- ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: - ชลนที - [ตอนพิเศษ3] P.22 (09/06/2017) #จบแล้ว  (อ่าน 175188 ครั้ง)

ออฟไลน์ Thanna

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
คุณชอบอะไรใน 'ชลนที' ที่สุด ?
คำตอบ ชอบการบรรยายของไรท์เตอร์ที่สุดค่ะ จริงๆแล้วเนื้อเรื่องที่สรุปใจความมาเนี่ยมันก็สนุกนะเนื้อหาไม่ได้แปลกใหม่หรือโดดเด่นอะไรมากจนเป็นนิยายเชิงแหวกแนวปานนั้น มันก็เป็นนิยายธรรมดาที่ทำให้ไม่ธรรมดารู้สึกถึงความพิเศษได้ด้วยการบรรยาย เราจะไม่รู้สึกหลงรักตัวละครเลยถ้าเราไม่เข้าใจสิ่งที่ตัวละครต้องการจะสื่อ เราจะไม่ฟินจิกหมอนกับเรื่องธรรมดาบ้านๆอย่างมุกเสี่ยวจีบกันถ้าไม่อธิบายถึงท่าทางของตัวละคร เรื่องมันมีอะไรให้คิดอยู่ตลอดเวลาเพราะคำบรรยายที่ชัดเจนชวนให้คิดปมตาม บางครั้งเหมือนเรารู้สึกไปกับตัวละครนั้นจริงๆ ทั้งๆที่เราก็แค่อ่านอยู่หน้าคอม ชอบมากค่ะการบรรยายที่ทำให้เห็นถึงความสำคัญของตัวละครแต่ละตัว ถึงแม้จะไม่ใช่เมนหลักก็ตามไรท์ก็ยังทำให้เราเข้าใจและอินไปกับความรู้สึกของพวกเขา แม้ว่าตามจริงเราจะอ่านผ่านๆหรือมองข้ามไปก็ได้ แต่ก็ไม่สามารถ....//เวิ่นนานแล้วล่ะเนาะ ก็อยากมาสารภาพผิดนะคะที่แทบจะไม่ได้คอมเม้นต์เลย ก็เพราะในหัวมีแต่คิดว่าตอนต่อไปจะเป็นยังไงต่อเลยไม่ทันได้พิมพ์คอมเม้นต์ เก๊าขอโต้ดนะะ สุดท้ายนี้ก็ ขอบคุณนะคะที่สร้างเรื่องราวสนุกๆมาให้อ่าน ++เรียนวิทยาศาสตร์ต้องพึ่งทฤษฎี แต่ชลนทีนี้จะมีพาร์ทีอยู่ในใจ อรั้ยย  :-[ :-[

ออฟไลน์ Reminder

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ชอบที่มีความแปลกใหม่แฝงในเนื้อเรื่องเป็นระยะ ทั้งคอสเพลย์ ทั้งเกมส์เซอร์ไววอล ทั้งสงครามสายน้ำ แต่ความแปลกลงตัวกับกลุ่มตัวละครมาก น่าติดตามว่าต่อไปจะมีเกมส์อะไรอีกพอๆกับน่าติดตามความสัมพันธ์ของแต่ละคู่...นี่รอดูว่าแฟนเทมจะเป็นคนยังไง...

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
ชอบตรง แต่ละคน ตกหลุมรักกันและกัน ซ้ำแล้วซ้ำอีก  เป็นรักแท้ รักแรก รักเดียว.... 555 หวานล้ำหน้านิสัยประหลาดๆ ของทั้งสองคนไปมาก  และชอบที่คนเขียนคอยหากิจกรรมให้ตัวละครในเรื่องเล่นกัน ติดเกาะ กับ สงครามสายน้พสนุกมาก อ่านเพลินมาก แถมยังเอาคู่ของทากะซังมายั่วให้อยากอ่านอีกต่างหาก  ขนาดจั่วหัวมานิดเดียวเองนะนั่น  ขอสรุปว่า สเน่ห์ของตัวละครที่เล่ามาทั้งหมดนั่นเอง

ออฟไลน์ AIMPT

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Q: คุณชอบอะไรใน 'ชลนที' ที่สุด...
A: ถ้าถามว่าชอบอะไรที่สุดในเรื่องคงเป็นการเขียนที่สื่อถึงอารมณ์ ความรู้สึกของตัวละครและการเข้าถึงจินตนาการของคนอ่านได้เป็นอย่างดี เป็นเรื่องที่ดูจับต้องและสัมผัสได้จริง ชอบการเขียนถึงมิตรภาพความเป็นเพื่อนมากที่สุดไม่ว่าเพื่อนจะทำอะไรดีหรือไม่ดีเพื่อนทุกคนก็จะคอยช่วยเหลือ สนับสนุนและตักเตือนให้เพื่อนได้รู้ รวมถึงการที่จะอยู่เคียงข้างเพื่อนในทุกเมื่อไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดๆ เพื่อนในกลุ่มทุกคนก็พร้อมที่จะผ่านไปด้วยกัน เข้าใจกัน และดูแลกันเป็นอย่างดีตั้งแต่เด็ก ปัจจุบัน และอนาคต คิดว่าทีโชคดีมากที่มีเพื่อนกลุ่มนี้ และคิดว่าเพื่อนคนอื่นๆก็โชคดีที่มีทีเป็นเพื่อน :กอด1:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
คุณย่ารู้เรื่องแต่คงซอฟลงแล้วละเนาะ

ออฟไลน์ mickeyz.min

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
สนุกมากกกกก ชอบที่สุด ชอบความเป็นพาร์ ที น่ารัก

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
บทที่ 56

พาร์คว้ามือผมไปบีบเบาๆ “กูจะไปกับมึง”

ผมส่ายหน้า “...ให้กูไปคนเดียวก่อน”

“ไม่! เราควรไปด้วยกัน!”

ผมพ่นลมหายใจ “ไม่ใช่ว่ากูไม่อยากให้มึงไป แต่ถ้าคุณย่าเห็นหน้ามึงก่อนอาจปรี๊ดขึ้นมาจนคุยกันด้วยเหตุผลไม่รู้เรื่อง”

“กูจะรออยู่นอกห้อง”

ผมลังเลครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า ในรถมีแต่ความเงียบที่ค่อนข้างตึงเครียด ต่างคนต่างจมในภวังค์

“...กูกลัวใจมึงมากกว่าย่ามึงอีก”

ผมหันไปมองพาร์ “...กลัวโดนทิ้ง?”

“มาก!”

ผมเหล่มองสองมือที่ยังจับประสานกันแน่นไม่ปล่อย ก็อดพึมพำไม่ได้

“...ก็เห็นอยู่ว่าไม่ใช่มึงฝ่ายเดียวที่จับไม่ปล่อย” 

“อะไรนะ?”

“กลับกันเถอะ”

พาร์พ่นลมหายใจบ้าง ยอมออกรถตามที่ผมบอก แต่...

“ปล่อยมือสิ ขับมือเดียวอันตรายนะ”

“ไม่เอา”

เราเงียบกันมาตลอดทางจนถึงหน้าบ้าน ผมกำลังจะลงจากรถก็โดนรั้งตัวไว้

“ค้างด้วยได้ไหม?”

ผมส่ายหน้า เห็นความกลัวในแววตาพาร์ก็ก้มหน้าเข้าหา ช่วงชิงริมฝีปากอีกฝ่ายไม่กี่วิก็ผละออกรีบชิ่งลงจากรถ พูดทิ้งท้ายใส่คนตัวแข็งทื่อ ก่อนปิดประตู

“ไปทบทวนเงื่อนไขที่กูบอกมึงในวันที่เราคบกันดู” 

ผมเดินผ่านรั้วบ้าน หันกลับไปมองรถสีเงินแวบ...ถ้ามันเข้าใจที่ผมอยากจะบอกก็คงดี

เข้ามาในบ้านพ่อเหมือนรอผมอยู่ ถึงได้รับเดินตรงมา ผมยกมือห้ามไม่ให้พ่อพูด และทำเพียงแค่กอดพ่อผู้ให้กำเนิดแน่นๆ และได้รับกอดแน่นๆ กลับมา

“ผมรักพ่อนะ เพียงแต่...อาจจะน้อยกว่าลุงนิก”

“...พ่อรู้ ไม่เคยโทษทีเรื่องนี้เลย เพราะเป็นพ่อเองที่ยกทีให้พี่ชายตั้งแต่ต้น”

“ถ้าผมเผลอทะเลาะกับคุณย่า...อาจพูดจาไม่ดี และทำพ่อกับแม่เสียใจอีกแล้ว เพราะงั้นพรุ่งนี้อย่าไปเลย”

“ไม่เป็นไรลูก พ่อคงไม่บอกแม่...พ่อจะไปคนเดียว”

“แต่...”

“ลูกไม่เคยผิด ผิดที่พ่อกับแม่เอง ผิดมาตั้งแต่ต้น ลูกก็คงโกรธพ่อกับแม่ตั้งแต่อยู่ในท้อง เพราะแบบนั้นถึงไม่เคยมองเราเป็นพ่อแม่จริงๆ สักครั้ง พ่อขอโทษ ขอโทษจริงๆ”

ผมกำเสื้อพ่อแน่น น้ำตาแทบจะร่วงลงมา

“ผมก็ผิด...”

ผิดที่รักคนอื่นมากกว่าผู้ให้กำเนิด

-------------

เสียงแปลกๆ ทำให้คนนอนไม่หลับอย่างผมรีบลุกขึ้นจากเตียง เงี่ยหูฟังพบว่ามาจากชั้นล่าง หันมองนาฬิกาตีสามกว่าแล้ว ด้วยความระแวงเลยเปิดประตูห้องนอนแผ่วเบา เดินให้เบาที่สุดจนมาถึงบันได แอบกวาดมองผ่านความมืดจนเห็นเงาคนๆ หนึ่งกึ่งนั่งนอนพิงกับโซฟา เลยเดินเข้าไปใกล้

จมูกสูดอากาศฟุดฟิด...กลิ่นเบียร์นี่น่า

ผมกดเปิดไฟตรงห้องนั่งเล่น เงาตะคุ่มที่ว่าคือพ่อนี่เอง จากท่าทางไม่ใช่พิงกับโซฟาแล้ว นี่มันเมาแอ๋จนพลาดตกจากโซฟาชัดๆ

“พ่อ มานั่งดื่มอะไรตรงนี้เนี่ย เดี๋ยวแม่ออกมาเจอก็โดนด่าหรอก”

ผมช่วยยกตัวพ่อกลับขึ้นมานั่งบนโซฟา กวาดมองกระป๋องเบียร์เปล่าๆ เกลื้อนทั้งบนโต๊ะบนพื้นก้ได้แต่ส่ายหน้า รีบหาถุงมาเก็บพวกมันโดยด่วน นี่เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีกับเด็กชัดๆ พูดถึงเด็ก ผมหันไปมองกรงฮิเมะ เจอเจ้าเหมียวซุกหัวมุดหลบในที่นอนหันก้นออกมาด้านนอก หางสะบัดไปมาเหมือนหงุดหงิดได้ที่

...ท่าทางจะเกลียดกลิ่นเบียร์ล่ะมั้งนั่น

ผมรีบกวาดพวกกระป๋องลงถุงขยะ จัดการมัดแล้วเอาไปหย่อนถังขยะบ้านตรงข้าม ฝากไกลถึงนู้นแม่จะได้ไม่สงสัย ต่อไปก็ลากคนแก่ไปอาบน้ำ ใช้ห้องน้ำข้างล่างนี่แหละ เสื้อผ้าก็เอาที่พึ่งตากแห้งวันนี้ ยังอยู่ในตะกร้ารอรีดพรุ่งนี้ก่อน ถึงจะเอาไปแขวนตามห้องเจ้าของ จากนั้นก็ลากตัวมานอนบนโซฟาที่ทำความสะอาด แถมฉีดสเปรย์ดับกลิ่นให้แล้ว

“ช่วยกลบหลักฐานให้ขนาดนี้ ถ้าแม่จับได้อีก ผมก็ไม่รู้แล้ว”

พ่อส่งเสียงอืออาอะไรสักอย่าง ฟังไม่ถนัด 

“แล้วนึกยังไงถึงลงมาดื่มเบียร์ตั้งเยอะ อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้วนะพ่อ”

เหมียว

ผมหันไปมองเจ้าของเสียง ฮิเมะยืนเกาะกรงร้องเรียกหา ผมเลยเดินเข้าไปหา แหย่นิ้วผ่านช่องว่างไปเกาคอให้ “ไปนอนได้แล้ว ไม่มีกลิ่นรบกวนแล้วไม่ใช่เหรอ”

พอหันกลับมาก็ตัดสินใจเอาผ้าห่มนอนกลางวันของน้องอันมาคลุมตัวพ่อ ปล่อยให้หลับอยู่ที่โซฟานี่แหละ ถ้าแม่ลงมาเจอก็หาข้ออ้างเอาเองนะพ่อ ผมขึ้นห้องแล้ว

“ที...พ่อขอโทษ”

ผมชะงักมือที่กำลังดึงผ้าห่มขึ้นถึงอก...อย่าบอกนะว่ามากินเบียร์เพราะคิดมากเรื่องนี้

“...ก็บอกแล้วว่าไม่โกรธ”

“พ่อผิดบาปต่อลูกจริงๆ พ่อ...”

ถ้อยคำที่เบาไม่ต่างจากเสียงกระซิบ ทำผมปล่อยผ้าห่มหลุดมือ เบิกตากว้างมองผู้เป็นพ่อที่นอนละเมอสารภาพบาป น้ำตาไหลรินออกมาเงียบๆ

หมายความว่ายังไง...

ผมผละจากผู้เป็นพ่อด้วยความรู้สึกหลากหลาย สับสนมึนงง แฝงด้วยความไม่อยากเชื่อ

“พ่อพูดอะไรออกมาน่ะ”

ถ้อยคำขอโทษดังมาซ้ำๆ เสมือนค้อนยักษ์ทุบหัวให้ตื่นจากความฝันสู่ความเป็นจริง

ผมสูดลมหายใจลึกๆ พยายามตั้งสติให้กับตัวเอง จัดการขยับผ้าห่มให้เข้าที่เสร็จก็รีบเดินไปปิดไฟ กลับขึ้นชั้นสอง เข้าห้องตัวเองได้ก็จัดการล็อกประตูอีกครั้ง หลังพิงชนประตูไหลพรืดลงมานั่งที่พื้นอย่างหมดแรง

หูยังได้ยินเสียงพ่อตามหลอกหลอน...คำสารภาพบาปที่ผมไม่ได้อยากรู้เลยสักนิดเดียว

‘เราเกือบจะทำแท้งแล้ว ถะ ถ้านิกไม่ยื่นข้อเสนอว่าจะรับลูกไปเลี้ยงดูเอง’

-------------

“มึงหลับยัง?”

[ใครจะหลับลง]

“งั้นลงมาเปิดประตูบ้านให้หน่อย กูยืนอยู่หน้าบ้านมึง”

[ฮะ!]

สัญญาณตัดทันที รอไม่ถึงสองนาทีก็ได้ยินเสียงกุญแจกระทบกันมาแต่ไกล ทันทีที่ประตูรั้วเปิดก็เจอหน้าตกใจของพาร์เป็นอย่างแรก

“มึงมาทำอะไรหน้าบ้านกูตอนตีสี่เนี่ย?”

“มาหามึงไง”

ผมส่งกระเป๋าเป้ใบใหญ่กับใบเล็กให้พาร์ช่วยถือ ก่อนหันไปยกจักรยานเข้าบ้านพาร์ แอบเห็นมันมองของในมือสลับกับหน้าผมอึ้งๆ หลังหาที่จอดให้จักรยานตัวเองได้ ก็ดึงเป้ทั้งสองใบจะถือเอง แต่พาร์ไม่ยอมปล่อยเป้ใบใหญ่

“เดี๋ยวกูช่วยถือ แล้วมึงเอาอะไรใส่เป้มาเนี่ย? ทำไมมันหนักๆ”

“ก็มีทั้งเสื้อผ้า หนังสือเรียน ของใช้จิปาถะที่จำเป็นแต่มึงไม่มีให้ยืม”

พาร์มองผมด้วยแววตาแปลกๆ แถมยังหัวเราะฝืดๆ

“...มึงทำให้กูนึกถึงเพื่อนคนหนึ่ง มันมีปัญหากับพ่อก็โผล่มาในเวลาแปลกๆ หิ้วเป้มาขออยู่ด้วยเลยวะ”

“อ้อ งั้นกูก็คงไม่ต่างจากเพื่อนมึงคนนั้นเท่าไหร่”

“เอ๊ะ...”

“กูหนีออกจากบ้านมา”

-------------

ห้องนอนพาร์แอร์เย็นฉ่ำ เปิดเย็นกว่าที่ห้องผมอีก หันไปสำรวจชุดนอนพาร์ตอนนี้ ท่อนบนเป็นเสื้อยืด ท่อนล่างกางเกงเลเหมือนเดิม มิน่าเวลามันอยู่บ้านผมถึงใส่แค่เสื้อกล้ามนอน แถมชอบถีบผ้าห่มออกบ่อยๆ

...ร้อนก็ไม่บอก

ผมส่ายหน้า เดินเข้าห้องน้ำไปล้างมือล้างเท้าเสร็จก็กระโดดขึ้นเตียงซุกตัวหลบหนาวในผ้าห่มทันที

เฮ้อ...ค่อยอุ่นหน่อย

พาร์ปิดไฟในห้อง จนเหลือเพียงแสงไฟจากห้องน้ำ เดินตรงมานั่งกอดอกมองผมนิ่งๆ จ้องกดดันกันขนาดนี้ ไม่ยอมเล่าคงไม่ได้ ผมขยับตัวนั่งบ้าง...

ผิวปะทะความเย็นในอากาศ ผมก็รีบหดตัวกลับไปอยู่ในผ้าห่ม คว้าเจ้าชานม...ตุ๊กตาหมีที่ผมกับพาร์ช่วยกันอาบน้ำมาจับนอนคว่ำแทนหมอนหนุน หันมองพาร์ที่เขม็งตาใส่

“มานอนคุยกันเถอะ”

แก้มผมโดนดึงจนร้องโอ๊ย ถึงอย่างนั้นมันก็ขยับตัวมานอนตะแคงข้างหันหน้ามาหาผม

“เล่ามาได้ยัง?”

“ก็...” ผมพยายามเรียบเรียงความคิด “พ่อกูเมา กูนอนไม่หลับ เลยบังเอิญได้ยินคำสารภาพบาปเข้าน่ะสิ ถึงกูจะรักพวกเขาน้อยกว่าลุงนิกกับทาจัง แต่ผู้ให้กำเนิดก็ยังมีอิทธิพลต่อเด็กเสมอ..กูเลยช็อกหน่อยๆ”

“ร้ายแรงมากหรือน้อย?”

“มากอยู่...” ผมนอนมองเพดานมืดๆ “ตัวกูเกิดมาจากความผิดพลาดก็จริง แต่ก็คิดมาตลอดว่าเพราะความรักถึงมีกูขึ้นมา และที่พวกเขายกกูให้คนอื่นก็เพราะจำเป็น แต่ความเป็นจริง มันไม่ใช่วะ ความเชื่อที่ยึดถือมาเลยเหมือนพังทลาย มันทำให้กูมองหน้าพ่อกับแม่ไม่ติดแน่ๆ เลยเลือกหนีออกมาก่อนดีกว่า”

“แล้วมึงจะทำไงต่อ?”

“กูอยากทำเป็นไม่รู้เรื่อง แต่ตอนนี้ไม่ไหว ขอเวลาทำใจก่อน”

“เก็บปัญหาไว้ไม่ได้ช่วยอะไรหรอกนะ”

“...คิดว่าพ่อแม่คงไม่อยากกูรู้หรอก แต่เมื่อรู้แล้วก็ช่วยไม่ได้ และ...ที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ดีอยู่แล้ว กูไม่อยากทำให้มันแย่ลงไปกว่านี้ เพราะผลกระทบไม่ใช่แค่กูหรือพ่อแม่ แต่จะกระจายไปถึงน้องๆ ด้วย”

“กูถามได้ไหมว่าเรื่องอะไร”

ผมหันไปมองพาร์ เม้มปากครู่หนึ่ง ก่อนพูดออกมา

“พ่อกับแม่ตัดสินใจจะทำแท้งกู แต่เพราะลุงนิกขอไว้ กูเลยได้เกิดมา”

แววตาพาร์ไหววูบ ก่อนจะดึงตัวผมเข้าไปกอดซะแน่น ผมกอดพาร์ตอบ ซึมซับไออุ่นที่ทำให้ใจหายเจ็บลงบ้าง

“กูเคยสงสัยหลายเรื่อง เช่น ทำไมพ่อผู้ให้กำเนิดถึงได้ยอมพี่ชายมากขนาดนี้”

‘ทีต้องโทรไปบอกนิกก่อน นิกอนุญาต พ่อถึงจะเซ็นชื่อให้’

“ทำไมพ่อแม่ถึงมักบอกว่าสิทธิ์ของกูอยู่กับลุงนิก ทำไมถึงไม่เคยโต้แย้งสักครั้ง และทำไมพวกเขาถึงเอาแต่บอกว่า ถึงกูเป็นลูกแท้ๆ แต่พ่อกับแม่ไม่มีสิทธิ์ในตัวกูแม้แต่น้อย กู...เข้าใจมาตลอดว่าพวกเขาพูดเพราะน้อยใจ แต่ความจริงกลับไม่ใช่”

น้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

ผู้ให้ชีวิตเคยคิดจะทวงชีวิตที่ให้ไปกลับคืน พวกเขาจะมีสิทธิ์ได้ยังไง

“ล...ลุงนิก...ไม่ได้เป็นแค่ผู้เลี้ยงดู” ผมกัดฟันกลั้นเสียงสะอื้น ฝืนพูดต่อให้จบ “เขาช่วยชีวิตกูไว้ต่างหาก”

พาร์แค่กอดผมเงียบๆ บางครั้งก็จูบซับน้ำตาให้ ปล่อยผมพูดระบายออกมาเรื่อยๆ ผ่านไปนานจนผมปวดตาจนต้องปรือตาลง พร้อมกับความเพลียที่เริ่มจู่โจมจนสติจะดับเต็มที่

“ใครไม่ต้องการมึงก็ช่างเขา แต่กูต้องการมึงนะ”

เสียงกระซิบแผ่วเบา เลือนลางจนเหมือนมันเป็นเพียงความฝัน

-------------

เสียงเสียดโสตประสาทปลุกผมให้รู้สึกตัว นิ่วหน้าด้วยความรำคาญ

ใครมาเปิดเพลงอะไรแถวนี้คนจะหลับ!

เสียงเงียบหาย คิ้วคลายออก กำลังจะหลับอีกรอบ เสียงนั่นก็มาอีกรอบ ผมลืมตาอย่างหงุดหงิด เจอใบหน้าใครบางคนในระยะประชิดก็ทำเอาลืมหายใจไปชั่วขณะ ผละออกห่างแทบไม่ทัน ลูบหน้าตั้งสติก็เริ่มจดจำได้ว่าทำไมเจอพาร์นอนอยู่นี่

เมื่อหายเมาขี้ตาก็เริ่มรับรู้ว่าเสียงเพลงที่ว่ามาจากมือถือตัวเอง กวาดตามองหาที่มาของเสียงก็เจอมันวางอยู่บนหัวเตียงจึงคว้ามาพลิกดูว่าใครโทรเข้ามา

ลูกหว้านี่เอง

ผมพ่นลมหายใจกดรับสาย “ว่าไง”

[ทำไมไม่มาเรียนคะคุณเพื่อน]

เรียน...

“เฮ้ย! กี่โมงแล้วเนี่ย!!”

[เที่ยงแล้ว นี่มึงพึ่งตื่น?]

ผมกำลังจะตอบ โทรศัพท์กลับถูกดึงออกจากมือ ตัวผมลงมานอนแหมะบนฟูกในอ้อมกอดเจ้าของเตียง

“วันนี้ทีไปเรียนไม่ไหวหรอก ให้โดดสักวันแล้วกัน”

[เอ๋!!]

ผมได้ยินเสียงลูกหว้าร้องแค่นั้น พาร์ก็กดตัดสาย ซุกมือถือผมไว้ใต้หมอน อ้าปากหาววอดๆ ไม่สนใจเสียงโวยวายของผมเลย

“มึงไปพูดแบบนั้นได้ไง!!”

“กูพูดอะไรผิด สภาพหน้ามึงเป็นแบบนี้ โผล่ไปให้ใครเห็นก็รู้ว่าร้องไห้มาทั้งนั้น”

ผมเงียบกริบ พอรู้สึกเหมือนกันว่าตาบวม

“นอนต่อเถอะ”

หัวผมถูกกดให้ซบซอกคอพาร์ ตัวก็ถูกพาดกอด เป็นความใกล้ชิดที่ทำเอาร้อนวูบ แม้แต่ใจยังสั่นจนต้องผลักออก

“มะ ไม่ต้องกอดก็ได้”

“กูกอดมึงมาทั้งคืนแล้ว”

ไม่ได้อยากรู้!!

“กูหิวแล้ว จะ...จะไปอาบน้ำ”

กำลังจะลงจากเตียงก็โดนดึงแขนไว้ก่อน แก้มถูกหอมฟอดใหญ่ให้หน้าร้อนผ่าวกว่าเดิม แต่คนทำกลับทำตัวได้ปกติมาก พาร์ลุกจากเตียงทั้งที่ยังทำหน้าง่วง แย่งเข้าห้องน้ำก่อนหน้าตาเฉย คล้อยหลังพาร์ผมก็ทิ้งหัวโขกใส่หลังเจ้าชานม

ไม่ดี...ไม่ดีเลย อยู่กับมันนานๆ ผมคงได้เป็นโรคหัวใจ

วูบหนึ่งเกิดความคิดอยากไปค้างที่อื่นแทน แต่พอนึกถึงหน้าคนขี้หวงยามผมบอก...ยังไงก็ไม่ได้ไป แล้วถ้าไปแบบไม่ได้บอก แค่นึกภาพตอนมันหึงจนหน้ามืดคิดจะจับทำเมียท่าเดียวก็หนาววูบแล้ว

...ผมมีทางเลือกซะทีไหน เฮ้อ

เสยผมออกจากหน้า ลุกมานั่งดีๆ ระหว่างรอพาร์ออกจากห้องน้ำก็พยายามทำให้ใจกลับมาเต้นตามจังหวะปกติ

“ที” พาร์กวักมือเรียกผมจากหน้าห้องน้ำ ดูจากเสื้อที่เปียกคงล้างหน้าแปรงฟันแล้ว

พอเข้าไปหาก็เจ้าของห้องก็พูดแนะนำห้องคร่าวๆ ให้รู้ว่ามีของวางไว้ตรงไหน ผมควรเก็บของตัวเองยังไง...ท่าทางเหมือนพาร์อยากให้ผมมาอยู่ด้วยยาวๆ

ลงมาข้างล่างก็ไม่เจอใครแล้วครับ 

ผมเปิดตู้เย็นในครัว และปิดทันที...ตู้เย็นเหมือนไม่ใช่ตู้เย็น แต่เป็นตู้เก็บขนม!

“ขนมในตู้เย็นคือเก็บไว้กินเอง หรือจะเอาไปขายเนี่ย?”

“ทั้งสองอย่าง” พาร์ส่งแก้วน้ำเปล่ามาให้

ผมถามอย่างสนใจ “ขายที่ไหน?”

“ร้านเชนไง ที่มึงเคยไปทำสัญญากับกูน่ะ”

อ้อ ร้านที่อยู่ใกล้ๆ บ้านทากะซัง

“จะไปส่งขนมกับกูไหมล่ะ จะได้ไปหาข้าวกินด้วย”

“ไป”

ผมเลยถูกใช้แรงงานช่วยจัดขนมลงถุง ช่วยหิ้วไปไว้ที่รถ ผมพึ่งรู้ว่ามันต้องทำขนมมาส่งที่ร้านพี่สาวเชนทุกวันอาทิตย์ แต่เมื่อวานมาไม่ได้เลยเลื่อนมาส่งวันนี้แทน ไปถึงก็โดนพี่สาวเชนค้อนใส่ เพราะมันรับปากจะมาส่งตอนเช้า แต่ดันมาซะเกือบบ่ายโมง

“แล้ววันนี้ไม่ไปเรียนกัน?”

“ขอหยุดวันหนึ่งครับ” พาร์พูดแค่นั้น พี่สาวเชนกลับเข้าใจว่ามันเหนื่อยเลยไม่ติดใจถามอะไรอีก

สั่งข้าวคนละจาน กินเสร็จพวกผมก็กลับ

“อยากแวะบ้านทากะซังไหม?” คนขับถาม

“ทากะซังไม่อยู่ไทย ไปหาก็ไม่เจอตัวหรอก”

“งั้นอยากไปไหนไหม”

“...บ้านคุณย่า”

รถแฉลบไปทางขวานิดหน่อย แต่พาร์หักพวงมาลัยให้รถกลับมาวิ่งเป็นปกติได้ท่วงที

“เล่นอะไรของมึงเนี่ย อันตรายนะโว้ย!”

“ก็มึงทำกูตกใจ!” พาร์สวนกลับมาทันที “แล้วนี่จะไปจริงๆ หรือพูดแกล้งกู”

ผมเงียบเพียงครู่เดียว ก็พูดอย่างจริงจัง “...กูอยากไปจริง”

บรรยากาศในรถเครียดขึ้นมาทันที

“เพราะถ้าไปตอนเย็น...จะเจอพ่อ”

“...มึงหนีไปตลอดไม่ได้หรอก”

“กูรู้”

คนข้างๆ ผม สูดลมหายใจเข้า

“งั้นก็ไปบ้านย่ากัน กูยังจำทางไม่ค่อยได้ มึงคอยบอกทางด้วย”

-------------

“ผู้หญิงรึก็ใช่จะหายาก ทำไมต้องเลือกผู้ชาย!”

ผมก้มหน้ารับฟังถ้อยคำโมโหของผู้เป็นย่า ตั้งใจจะไม่พูดตอบโต้ใดๆ ทั้งนั้น

“เลิกซะ ย่าไม่ชอบ”

ผมยังคงเงียบ แต่มือเริ่มกำชายเสื้อแน่น พยายามอดทน

“หรือเพราะถูกเจ้านิกเลี้ยงมา หึ ย่าคิดไว้แล้วให้ทีอยู่กับเจ้าอรรถดีกว่าเป็นไหนๆ อย่างน้อยก็คงโตมาไม่ผิดเพศ เฮ้อ ดูลุงกับพ่อเราสิ คนหนึ่งมีครอบครัวสมบูรณ์พร้อม อีกคนจะเรียกว่าครอบครัวได้หรือเปล่าย่ายังไม่แน่ใจเลย ถ้าอนาคตทีต้องเป็นอย่างนิก ย่ายอมไม่ได้!”

ผมกัดริมฝีปาก พยายามห้ามตัวเองไม่ให้โต้เถียง แต่ยิ่งฟังคุณย่าพูดเปรียบเทียบลุงนิกกับพ่อมากแค่ไหน ใจก็ร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็ทนฟังไม่ไหว เผลอเถียงออกไป

“สมบูรณ์พร้อมงั้นเรอะ ย่าเอาอะไรมองถึงเห็นว่าครอบครัวพ่อสมบูรณ์? อ้อ ถ้าไม่นับทีเข้าไปด้วยก็สมบูรณ์อยู่หรอก”

“พูดจาอะไรแบบนี้ ต้องมีทีด้วยอยู่แล้วสิ หรือป่านนี้เรายังคิดว่าเป็นคนนอกอยู่อีก”

“ทีก็นอกคอกอยู่แล้วนี่ พวกเขาไม่ได้ต้องการทีมาตั้งแต่ต้น ทีก็ไม่ได้ต้องการพวกเขาเหมือนกัน”

พูดไปตาก็ร้อนผ่าว พยายามฝืนไม่ให้ร้องไห้ออกมา

“ผมมีแฟนเป็นผู้ชาย แล้วเกี่ยวอะไรกับใคร เขาเป็นความสุขของที เป็นความสบายใจของที แม้แต่ครอบครัวที่คุณย่าพยายามยัดเยียดให้ก็ทำแบบนี้ให้ทีไม่ได้”

“ย่าไปยัดเยียดครอบครัวอะไรให้!”

“ก็ครอบครัวที่ย่ามองว่าสมบูรณ์พร้อมไง” ผมหัวเราะอย่างขมขื่น “มันไม่ได้สมบูรณ์อย่างที่คุณย่าคิดหรอก หรือคุณย่ามองว่า แค่มีพ่อ แม่ ลูกๆ ก็ถือว่าสมบูรณ์แล้ว?”

“ก็ใช่น่ะสิ ดูเจ้านิกสิมีลูกได้ซะที่ไหน ต่อให้อยากมีก็มีไม่ได้”

“คนมีได้ก็ใช่ว่าอยากจะได้ลูก!” ผมเถียงออกไปทันที “อย่างทีนี่ไง เขาต้องการซะที่ไหน”

“เจ้าอรรถแค่ไม่พร้อมเลี้ยงทีตอนนั้น”

“แล้วทำไมลุงนิกเลี้ยงทีได้ล่ะ ถึงกับหิ้วตัวไปอยู่เมืองนอกด้วยกัน ทำงานไปเลี้ยงทีไปกับคนรักของเขา ในขณะที่พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดเลือกที่จะผลักไสภาระออกจากตัว”

“เจ้าที!”

“ทีไม่โทษคุณย่าหรอก คุณย่าไม่รู้ ไม่เคยรู้เลย ไม่คิดถามด้วยซ้ำว่าทีคิดอะไรอยู่ ต้องการอะไรบ้าง คุณย่าเพียงคิดแทนว่าอย่างนั้นดีกับทีแล้ว อย่างนี้เหมาะสมกับที แต่เคยคิดบ้างไหมว่าทีไม่ต้องการ!”

ผมสบตาผู้เป็นย่า ระบายความในใจออกมา

“ย่าคิดว่าทีอยู่กับพ่อแม่แล้วดีงั้นเหรอ รู้ไหมระหว่างผมกับพวกเขามีช่องว่างที่ทำยังไง ต่อให้พยามแค่ไหนก็ไม่มีทางถมเต็ม ผมเหนื่อย แต่ก็พยายามเปิดใจให้พวกเขา ถึงอย่างนั้นก็ไม่เคยรู้สึกถึงความเป็นครอบครัวเดียวกันเลย มันก็แค่พยายามให้เป็นแบบนั้น แต่เวลาทีอยู่กับลุงนิก ทีไม่เคยต้องพยายาม กับพาร์ก็เหมือนกัน แค่อยู่ด้วยกันก็ดีมากๆๆ แล้ว”

ผมหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาด้วยมือสั่นๆ ดึงรูปใบหนึ่งที่เก็บไว้อย่างดีมาตลอดออกมา

“นี่คือครอบครัวของที” ผมวางรูปใบนั้นใส่มือคุณย่า “เด็กที่ยิ้มมีความสุขคนนั้น วันหนึ่งก็ยิ้มไม่ออกเมื่อเห็นผู้ที่เสมือนพ่อกับแม่แยกทางกันด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่รู้ แถมต้องย้ายกลับมาอยู่ต่างถิ่น ทุกอย่างรอบตัวไม่คุ้นเคยเลย แค่นั้นก็เครียดพออยู่แล้ว...แต่ญาติผู้ใหญ่ที่ได้พบเจอกลับทำให้เครียดหนักกว่าเดิม”

ผมสบตาคุณย่าที่เงยหน้าขึ้นมามอง

“...ญาติผู้ใหญ่ซ้ำเติมเด็กคนนั้นด้วยการพาคนแปลกหน้าสองคนมาแนะนำว่าเป็นพ่อกับแม่แท้ๆ ไม่สนใจเลยว่าทำจิตใจเด็กคนนั้นเจ็บขนาดไหน และเหยียบย้ำหัวใจเด็กคนนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ทั้งบังคับให้เรียกคนที่เหมือนพ่อว่าลุง ทั้งแย่งเวลาที่เด็กคนนั้นต้องการอยู่กับคนที่ตัวเองคุ้นเคยที่สุดเพื่อเยี่ยวยารักษาจิตใจ ไม่ให้รักษายังจะราดเกลือลงบาดแผลด้วยการทิ้งให้อยู่กับคนที่บอกว่าเป็นพ่อแม่”

น้ำตาผมร่วงลงมาจนได้ ผมเม้มปากกลั้นเสียงสะอื้น

“โลกทั้งใบของผมแตกสลายไปแล้ว แสงสว่างก็แทบไม่เห็น มืดไปหมด หาทางออกก็ไม่ได้ ผมอยากหนีไปจากตรงนั้น อยากย้อนกลับไปช่วงเวลาก่อนหน้าจะมาที่นี่ และถ้ารู้เหตุการณ์ล่วงหน้า ผมจะไม่ยอมกลับมาแน่ๆ ทุกวันนี้ย้อนกลับไปคิดเมื่อไหร่ก็จะมีคำถามหนึ่งผุดออกมาตลอด ถ้าตอนนั้นทีไม่กลับมา ทีจะมีความสุขมากกว่านี้ไหม”

ผมปาดน้ำตาออก สูดลมหายใจเข้าลึกๆ

“เมื่อก่อนผมยังเด็กเกินไปที่จะปกป้องหัวใจตัวเอง แต่วันนี้ผมโตพอแล้ว ผมจะไม่ให้ใครทำลายหัวใจมีแต่แผลดวงนี้อีก ทีเจอที่พักรักษาใจของตัวเองแล้ว และไม่คิดจะจากมันไปไหนด้วย แต่ถ้าคุณย่าอยากเหยียบย่ำหัวใจเด็กคนหนึ่งอีกก็เอาเลย ทีจะปกป้องมันให้ดู”

ผมยกมือไหว้ลา “ทีขอกลับก่อนนะครับ”

หมุนตัวเดินผละมาทันที ต่อให้ถูกรั้งตัวก็ไม่คิดอยู่ต่อ ผมออกจากห้องพักผ่อนมาได้ก็เจอคุณปู่กับพาร์กำลังยืนคุยกันอยู่ บรรยากาศค่อนข้างดีจนผมลังเลที่จะเข้าไป

พาร์หันมาเห็นผมก็รีบเดินเข้ามาหาทันที คุณปู่ทำหน้าตกใจแวบหนึ่ง ก่อนลูบหัวผมเบาๆ แล้วเดินผ่านเข้าไปในห้องพักผ่อน

“ร้องไห้อีกแล้ว...” พาร์ปาดคราบน้ำตาที่ยังหลงเหลือออกให้ 

ผมขยับเข้าไปกอดพาร์ วางหัวลงกับไหล่มัน พึมพำแผ่วเบาอย่างเหนื่อยอ่อน

“ขออยู่แบบนี้สักพัก”

พาร์ไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงลูบหลังผมอย่างปลอบโยน

“ที!!”

เสียงคุณปู่ร้องเรียกดังลั่นจากในห้องทำผมสะดุ้ง รีบผละจากพาร์เปิดประตูเข้าไปในห้อง เจอคุณปู่กำลังกอดคุณย่าที่กำลังหมดสติแนบอก

“โทรหาลุงหมอเดี๋ยวนี้!”

ผมลนลานรีบหยิบมือถือกดโทรออกฉุกเฉิน ปลายสายมีคนรับก็รีบละล่ำละลั่ก

“ลุงหมอ!! คุณย่า...”

[ตั้งสติ แล้วรีบพามาโรงพยาบาล]

สายตัดทันที ผมหันไปหาพาร์ ไม่ทันอ้าปาก มันก็พูดขึ้นมาก่อน

“เดี๋ยวกูไปเอารถมารับ”

ผมมองพาร์วิ่งออกไปก็รีบตรงไปช้อนตัวคุณย่าขึ้นมาอุ้ม เดินเร็วๆ ตรงไปยังทางเข้าหน้าบ้าน มีคุณปู่พยายามเดินตามมาติดๆ รอไม่นาน รถสีเงินก็มาจอดเทียบ คุณปู่ช่วยเปิดประตูให้ หลังจากขึ้นรถกันเรียบร้อยก็ตรงไปโรงพยาบาลทันที

ครั้งนี้พาร์ไม่ได้ขับเร็วท้านรก ผมเข้าใจว่าพาร์กลัวคุณปู่ตกใจ ผมคอยบอกทางไปโรงพยาบาล ใช้ทางลัดได้ก็ใช้ ไปถึงโรงพยาบาลก็เห็นลุงหมอพร้อมทีมแพทย์มือหนึ่งประจำร้องพยาบาลออกมายืนรอรับพร้อมอุปกรณ์การแพทย์ และเตียงเคลื่อนที่พร้อม

ผมกับพาร์ช่วยหิ้วปีกคุณปู่เดินกึ่งวิ่งตามเตียงคุณย่าจนมาถึงหน้าห้องฉุกเฉิน ถึงปล่อยคุณปู่ให้นั่งพักตรงม้านั่ง

“...คุณปู่ คุณย่าเป็นแบบนี้เพราะทีใช่ไหม?”

“อย่าคิดมาก แค่โรคคนแก่กำเริบเท่านั้นเอง”

ถึงจะพูดแบบนั้น แต่...

“...ทีไปหาพี่แพรก่อนนะ”

ผมพูดแค่นั้นก็เดินจากมา พาร์ทำท่าจะตามมา แต่ผมส่ายหน้าบุ้ยใบ้ให้มันอยู่เป็นเพื่อนคุณปู่ โรงพยาบาลที่นี่ต่อให้หลับตาเดินผมก็ไปถูก กดลิพต์ลงมาถึงชั้นทำงานของจิตแพทย์ประจำตัวก็เดินไปเคาะหน้าห้องทำงานพี่แพรทันที ถ้ามีเสียงให้เข้าไปได้แสดงว่าพี่แพร์ว่าง แต่ถ้าไม่ก็ต้องไปหาที่นั่งรอจนกว่าคนไข้จะออกมา

“เชิญค่ะ”

ผมเปิดประตูเข้าไปทันที เจอหน้าคนคุ้นเคยกันดีก็ปล่อยน้ำตาไหลออกมา พูดสั้นๆ

“ทีไม่ไหวแล้ว”

############

ขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมสนุกค่ะ
ขอบคุณทุกความคิดเห็นที่โพสมา
ทุกคอมเม้นต์ถือเป็นยาชูกำลังสำหรับเราเลยค่ะ 555
ก็ขอฝาก 'ชลนที' ไว้กับทุกท่านจนกว่าจะถึงปลายทางนะคะ : )

[ประกาศผลผู้ได้รับหนังสือ]
Thanna
uknowvry
รบกวนผู้ได้รางวัลทั้งสองติดต่อมาที่เพจเราด้วยนะคะ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
เข้มแข็งไว้นะที สู้ๆนะ ทุกคนเป็นกำลังใจให้นะ

ออฟไลน์ Piima

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 660
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
แงงงงงงงงงงง

สงสารอะ

ทำไมต้องดราม่าขนาดนี้

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ที ได้รู้ความลับที่ทำให้เสียใจ  :mew2: :mew2: :mew2:
ดีที่มีพาร์ ไปหาพาร์ ดีเลย พาร์ยิ่งห่วงทีอยู่

ความลับนี้กระทบไปถึงย่า ที่ห่วงพะวงแต่ครอบครัวสมบูรณ์แบบ
แต่เป็นสิ่งที่ที ไม่ต้องการ เหมือนผู้ใหญ่เอาแต่ความต้องการของตัวเอง
ย่ารู้จุดยืนของที คราวนี้ย่าคงปล่อยวางได้แล้ว

ความผิดพลาดของพ่อแม่ มันกระทบที่ทีโดยตรง
แล้วยังเป็นความผิดที่ทำให้พ่อที จมกับความผิดตัวเองตลอดมา
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: - ชลนที - [บทที่ 56+ประกาศผล] P.20 (05/05/2017)
« ตอบ #579 เมื่อ: 05-05-2017 17:32:09 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
แย่เนาะ เห้ออ!!

ออฟไลน์ jimmyjimmy

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1966
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-17
ลุงนิก..อยู่ไหน..รีบกลับมาด่วนๆ ที มีเรื่องแล้ว

ออฟไลน์ powvera

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 702
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-3
ตอนนี้ถึงกลับสะเืทือนใจได้อีก  น้ำตาลไหลพรากเลยทีเดียว

 :o12:      :hao5:    :hao5:

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
ฮือออออ....ปมใหญ่กว่าที่คิดไว้มาก....ทีสู้ๆ

ออฟไลน์ PKT

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ฮืออออ เชี่ยยย กูอินหนักมาก น้ำตาไหลตามเลย

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
ดราม่าจัดเต็มไปอีก

แต่อย่างที่ทีว่า สิ่งที่ผู้ใหญ่คิดว่าดี

มันไม่จริงเสมอไป คุณย่าควรปล่อยวาง

และยอมรับค่ะ การบังคับไม่ใช่ทางออกที่ดีเลย

น้องที เจ็บหนักมามากแล้ว

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
สู้ๆนะที ทุกคนรักทีนะ เพียงแต่บางทีความหวังดรของผู้ใหญ่ก็ไม่ตรงกับความต้องการของเรา
ตอนนี้เรารู้แล้วว่าทำไมทีดูเป็นพี่ที่ตามใจน้องค่อนข้างมาก และพ่อแม่ดูเกรงใจทีมาก เพราะความไม่สนิทใจนี่เอง

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
Re: - ชลนที - [บทที่ 57] P.20 (10/05/2017)
«ตอบ #587 เมื่อ10-05-2017 09:54:01 »

บทที่ 57

...ปวดหัว

ต้องหลับตานอนนิ่งๆ ครู่ใหญ่ ก่อนจะลืมตาอีกครั้ง มองมึนๆ ไปทั่วเท่าที่ทำได้ บางสิ่งก็คุ้นบางสิ่งก็ไม่คุ้น ถึงอย่างนั้นก็รู้ทันทีว่าที่นี่คือห้องพักฟื้นคนไข้ของโรงพยาบาล

...มานอนอยู่นี่ได้ไง?

ฝืนอาการปวดหัวครุ่นคิดอย่างหนัก ภาพต่างๆ เริ่มผุดขึ้นมาฉากๆ ผมกำลังนั่งคุยกับพี่แพร์เรื่อยไปจนจู่ๆ ก็ง่วงนอนอย่างหนักจนฝืนต่อไม่ไหว คิดถึงตรงนี้ก็เบะปากใส่พี่สาวคนสวยที่ตอนนี้ไม่รู้ไปอยู่ไหน

วางยานอนหลับคนไข้แบบนี้ได้ไง!

อาการปวดหัวตุบๆ ทำให้ต้องเลิกคิด แม้ใจจะสงสัยว่าคราวนี้พี่แพร์ใช้วิธีไหนวางยาผมอีกแล้วก็ตาม มองหาคนเฝ้าไข้ ไม่รู้ครั้งนี้จะเป็นทายาทคนไหนของลุงหมอ หรืออาจเป็นพี่พยาบาลที่คุ้นเคยกันดี...

แกร๊ก

ผมหันไปมองตามเสียง คนพึ่งออกจากห้องน้ำก็พุ่งพรวดเข้ามาหากอดผมทันที

“มึงตื่นแล้ว! กูเป็นห่วงแทบแย่ตอนหมอมาบอกว่ามึงสลบไปตรงทางเดิน หมอบอกว่ามึงเครียดมากเกินไป!”

ผมพยายามยกมือข้างที่ไม่มีเข็มน้ำเกลือขึ้นตบหลังปลอบขวัญคนพูดเสียงสั่นเครือเหมือนหวาดกลัวอะไรสักอย่าง รู้สึกประหลาดใจไม่น้อยที่คนเฝ้าเป็นพาร์ ขณะเดี๋ยวกันก็รู้สึกดีจนไม่อยากเชื่อว่า แค่เปลี่ยนคนเฝ้าจะดีจนอยากยิ้มออกมาเลย

ว่าแต่... ย่นคิ้วเข้าหากัน พี่หมอคนไหนไปแกล้งมันเนี่ย!

ผมกำลังจะบอกพาร์ให้ใจเย็นๆ พออ้าปากก็รู้สึกว่าคอแห้งเป็นผง ริมฝีปากแตกจนได้รสสนิม

...อยากได้น้ำสักแก้วสุดๆ และก็อยากลุกขึ้นมานั่งด้วย

แต่แค่ยกแขนก็เปลืองพลังงานน่าดู สุดท้ายเลยต้องปล่อยแขนกลับที่เดิม ปล่อยพาร์กอดผมไป คิดไม่ถึงว่าเพียงแค่ปล่อยมือ พาร์ก็รีบเงยหน้ามองผมตื่นๆ

“เดี๋ยวกูเรียกหมอก่อน”

และก็ห้ามไม่ทัน มันกดเรียกหมอไปแล้ว...เอาเถอะ

ผมฝืนเปล่งคำพูดออกมา แค่คำเดียวก็ทำเอาแสบคอสุดๆ “น้ำ”

“น้ำนะ ได้ๆ”

มองพาร์เทน้ำใส่แก้วให้...เอ่อ หลอดเสียบอยู่ตรงหน้ามึงนะพาร์ ทำไมเมินพวกมันเล่า

เตียงก็ยกปรับระดับได้ แต่พาร์กลับช้อนตัวผมที่ไม่รู้เรี่ยวแรงถูกดูดหายไปไหนหมดมาพิงอกมัน 

...บะ แบบนี้ก็ดีไปอีกอย่าง

แก้วน้ำถูกจ่อชิดริมฝีปาก ประคองให้ผมดื่มน้ำ แรกๆ ก็ดีอยู่ แต่หลังๆ ยกแก้วเร็วไปแล้ว...

“ขอโทษ”

พาร์รีบดึงทิชชู่มาซับน้ำที่หกตรงคอกับอกเสื้อให้ รอยน้ำเปียกเป็นวง ถ้าผมยิ้มขำจะมีใครหาว่าบ้าไหม

แค่ดูก็รู้แล้วว่าพาร์ดูแลผู้ป่วยไม่เป็น แต่ก็พยายามทำให้ผม

คิดถึงตรงนี้รอยยิ้มก็ยิ่งกว้างกว่าเดิม อารมณ์ดีขึ้นอีกโข ทั้งที่ถ้าปกติเจอพยาบาลใหม่ดูแลไม่เป็นแบบนี้ ผมที่โดนทั้งหมอทั้งพยาบาลมีฝีมือดูแลอย่างดีมาตลอด...คงหงุดหงิดน่าดู

แค่คนเฝ้าเปลี่ยน อะไรๆ ก็เปลี่ยนไปจริงๆ

ผมปล่อยให้พาร์กอดต่อ อบอุ่นจนไม่อยากผละห่าง ไหนๆ ก็ได้เป็นผู้ป่วยแล้วถือโอกาสสำออยสักหน่อยจะเป็นไรไป 

“อยากกินน้ำอีกไหม?”

ผมพยักหน้า คราวนี้คนป้อนระมัดระวังกว่าเดิมจนน้ำมาถึงแค่ริมฝีปาก ยังไม่ทันได้เข้าปาก พาร์ก็ลดแก้วลงให้น้ำไหลกลับ เป็นแบบนี้หลายรอบ แต่ผมก็ยังไม่หงุดหงิดจนรู้สึกว่าตัวเองแปลกเกินไปแล้ว

ระหว่างกำลังครุ่นคิดหาสาเหตุก็ได้ยินเสียงประตูห้องเปิดปิด เห็นผู้เข้ามาใหม่ก็ไม่ต้องเดาแล้วว่าใครแกล้งพาร์

ผู้ชายสวมเสื้อกราวน์สีขาวตรงหน้าคือลูกชายคนที่สี่ของลุงหมอ...พี่พลับครับ น่าจะเป็นหมอเจ้าของไข้ผมด้วย

พี่พลับมองสภาพพวกผมด้วยความมึนงง เอ่ยปากถามอย่างสงสัย

“ทำไมเธอไม่ใช้หลอดป้อนน้ำคนป่วย?”

“เอ่อ...ผม”

“แล้วจับทีนั่งพิงตัวเองทำไม?” ไม่ถามเปล่า ยังเดินมาช่วยปรับเตียงขึ้นให้ด้วย “ทำแบบนี้ดีต่อร่างกายคนไข้มากกว่า และเธอสามารถเคลื่อนไหวดูแลคนป่วยได้สะดวกกว่าด้วย”

จากนั้นพาร์ก็โดนพี่หมอจ้วงยับ ซักจนรู้ว่ามันไม่เคยดูแลคนป่วยมาก่อน

“...ฉันคงให้เธอดูแลทีไม่ได้แล้ว”

คนฟังหน้าเจื่อนทันที ผมที่ได้กลับไปนั่งพิงเตียง เห็นพี่พลับทำหน้านิ่งขรึมก็อยากหัวเราะ ไม่ให้ดูแลอะไรถึงยอมปล่อยให้มาเฝ้าผมตั้งแต่ต้น และน่าจะรู้ด้วยว่าพาร์ดูแลคนป่วยไม่เป็นตั้งแต่แรก

ผมนึกถึงพี่พีท...หมายหัวไว้ในใจว่าต้องเป็นตัวต้นเหตุให้พี่พลับมาแกล้งพาร์แน่ๆ

“เมื่อเธอไม่ใช่คนเฝ้าไข้ หมอก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้คนไม่เกี่ยวข้องอยู่ในห้องคนไข้ห้ามเข้าเยี่ยม...”

“ผมจะพยายามเรียนรู้ครับ!”

พี่พลับเลิกคิ้ว แววตาประหลาดใจขึ้นมาแวบหนึ่ง พอหันมาเห็นผมมองอยู่ก็ขยับปากเหมือนจะบอกว่า แฟนใช้ได้นี่น่า ผมส่งยิ้มภูมิใจกลับไป ขณะเดียวกันก็จดชื่อพี่พีทลงบัญชีดำไว้ในใจอีกกระทง ท่าทางจะเป็นคนกระจายข่าวเรื่องพาร์เป็นแฟนผมให้พี่น้องตระกูลผลไม้รู้กันหมดแล้วแน่ๆ และนั่นหมายความว่าช่วงที่ผมหลับ พาร์คงโดนหมอตระกูลผลไม้แกล้งมากกว่าหนึ่งคน

“ถ้าอย่างนั้นเอานี่ไปหาพยาบาลชื่อภาวินี ยื่นกระดาษใบนี้ให้เธอ แล้วบอกว่าหมอส่งตัวมาให้เรียนรู้งานดูแลผู้ป่วย”

“ครับ” พาร์รับกระดาษใบนั้นมาอย่างว่าง่าย ก่อนเดินออกจากห้องมีหันมามองผมแวบหนึ่ง ขยับปากบอกว่าเดี๋ยวมา แล้วจ้ำเท้าเดินออกไปเลย จะห้ามก็ห้ามไม่ทัน

สิ้นเสียงประตูปิดไม่นาน หมอผู้เคร่งขรึมก็หลุดหัวเราะออกมาทันที

ผมกรอกตามองเพดาน อยากจะพูดอยู่หรอก แต่สภาพคอไม่อำนวย จึงชี้นิ้วไปทางแก้วน้ำที่วางทิ้งไว้

พี่พลับกลืนเสียงหัวเราะ รีบช่วยเทน้ำเพิ่มหยิบหลอดใส่แก้วให้ผมทันที หลังดูดน้ำจนพอใจค่อยเริ่มต้นแฉ่งพี่ชายตรงหน้า

“ไปแกล้งเขาทำไม”

“พีทบอกว่าแกล้งแล้วสนุกมาก พี่เลยอยากลองแกล้งดู”

 ผมอยากตบหน้าผาก แต่ตอนนี้ทำแค่ถอนหายใจ ปล่อยหมอตรวจร่างกาย โดนซักถามอาการก็บอกหมดเกลี้ยงไปตามตรง เสร็จหน้าที่ก็ยังไม่ไปไหน แต่เปลี่ยนมานั่งขอบเตียงชวนผมคุยต่อ 

“พี่แพร์บอกว่าทีทะเลาะกับย่ามา”

“อืม”

“บอกด้วยว่าทีเจอเรื่องสะเทือนใจบางอย่างมา”

“อืม”

“เพราะแฟนทำ?”

“ใช่ที่ไหน เรื่องครอบครัวต่างหาก” ผมพูดถึงตรงนี้ก็ชะงัก “อย่าบอกว่าเพราะสาเหตุนี้พี่เลยแกล้งพาร์!”

“ก็มีส่วน พี่แพร์ไม่ได้บอกว่าเรื่องอะไรนี่น่า พี่เลยคาดเดาความเป็นไปได้เฉยๆ การที่พี่แพร์ตัดสินใจวางยานอนหลับเราเนี่ยแสดงว่าอาการต้องหนักเอาเรื่อง”

ผมได้แต่เงียบฟัง

“แล้วตอนนี้รู้สึกเป็นไงบ้าง พี่หมายถึงจิตใจ”

“...ก็ดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ อย่างน้อยทีก็คิดว่าตัวเองยังพอไหว”

“ดีแล้วๆ ทีของพี่เข้มแข็งจะตาย ไม่ว่าเรื่องอะไรต้องผ่านมันไปได้อยู่แล้ว”

ผมกลับส่ายหน้า กวาดมองเสื้อกาวน์เรียบกริบสะอาดสะอ้านก็ถามอย่างไม่แน่ใจ

“ทีกอดพี่ได้หรือเปล่า”

“อยากกอดก็มาสิ” พี่พลับกางแขนออกรอ ผมโผเข้าหา ปล่อยให้พี่พลับลูบหัวปลอบโยน “พี่คุยเป็นห่วงทีมากนะ แต่ตอนนี้ไม่ว่าง คิดว่าพรุ่งนี้ถึงจะมาเยี่ยมได้”

“อือ”

“จะว่าไปตอนทีมาอยู่บ้านพี่ ก็ได้พี่คุยเป็นคนเลี้ยงหลักนี่เนอะ”

“...พูดถึงเรื่องนี้ทำไม?”

“พี่แค่รู้สึกว่า...ทีในตอนนี้เหมือนตอนนั้น พี่คุยเคยบอกว่าตอนเจอทีตัวเป็นๆ ครั้งแรกรู้สึกว่าถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างทีอาจหายไปก็ได้”

ผมผงกหัว ผละออกห่างพี่พลับ ย่นคิ้วถามอย่างไม่เข้าใจ

“ทำไมต้องมีคำว่าตัวเป็นๆ”

“ก็พวกพี่เห็นแต่ในรูปถ่ายนี่ บ้านพี่มีตั้งแต่รูปทีพึ่งเกิด ตัวยังเปื้อนเลือดอยู่เลย ไม่นึกเลยว่าเด็กน่าเกลียดตอนนั้นผ่านมาอีกสองสามปีจะน่ารัก เวลาดูรูปเปรียบเทียบกันทีไรพวกพี่หัวเราะขำทุกที”

ผมเบ้ปาก ตวัดตามองอย่างรู้ทัน “พี่อยากพูดอะไรกันแน่ พูดมาเถอะ ทีพร้อมจะฟัง”

พี่พลับหุบรอยยิ้มลง แววตามองมาดูดุหน่อยๆ “พี่ไม่เห็นด้วยที่ทีไปทะเลาะกับคุณย่าแบบนั้น”

ผมชะงัก “ทีก็ไม่อยากทะเลาะนะ แต่ตอนนั้นมัน...”

“แล้วไปพูดแบบนั้นกับคุณย่าได้ยังไง...คุณย่าอายุมากแล้ว บางเรื่องที่สะเทือนใจมากก็มีผลต่อสุขภาพท่านเหมือนกัน”

แววตาผมสั่นไหว “เพราะที...คุณย่าถึงต้องเข้าโรงพยาบาลใช่ไหม”

“ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่เข้าหรือไม่เข้า มันอยู่ที่ว่าคำพูดของทีส่งผลกระทบอะไรบ้างต่างหาก ถ้าคุณย่าเป็นอะไรขึ้นมา ตัวทีเองนี่แหละที่จะเสียใจที่สุด พี่พูดถูกไหม?”

“อือ...”

“โอ๋ๆ ไม่เอาไม่ร้อง”

“ทีไม่ได้ร้องสักหน่อย!”

“ปากแข็งกับใครก็ได้ แต่อย่ามาปากแข็งกับพี่ ถึงภายนอกทีจะไม่ได้ร้องไห้ แต่ภายในใจกำลังร้องอยู่แน่ๆ บางครั้งไม่ต้องทำเป็นเข้มแข็งตลอดเวลาก็ได้ อ่อนแอให้คนอื่นได้เห็นบ้างก็ดี จะได้ไม่ถูกคนอื่นเข้าใจผิด น้องคนนี้ของพี่ไม่ได้แข็งขนาดนั้นสักหน่อย ข้างในใจของทีมีรูพรุนมากมาย ซับซ้อนเกินไปจนใครเข้าไปคงหลงทาง ถึงอย่างนั้นโครงสร้างก็ยังคานกันไปมาทำให้ไม่ถล่มลงมาง่ายๆ แต่ถ้าสมดุลเสียก็มีสิทธิ์พังทลายทุกเมื่อเหมือนกัน เพราะงั้นทุกคนถึงได้เป็นห่วงทีมากๆ ไง จนบางครั้งก็อาจสปอย์มากไปหน่อยจนทีนิสัยเสีย!”

“...ถ้าพี่อยากจะด่าผม ไม่ต้องพูดอ้อมขนาดนี้ก็ได้”

“ด่าตรงๆ เราก็ไม่เข้าใจน่ะสิ ตัวทียังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองนิสัยเสียตรงไหน”

“ตรงไหนล่ะ?”

พี่หมอดึงแก้มสองข้างจนยืด “อันนี้พี่แพร์ฝากมาให้ทำ และฝากให้บอกทีด้วยว่า คิดถึงคนรอบตัวให้มากกว่านี้หน่อย”

แก้มผมถูกปล่อย เจ็บแปล๊บๆ เลยครับ

“อาจเพราะทีอยู่แต่ในสังคมปิดด้วยล่ะมั้ง ก่อนเข้ามหาลัยก็วนเวียนอยู่กับพวกพี่บ้าง เพื่อนบ้าง ไม่ก็อยู่บ้านพ่อแม่ พวกเรารู้ว่าทีเจออะไรมา ทุกคนเลยพร้อมใจกันดูแล เฝ้าระวัง ให้ความสนใจทีก่อนเสมอ ทีเลยติดนิสัยเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของคนอื่นถึงทุกวันนี้ ไม่รู้ตัวเลยไม่ใช่ไหม?”

ผมได้แต่ผงกหัวเงียบๆ

“มีแค่น้องน้ำกับน้องอันที่แตกต่าง เพราะพวกเขาดูแลทีไม่ได้ ตรงข้ามทีต่างหากต้องดูแลพวกเขา ที่พี่อยากบอกคือ ให้เอาความเอาใจใส่นั่นมาใช้กับคนอื่นๆ ด้วย และอย่ามองว่าคนอายุเท่ากันหรือมากกว่าจะต้องเป็นฝ่ายยอมทีตลอด ถึงทีจะมีความสามารถทำให้คนอื่นยอมสยบได้ก็ตาม แต่มันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าวิธีนี้ไปสร้างความขุ่นเคืองหรือทำให้คนอื่นเจ็บปวด”

ผมนึกถึงเรื่องที่ผ่านมา...ก็ได้แต่ยอมรับว่าพี่พลับพูดถูก

“ปรับปรุงตัวซะ ก่อนทีจะโตมากกว่านี้ ต่อไปในอนาคตทีต้องเจอคนอีกเยอะแยะ และพวกเขาไม่ได้รับรู้อดีตของทีด้วย ทีจะเป็นแค่คนๆ หนึ่งที่มีสิทธิเท่ากันในสายตาของพวกเขา ไม่มีใครพิเศษกว่าใคร และพี่ก็อยากให้ทีสร้างมิตรมากกว่าศัตรู”

หัวของผมโดนขยี้

“ลองเก็บไปคิดดู คืนนี้ก็นอนที่นี่ พี่สั่งห้ามงดเยี่ยมไปแล้ว ไม่มีใครมากวนแน่นอน”

ผมสะดุ้งหูคำหนึ่งจึงทวนคำเป็นเชิงถาม “คืนนี้?”

พี่พลับไม่ตอบแต่เดินไปดึงผ้าม่านให้ผมดูว่าข้างนอกฟ้ามืด เหลือเพียงแสงไฟตามสถานที่ต่างๆ แล้วโชว์นาฬิกาบนข้อมือให้ผมเห็นหน้าปัด “ตอนนี้สามทุ่มกว่าแล้ว”

เฮ้ย!! ผมหลับไปนานขนาดนั้นเลยเรอะ?!

“เดี๋ยวพี่ไปดูพยาบาลจำเป็นของเราก่อน ไม่รู้โดนพี่ภาสอนแบบจัดเต็มถึงไหนแล้ว”

“อย่าแกล้งมากนะพี่ แล้วก็...เอาเขามาคืนทีด้วย”

“โอ้...หวงไม่น้อยนี่ หึๆ”

ได้แต่เบือนหน้าหนี ปิดปากเงียบกริบ ใครอยากหัวเราะก็หัวเราะไป ผมไม่สน!

-------------
(ยังมีต่อ)

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
Re: - ชลนที - [บทที่ 57] P.20 (10/05/2017)
«ตอบ #588 เมื่อ10-05-2017 09:56:38 »

บทที่ 57 (ต่อ)

สองชั่วโมงต่อมา พาร์ก็กลับมาพร้อมเสื้อผ้าผู้ป่วยของโรงพยาบาลชุดใหม่

“มึงต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า”

“อือ...”

ผมยื่นมือรอรับ จนแล้วจนรอดพาร์ก็ไม่ได้ส่งให้ แค่วางไว้ตรงเก้าอี้ข้างเตียง แล้วเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ สักพักก็ออกมาพร้อมกะละมังใบเล็กกับผ้าขนหนูสะอาด ระหว่างที่ผมกำลังมึน เชือกชุดผูกป่วยก็ถูกดึงออก

“เฮ้ย!”

คนทำไม่มีเงอะงะ ถอดเสื้อเสร็จก็ใช้บิดน้ำจากผ้าขนหนูเอามาสัมผัสตัวผมทันที ผ้าอุ่นกำลังดีทำให้ผมผ่อนคลาย ยอมปล่อยให้พาร์เช็ดตัวให้ แอบทึ่งหน่อยๆ ไม่คิดว่าพอกลับมาจะเป็นงานขนาดนี้ เช็ดตัวให้เสร็จก็จับผมใส่เสื้อผ้าอย่างดี

มองตามหลังคนเอาน้ำไปเททิ้ง...รู้สึกอยากจะให้รางวัลขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

ครุ่นคิดว่าจะให้อะไรดีให้สมกับที่มันน่ารักมาก พอคิดถึงเรื่องที่พาร์ได้แล้วคงถูกใจมาก หน้าผมก็ร้อนขึ้นมาทันที ระหว่างกำลังลังเลใจ พาร์ก็เดินออกมาจากห้องน้ำ ตรงดิ่งมาทาบมือกับหน้าผากผมด้วยสีหน้ากังวล

“...ตัวไม่ร้อน”

ผมปัดมือพาร์ออก อาศัยจังหวะนั้นตัดสินใจกระชากคอเสื้อให้มันโน้มหน้าลงมา ประทับริมฝีปากตัวเองลงบนปากอีกฝ่าย แช่ไว้ครู่หนึ่งก็ผละออก รีบปล่อยมือ พลิกตัวหันหลังให้คนยืนตัวแข็งทื่อ เอ่ยงึมงำขอบคุณ

ไม่นึกเลยว่าแค่เป็นฝ่ายจูบก่อนจะน่าอายขนาดนี้

แอบรู้สึกนับถือมันอยู่ในใจที่กล้าเป็นฝ่ายขอจูบก่อนอยู่เรื่อย

ผมสะดุ้งเมื่อโดนใครบางคนคร่อมกักร่างช่วงบนกะทันหัน ไม่มีคำพูดใดๆ มีเพียงหน้าที่โน้มเข้าหา ช่วงชิงริมฝีปากกันดื้อๆ เนิ่นนาน ก่อนลามไปที่แก้มเลยไปถึงคอ

“เดี๋ยวโว้ย!” รีบเอียงหน้าหลบ พยายามดันพาร์ออกห่าง

“อยู่เฉยๆ ดิ้นหนีมากๆ เดี๋ยวกูทนไม่ได้ขึ้นมามึงจะซวย”

คำสั่งกึ่งขู่ ทำให้ผมได้แต่นอนนิ่ง ปล่อยมันสัมผัสจนหน้าเห่อร้อนไปหมด และต้องสะดุ้งเมื่อรู้สึกเจ็บจี๊ดปนเสียวแปลกๆ แถวหลังคอ พาร์ซบหน้านิ่งอยู่แบบนั้นครู่ใหญ่ถึงปล่อยตัวผมเป็นอิสระ พึ่งรู้ว่าเสื้อตัวเองหลุดลุ่ยก็ตอนที่มันช่วยขยับให้เข้าที่ ผูกเชือกกลับเหมือนเดิมนี่แหละ

“อย่ายั่วให้มากนัก กูทนไม่ค่อยไหวหรอกนะ”

ผมอ้าปากค้าง มองคนเดินหายเข้าไปในห้องน้ำอีกรอบ ตั้งสติได้ก็อยากด่า

กูไปยั่วมึงตอนไหนวะ!

ผมสะบัดผ้าห่มคลุมตัวเอง ปรับเตียงให้เป็นแบบนอนราบ

กล้าว่ากูแบบนี้! ต่อไปมึงอย่าหวังเลยว่าจะได้รางวัลอะไรจากกูอีก!

แม่ง! หงุดหงิดวะ!

-------------

แปดโมงกว่า พี่พลับกับพี่แพร์มีมติเอกฉันท์ว่าไม่เป็นอะไรแล้ว แต่การเข้าเยี่ยมคุณย่ากลับเป็นอีกเรื่อง

แพทย์ทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนหันไปมองอีกหนึ่งแพทย์ตระกูลผลไม้ พี่ชายคนโตของบ้านที่กำลังบังคับให้ผมกินข้าวเช้าที่ทางโรงพยาบาลจัดมาให้

“พี่คุยคิดว่าไง?”

ชื่อเล่นเต็มๆ คือ ลูกคุย อายุห่างจากผมสิบหกปีได้ ต้นกำเนิดชื่อเล่นผลไม้ที่สืบทอดไปยังน้องๆ ถ้าเรียงลำดับชื่อตามคนเกิดก่อนก็ ลูกคุย ลูกแพร์ ลูกพรุน ลูกพลับ ลูกพีท เกิดเป็นห้าคุณหมอตระกูลผลไม้

“อยากไปเคลียร์? หรืออยากไปทะเลาะ?” พี่คุยถามผมเสียงเรียบ

“...ทีอยากขอโทษมากกว่า” 

พูดจบ ช้อนตักโจ๊กพูนๆ ก็ถูกยัดเข้ามาในปาก ผมทำหน้าเหยเกทันที นี่มันโจ๊กหรืออะไร ทำไมจืดสนิทจนอยากร้องถามหาพริกไทย กระเทียมเจียว และน้ำปลา…

“ถ้ากินโจ๊กหมดถ้วยได้ พี่จะยอมให้เข้าเยี่ยมคุณย่า”

ผมรีบหันไปมองขอความช่วยเหลือจากพี่ชายและพี่สาว แต่ทั้งสองคนกลับส่ายหน้าหวือ ไม่คิดช่วยกันสักนิด พอหันไปมองพี่คุย ฝ่ายนั้นก็ยัดช้อนใส่มือผม โต๊ะสำหรับทานข้าวบนเตียงถูกสองหมอช่วยเข็นมาอย่างรู้ใจให้พี่คุยวางชามโจ๊กสีขาวจั๊วะลงตรงหน้าคนบนเตียง

“เลือกเอาเองแล้วกัน ไม่อยากเจอก็ไม่ต้องกิน”

ผมก้มมองโจ๊ก จำใจตักของสีขาวตรงหน้าเข้าปาก ในใจน้ำตาไหลพรากๆ

อาหารผู้ป่วยของโรงพยาบาลรสชาติสุดยอดแย่จริงๆ 

เคยมีใครกินโจ๊กชามเดียวแต่ใช้เวลาเป็นชั่วโมงไหม...ผมนี่ไง

หลังกินหมดก็โดนปล่อยตัวออกจากห้องพัก เดินปิดปากด้วยสภาพพะอืดพะอม อยากอ้วกแต่ทำไม่ได้ ขืนปล่อยออกมาอาจต้องกินเข้าไปใหม่อีกชามก็ได้ใครจะรู้

“ที อ้าปาก”

ผมส่ายหน้าเล็กน้อย ขืนอ้าปากตอนนี้ของในท้องได้พุ่งออกมาพอดี แต่พาร์ไม่ยอม ดึงมือผมออก บังคับให้อ้าปาก ระหว่างมองมันอย่างขุ่นเคือง อะไรบางอย่างก็ถูกยัดเข้ามา รสหวานหอมของลูกอมแผ่กระจายไปทั่วลิ้น ช่วยลดความอาการพะอืดพะอมได้อยู่หมัด

“ดีขึ้นไหม”

ระหว่างพยักหน้าก็แอบรู้สึกผิดที่ไปโมโหมัน ก่อนเปลี่ยนเป็นความสงสัย ทำไมไม่บอกกันดีๆ วะ แต่มีอีกเรื่องที่ผมสงสัยกว่า

“ไปเอามาจากไหน?”

“ไปขอจากแม่เด็กที่อยู่ตรงโน้นมา” พาร์ชี้ไปทางหนึ่ง ผมมองตามก็ไม่รู้ว่าคนไหนอยู่ดี ได้แต่ขอบคุณเจ้าของลูกอมในใจ และกำลังจะพูดขอบคุณพาร์...

“ถ้าจะขอบคุณกู ขอที่แก้มนะ”

พลั่ก! ผมอดเตะมันไม่ได้จริงๆ

ทีเมื่อวานจูบปากให้เป็นรางวัล มันยังหาว่าผมยั่วอยู่เลย นึกถึงแล้วยังโมโหไม่หาย

“โกรธอะไรกูเนี่ย?”

“เหอะ!”

ผมจ้ำเท้าเดินหนีมา มุ่งหน้าไปยังห้องเป้าหมายที่อยู่ชั้นเดียวกัน แต่คนละฟากตึก ไม่รู้เป็นเรื่องจงใจหรือแค่เรื่องบังเอิญ ไปถึงหน้าห้องความกล้าที่มีก็ชักหดหาย ยืนนิ่งอยู่นานจนพาร์เดินตามมาทัน

“ไม่เข้าไปล่ะ?”

“ก็...”

พาร์มองหน้าผมครู่เดียวก็ช่วยเคาะประตูให้ ได้ยินเสียงขานรับจากข้างในก็ช่วยเปิดประตูดุนหลังผมเข้าไป

“กูรอข้างนอกนะ” ทิ้งท้ายเพียงเสียงกระซิบ ก่อนมันช่วยดึงประตูปิดให้

เดินเข้าไปก็เจอคุณปู่กำลังลุกจากเก้าอี้พอดี ไม่มีคำพูดใดๆ นอกจากมือที่ตบบ่าสองสามที แว่วเสียงเปิดปิดประตู แต่สายตาของผมก็ยังหยุดมองที่คนนอนหลับบนเตียงเนิ่นนาน กว่าสองขาจะก้าวตรงไปหา ทรุดนั่งเก้าอี้ที่ยังมีไออุ่นหลงเหลือ เพียงแค่สามปีที่ไม่ได้เจอตัวกันตรงๆ หญิงชราตรงหน้าผมก็ดูโรยราขึ้นมากจริงๆ

ผมคว้ามือเหี่ยวย่นขึ้นมาสัมผัส กุมไว้ให้รับรู้ถึงความอุ่น ขบคิดทบทวนพฤติกรรมตัวเองก็พบว่ามันแย่จริงๆ

“ทีขอโทษนะครับ”

“...ขอโทษอะไร”

ผมสะดุ้ง ไม่คิดว่าคนหลับจะเอ่ยออกมา แรงบีบที่มือทำให้ผมรู้ว่าคุณย่าตื่นแล้ว...หรืออาจจะไม่ได้หลับอย่างที่ผมเข้าใจ

“ปรับเตียงให้ย่าหน่อย”

ผมรีบทำทันที เรียบร้อยแล้ว มือเหี่ยวย่นก็ตบเตียงผู้ป่วย

“มานั่งบนเตียงกับย่านี่ ย่าจะเล่านิทานให้ฟัง”

ผมลังเลครู่หนึ่ง พอโดนมองดุก็รีบขึ้นไปนั่งด้วย

“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว หญิงคนหนึ่งพบรักกับชายหนุ่ม แต่งงานไม่นานก็ได้ของขวัญจากฟ้า เป็นบุตรชายตัวน้อยๆ ไม่กี่ปีต่อมาก็ได้ของขวัญที่สอง แม้จะผิดหวังที่ไม่ได้บุตรสาวก็ไม่เป็นไร เด็กน้อยสองคนซุกซนตามวัย ยิ่งโตก็ยิ่งนำพาปัญหานู้นนี่มาให้ปวดหัว บางเรื่องพวกเขาจัดการเอง บางเรื่องก็มาขอให้ช่วย แต่เรื่องใหญ่ในชีวิตกลับปิดปากเงียบกันทั้งคู่ น่าตีจริงๆ ว่าไหม”

ผมได้แต่ยิ้มแห้ง

“ปัญหาใหญ่ของลูกคนเล็กแสดงผลก่อน สองพี่น้องช่วยกันปิดบังน่าดู แต่สุดท้ายความก็แตกว่าลูกชายคนเล็กไปทำหญิงวัยเรียนคนหนึ่งท้อง ย่ามารู้ก็วันที่เด็กน้อยคลอดอย่างปลอดภัย ได้อุ้มชูให้ชื่นใจได้แปบเดียว เจ้าลูกชายคนโตก็หอบหลานหายไปไหนไม่รู้ แต่เรื่องนี้ไว้ก่อน”

คุณย่าลูบหัวผม

“เมื่อลูกชายคนเล็กผิดเต็มประตู แถมยังเคราะห์ร้ายพึ่งโดนไล่ออกจากงาน ลำบากจะแย่ก็ไม่คิดมาขอความช่วยเหลือ ผู้เป็นแม่ทนมองไม่ไหว สุดท้ายก็ต้องยื่นมือเข้าไปช่วย หางานให้ลูกชายทำ และเริ่มสืบประวัติหญิงสาววัยเรียนคนนั้นจนรู้ว่าเธอขาดญาติสนิทมิตรสหายที่พึ่งพาได้ เป็นเด็กกำพร้าที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า”

“เป็นเรื่องปกติถ้าจะสงสัยว่ามีอะไรแอบแฝงหรือเปล่า จึงทำเพียงส่งเสียให้เธอเรียนต่อให้จบ และจับตาเฝ้ามองดูไปก่อน หากเธอเป็นคนดีก็ไม่คิดกีดกั้นเพราะเรื่องชาติกำเนิดแต่อย่างใด ผ่านไปหลายปีเธอก็พิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่คนดีและไม่ใช่คนเลว เป็นคนปกติคนหนึ่งที่มีอคติต่อว่าที่แม่สามีไม่น้อย”

คุณย่าคอแห้ง ผมเลยเทน้ำใส่แก้วป้อนคุณย่าไปหลายอึก แล้วฟังคุณย่าเล่าต่อ

“คนเราทะเลาะกันได้หลายสาเหตุ เช่น ความเห็นไม่ลงรอย มองในมุมที่แตกต่าง เมื่อแม่สามีกับลูกสะใภ้เข้ากันไม่ได้ หลังแต่งงานเป็นเรื่องเป็นราว ลูกชายคนเล็กจึงแยกตัวไปอยู่ที่อื่น แม้จะไม่ค่อยถูกใจสะใภ้คนนี้นัก แต่ก็อดดีใจไม่ได้ที่ลูกชายคนเล็กเป็นฝั่งเป็นฝาเสียที เหลือแต่ลูกชายคนโตไม่รู้ว่าหายหัวไปอยู่ไหน”

“ลุงนิกไม่ได้ติดต่อกลับมาเลยเหรอครับ?”

“มีโทรมาบ้าง บางทีก็อุ้มหลานกลับมาให้ปู่ย่าชื่นใจไม่กี่วันก็หายไปอีกแล้ว ถามก็ไม่เคยจะบอก แต่เห็นลูกมีความสุขดีก็ขี้เกียจจะไปยุ่ง อีกอย่างตอนนั้นย่าปวดหัวกับลูกคนเล็กมากกว่า สองคนนั้นรักๆ เลิกๆ จนหลังๆ ย่าเริ่มปล่อยวาง จะรักจะเลิกก็เรื่องของพวกเธอ”

“แล้วคุณย่ารู้ตอนไหนว่าลุงนิกอยู่ญี่ปุ่น?”

“ย่าสงสัยว่าทั้งที่ทีใกล้ถึงวัยเข้าโรงเรียนอนุบาลแล้ว ทำไมไม่พากลับมาสักที บ่ายเบี่ยงอยู่นั่น แล้วตอนหลังมาบอกว่าจะให้ทีเรียนที่ต่างประเทศ ย่าก็ตกใจสิ เหตุผลก็ฟังไม่ขึ้นเอาซะเลย จึงต้องจ้างนักสืบเอา พอได้เรื่องย่าแทบจะปรี๊ดแตก ลูกชายคนโตปิดบังเรื่องแฟนหนุ่ม แถมยังหอบหลานไปเลี้ยงดูดั่งเป็นครอบครัวเดียวกัน”

“เอ๊ะ! คุณย่ารู้ตั้งแต่ตอนนั้น!!”

“ก็ใช่น่ะสิ! ถึงเรียกเจ้านิกกลับมาไง บังคับให้เอาทีกลับมาด้วย ในสายตาย่าดูยังไงก็ครอบครัวจอมปลอม ย่าทนไม่ได้ถ้าต้องให้ทีโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมแบบนั้น!”

“แต่ที...” ไม่ได้รู้สึกว่ามันแย่เลยนะ

ผู้เป็นย่าถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “สังคมตอนนั้นยังไม่ได้เปิดกว้างรับเรื่องรักร่วมเพศเท่าตอนนี้ แล้วลองคิดดูถ้าทีโตจนรู้ความมากกว่านั้นจะเป็นยังไง เพื่อนๆ ในโรงเรียนจะมองทีแบบไหน แค่คิดย่าก็กังวลแทนไปหมด”

ผมได้แต่เงียบฟัง นี่คือมุมมองของผู้ใหญ่ ต่างจากมุมมองของเด็กอย่างผมคนละเรื่อง

“อีกอย่างย่าอยากให้นิกกลับมาเดินสู่เส้นทางที่ถูกที่ควรด้วย และเห็นได้ชัดว่านิกต่อต้านเรื่องนี้มาก ถึงยอมกลับมาตามที่ย่าบอก แต่ไม่ยอมพาทีมาหาสักที ตอนหลังไม่รู้นึกยังไงถึงได้พาทีกลับเข้าบ้าน ส่วนตาอรรถกับแม่อร พอรู้ข่าวว่าทีกลับมาก็ชอบมาด่อมๆ มองๆ อยู่ห่างๆ ท่าทางอยากไปทำความรู้จัก แต่ก็ไม่กล้าสักที ย่าเห็นแล้วรำคาญบวกอยากช่วย เลยเปิดโอกาสแนะนำทีให้รู้จักกันไว้ สองคนนั้นเป็นคู่สามีภรรยากันแล้ว สามารถรับทีกลับไปเลี้ยงดูได้ และย่าก็อยากให้หลานชายได้รู้จักพ่อแม่ที่แท้จริงของเขาด้วย”

เล่าถึงตรงนี้แววตาคุณย่าก็เคร่งเครียดขึ้น

“แต่หลานกลับต่อต้านจนน่าตกใจ ย่าพยายามหาวิธีลดความต่อต้านนั้นลง แต่ผลคือย่ำแย่กว่าเก่า สภาพทีในตอนนั้นทำย่าร้องไห้ ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เด็กที่ร่าเริงสดใสในทีแรกถึงไม่รอยยิ้มอีกเลย ย่ามารู้ตอนหลังว่านิกมีอิทธิพลกับทีไม่น้อยเลยขอให้นิกช่วย ย่าคิดเพียงแค่อยากให้นิกเปิดทางให้อรรถบ้าง...ไม่ได้คิดเลยว่าจะทำร้ายความรู้สึกของลูกชายคนโต”

“ย่ามารู้ตัวว่าทำผิดพลาดแล้วก็ตอนอรรถโทรมาบอกว่าหลานชายของย่าหายตัวไป ต้องระดมคนตามหาทั่วสวนสัตว์จนวุ่นวายไปหมด แถมยังฟ้าฝนก็ไม่เป็นใจ ตกได้ตกดี...”

ท่ามกลางสายฝนที่เทลงมาไม่ลืมหูลืมตา มีพี่ชายแปลกหน้าคนหนึ่งฝ่าสายฝนปรากฏตัวตรงหน้าพวกเรา
‘เจอตัวสักที’
มือใหญ่ขยี้หัวผมกับคนข้างๆ จนเส้นผมเปียกๆ พันกันยุ่งไปหมด ‘กลับกันเถอะคนอื่นๆ รออยู่’


ผมกระพริบตาก็พบว่าคุณย่ายังเล่าเรื่องให้ฟังอยู่ และคงไม่ทันสังเกตเห็นผมเหม่อลอยไปช่วงหนึ่ง

...ถ้าเด็กในตอนนั้นคือพาร์ เขายอมเปียกปอนนั่งหนาวสั่นเป็นเพื่อนผมที่หลบฝนอยู่ใต้ต้นไม้เดียวกัน ทั้งที่เขาจะวิ่งไปหลบฝนในที่ดีกว่านี้ก็ได้แท้ๆ ส่วนคนที่หาเราเจอคือพี่คุย

ช่วงเวลาสั้นๆ ที่พาพวกผมวิ่งฝ่าฝนบ้าง หาที่หลบบ้าง ทำให้ได้รู้ว่าคนมาช่วยใจดีมาก เอาใจใส่กันสุดๆ ตามหาตัวพ่อแม่ให้พาร์จนเจอ แล้วพาตัวเขาส่งคืนครอบครัว ก่อนพาผมกลับมาเจอคนที่รออยู่ มีปู่ ย่า พ่อ แม่ ลุงนิก อยู่กันครบหมด แต่ผมเลือกเมินพวกเขาแล้วกอดคอพี่คุยที่อุ้มผมอยู่แน่น   

“แต่ทีไม่ยอมกลับบ้านกับพวกย่า แม้แต่นิกก็ไม่เอาแล้ว เราจนปัญญาเลยต้องขอฝากให้ครอบครัวหมอช่วยดูแลทีชั่วคราว...ย่าไม่เคยเห็นนิกเศร้าขนาดนั้นมาก่อนเลย เศร้ายิ่งกว่าเจ้าอรรถอีก และไม่ย่อท้อตามไปง้อทีทุกวัน ผิดกับเจ้าอรรถเลือกรออย่างเดียว ย่าโมโหมาก เลยสั่งงดสองคนนั้นมาบ้านย่าชั่วคราว ถึงอย่างนั้นทีก็ไม่ยอมกลับมา...”

เพราะผมชอบช่วงเวลาที่ได้อยู่บ้านลุงหมอน่ะสิ เป็นน้องคนเล็กของพี่ๆ ห้าคน ทุกคนผลัดกันดูแลบ้าง ช่วยกันดูแลบ้าง ไม่เคยปล่อยผมอยู่ตามลำพัง อยู่ที่นั่นแล้วสบายใจกว่ามาก

“กว่าทีจะยอมให้นิกพากลับมาก็หลังเข้าเรียนอนุบาลไปเกือบเดือน พอไม่มีเจ้าอรรถกับแม่อรเข้ามายุ่งวุ่นวาย ทีก็เหมือนจะดีขึ้น เริ่มกลับมายิ้มมาซนได้อีกครั้ง คราวนี้ย่าทำเพียงมองนิกเลี้ยงดูทีโดยไม่เข้าไปวุ่นวาย ถึงอย่างนั้นก็แอบส่งรูปถ่ายไปให้เจ้าอรรถดูอยู่บ่อยๆ เหมือนกับว่าแค่นั้นเจ้าอรรถกับแม่อรก็พอใจแล้ว ย่าถึงได้รู้ตัวในตอนนั้นเอง ก่อนหน้านี้ย่าเจ้ากี้เจ้าการเกินไป”

ผมตกใจที่เห็นคุณย่าร้องไห้จนทำอะไรไม่ถูก

“...ย่าไม่คิดว่าเรื่องครั้งนั้นจะฝากรอยแผลเป็นไว้ในใจทีแบบนี้ ย่าไม่รู้ตัวเลยว่าได้ทำลายครอบครัวของเด็กไร้เดียงสาคนหนึ่งทิ้ง ย่าไม่รู้เลยว่ากำลังยัดเหยียดครอบครัวให้เด็กที่พึ่งหัวใจแตกสลายกับความจริงที่ได้รับรู้ ย่าไม่เคยรู้ว่าเกือบทำลายสายสัมพันธ์ที่เด็กคนหนึ่งมีต่อพ่อที่เลี้ยงดูเขามา ย่าขอโทษนะลูก ขอโทษจริงๆ”

ผมเม้มปาก ปล่อยน้ำตาร่วงหล่นอย่าห้ามไม่อยู่ สองแขนโอบกอดผู้สูงวัยในชุดผู้ป่วยโรงพยาบาลแน่น ได้สัมผัสถึงได้รู้ว่าร่างกายคุณย่าผอมลงมากเมื่อเทียบกับในความทรงจำ

“ที่ผ่านมาเกลียดย่ามากไหม”

ผมหุบตามองผ้าห่ม “ที…ไม่รู้ บางทีอาจแค่โกรธ”

“และเก็บกด”

ผมรีบสบตาคนพูดเสริม แววตาคุณย่ามองมาอย่างเข้าใจ

“ที่จริงย่าก็เคยสงสัย ถึงทีจะซน จะแสบ แต่บางครั้งก็ว่านอนสอนง่ายแปลกๆ หลังเหตุการณ์ครั้งนั้นทีแทบไม่ขัดใจใครเลย ใครให้ทำอะไร ถ้าทำได้ก็ทำ ขนาดโดนแม่อรจับแต่งหญิงก็ยังยอม เป็นเด็กดีน่ารักจนน่าเหลือเชื่อ แต่ย่ากลับไม่ได้เอะใจเลยว่าทำไมทีถึงได้เป็นเด็กดีขนาดนี้ เอาแต่คิดว่าเพราะบุญที่ทำมาส่งผลให้ได้หลานที่ดีน่าภาคภูมิใจ”

ผมยังจำครั้งแรกและครั้งเดียวที่ตัวเองอาละวาดอย่างหนักได้ดี

“…เพราะทีรู้ว่าต่อให้อาละวาดแค่ไหน ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนต่างหาก”

คุณย่าเงียบไปทันที แววตาหม่นลง “…ถ้าย่าไม่ให้นิกพาหลานกลับมาคงดีกว่า”

ผมกลับส่ายหน้ารัวๆ “อาจจะดีหรือไม่ดีก็ได้ทั้งนั้น เราไม่รู้หรอกครับว่าต้องเจอกับเรื่องอะไรบ้างจนกว่าจะได้เผชิญหน้ากับมัน”

“เมื่อวานหลานไม่ได้พูดแบบนี้”

“เอ่อ ทีเคยถามตัวเองหลายครั้ง จนได้คำตอบมาแบบนี้นี่น่า...” ผมพูดเสียงอ่อยๆ “ขอโทษครับที่เมื่อวานพูดจาไม่ดี ทีทำให้คุณย่าเจ็บปวด”

“ย่าไม่โกรธ”

ผมมองคนลูบหัวตัวเองด้วยความรู้สึกเสียใจปนรู้สึกผิด สัญญากับตัวเองว่าต่อไปจะคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้มากกว่านี้ และจะใส่ใจความรู้สึกคนรอบข้างให้มากกว่านี้ด้วย

ผ่านไปครู่หนึ่งผมเอ่ยถามอย่างข้องใจ “เอ่อ เราคืนดีกันได้แล้วใช่ไหมครับ?”

คุณย่าหันมาสบตาผมทันที “...น่าจะใช่”

ในห้องเงียบลงทันที ไม่นานผมก็เอ่ยถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ

“แล้วเรื่องผมกับ…เอ่อ”

“แฟน” คุณย่าต่อประโยคให้ พร้อมพ่นลมหายใจยาวเหยียด “อยากคบก็คบ”

“ฮะ!!”

ผมตกใจจริงๆ นะ ก็เมื่อวานยังโดนต่อว่าขนาดนั้นอยู่เลย

“ทีเลือกแล้วไม่ใช่หรือ ถ้าไม่คิดเปลี่ยนใจ ย่าคงไม่มีอะไรจะพูด”

ผมกระพริบตา “...ทีนึกว่าย่าจะต่อต้านมากกว่านี้ซะอีก”

“ก็อยากอยู่ แต่ย่าผิดต่อทีมากเหลือเกิน ถ้าย่าทำอีก...คงเป็นย่าที่แย่เกินทน”

“ไม่หรอกครับ ผมคิดว่าคุณย่ามีเหตุผล”

“มันก็มี ย่าอยากให้ทีได้เรียนรู้ความสุขของการมีครอบครัวเป็นของตนเอง แต่ย่ารู้แล้วว่าบางครั้งเราก็สร้างครอบครัวด้วยวิธีที่ต่างออกไปได้ ขอแค่ทำแล้วมีความสุขก็พอ...อย่างเจ้านิก”

หูผมเริ่มกระดิก พูดถามอย่างระมัดระวัง

“ถ้าคุณย่ายอมรับเรื่องผมได้ งั้นของ...ลุงนิกล่ะครับ?”

“เหอะ รายนั้นน่ะดื้อด้าน ขนาดจับแยกห่างมากี่ปีก็ไม่เคยเข็ด คบกันมาได้นานขนาดนี้ มั่นคงยิ่งกว่าคู่ปกติเสียอีก ย่าก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้วเหมือนกัน”

ผมโผกอดคุณย่าอีกครั้งทันที ดีใจยิ่งกว่าตอนรู้ว่าย่ายอมปล่อยให้คบกับพาร์อีก อาจเพราะผมเอาใจช่วยเรื่องลุงนิกกับทาจังมานานหลายปี บวกกับผู้เป็นเสมือนพ่อแม่ได้รับการยอมรับสักที ย่อมดีใจมากกว่าเป็นธรรมดา

“ถ้าทีจะคบแฟนหนุ่มคนนั้น ย่ามีข้อแม้หนึ่งอย่าง”

ความดีใจสะดุด รีบถามกลับอย่างกังวล “อะไรครับ?”

“ไปเรียกคนของหลานมาฟังด้วย อยู่ข้างนอกใช่ไหมล่ะ”

ผมแอบลังเล แต่ก็พยักหน้าเดินออกไปเปิดประตู เรียกพาร์กับคุณปู่เข้ามา พาร์ยกมือไหว้คุณย่าอย่างสุภาพ มองสบตาไม่หนีไม่หลบ โดนซักถามก็ตอบกลับอย่างฉะฉาน สอบถามประวัติความเป็นมาครู่หนึ่ง คุณย่าก็วกกลับมาเรื่องเงื่อนไขของการคบกัน

“เงื่อนไข...อะไรครับ?” พาร์เริ่มเครียด

“มีเหลนให้ย่าสักคน”

“ฮะ!” ไม่ใช่แค่ผมกับพาร์เท่านั้น คุณปู่ยังอุทานเลย

“ทำยังไงก็ได้ แต่ต้องให้ทีมีเหลนไว้สืบสกุลธรรมนาถต่อ ย่าคงทำใจไม่ได้ที่เห็นตระกูลเราสิ้นสุดทายาทที่รุ่นเจ้าที”

“เดี๋ยวครับ!!” ผมรีบเบรก “ถึงผมมีให้ไม่ได้ แต่เรายังมีอัน”

“เจ้าตัวเล็กนั่นเรอะ เหอะ” คุณย่าทำเสียงขึ้นจมูก “หน้าตาแทบจะถอดแบบเราตอนเด็กๆ ไม่พอ ยังนิสัยนุ่มนิ่มปวกเปียกกว่าเราอีก ฝากความหวังไว้ได้ซะที่ไหน”

“น้องอันแค่เป็นเด็กอ่อนโยนเองครับ!” ผมอดแย้งให้น้องไม่ได้ “งั้นยัยน้ำล่ะ”

“ไปจับตัวมาให้ย่าฝึกอบรมในฐานะผู้สืบทอดได้ ย่าก็ไม่มีปัญหา”

แค่นึกถึงคอร์สนรกพวกนั้น ผมก็ทำใจส่งน้องสาวไปฝึกไม่ลง แน่นอนว่าไม่ใช่แค่กิริยามารยาทที่ผมไม่เคยคิดเอามาใช้ (ถ้าไม่จำเป็น) ยังรวมไปถึงงานต่างๆ ที่ต้องทำในอนาคตอีก

“...แค่ผมมีทายาทให้ได้ก็พอใช่ไหมครับ”

“อืม”

ผมสบตากับพาร์อย่างลำบากใจ อยากขอให้ยอม แต่อีกใจก็รับรู้ว่าเป็นการทำร้ายมันทางอ้อม

แต่พาร์กลับสงบกว่าผมมาก เอ่ยถามคุณย่าตรงๆ “ไม่เกี่ยงวิธีการใช่ไหมครับ?”

“อืม ขอแค่เป็นทายาทสายตรงจากเจ้าทีก็พอ”

“ได้ครับ ผมรับปาก”

เฮ้ย! ผมหันมองพาร์ที่ยอมตกลงง่ายๆ อย่างตกใจ

พอคุณย่าจ้องผม พาร์กับคุณปู่ก็จ้องตาม ผมสบตาพาร์อีกครั้ง แววตาอีกฝ่ายไม่มีสั่นไหวจึงยอมรับปากอีกคน

หลังจากนั้นบรรยากาศก็ดีขึ้นเยอะ พวกผมสี่คนคุยกันไปเรื่อย เห็นพาร์เข้ากับคุณปู่คุณย่าได้แบบนี้ผมก็ดีใจ พวกผมอยู่กับคุณย่าเกือบชั่วโมงก็โดนลุงหมอที่มาตรวจร่างกายไล่ออกมา เพราะต้องการให้คนป่วยพักผ่อน

ระหว่างเดินไปที่ลานจอดรถผมก็อดถามพาร์ไม่ได้

“มึงจะยอมให้กูมีลูกจริงดิ”

“อืม”

“ถึงจะใช้ผสมเทียมก็เถอะ มึงก็ยอม?”

พาร์เลิกคิ้วสูง “ใครบอกจะให้มึงทำแบบนั้น”

“อ้าวแล้ว?”

“เมื่อเดือนก่อนมีข่าวเกี่ยวกับการใช้เซลล์ต้นกำเนิดของคนเพศเดียวกันให้กำเนิดลูกได้ ซึ่งก็ต้องรอดูต่อไปอีกสองปีว่าจะสำเร็จไหม อีกอย่างกว่าเราจะเรียนจบ ทำงานเก็บเงินมากพอเลี้ยงลูกสักคนได้ วิทยาการอาจก้าวไกลจนมีทางให้เลือกเยอะกว่าตอนนี้ ยังไงย่ามึงก็ไม่จำกัดวิธีการอยู่แล้วนี่”

ผมกระพริบตาปริบๆ...บางครั้งพาร์ก็คิดไปไกลกว่าผมมากทีเดียว

ขึ้นมาอยู่บนรถได้ไม่เท่าไหร่ พาร์ก็ประเด็นขึ้นมาใหม่

“แล้วเรื่องพ่อมึงล่ะ”

ผมมองสองข้างทางเงียบไปครู่หนึ่งถึงพูดออกมา “...บางเรื่องปล่อยเป็นความลับต่อไปดีกว่า”

“ถ้างั้นจะอยู่บ้านกูต่อ หรือจะกลับบ้าน?”

“...ยังกลับบ้านไม่ลงวะ”

“งั้นก็โทรไปบอกที่บ้านมึงก่อน เขาจะได้ไม่เป็นห่วง”

ผมพ่นลมหายใจ หยิบมือถือออกมา ลังเลว่าจะโทรหาพ่อหรือแม่ดี แต่สุดท้ายก็โทรหาน้องสาวแทน รอสายไม่นานน้ำก็รับ

[พี่ชายของน้ำอยู่ไหนคะ?]

“พึ่งออกจากโรงพยาบาล”

[ห๊ะ!!]

ผมรีบเสริม ก่อนน้องจะเป็นห่วง “ไปเยี่ยมคุณย่ามา”

[อ้อ นี่น้ำกับพวกพ่อกำลังจะถึงพอดี คลาดกันสินะ]

“ฮือฮึ...ช่วงนี้พี่ไปนอนค้างบ้านพาร์นะ ฝากบอกพวกพ่อด้วย”

[เอ๋!!]

ผมกดตัดสายทันที ขี้เกียจฟังน้องสาวบ่น ตั้งแต่เรื่องที่ยัยน้ำโกรธพาร์วันนั้น และหลังพาร์ไปสารภาพบาป น้องสาวผมเปลี่ยนไปเยอะทีเดียว ถึงจะยังมีอารมณ์หุนหันใจร้อนอยู่บ้าง แต่น้องเริ่มแยกแยะวิเคราะห์อะไรได้มากขึ้น หัดมองความเป็นจริงมากกว่าเดิม และยังคงเป็นสาววายที่ไม่ได้แอ๊บเป็นเด็กดีต่อหน้าพาร์แล้ว

คิดถึงเรื่องนี้ผมก็ขำ

เพราะยัยน้ำหลอกนิสัยกับพาร์ก่อน พาร์เลยคำนวณแผนพลาดได้เจ็บตัวตามมาง้อผมในทันทีไม่ได้ เพื่อนมันก็ดีถึงขั้นหิ้วมันไปตรวจที่โรงพยาบาล พร้อมกับมีข่าวล่ำลือว่ามันเป็นโลลิ ซุกแฟนเด็กจอมโหดไว้แล้วไม่ยอมบอกเพื่อนฝูง ฮ่าๆๆ 

ขณะที่สองสาวเข้าใจผิดไปเอง คิดว่าพาร์ชอบเด็กเรียบร้อยมาหลายปี สาเหตุมาจากความใจดีที่ให้มากกว่าปกติ แต่ความจริงพาร์ถูกใจพวกเด็กซนๆ มากกว่า ยิ่งเคมีเข้ากันได้พาร์ก็เริ่มแง้มสอนอะไรแผลงๆ ให้ ยัยน้ำบ่นเสียดายกับผมยกใหญ่ว่าที่ผ่านมาเข้าใจผิดไปได้ยังไงตั้งนาน ก็หวังว่ามันจะไม่ทำน้องสาวผมเสียคน ไม่ใช่อะไรหรอก กลัวในอนาคตไม่มีใครกล้าขอยัยน้ำแต่งงาน

แต่เป็นแบบทุกวันนี้ก็ดีครับ เวลามองพาร์กับน้ำเถียงกันได้เถียงกันดีแบบนี้ดูมีชีวิตชีวาสมเป็นพี่น้องกันออก ขนาดเบอร์ยังแอบอิจฉา มาบ่นๆ กับผมว่าเหมือนโดนเพื่อนสนิทแย่งพี่ชาย...

“หัวเราะอะไรคนเดียว”

“เรื่องของกูน่า” ผมบอกปัด “พรุ่งนี้จะไปเรียนไหม เราโดดกันมาสองวันแล้วนะ”

“พรุ่งนี้วันสงกรานต์แล้วครับ มึงจะไปเรียนทำไม”

อ้าว...

“พูดถึงเรื่องนี้ปู่มึงบอกว่าให้ไปบ้านย่า พรุ่งนี้มีงานรวมญาติที่นั่น เพราะมะรืนนี้ปู่กับย่ามึงจะบินกลับไปรักษาตัวต่อแล้ว”

“ไปมะรืนเลยเหรอ”

ผมหงอยทันที จะโทษใครได้นอกจากตัวเอง ถ้าไม่พูดจาแบบนั้นจนทำคุณย่าล้มป่วย ผู้สูงวัยทั้งสองอาจได้อยู่ไทยยาวกว่านี้

“ไม่ใช่ความผิดมึงหรอกน่า ปู่เล่าว่าเรื่องมึงทำให้ย่าสะเทือนใจก็จริง แต่ที่อาการกำเริบ เพราะสภาพแวดล้อมแตกต่างเกินไป ร่างกายคนแก่เลยปรับตามไม่ทัน” 

“...ปู่แค่พูดปลอบใจกูหรือเปล่า”

“ไม่หรอก...มั้ง เอ่อ มึงอย่าคิดมากน่า”

“กูรู้ตัวว่าทำผิด มึงไม่ต้องพยายามปลอบกูหรอก”

“...พรุ่งนี้ทำอาหารใส่ปิ่นโตไปให้สิ” พาร์เปลี่ยนเรื่องทันที “ย่ามึงน่าจะเซ็งกับอาหารโรงพยาบาลไม่น้อย”

“อือ เดี๋ยวกูโทรไปถามลุงหมอก่อนว่า คุณย่ากินอะไรได้บ้าง” 

“เดี๋ยวเราอยู่รอรับพาปู่ย่ามึงกลับบ้านด้วยเลย ดีไหม?”

ผมคลี่ยิ้มส่งให้พาร์ทันที “ดี”

“ที”

“หือ?”

“กูดีใจที่ได้เห็นรอยยิ้มมึงนะ ยิ้มหรือหัวเราะบ่อยๆ ล่ะ”

ผมเบือนหน้าไปทางหน้าต่างรถ พูดงึมงำ “...ถ้ามึงทำให้กูมีความสุข กูก็ยิ้มบ่อยอยู่แล้ว”

“กูได้ยินนะ”

“ก็ฟังเงียบๆ ดิ!”

“แก้มแดงแล้ว”

“หุบปากไปเลย!”

############

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
Re: - ชลนที - [บทที่ 57] P.20 (10/05/2017)
«ตอบ #589 เมื่อ10-05-2017 10:55:35 »

โอเค ผ่านดราม่า

รออ่านตอนลูกพาร์กะทีแล้ว << รีบ 5555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: - ชลนที - [บทที่ 57] P.20 (10/05/2017)
« ตอบ #589 เมื่อ: 10-05-2017 10:55:35 »





ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
Re: - ชลนที - [บทที่ 57] P.20 (10/05/2017)
«ตอบ #590 เมื่อ10-05-2017 10:59:57 »

ดีแล้วที่คุณย่ายอมรับได้ ที่ผ่านมาก็เพราะรักมากเป็นห่วงมากคุณย่าเลยพยายามทำทุกอย่างที่คิดว่าดี ทีเองก็รู้ไม่งั้นคงไม่รักคุณย่ามากขนาดนี้หรอก ใช่มั้ยคะ

ออฟไลน์ PKT

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: - ชลนที - [บทที่ 57] P.20 (10/05/2017)
«ตอบ #591 เมื่อ10-05-2017 15:13:48 »

 o13 o13 o13

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4
Re: - ชลนที - [บทที่ 57] P.20 (10/05/2017)
«ตอบ #592 เมื่อ10-05-2017 15:17:55 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: - ชลนที - [บทที่ 57] P.20 (10/05/2017)
«ตอบ #593 เมื่อ10-05-2017 15:58:36 »

เด็กกับผู้ใหญ่คิดต่างกันจริงๆ :mew2: :mew2: :mew2:
ดี.....กันแล้ว ย่ายอมทีแล้ว ให้ที คบกับพาร์ได้  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
แต่ที ต้องมีลูกสืบทายาท
ว่าแต่ลูกที จะได้จากแม่คนไหนนะ
พาร์ น่ารัก ดูแลที ดีมาก
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
Re: - ชลนที - [บทที่ 57] P.20 (10/05/2017)
«ตอบ #594 เมื่อ10-05-2017 22:26:40 »

ผ่านไปได้ด้วยดี ก้อโอเค

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: - ชลนที - [บทที่ 57] P.20 (10/05/2017)
«ตอบ #595 เมื่อ11-05-2017 11:26:56 »

โล่งไปที ทีนี้ทีกับคุณย่าก็เข้าใจกันแล้วนะ

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: - ชลนที - [บทที่ 57] P.20 (10/05/2017)
«ตอบ #596 เมื่อ12-05-2017 22:44:57 »

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:


ออฟไลน์ mickeyz.min

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: - ชลนที - [บทที่ 57] P.20 (10/05/2017)
«ตอบ #597 เมื่อ13-05-2017 20:59:20 »

ทางโล่งแล้ววววว ลุยต่อได้

ออฟไลน์ Piima

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 660
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
Re: - ชลนที - [บทที่ 57] P.20 (10/05/2017)
«ตอบ #598 เมื่อ15-05-2017 09:57:01 »

โอ้ยยย

หนูที

น่ารักจังเลยลูก

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
Re: - ชลนที - [บทที่ 58] P.20 (19/05/2017)
«ตอบ #599 เมื่อ19-05-2017 11:34:51 »

บทที่ 58

“สระว่ายน้ำตรงนั้นเมื่อก่อนเป็นสระบัว แต่เพราะเจ้านิกกับเจ้าอรรถชอบว่ายน้ำทั้งคู่ ย่าเขาเลยยอมทิ้งสระบัวที่เห็นมาตั้งแต่เกิดเปลี่ยนเป็นสระว่ายน้ำให้ลูกทั้งคู่แทน”

ผมยืนฟังเงียบๆ ด้วยท่าทีสนใจ ข้างๆ มีทั้งพาร์และเพื่อนกลุ่มเก่าแก่ที่มากันพร้อมหน้า

“บ้านก็เหมือนกันใช่ไหมครับ รูปแบบถึงได้ผสมผสานกันระหว่างยุคอดีตกับสมัยใหม่”

ผมเหลือบมองคนถาม ตาเทมเป็นประกายระยิบระยับ ถ้าจำไม่ผิดเหมือนมันเคยบอกว่าบ้านย่าผมคือตัวจุดประกายให้เลือกเรียนสถาปัตย์หรือไงนี่แหละ

“ปู่เป็นเขยแต่งเข้าคงให้คำตอบเรื่องนี้ได้ไม่ดีเท่าเจ้าของบ้านตัวจริงหรอก”

“จะให้ผมไปถามคุณย่า?” เทมทำหน้าแหยงๆ

“เห็นหน้าดุแบบนั้น ย่าเขาใจดีนะ”

“อย่าแกล้งเพื่อนผมสิ” ผมอดพูดช่วยเทมไม่ได้ “ปู่อยู่ที่นี่ตั้งหลายปี อีกอย่างคุณย่าต้องเล่าอะไรให้ฟังบ้างล่ะน่า ปู่น่าจะเล่าเท่าที่รู้ให้พวกผมฟังได้”

สายตาผู้สูงวัยกวาดมองพวกผมด้วยรอยยิ้ม

“ธรรมนาถสอนทายาททุกรุ่นไม่ให้ยึดติดกับอดีต แต่จงเปิดใจเรียนรู้ไปพร้อมยุคสมัยดั่งบ้านหลังนี้ที่ผ่านการปรับปรุงต่อเติมเรื่อยมาให้เหมาะสมกับผู้อยู่อาศัยในแต่ละรุ่น”

“...รวมถึงสวนด้วยเหรอครับ” ผมถามขึ้นมาด้วยเสียงสั่นไหวหน่อยๆ

“ใช่แล้ว อะไรไม่ดีก็ควรปรับปรุงให้เหมาะสม ไม่มีอะไรน่าเสียดายหรอก ตัวบ้านหลังนี้เลยดูพิลึกๆ ในสายตาคนอื่นกระมัง”

“ไม่เลยครับ ผมมองว่ามันคือศิลปะ!“

เอาแล้ว...

ผมพ่นลมหายใจ คว้ามือพาร์ดึงให้มันค่อยๆ ถอยห่างวงสนทนา ถ้าปล่อยเทมพูดเรื่องนี้แบบไร้คนขัดเมื่อไหร่ ยาวแน่ครับ ผมขี้เกียจฟัง หลังถอยจนพ้นระยะมาแบบเนียนๆ ก็รีบลากพาชิ่งหนีทันที

“จะไปไหน?”

“ไปดูในครัวไหม?” ผมว่า “มึงอยากรู้วิธีทำขนมไทยไม่ใช่เหรอ ป้าสาทำเก่งนะ”

พูดจบปุ๊บก็กลายเป็นโดนลากแทนปั๊บ ครัวบ้านคุณย่าเป็นเสมือนบ้านหลังเล็กๆ ที่แยกออกมาต่างหาก ด้านนอกรอบบ้านครัวเป็นลานกว้าง ด้านหนึ่งมีข้าวของวางอยู่หลายอย่าง เห็นเยอะสุดคือของสำหรับต้องตากแดด เดินไปใกล้แถวนั้นต้องระวัง อีกด้านกำลังผัดกับข้าวควันโขมง กลิ่นที่ลอยเข้าจมูกผัดกระเพราแน่นอน

“ชิ่ว!”

พาร์จามก่อนผมอีกครับ ฮ่าๆๆ ผมดึงพาร์ไปทางเข้าครัว สองข้างทางมีโต๊ะยาววางอยู่ ฝั่งซ้ายมีอาหารจำพวกต้มวางไว้เป็นหม้อๆ คนข้างผมมองอึ้งๆ

“เยอะขนาดนี้กินกันหมดเรอะ”

“ไม่ใช่แค่พวกกู ย่าเขาจะเลี้ยงพระด้วยล่ะมั้ง แล้วก็ยังมีหมายี่สิบตัว แมวสี่ตัว กลุ่มคนดูแลบ้านทั้งหมด แล้วไหนจะครอบครัวลุงหมอ ครอบครัวกู และครอบครัวมึง” ผมยักคิ้วให้พาร์ “เดี๋ยวมึงจะได้เห็นอาหารที่แปรรูปจากวัตถุดิบที่เก็บได้จากในรั้วบ้านหลังนี้ อ้อ ยกเว้นพวกเนื้อ นม ไข่ ที่ต้องไปซื้อเอา”

พาร์ย่นคิ้ว “ที่นี่กว้างขนาดนี้ น่าจะเลี้ยงพวกสัตว์ได้นะ อย่างไก่ เป็ด หรือวัวนมสักตัว”

“เมื่อก่อนมีไก่กับเป็ดอยู่ ออกไข่ทุกวัน”

พวกผมรีบหันไปด้านหลัง ก็เจอเจ้าของเสียงมีพี่พีทช่วยประคองมายืนด้านหลังพวกผมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ และทั้งสองไม่มีใครฮัดเช้ยสักคน เพราะใส่ผ้าปิดปากมากันคนละผืน

“แต่ตอนหลังมีข่าวเรื่องโรคระบาด พวกมันก็โดนจับใส่กระสอบไปตรวจสอบหมด ตอนแรกเขาว่าจะเอามาคืน แต่ป่านนี้ย่ายังไม่ได้คืนสักตัว ถ้าไม่กลายเป็นอาหารก็คงโดนฝังไปแล้ว ย่าเลยสั่งเลิกเลี้ยงถาวร อยากได้ไข่ได้เนื้อก็ไปซื้อที่ตลาดเอา บ้านเราเลยเหลือแต่หมากับแมวอย่างที่เห็น”

“คุณย่ามาทำอะไรที่นี่ครับ?” ผมถามอย่างประหลาดใจ

“ครัวอยู่ตรงหน้ายังถามอีก ถ้าไม่เข้าไปก็อย่ายืนขวางทาง”

“เข้าครับเข้า” ผมทำท่าจะเดินไปช่วยประคอง แต่คุณย่าโบกมือว่าไม่ต้อง แถมโดนไล่ให้เดินเข้าไปก่อนอีก ผมไม่ขัดใจคนแก่เลยลากพาร์เดินเข้าไปก่อน แจ้งบอกคนที่กำลังวุ่นวายข้างในว่าคุณย่ากำลังเดินเข้ามา คนงานในครัวดูแตกตื่นกันหน่อยๆ

“กลัวอะไร! ตั้งใจทำงานของตัวเองไปก็พอ” หลังป้าสาดุเด็กในความดูแล ก่อนหันมาหาผม ชี้นิ้วไปทางโต๊ะไม้ทรงสี่เหลี่ยมขาเตี้ยตัวใหญ่ที่วางอยู่กลางห้อง ขอบด้านหนึ่งไม่มีคนนั่ง บริเวณนั้นวางถาดไว้หลายใบ ทั้งถาดที่มีลูกกลมๆ สีน้ำตาลปั้นเตรียมไว้ ถาดที่ด้านบนห่อด้วยผ้าขาวบาง ถ้วยใส่เม็ดงากับอีกถ้วยหนึ่งมีอะไรไม่รู้เป็นรูปสามเหลี่ยมสีส้มๆ และถาดว่างๆ อีกหลายใบด้านในปูใบตองไว้

“คุณย่าจะแสดงฝีมือเหรอครับ?”

“พวกคุณทีชอบขนมจีบนี่ค่ะ คุณท่านเลยให้ทางป้าเตรียมของไว้ค่ะ เห็นบอกว่าจะมาห่อเอง”

ขนมจีบ?

ผมกวาดมองของที่เตรียมไว้อีกครั้ง พลันตาเปล่งประกายทันที

ลาภปากพวกผมแล้วครับ วะฮ่าๆๆ

รีบลากพาร์ไปล้างมือล้างเท้า แล้วขึ้นไปหาที่นั่งบนโต๊ะ จัดวางพวกของไว้ตรงกลางรอคุณย่ากับพี่พีทเดินเข้ามา พาร์ทำหน้ามึนงงใส่ผม

“มึงจะช่วย?”

“ใช่” ตอบพลางสบตาคุณย่าที่พึ่งเดินเข้ามา คิ้วสีดอกเลาเลิกขึ้นสูง

คุณย่าไม่ได้พูดอะไร แค่ไปล้างมือกับพี่พีทแล้วมานั่งที่ขอบโต๊ะ มือเหี่ยวย่นตามเวลาคลี่ผ้าขาวบางออก ด้านในเป็นก้อนแป้งมีขาว หลังตัดแบ่งเป็นก้อนเล็กๆ ก็แจกจ่ายให้พวกผมช่วยกันห่อไส้

“หลังใส่ไส้ก็ปั้นให้เป็นรูปชมพู่แบบนี้ ด้านบนจะเล็กกว่าด้านล่าง ติดตาติดปาก แล้วก็ทำให้เป็นริ้วๆ แบบนี้ เสร็จแล้วก็วางในถาดใบตองนี่”

นกขนมจีบตัวแรกฝีมือคุณย่าก็ไปนอนรอเรียบร้อย ต่อไปก็นกฝีมือผม พอเอาไปวางข้างๆ เทียบนกคุณย่า…มันไม่ใช่นก แต่มันคือสัตว์ประหลาด!

“ฮ่าๆๆ” พี่พีทหัวเราะไม่หยุดหลังเห็นนกไม่สมประกอบของผม แม้แต่พาร์ยังพยายามกลั้นขำ

“ลองทำใหม่เจ้าที ใจเย็นๆ ไม่ต้องรีบ อย่างน้อยให้ออกมาเป็นนกขนยุ่งก็ดีกว่าออกมาเป็นตัวประหลาด”

 หลังจากนั้นอีกสองคนก็วางนกลงไปบ้าง ของพาร์สวยสุด สมกับที่มันชอบทำขนม ของพี่พีทก็ดี คุณย่าชมว่ามือเบาสมเป็นหมอ 

ถาดไหนเต็มแล้วจะมีคนยกไปช่วยนึ่งให้ เสร็จแล้วก็จะยกกลับมาให้คุณย่าตรวจดู ชิ้นไหนขึ้นโต๊ะไม่ได้ก็ให้แยกออก ก่อนให้คนเอาน้ำมันกระเทียมเจียวทาที่ตัวนก

“ทีขอ” ผมที่จ้องชิ้นที่โดนแยกมานาน เมื่อสบโอกาสก็รีบหยิบเข้าปากทันที

รูปภายนอกดูไม่ได้ แต่ภายในอร่อยมากครับ

ผมเคี้ยวไปอมยิ้มมีความสุขไป คุณย่ามองมาอย่างระอา แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร พี่พีทเลยทำบ้าง ตัวสุดท้ายที่เหลืออยู่กำลังโดนเราสองพี่น้องจ้องตาฟาดฟันเตรียมจะแย่งชิง แต่ดันโดนคนอยู่เฉยๆ ตั้งแต่ต้นอย่างพาร์คว้าไปกินซะงั้น คนกำลังเคี้ยวหันมามองพวกผมอย่างไม่เข้าใจ

ผมกับพี่พีททำหน้าเซ็งใส่พาร์ ถ้าจะเอาไปกินก็รีบหยิบดิ ดันวางล่อตาล่อใจอยู่ได้ตั้งนาน พวกผมก็นึกว่ามันไม่เอาน่ะสิ!

หมดจากแป้งสีขาว ยังมีแป้งสีอื่นๆ ได้แก่ สีน้ำเงิน สีม่วงอ่อน สีชมพูอ่อน และสีเหลือง ฟังจากที่คุณย่ากับป้าสาคุยกัน สีที่ใช้ผสมในแป้งมาจากดอกอัญชัน ดอกเฟื้องฟ้า และฟักทองครับ

หลังปั้นชุดสุดท้ายเสร็จ คุณย่าก็มองไปรอบครัว  มีรอยยิ้มเล็กๆ สักพักก็ถอนหายใจรำพึง

“ชักไม่อยากกลับไปอยู่นู้นแล้ว”

“ไม่ได้ครับ” พี่พีทค้านทันที “ถ้าคุณย่าอยากกลับมาที่นี่เร็วๆ ต้องรีบรักษาตัวให้หายสิครับ”

“ย่าแก่แล้ว รักษายังไงก็ไม่กลับเป็นเหมือนสมัยสาวๆ ได้หรอก”

“ผมทราบ แต่เพราะอยากให้คุณย่ายังอยู่กับพวกเราต่อไปนานๆ…”

คุณย่าพูดขัด “ได้อยู่นานๆ แต่อยู่ห่างบ้านห่างหลานแบบนี้ จะมีประโยชน์อะไร”

พวกผมเงียบทันที…ที่คุณย่าพูดก็ถูก

คนแก่ที่สุดถอนหายใจอีกครั้ง ทำท่าจะขยับตัวลุกขึ้น พี่พีทรีบไปช่วยประคอง ผมกับพาร์ลุกตาม

“เราสองคนไปช่วยกันยกถาดขนมจีบตามย่ามา”

ผมกับพาร์ทำตามทันที ที่โต๊ะด้านนอกมีถาดสีเงินใบใหญ่สองใบ ภายในมีขนมจีบรูปนกวางบนใบตองแล้ว ยังมีผักกาดหอม ผักชี และลูกโทน (พริกสด) วางไว้ด้านข้างด้วยครับ ผมกับพาร์ยกไปคนละถาด ก้าวขาตามหลังคุณย่าอย่างระวัง จนมาถึงเรือนหลัก ยังไม่ทันเข้าไปข้างใน พ่อผมก็เดินสวนออกมาซะก่อน

“คุณแม่!!”

“อะไรหือเจ้าอรรถ? แม่อยู่แค่ตรงนี้ไม่ต้องตะโกนก็ได้”

“คุณแม่ไปไหนมาครับ ทำไมพวกผมถึงหาตัวไม่เจอ”

“ไปครัวมาน่ะสิ หลีกๆ จะได้ให้เด็กๆ ยกถาดเข้าไปข้างใน”

พ่อรีบขยับตัวหลีกทางให้ “ยกไปทางห้องหลังสระว่ายน้ำเลยลูก คุณแม่ก็ด้วยครับ ทุกคนรอแม่อยู่”

“มีอะไรที่ห้องนั้นหรือ?”

“เดี๋ยวคุณแม่ไปเห็นก็รู้ครับ”

พอยกขบวนไปถึงก็พบว่าประตูที่ติดกับระเบียงเชื่อมต่อไปถึงสระว่ายน้ำเลื่อนเปิดจนสุด ปล่อยสายลมพัดพากลิ่นดอกไม้หอมที่ปลูกติดรั้วเข้ามาด้านใน ทุกคนมารวมตัวที่นี่กันหมด ทั้งครอบครัวผม ครอบครัวพาร์ ครอบครัวลุงหมอ เพื่อนเก่าแก่ทั้งหก…

“เฮ้ย ขนมจีบนกนี่!” ไวไวอุทานคนแรก

เพื่อนคนอื่นๆ รวมถึงสองสาวรีบหันมามองทางผมกับพาร์ ตาวาวๆ กันทุกคน แม้แต่ตัวเล็กยังพยายามกระโดดมองด้วยความสงสัย ถ้าได้เห็นของในถาดคงถูกใจน่าดู

“ไปวางตรงนู้น”

ผมพยักหน้าให้คุณปู่ เดินนำพาร์เอาถาดไปวางบนโต๊ะในห้อง หันกลับมาอีกทีทุกคนก็เดินออกไปทางระเบียงกันหมด ผมเดินไปทันเห็นคุณปู่ประคองคุณย่านั่งลงที่เก้าอี้เรียบร้อยก็หย่อนก้นนั่งตัวถัดมา พ่อถือขันเงินใบใหญ่ภายในคือใส่น้ำอบน้ำปรุงโรยด้วยกลีบดอกมะลิกับกลีบกุหลาบ แม่ถือขันเงินใบเล็กพร้อมพวงมาลัยดอกมะลิสองพวงไปคุกเข่าระหว่างผู้สูงวัยทั้งสอง

ระหว่างกำลังยืนมองอยู่ดีๆ ก็มีคนมาล็อกคอลากตัวผมออกมาเงียบๆ เกือบจะร้องโวยวายด้วยความตกใจแล้วถ้าไม่เห็นว่าพาร์ทำแค่มองแล้วเดินตามมาเงียบๆ

พ้นจากระเบียงเข้ามาแอบอยู่ตรงมุมห้อง คอผมก็ถูกปล่อย หันไปดูหน้าคนทำด้วยความหงุดหงิด ก็เจอลุงนิกที่ฉีกยิ้มขำกับทากะซังที่ยืนอมยิ้มอยู่ใกล้ๆ

“มะ…มาได้ไง!” ถามอึ้งๆ

“บินมาสิ” ลุงนิกตอบกลับมาแบบกวนๆ ก่อนตวัดตามองพาร์ที่กำลังยกมือไหว้คนทั้งคู่ แล้วหันมองผม “คงไม่ได้โดนเจ้าเด็กนี่รังแกหรอกนะ”

แววตาลุงสื่อชัดว่าฟ้องมาได้เลย เดี๋ยวลุงจัดการให้

ผมทำหน้าหน่ายใส่ หันไปโผกอดทากะซังแทนดีกว่า พร้อมถามอย่างเป็นห่วง

“ทาจังมาที่นี่จะไม่เป็นอะไรเหรอ?”

“ไม่รู้สิ แต่นิกบอกว่าให้มา”

ผมหันไปมองลุงด้วยความสงสัย ทันเห็นฉากลุงนิกใช้งานพาร์พอดี พานในมือพาร์ทำผมอึ้ง   

“นะ นี่มัน…”

พานขอขมาใช่ไหม? หรือผมมองผิด?

“อย่าอึ้ง ไปช่วยยกของมาไว้ตรงนี้”

ผมสะดุ้งรีบไปช่วยขนกะละมังสองชุดที่มีผ้าสะอาดวางอยู่ข้างใน และขันน้ำใบใหญ่ใส่น้ำจนเกือบเต็ม

“ลุงจะ...”

“อย่างที่ทีคิดนั่นแหละ”

ผ่านไปหลายนาที พ่อก็เดินเข้ามามองลุงนิกที มองผมที ก่อนถามสั้นๆ “พร้อมยัง?”

“อืม” ลุงนิกพยักหน้า สีหน้ากังวล แต่แววตาไม่ยอมถอย

“ผมว่าให้ทีเป็นทัพหน้าดีกว่านะ แล้วพี่ค่อยตามมา”

ลุงนิกส่ายหน้าไม่เห็นด้วยทันที พ่อเลยไม่พูดอะไรอีก เพียงแค่ไปยืนแถวประตูรอส่งสัญญาณ ผมมองแผ่นหลังพ่อแวบหนึ่ง แล้วหันมองลุงนิก

“ถึงคุณย่าจะยอมรับแล้ว แต่ให้ทีออกไปรับหน้าก่อน ความสำเร็จน่าจะสูงขึ้นนะ”

“ใครจะออกไปก่อนหลังก็ไม่ต่างหรอก ไม่ต้องทำหน้ากังวลขนาดนั้น ถึงลุงไม่ได้พูดคุยกับแม่ตรงๆ เหมือนที แต่เราก็เคยคุยกันแบบอ้อมๆ อยู่ คิดว่าไม่น่าจะมีเหตุการณ์อะไรแย่ๆ หรอก…มั้ง” 

“…ทีกลัวย่าโมโหจนเตะกะละมัง”

“คนตั้งเยอะ มีคนนอกด้วย ย่าเราไม่ทำหรอกน่า”

ผมภาวนาขอให้จริง เมื่อได้สัญญาณจากพ่อ ลุงนิกก็พยักหน้าให้ทากะถือพาน ส่วนตัวเองถือกะละมังกับขันใบใหญ่ตามออกไป ผมกับพาร์ก็รีบยกของอีกชุดตามไปติดๆ ระหว่างนั่งคุกเข่าตรงหน้าปู่ก็แอบชำเลืองมองสถานการณ์ข้างๆ ไปด้วยอย่างลุ้นระทึก

ลุงนิกกับทากะซังกราบเท้าคุณย่า ไม่มีการชักเท้าหลบก็โล่งใจไปเปราะหนึ่ง

ระหว่างคนทั้งคู่ยกเท้าคุณย่าวางกะละมัง ผมอดลอบมองสีหน้าคุณย่าไม่ได้ เรียบเฉยมากครับ เดาอารมณ์ไม่ถูก ได้แต่แอบกลัวแทน

ทากะซังเทน้ำลงกะละมัง ลุงนิกก็เริ่มล้างเท้าให้คุณย่าพร้อมพูดไปด้วย

“กรรมใดที่ลูกได้กระทำล่วงเกินต่อท่าน จะด้วยกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ทั้งที่ได้ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ ทั้งในชาตินี้และทุกๆชาติที่ผ่านมา ลูกขอขมากรรม ขออโหสิกรรมจากท่าน ขอให้ท่านให้อโหสิกรรมแก่ลูกด้วยเถิด”

ใจผมเต้นระทึก พอโดนพาร์สะกิดเรียกสติก็รีบก้มกราบเท้าคุณปู่ เอากะละมังมาวาง คุณปู่ที่ลุ้นคู่ข้างๆ สะดุ้งตอนที่ผมยกเท้ามาวางในกะละมัง ผมก็พูดขอขมาคุณปู่พลางขัดถูทุกซอกมุม อีกข้างได้พาร์ช่วยทำให้ เรียบร้อยก็ยกเท้าคุณปู่ก็ออกมาซับให้แห้งด้วยผ้าสะอาดผืนใหม่ มาสะดุ้งตรงได้ยินเสียงเหมือนเขกหัว

…ลุงนิกโดนเข้าแล้วครับ

คุณย่ามองลุงนิกด้วยแววตาคมกริบ คนโดนจ้องทำหน้าเจื่อนทั้งที่มือยังใช้ผ้าซับน้ำจากเท้าคุณย่าอยู่ตลอด ก่อนทำหน้าประหลาดใจเมื่อคุณย่ากวักน้ำในกะละมังมาพรมใส่หัว

“ชีวิตของลูกพ่อแม่ให้มา แต่พ่อแม่เลือกอนาคตให้ลูกไม่ได้ ดังนั้นอะไรที่นิกตัดสินใจแล้วก็ถือตามนั้น แม่จะไม่ยุ่ง ขอให้เราอย่าเสียใจกับสิ่งที่เลือกไปก็พอ แม่ขอให้เรามีชีวิตที่เป็นสุข ไร้ทุกข์ไร้ภัย และดูแลรักเราให้ดีๆ ด้วย แม่อโหสิกรรมให้”

ลุงนิกรีบหมอบกับพื้นกราบหนึ่งครั้ง แล้วยกพานขอขมาส่งให้

คุณย่าก็รับไว้ พร้อมพูด “อย่าพึ่งปล่อย แม่ไม่มีแรงถือ”

พูดถึงตรงนี้ก็เรียกพี่พีทที่อยู่ใกล้สุดมาช่วยรับไปถือแทน คุณปู่ถอนหายใจด้วยท่าทีโล่งอก รอยยิ้มดูมีความสุขกว่าทุกที ผมก็ยิ้มเหมือนกันยิ่งได้ยินบทสนทนาของคุณย่ากับทากะซังก็ยิ่งยิ้มมากขึ้น

“เธอก็ด้วย ขอโทษที่ก่อนหน้านี้ฉันทำตัวไม่เป็นผู้ใหญ่เลย”

ทากะซังยิ้มให้ “ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ ผมก็ต้องขอโทษด้วยครับที่เป็นสาเหตุให้ลูกชายคุณเลือกเดินทางนี้”

“…ฉันเป็นคนของธรรมนาถ ถึงจะช้าไปหน่อย แต่ฉันก็ได้เรียนรู้แล้วว่าความรักฉันท์หนุ่มสาวก็ใช่ว่าจะเกิดขึ้นกับคนต่างเพศเพียงอย่างเดียว ต่อไปนี้จะไปหานิกก็ไม่ต้องแอบนัดพบกันหรอก ไปหาที่ทำงานก็ได้ และลูกชายฉันจะได้ไม่ต้องหาข้ออ้างโดดงานบินข้ามทะเลหายไปเป็นอาทิตย์ด้วย”

“คุณแม่!”

ผมได้ยินเสียงคุณปู่หัวเราะร่วน แม้แต่พี่พีท หรือคนอื่นๆ ที่ได้ยินก็ยังยิ้มขำ

“ขอบคุณครับ” ทากะซังยกมือไหว้ขอบคุณ คุณย่าก็รับไหว้

มองทั้งคู่ส่งยิ้มให้กันผมก็ปลื้มใจ ยิ้มหน้าบานรับคำอวยพรจากคุณปู่ ก่อนจะย้ายไปกราบเท้าคุณย่า

“ทีกราบขอขมาคุณย่าในทุกๆ เรื่องทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ ต่อไปนี้ทีจะเป็นหลานที่ดีของคุณย่า ทีขออโหสิกรรมจากคุณย่าครับ”

“ย่าอโหสิกรรมให้” ย่ากวักน้ำพรมใส่ พร้อมอวยพร “ของทียังต้องเติบโต ผ่านเส้นทางพิสูจน์อีกเยอะแยะ ไม่ว่าจะเป็นอุปสรรคเรื่องอะไร ย่าก็อวยพรขอให้เราฝ่าฟันได้ทุกสิ่งอย่าง”

“ขอบคุณครับ” ผมกราบเท้าคุณย่าด้วยรอยยิ้ม

“ย่าฝากเจ้าทีด้วย ถ้าวันไหนไม่ต้องการแล้วก็ส่งคืนมา ย่ายินดีรับคืนทุกเมื่อ”

เอ๊ะ…

ผมผงกหัวขึ้นมาทันได้เห็นพาร์ยิ้มตอบคุณย่าพอดี

“คงคืนให้ยากครับ เพราะกว่าได้มาไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”

“หึ จำคำพูดตัวเองไว้แล้วกัน และอย่าลืมข้อตกลงของย่า!”

คุณย่า!! ผมรู้สึกหน้าร้อนหน่อยๆ คือ...ไม่ต้องย้ำเรื่องนี้บ่อยๆ ก็ได้ครับ

หลังจากนั้นคุณปู่คุณย่าก็พูดอวยพรรวมๆ ให้ทุกคน ก่อนปล่อยพวกเราไปกินขนมจีบ งานนี้เด็กหรือผู้ใหญ่แทบจะแย่งกัน ของดีหายากใช่จะมีมาให้กินบ่อยๆ

และเพราะเป็นวันสงกรานต์ วัยรุ่นตอนต้นยันวัยรุ่นตอนปลายอย่างพี่พีท พี่พลับ พี่พรุน รวมถึงเด็กเล็กอย่างน้องอันก็รวมตัวกำหนดจุดวิ่งเล่น ก่อนเฮโลถือปืนฉีดน้ำวิ่งรอบตัวบ้าน ส่งเสียงโหวกเหวกดังลั่นให้พวกผู้ใหญ่ส่ายหัว

วิ่งจนเหนื่อยและหิวก็ได้เวลากินข้าวเที่ยง ก่อนมาลุยเล่นน้ำต่อช่วงบ่าย เจ้าตัวเล็กไม่ยอมนอนกลางวัน วิ่งเล่นกับพวกผมจนหมดแรงหลับไปตอนเกือบสี่โมงเย็น เมื่อเหลือแต่เด็กโตก็เฮโลกันไปเล่นในสระว่ายน้ำแทน ปืนนี่ไม่ต้องแล้ว ใช้มือสาดใส่กันมันกว่า

“เด็กๆ สี่โมงครึ่งให้ทยอยกันไปอาบน้ำ เดี่ยวนี้เราจะมีปาร์ตี้ริมสระว่ายน้ำ ปิ้งบาบีคิวกินกัน” 

ส่งเสียงขานรับเสร็จก็เล่นกันต่อ สักพักพวกรุ่นใหญ่ก็ทยอยกันขึ้นไปก่อนอาบน้ำก่อน เสร็จแล้วก็ให้น้ำกับเบอร์ไปอาบก่อน เรียงตามคิวไป กว่าจะกว่าเสร็จกันครบทุกคนก็เกือบหกโมง

ผมกับพาร์ที่อาบเป็นชุดสุดท้ายเดินลงมา กลิ่นหอมๆ ของบาบีคิวก็ลอยกระทบจมูก เดินออกไปก็เจอผู้คนจับจองที่นั่งกินรอบสระว่ายน้ำ มีอาหารย่างอื่นวางในถาดบนโต๊ะตัวยาว อยากกินอะไรก็ให้ไปตักเอาเอง ผมมองผู้คนทั้งหมดด้วยรอยยิ้ม ตั้งแต่ปู่ย่าไปต่างประเทศผมก็ไม่ได้เห็นการรวมตัวกันครบทุกคนแบบนี้อีกเลย

“เอ้านี่”

ผมมองจานบาบีคิว แล้วมองคนส่งให้ “ขอบคุณครับ”

“ไม่เป็นไร...มีปัญหาอะไรกับพ่อแม่หรือเปล่า ลุงถึงรู้สึกเหมือนเรากำลังหลบหน้าพวกเขา”

ผมสะดุ้ง สมกับเป็นลุงนิกมองออกอย่างรวดเร็วมาก คิดพลางพ่นลมหายใจยาวเหยียด

“ที...รู้แล้วว่าลุงช่วยชีวิตทีไว้”

“พูดถึงเรื่องไหนล่ะ? ตอนตกต้นไม้? ตอนตกน้ำ? หรือตอนเดินเซ่อซ่าเกือบให้รถชน?”

ยิ่งได้ฟังผมก็ยิ่งรู้สึกว่าชีวิตนี้คงติดหนี้ลุงนิกไปตลอดชาติ ต้องไปชดใช้ในชาติหน้าแหงๆ

“เอียงหูมาหาที” หูลุงนิกเข้ามาใกล้มากพอ ผมก็กระซิบบอกสั้นๆ ว่าได้ยินอะไรจากพ่อมา

สีหน้าลุงเปลี่ยนไปทันที แถมยังมาเขกหัวผมอีก เจ็บจนน้ำตาแทบเล็ด

“เรื่องนานนมขนาดนั้นเก็บมาใส่ใจทำไม!”

“แต่มัน...”

“ฟังลุงนะ ในชีวิตคนเราจะทำเรื่องผิดพลาดหรือตัดสินใจผิดพลาดสักครั้งหรือหลายครั้งก็ไม่เห็นแปลกตรงไหน พ่อแม่เราก็เช่นกัน และนั่นทำให้พวกเขาก็ทุกข์ใจมาตลอด ทีล่ะ อยากทุกข์ใจไปเรื่อยๆ หรือจัดการให้ทุกข์นั่นหายไป?”

“อยากให้หายไปครับ”

“งั้นก็ง่าย แค่ใจทีให้อภัยพวกเขาก็พอ ถ้าใจทีให้อภัยได้แล้วก็เดินไปบอกพวกเขาสักหน่อย พวกเขาจะได้พ้นทุกข์”

“...ตอนนี้เลยเหรอ?”

“แล้วใจทีให้อภัยพวกเขาหรือยังล่ะ?”

ผมตอบไม่ได้

ลุงถามต่อหลังเห็นผมเงียบไปนาน “ทีรู้สึกยังไงบ้างตอนที่ได้ยินเรื่องนี้ครั้งแรก”

“เสียใจที่รู้ว่าไม่เป็นที่ต้องการขนาดนี้...พวกเขาไม่อยากให้ทีเกิดมาเหรอ?” ผมถามหงอยๆ

“ไม่ใช่หรอก สำหรับพวกเขา ทีแค่มาเกิดผิดจังหวะไปหน่อย ปัญหาหลายๆ อย่างส่งผลทำให้พวกเขาตัดสินใจผิดพลาด ลุงแค่ช่วยเตือนสติ และช่วยเหลือเฉพาะหน้า ในทางตรงข้ามลุงกับทากะอยากมีลูกของเราเอง แต่มีไม่ได้ และทีก็มาในเวลานั้นพอดี มันเป็นจังหวะที่เหมาะสมในการขอทีมาเลี้ยงสุดๆ ลุงก็เห็นแก่ตัวใช่ไหมล่ะ เพราะความจริงยังมีทางอื่นให้เลือกแก้ปัญหาอีก แต่ลุงเลือกไม่ทำ และไม่คิดคืนทีให้ด้วย”

ลุงนิกยกมือขยี้หัวผม

“ความจริงมันเป็นเรื่องของพวกลุง เราตกลงกันเอาเอง ไม่ได้คิดเผื่อเด็กที่เกิดมาว่าเขาจะรู้สึกยังไงหากได้รู้ความจริง เรียกว่าผิดกันหมดเลยถึงจะถูก ลุงแนะนำทีได้แค่ อย่าเก็บมาใส่ใจให้ปวดหัว ปล่อยวางให้มันเป็นเรื่องของอดีตต่อไป ทีควรสนใจกับปัจจุบัน และอนาคตมากกว่า”

ลุงนิกจับมือผมบังคับให้กำมือ “ตอนนั้นทีเลือกไม่ได้ แต่ตอนนี้ทางเลือกอยู่ในกำมือทีแล้ว”

“...ทีจะไปคุยกับพ่อ”

“ต้องแบบนี้! ไปเลย” ลุงตบหลังผม แถมฉวยจานบาบีคิวออกจากมือ “ถ้าเขินก็ไม่ต้องพูดยาวๆ บอกแค่ว่าเข้าใจและให้อภัยแล้วก็พอ”

แรงผลักดันจากลุงนิกช่วยให้ผมกล้าเดินไปหาพ่อกับแม่ กล้าที่จะเผชิญหน้ากับความจริง

“ผม...ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหมครับ”

“อะไรล่ะ?” พ่อถามมาอย่างสงสัย ส่งบาบีคิวให้ผมไม้หนึ่ง

อึกอักพูดไม่ออก มันไม่ใช่เรื่องที่จะพูดง่ายๆ แต่ก็พยายามฝืนพูดออกไป

“ผม...รู้เรื่องที่พ่อแม่คิดทำแท้ง...แล้วนะ”

สีหน้าคนทั้งคู่ตื่นตระหนกขึ้นมาทันที

“พ่อ...”

ผมสบแววตาที่มองมาอย่างละอายใจทั้งสอง ก็พูดต่ออย่างสงบ

“ผมไม่ติดใจเรื่องนี้แล้ว พ่อกับแม่ก็...อย่าไปคิดเรื่องนี้อีกเลยนะ ปล่อยมันไปเถอะ”

แม่ยกมือปิดปากกลั้นเสียงสะอื้น

“ลูกให้อภัยพ่อกับแม่?”

ผมพยักหน้า เท่านั้นน้ำตาก็พ่อก็ร่วงหล่น แต่ก็รีบปาดผมออกไป พูดเสียงสั่นเครือหน่อยๆ

“ขอบใจ...นะลูก”

“มะ แม่ด้วย...ขอโทษนะ ตอนนั้นแม่ยังเด็กเกินไป แม่หวาดกลัวกับความเปลี่ยนแปลง แม่...เกือบทำร้ายลูกแล้ว” พ่อรีบกอดไหล่ปลอบใจแม่ 

“ไม่ใช่ความผิดคุณคนเดียวหรอก ผมเองก็ผิดทั้งที่โตกว่าตั้งหลายปี กลับไม่มีความรับผิดชอบพอ แค่ป้องกันก็ยังพลาด” พูดถึงตรงนี้พ่อก็ถอนหายใจ พยายามพูดติดตลก “พลาดสองหนซะด้วย เลยได้ลูกหลงมาอีกคน”

“...พ่อกับแม่เสียใจที่ผมเกิดมาหรือเปล่า”

“ไม่เลย!” พ่อรีบบอก แม่ก็ส่ายหน้าทั้งที่ยังสะอื้น

“สิ่งเดียวที่เราเสียดายคือไม่มีโอกาสได้เลี้ยงดูลูกคนแรกตั้งแต่ต้น พ่อยอมรับว่าตั้งแต่ที่รู้ข่าวว่ากำลังจะมีลูกจนลูกคลอด พ่อกับแม่ไม่พร้อมเลย การที่ส่งลูกให้นิกที่พร้อมดูแลกว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุดแล้ว ลูกจะได้ไม่ต้องมาลำบากกับเรา และแม่จะได้ไม่ต้องเครียดมากเกินไปด้วย ตอนนั้นแม่เขายังอยู่ในวัยเรียน แค่ดร็อปเรียนเพื่อคลอดลูกก็เสียโอกาสไปหลายอย่างแล้ว”

พ่อหันไปหาแม่ “ผมขอโทษจริงๆ นะ ถ้าผมห้ามใจได้มากกว่านั้นคงดี”

“ไม่เป็นไรค่ะ มันผ่านมาแล้ว...ตอนนี้อรก็มีความสุขดี”

ผมมองผู้ให้กำเนิดทั้งกอดโอบกอดกันแน่น สิ่งที่เห็นตรงหน้าคือความรักความเข้าใจ อย่างน้อยผมก็ได้คำตอบแล้วว่าตัวเองเกิดมาจากความรัก ไม่ใช่ความใคร่  ยังเป็นที่ต้องการอยู่...แค่นี้ก็พอแล้ว   

ส่งยิ้มให้คนทั้งคู่ เป็นยิ้มที่จริงใจที่สุดเท่าที่ผมเคยยิ้มให้พวกเขามาเลย

“ผมน่ะ ไม่เคยเสียใจที่ได้เกิดมาเป็นลูกของพ่อกับแม่หรอกนะ ต่อให้เจอเรื่องแย่มาเยอะ ก็ไม่เคยเสียใจสักครั้งเดียว”

“มาให้พ่อกับแม่กอดหน่อย”

ผมเดินเข้าสู่อ้อมกอดของผู้ให้กำเนิดอย่างว่าง่าย รู้สึกถึงความอบอุ่นที่ต่างจากของลุงนิกหรือทากะซัง ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกดีในแบบที่อธิบายไม่ถูก

...คิดว่าหลังจากนี้ช่องว่างระหว่างเราสามคนที่ไม่เคยถมเต็มสักที อาจต้องใช้เวลาหน่อย แต่ไม่นานคงไม่เหลือพื้นที่จะให้ถมแล้วอย่างแน่นอน

-------------
(มีต่อหน้า21)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-05-2017 11:38:32 โดย KatzeP »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด