกูเป็นเพื่อน”

“…นี่มึงโกรธอะไรกู?”

สงสัยจะมากไปหน่อย วินถึงได้ทำหน้าเหมือนเด็กกลัวโดนดุ

“กล้าถามเนอะ” ผมถือโอกาสทิ้งระเบิดใส่เพื่อน “งานหมั้…อื้อ!”

ไอ้วินกระโจนมาปิดปากผม หน้าตาเลิ่กลั่ก เห็นแล้วน่าแกล้งเป็นบ้า ผมเลยจับคอเสื้อวิน เหวี่ยงเพื่อนลงไปนอนแอ้งแม้งบนพื้น

“ไอ้ที!” คนเจ็บโวยวายใส่ ผมแค่ขยับเสื้อผ้าให้เข้าที่ ส่งสายตาเย็นชาให้เพื่อนสนิท

“เจ็บแค่นี้ทำโวย ทีมึงหนีไปหมั้นดันไม่ชวนเพื่อนสนิทไปร่วมงาน กูควรโกรธมึงไหมล่ะ”

เสียงฮือฮาดังกระหึ่ม ไม่พ้นพูดเรื่องแหวนหมั้นบนมือมัน วินยันตัวขึ้นจากพื้นด้วยสีหน้าหงุดหงิด

“แล้วมึงจะให้กูทำไง มันกะทันหันนี่หว่า!”

“อ้อ กะทันหันมาก งั้นบอกกูมาสิ มึงลักพาตัวเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มไปทำบ้าอะไร แถมปิดเครื่องหนีทั้งคู่อีก จนป่านนี้กูก็ยังติดต่อมันไม่ได้เนี่ย”

วินทำหน้าเหยเก ลุกขึ้นยืนแล้วล้วงมือถือเครื่องหนึ่งออกมา หน้าจอมืดสนิท ปิดเครื่องตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้เลยเรอะ

“มือถือมันอยู่ที่กูเนี่ยแหละ กูลืมคืนมันวะ”

“แล้วของมึง?”

วินล้วงอีกเครื่องออกมา หน้าจอมืดสนิทเหมือนกัน “…กูลืมเปิดเครื่อง”

ผมถือโอกาสทิ้งระเบิดอีกลูก “นี่ถ้ากูไม่ได้เป็นเพื่อนพวกมึงมาสิบสองปี กูคงนึกว่าพวกมึงหนีไปหมั้นกันเองแล้ว”

รอบข้างส่งเสียงฮือฮาหนักกว่าเก่า แต่หน้าวินกลับเจื่อนยิ่งกว่าเดิม

“…มึงเดาถูกวะ”

ผมทำตาโต นึกไม่ถึงว่ามันจะสารภาพผิดต่อหน้าธารกำนัลจนเผลออุทานออกมา “ฮะ?!”

วินสูดลมหายใจ จ้องผมอย่างจริงจัง “กูบอกว่ามึงเดาถูก…เพราะงั้นอย่าโกรธเลยนะ แค่ง้อคู่หมั้นตัวเองก็เหนื่อยพอแล้ว อย่าให้กูต้องง้อมึงอีกคน”

ผมอ้าปากเหวอ ตั้งสติได้ก็ร้องถามเสียงหลง “เอาจริงดิ!!”

“เออ! รายละเอียดค่อยคุยกันตอนครบวง แล้วถ้ามึงจะถามหายำ มันยืนทำตาโตอยู่โน้น”

ผมหันขวับตามที่วินชี้ ยำยืนเป็นไทยมุงอยู่กับพี่ภู พอมันตั้งสติได้ก็รีบถลามาหาพวกผม มาถึงก็แหกปากร้องถามเสียงดังลั่น

“มึงกับไวหมั้นกันเรอะ!!!”

วินนวดขมับ ส่วนผมตบหัวยำไปป๊าบหนึ่ง เป็นการเตือนให้มันเลิกแหกปากให้โลกรับรู้กับให้ตั้งสติได้เดี๋ยวนี้ คนเจ็บเลยกุมหัวทำหน้ามุ่ยใส่ผม

“มึงรู้แล้วไม่บอกกูได้ไง”

อ้าว กลายเป็นผมผิด

ผมเลิกคิ้วใส่ยำ “กูแค่เดาหลังเห็นข่าววินใส่แหวนติดตัว ความจริงเป็นยังไงกูก็ไม่รู้เหมือนกันนั่นแหละ นี่ก็ว่าจะรอให้มาอธิบาย แต่ดันเจอเจ้าของเรื่องที่นี่ซะก่อน แล้วกูขอเตือนห้ามมึงโผล่หน้าไปหาไวเด็ดขาด อยากคุยค่อยคุยทางไลน์”

ยำทำหน้าขัดใจ ท่าทางคงอยากรีบวิ่งไปหาไวไวถึงคณะเต็มแก่ แต่ขืนมันไป คนคงรีบตามมันไปด้วยแหงๆ ผมจ้องมันเขม็ง ยำถึงยอมรับปากเสียงอ่อย

“ก็ได้ แต่มือถือมันอยู่นี้ จะให้ไวเล่นไลน์ยังไงเล่า”

“มึงรอไม่เป็นหรือไง” ผมดุอีกรอบ คราวนี้จ๋อยอีกคนซะงั้น

“แล้วมึงล่ะ ทะเลาะอะไรกับพาร์” วินถามบ้าง สีหน้าข้องใจมาก “ตอนปิดเทอมพวกมึงก็ยังดีๆ กันอยู่นี่หว่า”

อ้าวเฮ้ย ไหงมาเรื่องนี้ได้วะ

“ไม่ได้ทะเลาะ” ผมว่าเสียงเรียบ

“แล้วไอ้ที่เป็นข่าวอยู่นี่คืออะไร? จริงหรือไม่จริง?”

ผมยกมือนวดขมับ “กูไม่อยากบอก…”

“อ้อ” ยำทุบกำปั้นกับฝ่ามือ พูดขัดจังหวะ “กูนึกออกแล้ว ทีทำสัญญากับพาร์ไว้ ให้พาร์หนีหน้ามันอาทิตย์หนึ่ง”

“หา?” วินทำหน้างงหนักกว่าเก่า หันมองหน้าผมสลับกับยำ “ทำไมวะ ไม่สิ มึงรู้ได้ไง?”

“ก็กูเซ็นชื่อเป็นพยานคู่กับเพื่อนพาร์ที่อยู่นิติ”

ผมพยายามจับตัวไอ้ยำมาปิดปาก แต่มันดันนกรู้รีบชิ่งไปหลบหลังวิน เมื่อมีคนคอยป้องกันให้ ยำถึงชะโงกหน้าออกมาแสยะยิ้มใส่ผม แววตาวิบวับสุดๆ

“ที่จริงมีเงื่อนไขเยอะกว่านี้ แต่กูจำไม่ได้ จำได้แค่ว่าพาร์เป็นฝ่ายเสียเปรียบ และถ้าพาร์ทำเงื่อนไขครบทุกข้อได้สำเร็จ ทีจะยอมให้พาร์จีบล่ะ”

วินทำหน้าประหลาดใจ “จีบ? หมายถึงจีบเป็นแฟน?”

“ช่าย เป็นแฟนกันจริงๆ ด้วยนะ ไม่ใช่แค่ตำแหน่งสามีกับสะใภ้คณะ”

ผมยกมือปิดหน้า พยายามเมินเสียงฮือฮาที่ดังระงม เริ่มนึกเสียใจที่เดินเข้ามาหาพวกมัน

…ตกลงผมมาทำบ้าอะไรที่นี่วะเนี่ย

-------------

พักเที่ยงของวันต่อมา

= ไม่น่าเชื่อว่าสองคนนี้เป็นเพื่อนสนิทกัน! =
ปิดเงียบมาก เทอมที่แล้วไม่มีมาเจอกันด้วยซ้ำ แต่ความจริงแล้วเป็นเพื่อนกันมาสิบสองปี!
และเท่าที่หลายคนเห็น พวกเขายังสนิทสนมกลมเกลียวกันดีซะด้วย
เจ๊แอบไปสอบถามมา ได้ยินว่ากลุ่มนี้มีกันเจ็ดคน แถมอยู่มหาลัยเราหมดทุกคน
ชักอยากรู้แล้วสิว่ามีใครบ้าง เพราะสายข่าวเจ๊บอกมาว่า ถ้ารวมตัวกันครบเมื่อไหร่มีอึ้งแน่

= วินหมั้นกับเพื่อนสนิทในกลุ่ม?? =
เอาล่ะสิ เพื่อนที่ว่าคือใคร? ชายหรือหญิง?
เท่าที่เจ๊หาข้อมูลมา ไม่ใช่เพื่อนร่วมคณะชัวร์ และน่าจะเป็นผู้ชายมากกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์
ขอแสดงความเสียใจกับสาวๆ ด้วยนะจ๊ะ เดี๋ยวนี้หนุ่มๆ เขากินกันเอง
แถมหนุ่มหล่อรายนี้งาบเพื่อนสนิทซะด้วย

ทันทีที่สองข่าวนี้ออกมา ไลน์กลุ่มเก่าแก่ก็มีข้อความใหม่ทันที

White Rabbit: ผู้ชายเก้าสิบเปอร์เซ็นต์บ้าอะไร แล้วอีกสิบเปอร์เซ็นต์หายไปไหน!!
Wind: เจ๊ก็เขียนบอกชัดๆ ว่ามากกว่าเก้าสิบไง
Templar: พวกมึงสองตัวไปง้อคืนดีกันไกลๆ กูเบื่อฟังมึงงุ๊งงิ๊งใส่กันแล้ว!

ผมหลุดขำหลังเห็นข้อความเทม เพราะวินกำลังอยู่ในโหมดง้อเพื่อน เอ้ย คู่หมั้นให้หายโกรธ ช่วงนี้เลยพยายามเอาอกเอาใจสารพัด

มันก็น่าโกรธอยู่หรอก ถ้าผมโดนเพื่อนสนิทจับหมั้นแบบสายฟ้าแลบแบบนี้ ได้อาละวาดงานล่มไปแล้ว แต่ไวไม่กล้าทำ มันสนิทกับบ้านวินมากกว่าใครในกลุ่ม มัวแต่เกรงว่าฝ่ายผู้ใหญ่จะเสียหน้าเลยต้องมารับกรรมที่ตัวเองไม่ได้ก่อไปตามระเบียบ

YamYam: มึงไม่อยากเปิดตัวเอง ช่วยไม่ได้
White Rabbit: ยำ << หุบปากไปเลย!

ผมกดปิดแอพที่เห็นสองคู่หูบะหมี่สำเร็จรูปเริ่มเถียงกันเอง ไวช่วงนี้เหมือนสตรีช่วงมีประจำเดือน ใครพูดจาไม่เข้าหู พาลอารมณ์เสียใส่หมด ยำก็ชอบไปแหย่เพื่อนให้หัวเสียเล่น

หลังยัดมือถือลงกระเป๋ากางเกง เงยหน้ามาถึงกับชะงัก กระพริบตามองเพื่อนทั้งสามที่มองมาเป็นตาเดียว

“…อะไร?”

“ไม่มี!” ประสานเสียงกันก็จริง แต่เสียงสูงไปไหน

ผมเหล่มองนนท์ “อย่าบอกนะว่าเมื้อกี้มึงแอบอ่านข้อความบนหน้าจอ”

“อย่าใส่ร้ายครับ กูไม่ได้แอบ แต่อ่านอย่างโจ่งแจ้งต่างหาก กูไม่ใช่คนต้นคิด”

ทั้งสามคนเหล่มองไปที่ลูกหว้าหมด “อย่ามองกูอย่างนั้น กูแค่อยากรู้เฉยๆ รับรองไม่เอาไปเล่าต่อแน่ สรุปว่าคนแย่งวินไปจากกู ชื่อไวใช่ปะ?”

“กูว่าตรงข้ามครับคุณเพื่อน เพราะเวลาไม่กี่ชั่วโมงของมึงจะสู้เวลาสิบสองปีได้ยังไง”

“คำพูดมึงทำกูสะอึกเลย นี่กูต้องยอมถอยสินะ กระซิกๆ ผู้หญิงอย่างกูนับวันอยู่ยากขึ้นทุกที”

“ผู้หญิง?” ผมทวนคำ แล้วพูดแหย่ “ไม่ใช่ผู้ชายมีนมเหรอ”

“โปรดลืมเรื่องบ้านั่นไปเลย ถือว่ากูขอร้อง”

ผมหัวเราะสีหน้าตอนนี้ของลูกหว้า แต่แปบเดียวก็ฟื้นคืนชีพมาถามผมด้วยแววตาอยากรู้ต่อ

“...กูนึกว่ามึงไม่สนใจผู้ชายซะอีก?”

ผมพ่นลมหายใจ “มึงคิดถูก”

“แต่ยกเว้นคนนี้ล่ะสิ” ลูกหว้าหัวเราะคิกคัก

ผมทำหน้าเซ็ง เพราะเรื่องเมื่อวานแท้ๆ ถึงทำผมมีข่าวลือใหม่

= เตียงไม่ได้หัก =
แฟนคลับเตรียมเฮ
คู่นี้ไม่ได้เตียงหักแต่อย่างใด แต่กำลังทดสอบกันต่างหาก
ถ้าพาร์ผ่าน งานนี้อาจมีคู่เรียลให้ได้กรี๊ดกร๊าดกันแน่นอน
และขอแสดงความยินดีด้วยกับสองคณะด้วยที่ไม่ต้องทำศึกก่อนเวลาอันควร

“ว่าแต่จันทร์หน้าพาร์ก็มาเจอหน้ามึงได้แล้วใช่ปะ?”

…ถ้านับเวลาสามอาทิตย์จริงๆ พาร์น่าจะมาหาผมตั้งแต่สองวันก่อน เพราะวันที่พาร์ไปสวีเดนคือวันพุธ แต่การที่มันไม่ได้มาหา แสดงว่าน่ารอให้ถึงวันจันทร์อย่างที่ลูกหว้าเดาล่ะมั้ง

“มึงอยากรู้ไปทำไม”

“กูจะได้เตรียมตัวเตรียมใจรับความฟินไง”

ผมเลิกคิ้วขึ้น มองลูกหว้าอย่างประหลาดใจ “มึงเป็นสาววายตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“ตั้งแต่วันที่มึงได้เป็นสะใภ้คณะนั่นแหละ”

-------------

ผมลืมตาอย่างงัวเงียปนหงุดหงิด รีบคว้ามือถือที่กำลังสั่นไม่หยุดบนหัวเตียงขึ้นมากดตัดสาย เหลือบมองน้องอันอย่างกังวล กลัวจะตื่นเพราะแรงสั่นเมื่อครู่ เจ้าตัวเล็กยังคงหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ ไม่มีทีท่าจะตื่น ผมลอบพ่นลมหายใจเบาๆ ดูเวลาบนมือถือเข้าก็ต้องตกใจ

ใครโทรมาตอนเที่ยงคืนฟะ!

กำลังจะกดดูว่าใครโทรมา หน้าจอกลับเด้งข้อความจากไลน์

PAR: อยู่หน้าบ้าน ออกมาหาหน่อย

ข้อความแรกจากพาร์ทำผมนั่งนิ่ง ตาก็เอาแต่อ่านทวนไปมาหลายรอบ มาสะดุ้งก็ตอนมือถือสั่น

PAR: ออกมาเร็วๆ กูง่วงนอนนะ

ผมผงะ รีบพิมพ์ถาม พลางรีบเดินออกจากห้องน้อง

TEE: มึงจะมาค้างที่นี่?
PAR: ลงมาเหอะน่า

ผมงับประตูปิดให้เบาที่สุด ทางเดินด้านนอกเปิดไฟสลัวๆ พอให้เห็นทาง แต่ชั้นล่างมืดสนิท ผมใช้แสงแฟลชจากมือถือแทนไฟฉาย เดินเร็วๆ ไปเปิดประตูบ้าน ขยี้ตาจนแน่ใจว่ามีพาร์กำลังหันหลังยืนพิงรั้วบ้านอยู่จริงๆ

ทั้งที่เผลอยิ้มดีใจ แต่พอเดินเข้าไปใกล้กลับยิ้มไม่ออก แต่รู้สึกเกร็งไปหมด กว่าจะพูดคำแรกได้ ผมก็ยืนจ้องแผ่นหลังมันอยู่พักใหญ่ จนคนโดนมองหันกลับมา 

“งะ ไง”

“ที”

ผมสะดุ้งเมื่อโดนเรียก กำลังจะถามว่ามีอะไร ก็โดนเรียกชื่ออีกซ้ำๆ เสียงก็อ่อนโยนลงเรื่อยๆ จนผมชักเริ่มอึกอัก มือเริ่มเกะกะจนต้องล้วงเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงนอนขาสั้น ข่มใจไม่ให้สั่น เอ่ยถามเร็วๆ

“อ…อะไรเล่า” ดันตะกุกตะกักอีก

“แค่อยากเรียก ไม่ได้เรียกมาตั้งสามอาทิตย์กว่า”

พูดถึงเรื่องนี้ ผมก็รีบยกมือถือมาดูหน้าจอ มันเปลี่ยนเป็นวันจันทร์ที่11 แล้ว ผมเงยหน้าสบตาพาร์

“มึงเลยมาหากูซะเที่ยงคืนเนี่ยนะ?”

“กูไม่อยากรอแล้วนี่ ตอนแรกคิดไว้แค่สามอาทิตย์ แต่ไม่แน่ใจว่ามึงนับวันไหนกันแน่ เลยรอให้ถึงวันจันทร์ดีกว่า”

“อ้อ” ผมพยักหน้ารับรู้ ก่อนเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ “…เข้าบ้านก่อนไหม?”

พาร์ส่ายหน้า บุ้ยใบ้ไปทางรถสีเงิน…รถของพาร์ จอดอยู่ใกล้ๆ มันคงคุยเสร็จแล้วกลับเลย

“ได้รถคืนแล้ว?”

“คันนี้ หรือคันที่ซ่อม?”

“คันที่ซ่อมสิ”

พาร์พยักหน้า “พอได้กลับมาพ่อดูแลประคบประหงมรถดีกว่าลูกในไส้อีก”

ผมหัวเราะ ค่อยๆ ผ่อนคลายร่างกายจากอาการเกร็ง ขยับตัวหันหลังพิงรั้วเยื้องๆ กับพาร์ เอี้ยวคอไปฟังพาร์พูด “อันที่จริงกูขับรถคันนี้ไปมหาลัยมาทั้งอาทิตย์ แต่กลับรู้สึกไม่ชินยังไงไม่รู้”

“เพราะขับรถของกูบ่อยล่ะมั้ง”

“คงใช่มั้ง”

เราเงียบกันไปอีกครั้ง ผมเงยหน้ามองท้องฟ้ามืดๆ ที่นี่ไม่เห็นแสงดาว สู้ที่บนเกาะไม่ได้ ดาวเต็มฟ้า ถึงอย่างนั้นผมกลับรู้สึกมีความสุขกว่าคืนแรกบนเกาะที่นั่งดูดาวด้วยกันจนถึงเช้าซะอีก ไม่สิ จะบอกว่าด้วยกันก็ไม่ถูก เพราะคนบอกเสียงหนักแน่นว่า ถ้าผมนอนไม่หลับจะอยู่เป็นเพื่อนเอง แต่แค่ชั่วโมงนิดๆ ก็ผล็อยหลับบนพื้นทรายซะแล้ว นึกถึงแล้วก็ขำ

“อยากได้ของขวัญปีใหม่ไหม”

ผมหันไปมองพาร์ “อยากให้ก็ให้ดิ ที่จริงกูก็เตรียมไว้ให้มึง อยู่บนห้องไม่ได้เอาลงมา”

“เป็นอะไร?”

“คิดว่ากูจะบอกไหม?”

“บอกมาเถอะน่า กูรู้ตอนนี้หรือตอนได้ของ ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก”

ผมพ่นลมหายใจ “กระเป๋าตังค์ เห็นมันสวยดีและน่าจะเหมาะกับมึง กูเลยซื้อมา”

“มึงซื้อได้ถูกจังหวะ กูกำลังหากระเป๋าตังค์ใหม่มาแทนใบเก่าพอดี”

ผมเลือกกระเป๋าตังค์ให้ก็เพราะเห็นใบที่มันใช้อยู่เยินเต็มที่แล้วนั่นแหละ ท่าทางจะชอบใบนั่นมากถึงได้ใช้มาเรื่อย ไม่ยอมเปลี่ยนสักที ผมเลยพยายามเลือกให้คล้ายใบเดิมมากที่สุด

“พกกุญแจมาไหม?”

“พกสิ เผื่อต้องเปิดประตูบ้านให้มึง”

พาร์ยื่นมือเหมือนขอ ผมเลยล้วงหยิบพวงกุญแจที่ใช้ประจำส่งให้ จากแสงโคมไฟของรั้วทำให้ผมเห็นว่ามันกำลังแกะพวงกุญแจน้องหมาทำจากยางของผมออก

“เอาออกทำไม?”

รอแปบสิ”

พาร์หยิบซองกระดาษเล็กๆ ออกมา ผมมองเขม็งอย่างสงสัย แต่พาร์ไม่ได้ดึงออกมาทั้งหมด ผมเลยรู้แค่มันน่าจะเป็นพวงกุญแจ เสร็จแล้วพาร์ก็ยื่นส่งคืนมา ทันทีที่ผมดึงของผ่านช่องรั้ว ซองกระดาษก็หลุดออก เผยให้เห็นพวงกุญแจสมุดเล็กเล็กๆ ขนาดประมาณ 3x4 เซนติเมตร

“สมุดจิ๋ว?”

พาร์หัวเราะ “มินิ โฟโต้บุ้คต่างหาก กูเลือกปกสีดำ แต่พอเพิ่มลายเท้าหมาสีเงินลงไปดันดูน่ารักกว่าที่คิด”

“ไม่เห็นเป็นไร กูชอบนะ”

พาร์ยิ้มทันที “มึงชอบก็ดีแล้ว ลองเปิดข้างในดูสิ”

ผมทำตามอย่างว่าง่าย ใจก็อยากรู้ว่ามันจะเป็นรูปอะไร พอเห็นเท่านั้นแหละ รีบเงยหน้ามองคนให้ทันที

“นี่มึงแน่ใจนะว่าไม่ได้แกล้งกัน?”

“ไม่เลย นั่นกูทำเองกับมือ แล้วลงมือถ่ายรูปเองด้วย”

ผมก้มมองรูปถ่ายขนมหวาน หน้าตาน่ากินมาก เห็นแล้วน้ำลายสอ มองยังไงก็เอามายั่วกันชัดๆ

“ตอนอยู่โน้น กูไปทำงานพิเศษในร้านคนรู้จักมา เขาเปิดร้านคาเฟ่ และเป็นร้านที่กูเคยทำงานสมัยเรียนไฮสคูล เปิดตลอดเจ็ดวัน ทุกวันจะมีเมนูพิเศษหนึ่งเมนู ช่วงที่กูทำงานเลยขอทำตรงนี้ เพราะงั้นรูปขนมสิบสี่ใบในมือมึงคือเมนูพิเศษที่ว่า”

“แล้วถ้ากูอยากกิน?”

พาร์ยิ้มกริ่ม “กูจะทำมาจีบมึงไง”

ผมกรอกตามองฟ้า สรรหาคำมาพูดไม่ออกจริงๆ

“ลองพลิกไปหน้าท้ายๆ สิ สี่รูปสุดท้ายไม่ใช่ขนมหรอก”

“งั้นทั้งหมดมีสิบแปดใบ…”

ผมพูดถึงตรงนี้ผมก็ชะงักค้าง จ้องเขม็งมองรูปถ่ายเดียว แต่แบ่งเป็นสองหน้า เป็นภาพแอบถ่ายตอนกำลังจะกิน หน้าผมในรูปบ่งบอกมากว่าอยากเขมือบขนมในมือขนาดไหน เห็นแล้วเผลอคิ้วกระตุก ยิ่งข้อความภาษาอังกฤษที่เขียนไว้อีกหน้าหนึ่ง

‘If I want...’ (ถ้าฉันต้องการ)

“อะไรวะ?” ผมงง แถมรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ค่อยดี

พาร์ยิ้มบอกให้ผมพลิกไปสองหน้าสุดท้าย คราวนี้เป็นรูปพาร์ในชุดเชฟสีดำ กระดุมสองแถว แขนยาว แต่พับแขนขึ้นเล็กน้อย ใช้ผ้าผืนใหญ่สีแดงโพกหัว โคตรเท่จนผมตะลึง

“กูหล่อใช่ไหมล่ะ”

ผมหลุดจากภวังค์ เขม็งตาใส่ “ไม่ยุติธรรม! รูปมึงเท่ แต่ดูรูปกูสิ”

“น่ารักออก”

“น่ารักพ่อง!”

พาร์ไม่เถียง แต่พยักเพยิบให้ผมมองของในมือ “อ่านประโยคภาษาอังกฤษสิ”

ผมก้มมองอย่างหงุดหงิด หลังอ่านจบยิ่งหงุดหงิดกว่าเก่า

‘You must tell me’ (เธอต้องบอกฉัน)

“แล้วถ้ากูไม่บอก”

“มึงก็อดกินไง”

ผมแยกเขี้ยวใส่ “สองแง่สองง่ามเป็นบ้า!”

“ก็กูจงใจ” พาร์ตอบหน้าตาย “ให้แล้วก็อย่าถอดออกล่ะ ไม่งั้นมีโกรธ”

“เออ!”

“กูไม่เอาเปรียบมึงหรอกน่า” พาร์ชูพวงกุญแจบ้านพ่วงกุญแจรถขึ้น มีมินิ โฟโต้บุ้คห้อยอยู่ ทั้งสีทั้งลายเหมือนกันเป๊ะ “กูก็ห้อยติดตัวเหมือนกัน”

ผมเขม็งใส่ไอ้คนเจ้าเล่ห์ “มึงยังไม่ทันจีบกูก็ให้ของคู่กันมาแล้วเรอะ ไม่คิดว่าเร็วไปหน่อยหรือไง”

“ไม่นี่ ถึงวันนี้มึงยังไม่ใช่แฟน แต่อนาคตใช่แน่”

ผมกัดฟัน “มั่นใจไปแล้ว”

“ยิ่งเห็นคนหน้าแดง กูก็ยิ่งมั่นใจ” พาร์ขยับแผ่นหลังออกจากรั้ว หันทั้งตัวมามองผมยิ้มๆ “เจอหน้ากันอีกครั้งเมื่อไหร่ เราไม่ใช่เพื่อนกันอีกแล้วนะ”

มองพาร์นิ่งอยู่นาน แววตาอีกฝ่ายสงบมาก ผมจึงพยักหน้า “อืม”

“เจอกันพรุ่งนี้...ถ้าให้ดีฝันถึงกูด้วยล่ะ”

“ใครจะไปทำ!!”

พาร์แค่โบกมือลา ขึ้นรถแล้วขับออกไป ผมมองตามจนไม่เห็นแสงไฟท้ายรถ จึงหมุนตัวเดินเข้าบ้าน ระหว่างนั้นก็เผลอเงยหน้ามองท้องฟ้า

ขึ้นมาถึงชั้นสอง ผมก็เหลือบมองห้องนอนตัวเอง ลังเลเล็กน้อยก่อนจับลูกบิด แล้วเปิดเข้าไป ข้าวของในห้องยังเหมือนเดิมทุกอย่าง เดินไปล้มตัวนอนบนเตียง ไม่มีหมอนก็ช่าง ผมหลับตาลง ยิ้มเล็กๆ ด้วยความรู้สึกปลอดโปร่งยิ่งกว่าวันไหนๆ

ตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป ผมจะกลับมานอนที่นี่

############

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: - ชลนที - [บทที่ 44] P.16 (05/03/2017)
«ตอบ #462 เมื่อ05-03-2017 21:59:30 »

 :-[ :-[ :-[ :-[

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: - ชลนที - [บทที่ 44] P.16 (05/03/2017)
«ตอบ #463 เมื่อ05-03-2017 22:49:03 »

โอ้ย เขินพาร์กับทีมากเลยอ่ะ  :m3:

ออฟไลน์ jimmyjimmy

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1966
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-17
Re: - ชลนที - [บทที่ 44] P.16 (05/03/2017)
«ตอบ #464 เมื่อ05-03-2017 23:28:15 »

พรุ่งนี้...เป็น แฟน กันแล้วนะ

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
Re: - ชลนที - [บทที่ 44] P.16 (05/03/2017)
«ตอบ #465 เมื่อ06-03-2017 00:23:15 »

ตายๆๆๆ เขิลตายไปเลย

จะเอาอีกกกก

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
Re: - ชลนที - [บทที่ 44] P.16 (05/03/2017)
«ตอบ #466 เมื่อ06-03-2017 09:37:21 »

โอยยยยย รอตอนนี้มานานนนน

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
Re: - ชลนที - [บทที่ 45] P.16 (07/03/2017)
«ตอบ #467 เมื่อ07-03-2017 12:47:51 »

บทที่ 45

“ทำไมมากันเร็ว?”

ผมถามอย่างประหลาดใจ น่าแปลกน้อยเมื่อไหร่ที่เห็นพวกลูกหว้ามากันครบองค์ประชุมอย่างกับมานั่งรอผมคนเดียวอย่างนั้น เหล่าคนโดนถามเอาแต่หันซ้ายหันขวาเหมือนมองหาอะไรสักอย่างให้งงเล่น ผมปลดเป้ออก นั่งลงข้างนนท์ตามปกติ กวาดตามองไปรอบหาอะไรไม่รู้ตาม

…ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ

“หาอะไรกัน?” ถามด้วยความสงสัย

“พาร์”

ผมหันขวับ มองลูกหว้ามึนๆ “พาร์เนี่ยนะ? จะมาอยู่ที่นี่ได้ไง มันมีเรียนตั้งแต่แปดโมงครึ่ง ตึกนี้แหละ” พยักเพยิบตึกตรงหน้าที่อีกเดี๋ยวพวกผมก็ต้องขึ้นเรียนเหมือนกัน 

“อ้าว?” ลูกหว้าอุทาน แววตาทั้งสงสัยทั้งหยอกล้อ “แล้วมึงรู้ได้ไง?”

ทั้งกลุ่มหันมองผมกันหมด ผมยักไหล่ ขี้เกียจบอกว่าพาร์พึ่งส่งตารางเรียนมาให้เมื่อเช้า อันที่จริงต้องแลกเปลี่ยนกัน แต่ผมแกล้งทำเป็นลืมส่งให้ อยากรู้ชะมัดว่ามันจะทวงขอเมื่อไหร่ 

“นึกว่าพวกมึงจะมามหาลัยด้วยกันแบบเมื่อก่อนซะอีก”

ผมเลิกคิ้ว รู้สึกแปลกใจเล็กๆ ที่ลูกหว้าสนใจเรื่องผมกับพาร์ขนาดนี้

“กูมีรถ พาร์ก็มีรถ โอกาสมาด้วยกันแบบเมื่อก่อนคงยาก…ว่าแต่มึงจะสนใจเรื่องนี้ไปทำไม” พูดไปก็แอบระแวงเล็กๆ มันแอบเป็นสายข่าวให้ใครหรือเปล่า

“เอ่อ กูแค่อยากรู้เฉยๆ”

“แน่นะ?” ผมหรี่ตาลงจ้องจับผิด “ไม่ใช่มึงเป็นสายข่าวให้ใคร?”

“ไม่มี๊!”

พิรุธเต็มๆ ผมพ่นลมหายใจ “มึงเป็นเพื่อนกูนะลูกหว้า ถ้าเอาข่าวกูหรือพาร์ไปขายให้ใคร มีโกรธ”

ลูกหว้ายิ้มแห้ง ชูนิ้วขึ้นมาทำสัญลักษณ์โอเคด้วยสีหน้าเจื่อนๆ

นนท์เห็นบรรยากาศไม่ค่อยดีเลยดึงผมมาคุยด้วย แล้วปล่อยสามสาวคุยกันเอง

“วันนี้พี่นันนัดประชุมนี่ คิดว่าพี่ๆ จะพูดเรื่องอะไร?”

“สงครามสายน้ำ” ผมบอกเสียงเรียบ

“มึงช่วยพูดให้มันตื่นเต้นหน่อยได้ไหม อีกอย่างมันเรื่องนั้นแน่อยู่แล้ว กูหมายถึงพี่เขาจะพูดอธิบายส่วนไหนของแผนงานต่างหาก”

ผมมองนนท์ “มึงจะให้คนโดนคณะตัวเองตัดหางปล่อยวัดตื่นเต้น?” 

“ยังไงวะ กูงง”

ผมพ่นลมหายใจ “เครื่องบรรณาการโดนส่งให้นิติแล้ว จะรับกลับมาได้ไง”

คิดถึงตรงนี้ผมก็ทำหน้าเซ็ง เหยียบคณะวันแรกก็โดนพี่นันวิ่งเข้าหา พูดย้ำอยู่สองสามหนว่าอย่าลืมไปเข้าประชุมกับนิติ ห้ามมาประชุมกับอีคอน ประธานสูงสุดที่เคารพทำเหมือนอยากให้ผมย้ายสำมโนครัวไปนิติเต็มแก่ ดังนั้นพอมีข่าวเรื่องผมกับพาร์ห่างกัน พี่นันถึงได้เป็นเดือดเป็นร้อนวิ่งเต้นน่าดู     

“เออวะ มึงต้องไปเข้าร่วมกับนิตินี่หว่า” นนท์พูดออกมาเหมือนคนพึ่งนึกขึ้นได้ “แล้วทางนั้นเรียกประชุมยัง?”

“ไม่รู้ ถ้ามีเดี๋ยวพาร์ก็บอกเอง” ผมเคาะนิ้วกับโต๊ะ “เหมือนหน้าที่ของสะใภ้คณะต่างออกไป ถ้าเทียบกับผู้เล่นเหมือนจะอิสระกว่า ไม่ต้องฟังคำสั่งใคร หน้าที่เดียวคือหนีให้รอด ห้ามให้ใครจับตัวได้จนจบงาน ส่วนของพวกมึงน่าจะลุยเป็นกลุ่มใหญ่ และคอยฟังคำบัญชาการจากผู้นำล่ะนะ”

“งั้นกรณีของมึง ไม่ต้องเข้าประชุมก็ได้นี่”

“มั้ง แต่เดี๋ยวรอดูการตัดสินใจจากพี่ดินอีกที”

ในใจนึกแล้วว่าอาจโดนพี่ดินเรียกไปห้องสโมฯ เหมือนคราวที่แล้วก็ได้

นนท์มองมาอย่างอิจฉา “งั้นมึงคงมีเวลาว่างเหลือเฟือ เท่าที่กูได้ยินจากรุ่นพี่ เทอมนี้ประชุมกระจายกว่าจะเป็นอิสระก็หลังพ้นงานสงครามไปแล้ว แถมจำนวนการเข้าร่วมประชุมยังกำหนดบทบาทกับหน้าที่ในกิจกรรมอีก ใครเข้าประชุมมากยิ่งได้ตำแหน่งดี ส่วนใครขาดประชุมบ่อยๆ โชคดีอาจได้หน้าที่ไม่สำคัญไปทำ แต่ถ้าโชคร้ายได้เป็นเบ้ในกองทัพเห็นๆ”

ผมสะดุดหู “เรียกกองทัพเลยเหรอ?”

“มึงไม่ได้เข้าประชุมคราวที่แล้ว พอรวมจำนวนคนทั้งคณะเข้าด้วยกันเหมือนเป็นกองทัพหนึ่งเลยล่ะ ในแผนงานมีแบ่งเป็นกองธงหลักกับกองธงย่อยด้วย ยิ่งใหญ่อลังการมาก ทำเอาพวกกูนี่ตื่นเต้นกันจะตาย ให้อารมณ์เหมือนอีเว้นท์ในเกมมาก แถมคราวนี้ได้ลงสมรภูมิด้วยตัวเองดีกว่านั่งเล่นเกมผ่านหน้าจอเป็นไหนๆ”

“น่าสนุกวะ” สักพักผมถอนหายใจ “เสียดาย กูเข้าไปเล่นแบบกองทัพไม่ได้”

“มึงได้เป็นผู้เล่นพิเศษมีจำนวนแค่หยิบมือเดียว ก็สนุกกับบทบาทให้ถึงที่สุดสิ”

“โดนล่าตัวตลอดงานเนี่ยนะ? ต้องรับบทผู้เล่นตัวแดง มีค่าหัวเท่าไหร่ก็ไม่รู้…พูดถึงเรื่องนี้กูต้องไปถ่ายรูปด้วยวะ”

นนท์ทำหน้าสนใจทันที “ถ่ายรูปประกาศจับ?”

“มั้ง แต่ก็ได้ยินมาอีกอย่างว่าแค่ถ่ายรูปโปรโมทกิจกรรม”

“พาร์ไปต้องด้วยไหม”

“ไม่รู้วะ ยังไม่ได้ถาม แต่น่าจะมานะ กูเดาว่าน่าจะเป็นการนัดรวมครั้งแรกของสะใภ้คณะทั้งมหาลัย ไม่น่าจะมีใครฉายเดี่ยว เพราะถ้ากูบอกพาร์ มันก็คงขอตามไปด้วยแหงๆ”

แววตานนท์เป็นประกายวิบวับ “การรวมตัวกันของพวกมีค่าหัว น่าสนใจมาก”

ผมยิ้มตอบ “กูตั้งตารอให้ถึงวันนัดเลยล่ะ”   

พูดจบเสียงไลน์ก็ดังขึ้นพอดี

PAR: ตารางเรียนของมึงล่ะ
TEE: สติกเกอร์หมีหัวเราะ
TEE: นึกว่าจะไม่ถามแล้ว
PAR: จงใจให้กูทวง?
TEE: ช่าย และมึงทวงช้ากว่าที่คิด ท่าทางเหมือนไม่ค่อยอยากได้
PAR: ใครว่า ส่งมาเลยเร็วๆ ไม่งั้นกูจะบุกไปถ่ายเองถึงในห้องนอนมึง
TEE: ขู่วะ!
PAR: กูทำได้มากกว่าที่ขู่อีก อย่างเช่น…นอนค้างกับมึงสักคืน

ผมกดส่งตารางเรียนให้มัน แล้วออกจากไลน์ทันที แอบหงุดหงิดที่มันเอาเรื่องนี้มาขู่

“ที จะไปกินข้าวกับพวกกูไหมเนี่ย? หรือจะไปกับพาร์?”

ผมหันไปตามเสียงลูกหว้า เห็นเพื่อนทั้งแก๊งยืนรอผมอยู่

“กูไปด้วย” เพราะไอ้คนที่ถามถึงไม่เห็นชวน

-------------

เลิกเรียนคาบสุดท้าย หลังอาจารย์เดินออกไปหมาดๆ พวกผมก็เจอเซอร์ไพรส์ โดนนิติบุกเข้ามาไล่ต้อนให้ถอยกลับเข้ามาในห้อง ไม่พอยังกรูกันเข้ามายืนตามกำแพงล้อมอีคอนเกือบร้อยชีวิตไว้ตรงกลาง จงใจวางคนกลุ่มหนึ่งขวางทั้งประตูหน้าทั้งประตูหลังกันไม่ให้ใครทั้งเข้าและออกทั้งสิ้น

“นี่มันเรื่องอะไร!”

มลในฐานะที่เป็นประธาน ทิ้งกระเป๋าเดินออกไปลุย มีสมุนทั้งสามตามติดเป็นองครักษ์ ฝ่ายนิติก็ส่งประธานชั้นปีอย่างเจ้าแม่เมย์ฉายเดี่ยวมาประจันหน้า

เมย์เชิดหน้าตอบอย่างมั่นใจ “เรื่องของสองคณะ”

“หา?” มลอุทาน สีหน้ามึนงงไปต่อไม่ถูก

เมย์ไม่สนใจ ตบมือส่งสัญญาณสามครั้ง ใครสักคนจากฝั่งนิติส่งเสียงนำ

“โห่….”

ผมสะดุ้งโหยง เฮ้ยๆๆ อย่าบอกนะว่า…

“ฮี่…โห่…”

คราวนี้เสียงประสานจากนิติทั้งหมด ทำเอาอีคอนทำหน้าเลิ่กลั่ก ก่อนทางคณะนู้นพร้อมใจร้องประสานเสียง

“ฮิ้วววว”

หลังโดนฮี่โห่รองสอง สายตาหลายคนเหล่มองมาทางผมที่กำลังยกมือปิดหน้าหลังรับรู้ชะตากรรม

นิติเป็นกลุ่ม ปีหนึ่งยกก๊วน

ระหว่างบทเพลงกำลังขับขาน ผมเห็นทางนิติขยับเปิดทาง เลยได้เห็นพาร์ที่ยืนอยู่หลังสุดจนแผ่นหลังเกือบชิดประตูหน้า มันเริ่มก้าวเท้าออกเดิน

ยกขบวนข้ามตึก มาหาเจ้าสาว
มาหาเจ้าสาว (ประสานเสียง)

ฝั่งผมก็เริ่มขยับตัวเปิดทางให้เหมือนกัน พาร์เดินหลบพวกโต๊ะตรงดิ่งมาหา

วันนี้เลิกเรียน ฤกษ์ยามได้ที่
เจ้าบ่าวเรานี้ นำสินสอดมาขอ

พาร์หยุดยืนตรงหน้าผมที่โดนเพื่อนฉุดให้ลุกยืน สองแขนที่ไขว้กันอยู่ด้านหลังตลอดตอนเดินมาก็ขยับมาด้านหน้า ในมือถือกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีน้ำเงินเข้ม ด้านบนกล่องมีตราสัญลักษณ์ของร้านสีทอง แค่เห็นตราผมก็ร้องอ้อในใจ รู้ทันทีว่าด้านในมีอะไร

มันจะให้กำไลแบบธรรมดาไม่ได้เรอะ!   

ของมีแค่นี้ แต่รักล้นใจ
โปรดรับเอาไว้ แทนคำสัญญา

สิ้นสุดเพลง ท่ามกลางความเงียบ พาร์ก็พูดโผล่ออกมา

“ขอจองตัวก่อนได้ไหมครับ”

เสียงโห่ร้องแซวดังสนั่นหวั่นไหว ไม่แพ้เสียงกรี๊ดกร๊าด ทำเอาหูผมเกือบดับ แต่ละคนไม่กลัวหลอดเสียงแตกกันเลย ผมยืนใบ้กิน ไม่ยอมตอบสักทีก็เริ่มมีไซโค กระทืบเท้าตามเป็นจังหวะ

ตอบรับเลย…ตอบรับเลย…ตอบรับเลย

จากนิติลามมาฝั่งอีคอน ย้ายไปเชียร์พาร์กันหมด

อารมณ์ของผมเลยจากอายไปแล้ว ตอนนี้นึกอยากยกมือกุมขมับมาก ไอ้คนตรงหน้ารู้ทั้งรู้ว่าผมปฏิเสธกำไลในกล่องไม่ได้ก็ยังใช้วิธีนี้มาไล่ต้อนกันทางอ้อม แล้วจะให้ผมพูดว่าอะไรเล่า อืมเรอะ เหมือนยอมให้มันจองตัวง่ายๆ เลยวะ

“ที”

ผมเลิกคิ้วให้คนเรียกเป็นเชิงถาม

“ถ้ามึงไม่พูดปฏิเสธ กูถือว่ามึงตกลงนะ”

ผมกระพริบตา คิดไปคิดมาไม่ต้องพูดอะไรแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน พอผมยังนิ่งเงียบ พาร์ก็อมยิ้ม วางกล่องในมือลงโต๊ะใกล้ๆ ทันทีที่เปิดฝา เสียงฮือฮาก็ดังระงมทั่วห้อง

“กำไลคู่นี่!”

“โหย สวยวะ”

“ฮือๆ กูอิจฉา”

“สักวันจะมีหนุ่มสักคนมาให้ของกับกูแบบนี้ไหม”

พาร์ไม่สนเสียงรอบข้าง หยิบกำไลวงหนึ่งมาดูแวบเดียวก็แกะแกนกำมะหยี่ออก คว้ามือซ้ายผมยกขึ้นจับคล้องกำไลลงข้อมืออย่างไว ทำผมเหวอเล็กๆ เพราะตั้งตัวไม่ทัน

กริ๊ก!

หืม? เหมือนได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ มันเบาจนผมไม่แน่ใจ 

“อ่ะ ตากูบ้าง” พาร์ยื่นทั้งมือขวา ทั้งกำไล (ที่แกะตัวล็อกออกเพื่อสะดวกเวลาสวมใส่) มาทางผม

“กูต้องใส่ให้มึงด้วย?”

“อืม”

ขัดไม่ได้สินะ ผมทำหน้าปลงๆ รับกำไลมาสวมที่ข้อมือให้ ไม่ทันได้ทำมากกว่านั้น พาร์ก็ชักมือกลับ

อะไรวะ?

ผมขมวดคิ้ว ทั้งประหลาดใจทั้งสงสัยยามมองพาร์ทำตัวแปลกๆ ยิ่งมันจงใจใช้มือบังตอนกดล็อกตัวกำไลก็ยิ่งสร้างความสงสัยให้ผม พอพาร์ผละมือออก บนข้อมือก็มีกำไลสภาพสวมใส่เรียบร้อยแล้ว

สายตาของเราสบกัน ผมถึงได้เห็นว่าแววตาของพาร์บ่งบอกถึงความสมใจอย่างชัดเจน

…เหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้อง แล้วอะไรไม่ถูกล่ะ?

ระหว่างกำลังนึกหาคำตอบ มือก็ถูกคว้าโดนลากตัวไปยืนข้างกำแพงห้องฝั่งตรงข้ามประตู กำลังจะถามคนลากมาก็เห็นฉากนิติปี1 กำลังเปิดกระเป๋าหยิบของกินมาแจกจ่ายพอดี มีเผื่อแผ่ให้ทางอีคอนด้วย พื้นที่กลางห้องจึงค่อนข้างชุลมุน ถ้าพาร์ดึงตัวผมมาช้ากว่านี้คงติดอยู่กลางห้องสักพักถึงออกมาได้

“จะจัดงานเลี้ยงในห้อง?”

ผมถามตามที่เห็น นึกสงสัยว่ามันผิดกฎห้ามเอาอาหารและเครื่องดื่มเข้ามากินในห้องเรียนไม่ใช่เหรอ แน่นอนว่ากฎข้อนี้โดนนักศึกษาแหก เพราะขวดน้ำดื่มกับลูกอมไปนานแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครกล้าจัดหนักทั้งน้ำทั้งขนมเหมือนตอนนี้

พาร์ไม่ทันตอบก็ได้ยินเสียงมลตะโกนออกมา 

“จะฉลองก็ไม่ว่า แต่เบาเสียงกันหน่อย”

ตามด้วยเสียงตะโกนของเมย์ “ฉลองเสร็จแล้ว อย่าลืมช่วยกันทำความสะอาด ใครไม่ทำเตรียมตัวโดนลงทัณฑ์ได้เลย!”

ฝ่ายนิติรีบขานรับเจ้าแม่กันหมด ฝ่ายอีคอนยังจดจำวีรกรรมสายS ของเธอได้ก็ไม่กล้าขัด แถมยังแอบพึมพำว่าโชคดีที่ได้คนปกติอย่างมลมาเป็นประธาน

ผิดกับประธานชั้นปีของผมกำลังมองทางเจ้าแม่ด้วยสายตานับถือ

พาร์เดินออกไปลากเก้าอี้เล็คเชอร์ใกล้ๆ มาสองตัว ผมเห็นก็เข้าไปช่วยลากตัวหนึ่งกลับมายังข้างกำแพงที่เดิม แล้วนั่งลง ไม่นานก็มีคนไม่คุ้นหน้าเดินหิ้วเป้สองใบมาทางพวกเรา

“เอ้านี่ ของมึง”

พาร์คว้าเป้ “ขอบใจ” 

อีกฝ่ายแค่ตบไหล่พาร์ หันมายิ้มเป็นมิตรให้ผมแวบหนึ่ง “ส่วนนี่มีคนฝากมาให้”

“ขอบคุณ” ผมรับเป้ตัวเองคืน มองคนเอาของมาส่งเดินไปเฮฮาร่วมวงที่เริ่มไม่แบ่งแยกว่าใครอยู่คณะไหน แอบเห็นเมย์ยืนกอดอก คลี่ยิ้มมองอย่างพอใจแถวมุมห้อง เห็นท่าทางของประธานคณะนิติเป็นแบบนั้นก็เอ่ยถาม “คณะมึงอยากสนิทกับคณะกู?”

“ความคิดประธานน่ะ” พาร์เปิดเป้หยิบห่อขนมที่ซ่อนไว้ออกมา “เพราะกูกับมึงก็เหมือนสัญลักษณ์ของมิตรภาพ ไม่มีทางที่คณะเราจะตัดกันขาด ประธานเลยอยากให้พวกเราสนิทกันไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ”

“งั้นที่มึงเอากำไลมาให้กูซะเอิกเกริก มาจากเหตุผลนี้?”

“ประธานแค่ใช้ประโยชน์จากเรื่องที่กูต้องเอากำไลมาให้มึง และกูก็พลอยได้ประโยชน์มีคนช่วยคิดช่วยทำเซอร์ไพรส์…ประทับใจไหม?”

“เหอะ” ผมหัวเราะในคอ ใครจะกล้าบอกว่าโคตรน่าอาย “ถามจริงที่ทำไปเนี่ย เขินบ้างไหม”

“ถ้าบอกว่าไม่รู้สึกก็คงโกหก”     

พาร์แกะถุงขนมมาวางตรงหน้าให้…มันฝรั่งทอดกรอบรสที่ผมชอบมาก หันไปมองมันอีกที กำลังหยิบน้ำผลไม้กล่องมาเจาะหลอดให้อย่างรู้ดีว่าผมชอบกินคู่กับน้ำผลไม้

“รู้สึกเหมือนมึงเอาใจใส่กูดีกว่าเดิมอีก”

พาร์หัวเราะ แกะถุงขนมอีกห่อ “กูกำลังจีบมึงนี่ และหลังจีบติด กูก็จะเป็นแบบนี้ไม่เปลี่ยน”

ผมรู้สึกว่าพาร์ในตอนนี้กำลังอารมณ์ดีสุดๆ ดีถึงขั้นแผ่ความรู้สึกนั้นออกมาให้รอบข้างรับรู้…นี่ถ้ามันมีหาง ตอนนี้คงโบกสะบัดสบายอารมณ์อยู่แหงๆ

คนโดนมองหันกลับมามองผม แววตาสงสัย “ไม่กิน?”

“…กิน”

ผมหยิบขนมเข้าปากเงียบๆ ไม่รู้ช่วงนี้เป็นอะไร ถ้าพาร์มาอยู่ใกล้ๆ เป็นต้องคอยมองสำรวจอารมณ์บ้าง ท่าทางตอนมันขยับ บางทียังเผลอมอง…แฮ่ม! เอาเป็นว่าผมรู้สึกขัดแย้งกับตัวเองพอสมควร ไม่นึกว่าจากต้นขาขาวๆ ของหญิงสาวจะมาสนใจกล้ามเนื้อใครบางคนแทน ไม่สิ ผมมีอาการแบบนี้กับมันคนเดียวต่างหาก     

“ที”

ผมสะดุ้ง รีบขานรับในคอ “หือ?” นึกเสียวสันหลัง กลัวโดนจับได้ตงิดๆ

“กูจับมึงใส่ปลอกคอแล้วนะ”

ขนมเกือบติดคอตาย ผมรีบคว้าน้ำผลไม้มาดูดอึกๆ จนคอโล่ง

“เอานี่น้ำเปล่า”

ผมส่ายหน้าปฏิเสธขวดน้ำ จ้องพาร์เขม็ง “เมื่อกี้มึงพูดว่าอะไร?”

“กูรู้ว่ามึงได้ยิน แต่ถ้าอยากได้คำยืนยัน”

พาร์ชี้กำไลของผม เอ่ยช้าชัดแค่สองคำราวกับจะตอกย้ำกัน “ปลอก - คอ”

ผมโดนคลื่นอารมณ์หลากหลายโถมเข้าใส่จนมึนไปชั่วขณะ พอตั้งสติได้ก็เผลอหลุดปากไปแค่…

“กล้ามาก! เดี๋ยวพ่อจิ้งจอกของกูก็มาขบหัวมึงหรอก”

“เป็นห่วงเหรอ?”

ผมอ้าปากพะงาบๆ ก่อนบอกปัด “มึงห่วงตัวเองก่อนเหอะ”

“ไม่เห็นมีอะไรน่าเป็นห่วง แม่จิ้งจอกแปรพรรคแล้ว ถ้าได้ลูกจิ้งจอกแปรพรรคอีกตัว” พาร์มองมาด้วยแววตาวิบวับ “ต่อให้มีพ่อจิ้งจอกเป็นสิบ กูก็ไม่กลัว”

“ไม่ใช่พอถึงเวลาจริงๆ วิ่งหนีหางจุกตูด”

“มีแต่วิ่งไปลากพ่อหมาป่ามาช่วยสู้มากกว่า อาจพาแม่หมาป่ามาช่วยด้วยก็ได้”

ผมมองพาร์อย่างหมั่นไส้ “แล้วตกลงข้อความที่มึงเขียนวันนั้น มันแปลว่าอะไร”

“วันไหน?”

“ก็ที่เขียนลงกำไลไง” ผมชี้กำไลสองวงสลับไปมา จำได้ว่าข้อความบนกำไลทั้งสองไม่เหมือนกัน

“อ้อ กูจะบอกต่อเมื่อมึงรับปากเป็นแฟนกูแล้วเท่านั้น”

“งั้นกูไม่อยากรู้ก็ได้”

“มึงได้สำรวจกำไลข้อมือหรือยัง?”

“ทำไมล่ะ? เหมือนแบบที่เห็นในร้านไม่ใช่เหรอ?”

“ชอบไหม?”

“ก็ดีนี่”

“งั้นกูก็โล่งใจที่ไม่โดนมึงด่า”

ผมรู้สึกเอะใจ จึงก้มมองของชิ้นใหม่ที่ทิ้งน้ำหนักไม่คุ้นเคยตรงข้อมือ กำไลสีเงินเรียบๆ ดูหรูหราขึ้นด้วยไพลินสีน้ำเงินสองเม็ดเล็ก…

สองเม็ด!

“เฮ้ย! ไหนมึงบอกจะไม่ทำอะไรเกินตัวไง!! นี่ใช้ตั้งสองเม็ด สองวงก็ปาไปสี่เม็ด!”

“ใจเย็นก่อน มันไม่ได้แพงมากอย่างที่มึงคิดหรอก”

“ไม่แพงมากบ้าอะไร บอกกูมามึงจ่ายค่าไพลินไปเท่าไหร่!”

พาร์พ่นลมหายใจ “ไพลินเองก็มีหลายเกรด แต่ละสีราคาก็ไม่เท่ากัน มึงเข้าใจตรงนี้ไหม”

ผมชะงัก ก่อนพยักหน้าหงึกๆ “…เข้าใจ สรุปคือมึงไม่ได้ซื้อของเกรดดีมา”

“กูไม่มีตังค์ขนาดนั้นหรอก ถึงบอกไงว่ามึงไม่ต้องห่วง อีกอย่างตอนนี้อาจดูหรูไปหน่อย แต่ถ้าเราโตขึ้นมีงานมีการทำ มันก็จะพอดีเอง”

ผมชะงัก ไม่นึกว่าพาร์จะคิดเผื่อถึงขั้นนั้น “…นี่มึงคิดว่าเราจะได้ใส่นานขนาดนั้น?”

“อืม” สีหน้าพาร์มั่นใจมาก

ผมนิ่วหน้า เช็ดมือที่เปื้อนขนมกับกางเกง แล้วจับกำไลมาดูไพลินให้ชัดๆ นอกจากเห็นเป็นสีน้ำเงิน ผมก็ดูไม่ออกว่ามันดีหรือแย่ยังไง เอาเป็นว่าในสายตาผม มันสวยมากอยู่ดี…บางทีการไม่รู้ราคาอาจทำให้ผมสบายใจกว่าก็ได้ ยอมปล่อยผ่านแล้วกัน

มาพูดถึงกำไลต่อ ระหว่างไพลินทั้งสองสลักข้อความที่ผมอ่านไม่ออกเป็นภาษา…

ผมเงยหน้ามองพาร์หลังนึกอะไรออก “นี่น่ะภาษาสวีดิช?”

พาร์ส่ายหน้าให้ผม “มึงน่าจะรู้นานแล้วนะ ทำไมพึ่งเอะใจได้”

พาร์พูดถูกต้องเลย ผมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เพราะเถียงไม่ออก รีบก้มมองภาษาสวีดิชเขียนหวัดๆ เหมือนแกะจากข้อความที่พาร์เขียนไปวันนั้นเป๊ะๆ ตัวกำไลทำออกมาได้ดีมากครับ ทั้งพอดีข้อมือทั้งเรียบเนียนไม่มีระคายผิว แถมยังเหมือนเป็นกำไลเนื้อเดียวกัน รอยแยกไม่รู้อยู่ไหน แม้แต่แกะออกตรงไหนผมก็หาไม่เจอ!

นี่กะไม่ให้ถอดออกเลยชัดๆ!!

แค่ผมเงยหน้า พาร์ก็ชิงพูดก่อนทันที “ถ้าจะถามวิธีปลดกำไลออก กูไม่บอกหรอก”

ผมชี้นิ้วใส่หน้าหมาป่าเจ้าเล่ห์ “มึงยอมเผยความชั่วร้ายแล้วสินะ!”

พาร์หัวเราะขำ “ความชั่วของกูก็ได้ และลูกขอสารภาพผิดว่าจงใจวางแผนให้กำไลวงนี้ถอดไม่ออกตลอดชีวิต”

พูดจบมันก็ดึงมือซ้ายผมเข้าหา จับพลิกหงายฝ่ามือขึ้น โน้มตัวก้มแตะริมฝีปากที่กำไล

ผมรีบชักมือกลับทันที เป็นปฏิกิริยาจากความตกใจล้วนๆ

“ทำหน้าอะไรของมึง” พาร์ดึงแก้มซ้ายผมจนยืด “แทนที่จะเขินให้ชื่นใจสักหน่อย ดันทำหน้าพิลึกซะได้”

ผมดึงมือมันออก ย่นคิ้วเข้าหากัน “…ถ้ามึงไม่จูบกำไลให้กูตกใจ กูก็คงเขินให้มึงดูอยู่หรอก”

พาร์ทำหน้าเสียดายมาก “งั้นมาเริ่มกันใหม่”

“ไม่เอา!” ผมจ้องคาดคั้นมันต่อ “แล้วนี่มึงกะไม่ให้กูหนีไปไหน หรือไม่ให้ใครพาหนีเลยใช่ไหม”

พาร์หัวเราะในคอ บอกเลย ฟังดูชั่วร้ายมาก!

ผมจ้องกำไลที่ได้มาอย่างหวาดๆ “กูขอถามตรงๆ ยังเหลือความลับอะไรอีก?”

“อยากรู้?”

“เออ!”

ผมแอบสะดุ้งยามพาร์โน้มหน้ามาพูดเสียงกระซิบข้างหูให้จั๊กกะจี้เล่น

“ข้อความด้านในกำไลที่พี่ดินให้ใส่ลงไป มึงเห็นแล้วใช่ไหมว่าเป็นสีดำ เจ้านั่นไม่ทนหรอกนะ โดนน้ำสักสามหรือสี่ปีก็ลอกหลุดหมดแล้ว แต่จะไปสนใจทำไม ในเมื่อไม่มีใครเห็นอยู่แล้ว จริงไหม?”

ผมตื่นตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก ได้มองพาร์อึ้งๆ กลายเป็นเปิดโอกาสให้มันดึงแก้มผมเล่นอีกรอบ สติผมเลยกลับมา เตะขามันไปหนึ่งที พร้อมร้องด่า

“มึงแม่งโคตรเจ้าเล่ห์!”

“หึๆๆ” พาร์หัวเราะในคอสวนกลับมาให้หงุดหงิดกว่าเดิม

ผมชักเกลียดเสียงหัวเราะแบบนี้ของมันแล้วสิ   

“เฮ้ยยยย!”

เสียงร้องตกใจดังลั่นของมล ทำให้ทั้งห้องที่กำลังเฮฮาอยู่ รวมถึงพวกผมหยุดชะงัก พร้อมใจกันหันไปมองคนตะโกนเป็นตาเดียว

“ซวยแล้ว! ต้องเข้าประชุม!!”

แวบแรกยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่อึดใจต่อมาฝั่งอีคอนก็เกิดความโกลาหน

“ขอโทษนะ! เราอยู่ช่วยทำความสะอาดไม่ได้แล้ว!” มลตะโกนคุยกับเมย์ข้ามห้อง

“ไม่เป็นไร! ไปเถอะ!”

แปบเดียวฝูงชนชาวอีคอนก็โถมใส่ประตูสองบาน และหายเกลี้ยงในเวลาไม่นาน ทุกสายตาของชาวนิติจ้องผมเป็นตาเดียว เหมือนสงสัยมากว่าทำไมผมไม่ขยับตัวไปกับเขา

“…เผื่อลืมกัน” ผมพูดเสียงดังพอสมควร กะให้ทั้งห้องได้ยินทีเดียว “สะใภ้คณะต้องเข้าร่วมกับทางนิติ”

“อ้อ” ลากเสียงยาวกันมาเลย

งานเลี้ยงสองคณะครั้งแรกเลยต้องเลิกราด้วยประการฉะนี้ 

กว่าพวกผมจะลงจากตึกก็หลังจากช่วยกันทำลายหลักฐานการทำผิดกฎซะเกลี้ยง ชาวนิติแยกย้ายไปคนละทิศละทาง ส่วนผมกับพาร์จอดรถไว้ที่เดียวกัน เลยเดินคู่ไปด้วยกัน

“ไปเที่ยวกันไหม” จู่ๆ พาร์ก็ถามขึ้น

“วันนี้? หรือวันไหน?”

“วันนี้สิ”

“ไม่เอา”

“งั้นวันอื่น”

“…ต้องดูอารมณ์ก่อน”

“หมายความว่าวันนี้มึงอารมณ์ไม่ดี?”

“กล้าถาม!” ผมแยกเขี้ยวใส่พาร์ “เสียรู้แบบกูนี่ ใครจะอารมณ์ดี!”

ยังกล้ามาหัวเราะใส่อีก! ผมแยกเขี้ยวใส่

พาร์รีบกลั้นขำ ก่อนถาม “หลังจากนี้จะไปไหน?”

“กลับบ้าน กูจะไปตั้งหลัก”

“โอเค แต่ก่อนกูจะปล่อยมึงกลับ เรามาตกลงก่อน พรุ่งนี้เช้าจะให้ไปรับ หรือมึงจะมารับกู”

“ต่างคนต่างมา”

“ที…”

“ไม่ต้องเรียก เรียนคนละตึก เวลาก็ไม่ตรงกัน ระยะทางแต่ละตึกก็ใช่ว่าจะใกล้ ต่างคนต่างมานั่นแหละดีที่สุด”

“แต่กูอยากเจอมึงนี่”

“มะรืนก็ได้เจอ พรุ่งนี้ก็ทนคุยทางไลน์กับกูไปก่อน”

“เจอกันครึ่งทาง” พาร์ยืนคำขาด “โรงอาหารกลาง ตอนเที่ยงสิบห้า ห้ามปฏิเสธ”

“…นี่มึงกำลังจีบกูแน่เหรอ?”

“อือ จีบอยู่”

พาร์ตอบหน้าตายมากครับ

############

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
Re: - ชลนที - [บทที่ 45] P.16 (07/03/2017)
«ตอบ #468 เมื่อ07-03-2017 15:03:17 »

โอ้ยยยยย!! อะไรจะใหญ่โตปานนั้น ><

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: - ชลนที - [บทที่ 45] P.16 (07/03/2017)
«ตอบ #469 เมื่อ07-03-2017 16:24:34 »

รออ่าน  :ling1: :ling1: :ling1:
แล้วพออ่าน
ชอบที่ ที ว้าวุ่น ที่ต้องแยกห่างจากพาร์
จนต้องอพยพไปนอนกับน้องอัน
ชอบบบบ ที่พาร์ มาหาที ตอนเที่ยงคืน
บอกจีบที อย่างจริงจัง
พาร์ ที ตกลงเป็นแฟนกันแล้ว
เข้ากับอีกทางที่ได้รับที เป็นสะใภ้อย่างเป็นทางการ
มียกขบวนมาสู่ขอด้วย ครึครื้นมาก
วิน ก็หมั้นกับไว เป็นข่าวดังเลย
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: - ชลนที - [บทที่ 45] P.16 (07/03/2017)
« ตอบ #469 เมื่อ: 07-03-2017 16:24:34 »





ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
Re: - ชลนที - [บทที่ 45] P.16 (07/03/2017)
«ตอบ #470 เมื่อ07-03-2017 20:39:46 »

 :pig4:

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
Re: - ชลนที - [บทที่ 45] P.16 (07/03/2017)
«ตอบ #471 เมื่อ07-03-2017 23:33:41 »

อยากให้พาร์จีบ 555

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: - ชลนที - [บทที่ 45] P.16 (07/03/2017)
«ตอบ #472 เมื่อ08-03-2017 00:12:49 »

 :-[ :-[ :-[ :-[

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: - ชลนที - [บทที่ 45] P.16 (07/03/2017)
«ตอบ #473 เมื่อ08-03-2017 00:25:04 »

พาร์สู้ๆนะ ขอให้ทีใจอ่อนยอมเป็นแฟนไวๆ

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
Re: - ชลนที - [บทที่ 45] P.16 (07/03/2017)
«ตอบ #474 เมื่อ08-03-2017 00:27:25 »

ถึงกับอมยิ้มเลย
พาร์ผูกมัดทีไว้ไม่มีหลุดแน่

ออฟไลน์ jimmyjimmy

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1966
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-17
Re: - ชลนที - [บทที่ 45] P.16 (07/03/2017)
«ตอบ #475 เมื่อ08-03-2017 07:17:44 »

ไม่รอดแน่..ที..รอวัน..ที..เสียตัว..ให้..พาร์..อิอิ

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
Re: - ชลนที - [บทที่ 46] P.16 (13/03/2017)
«ตอบ #476 เมื่อ13-03-2017 19:26:49 »

บทที่ 46

ช่วงนี้ผมมาคณะนิติบ่อย ไม่ถูก ต้องเรียกว่าบ่อยมาก

จากคนไม่รู้จักก็กลายเป็นคุ้นหน้า จากคนรู้จักก็กลายเป็นสนิทสนม เดี๋ยวนี้ผมไปไหนมาไหนกับพวกนิติบ่อยกว่าเพื่อนคณะตัวเองซะอีก

ความเปลี่ยนแปลงนี้มันเริ่มต้นเมื่อไหร่ไม่รู้ อาจจะตอนที่ผมรู้สึกอึดอัดเนื่องจากคุยหัวข้อเดียวกันกับเพื่อนไม่ได้ พอเข้าไปใกล้ก็รีบพากันเปลี่ยนหัวข้อคุย ไม่ก็เงียบ เสมือนถูกกั้นเป็นคนนอก หลังจากทำไม่รู้ไม่ชี้อยู่หลายครั้ง นอกจากทำให้ตัวเองอึดอัดใจแล้ว เพื่อนๆ ก็เริ่มอึดอัดใจเหมือนกัน ผมเลยยอมถอยห่าง ย้ายสำมโนครัวอย่างที่พี่นันต้องการ แรกๆ ก็ซึมพอสมควร แต่หลังๆ ผมชักปลง เลยหันมาเฮฮากับเพื่อนใหม่ อารมณ์ก็เริ่มดีขึ้นตามลำดับจนหายเครียด

คนที่ได้กำไรจากเรื่องนี้มากสุดคงเป็นพาร์ ก็นะ เล่นได้เจอหน้าผมทุกวัน วันละหลายครั้ง หลังๆ ถ้ามันว่างก็ชอบโผล่หน้ามารอรับผมถึงหน้าห้องเรียนให้เพื่อนแซวเล่นอยู่เรื่อย

…ก็ไม่รู้ว่าหลังจบกิจกรรมนี้ ผมจะห่างเหินกับเพื่อนในคณะหรือเปล่า เอาเถอะ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ยังไงผมต้องอยู่กับพวกมันอีกสามปีค่อยทำความสนิทสนมกันใหม่ก็ได้

ถ้าถามถึงว่าผมไปขลุกอยู่ที่ไหนในคณะนิติมากสุดก็คงเป็นห้องสโมฯ ได้ตำแหน่งเด็กฝึกงานมาแบบงงๆ โดนแซวกระจายว่าผมกำลังจะได้นั่งตำแหน่งประธานคณะต่อจากพี่ดิน ประหนึ่งเป็นศิษย์สืบทอด แถมยิ่งสนิทกันก็ยิ่งโดนพี่ดินใช้งาน ทั้งเหนื่อยทั้งยุ่งจนผมลืมไปเลยว่าก่อนหน้านี้ตัวเองกำลังซึมเศร้า บางครั้งก็คิดว่าพี่ดินอาจจงใจก็ได้ นอกจากได้แรงงานฟรีอย่างผม บางครั้งก็ได้พาร์มาช่วยงานด้วย (ถ้าพาร์แวะมาหาผมถึงห้องสโมฯ)

“ที”

“แปบนะพี่ จะเสร็จแล้ว” ผมคร่ำเคร่งอยู่หน้าคอม เลยตอบโดยไม่หันไปมองหน้าคนเรียก

“ไม่ใช่เรื่องงาน”

ผมละสายตาจากจอคอม หันมองพี่ดินงงๆ ไม่ใช่งาน แล้วเรื่องอะไร?

“เสาร์นี้สะใภ้คณะมีนัด อย่าลืมไปล่ะ”

“ว่าแต่นัดกี่โมงครับ ไม่เห็นมีใครบอกผมเลย”

“ทั้งวันตั้งแต่แปดโมงถึงสามทุ่มมั้ง ใครจะไปเวลาไหนก็ได้”

เหมือนเมื่อกี้หูฟาด “พี่พูดว่าอะไรนะ”

พี่ดินเลิกคิ้ว “แปดโมงถึงสามทุ่ม”

“ไม่ใช่ ประโยคหลังอ่ะ”

“ใครจะไปเวลาไหนก็ได้?”

“นั่นแหละ…หมายถึงอะไร?”

“อ้าว ตรงตัวไง ใครว่างตอนไหนค่อยไป พี่แนะนำให้ไปช่วงเช้า คนน้อยดี แปบเดียวก็เสร็จ”

ผมกระพริบตาปริบๆ “แปบเดียว?”

“ก็แค่ไปถ่ายรูป ถ้าไม่ต้องยืนรอคิว แปบเดียวก็เสร็จไง”

“อ้าว” ผมลากเสียงยาวแบบมึนๆ “เอ่อ ผมนึกว่ารวมพลสะใภ้คณะซะอีก”

“หมายถึงเจอหน้ากันทุกคนน่ะเหรอ ไม่ใช่หรอก คนมีค่าหัวที่ไหนจะแสดงตัว”

“อ้าว แล้วอย่างผมล่ะ รู้จักทั้งมหาลัยแล้วมั้ง”

“นั่นสินะ งั้นชดเชยด้วยการขยันฝึกในนัดครั้งต่อไปของสะใภ้คณะแล้วกัน”

“ฮะ? มีนัดอีกเหรอ?”

“มี หลายครั้งด้วย” พี่ดินหรี่ตาลง “นี่คงไม่คิดว่านัดครั้งเดียวจบหรอกนะ”

ผมหัวเราะแห้งๆ พี่ดินถอนหายใจ มองมาด้วยแววตาจริงจัง

“ว่ากันว่าไม่มีใครรู้จักมหาลัยดีเท่าสะใภ้คณะ เพราะงั้นการจับตัวสะใภ้คณะจึงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะสาเหตุนี้สะใภ้คณะถึงต้องมีฝึกฝนหลบหนี”

จะว่าไปก่อนหน้านี้พี่ดินก็พูดเรื่องฝึกนี่หว่า “ฝึกที่ว่าไม่ใช่การจดจำแผนที่ในมหาลัยเหรอครับ”

“พี่ก็ไม่รู้ว่าสะใภ้คณะฝึกยังเหมือนกัน”

“อ้าว”

“มาอ้าวอะไร พี่ไม่เคยเป็นสะใภ้คณะนี่ ไม่เคยต้องจับคู่กับสะใภ้คณะด้วย”

“ไม่เคยถามคนอื่นเหรอพี่”

“เคย แต่ไม่มีใครยอมบอก”

“เดี๋ยวก่อน เทอมที่แล้วพี่นันบอกว่านิติต้องปกป้องผมนี่น่า”

“ใช่ แต่บางเวลาก็ปกป้องไม่ได้ บางครั้งส่งออกนอกพื้นที่ปกป้องยังดีกว่าด้วยซ้ำ ดังนั้นสะใภ้คณะจำเป็นต้องหัดเอาตัวรอดให้ได้ แต่ถ้าไปเร่ร่อนข้างนอกแล้วเหนื่อยก็ค่อยกลับมาพัก จริงสิ พี่ยังไม่ได้บอกใช่ไหมว่ามีกฏห้ามสะใภ้คณะซ่อนตัวที่เดิมนานเกินไป”

“ยังไงครับ?”

“ก็ถ้าไม่เคลื่อนไหวภายในหนึ่งชั่วโมง จะมีประกาศออกลำโพงว่าสะใภ้คณะซ่อนอยู่ตรงไหนน่ะสิ อันนี้กรณีเราอยู่พื้นที่ข้างนอก แต่ถ้าอยู่ในพื้นที่ของนิติจะอยู่ได้ที่เดิมได้ถึงสามชั่วโมง ก่อนโดนประกาศบอกที่ซ่อน”

ผมทำหน้ายุ่ง “แบบว่าบอกเลยเหรอว่าซ่อนอยู่จุดไหน?”

“ไม่ๆ เขาจะบอกกว้างๆ เช่น อยู่แถวอาคารนี้ หรืออยู่ใกล้เต็นท์พื้นที่คณะไหน อะไรแบบเนี่ย ใครจะจับสะใภ้คณะก็ต้องไปตามหาเอาเองอีกที”

“อ้อ”

“เรื่องพาร์” พี่ดินพูดต่อ “นัดสะใภ้คณะเมื่อไหร่ก็พกพาร์ไปด้วย”

“ทำไมครับ?”

“เพราะบทบาทของทีเป็นแบบคู่ไง ไม่เชื่อพี่เดี๋ยวรอดูวันเสาร์นี้สิ อ้อ อย่าลืมเอาปีนฉีดน้ำไปด้วย”

“ปืนฉีดน้ำ?”

“ของจากคลังนิติ พี่ให้ยืมชั่วคราว เดี๋ยววันศุกร์พี่จะวางไว้ให้ที่ห้องนี้ วันจันทร์ก็เอามาคืนด้วย”

“แล้วต้องพกไปทำไมล่ะ?”

“เอาไปถ่ายรูปไง” พี่ดินว่า ก่อนทำหน้านึกอะไรบางอย่างออกก็รีบบอก “เวลาถ่ายอย่าถือปืนผิดกระบอกล่ะ ไม่งั้นจะซวยเอา”

“ซวย?”

“ใช่ ซวยหนักต้องใช้ประเภทปืนที่ถ่ายผิดไปตลอดจนกิจกรรมจบ ปืนที่สั่งซื้อมาใช้ก็ไม่ได้ มีทางเดียวต้องไปขอแลกเปลี่ยนกับคนอื่น แล้วใครจะยอมแลกด้วยล่ะ”

ผมกลืนน้ำลาย จริงที่สุด ใครๆ ก็อยากเล่นกับปืนฉีดน้ำที่ซื้อหรือจองเอาไว้ทั้งนั้น ยิ่งปืนของผมเป็นแบบเน้นความคล่องตัวมากกว่าระยะโจมตีซะด้วยสิ

“อีกเรื่องหลังจากนัดครั้งแรก ครั้งต่อไปจะได้เป็นใบนัดหมายมา พยายามอ่านรายละเอียดให้ดี ถ้าเตรียมตัวมาก่อนได้ก็ทำเอาไว้…พี่แค่แนะนำ ทีจะทำตามที่พี่บอกหรือไม่ก็ได้ เข้าใจไหม”

ผมพยักหน้า

และแล้วก็ถึงวันเสาร์ ผมเลือกไปตอนเช้าอย่างที่พี่ดินบอก หลังอาบน้ำแต่งตัวด้วยชุดนักศึกษาลงมาก็เจอเจ้าตัวเล็กกำลังดูทีวีไป พลางตักอาหารเช้าเข้าปาก กินช้าพอๆ กับเต่าคลานแบบนั้นไม่รู้เมื่อไหร่จะหมด ผมยืนมองน้องคนเล็กปลงๆ ครู่หนึ่งก็เดินไปห้องครัวเจอแม่กำลังยุ่งอยู่หน้าเตา

“ให้ทีช่วยไหม?”

“ไม่ต้องจ๊ะ ของทีแม่วางให้บนโต๊ะแล้ว”

“ขอบคุณครับ” ผมเลื่อนเก้าอี้ตัวประจำ แล้วนั่งลง หยิบช้อนมาถือ

“วันนี้ลูกต้องไปมหาลัย?”

“ครับ” ผมตอบสั้นๆ ก่อนตักอาหารเช้าปาก เคี้ยวจนกลืนลงคอก็พูดเสริม “หลังจากนี้ทีอาจต้องไปมหาลัยช่วงเสาร์อาทิตย์บ้างเป็นบางครั้ง”

“จะมีกิจกรรมเหรอลูก?”

“ครับ เป็นกิจกรรมใหญ่ด้วย”

“งั้นเหรอ พยายามเข้านะ ว่าแต่วันนี้พาร์ไปมหาลัยไหม?”

“ไปครับ ทำไมเหรอ?”

“ฝากบอกพาร์ด้วยนะว่าแม่คิดถึง ไม่ได้มาให้แม่เห็นหน้าเดือนกว่าแล้ว”

นึกดูแล้วก็จริงแฮะ

“เอางี้ดีกว่า วันนี้ลูกพาพาร์มากินข้าวเย็นที่นี่เลยแล้วกัน”

ผมเกือบสำลักข้าว คว้าน้ำเปล่ามาดื่มไปครึ่งแก้วก็พยายามพูดหาข้ออ้าง “เอ่อ คือว่า…”

“วันนี้เบอร์จะมาเล่นที่นี่ด้วย ให้กลับกับพาร์ก็ดีนะ”

“คือพาร์…”

“ชวนมาให้ได้นะลูก แม่จะทำอาหารรอ”

ผมปิดปากฉับ ดูเหมือนว่างานนี้ท่านแม่ที่เคารพจะไม่ยอมฟังข้ออ้างใดๆ ทั้งสิ้น

เสียงริงโทนมือถือของผมดังขึ้นกะทันหัน เห็นชื่อกับรูปคนโทรเข้าผมก็กดตัดสาย รีบกวาดอาหารที่เหลือในจานลงท้อง ตบท้ายด้วยน้ำเปล่าอีกครึ่งแก้ว บอกลาแม่กับน้องชายเสร็จก็เดินเร็วๆ ออกไปยืนรอหน้ารั้วบ้าน พอรถมาจอดผมก็เปิดประตูข้างคนขับขึ้นไปคาดเข็มขัด เงยหน้าขึ้นมาอีกทีทิวทัศน์ก็เปลี่ยนไปแล้ว

“เป็นไรถึงทำหน้ายุ่งแต่เช้า”

ผมถอนหายใจให้คำถาม “แม่ให้มาชวนมึงไปกินข้าวเย็นนี้”

“แล้ว?”

“เราจะอธิบายเรื่องกำไลยังไง”

“ถ้ายุ่งยากนักก็ไม่ต้องบอก”

“ไม่บอกก็โดนเข้าใจผิดน่ะสิ”

“ไม่เห็นเป็นไร”

“เป็น ประเด็นคือถ้าพ่อแม่กูเข้าใจแบบผิดๆ เรื่องอาจไปถึงหูลุงนิกทั้งอย่างนั้น ลากยาวไปถึงทากะซัง เผลอๆ อาจไปถึงหูปู่ย่าด้วยซ้ำ แค่คิดกูก็เครียดแล้ว”

“แล้วไง? จะช้าจะเร็ว ถ้าเราคบกันก็ต้องเกิดขึ้นอยู่ดี”

“…มึงพูดถูก” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ “พูดตามตรงนะ กูกลัววะ”

“กลัวอะไร?”

“กลัวโดนระเบิดถล่มใส่น่ะสิ แค่คิดกูก็หนาวไปถึงไขสันหลัง” ผมพูดเสียงเครียด “อีกอย่างสถานะของเรายังก่ำกึ่งอยู่เลย กูว่ายังไม่สมควรบอกให้ผู้ใหญ่รู้วะ”

“…ถ้าแน่นอนแล้วบอกได้?”

ผมเม้มปาก ก่อนผงกหัว “ได้”

กลายเป็นพาร์ถอนหายใจบ้าง “ก็ได้ แต่บอกก่อน จะไม่มีใครถอดกำไลออกเด็ดขาด”

ผมนิ่วหน้า “แล้วมึงจะซ่อนกำไลยังไง?”

“เดี๋ยวกูหาอะไรมาพันปิดกำไลเอง”

“…ขอบคุณ”

“ถือว่ามึงติดหนี้กูแล้วกัน”

ผมแยกเขี้ยวใส่คนข้างๆ อารมณ์กำลังซึ้งที่มันยอมเข้าใจแตกสลายหายวับไปในอากาศ

“ถ้าเป็นเรื่องที่กูทำไม่ได้ หรือไม่เต็มใจทำ มึงจะเสียสิทธิ์นั่นไปทันที”

“เคี่ยววะ”

“กับมึงต้องแบบนี้แหละ” ผมหันมองนอกหน้าต่าง สักพักก็หันไปถาม “สรุปจะไปกินข้าวบ้านกู?”

“ขืนกูไม่ไป คะแนนจากว่าที่พ่อตาแม่ยายได้ตกหมดพอดี”

อารมณ์นี้ผมบอกไม่ถูกว่าจะเขินหรือหมั่นไส้ดี…รู้สึกอย่างหลังจะมีมากกว่านะ

รถบนถนนน้อยกว่าวันธรรมดา ใช้เวลาไม่นานเราก็มาถึงมหาลัย ผมบอกพิกัดให้พาร์ จุดหมายของเราคือตึกของคณะนิเทศครับ คณะนี้เป็นคณะเดียวที่ไม่ร่วมเล่นสงครามแบบถือปืนชิงเมือง แต่จะเป็นแนวๆ ผู้สนับสนุนและเป็นกลาง ทำหน้าที่หลายอย่างมาก เป็นผู้ประกาศแจ้งต่างๆ ในช่วงกิจกรรม รวมถึงตามเก็บภาพบรรยากาศทั่วงาน

นอกจากนี้ยังสามารถว่าจ้างให้ไปถ่ายรูปเก็บบรรยากาศของคณะตัวเอง (เพราะคนในคณะที่เข้าสงครามคงไม่มีใครว่างทำ) เปิดบูทขายของ ตั้งแต่ซื้อขายของที่จำเป็น เช่น เสบียง แม็กกาซีน เสื้อผ้า (ชุดธรรมดาไว้สำหรับเปลี่ยนสำหรับคนที่ลืมพกมา) ผ้าขนหนู และสารพัด รวมไปถึงข่าวสารเล็กๆ น้อยๆ

สรุปคือขอแค่มีเงินก็ไร้ปัญหา

พูดถึงเรื่องเงิน เราไม่ได้ใช้เงินจริงนะครับ เป็นเงินจำลองที่มีตราสัญลักษณ์สงครามสายน้ำกัน ได้ยินว่าเป็นเหรียญ (เพราะถ้าเป็นแบงค์คงเปียกน้ำก่อน) มีตั้งแต่เหรียญบาทยันเหรียญพัน (แบ่งเป็น 1 5 10 50 100 500 1,000) แต่เจ้าเหรียญ1,000 เอาไว้ใช้สำหรับซื้อของจำนวนเงินเยอะๆ ครับ คนทั่วไปพกแค่ถึงเหรียญร้อยกัน เพราะยิ่งจำนวนค่ามาก เหรียญยิ่งมีขนาดใหญ่ขึ้นตามลำดับ 

เนื่องจากผมอยู่กับพวกพี่ดินเลยได้รู้เยอะกว่าชาวบ้าน เห็นเล่าว่าใกล้ถึงเวลากิจกรรม จะมีประกาศให้ไปแลกได้ที่ธนาคารในมหาลัย ใครไม่ไปแลกเงิน ในวันงานกิจกรรมจะซื้อของไม่ได้ (นอกจากจะเอาของที่มีอยู่ไปขายก่อน) และก่อนจะแลกเหรียญต้องดูให้ดี เพราะแต่ละวันเรท (อัตราแลกเปลี่ยน) ไม่เท่ากัน แลกถูกวันก็ได้กำไร แลกผิดก็ถือว่าเสียค่าโง่ พอผมอุทานถึงความยุ่งยาก พี่ดินก็หัวเราะบอกว่า พี่ว่าดีนะ ฝึกเอาไว้ อนาคตจะได้รู้ แล้วไม่พลาดอีก

“ที”

ผมออกจากความคิด หันไปมองคนเรียก “อะไร?”

“วันนี้แค่ไปถ่ายรูปใช่ไหม?”

“เออ”

“งั้นไม่น่านาน ถึงนานก็ไม่น่าจะเกินสามชั่วโมง นี่พึ่งจะแปดโมงเอง”

“แล้ว?”

“ไปเดินห้างกันต่อ…ได้ไหม”

น้ำเสียงอ้อนมาเลยครับ ผมพ่นลมหายใจ “มึงจะชวนเดตก็บอกมาเหอะ”

“แล้วได้ไหมล่ะ”

“...แล้วแต่มึงสิ”

“งั้นตกลงเราไปเดตกัน” มันพูดรวบรัดจบในประโยคนี้ก็เอาแต่ยิ้ม อารมณ์ดีเหลือหลาย จนมันขับเลยตึกคณะนิเทศซะงั้น

“พาร์! เลยแล้วเว้ย!”

“เฮ้ย!”

“ไปวนรถข้างหน้านู้น! ตรงนี้เขาห้ามย้อนศร!”

กว่าจะมาถึงตึกคณะนิเทศ พวกผมก็เสียเวลาพอสมควร ขึ้นไปชั้นสี่ตามที่พี่ดินบอก เดินไปตามทางฝั่งขวาก็เจอห้องที่ว่า แต่ด้านหน้ากลับมีโต๊ะตั้งขวางทางเดิน เหลือพื้นที่ให้เข้าออกประมาณสองคนเดินคู่กัน

“มาทำอะไรคะ?” ผู้หญิงที่นั่งอยู่หลังโต๊ะเอ่ยถาม

“ถ่ายรูปครับ” ผมบอกตามจริง

“งั้นเซ็นชื่อได้เลยค่ะ” ผายมือไปทางแฟ้มที่วางอยู่บนโต๊ะ “ถ้าอยู่ปีสี่แฟ้มสีดำ ปีสามแฟ้มเขียว ปีสองแฟ้มฟ้า ถ้าพึ่งเป็นสะใภ้คณะ แฟ้มแดงค่ะ”

ผมกระพริบตาปริบๆ ขยับไปเปิดแฟ้มห่วงสีแดง เจอเอกสารขนาดเอสี่ที่เป็นช่องตาราง แนวนอนมีสามช่อง ส่วนแนวตั้งก็ไล่ลงมาจนขึ้นหน้าใหม่ ช่องแรกยาวที่สุดบอกว่าคณะไหนคู่กัน ท้ายชื่อคณะมีตัวเลขด้วยครับ (ผมเดาว่าน่าจะหมายถึงชั้นปี) ช่องสองกับช่องสามมีชื่อเล่นพิมพ์ไว้ติดขอบซ้าย ที่เหลือเหมือนเว้นไว้ให้เซ็นชื่อ

กวาดตาไล่มองหาจนเจอ นิติศาสตร์1 x เศรษฐศาสตร์1 อยู่ที่กระดาษแผ่นสอง แล้วเซ็นชื่อลงไปช่องว่างที่สามที่มีชื่อเล่นของผม ก่อนส่งปากกาให้พาร์เซ็นชื่อลงช่องกลางที่มีชื่อเล่นของมัน

“ห้องสตูดิโออยู่ในสุด ส่วนห้องแรกที่เปิดประตูทิ้งไว้เป็นห้องพักผ่อน มีน้ำกับขนมด้วยนะ พวกพี่เตรียมไว้ให้กับคนรอคิวนาน แต่พวกน้องเป็นรายแรกที่มาถึง เข้าห้องสตูฯ ได้เลย เสร็จแล้วจะออกมาทานน้ำทานขนมก็ได้นะ แล้วถ้าอยากได้รูปวันนี้เก็บไว้เป็นที่ระลึก มาลงชื่อจองรูปได้ที่แฟ้มสีขาวตรงนี้ค่ะ ทางเราจะอัดรูปเผื่อไว้ให้ แต่ไม่ฟรีนะคะ ถ้าสั่งแบบเซตจะได้ราคาเหมาจ่าย ขอแนะนำแบบนี้ค่ะ เพราะมันคุ้มกว่า”

ผมกับพาร์มองหน้ากัน เป็นพาร์ที่ขยับตัวไปหยิบแฟ้มขาว ลงชื่อสั่งจองรูปจำนวนสองชุด ผมหยิบกระเป๋าตังค์มาจ่ายเงิน พาร์กระซิบบอกว่าเดี๋ยวคืนให้ พี่ผู้หญิงรับแฟ้มขาวไปเซ็นชื่อพร้อมเขียนระบุว่าจ่ายเงินแล้ว

“และนี่กำหนดการนัดหมายครั้งหน้าค่ะ”

มาเป็นซองจดหมายเลยครับ ผมพูดขอบคุณอีกทีแล้วผละจากมา หลังพากันเดินสักระยะ ผมก็เอียงหน้ากระซิบคนเดินข้างๆ

“มึงรีบจองรูปไปทำไม ถ่ายเสร็จแล้วค่อยออกมาจองก็ได้”

“กูไม่แน่ใจว่าหลังจากเราออกมา คนจะเยอะหรือเปล่าน่ะสิ ตอนนี้ว่างๆ ก็เขียนจองไปก่อนดีกว่า ดีหรือไม่ดียังไง กูก็อยากได้อยู่ดี”

ผมพ่นลมออกจากปาก ผลักประตูห้องในสุด มันไม่ขยับเลยลองเลื่อนดู เป็นประตูแบบเลื่อนครับ พอมองเข้าไปในห้องทั้งผมทั้งพาร์ก็ยืนอึ้งกับบรรดาอุปกรณ์ทั้งหลาย ผู้คนจำนวนหนึ่งที่วุ่นวายกับการตรวจเช็คอุปกรณ์ต่างๆ ให้พร้อมใช้งาน

“อ๊ะ คู่แรกมาแล้ว ไปนั่งรอที่โซฟาก่อนนะ” ใครคนหนึ่งตะโกนออกมาจากในห้อง ก่อนร้องเรียกคนเป็นช่างแต่งหน้ากับทำผมให้ออกมาดูแลแขก

พวกผมมองโซฟาที่ว่า มันเป็นพื้นที่พักผ่อนเล็กๆ ที่อยู่มุมห้องใกล้ประตู มีพวกอุปกรณ์แต่งหน้าทำผมอยู่บนชั้นใกล้โซฟา ยังไม่ทันได้นั่งรุ่นพี่ชายหญิงสองคนเดินเข้ามาหา

“วางปืนฉีดน้ำไว้บนโต๊ะก่อนเลยจ๊ะ”

ผมกับพาร์วางถุงที่ใส่ปืนฉีดน้ำมาลงโต๊ะเตี้ยใกล้ๆ พอก้นสัมผัสโซฟาพวกผมก็โดนรุ่นพี่จัดการสภาพหนังหน้าและเส้นผม เสร็จแล้วรุ่นพี่ก็เดินสลับกันจัดการอีกคน แค่สิบนาทีนิดๆ พวกผมก็โดนส่งไปยืนหน้าฉากกำแพงอิฐโทรมๆ เสมือนพึ่งผ่านสงครามมาหมาดๆ ตรงกลางกำแพงมีสัญลักษณ์ของสงครามสายน้ำกำลังกระแทกอิฐออกมา

สวยครับ จนเผลอมือบอนไปสัมผัสถึงรู้ว่าเป็นภาพวาด ได้กลิ่นน้ำมันสนด้วย น่าจะเป็นภาพสีน้ำมัน

“อย่าไปแตะภาพ! ขยับมาตรงนี้คนหนึ่ง ตรงนั้นคนหนึ่ง เราจะเริ่มถ่ายภาพคู่ก่อน” พี่ที่ยืนหลังกล้องถ่ายรูปวางอยู่ในขาตั้งตะโกนขึ้นมาให้สะดุ้ง ผมกับพาร์มองหน้ากัน ก่อนถือปืนฉีดน้ำขยับไปจุดที่ว่า

“เอ่อ แล้วท่าทางล่ะครับ” ผมถามอย่างประหม่านิดๆ

“รูปแรกขอฟรีสไตล์ ท่าไหนก็ได้ที่คิดว่าเหมาะกับตัวเอง ไม่ต้องอย่าเกร็ง ปล่อยตัวตามสบาย”

และแล้วการถ่ายรูปก็เริ่มต้นขึ้น ใช้เวลาประมาณสี่สิบนาที พวกผมก็โดนปล่อยตัวออกมา ช่างภาพถามว่าอยากดูภาพก่อนไหม แต่พวกผมเห็นคนมานั่งรอคิวอยู่ตรงโซฟาก็ส่ายหน้า ไหนๆ เราก็สั่งภาพไปแล้วยังไงก็ได้เห็นอยู่ดี

ออกมาถึงทางเดินก็ผงะเล็กน้อย มีคนยืนเป็นคู่ๆ พิงกำแพง รอคิวเข้าห้องอยู่ มีทั้งคู่ชายหญิง ชายชาย หญิงหญิงก็มี   

“แวะห้องขนมก่อนไหม?”

ผมตอบพาร์ทันที “ไป”

ตอนนี้คอแห้งมาก อีกอย่างในห้องนั้นมีทิชชู่เปียกสำหรับเช็ดเครื่องสำอางเตรียมไว้ให้ด้วย

ในห้องพักผ่อนมีคนพอสมควร ตั้งแต่สามีกับสะใภ้คณะหลายคู่ตั้งแต่หน้าห้องสตูฯ จนถึงห้องนี้ไม่คุ้นหน้าสักคน สงสัยเป็นพวกรุ่นพี่มั้ง หลังจากเติมพลังงานกับเช็ดเครื่องสำอางออก พวกผมก็ออกจากห้อง เตรียมตัวกลับ เดินไปจนถึงโต๊ะวางแฟ้มก็ได้ยินเสียงสนทนา

“เธอมาคนเดียว?”

“ค่ะ”

“ปีหนึ่งสินะ แล้วสามีคณะไปไหน ทำไมไม่มาด้วยกัน”

ผมเหลือบมองต้นเสียงระหว่างเดินผ่านโต๊ะ ปีหนึ่งที่ว่าเป็นผู้หญิงใส่แว่นยืนอยู่ตัวคนเดียว

“กะ ก็เขาเรียกแต่สะใภ้คณะมา…”

“ใช่ค่ะ เราบอกนัดแต่สะใภ้คณะก็จริง แต่มองข้างหลังพี่สิ มีใครมาคนเดียวบ้าง? ขนาดคู่นี้ปีหนึ่งเหมือนเธอ ยังมาด้วยกันเลย”

ผมสะดุ้งนิดๆ ที่จู่ๆ ก็โดนพี่ที่ดูแลแฟ้มชี้นิ้วใส่

“ตะ แต่…ถ่ายรูป…”

“ถึงจะเน้นถ่ายรูปสะใภ้คณะเป็นหลัก แต่เราก็อยากได้รูปคู่ด้วยค่ะ”

…มิน่าล่ะ ของพาร์โดนถ่ายรูปเดี่ยวไปแค่สามแชะ นอกนั้นเป็นรูปคู่กับรูปเดี่ยวของผมทั้งนั้น

สาวแว่นทำหน้าเจือน เลยโดนพี่ดูแลแฟ้มดุอีกรอบ

“ยืนเฉยทำไม ไปโทรเรียกคู่ของเธอมาสิค่ะ”

“ค…ค่ะๆ”

รุ่นพี่ส่ายหัวให้คนที่หมุนตัวเดินหามุมโทรศัพท์ ผมกับพาร์มองหน้ากัน ก่อนเดินผ่านผู้หญิงสวมแว่น แล้วเดินลงบันได แว่วเสียงเธองึมงำ

“เราไม่รู้เบอร์เขาสักหน่อย จะโทรหายังไงเล่า”

ผมรู้สึกแปลกใจ แต่ก็ปล่อยผ่าน บางทีถ้าคู่ของผมไม่ใช่พาร์ ผมอาจเจอเรื่องยุ่งยากเหมือนกันก็ได้ ลงมาถึงชั้นล่างก็เจอผู้หญิงฉายเดี่ยวเดินสวนพวกผมขึ้นบันไดไปอีกคน

“…ดูเหมือนสะใภ้ปีหนึ่งไม่ค่อยสนิทกับฝ่ายสามีเท่าไหร่”

พอผมพูดเปรยแบบนั้น พาร์ก็หัวเราะเบาๆ “ที่เป็นแบบนี้เพราะไม่ค่อยเจอกันล่ะมั้ง เดี๋ยวได้เจอกันบ่อยๆ ได้ทำกิจกรรมร่วมกันก็สนิทกันเองนั่นแหละ”

“นั่นสิ”

“ตอนเที่ยงอยากกินอะไร” จู่ๆ พาร์ก็เปลี่ยนเรื่อง

“ถามแบบนี้คือจะเลี้ยง?”

“ถ้าใครบางคนยอมให้เลี้ยงล่ะก็…ยินดีรับเลี้ยงตลอดชีวิตครับ”

ผมส่งเสียงหึในคออย่างหมั่นใส่คนพูดสุดๆ “มาถามหลังจับลูกชาวบ้านใส่ปลอกคอเนี่ยนะ?”

“จิ้งจอกน้อยมีปลอกคอยังพยศอยู่เลยนี่น่า” แววตาพาร์พราวระยับ “เมื่อไหร่จะเชื่อง?”

ผมเตะขาพาร์อย่างทนหมั่นไส้ไม่ไหว แกล้งพูดลากเสียงใส่ “อีกนานนนน”

คนฟังไม่ทุกข์ร้อน หลบขาผมทันแล้ว ยังยิ้มไม่น่าไว้ใจอีกต่างหาก ผมมองอย่างระแวงอยู่สักพัก ก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นเลยวางใจ หันไปมองทางด้านหน้า ไม่ถึงสามก้าวก็ต้องสะดุ้งโหยงกับสัมผัสแขนโอบรอบคอ แถมยังมีลมหายใจกับเสียงกระซิบข้างหู   

“ถ้าให้รอนานเกินไป ระวังถูกหมาป่าจับกินนะครับ”

ผมพยายามผลักพาร์ออกห่าง ประกาศลั่น “ไม่ยอมหรอกโว้ย!”

สัมผัสเปียกชื้นตรงใบหูทำผมสะดุ้งอีกหน แถมยังรู้สึกร้อนๆ ที่หน้า แม้ว่าพาร์จะปล่อยตัวผมแล้วก็ตาม

…ถึงไม่เห็นก็รู้ตัวว่าโดนหมาป่างับหูเข้าให้แล้ว

“หึๆๆ”

“หัวเราะบ้าอะไร เดินไปนู้น ห้ามมาใกล้นะโว้ย”

นอกจากไม่ทำตามแล้ว ผมยังโดนดึงแก้มอีกต่างหาก

“ช่วยน่ารักให้น้อยลงหน่อยได้ไหม เดี๋ยวกูทนไม่ไหวขึ้นมา คนที่เดือดร้อนก็มึงนั่นแหละ”

ผมปัดมือพาร์ออก “มึงมัน…” แต่หัวกลับว่างเปล่า หาคำมาด่าไม่ได้

พาร์ยิ้มขำ คล้องแขนรอบคอผมอีกครั้ง ดึงตัวให้ออกเดินไปที่ลานจอดรถด้วยกัน

“ห้ามไปทำแบบนี้กับคนอื่นนะที”

“เหอะ”

“กูพูดจริง” น้ำเสียงพาร์ค่อนข้างจริงจัง “ไม่งั้นกูอาจเผลอต่อยคนเข้าก็ได้ แน่นอนว่าไม่ใช่มึง”

“ขี้หึงวะ!”

พาร์หัวเราะร่วน ยอมรับหน้าเป็น “กูทั้งขี้หึงทั้งขี้หวงเลยล่ะ แล้วถ้ามึงทำให้กูโมโหขึ้นมาอีกรอบ กูไม่รับรองความปลอดภัย ถือเป็นคำเตือนจากกู”

ผมกัดฟัน ทั้งที่อยากสะบัดหน้าไล่ความทรงจำตอนมันโมโหเมื่อคราวก่อนทิ้งเป็นบ้า

“ขอบคุณที่ยังเตือนกัน แต่เป็นไปได้ ช่วยหึงหวงให้น้อยลงหน่อยเถอะ ไม่งั้นเพื่อนกูได้หนีหายหมดแน่”

“ดีสิ มึงจะได้เป็นของกูคนเดียว”

ผมตวัดสายตามองคนพูด แววตาพาร์กึ่งจริงจังกึ่งขบขัน ไม่รู้ว่าพูดล้อเล่นหรือพูดจริง

“…มึงมันบ้า”

พาร์ตอบรับหน้าตาย “ขอบคุณที่ชม”

กูไม่ได้ชมโว้ย!

-------------

“มองอะไร?”

ผมละสายตาจากร้านหนังสือ ไม่คิดตอบ แถมลากพาร์ให้เดินไปอีกทาง ลืมไปเลยว่าห้างใกล้มหาลัยคือสถานที่ได้พบมัน และเหมือนคนโดนลากจะรู้ตัว ถึงได้ยิ้มกริ่ม

“ถ้าน้องน้ำมาถามอีก กูคิดว่ามีคำตอบให้แล้วล่ะ”

“ดีที่ช่วงนี้ยัยน้ำเลิกบ้าจับคู่เราแล้ว”

พาร์เลิกคิ้ว “แน่ใจ?”

“ก็ไม่เห็นสนใจเรื่องของเราเท่าเมื่อก่อน”

“เสียดาย?”

ผมตอบทันที “ไม่เลย ที่จริงกูก็คิดอยู่แล้ว เด็กอายุแค่นี้ไม่น่าจะสนใจเรื่องนี้จริงจังหรอก”

“งั้นทดสอบดูไหม”

ผมเลิกคิ้ว มองพาร์หยิบมือถือลากผมไปม้านั่งใกล้ แถมยังมากอดคอ หัวชนกัน กดถ่ายภาพคู่ดังแชะ เสร็จแล้วก็ส่งเข้าไลน์กรุ๊ป River x Golf แปบเดียวก็มีข้อความจากสองสาวน้อยกระหน่ำเข้ามา น้ำกับเบอร์ส่งสติกเกอร์แมวหลับตาส่ายหัว ทำหน้าเขินอายสุดขีดมาให้

Nam: พวกพี่อยู่ไหนกันอ่ะ
PAR: ห้างใกล้มหาลัย
Birdie: ไหนพี่ทีบอกว่าพวกพี่ไปมหาลัยไง
PAR: ไปมาแล้ว นี่มาเดต
Birdie: อะไรนะ!
Nam: จริงอ่ะ!! พวกพี่คบกันแล้วเหรอ!!
TEE: ยัง 555

เมินสายตาคนข้างๆ ที่เหล่มองมา

Nam: พี่อ่ะ!
Nam: สติกเกอร์แพนด้าแก้มพองลม
TEE: เห็นทั้งสองคนไม่สนใจเรื่องนี้แล้ว พวกพี่เลยแหย่เล่น
Nam: ใครบอกว่าน้ำไม่สน
Birdie: เบอร์ก็ยังสนอยู่นะ แต่ช่วงนี้เบอร์เป็นเด็กติดพี่ค่ะ
Nam: ช่ายๆ น้ำก็ยังติดพี่อยู่นะ ไม่ปล่อยให้คู่แข่งทำคะแนนแซงหน้าแน่

คู่แข่งที่ว่าหมายถึงเจ้าตัวเล็กแหงๆ

Birdie: เพราะงั้นพักเรื่องนี้ไว้ก่อนเนอะ

ยัยน้ำส่งสติกเกอร์สนับสนุนเบอร์ดี้มาทันที

สองสาวอยู่ในโหมดติดพี่นี่เอง ถึงว่าช่วงนี้เบอร์ไม่ได้มาเล่นบ้านผม ยัยน้ำก็ไม่ได้ไปบ้านเพื่อน

Nam: พี่อยู่ห้างใช่ปะ น้องฝากซื้อของหน่อย นะๆ

ตามมาด้วยสติกเกอร์ออดอ้อนจากน้ำ

TEE: โอเค ฝากซื้อ อย่าลืมคืนเงินพี่ด้วยล่ะ
Nam: พี่อ่ะ แค่ซื้อของมาฝากน้องเอง!

ดูน้องสาวผม จากฝากซื้อเปลี่ยนเป็นของฝากแล้วครับ

TEE: ถ้าของฝากล่ะก็อด
Nam: พี่งก น้ำฝากซื้อก็ได้ แต่พี่ต้องออกให้ครึ่งหนึ่งนะ
PAR: จะเอาอะไร

น้องส่งรายการมายาวเหยียด ส่วนใหญ่ที่ขอมาเป็นของกินทั้งนั้น

TEE: เยอะขนาดนี้ ได้กลมเป็นหมูแน่
Birdie: พี่ที!!
Nam: พี่อ่ะ!
TEE: ซื้อไปฝากก็ได้ แต่ของหวานต้องกินหลังข้าวเย็น
TEE: และบอกแม่ด้วยว่าไม่ต้องทำกับข้าวเยอะ
Nam: รับทราบ

ผมมองรายการของคาวกับของหวาน แล้วเงยหน้าถามพาร์ “มึงทำของหวานที่น้องอยากกินได้ปะ?”

“ได้”

“ดีเลย งั้นไปซื้อวัตถุดิบที่ซุปเปอร์กัน ยังไงทำเองก็ถูกกว่าซื้อที่นี่”

“แล้วมึงจะไปทำที่ไหน?”

ผมตอบทันทีแบบไม่ต้องคิด “บ้านมึงไง ไม่มีใครอยู่ไม่ใช่เหรอ”

พาร์หรี่ตาลง ก่อนยกยิ้ม “เอาตามนั่นก็ได้ ถ้ามึงกล้าอยู่กับกูสองต่อสองในที่รโหฐาน”

ผมชะงักกึก ค่อยๆ หันไปสบตากับพาร์ เม็ดเหงื่อเริ่มผุดขึ้นเรื่อยๆ กลับคำตอนนี้น่าจะยังทัน

“ปะ ไปซื้อ…” 

“กูคิดว่ามึงกล้า ถูกไหม?”

โอ๊ย! จะพูดดักคอทำไม!!

ผมเม้มปาก ลุกขึ้นจากม้านั่ง ก้าวขาออกเดินไม่ถึงสามก้าวก็โดนดึงแขน

“กูล้อเล่น” แววตาคนพูดดูร้อนรน

ผมเลิกคิ้ว ถามกลับ “แล้ว?”

“โกรธหรือเปล่า” น้ำเสียงอ่อนลงเหมือนจะง้อ

“ไม่” ผมตอบสั้นๆ ดึงพาร์ให้เดินไปด้วยกัน

“จะไปไหน”

“ซุปเปอร์” ตอบเสียงเรียบ

พาร์นิ่งงันทันที จนผมต้องหยุดเท้าตาม “จะไปบ้านกูจริงดิ?”

“เออ ดูจากรายการอาหารที่ต้องทำ ทั้งกูทั้งมึงไม่ว่างทำอย่างอื่นหรอก อยู่แต่ในครัวชัวร์!”

ความร้อนรนหายไปจากแววตา แทนที่รอยยิ้มมีความสุข “ครับๆ อยู่แต่ในครัวก็ได้ ปะ ไปซื้อของกัน”

ผมมองคนเนียนจับมือผมเดินด้วยความไม่แน่ใจ เลยเอ่ยบอกระหว่างลงบันไดเลื่อน

“กูว่าเราทำเพิ่มอีกสักสองหรือสามรายการดีกว่า”

พาร์หันมองผมอย่างรู้ทัน “ไม่ต้องก็ได้ กูไม่ทำอะไรมึงหรอก เมื่อกี้ก็บอกแล้วว่าแค่ล้อเล่น”

“…ไว้ใจไม่ได้วะ”

“สัญญาเลย ไม่ทำอะไรแน่ๆ”

“มึงพูดแล้วนะ”

“อือ!”

“แล้วถ้าผิดสัญญา?”

“ลงโทษกูตามใจมึงเลยครับ”

############

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
Re: - ชลนที - [บทที่ 46] P.16 (13/03/2017)
«ตอบ #477 เมื่อ13-03-2017 19:43:19 »

 :-[

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: - ชลนที - [บทที่ 46] P.16 (13/03/2017)
«ตอบ #478 เมื่อ13-03-2017 20:04:09 »

ชอบ พาร์ ที เวลาอยู่ด้วยกัน  :ling1:
พาร์ เปิดเผยมาก เรื่องหึง หวง จะชกคนที่ทำให้หึง  :katai1:
แถมพอที ว่าน้อยๆหน่อยเรื่องหึง เดี๋ยวเพื่อนหาย
พาร์ยังบอกชอบ ทีจะได้อยู่กับพาร์เท่านั้น  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
พาร์ แสดงออกเรื่องชอบสัมผัสที มากกกก   :o8:
ที ใจอ่อนกับพาร์ ไวๆ นะ
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: - ชลนที - [บทที่ 46] P.16 (13/03/2017)
«ตอบ #479 เมื่อ13-03-2017 20:06:25 »

 :m1: :m1: :m1: :m1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด