- ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: - ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว  (อ่าน 175497 ครั้ง)

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
Re: - ชลนที - [บทที่ 52] P.18 (12/04/2017)
«ตอบ #540 เมื่อ12-04-2017 17:18:14 »

เปิดใจกันแล้ว อย่าเผลอละที โดนเปิดกายเป็นแน่
 :hao6:

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
Re: - ชลนที - [บทที่ 52] P.18 (12/04/2017)
«ตอบ #541 เมื่อ12-04-2017 18:15:09 »

ดูเหมือนก้าวหน้าไปอีกหลายก้าวนะ

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
Re: - ชลนที - [บทที่ 52] P.18 (12/04/2017)
«ตอบ #542 เมื่อ12-04-2017 20:57:54 »

ในทีสุดก็คบกัลล

ออฟไลน์ jimmyjimmy

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1962
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-17
Re: - ชลนที - [บทที่ 52] P.18 (12/04/2017)
«ตอบ #543 เมื่อ12-04-2017 22:39:52 »

เป็นแฟนกันแล้ว

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
Re: - ชลนที - [บทที่ 52] P.18 (12/04/2017)
«ตอบ #544 เมื่อ12-04-2017 23:12:48 »

ชอบโมเม้นเวลาคู่นี้อยู่ด้วยกัน มันน่าร๊ากกกกกด

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
Re: - ชลนที - [บทที่ 52] P.18 (12/04/2017)
«ตอบ #545 เมื่อ12-04-2017 23:14:16 »

55555 สองปีแหนะ อกแตกตายแน่ๆ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: - ชลนที - [บทที่ 52] P.18 (12/04/2017)
«ตอบ #546 เมื่อ13-04-2017 23:39:39 »

คบกันสักที ลุ้นมาตั้งนาน  :m11: :m11: :m11:
พาร์แทะเล็มบ่อยๆนะ ทีจะได้ชิน 555555555555

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
Re: - ชลนที - [บทที่ 53] P.19 (17/04/2017)
«ตอบ #547 เมื่อ17-04-2017 22:36:29 »

บทที่ 53

พอผ่านพ้นช่วงสอบ ความสนใจของทุกคนก็ถูกดึงไปทางกิจกรรมใหญ่ทันที สะใภ้คณะอย่างผมก็มีเรื่องที่ต้องทำหลายอย่างเหมือนกัน อย่างเช่นตอนนี้...ผมกำลังยืนจ้องตาฟาดฟันกับพวกรุ่นพี่ทั้งหกอย่างไม่เกรงกลัว จนพวกเขาละสายตาส่งเสียงดุใส่คนช่างฟ้อง

“นั่นข้อยกเว้น เขามาเพราะจำเป็น ไม่เหมือนพวกเธอ!”

ขอบคุณที่ช่วยแก้ต่างให้ครับ

ผมตัดสินใจเมินคนกลุ่มนั้น ก้าวขาเดินต่อโดยไม่สนใจเสียงขอความช่วยเหลือไล่หลัง

“นายอีคอนตรงนั้นช่วยพวกเราหน่อยสิ!”

“พี่ขอแนะนำให้น้องเลิกตะโกนขอให้คนอื่นช่วย แล้วบอกชื่อคณะมาสักที!”

“เราไม่ใช่สปาย!”

“ใช่หรือไม่ก็ต้องคุมตัวพวกเธอไปส่งถึงคณะอยู่ดี เจอรุ่นพี่พวกเธอเมื่อไหร่ก็ได้คำตอบเองนั่นแหละ”

ด้านหลังผมเงียบไปทันที แต่แปบเดียวก็มีเสียงอ้อนวอน

“ป…ปล่อยพวกหนูไปเถอะนะพี่ เราไม่อยากโดนรุ่นพี่สั่งลงโทษไปเป็นเบ้ในวันกิจกรรม”

“เห็นแก่ที่พวกหนูเป็นผู้หญิงเถอะนะคะ”

“ไม่ได้!”

ผมเดินพ้นระยะได้ยินเลยไม่รู้ว่าเรื่องราวเป็นยังไงต่อ และไม่คิดสนใจด้วย นี่ล่ะครับ ผลของการไม่เชื่อฟังคำเตือนรุ่นพี่ ถ้าไม่อยากเจอเรื่องแบบนี้เก็บตัวอยู่แถวคณะตัวเองดีที่สุด น่าเสียดายผมทำไม่ได้

จุดหมายของผมคือธงพื้นดำตรงกลางเป็นรูปนกสีขาวคาบซองจดหมาย เช่นเดียวกับปลอกผ้าที่แปะติดต้นแขนซ้ายขณะนี้ สีปลอกแขนแบ่งตามสีคณะ อย่างที่ผมใส่อยู่เป็นสีฟ้าของนิติครับ มีชื่อเรียกเท่ๆ ว่าทูตประจำคณะ แต่ความจริง…เด็กส่งจดหมายดีๆ นี่เอง

เพียงแค่ไปยืนใกล้ธง ไม่นานก็มีคนเดินเข้ามาหา ไม่ต้องพูดจาอะไรมาก ยื่นซองจดหมายปล่อยอีกฝ่ายดึงไป มองเขาวิ่งวกกลับเข้าตึกคณะสถาปัตย์ ปล่อยผมยืนรอท่ามกลางสายตาที่จับจ้องมาอย่างไม่เป็นมิตร

ต่อให้ชินก็แอบรู้สึกเหมือนตัวเองมาเยือนถ้ำงูที่พร้อมจะโดนฉกทุกเมื่อ

ผ่านไปครู่ใหญ่คนเดิมก็กลับมาพร้อมซองจดหมายสีใหม่ ต่างคนต่างพยักหน้าเป็นเชิงบอกลา

ง่ายๆ แค่นี้แหละครับ แต่ความยุ่งยากคือหลังจากนี้…ด้วยอภิสิทธิ์จากปลอกแขนทำให้ผมสามารถบุกรุกอาณาเขตคณะอื่นได้โดยไม่ถูกล้อมกัก เพียงแต่ถ้าไม่ใช่คณะที่มีธุระด้วย เราจะโดน…

“ส่งจดหมายมา!”

ผมสะดุ้งโหยง เมื่อเจอเจ้าถิ่นศิลปกรรมโผล่พรวดมาด้านข้างถึงสองคน วิ่งสิครับ!!

แว่วเสียงตะโกนพร้อมเสียงฝีเท้าจากด้านหลัง สบโอกาสหันกลับไปมองแวบหนึ่งก็รีบหันกลับ วิ่งหน้าตั้งหนีสองคนที่ทำหน้าเอาจริงเอาจังไล่กวดมาสุดฝีเท้า

โอ๊ย! จะเอาจริงเอาจังไปไหน!!

ผมวิ่งตัดคณะศิลปกรรมไปคณะมนุษยศาสตร์ เป็นเส้นทางสั้นที่สุดถ้าจะกลับนิติ ไม่ต้องเดินอ้อมไปอ้อมมาให้เสียเวลา…

“ชิงจดหมายมาให้ได้!!”

เหยียบเข้าเขตคณะมนุษย์ไม่นาน เจ้าถิ่นก็โผล่มาแล้วครับ!!

ผมวิ่ง วิ่ง และวิ่ง ลมหายใจเริ่มถี่กระชั้นขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายก็ชักล้าหลังใช้งานอย่างหนักติดต่อกัน

อีกนิด ทนไว้ไอ้ที!

ผมกัดฟันอดทน วิ่งเต็มฝีเท้าจนเข้าเขตคณะนิติถึงค่อยๆ ผ่อนฝีเท้าลงทีละน้อยจนหยุดยืนกับที่ หอบหายใจตัวโยน แถมทั้งตัวยังชุ่มด้วยเหงื่อ หันไปมองเบื้องหลังแวบหนึ่ง สองผู้ไล่ล่าหันหลังเดินจากไปด้วยท่าทางอารมณ์เสีย เห็นแบบนั้นก็อยากทิ้งตัวนั่งกลางถนนให้รู้แล้วรู้รอด

เหนื่อยเป็นบ้า!

หมับ!

แขนผมถูกดึงกะทันหัน หันไปมองคนจับก็ถูกพาร์ลากตัวเข้าร่มไม้ โดนผลักให้นั่งลงบนขอบทางเท้า

“มึงนั่งพักอยู่นี่ เดี๋ยวกูเอาไปส่งให้เอง”

ผมพยักหน้ารับคำ ไม่มีแรงเหลือจะพูด จดหมายโดนฉกไปจากมือแทนที่ด้วยขวดน้ำเปิดฝาเรียบร้อย ได้แต่มองแผ่นหลังคนยัดขวดน้ำใส่มือวิ่งไปทางตึกคณะ

หลังนั่งพักจนลมหายใจกลับเป็นปกติถึงยกขวดน้ำกระดกดื่ม…

“ไปทางนั้นแล้ว!”

พรวด!

ผมลุกพรวดหน้าตื่น รีบใช้มือเช็ดปากที่เผลอพ่นน้ำออกมาลวกๆ ตั้งท่าจะวิ่งแล้วถ้าไม่เหลือบไปเห็นผู้หญิงคุ้นหน้า ในมือกำจดหมายวิ่งขึ้นนำผู้ชายสองคนมาหลายช่วงตัว

เธอเหลือบมองทางผม ยกยิ้มขบขันให้นิดหน่อยก็เร่งความเร็ว วิ่งผ่านหน้าทิ้งคนไล่ตามไม่เห็นฝุ่น สุดท้ายคนไล่ล่าก็ยอมหยุดวิ่งเอง ผมนั่งลงที่เดิมด้วยอาการขายหน้าเล็กๆ ก็คนพึ่งโดนไล่กวดมานี่ครับ เจอประโยคเหมือนกันเข้าต้องเผลอมีปฏิกิริยาบ้างเป็นธรรมดา

“โอ๊ย เร็วชะมัด!”

กำลังจะสงบสติอารมณ์ หูดันได้ยินเสียงรุ่นพี่นิติคุยกันชัดแจ๋ว หันตามเสียงพบพวกเขายืนหันหลังให้ กำลังก้มหน้าเท้าแขนกับเข่าหอบหายใจกันใหญ่

“กูว่าสะใภ้คณะคนใหม่ของเราวิ่งเร็วแล้วนะ แต่เธอคนเมื่อกี้เร็วกว่าอีกวะ”

แม้เป็นบุคคลในหัวข้อก็ไม่คิดพูดขัดจังหวะ ฟังรุ่นพี่นิติหอบหายใจไปคุยไปเงียบๆ ดีกว่า

“สะใภ้แต่ละคนฝึกวิ่งมาท่าไหนวะ แต่ละรุ่นถึงได้หนีไวนัก”

“มึงก็ไปถามสะใภ้คณะเราดูสิ” พูดพลางใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อออกจากหน้า ก่อนบ่นเหมือนอดไม่อยู่ “งานฉกจดหมายจากทูตไม่ยาก แต่ของสะใภ้คณะนี่โหดหินสัดๆ ถ้ารางวัลไม่ล่อตาล่อใจ คงไม่มีใครคิดทำ”

“จริงวะ แถมของรางวัลจากจดหมายปลอมยังดีกว่าของจริงอีก กูไม่เข้าใจก็ตรงนี้”

“หรือเพราะฉกมายากหรือเปล่า ช่างเหอะ ยังไงปีนี้กูกับมึงต้องฉกมาสักฉบับให้ได้!”

“สู้โว้ย! แค่สะใภ้คณะไม่คณามือพวกเราหรอก...ชะอุ๋ย”

พวกเขาที่หมุนตัวจะเดินกลับถิ่น สบตากับผมที่นั่งกินน้ำอยู่ใต้ต้นไม้เข้าก่อน ทั้งคู่คลี่ยิ้มเก้อเขินมาให้ก่อนเผ่นหนีสวนทางกับพาร์ที่กำลังเดินกลับมาพอดี มันหันมองรุ่นพี่วิ่งผ่านไปโดยไม่หยุดทักแวบหนึ่งด้วยแววตางงๆ ก่อนตรงดิ่งมานั่งข้างผม ยื่นผ้าขนหนูผืนเล็กให้

“เอานี่”

ผมรับมา สัมผัสแรกคือทั้งชื้นทั้งเย็นจนอดอุทานไม่ได้ “มึงเอาไปแช่ตู้เย็นมา!”

“ต้องไปขอบคุณพี่ดิน” พาร์พูดกึ่งประชด

ผมกลั้นขำ เดาออกว่าใครบางคนกำลังไม่พอใจ ใช้ผ้าเย็นเช็ดหน้าคอให้คลายร้อน เห็นพาร์มองอยู่ก็ยักคิ้วให้ นึกอยากแหย่แฟนเล่น “สวัสดิการหลังทำงานกูดีใช่ไหมล่ะ”

“ดีจนกูสงสัยว่าพี่ดินแอบคิดอะไรกับมึงหรือเปล่า”

“หึง?”

“นิดหน่อย รู้สึกเหมือนโดนแย่งหน้าที่แฟน”

ผมหัวเราะอย่างอดไม่อยู่เลยโดนพาร์เขม่นใส่ รีบกลืนเสียงหัวเราะลงท้องแทบไม่ทัน อธิบายอย่างใจเย็นให้คนขี้หึงรับรู้ “เขาเห็นกูเป็นน้องชายกับเลขามากกว่า ไม่มีหรอกแววตาชอบแบบอื่น และเพราะพี่ดินเป็นแบบนี้ คนอื่นถึงโหวตให้เลี้ยงลูกแมวไง ว่าแต่เฮียแกเตรียมน้ำขนมรอกูอยู่ใช่ปะ”

“รู้ดี” แก้มผมโดนดึงจนเจ็บ ต้องใช้สันมือสับใส่แขนมันถึงได้ยอมปล่อย “จะไปนั่งตากแอร์กินขนมก็ลุก”

ผมยื่นมือไปหาพาร์ “ดึงหน่อย”

“ให้อุ้มเลยไหม”

ผมชักมือกลับ “ลุกขึ้นเองก็ได้วะ”

พักตากแอร์ได้ไม่นานก็โดนไล่ไปส่งจดหมายอีก กลับมาก็แทบจะนอนแผ่หลาอยู่ใต้ต้นไม้ ไม่ไปแล้วห้องแอร์ ขอพักตรงนี้นานๆ ดีกว่า

“หลังได้ขยับตัวออกแรงจนเหงื่อท่วมรู้สึกดีไหม”

ผู้อุทิศตักให้ผมหนุนแทนหมอนเอ่ยถามขำๆ ใช้สมุดโบกลมพัดมาทางผมที่นอนหอบหายใจจนพุงกระเพื่อมขึ้นลง ครู่ใหญ่กว่าผมจะเค้นเสียงออกมาพูดกับพาร์ได้

“สนใจ…ไปวิ่งเองไหม”

“ถ้ากูทำได้ไม่รอมึงเอ่ยปากหรอก ไปเองนานแล้ว”

ไปเหนื่อยเนี่ยนะ? เป็นผมขอหลบอยู่แถวคณะยังดีซะกว่า

พาร์ตีหน้าผากเบาๆ หนึ่งทีเหมือนเดาออกว่าผมคิดอะไรอยู่

“ตอนนี้ใครๆ ก็อยากออกไปเตร็ดเตร่เหมือนมึงทั้งนั้น แต่คนได้ออกไปกลับไม่พอใจแบบนี้ระวังจะโดนเขม็ง”

“ทำไมล่ะ?”

“เห็นใจคนโดนจำกัดพื้นที่หน่อย กูก็คนหนึ่งล่ะ”

…คิดดูแล้ว เพราะทูตปลอมเที่ยวส่งจดหมายป่วนประธานคณะนู้นคณะนี้เป็นหนึ่งในบททดสอบของสะใภ้คณะ ผมเลยคิดว่าเป็นหน้าที่ต้องทำมากกว่า แต่เมื่อเทียบกับพาร์หรือคนส่วนใหญ่คนที่ต้องอยู่อุดอู้แถวคณะหลายวัน การได้ออกไปวิ่งเล่นทั่วมหาลัยก็เป็นเรื่องน่าอิจฉาจริงๆ นั่นแหละ

“ว่าแต่จดหมายล่าสุดที่มึงเอากลับมา เขียนอะไรไว้ พี่ดินถึงขำไม่หยุดหลังอ่านจดหมายตอบกลับ”

“กูจะไปรู้ได้ไง…มองอะไรวะ?”

ผมหันตามสายตาพาร์ที่จ้องเขม็งใส่หนุ่มน้อยหน้าหวาน ต้นแขนข้างซ้ายสวมปลอกแขนของทูตสีน้ำเงิน ผมไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ดังนั้นไม่ใช่สะใภ้คณะแน่นอน แต่น่าจะเป็นทูตคณะตัวจริงเสียงจริง เผลอลดสายตามองจดหมายในมืออีกฝ่ายด้วยแววตาสนอกสนใจ

คณะที่ไม่ใช่พันธมิตรสามารถยื่นจดหมายเสนอเงื่อนไขเพื่อการร่วมมือแบบลับๆ ได้ วันนี้พี่ดินจำเป็นต้องเก็บตัวเงียบในห้องสโมฯ พิจารณาเงื่อนไขคนอื่นแล้ว ยังต้องส่งเงื่อนไขตัวเองไปยังคณะที่หมายตาด้วย โดยมีเรื่องบันเทิงคลายเครียดคือจดหมายปลอมนี่แหละ

“กลับห้องสโมฯ กัน กูอยากรู้เนื้อความในจดหมาย”

ผมเอ่ยชวนอย่างนึกสนุก แต่กลับมีแต่ความเงียบ เลยย้ายสายตากลับมาที่พาร์อีกครั้ง เห็นกำลังเอาแต่มองคนเดินกล้าๆ กลัวๆ ไม่เลิกก็เอื้อมมือตบแก้มพาร์แปะๆ ใจแอบนึกหงุดหงิดเล็กๆ

“กูรู้ว่าเขาน่ารัก แต่อย่าไปมองมาก”

แววตาที่ก้มมองผมงงไปวูบหนึ่ง ก่อนจะเปล่งประกายระยับ “หึง?”

“…กูมีสิทธิ์ไหมล่ะ?”

“มี! หึงบ่อยๆ นะ กูชอบ”

บ่อยเรอะ ผมย่นคิ้วไม่เห็นด้วย แค่เจอความขี้หึงของมันคนเดียวก็พอแล้วครับ

เห็นพาร์ยังจ้องรอคอยคำตอบก็ได้แต่บอกตามความรู้สึก “ถ้าอยากเห็นกูหึง ควรลดความหึงหวงของตัวเองให้ได้ก่อน ยิ่งมึงมีมากเท่าไหร่ โอกาสเห็นกูหึงก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น”

คนฟังถอนหายใจยาวเหยียด “…ถ้ากูห้ามตัวเองได้เหมือนเปิดปิดก๊อกน้ำคงดี”

“กูไม่ได้ห้ามมึงหึง แต่หึงให้สมเหตุสมผลหน่อย ไม่ใช่กับแมวก็ยังหึง”

เพียะ! ผมรีบยกมือลูบหน้าผากหลังโดนนิ้วดีดใส่

“มึงต่างหากที่ยังไม่เข้าใจ นั่นเรียกหวง ไม่ใช่หึง”

“…งั้นรอกูแยกแยะสองคำนี้ได้เมื่อไหร่ค่อยมาคุยกันใหม่”

อีกครั้งที่พาร์ถอนหายใจ แววตาไม่มีความคาดหวังอยู่ในนั้นเลย เล่นทำผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นฝ่ายผิดที่ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องแบบนี้สักที ผมรีบเปลี่ยนเรื่องด้วยการวกกลับมาถามเรื่องเก่า

“ตกลงจะกลับห้องสโมฯ กับกูปะ?”

คราวนี้พาร์พยักหน้าให้ เราเลยลุกเดินกลับเข้าตึกคณะนิติ ระหว่างเดินผ่านหน้าตึก พาร์ยั่วผมด้วยการจงใจมองทูตตัวจริงที่ยืนข้างธงสีดำสูงระดับอก จนคนถูกจ้องยืนกระสับกระส่าย เหงื่อแตกพลั่กๆ

ถ้าอีกฝ่ายโดนพาร์มองแล้วหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ ผมหึงแน่!

แต่นี่…สีหน้าทูตแสดงออกชัดว่ากำลังหวาดกลัว มีคำ ‘อยากเผ่นไปจากที่นี่’ แปะอยู่บนหน้าผาก เป็นคนที่อ่านอารมณ์ผ่านสีหน้าง่ายมาก ไม่รู้ถูกเลือกเป็นทูตได้ไง

ผมส่ายหน้าให้ทั้งทูตและพาร์ ไม่คิดบอกให้คนข้างๆ รู้หรอก เดี๋ยวได้ใจแล้วยั่วให้ผมหึงบ่อยๆ ก็ไม่รู้กันพอดีว่าตอนไหนควรระวังคนของตัวเอง แต่กรณีพาร์…ควรระวังคนอื่นมากกว่ามั้ง

ออกเดินต่ออย่างไม่สนใจว่าคนของตัวเองจะตามมาหรือเปล่า แว่วเสียงเดินกึ่งวิ่งไล่ตามมาจนกลับมาเดินข้างกัน

“โกรธเหรอ?”

หันไปมองคนพูดเสียงอ่อนเสียงหวานเหมือนกำลังจะง้อ เลยตัดบทด้วยคำถามให้มันรู้ว่าคิดผิด

“กูต้องโกรธอะไร”

“…ไม่หึงแล้ว”

พอเห็นผมยักไหล่ไม่สนใจ เห็นพาร์ทำหน้าผิดหวังก็กลั้นขำ ลากคนหูลู่หางตกเข้าห้องสโมฯ สวนทางกับคนเอาจดหมายไปส่งให้ทูตตรงหน้าประตูพอดี ได้แต่มองตามไปอย่างเสียดาย เอาเถอะ ไม่รู้คำตอบก็ยังได้รู้ว่าฝ่ายนั้นส่งอะไรมา…

“พี่ดินนนน!”

ผมร้องลั่นมองคนทิ้งจดหมายทั้งซองลงกระถางดินเผา โธ่ สิ่งที่ผมอยากรู้ไหม้ไปซะแล้ว

“เรียกพี่ทำไม?”

ผมถอนหายใจ ไม่คิดตอบ เดินไปเปิดตู้เย็นเล็กหยิบขวดน้ำมาดื่มแบบเซ็งๆ

“ที” พอหันไปสบตา พี่ดินก็พูดต่อ “กลับบ้านไปได้แล้ว พรุ่งนี้เช้ามาเจอพี่หน้าคณะตอนเจ็ดโมง”

“ฮะ? แล้วหน้าที่ส่งจดหมาย…”

“ไม่ต้องแล้ว เดี๋ยวพี่เขียนใบประเมินส่งให้พี่เลี้ยงสะใภ้เอง พรุ่งนี้เราต้องใช้แรงมากกว่านี้เยอะ พี่อยากให้เราพร้อมที่สุด”

ผมปิดฝาขวดน้ำ พยักหน้ารับคำเงียบๆ คว้าเป้ทั้งของตัวเองและของพาร์เดินออกจากห้องสโมฯ แว่วเสียงพาร์บอกลา ครู่เดียวก็เดินตามผมมาจนมาเดินข้างกัน

“โกรธพี่ดิน?”

“กูจะไปโกรธทำไมล่ะ” ผมหันไปตอบคนเอ่ยถามลอยๆ “เฮียแกพูดถูก พรุ่งนี้กูต้องเจอศึกหนักยันหกโมงเย็น มึงก็ด้วย แยกย้ายกันกลับบ้าน พรุ่งนี้เช้า…”

“เดี๋ยวกูไปรับ”

ผมเลิกคิ้วขึ้น “มึงจะเอารถไป?”

“อือ หาที่จอดไว้แล้ว ไม่มีปัญหาหรอก ว่าแต่เห็นข่าวใหม่ของเรายัง”

“ข่าวไรวะ?”

“เข้าเพจเจ๊ดาด้าดิ เลื่อนลงมาหน่อย มันเป็นของเมื่อสามวันที่แล้ว”

ผมเลยหยิบมือถือขึ้นมา เข้าไปดูด้วยความสงสัย เลื่อนจนเจอรูปด้านข้างของพาร์กำลังเซ็นชื่อรับเสื้อที่โต๊ะ ข้างกันเป็นรูปผมกำลังขนลังใส่กล่องเสื้อเดินอยู่หน้าตึกคณะนิติ แล้วไล่อ่านข้อความข่าว ก่อนอุทานออกมา

“เฮ้ย!!”

แฟนๆ หนุ่มนิติอีคอน วันนี้เจ๊มีภาพมาฝาก

ดูสิดู ถึงกับไปยืนต่อแถวกลางแดดหน้าคณะอีคอนรับเสื้อแทนใครบางคน ส่วนเจ้าของเสื้อตัวจริงกำลังหัวหมุนช่วยงานอยู่คณะนิติ อื้อหือ! แม้กายห่างกันตั้งแต่ช่วงสอบ แต่เหมือนใจไม่ได้ห่างตามนะเนี่ย ดังนั้นใครปลื้มคู่นี้อยู่เลิกใจแป้วได้แล้วจ๊ะ เจ๊ว่าคู่นี้ยังหวานให้เราดูอีกนาน ว่าแต่จะมีสามีคณะไหนน่ารักแบบนี้อีกไหมเนี่ย?

ผมทำหน้าปั้นยาก หันไปบ่นกับพาร์ “เรื่องแค่นี้ก็ตกเป็นข่าวด้วยเรอะ”

“กูนึกไม่ถึงเหมือนกัน” พาร์หัวเราะขำ ท่าทางเห็นเป็นเรื่องชวนหัวมากกว่า 

จังหวะเดินมาถึงรถสีเงินของพาร์พอดี ผมเลยอ้อมไปฝั่งข้างคนขับ ขึ้นรถได้หัวข้อกลับเปลี่ยนเป็นเรื่องของกินแล้วไหลไปเรื่องอื่น หาจังหวะวกกลับมาเรื่องข่าวไม่ได้

ผมลอบพ่นลมหายใจ…ในเมื่อพาร์ไม่เก็บมาใส่ใจ งั้นผมทำบ้างแล้วกัน

-------------

สงครามสายน้ำเปิดงานเก้าโมงตรง แต่แปดโมงนิดๆ คนก็มากันเกือบครบแล้ว

แต่ประธานนิติชั้นปี 4 กลับทำหน้าหงุดหงิด เพราะเฮียแกประกาศนัดรวมพลเจ็ดโมงตรง นี่เลทมาชั่วโมงหนึ่งแล้ว คนกลับยังไม่ครบ

“นายสองคนอยู่รอรับพวกมาสาย!”

พี่ดินที่หมดความอดทนพูดขึ้นมา ตะโกนบอกให้ทุกคนเก็บของเตรียมตัวเคลื่อนย้าย หลังตั้งแถวที่ไม่ค่อยเป็นระเบียบนักพร้อม ประธานปี4 จึงเริ่มเดินนำขบวนพาเคลื่อนไปยังเต็นท์ของนิติ

…เป็นการเดินที่เงียบมากครับ รู้สึกกดดันสุดๆ จนต้องแอบกระซิบถามพาร์เสียงแผ่ว

“กูนึกว่าจะเหมือนพาเหรดกีฬาสีซะอีก”

พาร์ยิ้มขำ กระซิบกลับ “เพราะไม่ใช่ไง”

ถึงอย่างนั้นก็แอบติดใจสงสัยเรื่องหนึ่งจนเผลอมองคนสะพายกลองที่เดินนำเยืองๆ ด้วยความมึนงง

…ถ้าไม่ใช้ แล้วแบกกลองมาทำไม?

เต็นท์ของนิติมีสามหลัง แต่พี่ดินพาเดินผ่านเต็นท์แรกจนมาถึงเต็นท์ตรงกลางที่อยู่บนถนนติดกับสนามหญ้า ผมจำได้ว่าแถวนี้นักศึกษาชอบมาเล่นแตะบอลกันบ่อยๆ

“ลงสนามเอาบังเกอร์ที่สูบลมแล้ววางตามแผนได้เลย ใครยังไม่ได้สูบก็รีบเอาไปสูบ เร่งมือกันหน่อย เวลาเหลือน้อยแล้ว”

หลายกลุ่มกระจายตัวทำตามคำสั่งพี่ดินทันที พาร์ก็ลากผมไปช่วยคนอื่น เลยได้รู้ว่ากลุ่มหนึ่งคละกันหลายชั้นปี ปีหนึ่งมายืนเรียนรู้งานเฉยๆ ปีสองปีสามเป็นคนลงมือ ปีสี่มาช่วยแนะนำและสอน ผ่านไปครู่หนึ่งในสนามถึงเริ่มมีบังเกอร์สีฟ้าน้ำเงินโผล่ขึ้นมาทีละอันสองอัน และมากขึ้นเรื่อยๆ     

[ประกาศ ขอให้สะใภ้คณะเตรียมตัวให้พร้อม อีกห้านาทีจะปล่อยตัวออกสำรวจพื้นที่เป็นเวลาสามสิบนาที และในเวลาเก้าโมงตรงจะเริ่มเปิดกิจกรรมสงครามสายน้ำอย่างเป็นทางการ ขอให้ทุกฐานเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมก่อนเวลาดังกล่าว ประกาศอีกครั้ง…]

“ที! พาร์!”

พี่ดินตะโกนเรียกจากข้างสนาม พวกผมรีบผละไปหาคนเรียก ไปถึงพี่ดินก็พูดแนะนำไม่หยุด

“ยังไม่มีการปะทะไม่ต้องพกปืนไป ของที่ไม่จำเป็นต้องใช้ก็เอาของมาวางไว้ก่อน พยายามให้ตัวเบาที่สุดจะได้คล่องตัวตอนวิ่งกลับฐาน พี่ให้เวลาสำรวจแค่ยี่สิบห้านาที เผื่อเวลาห้านาทีไว้วิ่งกลับมาที่นี่ ช่วงแรกคนออกสำรวจเยอะ อย่าพึ่งออกไปจากฐานดีกว่า พาร์ไปกับทีด้วย”

“ผมไปด้วยได้?”

“ได้ ถ้าอยากไป หลังจากนี้พี่ต้องฝากพาร์คอยพิทักษ์ดูแลสะใภ้คณะด้วย แล้วก็…”

ผมเห็นพี่ดินยัดกระดาษพับแล้วใส่กระเป๋าเสื้อเชิ้ตพาร์พร้อมปากกา กระซิบอะไรสักอย่างได้ยินไม่ถนัด ครู่เดียวพาร์ก็พยักหน้า พวกผมเตรียมตัวเสร็จก่อนถึงเวลาหนึ่งนาทีเลยไปยืนรอเวลาปล่อยตัวบนถนน ได้จังหวะเลยถามถึงข้อสงสัย

“พี่ดินให้อะไรมา?”

“แผนที่มหาลัยกับปากกา”

ได้ยินแล้วก็เผลอยิ้ม “กลัวเราหลงเรอะ”

“เปล่า” พูดถึงตรงนี้มันก็ลดเสียงลงเหลือกระซิบ “เอามาให้จดฐานคณะอื่นต่างหาก”

[อีกหนึ่งนาทีจะเริ่มปล่อยสะใภ้ ใครที่ไม่ใช่โปรดอยู่พื้นที่ภายในฐาน ประกาศอีกครั้ง…]

“…กูไปได้แน่ๆ เหรอ?” พาร์ถามอย่างข้องใจ

“ถ้าพี่ดินบอกว่าได้ ก็น่าจะได้มั้ง” ผมพยายามทบทวนเรื่องที่รู้มา ก่อนพูดยืนยันอีกที “กูว่าน่าจะได้ เพราะกิจกรรมวันนี้มึงต้องร่วมหัวจมท้ายไปกับกู”

“ต่อให้ไม่ใช่กิจกรรม กูก็พร้อมทำแบบนั้น”

“อย่าพึ่งหวานตอนนี้ กูขอตกลงกับมึงก่อน ถึงพี่ดินอยากให้มึงเป็นองค์รักษ์ แต่กูต้องการคู่หูมากกว่า มึงให้กูได้ไหมล่ะ?”

“กูจะรับปากก็ต่อเมื่อมึงมีรางวัลให้คู่หูที่ดี”

ผมมองรอยยิ้มกริ่ม นัยน์ตาพราวระยับของพาร์อย่างอดระแวงไม่ได้

“…จะเอาอะไร?”

“กูจะบอกหลังจบกิจกรรม ถ้าไม่ยอมรับข้อเสนอนี้ก็ปล่อยกูไปเป็นองค์รักษ์ของมึงดีกว่า จะดูแลปกป้องประหนึ่งเป็นเจ้าหญิง ต่อให้ต้องอุ้มมึงหนี กูก็จะทำ แถมท่าถนัดของกูคือท่าอุ้มเจ้าสาว…”

“พอ! กูตกลง!” รีบเบรกก่อนมันทำขนแขนของผมตั้งชันมากกว่านี้ “ต่อให้วันนี้กูสะดุดล้มขาแผลงก็ไม่ต้องมาอุ้มนะโว้ย”

[อีกห้าวินาที โปรดฟังเสียงสัญญาณปล่อยตัว]

“เดี๋ยวให้ขี่หลัง…”

“ไม่ต้อง!” พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ช่วยพยุงไปเต็นท์พยาบาลก็พอ! ขอย้ำ! แค่พยุงนะมึง!”

เสียงสัญญาเสมือนระฆังพักยก

เพราะเวลามีน้อยเราเลยรีบออกจากฐาน และตั้งเป้าไว้ว่าจะสำรวจให้ได้มากที่สุด

ผ่านมาสิบนาที พวกผมมาได้ไกลพอสมควร พาร์กำลังนั่งยองๆ วางกระดาษกับตัก วาดรูปสามเหลี่ยมลงแผนที่มหาลัย ตวัดปากกาเร็วๆ เขียนข้อความอ่านรู้เรื่องกำกับว่าเป็นฐานของคณะไหน ถ้าไม่รู้ก็ลงแค่สีเสื้อไว้

“กูเสร็จแล้ว ไปต่อเลยไหม?”

ผมขานรับในคอ เหลือบมองบังเกอร์ใกล้เต็นท์ฐานอีกครั้งด้วยความตื่นตาตื่นใจ

เจอมาหลายคณะไม่มีรูปแบบไหนซ้ำกันเลยครับ ถึงวัสดุใช้ทำบังเกอร์จะวนซ้ำอยู่ไม่กี่อย่างก็เถอะ เห็นด่านให้พิชิตน่าสนุกแบบนี้ใครจะไม่อยากเล่น 

“อย่านึกสนุกเอาตัวเองไปเสี่ยง” พาร์พูดดุใส่เหมือนอ่านใจผมออก แถมลุกขึ้นยืนคว้ามือลากตัวไปที่อื่นต่อ “อย่าลืมมึงมาตัวเปล่า และที่สำคัญเขายังไม่เปิดงาน”

ได้แต่มองบังเกอร์ที่วางกินพื้นที่เยอะน่าดูตาละห้อย

“...กูอยากไปลุยในบังเกอร์บ้าง”

“ถ้ามึงไม่ได้จะไปบุกยึดเต็นท์ชาวบ้านก็ไม่จำเป็น อีกอย่างบังเกอร์ที่มึงเห็นวางทิ้งไว้ มันใช้สำหรับบุกยึดเต็นท์ฐานทัพหลัก ถ้าเป็นฐานย่อยอาจมีทำกำแพงกั้นรอบฐานบ้างแค่นั่น ข้อดีคือไม่มีจำกัดทิศบุกเหมือนฐานหลัก”

ฟังพาร์เล่าแล้วรู้สึกตัวเองโง่ขึ้นมาทันที ก็ตามประสาคนไม่ค่อยได้เข้าประชุมครับ มิน่า นนท์ถึงเคยบอกว่าคนขาดประชุมมักต้องไปเป็นเบ้ประจำฐาน ผมเข้าใจจุดนี้ เพราะขืนพาคนไม่รู้เรื่องรู้ราวไปเกิดอีกฝ่ายทำอะไรผิดกติกาขึ้นมามีหวังเสียเรื่องมากกว่าได้เรื่อง

คิดพลางถอนหายใจ

“…ความจริงฐานคณะอื่นถือเป็นของแสลงสำหรับสะใภ้คณะ กูถูกสอนมาว่า อย่าไปซนแถวนั้น เพราะมีโอกาสโดนจับตัวสูงกว่าที่อื่น”

พาร์ยิ้มบีบไหล่ปลอบใจ “ทำเรื่องที่รู้ดีกว่าเรื่องไม่รู้ เชื่อกู”

############
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-04-2017 22:39:45 โดย KatzeP »

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
Re: - ชลนที - [บทที่ 53] P.19 (17/04/2017)
«ตอบ #548 เมื่อ17-04-2017 23:24:58 »

อื้อหือ รอชมมมม

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: - ชลนที - [บทที่ 53] P.19 (17/04/2017)
«ตอบ #549 เมื่อ17-04-2017 23:25:24 »

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: - ชลนที - [บทที่ 53] P.19 (17/04/2017)
« ตอบ #549 เมื่อ: 17-04-2017 23:25:24 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
Re: - ชลนที - [บทที่ 53] P.19 (17/04/2017)
«ตอบ #550 เมื่อ18-04-2017 00:15:44 »

ดูน่าสนุกนะ อิอิ

ออฟไลน์ PKT

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: - ชลนที - [บทที่ 53] P.19 (17/04/2017)
«ตอบ #551 เมื่อ20-04-2017 13:20:49 »

อ่านแล้วอยากเล่นบ้างอ่ะะ

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
Re: - ชลนที - [บทที่ 54] P.19 (21/04/2017)
«ตอบ #552 เมื่อ21-04-2017 11:49:48 »

บทที่ 54 (1/2)

เสียงกลองดังขึ้นกะทันหัน คนเสื้อเทาในเต็นท์ส่วนหนึ่งวิ่งออกไปดูลาดเลาด้านนอก ไม่กี่อึดใจ เสียงตะโกนดังเป็นทอดๆ จนเข้ามาถึงหูบุคคลด้านในเต็นท์เปิดโล่งเพียงด้านเดียว

“วิศวะบุกๆ”

ผู้คนที่ยังอยู่ในเต็นท์เริ่มตื่นตัว 

“ไปสังเกตว่าเป็นปีอะไร” คำสั่งการถ่ายทอดออกไปทันที “ส่วนใครมีหน้าที่เฝ้ากำแพงเมือง ไปประจำตำแหน่ง!”

“ครับ!”

“ค่ะ”

เหล่าคนเสื้อเทาอีกส่วนหนึ่งวิ่งวุ่น ส่งเสียงดังระงม พ้นหลังคนกลุ่มนั้นความเงียบสงบก็กลับคืนมา ผมยังคงจิบน้ำประสานสายตาผู้ออกคำสั่งเมื่อครู่ เกิดเป็นเกมจ้องตาอีกครั้ง และดำเนินต่อไปแบบไม่มีใครยอมกระพริบตาก่อนจนกระทั่งคนที่โดนสั่งก่อนหน้านี้วกกลับมายืนหอบข้างโต๊ะปิกนิกสี่ที่นั่ง

“ปีหนึ่งครับ พวกมันหิ้วยางรถยนต์มาวางกองเป็นฐานทัพย่อยอยู่ห่างจากเมืองของเราสิบเมตรแล้ว!”

“ประธานปีหนึ่งนำกำลังพลออกไปจัดการ!”

คนโดนเรียกลุกขึ้นยืนทันที ก่อนผละจากโต๊ะมีเหลือบมองกันเล็กน้อย ผมสบตาเทมสักพัก ก่อนฝ่ายนั้นเบือนหน้าหนี เดินไปตะโกนสั่งการเสียงดังลั่น

“เพื่อนชาวปี1 แบ่งกลุ่มตามที่จัดไว้ อย่าลืมหน้าที่ตัวเอง เราจะไปลุยกันแล้ว”

“เฮ!!”

ขบวนปีหนึ่งพุ่งตามเทมออกจากเต็นท์ ส่วนใหญ่ถือปืนฉีดน้ำออกไปอย่างคึกคัก มีส่วนน้อยที่เหน็บปืนฉีดน้ำกระบอกเล็กไว้ในกระเป๋ากางเกง สองมือหอบหิ้วฉากไม้ตามเพื่อนๆ ออกไป ท่าทางแต่ละคนคึกคักร่าเริง แววตาตื่นเต้นสุดขีด

“ท่านประธานครับ ขออนุญาตไปดูรุ่นน้องตี เอ้ย ป้องกันเมืองครับ”

“อนุญาต แต่ห้ามแทรกแซงจนกว่าจะมีคำสั่ง”

“รับทราบ!”

ไม่นานความสงบก็กลับมาเยือนเต็นท์หลังนี้อีกครั้ง ประธานปีสองประสานมือตั้งฉากกับโต๊ะ วางคางลงหลังมือ แววตาคมกริบเขม็งใส่ตัวประกันเพียงหนึ่งเดียว

ผมก็ทำตาใสซื่อมองกลับ เลยได้เสียงสูดลมหายใจกลับมา…คนตรงหน้าผมเหมือนคนกำลังพยายามระงับอารมณ์หงุดหงิด ถึงอย่างนั้นทั้งแววตาทั้งน้ำเสียงกลับเก็บไม่มิด

“บอกมาได้หรือยังคะว่ามาทำอะไรแถวนี้”

เว้นวรรคอย่างจงใจ ก่อนย้ำสถานะเสียงหนัก

“คุณสะใภ้คณะ!”

...ไม่พูดคำว่านิติมาด้วยเลยล่ะครับจะได้ครบ

“พี่ก็เห็นอยู่ว่าผมโดนแบกเข้ามา”

มาแบบไร้สติมาเลยน่ะ

คิดแล้วก็ได้แต่ยิ้มเจื่อน ตื่นมาก็พบตัวเองนอนบนพื้นในเต็นท์ชาวบ้าน มีเทมนั่งเล่นมือถือเฝ้าอยู่ข้างๆ

“ใช่เห็น แล้วตกลงว่าเธอมีจุดประสงค์อะไร?”

ผมเลิกคิ้ว จุดประสงค์งั้นเหรอ? พยายามนึกย้อนกลับไปว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง ภาพตอนโดนไล่ล่าแวบเข้ามาในหัวให้เจ็บใจเล่นทันที

ได้แต่ยอมรับว่าดูถูกเกมตามล่าตัวสะใภ้ไปหน่อย ไม่สิ มากเลยล่ะ!

-------------------------------

ย้อนกลับไปก่อนจะมาอยู่ฐานสถาปัตย์...

แม่งเอ้ย! หลงกันจนได้!

ผมสบถอยู่ในใจ ระหว่างหลบซ่อนตัวตามลำพัง ในมือมีปืนฉีดน้ำ แต่น้ำหมด  อันสำรองอีกกระบอกก็หมด แม็กกาซีนสำรองที่เหลือก็ให้พาร์ไปหมดแล้ว

‘ระวังพวกล่าสะใภ้ให้ดี พวกนี้ฝึกมาล่าสะใภ้โดยเฉพาะ’

คำเตือนจากพี่ดินผุดขึ้นในหัว ผมเหลือบมองกลุ่มคนที่ว่า แล้วขบฟันอย่างหงุดหงิด

ถ้าให้จำกัดความสั้นๆ ผมขอเรียกว่าฝูงหมาล่าเหยื่อ เจอฝูงเดียวก็ว่าแย่แล้ว ดันเจอสองฝูงจับมือกันชั่วคราวไล่ล่าสะใภ้พันธมิตรบริหาร แล้วความซวยก็มาเยือนเมื่อผู้ถูกไล่ล่าวิ่งตรงมาทางพวกผมที่กำลังเดินทอดน่องคุยกันอยู่หลังหนีการไล่ล่ามาได้สักพัก

พวกผมสี่ชีวิตเลยจำต้องหนีมาด้วยกันแบบไม่มีทางเลือก พยายามแยกเป็นสองกลุ่มก็โดนดักต้อนไปนู้นทีทางนี้ที แถมคนในก็ไม่ให้ความร่วมมือ สุดท้ายพวกผมเลยพลอยต้องติดแหง็กอยู่ในสถานการณ์นี้ไปด้วย

“เอาไงดีวะ”

ผมถามพาร์เสียงเครียด สถานการณ์ชักแย่ลงเรื่องๆ เมื่อต้องงัดแม็กกาซีนสำรองออกมาใช้

“กูไม่อยากทิ้งมึงนะ แต่ถ้าจำเป็น กูจะช่วยล่อไปอีกทาง”

“ไม่!” ผมแย้งทันที “มึงวิ่งไปก็เท่านั้น พวกมันคงแค่แบ่งคนไปสกัดมึงไม่ให้ย้อนกลับมาช่วย ส่วนที่เหลือคงหันมาไล่ล่าสะใภ้มากกว่า”

พาร์นิ่งเงียบไปทันที ผมตวัดตามองสองคนที่พาความซวยมาให้ ช่วยห่าอะไรก็ไม่ได้ แถมยังเป็นปลิงสลัดไม่หลุด คิดว่าผมกับพาร์จะช่วยคุ้มครองได้ตลอดหรือไงวะ!

ผมลดเสียงเหลือกระซิบไม่ให้พวกนั้นที่ซ่อนตัวห่างไปเกือบเมตรได้ยิน

“ยิงปลิงทิ้งดีไหม?”

พาร์เลิกคิ้ว กระซิบกลับมา “กูว่าใช้เป็นเหยื่อดีกว่า ถ้าจับได้สักคน ฝ่ายที่ไล่ตามมึงจะลดจำนวนลงเอง”

“งั้นกำจัดตัวไร้ประโยชน์ทิ้ง ภาระจะได้น้อยลง” ผมเสนอ

พาร์ก็สนอง “รอจังหวะดีๆ ก่อน เดี๋ยวกูจัดการให้”

“ไปไถ่แม็กกาซีนมันมาก่อน ยิงก็มัว อยู่กับมันไปเปลืองน้ำเปล่าๆ”

“ได้ มึงยิงสกัดไป เดี๋ยวกูจัดการไถ่ เอ้ย ขอเพราะเป็นเหตุฉุกเฉินให้”

“ถ้ามันไม่ให้ก็ทิ้งแม่งไว้เนี่ย” ผมย้ำอย่างอารมณ์เสีย

เมื่อถึงช่วงวิ่งหลบหนี พาร์ก็สอยเก็บสามีคณะนั้นแบบเนียนๆ ใครดูก็รู้ว่าที่โดนพวกเดียว เพราะลูกหลง และมัวแต่ยืนเซ่อไม่หลบ ทั้งที่พาร์แสร้งตะโกนเตือนแล้ว เมื่อตัวหมดตัวปัญหาไปหนึ่ง ก็ถึงเวลาส่งอีกหนึ่งไปเป็นเหยื่อ แต่แล้วแผนการกลับผิดพลาดก่อเกิดความชุลมุนขึ้นทันที

พาร์ไหวตัวทันคนแรก ดึงผมหลบวิถีจับกะทันหันจนเซไปชนตัวมัน ตั้งสติได้ก็พบว่าถูกกอดแน่น ข้างหูได้ยินเสียงกลไกจากปืนฉีดน้ำรัวๆ

“วิ่ง!”

สิ้นเสียงเคร่งเครียด ไม่รอคำตอบจากผมด้วยซ้ำ จับมือผมลากวิ่งหนีทะลวงวงล้อมออกห่างจุดปะทะทันที ไม่สนใจเสียงร้องเรียกของสาวสะใภ้ที่โดนทิ้งไว้เบื้องหลัง แม้เกือบเอาตัวไม่รอด แต่แผนทิ้งเหยื่อก็ได้ผลดี จำนวนไล่ล่าจากสองกลุ่มเหลือกลุ่มเดียว

แต่ทำไม๊ทำไมดันซวยเจอสายแข็งอย่างพวกวิทย์กีฬาไล่ล่าต่อเรา!

“ไม่น่าเชื่อว่าพวกวิทย์กีฬาใจดี ยอมยกเหยื่อที่จับได้ให้พวกวิทย์” พาร์พึมพำขึ้นมาหลังรู้ว่าผิดแผน

ผมพ่นลมหายใจ “สองกลุ่มนั่นไม่เป็นเพื่อนกัน ก็ต้องมีข้อตกลงอะไรบางอย่างรวมกันแหงๆ แต่มาสนใจสถานการณ์ปัจจุบันก่อน มึงเหลือน้ำเท่าไหร่แล้ว?”   

ถามอย่างกังวล เพราะเมื่อกี้พาร์เล่นยิงรัวๆ เพื่อเปิดทางให้พวกผมหนีออกมา และถ้าจำไม่ผิดมันเหลือแม็กกาซีนสำรองแค่อันเดียว…

“ซวย น้ำกูหมด”

“แล้วสำรอง?”

“จวนตัวไปหน่อยเลยเผลอใช้แบบลืมคิด” ชูตลับเปล่าให้เห็นชัดๆ

ผมล้วงแม็กกาซีนสำรองที่เหลือแค่สองอันออกมา นึกในใจว่าคราวหน้าต้องพกแม็กกาซีนสำรองมากกว่านี้ “งั้นมึงเอาขอกูไปใช้ก่อน”

“ไม่เอา!”

“รับไปเถอะน่า!” ผมคว้ามือพาร์แบบออกยัดแมกกาซีนสองอันใส่ บังคับให้มือมันกำ “นี่เพื่อความอยู่รอดของเรา อีกอย่างมึงยิงแม่นกว่ากู”

พาร์ทำท่าจะอ้าปากแย้ง แต่พอสบตานานเข้า แววตามันก็เปลี่ยนไปเหมือนตัดสินใจได้

“กูจะปกป้องมึงให้ถึงที่สุด”

“ไม่ต้อง!” ผมจับหน้าพาร์ให้หันมาสบตาอีกครั้ง “กูไม่ได้อยากให้มึงเสียสละ อย่างที่บอกกูต้องการคู่หู ไม่ใช่องค์รักษ์ ถ้าจะรอดก็ต้องรอดด้วยกัน โอเคนะ?”

“…เอาแต่ใจวะ”

ผมหลุดขำทันที “มึงน่าจะรู้นานแล้ว หรือไม่ใช่?”

“ครับๆ มาพูดถึงเรื่องน้ำก่อน ให้กลับไปเติมน้ำที่ฐานหลักคงไม่ไหว หรือเราจะไปขโมยน้ำกันดี?”

“ใช้แผนโดนจับ แล้วไปขโมยน้ำพวกมันดีไหม?”

“เสี่ยงเกินไป”

หลังถกเถียงไปมาเลยครู่หนึ่งจึงได้ข้อสรุปว่า ไปฐานย่อยของพวกนิติปีสามที่กำลังไล่ล่าอาณาเขตอยู่ไม่ไกลดีที่สุด ถึงเราวางแผนกันซะดิบดี แต่ในสถานกาณณ์จริงก็ใช่จะเป็นอย่างที่คาดเดาหมด สุดท้ายกลับต้องแยกหนีไปคนละทาง พาร์ทำท่าจะย้อนกลับมาช่วย แต่ผมส่ายหน้าห้าม แล้วหันหลังวิ่งจากมาทันที

“มันอยู่นั่น!”

ผมหลุดจากภวังค์ เผลอสบถคำหยาบ รีบผละจากจุดซ่อนตัวออกวิ่งอีกครั้ง แอบนึกเคืองๆ ในใจ

ทำไมไม่จำกัดผู้ไล่ล่าเหมือนตอนทดสอบเล่า!

“อย่าหนีเลยน่า ยังไงก็ต้องโดนเราจับ”

ผมกัดฟันกรอด ไม่อยากยอมรับทั้งที่รู้แก่ใจว่ามันคือความจริง สู้กลับก็ไม่ได้ แถมสภาพร่างกายกำลังถึงขีดจำกัด จุดจบคงไม่พ้นอย่างที่พวกมันตะโกนปาวๆ บอกเป็นระยะ

แต่ใครจะยอมให้พวกมันจับกัน!!

ผมมองสภาพแวดล้อมที่ผ่านเข้ามาในสายตา สมองนึกถึงแผนที่มหาลัยมีเครื่องหมายสามเหลี่ยมวาดไว้ แล้วตัดสินใจเบี่ยงตัวเปลี่ยนทิศวิ่งกะทันหัน สลัดหลุดไปได้พอสมควร แต่เกินครึ่งไหวตัววิ่งตามผมมาห่างไปแค่สามช่วงตัว

“เฮ้ย! จะวิ่งไปไหน?!”

ใครจะโง่บอก!

ผมทุ่มฝีเท้าเท่าที่ร่างกายยังไหวมุ่งหน้าไปเรื่อยๆ จนเริ่มเห็นเต็นท์ที่รายล้อมด้วยฉากไม้วาดเป็นรูปกำแพงซะสวย 

“เฮ้ยๆ ข้างหน้ามีฐานคณะไหนไม่รู้!!”

“สะใภ้หยุดก่อนโว้ย!”

หยุดให้โง่ดิ!

ผมไม่สนใจเสียงตะโกนร้องให้หยุดเป็นระยะ วิ่งเข้าไปใกล้ฐานที่ว่ามากกว่าเดิม ดูจากสภาพแวดล้อมมันคือฐานย่อยอย่างที่พาร์เคยบอกให้ฟัง และถ้าจำไม่ผิดมันเป็นของ…

เหลือบไปเห็นกลุ่มคนเสื้อสีเทาเดินเบื้องหน้าไม่ไกลจากผมนัก ท่าทางจะเห็นหน่วยลาดตระเวน กำลังจะละสายตา แต่ต้องหันไปจ้องอีกครั้ง โดยเฉพาะแผ่นหลังคนเดินนำหน้ากลุ่ม มองจนแน่ใจว่าใช่ก็รีบวิ่งเข้าไปชาร์ตคนกลุ่มนั้น ชนคนนู้นกระแทกคนนี้ ก่อนจะกระโดดใส่แผ่นหลังคนที่ว่า

“เฮ้ยยย! ใครหน้าไหนกล้ากระโดดเกาะหลังกู!”

ผมโดนสะบัดอย่างแรง สองขาล้าไปหมด แค่ทรงตัวยังทำไม่ไหว เลยล้มไปกับนั่งแปะกับพื้นตามระเบียบ เงยหน้าขึ้นมาเจอเทมทำหน้าเหมือนเห็นผี

มันตะโกนลั่นจนขี้หูแทบเต้น “ทำไมมึงมาอยู่นี่!!”

ผมเหนื่อยเกินกว่าจะพูดอธิบายยาวๆ ได้แต่ชูสองมือขึ้น กลั้นใจเปล่งเสียงคำเดียว ก่อนกลับไปหอบหายใจต่อ

“อุ้ม”

ณ ที่แห่งนั้นเงียบกริบ และเงียบยิ่งกว่าเมื่อเทมส่ายหน้าระอา ยอมเดินมานั่งหันหลังให้

แต่ขอโทษเถอะ กูลุกไม่ไหวโว้ย!

“ขึ้นมาเร็วๆ ดิ”

ผมหันไปมองคนยืนใกล้ๆ เหมือนอีกฝ่ายจะเข้าใจ เข้ามาช่วยดึงผมขึ้นจากพื้น ขาสั่นพั่บๆ เลยครับ เซเกือบล้มอีกรอบ คนพยุงก็ใจดีมีเรียกเพื่อนมาช่วยประคองกึ่งลากเอาตัวผมไปวางแปะบนหลังเทมจนได้

“หนักสัดๆ ลดความอ้วนบ้างก็ดี”

ตั้งแต่เล็กยันโต ไม่ว่าจะอ้วนหรือผอม ทุกครั้งที่จำเป็นต้องแบกผมขึ้นหลัง มันก็พูดแต่ประโยคเนี่ย!

ผมเลิกสนใจเพื่อน เหลือบมองกลุ่มไล่ล่าที่ล่าถอยไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ยังคงเห็นพวกมันแอบซุ่มดูอยู่ห่างๆ…มองตามสบาย เพราะผมไม่คิดไปไหนแล้วทั้งนั้น!

วางคางกับไหล่เทม กระซิบข้างหูคนก้าวเดินอย่างมั่นคงทั้งที่ต้องรับน้ำหนักผมทั้งตัว

“จับกู…ไปที”

“ฮะ!” 

“อย่าลืม…หาน้ำ…ให้ด้วย”

ฝืนพูดแค่นั้นก็หลับตาลง ตอนนี้ขอพักก่อนแล้วกัน เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง

-------------------

หลังนึกออกทั้งยวนก็อดถอนหายใจไม่ได้

คาดว่าผมคงเผลอหลับไปตอนโดนอยู่บนหลังเทมแหงๆ มิน่า ตอนตื่น เทมถึงมองมาด้วยแววตาเป็นห่วงหน่อยๆ ‘มึงคงเหนื่อยเกินไป’ พูดแค่นั้นก็ส่งขวดน้ำมาให้ กินได้แค่ไม่กี่อึกก็ต้องลากสังขารที่ปวดเมื่อยทั้งตัวมาพบปะกับประธานชั้นปี2 โดยมีเทมตามมาด้วย

สบตาบุคคลที่กำลังพยายามสอบสวนผม สำหรับจุดประสงค์คงไม่พ้น เห็นเป็นที่หลบภัยครับ…ลองพูดไปสิ อาจเจอลูกตบเข้าก็ได้ ดังนั้นเลยเลือกถามปลายเปิดแทนตอบคำถาม

“ทำไมพี่คิดแบบนั้นล่ะ?”

“เธอเป็นสปายใช่ไหม สารภาพมาซะดีๆ!”

“ฮะ!” ผมอุทาน ไหงคิดไปนู้นเล่า “พี่ครับ ลองนึกดีๆ นะ สปายที่ไหนจะสลบเหมือดปล่อยคนอื่นแบกมาแบบผมกัน”

“มันก็ใช่ แต่เธอมีพิรุธ!”

“ยังไงครับ?”

“เธอไม่มีท่าทีอยากหลบหนี!”

อ้อ แล้วใครอยากจะออกไปเล่นวิ่งไล่จับให้เหนื่อย อยู่ที่นี่มีที่ให้นั่งพัก มีน้ำให้กิน มีคนให้ เอ่อ...คุย ดีกว่าต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนเป็นไหนๆ 

“แล้วเธอก็ล่อล่วงรุ่นน้องพี่!”

“ครับ?” ผมส่งเสียงสูงด้วยความประหลาดใจ ล่อลวงอะไร ผมงง!

“อย่ามาทำหน้าไม่รู้เรื่อง! ล่อลวงท่าไหนถึงให้เทมทำหน้าเป็นห่วง ตามเฝ้าไม่พอ ยังยอมแบกมาถึงที่นี่อีก! บอกไว้ก่อนนะ เธอได้หนุ่มหล่อนิติไปแล้วทั้งคน เหลือหนุ่มหล่อสถาปัตย์ให้สาวบ้าง น้องรหัสพี่เป็นถึงเดือนคณะ สาวๆ แลแล้วแลอีก แต่ทำไม๊ทำไมถึงได้สนใจผู้ชายหน้าละอ่อนแบบเธอมากกว่าผู้หญิงสวยๆ กัน!”

ผมกระพริบตาปริบๆ “…เอ่อ พี่ชอบเทม?”

“พี่จะชอบน้องตัวเองไปทำไม! คนแอบชอบจนเพ้อคือเพื่อนพี่นู้น เสียแรงเชียร์มาตั้งแต่เทอมที่แล้ว จนป่านนี้ยังไม่มีอะไรคืบหน้าเลยสักกะผืดเดียว…”

แต่บทสนทนาที่ออกแนวคนเล่าเจ็บใจจำต้องหยุดลง เมื่อคนกลุ่มแรกที่โดนยิงพากันทยอยเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้า เต็นท์นี้ผมเห็นมีแต่ผู้ชาย มีแค่รุ่นพี่ตรงหน้าผมนี่แหละเพศหญิง เอ๊ะ หรือว่าไม่ใช่?

ผมมองพี่แกอย่างลังเล สุดท้ายก็ห้ามปากไม่ไหว “…พี่เป็นเพศอะไรครับ”

เหมือนคำถามผมจะไปกระตุ้นต่อมโมโหคนกำลังหงุดหงิดเข้าจังๆ

“ผู้ชายโว้ย!!”

จริงดิ! เหมือนผู้หญิงสุดๆ…

“รุ่นพี่อย่าไปแกล้งเขาสิ”

“ก็มันน่าโมโหไหมล่ะ มองยังไงพี่ก็เพศหญิงชัดๆ ดันมาถามว่าเพศอะไร!”

“เพราะนิสัยพี่ไม่เหมือนผู้หญิงไง”

“เดี๋ยวเถอะ...”

“พี่ครับแย่แล้วววว! มีกลุ่มคนประมาณห้าสิบกว่ายกพลมาทางเรา!!”

ผู้เข้ามาใหม่เสื้อเปียกมาหลายจุด แต่ความวุ่นวายยังไม่จบแค่นั้น เพราะอีกคนที่วิ่งเข้ามาเป็นพี่ปีสอง

“นิติกำลังจะบุกเรา!”

ผู้เกี่ยวข้องกับนิติเพียงคนเดียวอย่างผมเลยโดนคนทั้งเต็นท์จ้องจนพรุน หลายเสียงเริ่มถกเถียงกันใหญ่

“มาชิงสะใภ้คณะคืน?”

“ไม่น่าใช่ คนนี้จำได้ว่าเป็นสะใภ้เดิมพันนี่น่า ในใบประกาศจับยังขึ้นบอกอยู่เลย”

ผมเริ่มร้อนๆ หนาวๆ กลัวความแตกแล้วจะโดนส่งตัวไปฐานหลักแทน ถ้าเป็นแบบนั้นโอกาสหนีออกมายิ่งยากเข้าไปใหญ่

“เลิกเถียงกันก่อน!”

สิ้นเสียงประธานปีสอง ทั้งเต็นท์ก็เริ่มเงียบ ฟังหญิงเดียวในเต็นท์ซักถามเพื่อนต่อ

“ปีอะไรบุกมา? แล้วจะไปเจอจุดปะทะของพวกปี1 หรือเปล่า”

“คิดว่าเป็นปี3 พวกเขามาทิศตรงข้ามจุดปะทะแรก”

เสียงฮือฮาดังขึ้นมาทันที

“เรากำลังจะโดนโจมตีขนาบข้าง!”

“รับศึกพร้อมกันแบบนี้จะไหวเหรอ”

“ข่าวด่วนๆ” มีพี่ปี2 วิ่งเข้ามาใหม่ “ได้ยินว่าฐานใกล้ๆ เราโดนนิติตีแตกไปเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว เห็นว่าฝ่ายชนะยึดน้ำที่อยู่ในฐานไปได้พอสมควร เพราะงั้นเป้าหมายต่อไปเป็นเราแน่นอน”

ความกดดันแผ่ขยายไปทั่วทั้งเต็นท์ ก่อนประธานปี2 จะสูดลมหายใจเข้า พูดอย่างเด็ดขาด

“ไปบอกให้ทุกคนห้ามหลุดพูดเรื่องสะใภ้ที่เราได้ตัวมาเด็ดขาด”

“ได้ เธอก็สั่งระดมพลเตรียมพร้อมเลยดีกว่า”

“ได้ยินแล้วใช่ไหม ปีสองเตรียมตัว ปีหนึ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วรีบไปแจ้งข่าวให้เทมรู้ ถ้าเราสู้ไม่ไหวให้เตรียมสละฐานย่อยที่หนึ่ง ถอยไปรวมตัวกับฐานย่อยที่สอง”

“รับทราบ!”

“ส่วนเธอ…” พี่รหัสของเพื่อนทำหน้ายุ่ง “จะอยู่หรือไปก็เรื่องของเธอ พวกเราไม่มีเวลาไปยุ่งด้วยแล้ว”

อ้าว โดนตัดหางปล่อยวัดซะงั้น

ผมพยายามเรียกคนที่เดินผ่านไปมาอย่างเร่งรีบเพื่อถามแค่ข้อเดียว ไม่มีใครสนใจเลยครับ ทำได้แค่มองแผ่นหลังพวกเขาออกไปจนในเต็นท์เหลือแต่ตัวผม

นาฬิกาก็ไม่มี มือถือก็ไม่มี ถ้าไม่ถามผมจะมีรู้ได้ไง

พ่นลมหายใจออกมายาวเหยียด ก็เข้าใจหรอกว่ากำลังวุ่น แต่เรื่องที่ผมถามก็สำคัญเหมือนกัน…

[ประกาศๆ…]

นั่นไง! ครบชั่วโมงแล้วสินะ!!

ผมหน้าตื่น รีบกระดกน้ำที่เหลือใส่ปาก เตรียมจะไปเดินสำรวจในเต็นท์ ค้นหาปืนฉีดน้ำของตัวเองต่อ

[สามีคณะนิติฝากประกาศแจ้งคนหาย เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วสะใภ้นิติหายตัวไป ใครพบเห็นตัว โปรดติดต่อมาทางกระผมด่วน ประกาศอีกครั้ง…]

พรวด!

เผลอพ่นน้ำออกจากปาก…ไม่ได้ตั้งใจนะครับ ผมแค่ตกใจ กะ ก็แทนที่จะโดนประกาศบอกสถานที่ดันเจอประกาศหาเด็กหลง! แอบคาดโทษใครบางคนในใจ ใช้แขนเสื้อเช็ดปากลวกๆ รีบไปค้นหาหาปืนฉีดน้ำทั้งสองกระบอกจนเจอ

…แม็กกาซีนยังคงว่างเปล่าเหมือนเดิม

เหล่มองน้ำในถังปากกว้างที่วางรอตารอใจบนพื้น ลังเลว่าจะขโมยดีไหม ช่างใจชั่วครู่ก็ละสายตาจากมัน ยอมออกจากเต็นท์โดยไม่ขโมยอะไรติดมือสักอย่างเดียว

พอหลบเลี่ยงจุดปะทะทั้งสองมาได้ไกลพอสมควร ก็พบปัญหาที่ทำให้เข้าใจทันทีว่า ทำไมพาร์ต้องประกาศตามหา ผมยกมือขึ้นบังแสงแดดร้อนแรง มองทิวทัศน์เบื้องหน้านิ่งเงียบ

…มหาลัยกว้างใหญ่ขนาดนี้ ผมก็ไม่รู้จะไปตามหามันที่ไหนเหมือนกัน

หมับ!

สะดุ้งโหยง รีบกระโดดถอยหนีมือปริศนาที่มาจับไหล่ จับปืนฉีดน้ำหันขู่ใส่คนที่มาด้านหลังเงียบๆ

ในใจสบถให้กับความโง่ของตัวเอง ไม่รู้อะไรดลใจถึงได้เป็นคนดีกะทันหัน คนดีที่ดันทำตัวเองเดือดร้อน! ถึงนึกเสียใจอยากกลับไปเติมน้ำใส่แม็กกาซีนก็สายไปแล้ว

สมองเริ่มครุ่นคิดหาทางรอดให้ตัวเองด่วนจี๋

“เดี๋ยวก่อน! พี่มาดีนะน้อง!”

หือ?

ผมกระพริบตาหลังเห็นอีกฝ่ายชูทั้งมือทั้งปืนฉีดน้ำขึ้นเหนือหัว พอเห็นใบหน้าชัดๆ ก็พบว่าคุ้นตาอย่างยิ่ง ลดสายตามองเสื้อเชิ้ตเจอสีฟ้ามีรอยเปียกน้ำเป็นหย่อมๆ ยิ่งช่วยยืนยันว่าคิดถูก

“…พี่รองประธานปีสาม” ยังไม่ทันเอ่ยชื่อ อีกฝ่ายก็พูดขัด

“ก็ใช่น่ะสิ! มึนอะไรเนี่ย ถึงจำชื่อกันไม่ได้ก็น่าจะจำหน้าได้นะ พี่เข้าออกห้องสโมฯ ออกบ่อย”

ผมอ้าปากจะบอกว่าไม่ใช่ แต่คิดไปคิดมา บอกไปตอนนี้ก็ไม่ได้ช่วยอะไร เลยเปลี่ยนคำถามระหว่างลดปืนฉีดน้ำลง “มาได้ไงครับ?”

“พี่มาลุยชิงฐานกับเพื่อนๆ แต่เหลือบไปเห็นน้องหลบออกมานี่แหละเลยโดนยิงเข้าให้ เอาเถอะ เพราะได้ออกจากเกมกะทันหัน พี่ถึงตามหลังน้องมาได้”

ผมพูดไม่ออกกะทันหัน ไม่รู้จะบอกขอบคุณ หรือขอโทษก่อนดี

“มากับพี่ก่อนดีกว่า ถึงแถวนี้จะเป็นเขตปลอดภัยชั่วคราว แต่ก็ยังอันตรายอยู่ดี”

ผมสาวเท้าตามรุ่นพี่ไป เอ่ยถามด้วยความสงสัย “เขตปลอดภัยชั่วคราวคือ?”

“พวกพี่พึ่งยึดฐานใกล้ๆ นี่ได้เลยต้องตรวจพื้นที่แถวนี้เข้มงวดหน่อย เผื่อเจ้าของฐานเก่ากำลังซ่องสุมกำลังคนคิดบุกชิงฐานคืนจะได้เตรียมตัวทัน แต่รอมาครึ่งชั่วโมงก็ไม่เห็นมาสักที พวกพี่รอจนเบื่อเลยชวนเพื่อนครึ่งหนึ่งบุกโจมตีฐานใกล้ๆ” พูดถึงตรงนี้รุ่นพี่ก็หัวเราะ “ไม่นึกว่าวิศวะบุกอยู่ก่อน แถมสะใภ้คณะเราดันอยู่ที่นั่น ไหงถึงโดนจับได้ล่ะ?”

ผมส่งยิ้มเจื่อนขัดตาทัพ สมองคิดเร็วจี๋ว่าจะพูดความจริงดีหรือโกหกดี สุดท้ายก็เลือกบอกความจริง

หลังเล่าคร่าวๆ ให้ฟังจนจบ รุ่นพี่ก็หัวเราะชอบใจใหญ่ ตบบ่าผมป๊าบๆ

“มีเพื่อนดีนี่ ยอมแบกน้องกลับฐานตัวเองอีกต่างหาก เสี่ยงมากรู้ไหม ถ้าไม่ไว้ใจกันจริงๆ คงไม่พาไปหรอก”

พอได้ฟังแบบนี้แล้ว ผมรู้สึกโล่งใจที่ตอนนั้นไม่ได้ขโมยอะไรออกมาเลย ไม่งั้นตอนนี้คงรู้สึกผิดอยู่ในใจแน่ๆ แต่ถ้าผมเจอสถานการณ์ต่างออกไปล่ะ…อ่า คงโทษความโง่ของตัวเองไม่เลิกแหงๆ

--------------------
(มีต่อด้านล่าง)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-04-2017 11:53:45 โดย KatzeP »

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
Re: - ชลนที - [บทที่ 54] P.19 (21/04/2017)
«ตอบ #553 เมื่อ21-04-2017 11:53:59 »

บทที่ 54 (2/2)

พอมาถึงฐานที่ว่า ผมเดินไปทางไหนก็เจอแต่รุ่นพี่เสื้อฟ้าทำหน้าประหลาดใจกันใหญ่ เข้ามาถึงในเต็นท์ สบตาคนๆ หนึ่ง อีกฝ่ายก็เผลอตะโกนออกมา

“เฮ้ย! สะใภ้คณะนี่!”

“ใจเย็นเพื่อน ส่งข่าวไปบอกฐานหลักก่อนดีกว่าว่าเจอตัวแล้ว” คนพาผมมาพูดขำๆ

“ใครก็ได้ไลน์ไปบอกพี่ดินดิ” พี่ประธานปีสามตะโกนบอก แล้วหันมามองผม “แล้วน้องไปอยู่ไหนมาเนี่ย?”

กำลังจะอ้าปากบอก แต่โดนคนยืนข้างๆ ชิงตอบก่อน

“โดนวิทย์กีฬาไล่ล่าจนน้ำหมด เกือบโดนจับ แต่ก็กระเสือกกระสนไปขอหลบภัยในฐานย่อยสถาปัตย์ มีเพื่อนดีอยู่ที่นั่น แถมโดนเข้าใจว่าเป็นแค่สะใภ้เดิมพัน ถ้ามีคนช่วยพูดให้ยังไงก็โดนปล่อยตัว”

“อือหึ สะใภ้คณะปีนี้ฉลาดดี” 

“เด็กนี่ฉลาด กล้าเอาปืนฉีดน้ำไม่มีกระสุนมาขู่กูด้วย” รุ่นพี่ขยี้หัวผมอย่างเอ็นดู

“แต่สะใภ้ปีหนึ่งอีกคนน่ารังแก” ประธานปีสามว่า น้ำเสียงไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่

อีกคน?

ผมทำหน้ามึนๆ ไม่ใช่ว่าขอแลกเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นแล้วเหรอ

หวนนึกถึงตอนช่วยงานที่สโมฯ ต้องพิมพ์ลิสต์รายการของยาวเหยียด เพราะไม่มีคณะไหนคิดอยากได้เมย์ไปเป็นสะใภ้สักคน และนิติก็ไม่อยากได้สะใภ้เพิ่มแล้ว เบ้ก็ไม่เอา เพราะเยอะกว่านี้แล้วจะก่อกบฏ ขอพูดถึงจำนวนสะใภ้ในนิติที่ผมรู้ แบ่งเป็นปีสี่ 2 คน ปีสาม 3 คน ปีสอง 3 คน ปีหนึ่งก็ผม ถ้ามีอีกคนก็เป็นสิบ…ว่าแต่ใครกัน? ทำไมผมไม่เคยเจอ

“จริง” พี่รองประธานหัวเราะขำ “เด็กนั่นโดนหลอกเข้าเต็มเปา ป่านนี้ยังไม่รู้ตัวเลยมั้ง”

“ปล่อยให้เข้าใจไปแบบนั้นจนกว่าจะความแตกนั่นแหละ หึๆๆ เราจะทำให้เด็กนั่นเข้าใจใหม่ว่าเป็นสะใภ้พันธมิตรก็โดนคนทั้งคณะแกล้งได้”

อะไรนะ!

“ง…งั้นที่ผมต้องทำงานเอกสารงกๆ บางครั้งต้องไปใช้แรงงาน เพราะโดนพวกพี่กลั่นแกล้ง?”

“ไม่ได้หมายถึงน้อง!!” สองเสียงประสาน ดังจนผมคอหด

รองประธานคว้าคอผมไปกอด “โอ๋ๆ พี่ไม่ได้ว่าน้องเลย ที่เป็นอยู่ดีแล้วน่า ช่วยพวกพี่ได้เยอะเลย ขนาดพี่ดินยังเอ่ยปากชม แต่อีกคนดันทำตัวน่าหมั่นไส้ นึกไปเองว่าเป็นสะใภ้พันธมิตรแล้วจะได้สิทธิพิเศษมากมาย ทั้งที่ไส้ในเป็นแค่สะใภ้เดินพัน แถมยังมาจากคณะศัตรูคู่แค้นอีก!”

“ค...คู่แค้นเลยเหรอ?” ผมอุทานระหว่างปลดแขนรุ่นพี่ออกอย่างสุภาพ

ไม่ได้คิดอะไรหรอก แต่เกิดใครบางคนมาเห็น มันจะเป็นเรื่อง

“เมื่อปีที่แล้วประธานปีสองของเรากับคณะนั้นดันมีเรื่องกันน่ะสิ เดือดร้อนเพื่อนพี่ที่เป็นพี่รหัสเด็กนั่นต้องไปช่วยไกล่เกลี่ย แต่กลายเป็นรุ่นใหญ่เขม็งกันเอง ปีนี้ยังญาติดีกันได้ แต่ปีหน้าไม่มีทาง”

ประธานรุ่นพูดเสริมต่อ “เราเลยใช้คำว่าพันธมิตรจอมปลอม เพราะทั้งเราทั้งคณะนั้นไม่จริงใจกันทั้งคู่”

“เด็กนั่นเป็นสปาย” รองประธานว่า “รู้กันทั้งคณะ เลยคอยช่วยกีดกั้นไม่ให้ไปแถวห้องสโมฯ แถมเด็กนั่นก็รักสบาย แค่ขู่ไปว่าถ้าไปแถวนั่นทุกคนต้องทำงาน แรกๆ ไม่เชื่อ พอโดนใช้งานแบกหามหนักๆ สองสามครั้งก็ไม่เฉียดเข้าใกล้อีกเลย”

อ้อ เพราะแบบนี้ผมเลยไม่เคยเจอ…ไม่สิ

วูบหนึ่งเหมือนมีภาพเลือนรางในหัว ผมคว้าไว้แล้วพยายามคิดให้ออก

ใช่แล้ว! เคยมีคนแปลกหน้าโผล่มาทักทายกะทันหัน รอนยิ้มเป็นมิตรดี แต่ทุกคำที่พ่นออกมามีแต่หลอกถามข้อมูลทั้งนั้น ทักษะแย่มาก ทั้งอ่านง่ายทั้งเดาทางล่วงหน้าถูก ผมเลยใช้ลูกเล่นจิตวิทยาล้วงข้อมูลบ้าง ถึงไม่เก่งเท่าจิตแพทย์ประจำตัว แต่ฝีมือก็ดีกว่าอีกฝ่ายหลายขุม ได้อะไรมาเยอะเหมือนกัน เลยไปบอกพี่ดินว่ามีสปายหลุดมาเยือนถึงในคณะ

คนฟังบอกแค่ไม่ต้องสนใจ ผมเลยทำตาม และเพราไม่ได้เจออีก ผมเลยลืมไปซะสนิท อย่าบอกนะว่านั่นคือสะใภ้ที่ว่า…

“ที!”

ผมหลุดจากภวังค์ หันตามเสียงเรียกก็เจอพาร์ที่หอบหายใจอยู่ด้านหลัง ผงะเลยครับ

ผัวะ!

โอ๊ย ตบหัวผมทีเดียว แต่เล่นซะมึน

“มือถือไปไหน! โทรหาก็ไม่รับ! ติดต่อไม่ได้แบบนี้รู้ไหมว่ากูเป็นห่วง แล้วทีหน้าทีหลังอย่าอวดเก่งฉายเดี่ยวคนเดียว เป็นอะไรขึ้นมามันไม่คุ้ม”

พาร์ใส่มาเป็นชุด ทำคนทั้งเต็นท์ยืนมองอึ้งๆ ส่วนผมที่กำลังมึนมาเจอเสียงเทศนาจากมันก็ยิ่งเวียนหัวหนักกว่าเดิม พอจะเอ่ยบอกให้มันหยุดพูดก็เห็นหน้าดำทะมึน แววตาดุจัดเข้าก่อน...หวนนึกถึงตอนที่มันพ่นไฟใส่ลุงแทนกับป้าเจนที่โรงพยาบาลเลยยอมหุบปาก ยืนฟังมันพ่นไฟแลบต่อไปเงียบๆ

“แล้วดูนี่สิ คาดสายตาไปหน่อยเดียวได้แผลมาเต็มไปหมด”

ผมอดแย้งไม่ได้หลังโดนมันชี้ทั้งแขนทั้งขาที่มีทั้งรอยแผลและรอยแดง

“แค่รอยถลอกกับโดนกิ่งไม้ข่วนเอง…”

“เองกับผีสิ!”

“โอ๊ยๆๆ อ่าอึงแอ้ม (อย่าดึงแก้ม)” ผมพยายามดึงมือพาร์ออกจากแก้ม

“ทำให้คนอื่นเป็นห่วงยังไม่สำนึก แย่มาก! แล้วนี่หายไปไหนมา?!”

ผมดึงมือพาร์ออกจากแก้มสำเร็จ กำลังจะอ้าปากพูด ดันโดนทั้งดุทั้งด่ามาอีกชุดใหญ่ๆ จนมันคอแห้งถึงได้ยอมหุบปาก เปิดขวดน้ำที่ถือติดมือมาขึ้นดื่ม แต่ตายังจ้องผม แววตาสื่อชัดว่าตอบคำถามมา!

ถามทีเป็นสิบๆ เรื่อง ผมจะจำหมดได้ไง!

ผมพ่นลมหายใจออกทางปาก เริ่มต้นที่คำถามแรก “กูไม่ได้เอามือถือมา กลัวมันเปียก จะใส่ถุงกันน้ำห้อยคอก็เกะกะ แถมมีโอกาสโดนขโมยหรือทำหล่นหายได้ เลยทิ้งไว้ที่บ้าน”

และอีกครั้งที่โดนด่ากระจาย แถมยังต้องเงียบฟังสรรพคุณและประโยชน์ของมือถืออีก

ครับๆ คราวหน้าผมจะไม่ขี้เกียจหรือกลัวหายแล้วครับ จะพกติดตัวไปทุกที่แน่นอน

หลังจบรายการถามตอบ บวกเทศนาอันยาวเหยียดที่ทำหูชา พาร์ก็ช่วยผมเติมน้ำในแม็กกาซีน แล้วลากตัวกลับฐานหลักทันที เจอหน้าพี่ดินปุ๊บก็โดนคำสั่งลงโทษปั๊บ

“กักบริเวณ! ไปนั่งรวมกับสองคนนั้น!!”

ผมกระพริบตาปริบๆ “ได้ครับ เอ่อ ตอนนี้กี่โมงแล้ว?”

“บ่ายสามกว่า”

หลังได้คำตอบก็ยอมเดินไปนั่งรวมกลุ่มกับเชลยศึกทั้งสองคนโดยดี มีพาร์จ้องมาสื่อชัดว่าห้ามยุ่งกับพวกเธอเกินความจำเป็น ผมกรอกตามองเพดานเต็นท์ เพราะมันเป็นแบบนี้ เดี๋ยวนี้ผมเลยไม่กล้าแตะตัวเพื่อนหรือรุ่นพี่คนไหน และไม่ให้คนอื่นมาโดนตัวด้วย แต่ขอเว้นเพื่อนเก่าแก่ไว้สักกลุ่ม และหวังว่าพาร์จะเข้าใจ

“หวัดดี” ผมเอ่ยทักก่อน สองสาวทักทายกลับมาตามประสาคนคุ้นหน้ากันดี

พวกเธออยู่ปี1 เหมือนกัน เป็นสะใภ้พันธมิตรครับ การสรรหาเรื่องมาคุยไม่หยุดช่วยแก้เบื่อที่ต้องมานั่งเฉยๆ ได้พอสมควร ได้โอกาสผมก็ลองถามด้วยความอยากรู้

“ไม่คิดหนีเหรอ?” 

พวกเธอถอนหายใจ หนึ่งในสองเล่าว่า “แค่ลุกจากเก้าอี้แผ่วเบาก็โดนปากกาปาเฉียดหน้าเป็นการเตือน หลังลองทำครั้งที่สามคราวนี้โดนยางลบกระแทกเข้าหน้าผาก ไม่แรงมาก แค่ทิ้งรอยแดงๆ เอง”

คนเล่ายังลูบหน้าผากทั้งที่ผมไม่เห็นรอยแดงที่ว่าแล้ว

…สรุปคือพวกเธอปลงตก ไม่คิดหนีอีกแล้ว

ผมละสายตาจากสองสาว หลังได้ยินพี่ดินสั่งงานให้พาร์ไปลุยข้างนอก อย่างเสนอตัวไปด้วยชะมัด ติดแต่รู้ตัวดีว่าช่วยอะไรไม่ได้ เป็นบทเรียนให้ปีหน้าต้องเข้าร่วมประชุมกับนิติ ต่อให้มีภาระของสะใภ้คณะก็จะไปประชุมให้ได้!

“ที ยืมแม็กกาซีนสำรองหน่อย”

ผมหยิบออกมาวางบนมือคนเดินมาขอถึงที่ มองมันอย่างอิจฉาที่จะได้ไปเล่นสนุก พาร์เลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนก้มหน้าลงมาสัมผัสที่ขมับแปบเดียวก็เลื่อนหน้าออก

“เดี๋ยวกูเล่นเผื่อ”

ทิ้งท้ายแค่นั้นก็หมุนตัวเดินออกจากเต็นท์ ทิ้งผมนั่งตัวแข็งทื่อ ไม่คิดว่ามันจะกล้าทำแบบนี้ต่อหน้าประชาชี! หันไปเจอสายตาสนอกสนใจของสองสาวก็เผลอเม้มปาก เลื่อนสายตาหนีดันไปเจอแววตาล้อเลียนของพี่ดินอีก จากที่ข่มกักเก็บได้ดีแล้วกลายเป็นปะทุขึ้นมาจนแก้มร้อนผ่าวไปหมด

ให้ตายเถอะ!

สองสาวก็พยายามถามเรื่องผมกับพาร์อยู่หรอก แต่หลังเจอคำตอบสั้นๆ หลายครั้ง คงรู้ตัวว่าเสียมารยาทถามเรื่องส่วนตัวคนอื่นจึงเปลี่ยนเรื่องคุยกะทันหัน

“จริงสิ ได้ยินข่าวลือนี่ไหม เขาบอกว่าแต่ละคณะแอบกักตุนน้ำเป็นเดือนๆ เพื่อเอามาใช้เล่นในสงครามด้วยนะ” สะใภ้เบอร์หนึ่งคุยกับสะใภ้เบอร์สอง

เรียกพวกเธอเป็นหมายเลขลำดับโดนจับตัวมาอาจเสียมารยาทไปหน่อย แต่ผมจำชื่อไม่ได้นี่ครับ จะเรียกสะใภ้คณะนั่นนี่ก็ยุ่งยากเกิน และผมชอบฟังพวกเธอสรรหาเรื่องต่างๆ มาคุยมากกว่าหาเรื่องมาชวนคุยเอง

“อ๊ะ เราก็สงสัยเรื่องนี้ เพราะน้ำโดนจำกัดแบบนั้นไม่น่าจะมีให้เล่นเยอะขนาดนี้”

“ถึงพวกผู้ใหญ่รู้กันตอนนี้ก็สายไปแล้วเนอะ”

สองสาวหัวเราะคิกคักกันใหญ่ แต่ผมกลับมองว่าถ้าปีหน้าเจอมรสุมภัยแล้งแบบนี้อีก ทางมหาลัยคงไม่ยอมอนุโลมให้แบบปีนี้แล้วก็ได้ และคงโดยยกเรื่องที่แต่ละคณะไม่ทำตามข้อตกลงมาโต้ตอบ

[ประกาศแจ้งที่อยู่สะใภ้คณะครบหนึ่งชั่วโมง มีดังนี้…]

ทุกๆ หนึ่งชั่วโมงจะมีประกาศแจ้งเตือนดังขึ้นเสมือนนาฬิกาบอกเวลาสำหรับพวกผม เอ่อ ไม่นับรวมกรณีที่หลับไปแบบผม เพราะอาจหลงเวลาได้

“อีกชั่วโมงเดียวก็เลิกแล้ว” สะใภ้เบอร์หนึ่งว่า

“นั่นสิ แต่เรายังไม่ได้เปียกกันเลย” สะใภ้เบอร์สองพูดติดตลก

ผมผงกหัวเห็นด้วยกับสองสาว

“เป็นสะใภ้นี่แย่กว่าที่คิด มีแต่วิ่งกับวิ่ง” สะใภ้เบอร์หนึ่งถอนหายใจ

ผงกหัวอีกครั้ง…แต่ก็แอบแย้งในใจ ถึงอย่างนั้นก็สนุกไปอีกแบบ

“ดีออก น้ำหนักเราลงเลยนะ รูปร่างก็ดีขึ้นด้วย” สะใภ้เบอร์สองบอกยิ้มๆ

“แต่กล้ามขาเราขึ้น!”

คนพูดมองเป็นเรื่องเดือดร้อน แต่ผมมองว่าเป็นข้อดีมากกว่า มีกล้ามเนื้อสิดี และถ้าไม่มีเรื่องนี้ผมคงละเลยการออกกำลังกายจนลงพุงแหงๆ

ช่วงเวลาสุดท้ายฐานนิติโดนบุกอย่างหนัก พี่ดินเลยทิ้งหน้าที่เฝ้าเชลยให้ผม ขู่ทั้งผมทั้งเชลยทั้งสองไม่ให้หนีไปไหน ก่อนออกไปช่วยคุมสถานการณ์

“พี่เขาน่ากลัวเนอะ”

“ดูจะโหดกว่ารุ่นพี่ที่ฝึกเราด้วย”

สองสาวซุบซิบกันเบาๆ แต่ในเต็นท์เงียบๆ แบบนี้ผมได้ยินอยู่ดี แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง

…ความจริงพี่ดินใจดีจะตาย

“เปลี่ยนเรื่องกันดีกว่า” สะใภ้เบอร์สองเปิดประเด็นใหม่ “สะใภ้รุ่นพี่เล่าให้ฟังว่า ปีที่แล้วมีทำกับดักน้ำด้วยนะ แบบที่ถ้าโดนล่อให้ไล่ตามไปจะเปิดกลไกให้น้ำพุ่งขึ้นมาโดนคนไล่ตาม”

ผมหูผึ่งฟังเลยครับ ถ้าปีนี้มีแบบนั้นนะ ไอ้พวกที่ไล่ล่าผมหัวซุกหัวซุน ไม่รอดแน่!

“แบบนั้นก็ดีน่ะสิ!” สะใภ้เบอร์หนึ่งตาเป็นประกาย

 “ใช่ เสียดายปีนี้ไม่มี เพราะทางมหาลัยให้เปลี่ยนหัวข้อเป็นแสงแทนไง ถ้ามีนะ สะใภ้สามารถใช้ประโยชน์จากมัน และหลังจบสงครามยังไปเล่นน้ำได้ด้วย อ๊ะ ปีที่แล้วมีของคณะหนึ่งโรแมนติกมาก เขาว่าบรรยากาศเหมาะพาคนที่ชอบไปสารภาพรักได้เลยล่ะ”

[ขณะนี้เป็นเวลาสิบแปดนาฬิกา ศูนย์นาที ศูนย์วินาที สงครามสายน้ำสิ้นสุดลงแล้ว ประกาศอีกครั้ง สงครามสายน้ำสิ้นสุดลงแล้ว]

เสียงโห่ร้องจากด้านนอกเต็นท์ดังสนั่น

“พวกเราป้องกันฐานได้โว้ยยย!!”

“งานนี้ต้องมีกินเลี้ยง!”

“ให้ดินเลี้ยง”

“เรื่องดิ อยากฉลองต้องหารตังค์!”

“งกวะ ฮ่าๆๆ”

เสียงหัวเราะมีความสุขคละเคล้าไปกับเสียงผู้คนที่ทยอยเดินกลับเข้ามาในเต็นท์ ใบหน้าแต่ละคนเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม หลายคนส่งเสียงพูดคุยถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่หยุด

“ชั่วโมงสุดท้ายโดนบุกเอาๆ จนกูนึกว่าไม่รอดแล้วซะอีก ดีที่ได้พวกพี่ปีสามกลับมาช่วยทัน”

“กูยิงโดนแท้ๆ มันดันหน้าด้านอยู่สู้ต่อ กูเลยยิ่งใส่หน้ามันซะเลย มีมองค้อนกูก่อนเดินออกจากสนามด้วยวะ ฮ่าๆๆ”

“สามคนตรงนั้นหันมองมาหน่อย”

เสียงที่ดังขึ้นใกล้ๆ ดึงความสนใจจากพวกผม เลยหันมองตามที่บอก

แชะ!

พี่ดินถ่ายรูปเสร็จก็ก้มหน้ายุ่งกับมือถือสักพัก ไม่นานก็ได้ยินเสียงประกาศ

[คณะนิติศาสตร์ป้องกันฐานหลักสำเร็จ มีตัวประกันสามคน ขออภัย สองครับ แหม เล่นถ่ายสะใภ้คณะตัวเองติดมาด้วยแบบนี้ผมสับสนแย่ ว่าแต่หาตัวเจอแล้วสินะ ต่อไปก็อย่าหลงทางหายไปไหนจนสามีคณะประกาศตามหาตัวอีกนะน้อง ฮ่าๆๆๆ]

ผมแยกเขี้ยวใส่อากาศ ก่อนหันมาฟังเสียงพี่ดินตะโกนบอกให้ทุกคนเงียบก่อน

“ก่อนเปลี่ยนเสื้อผ้า ผมอยากให้พวกคุณไปรวบรวมน้ำที่เหลือทั้งหมดใส่ถังมา”

เหล่ารุ่นพี่ร้องอ้อ ไล่ต้อนน้องปีหนึ่งที่ทำหน้างงๆ ให้ทำตามที่พี่ดินสั่ง

“ส่วนสะใภ้ทั้งสาม ขอเชิญออกมาด้านนอกเต็นท์ด้วยครับ”

พวกผมลุกขึ้นยืนงงๆ เดินตามพี่ดินจนห่างจากเต็นท์พอสมควรกว่าจะหยุด แล้วต้องเรียงแถวหน้ากระดาน โดนรายล้อมด้วยคนเสื้อฟ้า เป็นสถานการณ์ที่ไม่น่าไว้ใจอย่างแรง

“เราเหลือน้ำถังกว่าครับพี่”

คนยกน้ำสองถังปากกว้างมาคู่กับเพื่อนตะโกนบอกก่อนจะเห็นตัวซะอีก

“ขอทางหน่อยครับ ขอทางหน่อย”

รอจนพวกเขาเอาถังมาวางข้างเท้า พี่ดินถึงบอกต่อ

“แบ่งน้ำให้เท่ากัน ระวังน้ำหกล่ะ”

“ได้ครับ”

พี่ดินกวาดมองไปทุกคนที่ยืนรายรอบ แล้วพูดยิ้มๆ “เราจะให้เกียรติวีรบุรุษประจำงานนี้ ขอเชิญประธานปีสามผู้นำกองกำลังมาช่วยเราป้องกันฐานหลักทันเวลา และรองประธานปีสามผู้มีความดีความชอบหาตัวสะใภ้คณะของเราเจอ”

ผมทำหน้าพิลึกหลังได้ยินประโยคหลัง แต่ก็ตบมือไปพร้อมกับทุกคน ตาก็มองเหล่าเสื้อสีฟ้าขยับตัวเปิดทางให้คนถูกเรียกทั้งสองที่เดินออกมายิ้มๆ

พี่ดินยกถังน้ำส่งให้คนละใบ ก่อนทุกสายตาจะมองมาทางผม…ไม่สิ ทางสะใภ้ทั้งหมด

เฮ้ย! อย่าบอกนะว่า…

ผมรีบหลับตา หันหัวหนีเมื่อเห็นว่าเหล่าวีรบุรุษประจำคณะนิติจะทำอะไร

โครม!

มีระลอกที่หนึ่ง ก็มีระลอกที่สอง

ซ่า!

ผมลูบน้ำออกจากหน้า ลืมตาได้ปุ๊บก็ก้มมองสภาพตัวเองปั๊บ

ทั้งเสื้อทั้งกางเกงกำลังน้ำหยดแหมะๆ เปียกยิ่งกว่าพวกที่วิ่งทำสงครามทั้งวันอีก พอหันไปดูอีกสองคน ลูกหมาตกน้ำไม่แพ้กัน ดีที่พวกเธอใช้เครื่องสำอางกันน้ำ สภาพเลยแค่ดูไม่จืด

เสียงหัวเราะดังสนั่น ประธานปีสามหันไปแท็กมือกับรองประธานปีสามทั้งที่ยังขำไม่เลิก

“จบธรรมเนียมของเราแล้ว คนสาดน้ำพาสะใภ้ต่างคณะกลับถิ่นด้วย”

“อ้าว!”

“พี่ดินนน!”

ตาผมหัวเราะบ้าง โดยเฉพาะท่านรองประธานปีสามที่ร้องเรียกชื่อพี่ดินเสียงหลง รุ่นพี่ทั้งสองบ่นงุบงิบ แต่ก็ยอมพาสองสาวไปส่งโดยดี ผู้คนที่ล้อมวงแหวกทางให้อีกครั้ง ผมพึ่งเห็นว่าพื้นที่ด้านหลังสะใภ้มีคนอัดแน่นสุดๆ เหมือนแย่งกันยืนเบียดรับน้ำลูกหลง

มันต้องทำขนาดนี้เลยเรอะ!

ผ้าขนหนูผืนหนึ่งวางโปะบนหัว หันไปก็เจอพาร์มายืนข้างๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เดี๋ยวเป็นหวัด”

“กูไม่อ่อนแอขนาดนั้นหรอกน่า”

“ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น กูแค่เป็นห่วง”

ผมเม้มปากที่เกือบจะหลุดยิ้มออกมา ยอมเดินตามพาร์เข้าเต็นท์อย่างว่าง่าย แต่มาชะงักตอนหยิบถุงใส่เสื้อ

“เสื้อกล้ามกูไปไหนวะ?”

“ในถุงกู มันเปียก”

อ้อ พาร์คงเอาไปใช้ แต่…

ก้มมองเสื้อยืดสีฟ้าของพาร์ออกมาอย่างมึนงง “แล้วไหงมึงเก็บเสื้อยืดไว้ในถุงกูเล่า”

“มันจะได้ไม่เปียก”

“ไม่ได้เอาไปใช้?”

“อือ มึงรีบเปลี่ยนเถอะน่า ตอนนี้คนยังน้อย เดี๋ยวกูช่วยยืนบังให้”

ต่อมหวงของมันกำเริบอีกแล้ว แต่จะให้เปลี่ยนเสื้อต่อหน้า…จ้องเขม็งคนที่ยังยืนมองหน้าไม่เลิก

ยังไม่รู้ตัวอีก!   

ผมอ้าปากในที่สุด “หันหลังไปดิ!”

พาร์ยอมทำตามอย่างว่าง่าย ถึงอย่างนั้นผมก็ยังระแวงหน่อยๆ เลยหันหน้าเข้าผนังเต็นท์ รีบปลดกระดุมถอดเสื้อเปียกออก กำลังจะคว้าเสื้อสีเหลืองของตัวเอง กลับโดนชิงตัดหน้า และโดนยัดเสื้อสีฟ้าใส่มือแทน

“ของมึงตัวนี้”

ผมทั้งสับสนทั้งโมโหที่โดนมันแอบมองตอนเปลี่ยนเสื้อ!

ตอนนี้ทำได้แค่เอาเสื้อยืดสวมหัวให้เร็วที่สุดก่อนหมาป่าบางตัวตบะแตก เพราะแค่นี้มือมันก็เริ่มซนแถวแผ่นหลังแล้ว ดึงเสื้อลงมาเรียบร้อย สัมผัสที่หลังก็หายไป แว่วเสียงถอนหายใจเหมือนเสียดาย

ผมเตะขามันไปป๊าบหนึ่ง กะแล้วอย่างมันไว้ใจไม่ได้!

พอได้ระบายอารมณ์ออกไปบ้างค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย จึงเอ่ยปากถามข้อสงสัย

“แล้วทำไมกูต้องใส่เสื้อมึง?”

“เถอะน่า” บอกแค่นั้นก็จับเสื้อถอดออกดื้อๆ ผมเบือนหน้าหนีไปทางอื่นแทบไม่ทัน

ระหว่างรอพาร์เปลี่ยนเสื้อก็พยายามคิดไปด้วยว่าลืมอะไรไปหรือเปล่า…ใส่เสื้อคนอื่น แลกเสื้อกันใส่ ใช่ๆ แลกเสื้อ ตอนนั้นพี่นันบอกว่าอะไรบ้างนะ ให้ตาย นานหลายเดือนแบบนั้นใครจะไปจำได้

“วี้ดวิ้ว แลกเสื้อกันเหรอจ๊ะ แหมๆ ไม่ค่อยเลยวะเพื่อน หวงจริงคนเนี่ย!”

เสียงผิวปากมาพร้อมเสียงแซวกึ่งแขวะของเชนกระแทกความทรงจำได้ตรงจุด กระเทาะเสียงพี่นันออกมาทันที

‘ว่ากันว่าในช่วง Water War ถ้าได้แลกเสื้อกับคนที่แอบชอบจะสมหวังในรัก ส่วนใหญ่คนมีแฟน ฝ่ายชายมักจะให้แฟนสวมเสื้อของตัวเองเป็นการประกาศความเป็นเจ้าของ’

ผมรีบตวัดตามองพาร์ คนโดนจ้องเลิกคิ้วขึ้นสูง ใช้สองมือดึงเสื้อยืดสีเหลืองลงปิดพุง

“อะไร?”

“เรื่องเสื้อ...มึงวางแผนไว้ตั้งแต่ต้น?”

“ใช่”

ยอมรับหน้าตายมาก! โอเค กูไม่ซักไซ้อะไรมึงแล้ว

หลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ พี่ดินแบ่งคนเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกเอาผลงานของคณะไปติดตั้งในจุดที่กำหนดให้เรียบร้อย อีกกลุ่มช่วยกันหิ้วข้าวของไปยังพื้นที่สำหรับขายของที่ทางคณะจองไว้ ผมกับพาร์อยู่กลุ่มหลัง พวกเราต้องเร่งมือให้ทันฟ้ามืด เพราะงานนี้ถ้าเป็นโซนที่จัดงานช่วงกลางคืน ทางมหาลัยจะไม่เปิดไฟให้

ไปถึงก็วางรั้วกั้นแบบยืดหดได้รอบพื้นที่ทำเป็นอาณาเขตสี่เหลี่ยม แต่ด้านหน้ากั้นแค่ครึ่งเดียวที่เหลือไว้สำหรับเปิดให้คนเดินเข้าออก

พวกผมเดินไปกลับหลายเที่ยวกว่าจะขนของที่ต้องใช้มาได้หมด โดยเฉพาะถุงทรายที่แบ่งใส่ถุงเล็กๆ ห่อด้วยฟอยล์หลายสิบถุง และมีถุงทรายใหญ่หนักพอๆ กับก้อนอิฐสามก้อนอยู่อีกอัน ผมมารู้ว่าเจ้าก้อนฟอยล์เหล่านี้ไว้ใช้เป็นฐานมัดลูกโป่งก็ตอนเขากำลังจะปล่อยบอลลูนขนาดสามเมตรขึ้นฟ้า

“เตรียม...ปล่อยได้”

ทันทีที่ได้ยินเสียงสัญญาณ กลุ่มประมาณสามคนกำลังจับบอนลูนสีขาวก็พร้อมใจปล่อยมือออก ทุกคนต่างแหงนหน้ามองบอลลูนทรงกลมลอยขึ้นฟ้าเรื่อยๆ จนถึงความสูงสามเมตรกว่าถึงหยุดกับที่ เริ่มแกว่งไกวไปมาตามแรงลม

คนดูแลฐานยึดรีบตรวจสอบอีกครั้ง ก่อนวาดแขนเหนือหัวเป็นรูปโอเค

งานเตรียมของยังไม่จบ เราต้องจัดเตรียมลูกโป่งให้พร้อมก่อนเริ่มงาน โรงงานนรกเลยมาเยือน จัดสรรหน้าที่กันทำ คนอัดแก๊สฮีเลียมเข้าลูกโป่งใส ส่งต่อให้คนผูกริบบิ้น แล้วส่งต่ออีกครั้งให้คนเอาไปผูกกับก้อนฟอยล์ หรือที่บางคนเรียกฐานฟอยล์

ฟอยล์ก้อนหนึ่งมัดลูกโป่งได้หลายใบเลยครับ เพื่อความประหยัดพื้นที่เลยต้องมัดให้ได้มากที่สุด แล้วเอาไปวางเรียงใกล้รั้วกั้นจากซ้ายไปขวาจนเป็นรูปตัวยู ยกเว้นส่วนด้านหลังที่ปูเสื่อปิกนิกไว้เป็นที่นั่งทำงาน เลยต้องขยับฐานลูกโป่งมาวางด้านหน้าเสื่อปิกนิกแทน

ฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อยๆ พวกรุ่นพี่จึงงัดเอาตะเกียงปิกนิกแบบใช้พลังงานแสงอาทิตย์จากในกล่องออกมาแขวนกับรั้วกั้น ทำให้เราพอมีแสงสว่างทำงานกันต่อไป

“หมดนี่แล้วพอก่อน รอลูกค้ามามากกว่านี้เราจะปล่อยแผนสองกัน”

แผนสองที่ว่าคือขายโคมไฟ เอ้ย ผมหมายถึงลูกโป่งเรืองแสง วิธีทำก็หักแท่งเรืองแสงเขย่าๆ จนได้ก็ยัดเข้าลูกโป่งสิบนิ้วสีขาว อัดแก๊สฮีเลียมตามปกติ มัดด้วยริบบิ้นเป็นอันเสร็จ สามารถถือไปไหนมาไหนก็เหมือนมีโคมไฟตามไปทุกที ไอเดียดีสุดๆ พี่ดินเลยเอามาใช้ขายของหาเงินเข้าคณะแทน 

“งั้นเปิดขายเลยนะพี่”

“เออ เอาตะกร้านี้ไปคล้องแขนไว้ แล้วคนเก็บตังค์?”

“อยู่นี่ค่ะ”

คนโดนเรียกขานับ ในมือถือกล่องกระดาษด้านบนมีที่หยอดเหรียญ มองแวบหนึ่งเหมือนกล่องที่ไว้สำหรับขอบริจาคนอกสถานที่ แต่แบบนี้ก็เหมาะสมดี เพราะส่วนใหญ่เงินที่แลกมาใช้กิจกรรมนี้ก็เป็นรูปแบบเหรียญอยู่แล้ว   

“ใครเฝ้าซุ้มกะนี่ออกไปได้แล้ว”

พาร์ลุกขึ้นยืนพร้อมคนอื่น เห็นผมยังนั่งเฉยก็พยายามดึงผมให้ลุกขึ้น

หืม? ผมชี้นิ้วใส่ตัวเองเป็นเชิงถามว่า กูด้วยเรอะ?

“กูลงชื่อมึงไว้แล้ว ลุกเร็ว ถือกระป๋องกรรไกรมาด้วย”

ตอนพวกผมมุดลูกโป่งออกมา เริ่มมีคนมายืนดูใกล้ๆ ชี้นิ้วไปบนฟ้า บอลลูนยักษ์เริ่มปรากฏอักษรเรืองแสงให้เห็นชัดขึ้นเป็นคำว่า

‘Balloon To Message’

“เพื่อนๆ เขียนอะไรก็ได้ตามคอนเซปของเราที่ลูกโป่งหน้าทางเข้าให้หน่อย”

คนคล้องตะกร้าใส่ปากปากกาเรืองไว้ที่แขนตะโกนบอก พร้อมไล่แจกปากกาให้คนละแท่ง

“ใช้คละสีนะ จะได้หลากหลาย”

หลังได้ปากกา พาร์ลากแขนผมไปทันที ไปถึงลูกโป่งที่ว่าเป็นกลุ่มแรก

รีบอะไรหนักหนาเนี่ย? 

“กูขอเขียนก่อน”

“เออ” ผมขานรับมองคนใจร้อนมึนๆ

เห็นพาร์ดึงปลอกปากกาออก ก่อนจับลูกโป่งสีใสลูกหนึ่งให้อยู่นิ่งๆ เขียนยุกยิกไม่นานก็ปล่อย ลูกโป่งลอยกลับคืนที่เดิม อักษรเรืองแสงสีส้มเปล่งประกายในความมืด

‘คนนี้ที่ใช่
ยังไงก็ใช่
ไม่เปลี่ยนแปลง’

ผมข่มความเขิน แล้วเอ่ยถามเสียงสั่นหน่อยๆ

“คอนเซปคืออะไร?”

เพราะบริเวณตรงนี้มืด ผมเลยเห็นหน้าพาร์ไม่ชัด แต่คำพูดมันสะเทือนไปทั้งหัวใจ

“บอลลูน ทู เมสเสจ…ส่งข้อความถึงคนที่คุณรัก”

“…มึงรู้ไหม รักมีหลายรูปแบบ”

“รู้สิ เพื่อนพ้อง ครอบครัว และ…คนรัก” พาร์พูดยิ้มๆ “คอนเซปของเราไม่ได้จำกัดว่าต้องเลือกส่งลูกโป่งให้คนยืนข้างๆ สักหน่อย อยากถือกลับไปให้คนที่บ้าน อยากจะปล่อยลอยขึ้นฟ้าสู่คนที่อยู่ห่างไกลหรืออาจไม่ได้พบเจอก็ได้ทั้งนั้น แล้วมึงล่ะอยากเขียนส่งถึงใคร?”

ผมแหงนหน้ามองท้องฟ้า บอลลูนขาวที่มีอักษรเรืองแสงยังคงปรากฏชัดแก่สายตา

ลูกโป่งใบเล็กๆ เอามารวมกันก็ใหญ่ได้ไม่แพ้บอลลูกบนฟ้า เช่นเดียวกับไม่จำเป็นต้องเขียนใส่ลูกโป่งแค่ใบเดียวแล้วจบสักหน่อย อยากเขียนถึงใครก็ได้ทั้งนั้น

ผมยิ้มเล็กๆ ระหว่างลดหน้าลง คว้าริบบิ้นดึงลูกโป่งสีใสเข้าหาตัว 

“กูมีคนที่รักเยอะ แต่ลูกโป่งแรกกูขอเขียนให้มึง”

ตวัดข้อมือเขียนทีละตัวๆ ถ่ายทอดข้อความภายในใจออกมาเป็นตัวอักษร

‘แด่คนนี้ที่ต้องการ
ไม่คิดเสียใจ ไม่คิดเปลี่ยนใจ
ขอบคุณที่มา…ให้รัก’

ทันทีที่ลูกโป่งหลุดจากมือ คอผมก็โดนรั้งเข้าหาอกใครบางคน กลิ่นที่คุ้นเคย ไออุ่นที่ทำให้ใจอุ่นตาม จึงยินยอมปล่อยให้ใกล้ชิด

วูบหนึ่งเผลอนึกถึงสมัยเด็ก

ครั้งแรกมีเพียงคำพูด ครั้งที่สองมีขนมกับข้อความ ส่วนครั้งนี้ได้มากกว่านั้น…มากมาย

หลับตาลงฟังเสียงหัวใจเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ แม้ติดเร็วไปหน่อย แต่ยังหนักแน่นดุจขุนเขา เช่นเดียวกับตัวต้นที่อยู่ภายในใจของผม

มือกำเสื้อพาร์แน่น…ไม่ว่าจะเพราะอะไรที่ทำให้เราได้มาเจอกัน ผมก็ได้แต่พูดขอบคุณเท่านั้น

ขอบคุณจริงๆ ที่ส่งเขามาให้ผม 

ลมหายใจรินร้อนใกล้หู มาพร้อมเสียงกระซิบ “จูบมึงได้ไหม?”

อารมณ์หวานๆ ซึ้งๆ พังครืนลงมาทันที

ผมรีบลืมตา ผลักหน้าพาร์ออกห่าง ยิ่งรู้สึกถึงสายตาหลายคู่มองมา บวกกับอารมณ์ตกใจที่เมื่อครู่เผลอตัวเผลอใจกลางที่สาธารณะ ผมก็ยิ่งเลิ่กลั่กทำอะไรไม่ถูก

“ไม่ได้เหรอ?”

มันมาอีกแล้ว! ไอ้สายตาเว้าวอนของหมาน้อยเนี่ย!

ผมกัดฟันข่มไม่ให้ใจอ่อนสุดฤทธิ์ เค้นคำพูดดุเสียงเข้ม “ตรงนี้ไม่ได้!”

“งั้นขอติดไว้ก่อน” หมาน้อยรีบพูดรัวเร็วเหมือนกลัวใครแย่ง แถมยังกลายร่างกะทันหัน กระโจนเข้าใส่ทั้งตัวจนผมเซ “แต่ตอนนี้ขอกอดก่อนแล้วกัน”

ผมอ้าปาก ยังไม่ทันได้เรียกชื่อดุใครบางคน เสียงจากด้านหลังซุ้มก็ดังสนั่นเหมือนสัตว์คำราม

“เฮ้ย! คู่นั่นนะ! หวานกันเกรงใจคนโสดหน่อยโว้ย!!”

############

ออฟไลน์ powvera

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 702
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-3
Re: - ชลนที - [บทที่ 54] P.19 (21/04/2017)
«ตอบ #554 เมื่อ21-04-2017 12:38:27 »

มีความหวาน มุ้งมิ้ง

 :o8:    :o8:   :กอด1:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: - ชลนที - [บทที่ 54] P.19 (21/04/2017)
«ตอบ #555 เมื่อ21-04-2017 14:23:33 »

โอ๊ยๆ.......ยาวจุใจ ชอบบบบ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ขำที่ที ว่าพาร์ หึงมากไปแล้ว แม้แต่แมวยังหึง
“กูไม่ได้ห้ามมึงหึง แต่หึงให้สมเหตุสมผลหน่อย ไม่ใช่กับแมวก็ยังหึง”
“มึงต่างหากที่ยังไม่เข้าใจ นั่นเรียกหวง ไม่ใช่หึง”
“…งั้นรอกูแยกแยะสองคำนี้ได้เมื่อไหร่ค่อยมาคุยกันใหม่” /ที ซื่อ น่าร้ก

“จูบมึงได้ไหม?”
 "......."
“ไม่ได้เหรอ?” 
 “ตรงนี้ไม่ได้!”
กร๊ากกกกก เลย ดุมาก เข้มมาก  :z3: :z3: :z3:
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
Re: - ชลนที - [บทที่ 54] P.19 (21/04/2017)
«ตอบ #556 เมื่อ21-04-2017 16:09:26 »

โอ้ยยยย. ตายๆ ตายไปเลย หึ๋ยยยย

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
Re: - ชลนที - [บทที่ 54] P.19 (21/04/2017)
«ตอบ #557 เมื่อ21-04-2017 16:17:26 »

5555 พาร์แม่มนารัก

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
Re: - ชลนที - [บทที่ 54] P.19 (21/04/2017)
«ตอบ #558 เมื่อ21-04-2017 20:46:10 »

พาร์น่ารักอ่ะ ถ้ามีอย่างพาร์มาจีบ คงรีบตอบรับเลยทีเดียว อิอิ

ออฟไลน์ PKT

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: - ชลนที - [บทที่ 54] P.19 (21/04/2017)
«ตอบ #559 เมื่อ23-04-2017 00:23:04 »

ฮือออออ น่ารักอ้าาาาา อ่านไปยิ้มไปอ่ะ
ชอบทีอ่ะะน่ารัก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: - ชลนที - [บทที่ 54] P.19 (21/04/2017)
« ตอบ #559 เมื่อ: 23-04-2017 00:23:04 »





ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
Re: - ชลนที - [บทที่ 54] P.19 (21/04/2017)
«ตอบ #560 เมื่อ24-04-2017 20:37:13 »

โอ๊ยยย ดีต่อใจ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: - ชลนที - [บทที่ 54] P.19 (21/04/2017)
«ตอบ #561 เมื่อ27-04-2017 20:45:00 »

น่ารัก น่ารัก น่ารักมาก หวานมากเลย  :m3:

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
Re: - ชลนที - [บทที่ 55] P.19 (27/04/2017)
«ตอบ #562 เมื่อ27-04-2017 20:54:55 »

บทที่ 55

“ไอ้ทีรีบรับเร็วๆ โว้ย กูหนวกหู!”

หมอนถูกปาจากทางไวไวปะทะเข้าเต็มหน้าผม เลยลืมตาปาคืนเจ้าของ แต่ดันตกใส่หัวพี่ใหญ่ของกลุ่ม

“ที!!”

ผมรีบคว้าเจ้าเครื่องที่ส่งเสียงกรีดร้องไม่เลิกขึ้นมารับสาย หนีจากการถูกด่ารับเช้าวันอาทิตย์ทันหวุดหวิด 

“ครับ?”

[อยู่ไหนลูก?]

“คอนโดเพื่อนครับ” ตอบไปอ้าปากหาวไป “วันนี้พวกผมต้องไปช่วยเขาทำความสะอาดในมหาลัย พาร์กับผมเลยตกลงอยู่ค้างห้องเพื่อนแทนกลับบ้าน…” พูดถึงตรงนี้ก็เผลอนิ่วหน้า อาการเมาขี้ตาหายไปจนระลึกขึ้นได้ “เมื่อวานผมโทรบอกพ่อไปแล้วนี่”

ปลายสายเงียบไปนานจนต้องหันมือถือดูหน้าจอ สายไม่ได้ตัดเลยแนบหูพูดฮัลโหลๆ จนได้ยินเสียงพ่ออีกครั้ง

[จะเสร็จเมื่อไหร่]

“ไม่รู้เหมือนกัน แต่คงไม่เกินช่วงเย็นล่ะมั้ง…มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ?”

แต่ใจแอบคิดไปแล้วว่าพ่อแม่คงอยากหนีเที่ยว เลยโทรตามตัวผมกลับไปดูแลน้องที่บ้านเหมือนทุกที

[คุณปู่กลับมาไทยแล้ว]

“จริงเหรอ!” ผมยิ้มดีใจทันที ก่อนแอบขอโทษพ่อในใจที่คาดเดาไปนู้น

[คุณย่าด้วย]

รอยยิ้มหุบทันควัน หน้าเริ่มซีดนิดๆ

“กะ…กลับมาเรื่อง เอ่อ แฟนของที?”

ไม่หรอกมั้ง…ถ้าคุณย่ารู้น่าจะมีคำสั่งฟาดเปรี้ยงให้ผมย้ายที่เรียนกะทันหัน และน่าจะต้องบินข้ามทะเลเหมือนลุงนิกที่ต้องแยกกับทากะซังไปช่วยคุณปู่ทำงานถึงนู้น

พ่อไม่ตอบ แต่ผมได้ยินเสียงเหมือนสูดน้ำมูก...

“เอ๊ะ พ่อร้องไห้เหรอ!”

ร่างผมหนาวเยือกทันที เริ่มสังหรณ์ใจพิกล ความคิดในทางเลวร้ายผุดขึ้นมาไม่หยุดจนมือเริ่มสั่นเทา

ไม่ๆ คิดในทางที่ดีไว้ไอ้ที ไม่มีใครเป็นอะไรไปหรอกน่า!

[ที จำยายศรีได้ไหม ก…แกกลับมาด้วยนะลูก] ถ้อยคำขาดหายเหลือเพียงเสียงสะอื้นอยู่ครู่หนึ่ง [คุณย่าพาอัฐิกลับมาทำพิธี…]

สมาท์โฟนถูกปล่อยร่วงจากมือ

ยายศรี…

สมองเริ่มมีภาพเก่าๆ วนไปเวียนมา คุณยายใจดีที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรทางสายเลือดเลย แต่ก็รักเอ็นดูผมไม่แพ้ญาติผู้ใหญ่คนไหน เป็นคนพูดน้อย จึงมักคอยนั่งอยู่ข้างๆ ลูบหลังปลอบพลางฟังผมพูดระบายความอัดอั้นในใจ คนที่จูงผมเข้าครัวสอนทำอาหาร…

น้ำตาร่วงหล่นทีละหยดๆ สุดท้ายก็กลั้นเสียงสะอื้นไม่ไหว

“เฮ้ย!!”

“ร้องไห้ทำไมเนี่ย!”

เสียงไวกับยำประสานกัน ก่อนจะโดนเทมตวาดใส่ ในจังหวะที่ตัวผมโดนพาร์ดึงไปกอด ผมซบหน้าผากกับไหล่พาร์ กำเสื้อมันแน่น

“อย่าพึ่งไปถามมัน ปล่อยให้ร้องไปก่อน”

หูได้ยินอีกเสียงแทรกมา

“ฮัลโหล ผมกายนะครับ…อ้อ ครับ…จะฝากบอกให้ครับ”

ผมสัมผัสได้ถึงแรงตบเบาๆ ที่หลัง ตามด้วยเสียงกาย

“ที พ่อมึงบอกว่าทำกิจกรรมเสร็จแล้วให้ตามไปที่วัด แต่ถ้าเลิกเลยบ่ายสามให้ไปบ้านคุณย่าแทน”

แม้จะได้ยินทุกเสียงรอบตัว แต่ผมกลับไม่สนอง กลับเลือกร้องไห้ต่อไป ระบายทุกอย่างในใจตอนนี้ออกมาให้หมด แล้วหลังจากนี้…ผมจะพยายามทำใจยอมรับความจริงให้ได้

-------------

“สวัสดีเด็กๆ ไม่เจอกันนานโตเป็นหนุ่มกันแล้ว”

ชายชราที่สุขภาพยังแข็งแรงดีคลี่ยิ้มทักทายกะทันหัน พวกผมสะดุ้งหันรีบไปยกมือไหว้

“สวัสดีครับคุณปู่” เสียงแทบจะประสานกัน

“ไหนเจ้าอรรถบอกว่าทีติดกิจกรรมที่มหาลัย?”

“พวกผมโดดกิจกรรมมาครับ โอ๊ย!”

ยำยำโดนไวไวตบหัว “มึงก็พูดตรงเกิน!”

คุณปู่กวาดตามองด้วยแววตาดุๆ แต่ละคนเลยยิ้มเจื่อนๆ รับ ผมรีบเปลี่ยนเรื่องแก้สถานการณ์

”แล้วคุณปู่มาทำอะไรตรงนี้?”

ระหว่างถามก็หยิบกุญแจไขเปิดประตูรั้วให้พวกเพื่อนๆ เอารถเข้ามาจอด ที่จริงใช้รีโมตเปิดรั้วสะดวกกว่า แต่กดเปิดเท่าไหร่ประตูก็นิ่งจนพวกผมต้องลงมาดูเนี่ยแหละ

คุณปู่ชูกระดาษขนาดเอสี่กับเชือกในมือ

‘ประตูเสีย ใช้ระบบมือเอานะหลานชาย’

“แต่สงสัยคงไม่ต้องใช้แล้วมั้ง”

ผมหัวเราะตามปู่ ขยับตัวไปกอดด้วยความคิดถึง เลยได้มือตบหลังเบาๆ กลับมา

“ยินดีต้อนรับกลับบ้าน”

“ทีต้องเป็นคนพูดต่างหาก”

รถหกคันวิ่งผ่านรั้วตรงไปยังลานจอดติดหลังคาด้านข้าง ผมกับยำช่วยกันเลื่อนปิดประตูรั้ว 

“มากี่ครั้งที่นี่ก็ยังใหญ่เหมือนเดิม”

ผมหันมองยำแล้วยักไหล่ “ใหญ่แบบนี้ก็ไม่ดีหรอก เกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ร้องให้คนช่วยก็ไม่มีใครได้ยิน”

ยำหน้าเจื่อน “กูขอโทษ ถ้าทำให้มึงนึกถึงเรื่องไม่ดี”

ผมพึ่งนึกได้ว่าตัวเองหลุดพูดอะไรออกมาก็ทำหน้าเจื่อนตามอีกคน ชำเลืองมองปู่...อยู่ห่างออกไปแบบนั้นคงไม่ได้ยิน เฮ้อ ต้องระวังคำพูดมากกว่านี้

“อยากออกกำลังกายกันไหมเด็กๆ”

คุณปู่หันมาถามพวกผมที่รวมตัวกันครบ พวกผมส่ายหน้าทันที ยกเว้นแขกมาครั้งแรกทั้งสองคนที่มีสีหน้าไม่เข้าใจ

ยำเลยรีบชี้บอก “สองคนนี้ไม่ส่ายหน้า แสดงว่าอยากเดินครับ”

พี่ภูขมวดคิ้ว พาร์หันมองผมเป็นเชิงถาม

“น่าเสียดาย ปู่ให้เขาเอารถมาแค่คันเดียว นั่งได้อีกสี่คน ใครที่คิดว่าตัวเองไม่แข็งแรงก็ขึ้นมาแล้วกัน”

พวกผมมองหน้ากันทันที สุดท้ายได้แต่ปล่อยปู่ขึ้นรถกอล์ฟคนเดียว

“ค่อยๆ เดิน ไม่ต้องรีบ ระวังโดเบอร์แมนด้วยล่ะ”

สิ้นเสียงปู่ ยำก็สะดุ้งโหยง รีบร้องเสียงหลง

“ปู่ครับ ผมไปด้วย!!”

แต่รถกอล์ฟขับไปนู้นแล้ว ไม่มีชะลอ แว่วเสียงหัวเราะมาอีกต่างหาก

ผมส่ายหน้าระอา เจอหน้ากันปุ๊บก็หยอกหลานๆ ปั๊บ หรือเพราะเห็นพวกผมทำหน้าเครียดกัน?

“...โดเบอร์แมนที่นี่น่ากลัว?”

พี่ภูถามขึ้นมาหลังเห็นยำคว้าแขนผมไปกอดตัวสั่นระริก เทมที่ยืนใกล้ๆ เลยเป็นคนตอบ

“ถ้ามีแค่ตัวสองตัวก็ไม่ แต่ที่นี่มีเป็นสิบ ยำเคยโดนพวกมันกระโดดใส่ตอนเป็นเด็กเลยกลัวฝังใจมาถึงตอนนี้...ความผิดไอ้ทีคนเดียว แกล้งเพื่อนจนได้เรื่อง”

...ตอนนั้นผมร้อนวิชา แล้วยำก็ทำท่ากล้าๆ กลัวๆ ใส่หมาน่าแกล้งจะตาย เลยผิวปากออกคำสั่งให้เห่าใส่เฉยๆ แต่ผิวปากพลาดไปนิดกลายเป็นคำสั่งคุมตัว ยำเลยถูกโดนกระโจนใส่ผลักล้มกับพื้น แล้วมันก็แผดเสียงร้อนลั่นจนทั้งผมทั้งผู้ร่วมแผนการสี่ขาตกใจ

ผมหลุดจากภวังค์ มองแขนยำถูกแกะออกไป ทันทีที่พี่ภูทำสำเร็จ พาร์ก็รีบโอบไหล่ผม ลากตัวเดินนำหน้าทันที

“ทำอะไรของมึง! กูจะไปกับที!!”

“อยู่กับกูนี่!”

“ไม่เอา มึงช่วยกูไม่ได้! ทีรอกูด้วย”

พาร์ลากผมเดินเร็วขึ้นอีก ผมพยายามเอียวคอไปมองก็เจอยำโดนพี่ภูล็อกตัวดิ้นกระแด่วๆ อยู่กับที่

“...มึงกับพี่ภูเหมือนกันจริงๆ”

ขี้หวงเหมือนกันไม่มีผิด ผมถอนหายใจ  “รอเพื่อนกูก่อน แถวสนามหญ้าหน้าบ้านนี่ถิ่นเจ้าพวกนั้นเลย”

พาร์ยอมหยุดลาก ระหว่างรอมันกวาดสายตามองไปรอบๆ พร้อมกับทำหน้าสงสัย

“โล่งขนาดนี้ไม่น่าเกิดเรื่อง”

“...เพราะมันเปลี่ยนไปหลังเกิดเรื่องต่างหาก”

“เอ๊ะ?”

ผมยิ้มบางให้พาร์ แต่แววตาหม่นลงยามนึกถึงในอดีต

“ที่นี่เคยเป็นบ้านสวนมาก่อน ต้นไม้สูงใหญ่เยอะ เข้ามาแล้วก็เหมือนมาเดินในป่า ร่มรื่นเย็นสบาย อากาศดีมาก แต่หลังเกิดเรื่องสวนก็เปลี่ยนไปทันที จากพื้นดินเป็นสนามหญ้า ต้นไม้ใหญ่บางตาลง ความร่มรื่นเย็นสบายหายไป และแทนที่ด้วยความโล่งโปร่งที่ดูปลอดภัยมากกว่าเก่า”

ผมชี้นิ้วไปอีกทาง “แต่เพราะโล่งเกินไป แปลงพืชสวนครัวจึงถือกำเนิด เมื่อก่อนมีกรงไก่ด้วยนะ เลี้ยงให้ไข่ แต่ตอนหลังไก่หายไปไหนไม่รู้ กูเสียวๆ อยู่เหมือนกันว่าอาจ...ลงมาอยู่ในท้องไม่รู้ตัว เลยเลิกกินไก่ไปพักหนึ่ง ส่วนสนามหญ้าตรงนี้ นอกจากให้กูกับเพื่อนๆ ไว้วิ่งเล่น ยังเป็นที่วิ่งออกกำลังและที่นอนของพวกน้องหมาด้วย แลกกับห้ามไปซนแถวแปลงพืช เนอะ”

พยักหน้าขอความเห็นจากเจ้าหูตั้งที่ย่องมาดมพาร์เงียบๆ คนข้างผมหันไปเห็นถึงกับสะดุ้งโหยง

“ยืนเฉยๆ ปล่อยให้ดมไป” ผมให้คำแนะนำ ยืนนิ่งปล่อยอีกตัวมาดม สักพักก็กระดิกหางให้ ยอมให้ผมลูบหัวอย่างว่าง่าย เสียงมือถือทำให้พวกมันชะงัก ผมรีบกดรับสาย เจอเทมพูดมาสั้นๆ

“พวกกูโดนหมาบ้านมึงล้อม ช่วยด่วน!”

หันไปด้านหลังพวกเพื่อนๆ ยืนรวมกันเป็นกระจุก เบียดอัดกันเหมือนปลากระป๋อง มีโดเบอร์แมนหกตัวนอนหมอบในท่าเตรียมพร้อมเข้าจู่โจมทุกเมื่อถ้ามีใครแตกกลุ่มวิ่งหนีออกมา

ผมผิวปากไม่กี่ครั้ง ทั้งหกกระดิกหู ยืดตัวขึ้นแล้ววิ่งกลับมาทางผม ต้องลูบหัวชมทุกตัวครับ ไม่งั้นตัวที่ไม่ได้คำชมจะงอนใส่ เห็นเพื่อนๆ ยืนมองกล้าๆ กลัวๆ ก็ผิวปากอีกครั้ง พวกมันก็แยกย้ายหายไปจากสายตา

“ไม่ต้องกลัวหรอก ชุดกลางวันไม่ค่อยดุ ชุดกลางคืนดุกว่าเยอะ”

เหล่าคนฟังทำหน้าแปลกๆ ผมเลยพูดปิดท้ายก่อนพาแขกของบ้านเดินต่อ

“เดินกันตามสบาย หมาบ้านย่ากูไม่มาแล้ว”

เดินประมาณเกือบครึ่งกิโลก็ถึงตัวบ้าน ตั้งแต่หน้าประตูถึงในห้องโถงมีคนอยู่พอประมาณ บรรยากาศเศร้าโศกอบอวนไปทั่ว ทุกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้สำรวมกายใจทันที ผมสูดลมหายใจนำขบวนเพื่อนๆ ที่กลับไปอาบน้ำแต่งตัวกันมาใหม่ให้เหมาะสมตรงไปจุดธูปกราบพระประธาน ก่อนจุดธูปไหว้อัฐิของยายศรีที่ตั้งวางบนโต๊ะอีกตัว

ผมได้แต่นั่งถือธูปมองกรอบรูปของยายศรีมือสั่น คิดอะไรไม่ออกจนกระทั่งโดนเพื่อนๆ สะกิด ถึงได้ตั้งสตินึกสิ่งที่อยากบอกเป็นอย่างแรก และน่าจะเป็นสิ่งที่ยายศรีอยากได้ยินที่สุด

ยินดีต้อนรับกลับบ้านเราครับ ทีดีใจที่ยายศรีกลับมา...

ผมทำน้ำตาร่วงทั้งที่ตั้งใจจะไม่ร้องอีก ยังจำได้ว่าก่อนไปต่างประเทศ ยายศรีพูดว่าหากมีโอกาสก็จะกลับมา รีบปาดน้ำตาออก สูดลมหายใจเข้าถ่ายทอดความในใจออกไปทั้งหมด

ที...อาจเลือกเส้นทางที่ทำให้ยายศรีผิดหวัง ขอโทษครับ แต่ทีจะไม่เสียใจทีหลัง ขอบคุณที่คอยดูแล คอยสอนทีมาตลอด ทีโตจากวันนั้นมากแล้ว ยายศรีไม่ต้องห่วงทีอีกแล้ว...พักผ่อนให้สบายนะครับ 

หลังปักธูปถอยออกมาให้เพื่อนๆ เคารพยายศรีต่อ ผมยืนน้ำตาซึม มองรูปถ่ายที่แก่ชรากว่าในความทรงจำ หากสีหน้าและแววตากลับอบอุ่นอ่อนโยนไม่เปลี่ยน มีหลายมือตบบ่าตบไหล่ปลอบใจคนละทีสองที หลังเคารพผู้ตายกันครบทุกคน พวกมันก็เป็นฝ่ายลากตัวผมไปไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่

“สวัสดีครับคุณย่า” เพื่อนๆ ยกมือไหว้ประสานเสียง

“สวัสดี”

“สวัสดีครับอาอรรถ”

“หวัดดี”

ผมคุกเข่าตรงไปกราบที่ตักคุณย่า ใจแอบหวั่นหน่อยๆ ตามประสาคนมีความผิดติดตัว

“ที”

มือเหี่ยวย่นตามวัยลูบหัวผมเบาๆ คุณย่าดูเหนื่อยอ่อนกว่าทุกที ไม่เหมือนหญิงแกร่งในความทรงจำ…หวนนึกขึ้นได้ว่าคุณย่าสูญเสียคนสนิทเพียงหนึ่งเดียวที่เป็นทั้งเพื่อนทั้งพี่สาว พวกท่านโตมาด้วยกัน คอยดูแลกันมาตลอด ความเสียใจของคุณย่าต้องมีมากกว่าผมแน่ๆ

“คุณย่า...” ผมคว้ามือท่านมากุมแน่นๆ

“ย่าไม่เป็นอะไร ไม่ต้องห่วงย่า แม่สายสิ อาการน่าเป็นห่วงกว่าย่าอีก”

ผมหันไปมองตามสายตาคุณย่า เจอป้าสายมองเหม่อรูปยายศรี น้ำตาไหลอาบแก้มไม่หยุด

“ย่าน่ะได้ทำใจก่อนแม่ศรีจะเสียจริงๆ แต่แม่สายรู้ข่าวตอนย่ากลับมาพร้อมอัฐิแล้ว กะทันหันเหลือเกินคงทำใจลำบาก”

ยังไม่ทันพูดอะไรกันมากกว่านี้ก็มีคนเดินมาแจ้งว่าพระสงฆ์มาถึงแล้ว พวกผมเลยต้องแยกย้ายไปหาที่นั่งก่อน

กว่าเสร็จสิ้นพิธีกรรมก็เกือบเที่ยงแล้วครับ ทางผู้ใหญ่จะนั่งรถไปโปรยอัฐิกันเลยตามประสงค์ของผู้ตาย และป้าสายยินยอมลัดขั้นตอนพิธีกรรมตามคำสั่งเสียสุดท้ายของผู้เป็นมารดา

ผมอยากไปด้วยจะแย่ แต่จำต้องกลับมหาลัย เพราะถ้าผมไม่ยอมกลับ เพื่อนทั้งกลุ่มคงตามผมไปต่อทั้งที่แต่ละคนโดนโทรตามตัวเป็นรายคน คนละหลายครั้งทั้งจากเพื่อนทั้งจากรุ่นพี่

“เดี๋ยวพ่อถ่ายรูปให้ดู ทีไปจัดการเรื่องที่มหาลัยเถอะ”

“อือ”

“ไม่เป็นไรหรอกลูก ปู่กับย่ายังอยู่อีกหลายวัน พ่อกะจะรั้งให้พวกท่านอยู่ถึงสงกรานต์”

“แต่สุขภาพคุณย่า...”

“เดี๋ยวพ่อลองปรึกษาลุงหมอของลูกดูก่อน ไปได้แล้ว พาร์ติดเครื่องรอลูกอยู่”

-------------

การทำความสะอาดภายในมหาลัย คือการกวาดเก็บขยะที่หลงเหลือจากการจัดกิจกรรมเมื่อวานนี้

หากรุ่นพี่บอกว่าไม่บังคับ ใครมีจิตอาสาอยากมาทำก็มา  คิดว่าจะมีมาสักกี่คนกัน? งานนี้รุ่นพี่จึงพกแฟ้มชื่อทั้งคณะมา เช็คชื่อกันตั้งแต่เช้า ใครไม่มาก็มีทั้งโทรตาม โทรแล้วยังไม่มาก็อยู่ที่รุ่นพี่แต่ละคณะจะจัดการยังไง

เวลาเกือบบ่ายโมง

“ขอโทษครับ”

พวกผมยกพลไปยกมือไหว้รุ่นพี่คณะแพทย์ ชี้แจ้งสาเหตุไปตามตรงว่าไปร่วมงานศพมา รุ่นพี่ปีสามของกายไม่ได้มีสีหน้าตกใจ สอบถามกลับมาตามสองสามคำถามก็พยักหน้ายอมติ๊กชื่อกายให้ แต่แทนที่มันจะอยู่กับคณะตัวเอง กลับไปคุยอะไรกับรุ่นพี่ไม่รู้ อีกฝ่ายถึงปล่อยมันเดินมากับกลุ่มผมต่อ

“ไหงมาเดินกับพวกกูต่อล่ะ?” ผมถามกายอย่างสงสัย

“โดดมาด้วยกัน ก็ต้องไปขอโทษด้วยกันสิ”

“กายพูดถูก” เสียงเทม

“กูก็เห็นด้วยวะ” เสียงยำ

“งั้นไปด้วยกันหมดนี่แหละ ขอโทษครบแล้วค่อยกระจายกลับคณะ” ไวไวพูดสรุป

ไล่จากแพทย์ มาเภสัช บริหาร สถาปัตย์ วิศวะ...

ไม่มีใครโกรธหรือต่อว่าเรื่องหนีงาน มีแต่โดนด่าเรื่องที่ไม่แจ้งบอกตั้งแต่แรก ต้องให้โทรไปถามไปตามถึงจะรู้คำตอบ มีของรุ่นพี่คณะบริหารที่ต่อว่ายาวหน่อย เนื่องจาก...

“โทรไปแล้วไม่มีเสียงใครพูด มีแต่เสียงพระสวดแบบนั้น รู้ไหมว่าพี่หลอนแค่ไหน อย่างน้อยก็น่าจะช่วยตอบกลับมาว่า ‘ผมอยู่งานศพครับ’ ก็ยังดี!”

พวกผมมองรุ่นพี่ที่ท่าทางขวัญหนีอย่างเห็นใจ เหลือบมองเพื่อนตัวเองที่มีนิสัยเงียบขรึมกับคนนอกกลุ่มก็ได้แต่ถอนหายใจ ถ้ามันพูดสิคงประหลาด

และของวิศวะที่ไปขอโทษปุ๊บ โดนสั่งลงโทษด้วยการกอดคอลุกนั่งยี่สิบครั้งปั๊บ ไม่พร้อมทำใหม่ ถ้าไม่ผ่านสมาชิกวิศวะสามคนจะไม่ได้รับการเช็คชื่อ กว่าจะผ่านมาได้แทบแย่ และทำให้พวกผมรู้ว่าวิศวะชินกับการโดนทำโทษแบบนี้มาก เพราะวิน ยำ พี่ภู ไม่มีอาการล้าสักนิดเดียว

เหลืออีกสองคณะ...

[สวัสดียามบ่ายสองครับ หลังฟังเพลงเพราะๆ ระหว่างทำความสะอาดไปแล้ว มาฟังผมประกาศอันดับคะแนนสงครามกันต่อดีกว่า]

พวกผมแหงนหน้ามองเสียงที่ออกจากลำโพง ก่อนหันมองหน้ากันเองด้วยความสงสัย เป็นพี่ภูที่ช่วยอธิบายให้ฟัง

“วันทำความสะอาดจะมีประกาศบอกว่าคณะไหนได้อันดับที่เท่าไหร่ ตั้งแต่เช้าจะเริ่มจากอันดับสุดท้ายไล่มาเรื่อยๆ กว่าจะทำความสะอาดเสร็จก็ประกาศคณะที่ได้อันดับหนึ่งพอดี”

[แต่ก่อนอื่นขอแจ้งคณะที่ได้บ๊วยห้ารส 1 ถุงใหญ่เป็นของปลอบใจ ของรางวัลมาถึงแล้วนะครับ สามารถส่งตัวแทนไปรับได้ที่ตึกนิเทศครับ]

บ๊วยห้ารส?

อีกครั้งที่หันมองรุ่นพี่คนเดียวในกลุ่ม

“บ๊วย...ชื่อก็บอกอยู่แล้วนี่” พี่ภูบอกอย่างไม่ใส่ใจนัก แต่พอโดนยำซักถามด้วยความสงสัยก็ยอมเปิดปากอธิบายเพิ่ม “ถ้าให้ชัดกว่านี้ คณะที่เสียฐานหลักไปก่อนหมดกำหนด พวกนี้จะได้บ๊วยไปโดยปริยาย และใครที่ได้อันดับเกินกว่าห้าจะไม่มีของรางวัลให้”

“แล้วของรางวัลมีอะไรบ้าง?”

ยำถามอย่างสนใจ แต่พี่ภูกลับส่ายหน้า “ใครจะไปจำได้”

“ปีที่แล้วพี่ได้อะไร?” ผมถามบ้าง

“บัตรสวนน้ำฟรี ไปเล่นกันยกคณะซะมันหยดเลยล่ะ”

ปีหนึ่งวิศวะตาเป็นประกายทันที เป็นยำที่ถามขึ้นมาก่อนวิน

“ปีนี้ล่ะได้เหมือนกันไหม?”

“ถ้าได้ที่หนึ่งมาคงเหมือนมั้ง...” พี่ภูหยุดพูด รีบชี้หน้ายำ “ไปเล่นน้ำได้พี่ไม่ว่า แต่ถ้าไปเหล่หนุ่ม โดนลงโทษแน่!”

“เหอะ ใครบางคนมากกว่ามั้งที่คงเหล่ทั้งสาวทั้งหนุ่ม!”

พวกผมพร้อมใจกันหันหน้าหนี จ้ำเท้าผละจากมา ปล่อยสองคนนั้นส่งเสียงเถียงกันต่อไป

“ตกลงมึงรู้ยังว่าอีคอนนัดทำความสะอาดที่ไหน?”

ผมกรอกตามองฟ้าให้กับคำถามของเทม “ตรงๆ นะ กูรู้แต่ของนิติวะ”

“นี่มึงจะย้ายมาอยู่คณะสามีเต็มตัวแล้วใช่ปะ กิ๊วๆ”

ตวัดตามองไวไว กล้าแซวมา ผมก็กล้าแซวกลับ

“แล้วมึงล่ะ จะเปิดตัวกับวินเมื่อไหร่”

ไวไวถลึงตาใส่ผม “ใครจะเปิดตัวห๊ะ!”

“พูดถึงเรื่องนี้” เทมกวาดมองหาอะไรสักอย่าง แล้วถามไวดื้อๆ “แหวนหมั้นมึงไปไหน? ไม่ใช่ว่าต้องใส่ติดตัวเหมือนวิน...”

เจ้าของประเด็นกระชากมือซ้ายไวขึ้นทันที พอไม่เห็นก็จ้องคนตัวเล็กกว่าด้วยสายตาน่ากลัว

พวกผมพร้อมใจกันเบือนหน้าหนีอีกหน จ้ำเท้าจากมาอีกรอบ หูยังได้ยินเสียงสองคนนั้นทะเลาะกันดังลั่น

“มึงจะอะไรหนักหนา ก็กูอยากไม่ใส่!”

“ไม่ใส่ไม่ได้!”

ผมพูดลอยๆ อย่างอดไม่อยู่ “...วินเปลี่ยนไป หรือมันเป็นแบบนี้นานแล้ว แต่พวกเราไม่เคยรู้?”

“ถ้าอย่างหลังต้องเรียกว่าเก็บไว้ลึกมาก ถึงได้ไม่มีใครดูออกสักคน”

หลังเทมพูดความเห็น พี่ใหญ่ของกลุ่มก็ถอนหายใจออกความเห็นบ้าง

“สงสัยจะตกหลุมเพื่อนขุด และดูท่าคนขุดจะไม่ได้อยากให้อีกคนตกลงมา”

ต่อหัวเราะหึๆ “ฝ่ายคนตกไม่เห็นอยากปีนขึ้นมา”

“หรือไม่ก็ยังไม่รู้ตัว” พอผมพูดเสริมจบ ก็เจอพาร์มองมาแล้วส่ายหน้ายิ้มๆ เลยย่นคิ้ว “กูพูดอะไรผิด?”

“มึงไม่มีสิทธิ์พูดประโยคเมื่อกี้ครับ เพราะกว่ามึงจะรู้ตัวก็ปล่อยให้กูรอซะนาน”

ผมอ้าปากจะพูดก็ไม่มีเสียงออก เพื่อนอีกสามคนรีบจ้ำเท้าเดินขึ้นนำไปนู้น อ้าวเฮ้ย!

แว่วเสียงพวกมันคุยกันเข้าหู ระดับเสียงแบบนี้จงใจให้ได้ยินชัดๆ

“เหลือแค่เราสามคนวะที่ยังโสด” เทมนำคนแรก

“มีอะไรให้น่าอิจฉา?” เสียงกาย

“ไม่มีสิดี” เสียงต่อ 

“แล้วใครว่ากูอยากมี ไม่มีก็ไม่ต้องมีเรื่องให้ปวดหัวเพิ่ม ไม่ต้องวุ่นวาย ดีจะตาย”

เทมหัวเราะประสานเสียงไปกับอีกสองคน ในขณะที่ผมโดนพาร์จับให้หันหน้ามองตามัน

“สนใจกูนี่”

“แล้วกูไม่สนมึงตรงไหน?”

“ตรงที่วันนี้ไม่ค่อยมองหน้ากูเลยนี่แหละ กูรู้ว่ามึงกำลังเศร้าและคิดมาก แต่สนใจกูหน่อย...นะครับ”

ผมปลดมือพาร์ออก เบือนหน้าหลบพูดงึมงำ “...มึงเข้าใจผิดแล้ว”

“ผิดยังไง ไหนบอกให้เข้าใจหน่อย”

“อย่ากอดในที่สาธารณะ!” ผมดุ แต่มันฟังที่ไหน

“อย่าบ่ายเบี่ยงสิ”

ผมเม้มปาก

“ไม่พูดจะทำมากกว่ากอดนะ”

ผมผลักพาร์ออก รีบพูดรัวๆ แล้วจำเท้าหนีทันที

“ห...เห็นหน้ามึงแล้วชอบนึกถึงลูกโป่งต่างหาก”

เดินได้ไม่ไกลก็โดนอีกคนตามทัน มียิ้มล้อกันอีกต่างหาก

“ลูกโป่งที่อยู่ในรถ?”

“จะลูกโป่งไหนอีกเล่า!”

“ฮะๆๆ เขินบ่อยๆ นะกูชอบ”

“ไม่มีทาง!”

-------------

“เป็นอะไร? หรือเสียใจที่คณะตัวเองได้ที่หก?”

ผมหันไปมองคนขับรถ “ถึงอีคอนไม่ได้รางวัล แต่นิติได้ กูก็ได้ส่วนแบ่งอยู่ดี”

พาร์ยิ้มล้อ“เห็นข้อดีของสะใภ้คณะยัง”

ผมเบ้ปาก นึกถึงเรื่องที่พึ่งรู้มาหมาดๆ ก็รีบพูดออกไปทันที

“กูจะลาออกจากการเป็นสะใภ้! ปีหน้ากูจะไปเล่นสงครามกับเพื่อนบ้าง!”

“เสียใจด้วย สะใภ้พันธมิตรลาออกไม่ได้ครับ”

“ทำไมจะไม่ได้ แค่พี่ดินเซ็นอนุมัติ จะสะใภ้เดิมพัน สะใภ้พันธมิตร จบศึกก็ยื่นลาออกจากตำแหน่งได้หมด!”

“แล้วพี่ดินจะเซ็นให้มึงไหมล่ะ?”

ผมเงียบกริบ ยังจำได้ว่าก่อนหน้านี้พี่ดินพูดเปรยๆ ว่าไม่คิดคืนผมให้อีคอน ตอนนั้นไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้เข้าใจแจ่มแจ้ง เฮียแกหมายถึงไม่เซ็นอนุมัติให้ลาออก!

นึกถึงหน้าประธานนิติปีสาม ไม่รู้ปีหน้าจะยอมเซ็นอนุมัติให้ผมหรือเปล่า เฮ้อ...

เสียงมือถือคุ้นหู ดึงผมออกจากภวังค์ ดึงจากกระเป๋ากางเกงมองหน้าจอแวบหนึ่ง เห็นรูปพ่อก็รีบกดรับสายทันที

[พ่อถึงบ้านแล้วนะลูก]

ผมรีบถามกลับ “ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหมครับ?”

[อืม...คืนนี้ทีจะไปนอนไหน?]

ทำไมเสียงพ่อฟังดูแปลกๆ

“ผมกำลังคิดอยู่ครับ บางทีอาจไปนอนบ้านย่า...”

[อย่าพึ่งไปดีกว่า! เอ่อ คือพ่อบอกคนบ้านนู้นไปแล้วว่าวันนี้ทีทำกิจกรรมเลิกดึก]

ผมที่ตกใจกับเสียงตวาดของพ่อเมื่อครู่ค่อยๆ สงบลง ในใจบังเกิดความสงสัย

ทำไมพ่อต้องโกหก?

ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าต้องมีอะไรสักอย่างเกิดขึ้น จึงเอ่ยถามกลับด้วยความระมัดระวัง

“มี...ปัญหาอะไรใช่ไหมครับ?”

พ่อเงียบไปนานจนผมชักสังหรณ์ใจไม่ดี เหลือบมองพาร์แวบหนึ่ง ซ่อนความกังวลไว้ในใจ

[…วันนี้คุณปู่ถามเรื่องลูก พ่อเลยเล่าให้ฟังหลายเรื่อง ไม่คิดว่าย่าของลูกจะได้ยินด้วย พ่อขอโทษ]

เหมือนโดนฟ้าผ่าใส่ ผมกำมือถือแน่นจนข้อนิ้วขึ้นขาว กัดฟันถามพ่อให้แน่ชัด

“พ่อพูดเรื่องพาร์ด้วยใช่ไหม”

[ลูกก็รู้ยิ่งเราโกหกหรือปิดบัง คุณย่ายิ่งโกรธ พ่อเลยต้องพูดเรื่องของลูกกับพาร์ไปทั้งหมดเท่าที่รู้]

ความหวาดกลัวผุดขึ้นมาในจิตใจ ขณะเดียวกันก็แอบโล่งอกเล็กน้อยที่ไม่ต้องเป็นฝ่ายเริ่มต้นพูดเรื่องนี้เอง 

[ทีโกรธพ่อไหม?]

“...ไม่ครับ เพราะสักวันคุณย่าก็ต้องรู้”

ใช่…ยังไงก็ต้องรู้

ผมหลับตาลง นึกถึงคู่ตัวอย่าง ลุงนิกกับทากะซังแอบคบกันมาตั้งนาน ก่อนผมเกิดจนผมโต สุดท้ายความก็แตกอยู่ดี

‘ทำไมแกไม่บอกฉันตั้งแต่ต้น! แกหลอกให้ฉันมีความหวัง! วาดฝันว่าแกจะแต่งงานมีหลานให้ฉันอุ้ม…’

ผมหลับตาลง ภาพในวันนั้นยังชัดเจนเหมือนพึ่งเกิดไม่นาน

‘ใจเย็นค่ะคุณ’ ยายศรีพยายามจับตัวคุณย่า ลูบหลังปลอบประโลม

‘คุณแม่ก็ได้อุ้มทีแล้วไง’

‘นั่นลูกของน้องชายแกนะ!’

‘ลูกของอรรถๆ แล้วไงล่ะ ในเมื่อมันไม่มีปัญญาดูแลถึงต้องยกทีให้ผมนี่ไง! คุณแม่ต่างหากที่ไม่เข้าใจ ผมคบกับผู้ชายแล้วยังไง ทากะเป็นแม่ที่ดีให้ทีได้ ไม่เชื่อถามไปทีดู!’

‘อย่าเอาหลานแม่มาอ้างนะ!’ 

‘หลานแม่ก็ลูกผม! คุณแม่เองนั่นแหละที่เกือบทำครอบครัวผมแตกแยก!!’ 

ผมสูดลมหายใจเข้าออก ลืมตาขึ้นมา กรอกเสียงลงมือถือด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“พ่อไม่ต้องห่วง ผมเตรียมใจตั้งแต่ยอมตกลงคบกับพาร์แล้ว”

[...แต่ยังไงคืนนี้ลูกควรกลับมาตั้งหลักที่บ้านเราก่อน]

“ได้ครับ”

หลังวางสายก็พบว่าพาร์เอารถมาจอดข้างทางตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แววตาที่มองมาเต็มไปด้วยความสงสัย และรอคอยคำตอบอยู่เงียบๆ

ผมเม้มปากครู่หนึ่ง ก่อนบอกไปตามตรง

“คุณย่ารู้เรื่องเราแล้ว...”

แววตาพาร์วูบไหวก่อนค่อยๆ สงบลง

“เลิกเรียนพรุ่งนี้...สงสัยกูจะโดนคุณย่าเรียกตัวเข้าพบ”

###########

ขอคั่นอารมณ์สักนิด
วันนี้เรามีเกมมาให้เล่นค่ะ
กติกา: ตอบคำถามเพียง 1 ข้อ ผู้ที่ตอบได้โดนใจคนแต่งที่สุดรับหนังสือชลนที 1 ชุดค่ะ (แจก 2 รางวัล)
กำหนดระยะเวลาตอบทั้งหมด 5 วัน (หมดเวลาวันที่ 2 พฤษภาคม 2017 เวลา 23.59 น.)

มาดูคำถามกันเลย

Q: คุณชอบอะไรใน 'ชลนที' ที่สุด...

ไม่ยากเลยใช่ไหมคะ
เรารอคำตอบจากคุณอยู่นะ ^^

และตอนนี้ที่เพจของเรามีเล่นเกมแจกหนังสือเช่นกัน
ใครสนใจก็ตามไปร่วมสนุกได้นะคะ : )


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-04-2017 21:10:54 โดย KatzeP »

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
ขอให้คุณย่าแกปลงได้จนอย่าได้ขัดขวางความรักของพาร์กับที

:ling3: :ling3:


ชอบการเล่นเกมของกลุ่มเพื่อนที เล่นกันเหมือนไม่ใช่เกมส์
ต้องเอาตัวรอดจริงจากสถานการณ์ที่เหมือนจริงเสียดายที่ต้องเลิกเล่นก่อน

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:




ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
Re: - ชลนที - [บทที่ 55] P.19 (27/04/2017)
«ตอบ #564 เมื่อ27-04-2017 22:05:53 »

Q: คุณชอบอะไรใน 'ชลนที' ที่สุด...
A: ที่ชอบที่สุดคงจะเป็นความฉลาด,ความซึนและความคิดที่ซับซ้อนของที กับความจริงจังของพาร์ แล้วก็มิตรภาพของกลุ่มเพื่อนทีค่ะ
รองลงมาก็ชอบน้องๆของทั้งสองบ้าน สรุปแล้วชอบเกือบทุกอย่างนั่นล่ะค่ะ 555

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
พาร์กับทีสู้ๆนะ คุณย่าจะต้องเข้าใจ อย่าคิดมากนะ


ชอบมิตรภาพของทีกับเพื่อนๆค่ะ ชอบที่ทุกคนจะคอยดูแล เป็นห่วงเป็นใย ใส่ใจ ช่วยเหลือและซับพอร์ทเพื่อนๆในกลุ่มอยู่เสมอเลย รวมถึงกิจกรรมที่ทุกคนจะไปทำร่วมกันด้วย มันน่าสนุกมาก ซึ่งเราประทับใจในจุดนี้มากๆเลยค่ะ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ดีใจ ไรท์มาต่อ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

❤️ ชอบอะไรใน 'ชลนที' ที่สุด...
     ชอบตัวตนของที ที่สุด.....
     ชอบความฉลาด ความเป็นผู้นำ มีความรับผิดชอบ สามารถแก้ปัญหาได้ เป็นที่พึ่งของน้องๆและเพื่อนๆได้
     ที ดูแลน้องๆ ได้เป็นอย่างดี น้องๆรักที เชื่อฟังที ติดทีที่สุด  เป็นที่ปรึกษาให้น้องๆ
     ที เป็นมันสมอง เสนาธิการ ของเพื่อนๆ เพื่อนๆเชื่อใจ ให้ความไว้วางใจ   
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ PKT

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ทีสู้ๆ  พาร์สู้ๆ :hao7: :hao7:
...................................................................
                 ชอบความเป็นทีอ่ะ
ทีเป็นคน มีความรับผิดชอบ มีความกล้า      เป็นเพื่อนที่ดีด้วย คอยให้คำปรึกษาเพื่อนไรเงี้ยอ่ะ   เป็นพี่ที่ดี ชอบตอนที่ดูแลน้องอันกับน้ำอ่ะ ไม่ตามใจน้องเกิน  ไม่ลำเอียง ให้ช่วยเหลือตัวเอง
เป็นเเฟนที่ดีด้วย5555 เวลาอยู่กับพาร์ทีน่ารักมาก  >< 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-04-2017 23:34:41 โดย PKT »

ออฟไลน์ Himbeere20

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ลุ้น คุณย่าจะว่าไง :call:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด