- ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: - ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว  (อ่าน 175623 ครั้ง)

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: - ชลนที - [บทที่ 46] P.16 (13/03/2017)
«ตอบ #480 เมื่อ13-03-2017 20:18:33 »

 :pig4:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
Re: - ชลนที - [บทที่ 46] P.16 (13/03/2017)
«ตอบ #481 เมื่อ13-03-2017 21:09:19 »

โอ้ยยยยย!! อิจฉาวุ้ย

ออฟไลน์ wickedwoman

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 143
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: - ชลนที - [บทที่ 45] P.16 (07/03/2017)
«ตอบ #482 เมื่อ13-03-2017 23:22:04 »

น่ารักมากค่าาาา สนุกมากๆด้วย
เราพลาดเรื่องนี้ได้ไงเนี่ยย
รอตามอ่านอยู่นะจ้ะ

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
Re: - ชลนที - [บทที่ 46] P.16 (13/03/2017)
«ตอบ #483 เมื่อ13-03-2017 23:43:40 »

ช่วงนี้คู้นี้มุ้งมิ้งกันน่าดู อิอิ

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
Re: - ชลนที - [บทที่ 47] P.17 (17/03/2017)
«ตอบ #484 เมื่อ17-03-2017 20:53:29 »

บทที่ 47

ผมก้าวเท้าออกจากห้องน้ำด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ขอยืมพาร์มา มีผ้าขนหนูวางอยู่บนหัวขยี้เส้นผมให้แห้ง สองขาเดินไปทางครัว กวาดมองหาเจ้าของบ้าน เห็นแค่อาหารทั้งคาวและหวานในกล่องถนอมอาหารใส่ถุงหิ้ววางอยู่บนโต๊ะเรียบร้อย

พูดถึงเรื่องกล่องถนอมอาหาร บ้านพาร์มีเยอะมากครับ เป็นแบบเข้าไมโครเวฟได้ทั้งหมด เจ้าของบ้านอธิบายแค่ว่าซื้อสำเร็จรูปมาใส่กล่องเข้าตู้เย็น ถึงเวลาก็เอาออกไปอุ่นกิน แถมกำชับให้ผมทำอาหารเผื่อ ตอนนี้ในตู้เย็นเลยมีกล่องใส่อาหารปรุงแล้ววางเรียงราย ที่น่าตกใจกว่านั้นในช่องฟรีซมีอาหารแช่แข็งแบบกล่องติดตู้เย็นด้วยครับ ผมปิดตู้เย็นอดถามมันไม่ได้

“บ้านมึงกินแต่แบบนี้ตลอดเลย?”

“เบอร์ถึงได้ชอบไปกินข้าวมึงบ่อยๆ ไง”

ถึงว่า ผมกำลังจะอ้าปากพูดก็กลายเป็นอ้าค้าง ตกใจกับการที่โดนมันมายืนซ้อนจากด้านหลัง แถมยกมือเท้ากับตู้เย็น กักผมไว้ในวงแขนมัน

“จะทำอะไร!” ผมถามเสียงแข็ง

“บ้านปู่กูเลี้ยงหมาอยู่สองตัว มีตัวใหญ่กับตัวเล็ก ปฏิกิริยาเวลาโดนแกล้งมันตลกดี กูเลยชอบไปแหย่เล่นบ่อยๆ ที่ทำบ่อยสุดคือสั่งให้รอ แล้วปล่อยให้มันนั่งจ้องชามข้าวอยู่ตั้งนานกว่าจะพูดอนุญาตให้กิน”

“ปล่อยกูแล้วค่อยเล่าให้ฟังก็ได้”

แต่พาร์ไม่ฟัง แถมยังขยับหน้าเข้ามาใกล้จนผมรู้สึกถึงลมหายใจของมันแถวใบหู จนต้องเอียงหน้าหลบ

“กูเข้าใจปฏิกิริยาของเจ้าสองตัวนั้นชัดๆ ก็วันนี้”

“ไม่ต้องกระซิบ!”

มันก็ยังไม่ฟัง “ของโปรดอยู่ตรงหน้า แต่ดันโดนสั่งห้ามกิน ทำได้แค่เข้าไปดมๆ”

สะดุ้งเฮือกยามโดนงับเบาๆ แถวฐานคอ ผมพลาดแล้ว ดันเอียงหน้าหนีจนคอเปิดช่องว่างให้มันเอาเปรียบ ผมส่งเสียงเรียกดุ “พาร์!”

“เฮ้อ…” ได้ยินเสียงถอนหายใจตามมาหลังมันปล่อยปาก แต่เหมือนจะโดนวางคางกับไหล่ผมแทน “สภาพกูตอนนี้ไม่ต่างจากเจ้าสองตัวนั้นยังกับเวรกรรมตามทัน มึงว่าอย่างนั้นไหม”

ผมย่นคิ้ว “กูจะไปรู้ไหม ไม่ได้ไปเห็นพฤติกรรมพวกมันเหมือนมึง”

“เหมือนที่มึงทำเมื่อกี้นั่นแหละ แค่เข้าไปดมชามข้าวก็โดนดุจนต้องถอยออกห่าง ร้องประท้วงในคอ ร้องขอความเห็นใจ เฮ้อ…”

พาร์ถอนหายใจอีกรอบ ผมชะงักนิดหน่อยกับสัมผัสข้างขมับ แต่ไม่ว่าอะไรเพราะมันยอมปล่อยผมเป็นอิสระ แต่ถึงถอยห่างแล้วมันก็ยังบ่น

“ตัวเหม็นวะ เสร็จแล้วก็ไปอาบน้ำ สระผมด้วย เดี๋ยวกูเอาเสื้อผ้ามาให้เปลี่ยน”

“…แล้วถ้าไม่?”

“มึงก็ได้อยู่บ้านกูยาวไง เพราะอย่าหวังว่ากูจะให้มึงขึ้นรถในสภาพนี้”

ผมเบ้ปาก “แค่กลิ่นอาหารติดตัวเอง มึงก็มีเหมือนกัน!”

“เดี๋ยวกูต้องอาบน้ำเหมือนกัน” พาร์มองมาเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่โดนผมพูดขัด

“ต่างคนต่างอาบ ไม่ต้องมาชวน และกูไม่ขึ้นห้องมึงแน่ๆ ขอใช้ห้องน้ำชั้นล่างก็พอ”

ผมออกจากภวังค์ นึกขึ้นได้ว่าตามหาเจ้าของบ้านอยู่ เห็นตัวครั้งสุดท้ายก็ตอนพาร์ยื่นเสื้อผ้ากับผ้าขนหนูให้ที่หน้าห้องน้ำ เดินตามหาพักใหญ่ถึงมาเจอเจ้าตัวกำลังนอนตะแคงข้างกอดหมอนอิงอยู่บนโซฟา หลับสบายอย่างน่าอิจฉา ยืนลังเลอยู่สักพักก็ขยับเข้าไปใกล้ ไม่คิดส่งเสียงปลุก

สายตากวาดมองสำรวจคนหลับอย่างพินิจ มันหน้าตาดี อันนี้ผมไม่เถียง แถมอิจฉาด้วยที่มันหล่อกว่า ผมเองก็อยากดูหล่อเหลาสมชาติแบบนี้เหมือนกัน ติดแต่ว่าได้ทางแม่มาเยอะไปหน่อย…แล้วมันนอนภาษาอะไร เสื้อถึงถลกโชว์เอวให้ชาวบ้านเห็น

ผมดึงสายตาไปทางอื่น เลยสะดุดที่เส้นผมของคนหลับ ผมพาร์ยาวกว่าเมื่อก่อนจนตอนนี้เห็นได้ชัดว่าเส้นผมมันหยักโศก แถมยังดูเปียกหน่อยๆ จนผมนิ่วหน้า ดึงผ้าออกจากหัวตัวเองไปวางบนหัวมัน 

นอนทั้งแบบนี้เดี๋ยวหวัดได้ถามหาพอดี

ยืนก้มเช็ดให้สักพักก็ชักเมื่อย กวาดตามองหาที่นั่ง สุดท้ายก็ดึงหมอนออกนั่งแทนที่ กำลังเช็ดหัวให้อย่างเมามันก็ต้องสะดุ้ง ก้มมองสัมผัสแถวท้องที่โดนแขนใครบางคนโอบ

…อ้อ มันติดหมอนข้างนี่หว่า     

ผมพ่นลมหายใจหน่ายๆ ยอมปล่อยให้กอด เช็ดจนผมพาร์เริ่มหมาดๆ ถึงหยุดมือ กำลังจะลุกเอาผ้าไปหาที่ตาก โลกก็หมุนกะทันหัน รู้ตัวอีกทีก็มานอนแหมะบนโซฟา ประสานสายตามึงงงกับคนที่กำลังเท้ามือกับเบาะคร่อมอยู่ด้านบน

“มึงนี่ไม่ระวังตัวเลย”

ผมย่นคิ้วเข้าหากัน ตาหรี่มองแววตาแพรวพราวของมัน “มึงแกล้งหลับ?”

“เปล่า รู้สึกตัวตอนโดนดึงหมอนออก มึงทำกูตื่นไม่พอ เกือบทำลูกชายกูตื่นด้วย”

“เกี่ยวอะไรกับลูกมึง”

“มึงเล่นเข้าใกล้จนได้กลิ่นสบู่ขนาดนี้ ถ้ากูไม่รู้สึกอะไรสิแปลก เพราะงั้นปลอบประโลมกูหน่อย”

“ปลอบประโลมบ้าอะไร ถอยไปเลย”

“ง่ายนิดหน่อย…แค่ปากแตะปาก”

“ฮะ!!”

“ถ้ามึงรู้สึกไม่ดีค่อยผลักกูออก”

ผมเริ่มตื่นตระหนก “เดี๋ยวๆๆ จู่ๆ มึงมาพูดอะไรเนี่ย!!”

“ก็มึงไม่ชอบจูบ กูเลยต้องบอกก่อน เอาน่า มาลองกันสักครั้ง กูขอแค่สามวิ”

“แต่…”

“สามวินาทีเอง สั้นนิดเดียว…นะ”

ผมเม้มปาก ที่จริง…ใจก็อยากลองอยู่เหมือนกัน

“…แค่สามวิ ห้ามเกิน!”

คนฟังคลี่ยิ้มดีใจมาก ดึงผมลุกขึ้นนั่ง เรามองกันเงียบงัดจนหน้าผมชักร้อนไปหมด ยิ่งนานยิ่งสร้างความอึดอัดใจจนต้องพูดโพล่งออกมา

“จะทำอะไรก็รีบทำดิ!”

“อย่าใจร้อนสิ กูก็ตื่นเต้นเป็นนะ”

ผมเม้มปาก ก่อนสะดุ้งยามมือพาร์ประคองแก้ม ยิ่งมันโน้มหน้าเข้าใกล้ผมก็ไม่กล้าสบตา หลังกวาดตาไปมาเลิกลั่กก็ต้องหลับตาลง (เพราะมองไปทางไหนก็เห็นแต่หน้ามัน) สองมือกำชายเสื้อแน่นรับรู้ลมหายใจปะทะผิวหน้า ตัวเกร็งไปหมด ความอ่อนนุ่มค่อยๆ สัมผัสเพียงแผ่วเบาและสั่นไหว แค่นั้นใจก็แทบระเบิด เต้นแรงจนน่ากลัวว่าจะหลุดออกจากอก

สัมผัสค่อยๆ แนบชิดเข้าหาเนิบนาบ ก่อนรุนแรงขึ้นเพียงเสี้ยววินาที สัมผัสที่ว่าก็หายไปอย่างรวดเร็ว

“เดี๋ยวกูไปห้องน้ำแปบหนึ่งนะ”

พาร์พูดอย่างเร่งรีบ ลุกพรวดตรงดิ่งเข้าห้องน้ำทันที ทิ้งให้ผมนั่งสับสนกับความรู้สึกที่พึ่งได้สัมผัสครั้งแรก หัวใจยังเต้นกระหน่ำ อารมณ์เหมือนค้างคา และ…ไม่มีความรังเกียจอยู่ในนั้นสักนิดเดียว

ผมยกขาขึ้นมากอด ซบหน้าเห่อร้อนลงกับเข่า ไม่คิดไม่ฝันจะมีวันที่ผมรู้สึกแบบนี้กับสิ่งที่เรียกว่าจูบ

…แต่ถ้าให้ทำอีกผมคงไม่ไหว กลัวตัวเองหัวใจวายตายก่อนน่ะ   

หลังจากนั้นก็ไม่มีใครกล้าสบตากับอีกคนนานเกินหนึ่งวิ เงียบกริบกันมาตลอดทางจนถึงบ้านผม จอดรถช่วยกันหิ้วของเข้าบ้านเงียบๆ ก็มาเจอแม่ที่กำลังจะเปิดประตูออกมาดูพอดี   

“สวัสดีครับ” พาร์ยกมือไหว้แม่ผมทั้งที่หิ้วถุงเต็มสองมือ

“หวัดดีจ๊ะ…” ท้ายเสียงของแม่แผ่วลง แถมยังมองผมสลับกับพาร์ แล้วก็ยิ้มออกมา ตรงไปช่วยพาร์ถือของ “มา แม่ช่วยหิ้ว”

เราตรงไปห้องครัวก่อนเลย คัดแยกของหวานมาซ่อนก่อนน้องๆ มาเห็น (โดยเฉพาะเจ้าตัวเล็ก เดี๋ยวจะมาตะแง้วๆ ของกินขนมก่อนข้าวเย็น) ส่วนของคาวเอาไปจัดวางเรียงบนโต๊ะกินข้าว ก่อนจะกินค่อยเอาไปอุ่นเพิ่มนิดหน่อยก็พอ 

“หายหน้าไปเลยนะเรา”

“ขอโทษครับ”

“แม่แค่แซวเฉยๆ ทีบอกแล้วว่าพาร์ไปสวีเดนมา ที่นั่นเป็นไงบ้างจ๊ะ?”

ผมปล่อยสองคนทางนู้นยืนคุยกัน ชิ่งหลบมาด้านนอก กวาดมองหาน้องๆ ทุกทีต้องโผล่มาให้เห็นแล้ว หายไปไหนกันหมดล่ะเนี่ย กำลังจะเดินขึ้นไปดูชั้นสอง ประตูห้องน้ำก็เปิดพอดี เจ้าตัวเล็กเห็นผมก็กระโดดเข้ามาหา

“พี่!”

“อันอยู่คนเดียว? แล้วน้ำกับเบอร์ล่ะไปไหน?”   

เจ้าตัวเล็กทำหน้าบูด พูดฟ้องทันที “หนีเข้าห้องกับเบอร์ ปิดประตูใส่หน้าอันด้วย”

“เรียกพี่เบอร์สิ”

“ม่าย ถ้าอันเรียก น้ำจะบังคับให้อันเรียกพี่ด้วย”

ผมมองน้องอย่างระอาใจ ได้แต่สอน “อยู่บ้านไม่เป็นไร แต่ถ้ามีแขกผู้ใหญ่มาเยี่ยม หรืออยู่ข้างนอกบ้าน อันควรเรียกพี่น้ำรู้ไหม ไม่งั้นคนอื่นจะมองอันเป็นเด็กไม่มีสัมมาคารวะ”

อันทำหน้าสงสัย “มันคืออะไร?”

“หมายถึงไม่มีมารยาท เป็นเด็กไม่ดี”

เจ้าตัวเล็กเบะปาก “อันเป็นเด็กดีนะ!”

“ครับๆ เด็กดีต้องเชื่อพี่เนอะ”

คนฟังรีบผงกหัวหงึกๆ “อันคนเก่ง ทำได้อยู่แล้ว”

ชมตัวเองก็เป็น ผมได้แต่ขำ น้องอันดึงมือผมไปทางโซฟา บนพื้นพรมมีตัวต่อของน้องวางกระจัดกระจาย กล่องใส่ตัวต่อก็ล้มตะแคงด้วยฝีมือเด็กแถวนี้แน่ๆ

“จะชวนพี่เล่นด้วย?”

เจ้าตัวเล็กรีบผงกหัวหงึกๆ น้ำเสียงตื่นเต้น “อันกำลังสร้างฐานทัพ”

ผมไม่รู้หรอกว่าเป็นฐานทัพยังไง (ดูไม่ออก) ก็ได้แต่เออออไป “งั้นเหรอ แล้วจะให้พี่ช่วยอะไรล่ะ?”

“ช่วย…” อันทำท่านึกจนหน้ายู่

“งั้นให้พี่ช่วยสร้างผู้ดูแลฐานทัพดีไหม” ผมเสนอ

“ดีๆ อันยังไม่ได้คิดหาคนดูแลเลย”

ทุ่มกว่าพ่อกลับมาถึงบ้าน แม่ก็ให้ผมตามสองสาวลงมากินข้าว ตอนแรกนึกว่าเล่นกันอยู่ ที่ไหนได้กำลังทำการบ้านหน้าเคร่งเครียดเลยครับ

“ยากขนาดนั้น?” ผมถามระหว่างพลิกหน้าปกหนังสือเรียน วิชาคณิตศาสตร์นี่เอง

“ยาก!” สองสาวประสานเสียงพร้อมกัน

ยัยน้ำโอดครวญต่อ “วันจันทร์มีสอบเก็บคะแนนด้วยอ่ะ”

“พี่ติวให้ไหม?” ผมถาม สองสาวตาเปล่งประกายทันที “งั้นก็ลุกไปกินข้าวก่อน เอาหนังสือกับสมุดลงไปด้วย”

“ไม่ติวข้างบนล่ะ เดี๋ยวอยู่ข้างล่างอันก็กวน”

ผมขยี้ผมน้องสาว “บอกน้องดีๆ น้องก็ไม่กวนหรอก ไม่งั้นก็หาอะไรให้น้องเล่นอยู่ใกล้ๆ ก็ได้ แต่ถ้าน้ำกีดกั้นน้องไม่ให้เข้าใกล้ น้องจะเสียความรู้สึก แถมพาลโกรธ เพราะไม่เข้าใจด้วย”

“…งั้นเหรอ?” น้ำงึมงำ

โทษยัยน้ำไม่ได้หรอก เพราะผมไม่เคยปฏิเสธกึ่งขับไล่น้องสาว ยกเว้นว่าต้องการสมาธิจริงๆ ผมจะเป็นฝ่ายหนีไปอยู่ที่อื่นเอง

“ถ้าไม่เข้าใจ จะลองโดนพี่ไล่ดูบ้างไหม?”

“ไม่เอา!” สวนตอบกลับมาทันที “ต่อไปนี้น้ำจะพยายามอธิบายกับอันก่อนแล้วกัน”

“น้องพี่ต้องอย่างนี้ ลงไปข้างล่างกันเถอะ”

สองสาวอุ้มหนังสือ สมุด กับกระเป๋าดินสอเดินกึ่งวิ่งตามผมมา วางของไว้ด้านนอก แล้วค่อยมานั่งประจำที่โต๊ะกินข้าว เจ้าตัวเล็กเห็นสองสาวก็ทำหน้างอใส่ทันที ท่าทางจะงอน เดี๋ยวผมค่อยไปอธิบายให้น้องคนเล็กฟังทีหลัง อาจจะลำบากหน่อย เพราะเจ้าตัวเล็กยังไม่เคยสอบแบบจริงๆ จังๆ จนกว่าจะเข้าชั้นประถม เลยไม่รู้ว่าสอบสำคัญยังไง

ผมตักกับข้าวให้น้องทั้งสองเสร็จก็ตักของตัวเองเข้าปากบ้าง สายตาก็สะดุดข้อมือคนนั่งตรงข้ามจนเกือบสำลักข้าวในปาก ดียกมือขึ้นปิดทัน ตาจ้องเขม็งใส่กำไลข้อมือของพาร์

จำได้ว่าก่อนหน้านี้คุยกันดิบดีว่าจะปกปิด แต่เพราะเรื่อง…เอ่อ เรื่องนั้นอ่ะ ทำให้ลืมเรื่องกำไลไปเลย

ผมพยายามส่งซิกให้พาร์รู้ มันทำหน้างงแวบหนึ่ง ก็ขยับมือตักกับข้าวตรงหน้ามันมาให้

ไม่ได้อยากได้กับข้าว! กูหมายถึงกำไลมึงอ่ะ!!

พาร์ก็ยังไม่รับรู้ หันไปคีบหมูอบน้ำผึ่งมาให้ พอมือมันขยับมาใกล้ ผมเลยใช้ปลายช้อนเคาะที่กำไลเบาๆ ว่าหมายถึงไอ้นี่ พาร์ทำหน้าบางอ้อ ก่อนทำหน้าจนปัญญาใส่ แววตาสื่อบอกว่าไม่ทันแล้วมั้ง

…ใช่ครับ ไม่ทันแล้ว เพราะยัยน้ำเริ่มจ้องกำไลพาร์เขม็ง

“กำไลของพี่พาร์เหมือนของพี่เลย”

“ไหนๆ” เบอร์ดี้เริ่มสนใจ “เบอร์ขอดูกำไลของพี่ทีหน่อย”

ยัยน้ำคว้าข้อมือซ้ายผมดึงไปหน้าตัวเอง ให้เบอร์ดีที่นั่งอีกด้านก้มมาดู

“เหมือนจริงๆ ด้วย”

พ่อเลิกคิ้ว ถามตรงๆ “กำไลคู่?”

สองสาวทวนคำเสียงดังลั่น “กำไลคู่!!”

แม่ส่ายหน้า “เห็นปุ๊บก็รู้แล้วนี่ค่ะคุณ”

พ่อหัวเราะ “นั่นสินะ เจ้าทีมีแฟนแล้วแบบนี้ต้องขยาย”

ผมสะดุ้ง รีบส่งเสียง “เดี๋ยวพ่อ!!”

แต่คนแก่ของบ้านฉีกยิ้มสนุกสนาน ลุกจากโต๊ะทั้งที่กำลังหยิบมือถือจากกระเป๋ากางเกง ผมจะวิ่งตามไปห้ามก็ไม่ได้ เพราะยัยน้ำยังจับมือผมจ้องสำรวจกำไลตาวาวๆ ไม่เลิก

“ไหนว่ายังไม่ได้คบกันไง โกหกน้อง” น้ำดุผม

“พี่ไม่ได้โกหกสักหน่อย”

“บู้ๆ น้ำเชื่อที่ตาเห็นค่ะ พี่พาร์ยื่นมือขวามาหน่อย”

คนโดนเรียกเลิกคิ้ว ทำตามที่บอกโดยดีด้วยแววตาสงสัยเล็กๆ น้ำจับมือผมยื่นไปเทียบใกล้ๆ ควักมือถือมากดถ่ายรูปทันที รอยยิ้มพึงพอใจมาก ผมได้แต่ชักมือกลับมากุมขมับ รู้สึกถึงแรงกระตุกที่ชายเสื้อก็หันไปมอง เจอดวงตากลมโตของเจ้าตัวเล็กมองมาอย่างสงสัย

“กำไลคู่คืออะไร?”

ไม่ทันตอบ ยัยน้ำก็ตอบแทนผมที่กำลังอ้ำอึ้ง “เหมือนแหวนคู่ไง”

เจ้าตัวเล็กกระพริบตา “แหวนคู่คืออะไร?”

น้ำอดทนอธิบาย “ก็เหมือนแหวนที่พ่อกับแม่ใส่ติดตัวไงเล่า”

เจ้าตัวเล็กกระพริบตาปริบๆ ท่าทางยังไม่เข้าใจ ยัยน้ำกรอกตาไปมา ตัดสินใจเมินน้อง หันไปกรี๊ดกร๊าดกับเบอร์ดี้แทน

“พี่…”

ผมตัดบทระหว่างลูบหัวน้องคนเล็ก “เอาไว้อันโตแล้วจะเข้าใจเอง เดี๋ยวพี่มานะ” พูดจบผมก็ลุกขึ้น รีบเดินตามหาพ่อ เจอตัวอยู่แถวห้องนั่งเล่น

“ลูกชายเราคบกันแล้ววะแทน…ไม่มั่วโว้ย เห็นตำตาว่าใส่กำไลคู่กันซะด้วย…อยากเห็นก็มาบ้านกูสิ กำลังกินข้าวกันอยู่…หือ วันนี้ลูกกูไปบ้านมึง?...เรอะ สงสัยจะเป็นกับข้าวแบบเดียวกับบนโต๊ะบ้านกูล่ะมั้ง ฮ่าๆๆ”

ผมค่อยๆ ย่องจนไปยืนข้างหลังพ่อ แล้วกระซิบเสียงเหี้ยมด้วยประโยคเด็ดที่แม่เคยบอกว่าทำพ่อร้องลั่นโรงหนัง “อยากไปทัวร์นรกด้วยกันไหมครับ”

“แว้กกกก!”

พ่อทำมือถือตก ผมรีบก้มไปเก็บกดตัดสาย แล้วยืนกอดอกมองพ่อลูบอกปลอบขวัญตัวเองอยู่

…บางทีโรคกลัวผีคงเป็นโรคทางกรรมพันธุ์

“เล่นอะไรบ้าๆ เกิดพ่อตกใจจนช็อกขึ้นมาทำไง”

“ถ้าพ่อไม่เลิกโทรไปบอกคนนู้นคนนี้ ผมจะทำให้พ่อสยองขวัญฝันร้ายสักอาทิตย์”

“เฮ้ย! พ่อแค่ดีใจเองนะ”

ผมย่นคิ้ว “มีบ้านไหนดีใจที่ลูกชายคบผู้ชายด้วยกันเหมือนพ่อบ้าง หรือว่าไปพนันเรื่องผมมาอีกแล้ว”

คนฟังเลิกคิ้ว “พี่ชายของพ่อยังคบผู้ชายเลยนะลูก”

เบี่ยงประเด็นชัดๆ ผมแยกเขี้ยวใส่พ่อ “ไปพนันอะไรกับใครมา!”

“ก็…กับลุงของลูกไง”

ลุงนิก? ผมขมวดคิ้ว “พนันอะไร”

“เรื่องของผู้ใหญ่ ไม่ต้องสนใจหรอก นี่พ่อโทรไปบอกลุงของลูกเป็นคนแรกเลยนะ”

“พ่อ!!”

“ไม่เห็นต้องอาย ลูกแค่มีแฟน แถมยังพาแฟนมาแนะนำตัวถึงบ้านซะด้วย”

“มันไม่ใช่!”

“ไม่ก็ไม่” พ่อโอบคอผม ดึงตัวไปด้วยกัน “ไปกินข้าวกันเถอะ”

 พ่อไม่ฟังผมเลยนี่หว่า!

ผมชักปวดหัวตงิดๆ นี่มันงานเข้าชัด!!

-------------

วันอาทิตย์ผมกับพาร์ต้องไปมหาลัย เพราะนิติมีนัดประชุมด่วนตอนสิบโมง ผมแยกกับพาร์ที่ตึกนิติ เพราะต้องไปหาพี่ดินที่ห้องสโมฯ ก่อน

…ตั้งแต่ เอ่อ นั่นนะ ผมกับพาร์คุยกันนับคำได้ โดยเฉพาะตอนอยู่กันตามลำพังบรรยากาศจะกระอักกระอวนเป็นพิเศษ แบบว่ามันขัดเขินแปลกๆ

ผมสะบัดความคิดในหัวทิ้ง คว้าลูกบิดเปิดประตูห้องสโมฯ สบตากับพี่ดินปุ๊บก็โดนถามปั๊บ

“เป็นอะไร?”

แวบแรกผมสะดุ้ง เกือบนึกว่าโดนอ่านใจ แต่พอตั้งสติได้ก็ทำหน้าเซ็งจิตใส่ พูดกลบเกลือนอิงกับความเป็นจริง “พี่เห็นขอบตาหมีแพนด้าก็น่าจะรู้แล้วว่าผมนอนไม่พอ”

“เพราะเห็นถึงได้ถามน่ะสิ เครียดเรื่องสะใภ้คณะ?”

ผมส่ายหน้า แอบนึกโล่งใจที่พี่แกไม่ได้นึกสงสัยเรื่องอื่น ปากก็ตอบคำถาม “คนนอนน้อยก็ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับเรื่องเครียดหรือไม่เครียดสักหน่อย”

“แล้วไปทำอะไรมา?”

กัดไม่ปล่อยจริงๆ ผมพ่นลมหายใจเบาๆ “เมื่อคืนผมโดนผู้ปกครองอบรมผ่านวีดีโอคอลมาน่ะสิ ฝ่ายนั้นไม่สนใจเวลาที่ต่างคนละซีกโลก จะหลับก็ไม่ได้ต้องตั้งใจฟังอย่างเดียว กว่าผู้ปกครองพอใจยอมปล่อยผมไปนอนก็เกือบเช้าแล้ว”

แววตาพี่ดินเปลี่ยนจากเป็นห่วงเป็นขบขันทันที “ไปสร้างเรื่องให้ผู้ปกครองอารมณ์เสียมาล่ะสิ”

ผมเบ้ปาก ลุงนิกที่ไม่มีทากะซังอยู่ใกล้ๆ รับมือโคตรยาก ผมเลยรับเละอยู่คนเดียว แถมยังโดนกรอกหูมาอีกสารพัดอย่าง รู้ทั้งรู้ว่าลุงนิกแค่พูดขู่ให้กลัว แต่พอผมคิดตามเป็นบางเรื่องก็แอบกลัวจริงๆ โดยเฉพาะเรื่องบทบาทบนเตียง…ผมนึกถึงสภาพทากะซังหลังผ่านศึกแล้วชักหน้าซีด นี่ขนาดผ่านศึกมายี่สิบกว่าปีแล้วแท้ๆ ยังไม่นับกองเลือดเปิดซิงวันนั้นของไอ้เด็นอีก ขนาดคนทำอย่างไอ้ยำยังตกอกตกใจ แล้วคนเสียเลือดเล่า!

ด้วยความที่กลัวมาก เลยถามลุงสั้นๆ อย่างขึงขัง “ถ้าทีจะรุกต้องทำยังไง”

ลุงนิกเงียบไปนาน กว่าจะถอนหายใจให้ได้ยิน แถมยังตอบคำถามได้ทิ่มแทงใจสุดๆ

[ถ้าทีรุกเป็น และไปทางนี้รอด ลุงคงไม่บ่นยาวเหยียดให้ฟังแบบนี้หรอก]

“ดูถูกที!”

[แน่นอน ถ้าลุงดูไม่ถูกจะเลี้ยงเรามาได้ไง ฟังลุงนะ ถ้าทีคบเจ้าเด็กนั่นก็ไม่แคล้วโดนจับกด อย่าพึ่งเถียง ลุงดูรู้ เพราะเด็กนั่นเป็นประเภทเดียวกับลุง ส่วนทีเป็นประเภทเดียวกับทากะชัดๆ]

“ไหนลุงบอกว่าเคยเกือบโดนทาจังพลิกกลับไง งั้นทีก็มีสิทธิ์ดิ”

[งั้นลุงบอกความลับอะไรให้ฟัง ได้ยินแล้วก็เหยียบให้มิดล่ะ]

ผมพยักหน้าหงึกๆ ตั้งใจฟังเต็มที่

[คู่อื่นเป็นไงไม่รู้ แค่คู่ของลุงมันอยู่ที่แรงใจ อย่างกรณีทากะ ถ้าคิดเป็นฝ่ายรุกจริงจัง ลุงคงสู้ไม่ได้หรอก]

ผมกระพริบตา “ทาจังยอมเป็นฝ่ายรับง่ายๆ เลยเหรอ”

[ใครบอก! มีสู้ชิงตำแหน่งกันอยู่แล้ว เพียงแต่ใจทากะแปดสิบเปอร์เซ็นต์คิดรุก ที่เหลืออีกยี่สิบคิดว่ายังไงก็ได้ไง ลุงเลยชนะในเสี้ยวสุดท้าย เพราะลุงไม่คิดจะรับร้อยเปอร์เซ็นต์ เข้าใจที่ลุงบอกไหม]

“อ่าฮะ แล้ว…”

ลุงนิกพูดขัดผมซะก่อน [เจ้าเด็กนั่นไม่คิดรับเหมือนกัน ส่วนที…เหมือนทากะไม่มีผิด แรงใจไม่ถึงแบบนี้ยังไงก็เห็นแววแพ้มากกว่าชนะ เพราะงั้นมาฟังลุงสั่งสอนต่อซะดีๆ แล้วนำไปปฏิบัติด้วย]

แล้วผมก็ไม่มีโอกาสได้พูดขัดอีกเลย แม้ใจอยากบอกแทบตายว่าผมกลัวจะเป็นรับ จนเครียดจะแย่อยู่แล้วก็ตาม

ผมหลุดจากภวังค์เพราะแรงเขย่าตัว พี่ดินมองผมอย่างไม่แน่ใจ

“ถ้าไปประชุมกับพี่ไม่ไหวก็ไม่เป็นไร อยู่นอนพักที่ห้องสโมฯ ก่อนก็ได้”

ผมส่ายหน้า “ไม่เป็นไรพี่ ผมยังไหว”

“แน่นะ? อย่าไปล้มโครมตอนพี่กำลังประชุมคณะล่ะ”

ผมพยักหน้า แต่พี่ดินก็ยังไม่วางใจ พอพวกผมไปถึงลานใกล้ตึกคณะอันเป็นที่นัดหมาย พี่ดินก็เรียกพาร์ให้มารับผมไปนั่งด้วย เลยโดนปีหนึ่งยันปีสี่ส่งเสียงโห่แซวจนผมกับพาร์นั่งลงถึงได้พากันเงียบ รอฟังพี่ดินเปิดประชุมด้วยหัวข้อที่พอจะรู้กันอยู่ เนื่องจากอาทิตย์ที่ผ่านข่าวลือมีไม่น้อย แต่ไม่มีใครรู้ว่าจริงเท็จแค่ไหน

“สวัสดีเพื่อนและน้องๆ ชาวนิติครับ คิดว่าคงทราบข่าวกันแล้วว่าสงครามสายน้ำในปีนี้กำลังเกิดปัญหาใหญ่ เนื่องจากภัยแล้งที่เกิดขึ้นเกือบทำให้โดนทางมหาลัยสั่งยุติกิจกรรมนี้…”

เสียงฮือฮาดังกระหึ่ม ก่อนค่อยๆ ซาลงเพื่อรอฟังพี่ดินพูดต่อ

“แต่หลังจากส่งตัวแทนไปเจรจาต่อรองหลายครั้ง ในที่สุดก็ได้รับการยินยอมให้จัดกิจกรรมนี้ได้โดยจะต้องจำกัดปริมาณน้ำโดยรวม และมีระยะเวลาสิ้นสุดกิจกรรมเร็วกว่ากำหนดนั่นคือหกโมงเย็นของวันแรก”

“อะไรกัน แบบนี้งานปีนี้ก็กร่อยน่ะสิ”

สงสัยพี่ดินจะได้ยินคนบ่น ถึงได้พูดต่อว่า “แต่หลังสงครามสิ้นสุด เรายังมีอีกกิจกรรมพิเศษในช่วงเวลากลางคืนรออยู่ เริ่มตั้งแต่ฟ้ามืดจนถึงห้าทุ่ม ธีมของงานคือแสง หัวข้อคือแสงแห่งความประทับใจ”

มีพี่ผู้หญิงคนหนึ่งยกมือถาม “แล้วผู้หญิงสามารถเข้าร่วมได้ถึงกี่โมงคะ?”

“ได้ถึงห้าทุ่มเช่นเดียวกัน เพราะหลังจากนั้นทุกคนต้องกลับกันหมด ปีนี้ไม่มีการค้างคืนในมหาลัย แล้ววันอาทิตย์ถึงจะมาช่วยกันเก็บกวาดสถานที่”

“ขอถามได้ไหมครับว่าจำกัดปริมาณน้ำโดยรวมยังไง?”

“ใช้ถังทรงสี่เหลี่ยมลูกบาสก์ขนาดใหญ่จุน้ำได้ถึง 1,000 ลิตรต่อหนึ่งคณะ คณะเราจะมีคนเฝ้าคอยดูแลและจดบันทึกการเบิกน้ำตลอด โดยจะแบ่งให้ชั้นปีละ 250 ลิตร บริหารจัดการกันเอาเอง หากเบิกครบแล้วจะไม่สามารถเบิกได้อีก”

“แล้วจะรู้ได้ไงว่าเบิกไปเท่าไหร่แล้ว?”

“จะมีแจกแกลอนน้ำขนาดหนึ่งลิตรให้ปีละสามใบ เอาแกลลอนหนึ่งใบมาใส่น้ำนับเป็นหนึ่งครั้ง สรุปคือแต่ละชั้นปีสามารถเบิกน้ำได้ 250 ครั้งต่อแกลอน มีใครสงสัยอะไรอีกไหมครับ”

เสียงซุบซิบดังกระจายไปทั่ว แต่ละชั้นปีมีคนเป็นร้อย 250 ลิตรจึงถือว่าไม่ได้เยอะ การบริหารจัดการน้ำที่มีอยู่อย่างจำกัดเป็นเรื่องสำคัญมากจริงๆ

“งั้นสงครามคราวนี้อาจมีเรื่องแย่งชิงน้ำด้วยสิครับ”

พี่ดินพยักหน้า “มีแน่นอน เพราะน้ำเป็นกระสุน หากน้ำหมด มีแต่ปืนไร้กระสุน แพ้เห็นๆ”

เสียงฮือฮาดังขึ้นอีกครั้ง รอจนเสียงเบาลงพี่ดินก็พูดต่อ

“ถือเป็นเงื่อนไขใหม่ของกิจกรรมคราวนี้ และแต่ละคณะจะได้รับแจกแกลอนหนึ่งลิตรเพียงสิบสองใบเท่านั้น แน่นอนว่าคงไม่มีใครบ้าขโมยแกลอนเปล่า ดังนั้นต้องระวังโดนฉกน้ำหายไปพร้อมแกลอนด้วย”

หลังปล่อยให้ผู้คนพูดคุยปรึกษาสักพัก พี่ดินก็ส่งเสียงเรียกให้กลับมาฟังกันก่อน

“ผมขอพูดถึงเรื่องกิจกรรมแสงแห่งความประทับ ทางที่ประชุมรวมทุกคณะมีมติให้แต่ละคณะสร้างผลงานหนึ่งชิ้นให้คนที่เข้าไปดูหรือเล่นกับมันประทับใจ แต่เนื่องจากเวลาของเรามีน้อย ผมจึงขอให้ทุกคนลองไปคิดไอเดียเขียนใส่กระดาษหรือพิมพ์มาก็ได้ แล้วนำมาหย่อนลงกล่องในห้องสโมฯ ภายในห้าวันของสัปดาห์นี้ สัปดาห์หน้าผมจะเปิดให้โหวตไอเดียที่บอร์ดหน้าห้องสโมฯ เป็นเวลาสามวัน หลังประกาศผล คงต้องให้ทุกชั้นปีช่วยกันสร้างผลงานจนแล้วเสร็จให้ทันวันกิจกรรม มีใครอยากถามอะไรเพิ่มไหมครับ?”

“แสงที่ว่านี้คืออะไรก็ได้เหรอครับ?”

“คือทางมหาลัยอยากให้ประหยัดไฟภายใน ม. เหมือนกันครับ” พี่ดินพูดอย่างลำบากใจ “บางทีเราคงใช้ไฟฟ้าของมหาลัยไม่ได้ และโดนสั่งห้ามเล่นไฟเด็ดขาด เพราะอาจเกิดเหตุไม่คาดฝันจนเกิดไฟลุกลามได้”

“งั้นก็ต้องใช้พวกไฟสำรองจากแบตเตอร์รี่”

“พวกแท่งเรืองแสงสินะ”

“สีเรืองแสงก็ไม่เลว”

หลายเสียงงึมงำ สักพักพี่ดินก็ฝากบอกให้ลองเก็บไปคิดกันมา

การประชุมดำเนินต่อไป ที่เหลือเป็นเรื่องยิบย่อยอื่นๆ ภายในคณะนิติเอง ผมอ้าปากหาวแล้วหาวอีก สุดท้ายต้านทานความง่วงไม่ไหว เผลอสัปหงกไปจนได้ แต่ก่อนจะหลับสนิทเหมือนมีคนจับหัวผมเอนหาที่พิง ได้กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มหอมๆ ด้วยยิ่งทำให้นึกถึงหมอนที่บ้าน พอขยับหัวให้เข้าที่ได้ปุ๊บผมก็ปิดสวิตซ์ตัวเองทันที

############

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: - ชลนที - [บทที่ 47] P.17 (17/03/2017)
«ตอบ #485 เมื่อ17-03-2017 21:34:33 »

พาร์ ความรู้สึกไวมาก
แค่ปากแตะปาก วิ่งเข้าห้องน้ำเลย
ขำพ่อ มีการอวดลูกชายมีแฟนด้วย
อวดใครไม่อวด อวดลุงนิก  :katai1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: - ชลนที - [บทที่ 47] P.17 (17/03/2017)
«ตอบ #486 เมื่อ17-03-2017 22:04:24 »

 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[



 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
Re: - ชลนที - [บทที่ 47] P.17 (17/03/2017)
«ตอบ #487 เมื่อ17-03-2017 22:06:08 »

 :pig4:

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
Re: - ชลนที - [บทที่ 47] P.17 (17/03/2017)
«ตอบ #488 เมื่อ17-03-2017 23:05:36 »

โอยยย ดีต่อใจ

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
Re: - ชลนที - [บทที่ 47] P.17 (17/03/2017)
«ตอบ #489 เมื่อ18-03-2017 02:14:32 »

ใกล้เข้ามาอีกนิด คิดว่าไม่นาน อิอิ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: - ชลนที - [บทที่ 47] P.17 (17/03/2017)
« ตอบ #489 เมื่อ: 18-03-2017 02:14:32 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: - ชลนที - [บทที่ 47] P.17 (17/03/2017)
«ตอบ #490 เมื่อ20-03-2017 00:09:12 »

ขำพ่อที มีความอวด 55555555

ออฟไลน์ plugie

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: - ชลนที - [บทที่ 47] P.17 (17/03/2017)
«ตอบ #491 เมื่อ20-03-2017 13:39:45 »

ชอบทุกตัวละครเลย น่ารักๆ

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
Re: - ชลนที - [บทที่ 48] P.17 (22/03/2017)
«ตอบ #492 เมื่อ22-03-2017 14:15:50 »

บทที่ 48

“มึงจะรับเลี้ยงลูกแมวนั่น!”

“แค่คิด แล้วมึงจะโมโหทำไม”

“กูไม่ให้เลี้ยง!”

“กูก็ไม่ได้เลี้ยงเอง! จะให้น้องอันต่างหาก!”

ผมกับพาร์ยืนเถียงกันแถวลานจอดรถกลางแสงอาทิตย์อัสดง โดยมีพยานเดินไปมา เลี้ยวมองตามเสียงที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ของพวกผม ส่วนเจ้าเหมียวในหัวข้อ ป่านนี้คงนอนกลิ้งเกลือกตากแอร์เย็นช่ำอยู่ในห้องสโมฯ นิติ

“แมวนั่นมาตั้งสี่วันแล้ว ทำไมมึงพึ่งคิดอยากเลี้ยง?”

ผมชะงักกับคำถามพาร์ เผลอนึกถึงตอนพักเที่ยง…

-------------

แค่ผมเดินถือกล่องขนมที่พึ่งได้มาสดๆ ร้อนๆ เข้าห้องสโมฯ รุ่นพี่ทั้งหลายก็รีบหาข้ออ้างหนีออกจากห้องทันที ส่วนใหญ่ยกเรื่องงานมาบังหน้าทั้งนั้น เหลือแค่ท่านประธานที่ต้องจัดการพวกเอกสารอยู่ในห้อง

พี่ดินเปรยตามองกล่องขนมแวบเดียวก็เอาแต่ก้มหน้ามองเอกสาร “อีกแล้วเรอะ”

ผมยิ้มแห้งให้พี่ดิน

“ถ้าจะกินเอาไปกินข้างนอก” พี่ดินสั่งเสียงเฉียบ

พี่ดินไม่ใช่พวกเกลียดของหวาน แต่หลังจากต้องกินติดต่อกันสี่วันคงเริ่มเอียนของหวานแล้ว ผมก็ไม่ต่างกันหรอก คิดพลางพ่นลมหายใจออกมา

‘ของจีบ’ วันนี้เป็นของโปรดผมเอง เพราะเมื่อวานผมยืนยันเสียงหนักแน่น ถ้ามันให้ขนมที่มีครีม หรืออย่างอื่นมา ผมจะไม่รับ เถียงกันอยู่ตั้งนานแบบไม่ได้ข้อสรุป แต่วันนี้…

ผมมองของในมือ เป็นคุกกี้ใส่ขวดโหลทรงสูง และใส่อยู่ในกล่องกระดาษทรงสูงอีกที

หมายความว่าผมเถียงชนะใช่ไหม?   

คิดถึงตรงนี้ก็แอบสงสัย ปกติพาร์ทำขนมตามใจผู้กิน แล้วทำไมหลายวันที่ผ่านมาถึงทำตามใจคนทำก็ไม่รู้ ผมว่ามันแปลกๆ นะครับ แม้ว่าผู้เริ่มต้นลั่นระฆังให้พาร์ทำขนมให้กินจะเป็นผมก็ตาม

ย้อนกลับไปเมื่อสี่วันที่แล้ว หลังประชุมนิติเสร็จ พาร์ก็ขับรถมาส่ง ช่วยผมติวเลขให้น้องๆ จนอยู่ยาวถึงเวลาอาหารเย็น นั่งเล่นบ้านผมต่ออีกสักพักถึงได้พาเบอร์ดี้กลับ หลังจากนั้นแค่ครึ่งชั่วโมงก็ส่งข้อความไลน์หาผม คุยเป็นพักๆ ผมก็ทำนู้นทำนี่จนถึงเวลาอาบน้ำเตรียมเข้านอน จัดการตัวเองเรียบร้อยก็มานอนกลิ้งบนเตียงพิมพ์โต้ตอบกับพาร์ยาวๆ จู่ๆ พาร์ก็ถามขึ้นมา

PAR: ว่าแต่ตอนนี้สถานะของเราคืออะไร

ผมครุ่นคิด

TEE: คนจีบกับคนถูกจีบ?
PAR: สติกเกอร์หัวเราะ
PAR: แต่สำหรับกู เหมือนเรากำลังดูใจมากกว่า

ผมชะงัก ก่อนกดพิมพ์ตอบ

TEE: หมายถึงเดตแบบฉบับมึงอ่านะ
PAR: ไม่ใช่ มากกว่านั้นอีกหนึ่งขั้น แต่ยังไม่ใช่แฟนสักที เมื่อไหร่มึงจะตอบรับครับ?

ผมเม้มปาก เงียบอยู่นานถึงพิมพ์ตอบ

TEE: รีบร้อนไปไหน มึงพึ่งเริ่มจีบเอง
PAR: ก็แค่ถาม เผื่อมึงจะใจอ่อน

ผมพ่นลมหายใจโล่งอกที่พาร์ไม่ได้เร่งรัดในเรื่องนี้ เป็นแฟนกันผมไม่กลัวหรอก แต่หลังตกลงเป็นแฟนสิที่น่ากลัว ลุงนิกยังบอกเลยว่าสมัยวัยรุ่นจ้องจะจับแฟนกินอยู่ทุกวี่ทุกวัน ถ้าไม่อยากโดนจับกินในเร็วนี้ อย่ารีบตอบรับเป็นแฟนเด็ดขาด ผมเชื่อครับ (หลังจากแอบโทรไปถามยืนยันจากทากะซังมาแล้ว) และได้คำแนะนำจากทากะซังเพิ่มว่าถ้าไม่อยากก็อย่าเปิดช่องให้ว่างง่ายๆ และยังย้ำแล้วย้ำอีกว่ารอให้อายุยี่สิบก่อน

…ทากะซังก็หวงผมเหมือนกันนะครับ ถึงจะไม่ออกนอกหน้าเท่าลุงนิกก็เถอะ

PAR: ที? เงียบไปเลย หลับแล้วเหรอครับ?
TEE: ยัง กำลังคิดคำตอบให้อยู่
PAR: อ้อ แล้วคิดได้ยัง

ผมพิมพ์ตอบไปทันที

TEE: จะถามมาอีกกี่รอบ กูก็ไม่มีคำตอบให้หรอกวะ
PAR: นี่กูต้องไล่ต้อนให้มึงจนมุมก่อนใช่ไหม มึงถึงจะยอมตกลง
TEE: 555 แล้วแต่มึงสิ กูให้สิทธิ์มึงจีบเต็มที่แล้วนี่

ฝ่ายพาร์หายไปพักหนึ่ง จนผมจะวางมือถือลงแล้ว คำตอบก็มา

PAR: กูก็จะใช้สิทธิ์ที่ได้มาให้เต็มที่เหมือนกัน

ก็…เป็นคำตอบที่ดูธรรมดา แต่เมื่อนึกถึงวิธีการจีบของมัน ผมแอบรู้สึกผวาเล็กๆ ล่าสุดพึ่งเสียจูบให้มันไปเมื่อวาน แค่คิดถึงเรื่องนั้นหน้าผมก็ร้อนผ่าว จนต้องคิดเรื่องอื่นเร่งด่วน คิดไปกวาดมองรอบห้องไป สายตาก็สะดุดเข้ากับกล่องกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ

อ้าว ผมลืมเอาไปให้นี่หว่า ผมรีบพิมพ์บอก

TEE: ของขวัญปีใหม่ของมึงยังอยู่บ้านกูอยู่เลย
PAR: ก็กูให้มึงแล้วนี่
TEE: กูหมายถึงกระเป๋าตังค์!
PAR: อ้อ
TEE: พรุ่งนี้จะเอาไปให้
PAR: จะบุกถิ่นเลียนแบบเหรอ

ผมแยกเขี้ยวใส่หน้าจอ แบบที่มันให้กำไลผมอ่ะนะ ไม่มีทาง!!

TEE: เรื่องสิ กูจะให้มึงแบบปกติ!

ขอย้ำอีกประโยคเหอะ

TEE: เหมือนคนทั่วไปให้ของกัน!
PAR:  ครับๆ ขอแค่เป็นของจากมึง กูก็ดีใจแล้ว

นับวันมันยิ่งปากหวาน แรกๆ ก็ขนลุกอยู่หรอก แต่พอได้ยินบ่อยเข้าผมชักเริ่มชิน

PAR: พรุ่งนี้ไปมหาลัยด้วยกันไหม เรียนตึกด้วยกันทั้งเช้าทั้งบ่าย
PAR: เวลาเข้าเรียนตอนเช้าก็ตรงกัน และกูจะขับรถรับส่งให้เอง
TEE: …ถ้ามึงไม่คิดว่าตัวเองลำบาก กูก็โอเค
PAR: จีบมึงลำบากกว่าอีก

ผมหัวเราะขำ แต่อีกใจก็แอบรู้สึกเห็นใจไม่น้อย เลยพิมพ์ข้อความส่งไป

TEE: เห็นแก่ความลำบากของมึง เดี๋ยวกูไปรับ
TEE: จอดแค่หน้าบ้าน ไม่แวะเข้าบ้านมึงนะ
PAR: ตกลง! พรุ่งนี้เจอกันครับ
TEE: อือ

PAR: ไม่บอกฝันดีเหรอ?
TEE: ถึงกูไม่บอก มึงก็คงฝันดีอยู่แล้ว
PAR: งั้นมึงอย่าฝันร้ายล่ะ แต่ถ้าฝันร้ายล่ะก็อย่าลืมคิดถึงกู แล้วมึงจะฝันดี

โอ้โห…มุขจีบของมันหวานเลี่ยนเป็นบ้า ผมเม้มปาก ก่อนพิมพ์โต้

TEE: ขอโทษนะ ช่วยใส่ความหวานของมึงลงขนมเถอะ กูอยากกินมาก
PAR: จะดีเหรอ มึงคงเป็นโรคเบาหวานก่อน
TEE: ก็ช่วยใส่น้ำตาลให้มันพอดีๆ แบบที่กูชอบสิ
PAR: ได้ครับ^^

ผมรู้สึกเอะใจว่าเราอาจจะคุยกันคนละเรื่อง เลยย้ำไปอีกที

TEE: กูพูดถึงขนมนะ
PAR: ขนมก็ส่วนขนม พรุ่งนี้จะเอาไปให้
PAR: อยากได้ขนมอะไร ไม่สิ อยากได้ขนมในหน้าไหนครับ?

คำถามของพาร์ทำให้ผมนึกถึงมินิ โฟโต้บุ้คทันที มันไม่มีหมายเลขหน้าสักหน่อย สงสัยต้องนับหน้าเอาเอง แต่…

TEE: อยากได้คุกกี้

พาร์เงียบไปนาน ก่อนจะส่งสติกเกอร์ถอนหายใจ พร้อมคำบ่นมา

PAR: มึงนี่ไม่เปลี่ยนไปเลยวะ
TEE: 555+

และนั่นคือจุดเริ่มต้นทำให้ผมได้ขนมวันละหนึ่งกล่อง และรับรู้ความหวานจากพาร์อย่างหนักหน่วงจนเข็ดไปอีกนาน ถ้าพรุ่งนี้มันทำครีมหวานเลี่ยมมาอีกล่ะก็ ผมจะ…จะหาเหยื่อ แอ่ม…คนช่วยกิน เอ่อ คงไม่ใช่พี่ๆ ห้องสโมฯ ผู้มีพฤติกรรมเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ (ตอนแรกแย่งผมกินเกือบหมด เข้าวันที่สามก็หยิบไปชิ้นสองชิ้น และวันนี้ถึงขั้นหนี)

สมองเริ่มนึกถึงเพื่อนพ้อง เพื่อนคณะก็ไม่ค่อยได้คุย เพื่อนเก่าแก่ก็เงียบหาย

…เหมือนคนโดนเพื่อนทิ้งเลยวะ

“แล้ววันนี้ได้ขนมอะไรมา?”

ผมหยุดคิด มองพี่ดินอย่างประหลาดใจ ไม่นึกว่าจะโดนถาม “คุกกี้ครับ…” กำลังจะชวนกินด้วยกัน แต่พี่ดินกลัยตะโกนลั่นซะก่อน

“คุกกี้!!” พี่ดินโบกมือไล่ “เอามันไปไกลๆ พี่!”

หือ?

ผมเอ่ยถามทันทีหลังเห็นปฏิกิริยาอย่างกับเจอของแสลง “พี่เกลียดคุกกี้?”

พี่ดินทำหน้าแปลกๆ ท่าทางไม่อยากพูดถึง แต่สุดท้ายก็ยอมเล่า

“ก่อนหน้านี้ไม่ แต่หลังงานลอยกระทง เหลือคุกกี้ที่เตรียมไว้ขายพอสมควร พี่พยายามติดป้ายประกาศแจก หรือเรียกคนทำมารับกลับคืน แต่ผลคือไม่มีใครโผล่หัวมาเอาสักคน ตอนแรกคนในสโมฯ ก็ช่วยกินอยู่หรอก แต่นานวันเข้าก็เหลือพี่กินอยู่คนเดียว ทุกคนอ้างเหตุผลว่าเพราะพี่คำนวณปริมาณสินค้าผิดพลาดจึงควรเป็นผู้รับผิดชอบ!”

เล่าถึงตรงนี้สีหน้าพี่ดินยิ่งแย่กว่าเก่า “ทุกวันต้องมีกาแฟพร้อมจานคุกกี้วางอยู่ตรงหน้า ต้องฝืนใจกินอยู่ทุกวันจนหมด ตอนนี้พี่เกลียดคุกกี้ไปเลย”

โธ่ แล้วก็ไม่บอก ถ้าผมรู้คงมาช่วยกินทุกวัน

“เมี้ยว!”

ผมก้มมองเจ้าตัวน้อยมีหูมีหางกำลังตะครุบขากางเกงผม  ถ้าให้จำกัดความควรเรียกว่า ลูกแมวสามสีเพศเมีย อายุไม่รู้ ประวัติ/ความเป็นมา: รุ่นพี่นิติขับลัดเลาะรถติดช้าๆ ได้ยินเสียงแมวก็เลยหันไปมอง เจอลูกแมวในกล่องเดินทางสัตว์เลี้ยงตกอยู่บนขอบเกาะกลางถนนไร้คนเหลียวแล ด้วยความเห็นใจเลยเก็บมาทั้งกล่อง แต่เพราะเอาเข้าห้องเรียนไม่ได้ เลยมาฝากไว้ที่ห้องสโมฯ ชั่วคราว

พี่คนนั้นก็ดีไปหาสาเหตุที่ลูกแมวน่าจะมีเจ้าของไปอยู่แถวนั้นจนพอสันนิฐานว่าเจ้าของแมวน่าจะเป็นคนขับรถจักรยานยนต์ที่ประสบอุบัติเหตุข้างทาง โดนห้ามไปโรงพยาบาลแล้ว แต่พอตามไปที่โรงพยาบาลกลับย้ายไปรักษาที่อื่น ที่ไหนก็ไม่รู้ มืดแปดด้าน แม้จะระดมเพื่อนพ้องช่วยกันตามหาเจ้าของแมวจนถึงวันนี้ก็ตาม

ผมรีบยกของในมือขึ้นเหนือหัว เอ่ยเสียงดุลูกแมว “อันนี้กินไม่ได้”

“มี้ๆ”

ไม่ฟังกันเลย ผมละกลัวขากางเกงนักศึกษาโดนเล็บแมวเด็กเกี่ยวเป็นรูจริงๆ

“สงสัยจะหิว” พี่ดินเดา

“น่าจะครับ เห็นหน้าผมที่ไหนร้องแต่จะกินตลอด”

ผมส่ายหน้า เดินไปวางกล่องขนมบนชั้นสูงๆ ที่ลูกแมวกระโดดไม่ถึง ปีนป่ายไปหาไม่ได้ แล้วอุ้มเจ้าตัวยุ่งที่ตอนมาแรกๆ เอาแต่นอนนิ่งไม่ยอมขยับไปไหนจนน่าเป็นห่วงถึงขั้นต้องพาไปตรวจร่างกาย ผลคือพกช้ำที่ลำตัวเล็กน้อย แถมคนพาแมวไปดันบอกหมอว่าเป็นแมวจรจัด หมอคำนวณอายุแล้วจับฉีดยาเลยครับ

ลูกแมวเลยมีอาการมึนๆ ซึมๆ อยู่สองวัน หลังจากนั้นก็ชักเริ่มออกลายซน จนพี่ดินต้องรีบประกาศว่าถ้าภายในอาทิตย์นี้หาเจ้าของไม่เจอ จะหาคนรับเลี้ยงใหม่แล้ว

“กลับมาแล้วจ้า ฮิเมะอยู่ไหนเอ่ย?”

ผมหันมองรุ่นพี่สาว หนึ่งในสมาชิกสโมฯ บุคคลแรกที่ตั้งชื่อให้แมว แถมยัง… เหล่มองลูกแมวที่วิ่งปรู๊ดไปหลบใต้ตู้ใกล้ๆ 

“อ้าว หลบไปอยู่ใต้ตู้หนังสืออีกแล้ว ออกมาเร็วเหมียวๆ”

ลูกแมวส่งเสียงขู่ใหญ่ อีกคนก็ไม่หวั่น จนพี่ดินที่มองมาสักพักทนดูไม่ไหวจนต้องเอ่ยปากดุ

“ก็เธอเล่นแรงไป แมวเลยกลัวเธอน่ะสิ” 

“แรงที่ไหน”

“พูดมาได้ อุ้มไม่ยอมวาง เด็กดิ้นหนีก็ตามไปจับมาอุ้มอีก เธอน่ะอยู่ห่างๆ ลูกแมวดีแล้ว”

“ก็เห็นแล้วมันอดอุ้มไม่ได้นี่”

“อุ้มมากเดี๋ยวเฉามือตายหรอก ถ้ารู้ว่าทนไม่ได้ก็มานี่ เอางานไปทำ”

“ดินนน!”

ผมปล่อยรุ่นพี่สองคนถกเถียงกัน หยิบถ้วยน้ำจิ้มกับช้อนมาเตรียมไว้ ฉีกซองอาหารแบบเปียกสำหรับลูกแมวออกมา (เห็นแช่ซองในน้ำอุ่น สงสัยพี่ดินเตรียมไว้ให้ล่ะมั้ง) พอได้กลิ่นของกิน เจ้าหัวฟูก็ยอมโผล่หน้าออกมา วิ่งพรวดมาถูตัวกับขาของผมไม่หยุด

“มี้ๆ”

“รู้แล้วๆ รอแปบหนึ่ง”

ผมรีบใช้ช้อนตักอาหารในซองใส่ถ้วย วางลงพื้นตรงหน้าให้ มาดมแปบเดียวก็กินใหญ่เลยครับ สงสัยจะหิวจริงๆ พอหมดก็เลียปาก ร้องขอเพิ่ม ผมก็ให้อีกช้อนพูนๆ ตัวแค่นี้กินไปเยอะหรอกครับ ที่เหลือก็มัดซองเก็บไว้ให้มื้อต่อไป

ผมเทน้ำเปล่าใส่ถ้วยน้ำจิ้มอีกใบวางใบใกล้ๆ แอบนึกสงสัยว่ามันเห็นผมเป็นทาสหรือเปล่า หิวทีไรชอบมึงมาหาผมเรื่อย ไม่สิ เวลาปกติก็วิ่งมาหาผม แต่ถ้าผมไม่อยู่ถึงค่อยไปหาพี่ดิน

“ที อย่ามัวมองแมว ไปประจำที่ได้แล้ว”

“ครับๆ” ผมผละออกมา เดินไปนั่งประจำที่คือหน้าคอม นั่งไม่ทันก้นร้อน เจ้าสี่ขามาแล้วครับ คราวนี้กางกรงเล็บจิกปีนขากางเกงขึ้นมาบนตักผม อ้าปากหาวหวอด เตรียมขดตัวนอน แต่ช้อนใต้หัวมันทัน ดึงทิชชู่มาเช็ดปากให้ก่อน ไม่งั้นกางเกงผมได้เลอะไปด้วยแน่นอน

พี่ดินเดินมาพร้อมสมุดงาน ก้มมองเจ้าลูกแมวที่หลับสบายไปแล้ว พลางเอ่ยถาม

“สนใจรับเจ้าเด็กนี่ไปเลี้ยงไหม”

“จะให้ผมไปเลี้ยงที่ไหนล่ะ”

“ที่บ้านไง”

ผมนึกถึงบ้านพ่อ บ้านทากะซัง จนมาถึงบ้านย่า ถ้าบ้านย่าน่าจะเลี้ยงได้ติดแต่ตอนนี้ไม่มีคนอยู่ บ้านทากะซังคงไม่ไหว ไปๆ มาๆ ระหว่างไทยกับญี่ปุ่นแบบนั้นคงไม่เหมาะกับการเลี้ยงสัตว์ สุดท้ายก็บ้านพ่อ…ไม่รู้จะยอมให้เลี้ยงหรือเปล่า แต่ถ้าให้เลี้ยง คนดีใจมากสุดคงเป็นเจ้าตัวเล็ก

…จะว่าไปจะถึงวันเกิดอันแล้วนี่น่า

ผมก้มมองลูกแมว สำรวจดูว่าโตพอเป็นเพื่อนเล่นให้เด็กกำลังจะหกขวบได้ไหม น่าจะพอไหว อันชอบสัตว์อยู่แล้ว ผมเคยเห็นน้องเล่นกับแมวที่โรงเรียนอนุบาล อ่อนโยนกับแมวจนผมอึ้ง ดังนั้นไม่น่ามีปัญหา

“ขอไปถามที่บ้านดูก่อนแล้วกันครับ”

“งั้นพี่ให้สิทธิ์ทีคนแรก”

“เฮ้ย แล้วเราล่ะ” รุ่นพี่สาวประท้วง

จะว่าไปผมยังจำชื่อพี่คนนี้ไม่ได้เลย จะถามตอนนี้คงไม่ไหวมั้ง รอฟังตอนโดนคนอื่นเรียกชื่อดีกว่า

“เธอไม่เหมาะจะเลี้ยงแมวหรอก บ้าคลั่งเกินไป ขนาดแมวยังกลัว”

พี่ดินเล่นตอกย้ำจนเพื่อนเถียงไม่ออก ส่วนผมทำตัวเสมือนเป็นอากาศ นั่งพิมพ์งานเงียบเชียบ

ปี4 เขาคุยกัน ปี1 อย่างผมไม่เกี่ยวครับ

-------------

(มีต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
Re: - ชลนที - [บทที่ 48] P.17 (22/03/2017)
«ตอบ #493 เมื่อ22-03-2017 14:18:50 »

บทที่ 48 (ต่อ)

“มึงยังฟังกูอยู่ไหม?”

ผมหลุดจากภวังค์ กระพริบตาเรียกสติกลับมา ก็เจอใบหน้าบูดบึ้งระยะประชิดกะทันหันจนตัวแข็งทื่อ ใบหน้าพาร์เฉียดผ่านหน้าผมไปหยุดที่ไหล่ ตามด้วยเสียงบ่นอย่างอารมณ์เสีย

“ตัวมึงมีแต่กลิ่นแมวบ้านั่น!”

หลังตั้งสติได้ ผมก็รีบผลักพาร์ออกแทบไม่ทัน กวาดมองอย่างเลิ่กลั่กไปรอบๆ แอบโล่งใจที่ไม่มีใครมายืนจ้องมอง ผมหันไปดุคนกำลังตรงยืนประจันหน้าทันที

“มึงช่วยสนใจสถานที่หน่อย นี่มันลานจอดรถในมหาลัยนะเฮ้ย!”

“แล้วไง ทำไมต้องเลี้ยงแมวนั่น”

วกกลับมาเรื่องแมวอีกแล้ว ผมถอนหายใจเซ็งๆ แต่ก็ยอมตอบคำถาม

“จะถึงวันเกิดอันแล้ว กูเลยว่าจะให้แมวเป็นของขวัญวันเกิดน้อง”

“ทำไมต้องแมว แมวเป็นๆ ไม่ใช่ตุ๊กตา”

“กูอยากให้เจ้าตัวเล็กมีประสบการณ์โตมากับสัตว์เลี้ยงเหมือนกูไง”

“ฮะ!”

ผมไม่สนใจเสียงอุทาน อธิบายต่อ “และอยากให้อันได้ลองดูแลสัตว์สักตัวด้วยตัวเองดู กูมั่นใจว่าน้องทำได้ ในเมื่อโอกาสมาในช่วงเวลาเหมาะเจาะทั้งที กูเลยคว้าไว้”

“มึงคิดผิดแล้ว”

“…ผิดตรงไหน?” ผมรอฟังความเห็นพาร์อย่างตั้งใจ

“ตรงที่กูไม่อนุญาตไง”

“ฮะ!!” คราวนี้ตาผมอุทานบ้าง

“เดี๋ยวกูหาคนมารับเลี้ยงให้…”

“เดี๋ยวก่อน” ผมพูดขัด “มึงเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ลูกแมวจะมาอยู่บ้านกูนะ ไม่ใช่บ้านมึง!”

“กูไม่ได้เข้าใจผิด!”

ผมมองพาร์มึนๆ “งั้นมึงมีปัญหาอะไร?”

“เพราะมึงต้องช่วยน้องดูแลแมวไง”

“อาฮะ…แล้ว?”

“แมวนั่นติดมึงจะตาย!”

“แล้ว?”

“เป็นเพศเมียอีก ถ้าโตขึ้นมันมีลูกล่ะ มึงคงต้องเห่อลูกแมวใหม่ เวลาที่ควรเป็นของกูก็จะน้อยลง…”

ผมย่นคิ้วเข้าหากัน ฟังไปฟังมาเหมือนกับพาร์กำลัง…

“เดี๋ยวนะ นี่มึงกำลังหึงแมวเรอะ?”

“เออ!” 

ผมมองพาร์อย่างข้องใจมาก “นั่นแค่แมวนะ ลูกแมวตัวเล็กนิดเดียว มึงจะหึงทำบ้าอะไร”

“อีกหน่อยก็ไม่ตัวแค่นั้นแล้ว อนาคตแม่แมวชัดๆ”

“หยุ๊ดดดด!” ผมร้องขัดก่อนไปกันใหญ่ “มึงแค่คิดเป็นตุเป็นตะ อนาคตอาจไม่ใช่ก็ได้”

“กูแค่คาดเดาความเป็นไปได้…เอางี้ มึงจะเอาแมวนั่นเข้าบ้านก็ได้ แต่ตัวมึงต้องย้ายมาอยู่กับกู!”

“ฮะ!”

“ถ้าไม่อยากอยู่บ้านกู เราก็หาคอนโดใกล้มหาลัยแทนก็ได้”

 “กูไม่ได้อุทานเพราะเรื่องนั้น!”

“…ไม่เลว ไม่ต้องตื่นเช้าฝ่ารถติดมามหาลัย แถมอยู่ด้วยกันตามลำพัง”

มันเล่นพูดเองตอบเอง และเหมือนจะตัดสินใจไปแล้ว โดยไม่ถามกันสักคำว่าผมยอมไปอยู่ด้วยไหม 

“พาร์” ผมเรียกอย่างเหนื่อยใจ “แค่ลูกแมวตัวเดียว แถมไม่ใช่ของกูด้วยซ้ำ มึงจะจริงจังทำไม”

“นี่ขนาดไม่ใช่ มันยังติดมึงหนึบขนาดนี้ ถ้าใช่ขึ้นมาไม่ตามไปทุกทีเรอะ!”

ผมว่าเลิกคุยประเด็นนี้เถอะ…งี่เง่าเกินบรรยาย

หลังหนีขึ้นไปรอในรถ พาร์ตามมาที่หลัง แม้มันจะขับออกมานอกมหาลัยก็ยังบ่นไม่เลิก ผมเลยบอกปัดรำคาญ “ถ้ากูเอาแมวเข้าบ้าน วันที่สิบสี่เดือนหน้ากูจะไปเดตกับมึง พอใจยัง!”

“ไม่! ย้ายมาอยู่กับกู”

“มึงยังอยู่ในช่วงจีบกูอยู่เลยเหอะ” ผมทวงสิทธิ์ของตัวเอง “ถ้าไม่เอาเงื่อนไขกู ก็ไม่ต้องมาคุยเรื่องนี้กันแล้ว”

ผมไม่ได้หมายถึงแค่เรื่องแมว แต่หมายถึงเรื่องวันที่ 14 ด้วย ถ้าถามว่ามันเป็นวันสำคัญยังไง ผมบอกใบ้ให้ เพราะมันอยู่ในเดือนกุมภาพันธ์ไงล่ะ

“…ก็ได้” พอดีกับรถติดไฟแดง พาร์เลยหันมาจ้องผมด้วยแววตาจริงจัง “วันที่13 กับ 14 เดือนหน้า ทุกวินาทีของมึงต้องเป็นของกูคนเดียว!”

“ไม่เอาชั่วโมงกับนาทีด้วยเลยล่ะ จะได้ครบเซต!”

“ได้แบบนั้นก็ดี”

“กูประชดโว้ย”

“จะตกลงหรือไม่ตกลง!”

“เออๆ แล้วก็ไม่ต้องมาประท้วงเรื่องลูกแมวอีกนะ กูรำคาญ”

“…ก็ได้ ถ้ามึงยอมพูดคำว่าตกลง”

ผมกรอกตาไปมาอย่างเซ็งจัด “ตกลง! พอใจยัง!!”

“อือ”

พาร์กลับมาอารมณ์ดีอีกครั้ง ผมมองมันอย่างระแวง ความไม่แน่ใจปนกังวลวนเวียนอยู่ในใจ…พาร์ยิ่งเป็นพวกขุดดัก อำพรางหลุมซะแนบเนียนอยู่ด้วย

-------------

ผมรอถึงใกล้เวลานอน ค่อยเดินไปเคาะห้องพ่อกับแม่ปรึกษาเรื่องเลี้ยงสัตว์ รอไม่ได้ครับ วันเกิดเจ้าตัวเล็กกระชั้นชิดเข้ามาทุกที

“แมว?” พ่อกับแม่ทวนคำพร้อมกัน

“ครับ”

“จะให้อัน?” พ่อทวนอีก

“ครับ ผมอยากให้น้องอยู่กับสัตว์น่ะ อีกอย่างอันชอบพวกสัตว์จะตาย และผมคิดว่าน้องดูแลแมวได้”

“ไม่ไหวมั้งลูก แม่ว่าน้องเด็กเกินไป”

ผมยิ้มให้ความกังวลใจของพ่อแม่ “เดี๋ยวทีช่วยดูให้ด้วย”

“แล้วต้นไม้พ่อล่ะ”

“แมวตัวเดียวไม่ทำต้นไม้พ่อพังหรอกน่า”

“แล้วเรื่องขนแมวล่ะลูก กระจายเต็มบ้านนี่แม่ไม่ไหวนะ”

ผมนิ่งคิด “ถ้าอย่างนั้นทีจะจำกัดบริเวณให้แมวอยู่แถวห้องนั่งเล่นก็แล้วกัน”

พ่อกับแม่มองหน้ากัน ซุบซิบปรึกษากันอยู่นาน กว่าพ่อจะเป็นตัวแทนพูด

“ถ้าทีคิดว่าดีกับน้องก็ตามใจ แต่ได้แค่ตัวเดียวนะ แล้วต้องทำให้ได้อย่างที่ลูกบอกพ่อกับแม่ด้วย”

“ครับ”

หลังได้รับอนุญาต ผมก็เดินไปบอกน้ำต่อ น้องสาวชอบแมวอยู่แล้วไม่มีค้าน แต่มาทำหน้าม่อยตอนรู้ว่าแมวตัวนั้นกำลังจะเป็นของขวัญของใคร

“น้ำก็อยากได้เหมือนกันนะ”

“ถ้าขอพ่อแม่เลี้ยงเพิ่มได้ วันเกิดน้ำพี่จะหามาให้ตัวหนึ่ง”

“สัญญานะ” ยัยน้ำชูนิ้วก้อยขึ้น

ผมยิ้มขำยื่นมือไปเกี่ยวก้อยด้วย

-------------

วันรุ่งขึ้นผมบอกพี่ดินว่าจะรับเจ้าตัวยุ่งไปอยู่ด้วยในวันที่ 2 กุมภา แต่ถ้าหาเจ้าของแมวเจอก็ไม่เป็นไร

พี่ดินพยักหน้า ท่าทางโล่งใจที่มีทางออกเผื่อไว้ เพราะให้เลี้ยงที่ห้องสโมฯ ต่อก็ไม่ไหว เพราะกลางคืนต้องหาคนมานอนเป็นเพื่อนแมว ซึ่งไม่ค่อยมีใครรับอาสา (คนอาสา พี่ดินก็ไม่ให้ผ่าน) สมาชิกเลยโหวตให้ตัวพี่ดินนอนกับแมวแทน

อีกคนที่พอรู้ข่าวก็ทำหน้าไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้ปริปากพูดอะไร ขนาดโดนผมลากไปซื้อหนังสือเลี้ยงแมว เลยไปสำรวจราคาอุปกรณ์สำเร็จรูปต่างๆ ที่แมวหนึ่งตัวควรได้รับ ใช้เวลาหลายวัน พาร์ก็ไม่ได้บ่น แค่ระหว่างหัวคิ้วมีร่องลึกเท่านั้นเอง หลังจากดูจนทั่ว ผมก็ตัดสินใจประกอบกรงเอง ก็ได้พาร์นี่แหละเป็นลูกมือ ช่วยกันซื้อของช่วยกันประกอบ

ระหว่างเคลียร์พื้นที่สร้างกรงให้แมว ผมเลือกแบบทรงสูงครับ ชั้นล่างสุดผมกั้นเป็นสองส่วนด้วยตะแกรงสอดกระดาษลังกั้นปิดทั้งสองด้าน (กั้นทรายไปลงอาหาร และเผื่อเป็นที่ฝนเล็บ) ฝั่งซ้ายเป็นห้องน้ำ ส่วนฝั่งขวาไว้วางชามข้าว และขวดน้ำแบบแขวน ด้านในสุดเปิดเป็นช่องให้เดินเข้าออกสองพื้นที่ ส่วนด้านหน้าผมจงใจทำประตูเปิดปิดแยกกัน เวลาทำความสะอาดจะได้ง่ายหน่อย

เหนือห้องอาหารเป็นชั้นสอง สูงประมาณให้ลูกแมวกระโดดจากกระบะทรายขึ้นไปได้ ผมวางแผนปูหญ้าเทียมสำหรับสัตว์เลี้ยงให้ อ้อ วางกระถางหญ้าแมวเล็กๆ ไว้ให้ด้วย แต่ตอนนี้ไม่มีเลยต้องใช้เชือกฝ้ายพันไปก่อน แล้วหาผ้ามาปู

ระหว่างชั้นสองกับสามมีบันไดพันด้วยเชือกพาดและล็อกอย่างแน่นหนา ชั้นสามผมวางตะแกรงเป็นพื้นแค่ครึ่งซ้าย แล้ววางตะกร้าหวายมีเบาะนอนไว้ให้

“มึงจะเลี้ยงแมวในกรง?”

“เปล่า ให้อยู่แค่ตอนกลางคืนกับตอนไม่มีใครอยู่บ้าน นอกนั้นปล่อยวิ่งเล่นแถวนี้ บางทีอาจใส่สายจูงพาไปเล่นข้างนอกบ้าง”

ยิ่งฟังพาร์ยิ่งหงุดหงิด “หาคนอื่นมารับเลี้ยงเหอะ”

มันยังไม่เลิกพยายามเรื่องหาคนมารับเลี้ยง

“ไม่เอา”

“ดื้อ!”

ผมไม่โต้กลับ เพราะพอรู้ตัวเหมือนกัน

พาร์พ่นลมหายใจ ถามเสียงอ่อนลง “หลังทำเจ้านี่เสร็จแล้ว มึงจะไปซื้ออะไรต่ออีกไหม”

“เดี๋ยวไปดูห้องสโมฯ ก่อน ขาดอะไรค่อยซื้อเพิ่ม”

แว่วเสียงพาร์พึมพำ “ก็ยังดี”

อะไรดี??

หลังกรงสร้างเสร็จก็ตั้งเด่นเป็นสง่าให้คนในบ้านเห็นหมด แต่ละคนเมียงมองมาโดยไม่ถามอะไร ยกเว้น…

“นี่คืออะไร?” นิ้วเล็กๆ ชี้ใส่กรงทรงสูง แววตาเจ้าตัวเล็กงุดงงมาก

“อีกไม่กี่วัน อันก็รู้เอง”

“…ของอัน?”

ผมส่ายหน้ายิ้มๆ ให้ความฉลาดของน้อง อันเดาได้ว่าน่าจะเป็นของตัวเอง เพราะใกล้ถึงวันเกิดครับ

“ของเจ้าหญิงน้อยต่างหาก”

ผมไม่ได้โกหกนะครับ เจ้าตัวยุ่งของสโมฯ มีชื่อแล้ว เนื่องจากคนตั้งเรียกบ่อยมากจนคนทั้งสโมฯ เผลอเรียกตามเพราะชินหู ไปๆ มาๆ เจ้าตัวยุ่งก็จำได้ เรียกปุ๊บตอบสนองปั๊บ เลยได้ชื่อ ‘ฮิเมะ’ (แปลว่าเจ้าหญิง) ไปครอง 

“เจ้าหญิง?”

“เอาน่า ถึงเวลาพี่จะพามาดูใหม่”

แปบเดียวก็มาถึงวันที่ 2 กุมภา ผมออกจากบ้านช่วงสายๆ ตะเวนซื้อของที่เล็งไว้จนครบ (ซื้อก่อนไม่ได้ เพราะถ้าเก็บซ่อนแล้วอันไปเจอก็ไม่เซอร์ไพรส์สิ) ก่อนขับรถไปรับเจ้าเหมียว ไม่รู้เป็นโชคดีหรือร้าย พวกรุ่นพี่หาเจ้าของเก่าไม่เจอ พี่ดินเลยยกแมวให้ผมไปดูแลตามที่ตกลงกันไว้

ผมเข้าไปในห้องสโมฯ ก็เจอพี่ดินกำลังยืนทำหน้ากลุ้มใจพอดี

“มีปัญหาเหรอพี่?”

พี่ดินสะดุ้งนิดๆ “ทีเองเหรอ มาก็ดีแล้ว พี่จับฮิเมะใส่กล่องเดินทางไม่ได้ มันขู่แฟ่ๆ หางชี้ ตอนนี้หลบไปอยู่โน้น”

ผมมองตามนิ้วก็เห็นหางยาวสีขาวโผล่ออกมาจากใต้ตู้เอกสาร ลักษณะแกว่งหางแบบนี้ในหนังสือบอกว่าแมวกำลังอารมณ์ไม่ดี “สงสัยจะกลัวกล่องเดินทางมั้งพี่ อย่าลืมว่าก่อนโดนหิ้วมาที่นี่ ตัวมันเคยโดนกระแทกอยู่ในนั้น”

“แล้วจะพามันไปยังไงล่ะ”

“ผมซื้อแบบเป็นกระเป๋ามาเผื่อ” ชูกระเป๋าใส่สัตว์เลี้ยงในมือ “ถึงรูปร่างคล้ายกล่อง แต่มันนิ่มแบบนี้น่าจะหลอกล่อฮิเมะเข้าไปได้”

“จัดการเลย เดี๋ยวพี่ช่วยเอาของฮิเมะไปใส่รถให้ เอากรงด้วยไหม?”

ผมส่ายหน้า “ผมสร้างกรงให้เขาแล้ว”

“งั้นพี่จะทำไงกับกรงนี่ดีล่ะ” พี่ดินเปรยตามองกรงแมวชั้นเดียวในห้อง

“ให้คนอยากได้สิพี่”

คนฟังพยักหน้า ช่วยหิ้วถุงอาหารแมวกับถุงทรายออกไป ผมนั่งย่องๆ ร้องเรียกตัวยุ่ง 

“ฮิเมะ”

“มี้”

“ออกมาเร็ว”

ผมคุกเข่ากับพื้น ตบหน้าขาแปะๆ หางมุดหายไปใต้ตู้ ปรากฏแสงจากดวงตาขีดเดียวสีเหลืองนวล ท่าทางไม่ยอมออกมาง่ายๆ ผมเลยแกะขนมแมวที่เคยซื้อมาให้กินแกว่งไปมา สักพักมีจมูกแมวโผล่พ้นนอกตู้ออกมาดมฟุดฟิด ยิ่งดึงขนมออกห่างตู้ เจ้าเหมียวก็ขยับตามจนออกมาทั้งตัว ผมโยนขนมเข้าไปในกระเป๋าที่เปิดอ้ารอไว้ เจ้าลูกแมวสำรวจรอบกระเป๋าอย่างไม่แน่ใจ แต่ผมก็พยายามรออย่างใจเย็น พอฮิเมะเข้าไปกินขนมก็ค่อยๆ รูดซิบช้าๆ จนแมวเด็กรู้ตัวถึงรูดซิบปิดอย่างเร็ว   

“เมี้ยวๆๆ”

โวยวายใหญ่เลยครับ ขนาดหิ้วไปวางบนเบาะข้างคนขับก็ยังส่งเสียงไม่หยุด ผมบอกลาพี่ดินทันที เพราะก่อนกลับบ้านต้องพาฮิเมะไปให้หมอตรวจสุขภาพกับฝากอาบน้ำอีก

ผมขับรถถึงบ้านตอนเย็น เจอพาร์ยืนเปิดประตูรั้วให้ มันเหลือบมองแมวที่นอนนิ่งซึมตรงเบาะหน้าแวบหนึ่ง ก่อนช่วยผมขนของออกจากเบาะหลังโดยไม่พูดอะไร จนผมสะกิดนั่นแหละถึงยอมอ้าปากพูดด้วย

“มึงมาช้า น้องจะเป่าเค้กอยู่แล้ว”

“เค้กฝีมือมึง?”

“อือ”

ผมยิ้มแห้ง ยังรู้สึกเข็ดขนมหวานพาร์ไม่หาย “ทุกคนล่ะ?”

“อยู่ในครัวแล้ว”

ผมพยักหน้ารับรู้ อุ้มฮิเมะลงจากรถเดินตามหลังพาร์ที่หิ้วของนำไปก่อน ตอนนี้ข้างกรงเพิ่มชั้นวางของอีกหนึ่ง พาร์ช่วยเก็บของเข้าชั้นให้ ส่วนผมกำลังรูดซิบปล่อยให้เจ้าตัวยุ่งออกมา 

“…ไม่เห็นออกมาเลย” เสียงพาร์อยู่ด้านหลังผม ไม่รู้มายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

“ตอนมาถึงห้องสโมฯ แรกๆ ก็แบบนี้”

ผมบอกอย่างผู้มีประสบการณ์ ตัดสินใจเอาชามอาหารออกมาก่อน วางกระเป๋าเข้าไปด้าน ดูตัวล็อกแน่นหนาดีแล้วก็เอ่ยชวนพาร์ไปห้องครัว พอเข้ามาปุ๊บ ตัวเล็กก็ร้องประท้วงทันที

“พี่ช้า!”

“พี่เตรียมของขวัญให้อันเลยมาช้า หรืออันไม่อยากได้ของขวัญ?”

“ดีเลย น้ำจะได้ขอ”

เจ้าตัวเล็กค้อนใส่พี่สาว “ของอันนะ”

“ยังไม่รู้ว่าคืออะไรแท้ๆ”

พอโดนพี่สาวว่ามา เจ้าตัวเล็กก็หันมาถามผม “คืออะไร?”

“เป่าเค้กก่อน พี่จะพาไปดู”

“งั้นเป่าเลย”

“เดี๋ยวๆ พ่อขอเตรียมตัวก่อน”

ผมใช้จังหวะนี้ยกมือไหว้ทักทายลุงแทนกับป้าเจน มีเบอร์ดี้นั่งอยู่ใกล้ๆ

…บ้านพาร์มากันครบเลยแฮะ

ระหว่างผมกำลังแย่งก๊อกน้ำล้างมือกับพาร์ ไฟในห้องก็ดับลงกะทันหัน เสียงเพลงประจำวันเกิดประสานกับเสียงตบมือพร้อมกันเป็นจังหวะ เค้กก้อนกลมถูกยกผ่านประตูครัวเข้ามาด้วยฝีมือพ่อ ปรากฏแสงเทียนดวงน้อยเหนือหัวเทียนเลขหก

Happy birthday to you
Happy birthday to you
Happy birthday, Happy birthday
Happy birthday…to you

สิ้นสุดเสียงเพลง ไฟดวงน้อยตรงหน้าน้องอันก็โดนเป่าดับในลมหายใจที่สาม ไฟในบ้านสว่างขึ้นอีกครั้ง เสียงตบมือดังรัว ผมเอนหน้าเข้าหาน้อง แกล้งถามทั้งที่เห็นเจ้าตัวเล็กจ้องเค้กสีขาวตกแต่งด้วยสตอเบอรี่ไม่วางตา

“พร้อมไปดูของขวัญของพี่ยัง?”

“อันขอกินเค้กก่อน…นะ”

-------------

หลังจากวันที่น้องอันมีแมวเป็นของตัวเอง วันๆ ก็เอาแต่สนใจฮิเมะ ถ้าไม่เพราะฮิเมะติดผมมากกว่าใครในบ้าน เจ้าตัวเล็กคงลืมพี่ชายอย่างผมไปแล้ว

พูดถึงฮิเมะ ตอนแรกผมไม่กล้าปล่อยออกมาจนกว่าฮิเมะคุ้นชินกับบรรยากาศในบ้านใหม่ก่อน แต่แค่วันที่สองเจ้าตัวยุ่งก็เรียกหาทันทีที่ผมเดินไปใกล้กรงเพื่อให้อาหารเย็น หลังกินเสร็จฮิเมะก็ส่งเสียงร้องไม่หยุดจนผมอุ้มออกมาถึงได้เงียบ พอปล่อยลงพื้นก็ร้องอีก พยายามจะให้อุ้มให้ได้ ก็ตามใจครับ อุ้มพาเดินชมห้องนั่งเล่นจนเมื่อย แล้วค่อยเดินมานั่งบนพื้น วางแหมะฮิเมะลงตักแทน

 หลังจากนั้นก็พบปัญหาเรื่อยๆ นอกจากผมแล้ว ฮิเมะไม่เอาใครเลย คนอื่นให้อาหารก็ไม่ยอมกิน ไม่ยอมให้คนในบ้านแตะตัว (ยกเว้นว่าผมอุ้มอยู่ในมือถือถึงยอมให้ลูบบ้างนิดหน่อย)

เข้าวันที่สี่ก็เริ่มดีขึ้นครับ เริ่มกล้าเดินสำรวจ (แต่ไม่ยอมไปไกลจากตัวผมมาก และถ้าคนในบ้านเดินไปหาก็จะรีบวิ่งกลับมาหาผมทันที)

หลังผ่านไปอาทิตย์กว่าพัฒนาการของฮิเมะก็เริ่มมากขึ้น ถึงยังไม่ยอมให้คนอื่นอุ้ม แต่ก็เริ่มมีเดินไปหาแบบกล้าๆ กลัวๆ บ้างแล้ว ถ้าฮิเมะอยู่บนพื้นจะยอมให้ลูบบ้าง แต่ห้ามจับเด็ดขาด มีข่วนครับ จนแม่บ่นว่าเป็นแมวหวงตัว ฮ่าๆๆ

มาพูดถึงเจ้าของแมวบ้าง เจ้าตัวเล็กมีความอดทนดีมาก พยายามผูกมิตรกับแมวจนผมอึ้งเลยล่ะ ผมสอนอะไรเกี่ยวกับฮิเมะ น้องก็จดจำได้อย่างรวดเร็ว แถมเอาไปปฏิบัติด้วย จนตอนนี้ฮิเมะยอมอันรองจากผมแล้ว ตอนนี้ผมปล่อยอันให้อาหารแมวเอง หลังจากประสบความสำเร็จทำให้ฮิเมะยอมกินอาหารที่ตักให้ (ตอนนั้นเจ้าตัวเล็กกระโดดเป็นกระต่าย ดีใจยกใหญ่จนฮิเมะตกใจวิ่งมาหาผม)

ผิดกับยัยน้ำเห่อแค่แปบเดียว พอแมวไม่เล่นด้วยก็ไม่สนใจเลย ทุกวันนี้แค่มองดูห่างๆ บางทีก็ถ่ายรูปเก็บไว้บ้าง…สงสัยของขวัญวันเกิดคงต้องเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นแล้วล่ะ

และแขกประจำบ้านของเรา…พาร์

ทุกวันนี้มันยังไม่เลิกเขม็งแมวสักที (ดูไม่เป็นมิตรกว่าเก่าอีก แต่ฮิเมะชอบเดินไปป้วนเปี้ยนใกล้ๆ) แถมยังสนับสนุนให้น้องอันผูกมิตรกับแมวเต็มขั้น ทั้งซื้อของเล่นแมวมาฝาก ทั้งค้นหาข้อมูลมาสอนอัน เป้าหมายของพาร์คือให้แมวเปลี่ยนไปติดน้องอันแทน ส่วนในสายตาของเจ้าตัวเล็ก พาร์กลายเป็นพี่ชายใจดีไปแล้วครับ เดี๋ยวนี้พาร์มาบ้านเมื่อไหร่ วิ่งไปหาตลอด

เอาเหอะ จะแบบไหนผมก็ได้กำไร (ไม่ต้องเสียตังค์ซื้อของเล่นแมว, ต่อไปมีคนรับช่วงเลี้ยงแมวแทน)

ความเปลี่ยนแปลงอีกอย่างที่ผมพึ่งสังเกตเห็นคือพ่อแม่ไม่แทนตัวว่าน้าแล้ว เหมือนกับบ้านพาร์ ลุงแทนกับป้าเจนก็เรียกแทนตัวว่าพ่อแม่กับผม ทำเอารู้สึกแปลกๆ ไม่ชินเลยครับ

และอีกเรื่องที่ผมพึ่งจับได้หลังพาร์ลืมมือถือไว้บ้านผม ความจริงพาร์ไม่ได้ลืม มันแค่วางทิ้งไว้บนพื้นเลยโดนฮิเมะลากมือถือไปซ่อน แถมยังเปิดสั่นไว้อีกเลยหาไม่เจอ มาเจอก็ตอนฮิเมะลากมาให้ (หน้าฮิเมะสั่นตามแรงมือถือเลยครับ เห็นแล้วตลกมาก)

ตอนแรกผมไม่ได้สนใจว่าใครโทรมา แต่ชื่อที่กระพริบบนจอดึงความสนใจจากผมเต็มๆ

‘พ่อจิ้งจอกจอมหวง’

หน้าลุงนิกแวบเข้ามาในหัว แถมยังเป็นเบอร์จากต่างประเทศ ผมเลยกดรับสายแล้วเงียบฟัง

“ไงเจ้าเด็กแสบ” เสียงลุงจริงๆ ด้วย หลังจากนั้นลุงนิกก็ใส่มาเต็มที่ไม่มียั้ง ยิ่งฟังยิ่งระอา

นี่มันแนวเด็กหาเรื่องคนอื่นชัดๆ

แต่ฟังไปสักพักผมกลับเห็นเป็นเรื่องตลกเลยพยายามกลั้นขำหลายครั้ง จนโดนลุงตวาดใส่ว่าทำไมไม่พูดตอบ เป็นใบ้หรือไง ผมเลยส่งเสียงบอกไปสั้นๆ

“ทีฟังอยู่”   

เงียบสบายหูทันที สักพักลุงถึงบอก

[…โทษทีลุงโทรผิด]

กำลังจะวางมือถือ ลุงนิกก็โทรมาใหม่ ไดอาล็อกคล้ายกับรอบแรกจนน่าสงสัย ไม่แน่ก่อนโทรมาครั้งแรกลุงอาจจดโพยเอาไว้ดูก็ได้

ผมฟังได้ครึ่งหนึ่งก็รีบพูดขัด “เผื่อลุงยังไม่รู้ พาร์ลืมมือถือไว้บ้านที”

[…]

และแล้วลุงนิกก็ตัดสายรอบสอง คราวนี้ไม่พูดอะไรสักคำเดียว

ผมได้แต่ส่ายหน้าใส่มือถือให้กับการสิ้นเปลืองค่าโทรทางไกล นึกแปลกใจว่าทำไมพาร์ไม่บอกว่าโดนลุงนิกโทรมาก่อกวน โอกาสได้คะแนนเห็นใจจากผมแท้ๆ พาร์ไม่น่าพลาด หรือว่าชินแล้ว?

“ที”

ผมสะดุ้ง หลุดจากภวังค์ มือพาร์ยังจับอยู่ที่ไหล่หลังจากเขย่าตัวผมไปเมื่อครู่

“อะไร?”

“กูจะกลับแล้ว”

มองนาฬิกา อ้อ สามทุ่มครึ่งแล้ว ผมลุกขึ้นยืนผละจากน้องคนเล็กที่กำลังแกว่งไม้ล่อไม้ตามหลังพาร์ไปหน้าบ้าน พอได้อยู่ตามลำพังพาร์ก็พูดทวงทันที

“อย่าลืมนัดพรุ่งนี้”

มาอีกแล้วประโยคนี้ ผมกรอกตาไปมาอย่างระอา บอกเสียงเนืองๆ “แปดโมงบ้านมึง กูจำได้น่า”

“และ…”

ผมชิงพูดถ้อยคำที่เหลือ โดนกรอกหูมาสี่วัน ถ้ายังจำไม่ได้อีก ควรไปพบแพทย์ได้แล้ว “เตรียมเสื้อผ้าไปเปลี่ยนด้วย”

พาร์พยักหน้าอย่างพอใจ เดินมาถึงรถก็บอกลาสั้นๆ “ฝันดี”

“เออ” กำลังจะไปเปิดตูรั้วให้ ดันโดนจับแขนรั้งตัวไว้ก่อน ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“ไม่เอาคำนี้”

ผมนิ่วหน้าใส่คนพูดท้วง ครุ่นคิดแปบหนึ่งก็ยอมเปลี่ยนคำให้ “…เหมือนกัน”

“ขอเต็มประโยค”

 “ฝันดีเหมือนกัน…พอใจไหมครับ!”

############

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
Re: - ชลนที - [บทที่ 48] P.17 (22/03/2017)
«ตอบ #494 เมื่อ22-03-2017 15:00:15 »

น่ารักกันจิงๆเลยยย อิจฉาๆ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: - ชลนที - [บทที่ 48] P.17 (22/03/2017)
«ตอบ #495 เมื่อ22-03-2017 15:03:53 »

อ่านไป ยิ้มไป ยิ้มแบบกว้างๆ ด้วยนะ มีความสุขมาก  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
เข้าใจทีเลย พาร์ จอมบ่น จอมหวง หวงทีมากกกกก
ที มีเสน่ห์ทั้งคนทั้งสัตว์
ขนาดแมว ฮิเมะ ยังหลงทีเลย
แสดงว่าที เป็นคนอ่อนโยนมาก
พาร์ น่ารัก น่าเอ็นดู ติดที มากกกก
นี่ขนาดยังไม่เป็นแฟนนะ เป็นแฟนจะขนาดไหน  :z3: :z3: :z3:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: - ชลนที - [บทที่ 48] P.17 (22/03/2017)
«ตอบ #496 เมื่อ22-03-2017 15:18:30 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
Re: - ชลนที - [บทที่ 48] P.17 (22/03/2017)
«ตอบ #497 เมื่อ22-03-2017 19:45:01 »

 :heaven หึงกระทั่งลูกแมว

ออฟไลน์ jimmyjimmy

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1962
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-17
Re: - ชลนที - [บทที่ 48] P.17 (22/03/2017)
«ตอบ #498 เมื่อ22-03-2017 20:27:32 »

ที....ถ้าตกลงเป็นแฟน...พาร์..เมื่อไร....ได้ย้ายบ้านแน่ๆ

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
Re: - ชลนที - [บทที่ 48] P.17 (22/03/2017)
«ตอบ #499 เมื่อ22-03-2017 22:27:42 »

ทีจะโดนพาร์จับกินมั้ยนิ ^^

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: - ชลนที - [บทที่ 48] P.17 (22/03/2017)
« ตอบ #499 เมื่อ: 22-03-2017 22:27:42 »





ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: - ชลนที - [บทที่ 48] P.17 (22/03/2017)
«ตอบ #500 เมื่อ22-03-2017 23:28:12 »

พาร์หวงหนักมากกกกกก


 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
Re: - ชลนที - [บทที่ 48] P.17 (22/03/2017)
«ตอบ #501 เมื่อ22-03-2017 23:29:04 »

เป็นทาสแมวกันไป

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
Re: - ชลนที - [บทที่ 48] P.17 (22/03/2017)
«ตอบ #502 เมื่อ22-03-2017 23:40:50 »

ขำพาร์ 5555

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: - ชลนที - [บทที่ 48] P.17 (22/03/2017)
«ตอบ #503 เมื่อ23-03-2017 12:59:50 »

น่าสงสาร หึงแม้กระทั่งแมว 55555555

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
Re: - ชลนที - [บทที่ 49] P.17 (27/03/2017)
«ตอบ #504 เมื่อ27-03-2017 18:45:23 »

บทที่ 49

“อะไรนะ!”

ผมได้แต่ร้องตะโกนอยู่หน้าบ้าน มองพ่อด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ

“ก็บอกว่าพวกพ่อกำลังไปเที่ยวสองวันหนึ่งคืนไงลูก”

ผมเคี้ยวฟันอย่างโมโห ตาตวัดมองรถสองคันที่จอดอยู่ห่างออกไป ติดเครื่องยนต์รอเรียบร้อย เหลือแค่คนตรงหน้าผมไปขึ้นรถเมื่อไหร่ก็พร้อมออกเดินทางทันที แม้แต่แมวก็เอาไปฝากเลี้ยงเรียบร้อย ถึงว่าทำไมตื่นมาผมถึงไม่เห็นฮิเมะ เจอแต่น้องอันกำลังปล่อยโฮให้แม่คอยกอดปลอบ แม้แต่ตอนพาตัวขึ้นรถก็ยังสะอื้นไม่หาย

“ไม่มาบอกผมหลังกลับเลยล่ะ” ได้แต่พูดประชด 

“ขืนทำอย่างนั้นใครบางคนคงโกรธพ่อแย่ เอาน่า พวกพ่อแค่ไปเที่ยวกันเอง พรุ่งนี้ตอนค่ำๆ ก็กลับมาแล้ว”

“พวกพ่อคิดทิ้งลูกชายคนโตของสองบ้านไว้ที่นี่เนี่ยนะ?”

“ก็ได้ยินว่าพวกลูกนัดเที่ยวกันแล้วนี่ จะตามพวกพ่อไปทำไมล่ะ”

“แล้วทำไมต้องให้ผมนอนบ้านพาร์ด้วย!”

“พวกลูกจะได้ไม่ต้องอยู่คนเดียวให้พ่อแม่เป็นห่วงไง” พ่อตอบหน้าตาย “ดูทำหน้า แค่คืนเดียวเองลูก”

ไอ้คืนเดียวนี่แหละ ไว้ใจได้ซะที่ไหน!

ผมอยากอ้าปากแย้งมาก ถึงมากที่สุด แต่ดันได้เห็นแววตาพ่อสื่อชัดว่านี่คือโอกาสเผด็จศึก

ศึกบ้าศึกบออะไร ใครจะเข้าร่วม!!

“จัดการให้เรียบร้อยนะลูก พ่อรู้ว่าลูกทำได้”

“พ่อพูดเรื่องอะไร!”

“อย่าทำเป็นไม่รู้เรื่องน่า พ่อแทงข้างลูกไปเยอะนะ อย่าทำให้พ่อผิดหวังล่ะ”

“เดี๋ยวพ่อ กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน!”

คนแก่สนใจซะที่ไหน ชิ่งหนีขึ้นรถขับจากไปเรียบร้อย มีรถลุงแทนขับตามไป ทิ้งผมไว้กับเป้หนึ่งใบ และจักรยานอีกหนึ่งคัน ต่อให้พกกุญแจออกมาก็เข้าพื้นที่บ้านไม่ได้ พ่อเล่นเปลี่ยนแม่กุญแจล็อกรั้วใหม่ เลยทำได้แค่แยกเขี้ยวใส่ท้ายรถสองคันที่ห่างออกไปเรื่อยๆ

พ่อต้องไปพนันอะไรบ้าๆ กับลุงแทนอีกแล้วชัวร์

ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิด ตาเหลือบมองลูกรักสีน้ำเงินทีพลอยโดนขังผ่านประตูรั้วก็ได้แต่เศร้าใจ ถ้ารู้เหตุการณ์ล่วงหน้าผมจะเอาเจ้าลูกรักออกมาแทนจักรยาน!

ยืนอยู่พักใหญ่ก็เห็นว่าอยู่ตรงนี้ไปก็ไม่ได้อะไร เลยถอนหายใจพยายามทำใจให้ปลดปลง ก่อนคว้าเป้มาสะพายหลัง ขึ้นคร่อมจักรยานขี่ตรงไปบ้านพาร์ด้วยสีหน้าเซ็งจิต

ทันทีที่ผมถึงหน้าบ้านพาร์ก็ควักมือถือออกมา…เหลืออีกสามนาทีกว่าจะถึงเวลานัด

ความคิดชั่วแล่นที่ผุดขึ้นมาทำให้ผมจอดจักรยานทิ้งไว้ ยืนหันหลังพิงประตูรั้ว เปิดเกมในมือถือเล่นฆ่าเวลา ผ่านไปนาทีกว่าก็มีเสียงทัก

“คิดทำอะไร” น้ำเสียงพาร์ฟังดูข้องใจมาก

“เรื่องของกู” ผมตอบทันทีไม่คิดหันไปมอง “อย่าพึ่งเปิดประตูให้ล่ะ”

“แล้วมึงจะยืนตากแดดอยู่ตรงนั้น?”

“เออ”

“…มึงกำลังประท้วงอะไรกูใช่ไหม”

“เปล่าสักหน่อย”

แค่หมั่นไส้ล้วนๆ ฐานทำผู้ใหญ่ย้ายข้างไปอยู่ฝ่ายมันหมด

ผมรู้สึกถึงสายตาทิ่มแทงจากเบื้องหลังก็พยายามไม่สนใจ เล่นเกมจนเวลาเปลี่ยนเป็น 07:59 ถึงได้เลิก หมุนตัวกลับมาก็ผงะเล็กๆ ที่เห็นเจ้าของบ้านยืนกอดอกพิงกรอบประตูบ้านอยู่ไม่ไกล แววตามองมาเหมือนโดนลูกธนูพุ่งปักร่างพิกล ถึงอย่างนั้นก็ทำใจสู้เสือ ดำเนินแผนการตัวเองต่อ

รอจนเวลาเปลี่ยนเป็น 08:00 น. นิ้วถึงสัมผัสปุ่มตรงเสาหน้าบ้าน ออกแรงกดไม่มีลังเล แม้เจ้าของบ้านจะยืนดูอยู่ก็ตาม

ติ๊งต่อง~

เสียงกริ่งบ้านดังกังวานมาถึงจุดที่ผมยืนอยู่ ได้ยินชัดเจนสองหู แน่นอนว่าพาร์ก็ต้องได้ยิน ต่างคนต่างไม่มีใครขยับ ตาจ้องประสานกันอย่างวัดใจ

ติ๊งต่อง~

ครั้งที่สองก็ยังไม่มีใครขยับ ผมเลยกำลังจะกดครั้งที่สาม พาร์กลับชิงพูดขึ้นก่อน

“ประตูรั้วไม่ได้ล็อก”

อ้าว

ถึงแอบหน้าแตก แต่ผมไม่แสดงออก แถมยังทำหน้ายียวนใส่เจ้าของบ้านเพิ่ม

“แล้วไง ถ้าเจ้าของบ้านไม่คิดมาเปิดต้อนรับ กูก็ไม่คิดถือวิสาสะเข้า”

“ถ้ากูไม่เปิดให้?”

“กูก็กลับไง”

คนฟังพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ ยอมขยับตัวเดินมาเปิด เอ่อ กระชากประตูรั้วให้ด้วยท่าทางหงุดหงิดนิดๆ แถมยังคว้าแขนดึงแขกอย่างผมเข้ามาแบบไม่ออมแรง แล้วทำท่าจะผลักประตูปิดจนผมต้องร้องท้วง

“เฮ้ยๆ เป้กับจักรยานกูยังอยู่ข้างนอก!”

หลังเอาข้าวของเข้ามา พาร์ก็ลากผมมาทิ้งไว้ที่โซฟานั่งเล่นพร้อมเป้ แล้วหายหัวไปทางครัว เปิดโอกาสให้ผมนั่งคิดกับตัวเอง

จากการลองเชิงเมื่อครู่ พาร์อาจยังไม่รู้ว่าผมกลับเข้าบ้านตัวเองไม่ได้ ตอนแรกนึกว่าเป็นความเจ้าเล่ห์ของมันซะอีก สงสัยต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ งานนี้แผนของพวกพ่ออย่างเดียว ฝ่ายลูกไม่น่ามีเอี่ยว ถึงแม้ว่าผลประโยชน์จะตกไปอยู่ฝ่ายคนกำลังถือจานขนมมาให้ผมก็ตาม

“มองกูแบบนั้นคืออะไร?”

ผมรีบส่ายหัว คว้าคุกกี้ของโปรดเข้าปาก ถึงอย่างนั้นสายตาก็ไม่ละจากหน้าคนกำลังนั่งใกล้ๆ ไม่ได้คิดจับผิด แต่ตาขยับไปมองเอง รู้สึกตัวก็รีบละสายตามามองจานคุกกี้ แล้วหยิบเข้าปากอีกชิ้นทั้งที่ในปากยังเคี้ยวไม่หมด

“ตอนแรกว่าจะพามึงไปวันนี้ แต่กูยังหาที่ซ่อนกุญแจไม่เจอ”

หืม?

ผมหันไปสบตาคนพูดด้วยความฉงน “กุญแจอะไร?”

“มอเตอร์ไซค์”

ผมกระพริบตา “…ของมึง?”

“ของกูนี่แหละ อาทิตย์ก่อนกูพึ่งแอบปลดล็อกโซ่เอามันไปตรวจเช็คสภาพมา พอพ่อรู้เข้าก็มายึดกุญแจรถไปซ่อน”

“ไม่ใช่พกติดตัวไปแล้วเรอะ”

“โดนกูตามทุกฝีก้าวแบบนั้น ไม่มีทางที่พ่อจะเอาไปเที่ยวด้วยแน่ มันต้องยังอยู่ในบ้านนี้”

ผมจับประเด็นได้ทันที “จะให้กูช่วยหากุญแจ?”

พาร์พยักหน้า พูดเสริม “หรือไม่ก็สถานที่ หรือของที่ติดล็อก”

ผมพ่นลมหายใจ “ถึงเจอแล้วมึงก็ปลดล็อกไม่ได้”

“ใครบอก”

ผมมองสีหน้านิ่งเฉย แต่แววตาจริงจัง

“ถึงไม่เชี่ยวชาญ อาจต้องใช้เวลาสักหน่อย แต่ไม่คณามือกูหรอกน่า”

หลังจากพลิกบ้านตามหากุญแจรถ ผมก็พบว่ามันน่าจะอยู่ในกล่องติดล็อกสักใบที่หาได้ และพาร์ก็สมกับราคาคุย มันปลดล็อกกุญแจได้ เปิดดูของแล้วก็ยังปิดล็อกเหมือนเก่าได้อีก

“…มึงไปได้ความสามารถนี้มาจากไหน?” ผมถามอยากอดไม่อยู่

พาร์เหลือบสายตามองผมแวบหนึ่ง “ก็แค่ทักษะจำเป็นที่ต้องมีติดตัว”

“จำเป็นเนี่ยนะ” ผมทำหน้ามึน “จำเป็นแบบไหนวะ?”

“เอาไว้ใช้ตอนเข้าตาจน…เช่น หลบหนีคู่อริ”

“ฮะ!”

“ไม่ใช่อย่างที่มึงคิดหรอกน่า กูไม่เคยโดนจับตัวได้ ก็แค่ไขปลดล็อกสถานที่เข้าไปขอแอบซ่อนตัวชั่วคราวเฉยๆ”

“…นี่เป็นสาเหตุที่มึงต่อสู้เก่ง?”

“ไม่เชิง กูอยู่ของกูดีๆ แต่เพื่อนกูดันเป็นพวกชอบแสหาเรื่อง แถมดันยื่นมือไปช่วยเหลือคนอันตรายแบบรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพื่อนทั้งกลุ่มเลยเดือดร้อนกันหมด ดีที่กลุ่มกูพอมีฝีมือบ้างเลยพอเอาตัวรอดได้ แต่ไปๆ มาๆ ดันโดนเหมารวมว่าเป็นคนในแก๊งอันตราย เพื่อเอาตัวรอดพวกกูเลยต้องตามน้ำ มันก็…ไม่ใช่มีแต่เรื่องไม่ดี อย่างน้อยกูก็ได้เรียนรู้อะไรมาเพียบ” 

ฟังจากน้ำเสียงบอกเล่าเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา ผมก็ได้ทำหน้าอึ้ง

“เอ่อ นั่นช่วงที่มึงอยู่ต่างประเทศ?”

“อืม แต่ก็แค่ช่วงเวลาสั้นๆ ปู่กูไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่ที่กูไปเกี่ยวข้องกับคนพวกนั้น หลังจบเรื่องกูกับพวกเพื่อนๆ เลยถอนตัวออกมา แต่หลังจากนั้นเพื่อนกูคนหนึ่งดัน เอ่อ เป็นคนรักของหัวหน้าแก๊ง สุดท้ายก็ไม่ได้ตัดขาดอย่างที่คิด ยังมีติดต่อกันบ้างตราบใดที่เพื่อนกูยัง…อ๊ะ เจอจนได้”

พาร์หยิบกุญแจรถออกมา สีหน้าแสดงออกชัดเจนว่าตื่นเต้นดีใจมาก…คล้ายน้องหมาที่โดนเจ้าของสั่งลงโทษกักบริเวณกำลังจะได้ออกไปเดินเล่นอีกครั้ง

ผมรู้สึกประหลาดใจ ไม่เคยเห็นพาร์ยิ้มมีความสุขติดซุกซนแบบนี้มาก่อน

“ไปกันเถอะ!”

“ฮะ!” ผมตกใจกับคำชวนกะทันหัน ได้แต่ถามมึนๆ “ไปไหน?”

“ไปเที่ยวไง…” แววตาคนอยากไปขี่มอเตอร์ไซค์เล่นจะแย่เปล่งประกายร่าเริงสุดขีด ก่อนจะค่อยๆ มอดดับเมื่อมันหันไปเห็นนาฬิกาติดผนัง “บ่ายสามแล้วเหรอ”

พึมพำแล้วก็ถอนหายใจ นั่งหงอยหูลู่หางตก…เหมือนความร่าเริงเมื่อกี้เป็นภาพลวงตา

ผมกระพริบตาปริบๆ กับการได้เห็นคนๆ หนึ่งเปลี่ยนแปลงอารมณ์กะทันหัน จากดีใจสุดขีดพลิกกลับเป็นผิดหวัง หลังยืนเกๆ กังๆ เพราะไม่รู้จะพูดปลอบยังไงดี ก็เริ่มเดินเข้าไปหยิบบรรดากล่องที่ตัวเองเป็นคนหาเจอ

“กูเอาของไปเก็บคืนที่ก่อนนะ”

ไม่รู้ว่าได้ยินหรือเปล่า แต่ผมก็ตัดสินใจถอยออกมา ปล่อยให้พาร์อยู่กับตัวเองสักพัก พอผมกลับมาอีกครั้ง พาร์ก็หายหงอยแล้ว เห็นหน้าผมก็ส่งยิ้ม แล้วบอกเรื่องไปเที่ยว

“ไปพรุ่งนี้แทน แต่ต้องออกเดินทางเช้าหน่อย สักหกโมงกำลังดีไปถึงนู้นคงช่วงสายๆ”

“…มึงจะพากูไปไหน”

“ไปขี่มอเตอร์ไซค์เล่น!”

ผมนิ่วหน้า มองตาเป็นประกายระยับของลูกหมาน้อย…คือที่ถาม หมายถึงสถานที่จะไปต่างหาก ช่างเถอะ ผมก็ขี้เกียจถามต่อแล้ว จะพาไปไหนก็ไป     

พอฟ้าเปลี่ยนสี ดวงอาทิตย์นอนหลับ พ้นช่วงเวลาอาหารเย็น และได้เวลาเข้านอน หมาน้อยเมื่อตอนกลางวันก็กลายร่างให้หวาดผวา

“นอนด้วยกัน!”

“ไม่!”

ผมเถียงกับพาร์มาร่วมครึ่งชั่วโมง เดินวนรอบโซฟากี่เที่ยวก็ไม่รู้ รู้แค่ต้องระวังตัวไม่ให้โดนตะครุบลากขึ้นห้องนอนใครบางคน

“ไปนอนบนเตียง!”

“กูจะนอนโซฟา!”

“ที!”

“กูยืนยันคำเดิม จะนอนที่นี่!” ผมชี้นิ้วใส่โซฟาที่อยู่กึ่งกลางระหว่างเรา “ไม่ไปนอนห้องมึงแน่!”

“จะขึ้นไปห้องกูดีๆ หรือจะให้ใช้กำลัง”

“มึงใช้ กูก็ใช้”

“งั้นอย่าหาว่ากูรุนแรง!”

ผมตั้งท่าพร้อมสู้ มองหมาป่าปีนโซฟากระโจนเข้าใส่

แม่ง! ทำไมพอได้ขลุกวงในผมถึงได้รู้สึกเสียเปรียบทั้งที่คนเจ็บตัวคืออีกฝ่าย

ผมน่ะสบายดีไม่มีแม้แต่รอยพกช้ำ เพราะพาร์ไม่ชกหรือต่อยผมคืนสักแอะ แต่เล่นจู่โจมด้วยริมฝีปากกับมือปลาหมึกของมัน…

“เฮ้ย! จับตรงไหนวะ!” ผมตะโกนลั่น สวนด้วยหมัดหนักๆ ไปด้วยความตกใจ

“โอ๊ย! เล่นกูซะปากแตกเลยนะ”

“ก็มึงน่ะ…เฮ้ย! พาร์!! เอามือออกไปเดี๋ยวนี้!”

สุดท้ายผมก็ต้องมานอนหงุดหงิดบนเตียง ทำหน้าที่หมอนข้างให้คนขี้โกง มันโกงผมจริงๆ นะ!

“นอนได้แล้ว”

ผมกัดฟันกรอด “กำลังพยายาม! และหวังว่ามึงจะทำตามที่พูดทุกคำ!”

“…งั้นก็นอนนิ่งๆ ห้ามขยับยุกยิกเด็ดขาด”

นอนแข็งทื่อเป็นท่อนไม้ขนาดนี้ยังไม่พออีกเรอะ!

-------------
(มีต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
Re: - ชลนที - [บทที่ 49] P.17 (27/03/2017)
«ตอบ #505 เมื่อ27-03-2017 18:46:41 »

บทที่ 49 (ต่อ)

เช้าวันต่อมา ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเหน็บจากนอนท่าเดิมนานเกินไป แถมยังต้องเปิดปากหาวเป็นระยะ ผิดกับพาร์ที่ดูสดใสกว่าปกติ เห็นแล้วก็ได้แต่เขม็งใส่ โทษฐานทำคนอื่นหลับๆ ตื่นๆ ทั้งคืน รู้หรอกว่าหวาดระแวงไปเองจนกลัวว่าถ้าเผลอหลับสนิทเมื่อไหร่ อาจตกเป็นเหยื่อของหมาป่าได้ทุกเมื่อก็เหอะ

หลังจัดการตัวเองเรียบร้อย และดื่มนมรองท้องคนละแก้ว พวกผมก็ออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่

รถของพาร์ไม่ใช่บิ๊กไบค์อย่างที่คิด แต่เป็นมอเตอร์ไซค์ครอบครัวสไตล์สปอร์ต ไม่มีตะกร้าใส่ของด้านหน้า ถึงผมไม่ค่อยมีความรู้เรื่องรถมอเตอร์ไซค์ก็ยังพอดูออกว่ารถพาร์ผ่านการปรับแต่งมานิดหน่อย สีตัวรถเป็นขาว-น้ำเงิน-ดำ สวยครับ แต่ก็แอบผิดคาดนิดๆ เหมือนกัน

“พ่อกูไม่ให้ซื้อบิ๊คไบค์ อีกอย่างกูก็ไม่คิดซื้อ” พาร์บอกมาแบบนี้ตอนผมถาม

“ทำไมล่ะ”

“กูมีอยู่แล้วคันหนึ่ง เป็น sport touring bike น่าเสียดายกูเอามันมาไทยไม่ได้”

ผมงง ถามคำเดิม “ทำไมล่ะ?”

พาร์แค่ถอนหายใจ ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา น่าจะมีเหตุผลอะไรสักอย่างล่ะมั้ง

ตอนแรกก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะพาไปไหน แต่หลังเดินทางชั่วโมงกว่าก็พอจับเส้นทางได้บ้าง น่าจะเป็นนครนายก เพราะมีสถานที่เที่ยวแนวธรรมชาติแบบที่พาร์ชอบ บวกกับการแต่งตัวที่มันให้ใส่ขาสั้นกับรองเท้าแตะหัวโต แถมให้ผมแบกเป้ใส่เสื้อผ้าสองชุดอีก ถึงมันจะบอกว่าแค่เอาไปเผื่อก็เหอะ   

จริงอย่างที่คาดเดา เข้าเขตนครนายกสักพักใหญ่ พาร์ก็ขับไปจอดพักใกล้วัดพราหมณี แล้วพาผมเดินดูร้านค้าภายในวัดด้วยกันก่อน ผมแอบแปลกใจ เพราะส่วนใหญ่มีแต่คนไปไหว้พระก่อนค่อยมาเดินดู และแปลกใจกว่าเดิมเมื่อมันปล่อยผมไปไหวพระคนเดียว

“เดี๋ยวกูนั่งรออยู่แถวนี้ มึงอยากกินอะไร เดี๋ยวกูสั่งให้ก่อน”

งงใช่ไหมครับ ผมก็งง

ถามไปถามมาถึงได้รู้ว่าบ้านพาร์ไม่ใช่คนพุทธ ถ้าไม่บอกคงไม่รู้ ผมเองก็ไม่ได้สังเกต เลยฝากพาร์สั่งข้าวขาหมูให้ แล้วเดินไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัดก่อน เรียบร้อยก็กลับมาหา เจอจานข้าววางรออยู่แล้วพร้อมแก้วน้ำ ผมคว้าแก้วน้ำมาดื่มดับกระหาย ก่อนคว้าช้อนตักอาหารเข้าปากด้วยความหิว 

“อยากแวะศาสนสถานที่อื่นไหม กูจะได้ขับพาไปถูก”

ปากไม่ว่างผมเลยส่ายหน้าแทน ที่เลือกแบบนี้เพราะไม่รู้ว่าพาร์ต้องมานั่งรอแบบนี้อีกหรือเปล่า คุยไปคุยมา พาร์เลยจะขับขึ้นไปชมเขื่อนก่อน แล้วค่อยวกกลับมาแวะพวกน้ำตก หลังอิ่มท้องเราก็ออกเดินทางต่อ

จุดหมายแรกคือเขื่อนขุนด่านปราการชล เป็นเขื่อนที่เปิดให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปชมวิวบนสันเขื่อน ข้างบนนี้สวยมากเห็นทิวทัศน์ได้สุดลูกหูลูกตา ยังไม่ทันได้เดินดูอะไรนัก พาร์ก็ลากผมไปซื้อบัตรขึ้นรถชมเขื่อนขุนด่านเลยครับ

“ไม่เดินไปล่ะ” ถามมึนๆ ใส่คนเสียเงินหกสิบบาท ผมจะจ่ายคืนสามสิบ มันก็ไม่เอา

“เก็บแรงไว้ก่อนเหอะ เดี๋ยวมึงจะได้เดินอีกเยอะ”

ผมพยักหน้ารับ ตามใจคนพามาดีกว่า อีกอย่างผมก็ไม่รู้ว่าวันนี้ต้องเดินเยอะแค่ไหนด้วย

เส้นทางบนเขื่อนทอดยาวจนมองไม่เห็นปลายทางสมกับที่เป็นเขื่อนคอนกรีตอัดบดที่มีความยาวที่สุดในประเทศไทยและในโลก หูฟังไกด์บรรยายประวัติความเป็นมาของเขื่อนแห่งนี้ไปพร้อมกับชมทิวทัศน์ ด้านหนึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำ เหนือผืนน้ำกว้างเป็นทิวเขาเขียวขจีและท้องฟ้าสีคราม พวกเขาที่ว่าคืออุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ส่วนอีกด้านจะเห็นตัวเมืองนครนายกที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ สวยไปอีกแบบ

เห็นไกด์บอกว่าลงจากรถไปถ่ายรูปได้ แต่ต้องเดินกลับกันเอง มีคืนเงินให้สิบห้าด้วยครับ ตอนแรกผมก็คิดจะลงนะ แต่หลังจากนั่งรับลมชมธรรมชาติไปได้ครึ่งทางก็รู้สึกขี้เกียจเดินขึ้นมาทันที พาร์ถึงกับยิ้มล้อผม มีถามแซวว่าอยากลงเดินอีกไหม

นอกจากรถพาเที่ยวชมสันเขื่อนแล้ว ยังมีเรือหางยาวให้เช่าด้วยครับ เห็นว่าพาชมน้ำตกที่อยู่ด้านในเขื่อนขุนด่านได้ อ้อ มีจุดให้เล่นน้ำด้วยครับอยู่ด้านล่างเขื่อน เห็นคนไปเล่นน้ำเยอะมาก แต่พาร์ส่ายหน้าสื่อว่าไม่แวะตั้งแต่แรกแล้ว หลังจบทริปบนรถนำเที่ยวสันเขื่อน พวกผมก็ออกเดินทางต่อ 

จุดหมายต่อมาคือน้ำตกนางรอง เสียค่าเข้าด้วยครับ รถมอเตอร์ไซค์พร้อมคนขับสิบบาท คนซ้อนอีกสิบบาท ขับเข้าไประยะหนึ่งก็ต้องหาที่จอดลงเดินไปน้ำตกที่อยู่ไม่ไกล อากาศที่นี่ดีครับ เย็นสบาย มองไปทางไหนก็มีแต่สีเขียว หลังผ่านทางเดินธรรมชาติก็เจอน้ำตก พาร์ไม่ได้พาผมเล่นน้ำ แต่พาเดินขึ้นด้านบนไปเรื่อยๆ ผมถึงได้เห็นว่าน้ำตกที่นี่ไหลลงมาผ่านโขดหินเป็นชั้นๆ ไม่สูงนัก มีบริเวณสำหรับเล่นน้ำตามแอ่งต่างๆ

ผมมารู้เป้าหมายของพาร์ก็ตอนเห็นสะพานอยู่ตรงหน้า มารู้ว่าเป็นสะพานที่สร้างมาเพื่อชมน้ำตกก็หลังเดินตามพาร์เข้าไปแล้ว เราอยู่กันแถวนี้นานพอสมควร ทั้งชมบรรยากาศ ทั้งถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ก่อนพากันลงมาเดินกันเรื่อยเปื่อยไม่รีบร้อน

พอเห็นน้ำใสประกอบกับเสียงของคนลงไปเล่น ผมก็ชักอยากลงไปเล่นเหมือนกัน ติดแต่คนพามาเอาแต่ส่ายหน้าเนี่ยแหละ

“แค่เอาขาไปจุ่มน้ำก็ได้”

“เดี๋ยวมึงจะได้จุ่ม ไปกันได้แล้ว เดี๋ยวคนเยอะ”

ผมมุ่ยหน้า ถึงจะไม่เข้าใจคำพูดพาร์เท่าไหร่ แต่ก็เดินตามมันออกมา แต่ก็อดถามด้วยความข้องใจไม่ได้

“ถ้ามึงไม่คิดเล่นน้ำ จะเอาเสื้อผ้ามาทำไม?”

“ก็บอกว่าเอามาเผื่อ แต่ถ้ามึงอยากเล่น ไว้ช่วงเย็นค่อยเล่น”

ผมพยักหน้าเข้าใจ คิดว่ามันคงพาไปเล่นน้ำที่น้ำตกอื่น ออกจากน้ำตกนางรอง ผมก็ไม่รู้มันจะพาไปไหน มารู้ก็ตอนมันหาที่จอดรถพาเดินมาร้านอาหารใกล้ริมลำธาร อาจเพราะเรามาเร็วล่ะมั้ง คนเลยยังไม่ค่อยมี ท่าทางจะสมใจพาร์ เพราะมันนำผมไปนั่งแคร์ไม้กางร่มบังแดดใกล้ลำธารทันที นั่งกันได้ไม่นานก็มีคนเอาเมนูมาให้ พาร์กวาดมองเมนูรอบเดียวก็เริ่มสั่ง

“ส้มตำคอหมูย่าง กุ้งแช่น้ำปลา หมูแดดเดียว ไก่ย่าง ข้าวเหนียวสอง โค้กสองขวดครับ”

ผมรีบมองคนสั่งอาหารรวดเดียวตาปริบๆ พอคนรับออเดอร์จากไปก็รีบถาม

“นี่มึงหิวเรอะ!”

“แล้วมึงไม่หิวหรือไง”

“ประเด็นไม่ใช่เรื่องหิวหรือไม่หิว แต่มึงเล่นสั่งอาหารเหมือนมากินกันหลายคน มีกันอยู่สองกระเพาะจะกินหมดไหมเนี่ย”

“ไม่หมดก็ไม่เห็นเป็นไร”

“เปลือง!”

“ค่อยๆ กินไปเดี๋ยวก็หมด มึงอยากเอาเท้าไปแช่น้ำไม่ใช่เรอะ ไปดิ”

พาร์พยับเพยิบหน้าไปทางลำธารใส่แจ๋วใกล้ๆ มีคนลงไปยืนในน้ำถ่ายรูปบ้างเหมือนกัน ก็หันมองไอ้คนถาม “มึงจะให้กูไปคนเดียว?”

“กูต้องเฝ้าโต๊ะ”

เรียกโต๊ะได้เต็มปากเต็มคำมาก ทั้งที่มันเป็นแคร่ปูด้วยเสื่อก็เหมือนนั่งกับพื้นนั่นแหละ ผมขี้เกียจเถียงเลยปล่อยผ่าน ส่ายหน้าไม่ลงไป ไม่รู้จะลงไปทำไมคนเดียว นั่งในร่มเป็นเพื่อนคุยกับมันดีกว่า เราคุยไปเรื่อยจนอาหารมาเสิร์ฟ

กินกันไปคุยกันไป…ก็หมดจนได้ แต่อิ่มเป็นบ้า

หลังเรียกเก็บเงิน ผมก็พบว่างานนี้ท่าจะฟรี เพราะจะช่วยหารหรือช่วยแชร์ พาร์ปฏิเสธหมด ก็เข้าใจว่ากำลังโดนเทคแคร์ แต่ก็อดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้อยู่ดี นึกย้อนตอนตัวเองเทคแคร์แฟนเก่า แอบอดสงสัยไม่ได้ว่าพวกผู้หญิงจะรู้สึกขัดแย้งแบบผมหรือเปล่า…อาจจะไม่ก็ได้ บางทีอาจเป็นเพราะผมกับมันเป็นผู้ชายทั้งคู่ล่ะมั้ง

คิดพลางถอนหายใจ ก่อนเอ่ยถามระหว่างเดินไปตีคู่คนกำลังเดินนำกลับไปที่รถมอเตอร์ไซค์     

“จะไปไหนต่อ?”

“วังตะไคร้”

“แล้วจากวังตะไคร้ มึงคิดจะไปไหนต่อ?”

“ยังไม่ทันได้ไป มึงก็ถามหาสถานที่อื่นแล้ว?”

หัวผมถูกผลักเหมือนหมั่นเขี้ยว พอผมทำหน้าบึ้งใส่ รอบคอก็โดนแขนคนข้างๆ โอบรอบ “เผื่อมึงไม่รู้ ที่นั่นสนุกนะ กูว่ามึงต้องชอบ”

“กูก็แค่อยากถามไว้ก่อน รู้ไว้บ้างก็ดีกว่าไม่รู้”

“…โกรธเหรอ”

“จะโกรธทำไม”

หลังได้ยินพาร์ก็ตอบคำถามผมทันที “กูกะอยู่วังตะไคร้จนปิด แล้วค่อยพามึงไปกินข้าวเย็น ก่อนขับรถกลับกรุงเทพ”

“แล้ววังตะไคร้ปิดกี่โมง?”

“หกโมงเย็น”

ผมขมวดคิ้ว “มึงจะใช้เวลาช่วงบ่ายทั้งหมดกับที่นั่น?”

“อืม ว่าแต่อยากไปโรงเกลือไหม จะได้พาไปเที่ยวที่นั่นค่อยไปกินข้าวเย็น”

ผมย่นหน้า ถามอย่างข้องใจสุดๆ “มึงจะพากูไปซื้อเกลือทำไม?”

พาร์ชะงักกึก “ใครจะพาไปซื้อเกลือนะ?”

“มึงไง จะพาไปโรงเกลือนี่”

พอได้ยินผมตอบแบบนั้น มันก็หลุดหัวเราะยกใหญ่ ไม่สนใจสีหน้าเคืองๆ ของผมสักนิด ผมเลยเค้นถามเสียงขุ่น

“หัวเราะทำไม!”

“ขำมึง นี่มึงคิดว่าโรงเกลือเป็นอะไร”

“ที่ผลิตเกลือ” ตอบปุ๊บพาร์ขำปั๊บ

กว่าจะรู้ตัวว่าปล่อยไก่ก็ตอนพาร์อธิบายตลาดโรงเกลือให้ฟัง…ก็ใครจะไปรู้ว่ามันคือสถานที่ขายของเล่า ผมนึกภาพในหัวว่าคงเหมืนตลาดนัดที่มีของขายหลากหลาย   

“ตกลงอยากไปซื้อของฝากไหม?”

“เดี๋ยวดูก่อน”

ผมตอบแบ่งรับแบ่งสู้ ใจหนึ่งก็อยากไปดู แต่อีกใจก็ขี้เกียจไปเดิน 

พาร์ขับไปแปบเดียวก็ถึงวังตะไคร้ ถึงได้รู้ว่าสถานที่กินข้าวเมื่อกี้อยู่ใกล้ๆ ผมได้แต่ยอมรับว่าพาร์วางแผนเดินทางได้ดีมาก

ที่วังตะไคร้ต้องเอามอเตอร์ไซค์จอดหน้าทางเข้าที่จัดไว้ให้ เสียค่าจอดรถสิบบาท ค่าเข้าอีกคนละสิบบาท ที่จริงให้รถยนต์เข้าไปได้ เสียคันละร้อยห้าสิบบาทครับ หลังจากผมแบกเป้มานาน คราวนี้พาร์แย่งไปสะพายเองให้รู้สึกแปลกๆ อีกรอบ เลยแกล้งโวยใส่

“อะไรของมึง เป้ก็ไม่ได้หนัก แย่งกูไปทำไมเนี่ย?”

“เหอะน่า ยังไงมันก็เป็นเป้กู เดินเข้าไปได้แล้ว”

ผมถูกดันให้เดินนำ นี่มันคิดว่าที่นี่เล็กหรือไง จะให้ไปทางไหนก็ไม่รู้ เลยหันไปบ่นคนข้างหลัง “ให้คนไม่เคยมานำทาง ไม่กลัวหลงหรือไง”

“กลัว” มือของผมถูกคว้าไปจับกะทันหัน เลิกคิ้วใส่เจ้าของมือเป็นเชิงถาม พาร์ก็ตอบง่ายๆ “จับมือกันไว้จะได้ไม่หลงไง”    

…นี่เข้าข่ายฉวยโอกาสได้หรือเปล่า? 

ตอนแรกที่ผมเห็นป้ายว่าเป็นอุทยานก็นึกว่าคงเหมือนสถานที่เที่ยวก่อนหน้านี้ คือมาชมและซึมซับความงานของธรรมชาติ แต่ที่นี่ไม่ใช่ครับ ระหว่างเดินชมพืชพรรณไม้ต่างๆ สามารถแวะไปร่วมเล่นกิจกรรมสนุกๆ ตามที่เจอได้ด้วย 

ที่แรกไปเยือนคือสระปทุม แบ่งเป็นสองฝั่งของถนน ฝั่งหนึ่งเป็นบัววิคตอเรีย อีกฝั่งเป็นบัวนานาชนิด จากจุดนี้ไปทางซ้ายจะเจอสนามวังตะไคร้…ทดสอบกำลังใจ นี่เป็นที่เล่นสนุกแรกที่พวกผมเจอ

การทดสอบที่ว่ามีสิบด่าน ได้แก่ ข้ามกำแพง 3 ฟุตกับ 5 ฟุต, ข้ามหลังคาอกไก่, กระโดดหลบหลุมระเบิด, โหนตัวข้ามคูน้ำ, สะพานข้ามลำน้ำ, แท่นกระโดด 5 ฟุต, ปีนข้ามตาข่าย, กระโดดหัวตอ, สะพานโยกเยก

อารมณ์เหมือนได้ย้อนวัยกลับไปเล่นฐานเข้าค่ายลูกเสือ แถมผมจับเวลาแข่งกับพาร์ด้วยยิ่งมัน

จากนั้นก็ไปเสียตังค์คนละห้าสิบบาทไปเล่นเหินฟ้าท้าสายน้ำที่อยู่ใกล้ๆ โดยต้องโหนตัวจากหอคอยความสูงประมาณสิบเอ็ดเมตรข้ามลำนำระยะหนึ่งร้อยเมตรไปอีกฝั่งให้ได้ ทั้งตื่นเต้นทั้งหวาดเสียว แต่กิจกรรมนี้ห้ามเด็กอายุต่ำกว่าสิบสอง และผู้มีโรคหัวใจ หรืออยู่ในสภาวะมึนเมาเล่นครับ

ออกเดินต่อก็จะเจอสวนไม้ดอกไม้ประดับและน้ำตกจำลอง ที่ตรงนี่มีรูปปั้นของคุณท่าน มารู้ที่หลังว่าตรงนี้เรียกว่า น้ำตกจำลอง สวนดอกไม้ “คุณท่าน”

ข้างในนี้มีร้านอาหารด้วยครับ แต่พวกผมยังอิ่มกันอยู่เลยไม่ได้เดินเข้าไปดู เดินไปสักพักก็เจอจุดที่มีคนเล่นน้ำกัน ผมมองหน้าพาร์ทันที

“อยากเล่นก็เล่น”

“แล้วมึงอ่ะ”

“แล้วใครจะเฝ้าของ”

ผมกรอกตาไปมา จับพาร์หันหลัง เปิดซิบเป้ดึงกระเป๋ากันน้ำแบบคาดเอวส่งให้มัน

“เอามาจากไหน?”

“จากบ้านกูดิ แค่ติดมาเผื่อได้ใช้ หมดปัญหาแล้วจะลงเล่นน้ำกับกูได้ยัง?”

พวกผมหาทำเลวางกระเป๋าเป้ใส่เสื้อผ้าไว้บนฝั่ง เป็นจุดที่ถึงอยู่ในน้ำก็มองเห็นเป้ได้ ก่อนพากันลุยน้ำใสเย็นได้ใจ แค่ลงไปนั่งแช่น้ำก็ฟินแล้ว อ้อ มีห่วงยางให้เช่าด้วยครับ แต่เราไม่ได้เช่า ไม่ได้คิดจะเล่นอะไร แค่แช่น้ำ นั่งคุยกันบ้าง แกล้งกันบ้างอยู่แถวนั้น จนห้าโมงกว่าถึงได้ขึ้นฝั่งไปหาที่เปลี่ยนเสื้อผ้า

หลังผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแห้งเรียบร้อยก็ได้เวลาไปตะลุยกินต่อ

พาร์ดูนำเสนอมาก ตอนเดินออกมาจากวังตะไคร้ถึงได้พูดถึงแต่อาหารสุขภาพ เท่าที่ฟังพาร์เล่าเหมือนทางร้านจะปลูกผักปลอดสารพิษเอง คนเคยมาเที่ยวอย่างพาร์ท่าจะชอบอาหารร้านนั้นมาก ผมก็เตรียมไปชิมล่ะครับ ตอนนี้ชักเริ่มหิวแล้วด้วย

และเช่นเดิม ถึงเวลาสั่งอาหารพาร์ก็ร่ายยาวจนผมต้องมองตาปริบๆ อีกรอบ

“สลัดกุ้งทอด เมี่ยงหมูหยอง ผัดผักสี่สหาย น้ำพริกปลาทู เมี่ยงคะน้า อินทรีย์ทอดน้ำปลา…”

ผมต้องเตะขาพาร์จากใต้โต๊ะเป็นการเตือนว่ามากไปแล้ว พาร์ถึงได้หยุดหันมามองผม สักพักถึงได้หันไปสั่งข้าวเปล่าสองจาน และน้ำเปล่าแทน พ้นหลังพนักงานในร้าน ผมก็บ่นทันที

“มีกันอยู่สองคน มึงจะสั่งอะไรเยอะแยะ”

“กูแค่อยากให้มึงได้กิน นี่กูกะจะสั่งไข่ตุ๋นหม้อไฟกับยอดผักผัดเต้าหู้…”

“พอเหอะ ขืนมึงสั่งมามากกว่านี้ กูได้พุงแตกพอดี”

“มีกูช่วยกิน มึงจะกลัวอะไร”

“กลัวมึงพุงแตกอีกคนน่ะสิ! บอกก่อนนะ กูขี่มอเตอร์ไซค์ไม่เป็น!”

“เป็นห่วงว่ากูจะพุงแตกตาย หรือกลัวไม่มีคนพากลับบ้านกันแน่?”

ผมตอบทันทีแบบไม่เสียเวลาคิด “ทั้งสองอย่างนั่นแหละ”

พออาหารทยอยเสิร์ฟ เมี่ยงคะน้ามาก่อนใครเพื่อน ผมเลยก็ได้ประสบการณ์ใช้ใบคะน้าแทนใบชะพลูห่อเมี่ยงกิน…อร่อยไปอีกแบบ หลังไล่ชิมอาหารทุกจาน ผมก็เข้าใจแล้วว่าทำไมพาร์ถึงชอบ เรากวาดอาหารบนโต๊ะกันเกลี้ยง แน่นพุงสุดๆ

ที่นี่มีขายผักสดกลับไปเป็นของฝากด้วยนะครับ เสียดายพวกผมขนไปลำบาก ถ้ามารถยนต์ผมคงซื้อติดมือกลับไปทำอาหารที่บ้านแน่

ขากลับพาร์ไม่ได้รีบร้อน ขี่ไปเรื่อยๆ กว่ากรุงเทพฯ ก็เลยสามทุ่มเกือบครึ่งแล้ว แทนที่จะกลับบ้านกลับพาไปแถวสะพานพระรามแปด หาที่จอดรถได้ มันก็ดึงผมไปเดินเล่นบนสะพานด้วยเหตุผลฟังไม่ค่อยขึ้นว่าอยากเดินเล่นย่อยอาหาร

ทางเดินก็สว่างพอรับรองไม่มีสะดุดพื้น เราไม่ได้เดินไปไกลนัก เพราะเดี๋ยวต้องย้อนกลับไปที่รถอีก เลยยืนเท้าแขนกับขอบกั้นมองไปทางแม่น้ำ ยืนรับลมอย่างผ่อนคลาย   

“วันนี้สนุกไหม?”

ผมยิ้มแล้วพยักหน้า “สนุกมาก”

“พาเที่ยวแบบนี้ดีหรือเปล่า”

“ดีสิ” ผมตอบแบบไม่ต้องคิด

“แล้วมึงคิดว่าเป็นเดตใช่หรือเปล่า”

คำถามนี้ทำผมชะงัก ก่อนย้อนถาม “แล้วไม่ใช่?”

“ถ้ากล้าปฏิเสธว่าไม่ใช่ กูได้เตะมึงแน่”

ผมหัวเราะขำ แต่เห็นสีหน้าหงุดหงิดของพาร์ก็ได้แต่กลั้นหัวเราะอยู่สักพัก แล้วพูดออกไปตามความรู้สึกในใจ “ก็เป็นเดตที่ดีนี่ เรียบง่าย ไม่หวือหวา อยู่กับธรรมชาติ ปล่อยตัวไปตามกระแสความสงบ ผ่อนคลายดีออก แต่มึงก็ยังไม่ลืมทิ้งความสนุกตื่นเต้นไว้ให้กู”

ผมยิ้มเมื่อนึกถึงกิจกรรมสนุกๆ ที่วังตะไคร้

“…ถ้าชวนเที่ยวอีกจะไปไหม?”

“ไปสิ”

“ชอบใช่หรือเปล่า”

“ใช่”

“งั้นคบกับกูไหม”

ผมตวัดตามองคนถามทันที “เมื่อกี้ถามว่าอะไรนะ?”

พาร์เบือนหน้าหนีไปมองแม่น้ำมืด แต่มีแสงดวงเล็กๆ ปรากฏอยู่สองฝั่งแม่น้ำเหมือนแสงดาว

“กูรู้ว่ามึงได้ยิน”

ผมอ้าปากพะงาบๆ พูดอะไรไม่ออกอยู่นาน กว่าจะตั้งสติถามกลับเสียงตะกุกตะกัก 

“…นะ นึกยังไงถึงถามล่ะ”

พาร์หันมองผม คิ้วเริ่มขมวด “กูก็ถามมึงตลอดนั่นแหละ” ก่อนหันไปมองแม่น้ำอีก

มันก็ใช่ แต่คราวนี้ผมรู้สึกต่างออกไป ถ้าก่อนหน้านี้มันพูดจริงกึ่งเล่น คำถามคราวนี้คือจริงจัง ผมได้ปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอะไรออกไป

“และเมื่อกี้ใครบางคนก็บอกว่าชอบ”

แค่ได้ยิน ผมก็เถียงคนเจ้าเล่ห์ทันที “กูหมายถึงชอบที่มึงพาไปเที่ยววันนี้ต่างหาก!”

“แต่ของกูหมายถึง…ชอบกันหรือเปล่า” พาร์ว่า พอผมจ้องหนักเข้าถึงได้ยอมพูดเสียงอ่อน “และมึงบอกว่าใช่”

“มึงโกง!”

“งั้นกูถามอีกครั้งก็ได้ ใช่หรือไม่ใช่?”

ผมชะงัก จ้องคนเจ้าเล่ห์อย่างหงุดหงิดที่สุด แต่เห็นแววตาพาร์จริงจัง อารมณ์ร้อนก็ดับลง พร้อมถามตัวเองในใจว่าคิดยังไงกันแน่

ผิดคิดว่าชอบ…แต่ชอบแบบไหนล่ะ? แล้วมันมากพอหรือยัง?   

หลังครุ่นคิดอยู่นาน ผมก็บอกไปเสียงสั่นนิดๆ “…มึงพิเศษกว่าคนอื่น”

“แค่นั้น?”

“ตอนนี้แค่นั้น นอกเหนือจากนี้กูยังสับสน”

เหมือนได้ยินเสียงถอนหายใจ แต่อาจเป็นเสียงลมแม่น้ำที่พัดแทรกผ่านความเงียบระหว่างเราก็ได้ พวกผมไม่มีใครเอ่ยคำพูดใดๆ ออกมาจนกระทั่งพาร์พูดขึ้นมาก่อน

“แล้วถ้ากูต้องการคำตอบตอนนี้ล่ะ”

ผมเริ่มทำหน้าเครียด “มึงจะให้กูตัดสินใจเลย?”

พาร์ถามกลับเสียงเครียดกว่า “แล้วมึงจะให้กูรอไปถึงเมื่อไหร่”

พอผมเงียบ พาร์เริ่มพูดระบายความในใจบ้าง

“ให้รอนานๆ กูก็ท้อเป็นนะ”

“แต่…”

“ไม่มีแต่ กูไม่อยากรอแบบไร้จุดหมาย มึงควรตัดสินใจเด็ดขาดได้แล้วว่าจะเอายังไงกับเรื่องนี้”

ผมเม้มปาก ท่ามกลางความสับสนกลับรู้สึกถึงแรงกดดันอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ผมเงียบ พาร์ก็เงียบเหมือนรอคอย ยิ่งทำให้รู้สึกกดดันมากกว่าเดิม

แต่ที่พาร์พูดก็ถูก มันเคลียร์ตัวเองไปแล้ว เหลือผมที่ไม่ทำสักที…ต่อให้ตอนนี้รับปากคบไป ปัญหาก็ยังตามต่อเหมืนเงาตามตัว เผลอๆ ส่งผลกระทบในอนาคต อาจเกิดสถานการณ์ย่ำแย่ถึงขั้นแตกหักเลยก็ได้ เพียงแค่คิดผมก็ไม่อยากให้มันเกิดขึ้น

เมื่อรับรู้ว่าตัวเองยังไม่พร้อมมีคนรักจนกว่าจะขจัดปัญหาหลายๆ อย่างในใจออก ผมก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ รวบรวมความกล้า “พาร์” เรียกแค่นั้นก็เงียบนานจนคนโดนเรียกเอ่ยปาก

“กูฟังอยู่” 

ผมรวบรวมความกล้าอีกครั้ง หันไปมองคนยืนข้างๆ “กูมันแย่ เรื่องนี้มึงคงรู้ดียิ่งกว่าตัวกูอีก…”

เราสบตากันนิ่ง ผมพยายามมองตาพาร์ตรงๆ ไม่มีหลบ เค้นเสียงบอกข้อสรุปที่ได้มาเมื่อครู่

“ขอเวลาหนึ่งอาทิตย์ได้ไหม แล้วกูจะให้คำตอบมึง”

“แล้วมึงก็จะขอยืดเวลาไปอีก”

“คราวนี้ไม่” พูดแย้งเสียงแข็ง ทั้งที่ในใจกลับก่ำกึ่งไม่แน่ชัดว่าจะทำได้หรือไม่ได้

แววตาของพาร์นิ่งมาก…มากจนผมขนลุก เป็นแววตาที่ผมอ่านไม่ออกว่าเจ้าของกำลังคิดอะไรอยู่

ใจก็เริ่มหวั่นๆ รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีแปลกๆ “เอ่อ พาร์…”

“กลับกันเถอะ”

ผมสะดุ้งให้กับถ้อยคำชวน แต่กลับรู้สึกเหมือนเป็นคำสั่ง พาร์หมุนตัวเดินนำไปก่อน ปล่อยผมก้าวตามหลังมาเงียบๆ เวลาล่วงเลยจนรถมอเตอร์ไซค์ขับมาจอดหน้าบ้านผม มองผ่านรั้วเข้าไปเห็นแสงไฟ พวกพ่อคงกลับมาแล้ว ผมลงยืนบนพื้นก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคน กระทั่งคนมาส่งเหลือบมองผมที่ยืนอึกอักอยู่ข้างรถเพียงแวบเดียวก็ขับมอเตอร์ไซค์จากไป…ไร้คำบอกลาเหมือนทุกที

ก้มมองหมวกกันน็อกในมือที่ยังไม่ได้คืนเจ้าของ ไหนจะเป้อีกก็ได้แต่ทำหน้ายุ่งยากใจออกมา   

…โดนโกรธเข้าแล้วล่ะมั้ง

############

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
Re: - ชลนที - [บทที่ 49] P.17 (27/03/2017)
«ตอบ #506 เมื่อ27-03-2017 19:07:00 »

 :pig4:

ออฟไลน์ jimmyjimmy

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1962
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-17
Re: - ชลนที - [บทที่ 49] P.17 (27/03/2017)
«ตอบ #507 เมื่อ27-03-2017 19:41:06 »

ตามไปง้อสิ...ที...ไม่ต้องรอแล้ว

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: - ชลนที - [บทที่ 49] P.17 (27/03/2017)
«ตอบ #508 เมื่อ27-03-2017 21:37:39 »

เข้าใจอารมณ์ของพาร์
รักที มาตั้งแต่เด็ก จนถึงปัจจุบัน
แสดงออกให้เห็นตัวตน ชัดเจน เปิดเผย
ว่ารักที ยอมทุกข้อแม้ของที
ที หน่วงเวลา อาจเพราะมีปมตอนเด็ก
ยังคำบอกเล่าของลุงนิกกับแฟน
ว่าเป็นแฟนเมื่อไหร่เจ็บเมื่อนั้น
ที ตัดสินใจได้ละมั้งคราวนี้
ก็พาร์แสนดี ทั้งดีทั้งหล่อ
แล้วรักที อย่างไม่มีข้อแม้
ง้อพาร์ รับรักพาร์ คบพาร์ ได้แล้ว
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
Re: - ชลนที - [บทที่ 49] P.17 (27/03/2017)
«ตอบ #509 เมื่อ27-03-2017 22:47:14 »

จะตามทีพาร์ไปเที่ยววังตะไคร้

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด