บทที่ 11
ฝันร้ายที่กลายเป็น...
ปรางถูกย้ายกลับมาอยู่ที่เรือนใหญ่เป็นที่เรียบร้อย หมอฝรั่งคนใหม่ถูกว่าจ้างให้มาดูแลปราง ส่วนหมอเดนนิสและเดวี่ ผมรู้จากเที่ยงว่าทั้งคู่เก็บกระเป๋าออกไปจากที่นี่ตั้งแต่คืนวันนั้น ผมไม่มีโอกาสออกไปเจอใครทั้งนั้น ตอนนี้ได้รับอนุญาตให้ออกจากห้องได้แค่ตอนเข้าห้องน้ำ ซึ่งต้องมีคนเฝ้า ตอนกินข้าวก็แทบกลืนไม่ลงเพราะมีคนมาจ้องตลอดเวลา อีกที่ที่ผมได้รับให้เข้าไปเปลี่ยนบรรยากาศได้คือ ห้องนอนของปราง
“เที่ยงขอโทษนะเจ้าคะ ที่ทุกอย่างมันกลายเป็นแบบนี้”หญิงสาวยังคงขอโทษผมซ้ำไปซ้ำมา ครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งที่ผมก็บอกย้ำไปแล้วว่าไม่ถือโทษเธอแต่อย่างใด ส่วนผู้เป็นพ่อของปราชยังเรียกว่ายังโกรธ หรืออาจจะเกลียดกับการกระทำที่ผมได้ทำลงไป ตอนนี้การเผชิญหน้ากันแต่ละครั้งมันดูอึดอัดไปหมด แม้เรื่องนี้จะมีคนรู้ความจริงไม่กี่คน มันก็เพียงพอให้เกิดข่าวลือต่างๆ มากมายว่าทำไมคุณหมอเดนนิส และเดวี่หายออกไปด้วยเหตุผลใด
“ข้าผิดมากหรือเปล่า”สายตาผมมองไปที่คุณหยาดผู้เป็นแม่ แม่ดูซูบไปอย่างเห็นได้ชัด แถมทุกครั้งที่มองผม สายตาของท่านดูมีแต่ความผิดหวัง
“ผิดหรือไม่ เที่ยงคงไม่กล้าตัดสินหรอกเจ้าค่ะ เที่ยงรู้แค่ว่าคุณหลวงกับคุณหยาดเสียใจมากกับเรื่องนี้ หากย้อนกลับไปได้เที่ยงอาจจะไม่บอกเรื่องนี้กับผู้ใด แต่เที่ยงจะเลือกขอร้องให้คุณปราชเลิกทำเช่นนี้แทน”ผมอาจจะคิดน้อยเกินไปจริงๆสินะ การปล่อยความต้องการให้เป็นใหญ่ ผมเลยได้รับผลของการกระทำที่เป็นอย่างนี้ หรือว่านี่มันคือสาเหตุที่ในยุคปัจจุบัน พ่อแม่ไม่รักผม
“คุณแม่ขอรับ ลูกไปด้วยได้ไหมขอรับ”ผมส่งเสียงเรียกผู้เป็นแม่ที่กำลังเตรียมตัวจะไปถวายเพลที่วัด แม่มองผมด้วยสายตาสับสนและลำบากใจกับสิ่งที่ผมเอ่ยปากขอ
“ให้คุณปราชไปเถอะเจ้าคะ กว่าคุณหลวงจะกลับมาก็คงค่ำ ยังไงคุณหยาดก็พาคุณปราชกลับมาก่อนอยู่แล้ว เดี๋ยวเที่ยงจะกำชับพวกบ่าวไพร่ไม่ให้ใครบอกเรื่องนี้กับคุณหลวงเองเจ้าค่ะ”แน่นอนว่าตอนนี้ผมถูกกักบริเวณ การจะออกไปไหนได้มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย แต่ดูเหมือนคำพูดของเที่ยงจะได้ผล ผมได้รับอนุญาตให้ไปวัดได้ อย่างลับๆ
“ขอลูกรอถามอะไรหลวงตาสักหน่อยนะขอรับ”หลังจากการถวายเพลเสร็จ ผมเอ่ยปากขออยู่ต่ออีกสักหน่อย เพราะจุดประสงค์จริงๆ ที่ผมอยากมาที่นี่คือการมาพบกับหลวงตานั่นเอง ผมว่าคนเดียวที่พอจะให้คำตอบอะไรผมได้บ้างกับเรื่องราวทั้งหมด คงมีเพียงแค่หลวงตาคนเดียวเท่านั้น
“ครู่เดียวนะพ่อปราช”ทุกคนเดินออกจากศาลาไปปล่อยผมนั่งรอลำพัง แต่เหมือนว่าเที่ยงจะจับตามองผมอยู่ที่ประตูทางออก ที่จริงผมก็ไม่ได้คิดจะหนีไปไหนนะครับ แต่ตอนนี้ทุกคนทำเหมือนผมเป็นนักโทษที่กลัวว่าจะแหกคุกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“กระผมมาขอคำชี้แนะขอรับ”เหมือนหลวงตาเองจะรู้อยู่แล้วว่าผมจะมา เพราะพอทุกคนแยกออกไป หลวงตาเองที่เป็นคนเดินมาหาผม
“เห็นแล้วใช่ไหมว่าสิ่งที่โยมพยายามเปลี่ยนมันส่งผลกระทบเช่นไร”หลวงตายังคงพูดให้ผมคิดเองเช่นเดิม แล้วไอ้ผลกระทบที่หลวงตาว่านี่มันคือที่ผมเจออยู่ตอนนี้อย่างงั้นเหรอ
“ถึงแม้โยมจะพยายามเปลี่ยนแปลง แต่อะไรที่มันจะเกิดขึ้นมันก็ต้องเกิดขึ้น แล้วพอมีการเปลี่ยนแปลง บางอย่างที่มันไม่ควรจะเกิดมันก็เกิดขึ้นมา ถ้าโยมยังพยายามเปลี่ยนอะไรอีก เรื่องราวมันก็จะยิ่งแย่ลงไปกว่าเดิม”อะไรที่มันไม่ควรเกิดอย่างนั้นเหรอ ไอ้ที่หลวงตาบอกว่าไม่ควรเกิดมันคือเรื่องระหว่างผมกับเดวี่หรือเปล่า
“กระผมควรอยู่เฉย รอให้ทุกอย่างมันเกิดขึ้นหรือขอรับ”ผมถามย้ำอีกครั้ง แม้จะพอเข้าใจในสิ่งที่หลวงตาบอกอยู่แล้ว
“โยมสร้างบ่วงกรรมเพิ่มขึ้นมาแล้ว มันก็คงมีคนที่ต้องใช้กรรมร่วมกับโยมขึ้นมาอีก”อย่างที่เคยบอกว่าผมเคยไม่เชื่อเรื่องบาปกรรมอะไรพวกนี้ แต่พอชีวิตต้องมาเผชิญกับสิ่งที่เป็นตอนนี้ กรรมมันก็คือผลของการกระทำสินะ ถ้านี่คือชีวิตในอดีตของผม พ่อกับแม่ก็คงไปใช้กรรมร่วมกับผมในยุคปัจจุบันสินะ นี่ยิ่งช่วยตอกย้ำให้ผมคิดว่าสาเหตุที่เหมือนพ่อแม่จะไม่รักผม มันเพราะเรื่องราวในอดีตนี่หรือเปล่า แล้วปรางล่ะ ทำไมผมถึงไม่ได้เจอเธอในยุคปัจจุบัน
หลวงตาไม่รอให้ผมได้ถามอะไรเพิ่มเติม ผมทำได้เพียงยกมือไหว้ตามหลังหลวงตาเท่านั้น ผมลุกเพื่อจะเดินไปหาทุกคนที่รออยู่ แต่แปลกใจเล็กน้อยที่เที่ยงไม่ได้รอผมอยู่ตรงทางออก คนอื่นๆ รอกันอยู่ที่ศาลาริมท่าน้ำ แต่จากที่มองดูไม่มีเที่ยงอยู่ในกลุ่มนั้น ผมกวาดสายตาไปรอบๆ แล้วสายตาก็ไดสะดุดกับใครคนนึง ที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ห่างออกไป เหมือนเค้าจ้องมาที่ผม
ผมจำเค้าได้ นั่นคือชายคนที่ผมเคยเจอตอนงานวัด เค้ามาทำอะไรที่นี่ เหมือนเค้าจะรู้ตัวแล้วว่าผมสังเกตุเห็นเค้าหันหลังเดินหลบออกไปแทบจะทันที ส่วนผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตัวเองต้องเดินตามเค้าอีกแล้ว ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงมีแรงดึงดูดบางอย่างให้ผมมีความสนใจได้ขนาดนี้ ทั้งที่ผมไม่รู้จักอะไรในตัวเค้าเลย
“คุณปราชเจ้าคะ คุณปราช”เสียงของเที่ยงทำให้ผมเหมือนเพิ่งได้สติ และหยุดเดิน ผมหันกลับไปมองหญิงสาวก่อนจะหันมองคนที่ผมเดินตามอีกครั้ง เค้าหันกลับมามองผมแล้วค่อยๆ เร่งฝีเท้าห่างออกไป
“จะไปไหนหรือเจ้าคะ”ผมส่ายหน้าปฏิเสธ พร้อมชวนเที่ยงกลับไปยังท่าน้ำเพื่อสมทบกับคนอื่นๆ พอกลับถึงบ้านดูทุกคนจะโล่งใจกับการที่ผมกลับมาถึงบ้านก่อนผู้เป็นพ่อ
“ช่วงนี้เจ้าคุณพ่อไม่ค่อยอยู่ติดเรือนนะขอรับ”ผมพูดลอยๆ กับผู้เป็นแม่เพราะช่วงนี้พ่อดูเคร่งเครียดกับสิ่งที่ทำเหลือเกิน แต่ผมเองก็ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเพราะงานราชการที่ต้องทำ หรือเป็นผลพวงมาจากผมอีกด้วยหรือเปล่าถึงทำให้ท่านเคร่งเครียดขนาดนั้น
“ช่วงนี้โจรชุกชุม เห็นว่าต้องช่วยทางการอีกแรง ว่าแต่ลูกเถอะ พ่อปราชยังโกรธพ่ออยู่หรือไม่”ผมส่ายหน้าปฏิเสธ เพราะตอนนี้ผมว่าผมไม่อยู่ในฐานะที่จะโกรธใครได้หรอกครับ ผมว่ามีแต่ผมเสียด้วยซ้ำต้องถามคำถามนี้กับคนอื่นว่าหายโกรธกับสิ่งที่ผมได้ทำลงไปหรือยัง
“เดี๋ยวพอเสร็จธุระ พ่อกับแม่คงต้องหารือเรื่องสู่ขอ ลูกสาวสักบ้านมาเป็นคู่ครองให้ลูก”ถึงจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ได้ยิน แต่ผมเองก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกไปมากนัก ผมไม่แน่ใจว่านี่ก็เป็นสิ่งที่ผมไม่ควรไปพยายามเปลี่ยนหรือเปล่า เพื่อไม่ให้มีผลกระทบอะไรเพิ่มมากอีก ผมก็ควรจะเออออไปก่อน
“กระผมต้องแต่งงานอีกรอบสินะขอรับ”ผมพยายามพูดเล่นด้วยน้ำเสียงสบายๆ ให้แม่รู้สึกดีขึ้น ซึ่งมันดูไม่ได้ผลเท่าไหร่ แม่เพียงหันมายิ้มขื่นๆ ก่อนจะเดินออกไปเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไรอีก ผมหันมองหน้าเที่ยง คนที่ยังพอจะเข้าหาผมอย่างปกติที่สุดแล้วตอนนี้ แต่ไอ้ท่าทางลุกลี้ลุกลนของเที่ยงนี่อะไรอีกละครับเนี่ย
“คุณปราชเจ้าคะ”ผมเลิกคิ้ว มองสาวใช้คนสนิทว่ามีอะไรอีกหรือเปล่า เมื่อไม่เห็นว่าเที่ยงจะพูดอะไร ผมเลยเดินมุ่งหน้าไปยังห้องนอนของปราง
“คุณปราชจะยอมแต่งงานกับคนที่คุณหลวง ไปสู่ขอให้จริงๆ ใช่ไหมเจ้าคะ”ผมเดินไปนั่งลงที่ข้างเตียงของปราง พร้อมคิดตามสิ่งที่เที่ยงถาม แล้วจึงพยักหน้าเป็นการยอมรับตามสิ่งที่เธอถามมา
“แน่ใจหรือเจ้าคะ”ผมเริ่มไม่เข้าใจกับสิ่งที่เที่ยงกำลังจะสื่อ เพราะเหมือนเป็นการเกริ่นเพื่อนำไปสู่บางอย่าง จริงๆ ที่เธอต้องการจะพูดกับผม มากกว่าจะเป็นการตั้งคำถามธรรมดา
“เอ็งไม่อยากให้ข้าแต่งรึ”ผมแกล้งถามกลับไป เวลาได้คุยกับเที่ยงก็ช่วยให้ผ่อนคลายดีเหมือนกันนะครับ เหมือนได้หลุดออกจากบรรยากาศเครียดๆ บ้าง เที่ยงรีบส่ายหน้าปฏิเสธกับคำถามของผม ผมต้องกลั้นขำกับท่าทีนั้น
“หรือเอ็งอยากแต่งกับข้า”ผมแกล้งแหย่เพราะนึกสนุกที่ได้เห็นท่าทางตกใจของสาวใช้คนสนิท เธอรีบปฏิเสธหนักกว่าเดิมเสียอีก ก่อนจะยื่นกระดาษแผนนึงมาให้ผม ผมรับมาอย่างงงๆ ว่ามันคืออะไร กระดาษที่มีข้อความสั้นๆ อยู่ในนั้น ด้วยภาษาที่เขียนทำให้ผมรู้ได้ในทันทีว่าใครเป็นคนให้กระดาษแผ่นนี้มา
“คุณปราชรับปากเที่ยงได้ไหมเจ้าคะ ว่าจะแต่งงานกับคนที่คุณหลวงหามาให้”เที่ยงบอกกับผมด้วยสายตาเว้าวอน ทั้งที่เธอเองยังไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่ากระดาษแผ่นนี้เขียนว่ายังไง
“เอ็งรู้หรือว่าเดวี่เขียนว่าอย่างไร”หญิงสาวส่ายหน้าปฏิเสธ
“เที่ยงไม่รู้ว่าในนั้นเขียนว่าอย่างไร ที่จริงเที่ยงทิ้งไปเสียยังได้เลยเจ้าคะ แต่ถ้าคุณปราชยืนยันว่าจะยอมแต่งงาน ข้อความในกระดาษแผ่นนี้มันก็คงไม่มีความหมาย เที่ยงก็แค่สงสารคุณเดวี่ ดูท่าทางแกจะไม่ค่อยดีนัก เที่ยงไม่อยากให้คุณปราชกับคุณเดวี่ทำเรื่องไม่ดี แต่มันก็ไม่ใช่ว่าเที่ยงจะเกลียดคุณเดวี่นะเจ้าคะ”เที่ยงเองก็คงลำบากใจมากสินะ เธอเองก็คงกำลังสับสนว่าจะเห็นด้วยกับทางไหน อีกอย่างที่เที่ยงยอมเอากระดาษแผ่นนี้มาให้ผมตามคำขอของเดวี่ ก็คงเพราะอาจรู้สึกผิดที่เป็นคนบอกเรื่องนี้ให้คนอื่นรับรู้จนมันกลายเป็นอย่างตอนนี้
“คุณเดวี่แอบเอามาให้เที่ยงที่วัดเจ้าคะ ไม่ต้องบอกเที่ยงก็ได้เจ้าคะว่าในนั้นเขียนว่าอย่างไร แต่เที่ยงขอให้คุณปราชสัญญาว่าจะยอมแต่งงานตามที่คุณหลวงและคุณหยาดต้องการ”ผมหัวเราะในลำคอ เพราะบอกตามตรงผมว่าเรื่องการแต่งงานหรืออะไรอื่นๆ มันจะทันได้เกิดขึ้นหรือเปล่า ผมมองร่างของปรางที่นอนนิ่งอยู่นี้ เสื้อผ้าที่ปรางใส่ตอนนี้มันช่างเหมือนกับชุดที่ผมเห็นในฝันเป็นประจำเสียเหลือเกิน หรือว่านี่มันคือวันที่จะเกิดขึ้นแล้ว
“เดวี่ขอให้ข้าหนีไปด้วย”ผมบอกออกไปโดยไม่ได้หันไปเธอ
“แต่เอ็งไม่ต้องห่วง ข้าไม่ไปไหนหรอก”ผมไม่ได้บอกไปทั้งหมดว่าคืนนี้เดวี่จะมาหาผมที่ท่าน้ำ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้ ถ้าความฝันของผมมันจะเป็นจริง คืนนี้อาจเป็นคืนสุดท้ายสำหรับผมที่นี่ พรุ่งนี้ผมอาจจะตื่นขึ้นในยุคปัจจุบัน ที่นี่อาจจะเป็นแค่ความฝันเรื่องยาวเรื่องนึงของผม
เหตุการณ์ในห้องนี้ผมฝันจนจำได้แทบทุกอย่างแล้ว ยกเว้นอย่างเดียวคือหน้าตาของคนที่ฆ่าทุกคน หวังว่ามันคงไม่เลวร้ายขนาดว่าเดวี่คือคนๆ นั้นหรอกนะครับ ผมนั่งอยู่ที่ห้องของปรางจนค่ำ มื้อค่ำของวันนี้ผมมีโอกาสได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาทั้งพ่อ ทั้งแม่ ดูๆ ไปมันเริ่มจะใกล้เคียงชีวิตเดิมของผมเข้าไปทุกที พ่อยังคงเย็นชากับผม แม่เองแม้จะยังดูเป็นห่วงเป็นใยผม แต่ก็ซ่อนความผิดหวังในตัวผมไว้ไม่มิด
“ข้าเกริ่นกับหลวงเทิดแล้วนะแม่หยาด ว่าเราจะไปสู่ขอลูกสาวของเขา เขาก็ว่าไม่ติดปัญหาอันใด”ผมยังคงนิ่งฟังโดยไม่ได้แสดงอาการใดๆ สมองผมยังคงคิดถึงแต่เรื่องคืนนี้ว่ามันจะเกิดขึ้นอย่างที่ผมเป็นกังวลหรือเปล่า
“คุณพ่อ คุณแม่ขอรับลูกกราบขอโทษในทุกสิ่งที่ลูกทำไม่ดี ทุกสิ่งที่ทำให้ไม่พอใจ คุณพ่อคุณแม่จะอภัยให้ลูกได้ไหมขอรับ จากนี้ไปลูกยินดีทำตามที่คุณพ่อ กับคุณแม่ต้องการทุกอย่าง ขอแค่อย่างเดียว อย่าเกลียดลูกเลยนะขอรับ”ผมขยับเข้าไปกราบลงบนตกของทั้งคู่ แม้จะทำใจไว้แล้ว แต่พอนึกถึงว่าเหตุการณ์ในฝันจะเกิดขึ้น ผมก็อดที่จะน้ำตาไหลไม่ได้ หากท่านทั้งสองจะต้องตายไป ผมจะยังมีโอกาสได้เจอพวกท่านอีกหรือไม่ ผมจะตื่นขึ้นในยุคปัจจุบันจริงๆ หรือเปล่า
“พ่อกับแม่ไม่เคยเกลียดลูก เพียงแต่เราทั้งคู่ไม่อยากเห็นลูกเดินทางผิด พ่อยอมให้ลูกแต่งกับนังเที่ยง ยกมันมาเป็นเมียแต่งออกหน้าออกตาเสียยังจะดีกว่า ให้เกิดเรื่องเช่นนั้น”ถ้าการที่ผมยอมรับทำตามในสิ่งที่พวกเค้าอยากให้เป็นหรืออยากให้ทำ แล้วมันทำให้พวกเค้าทีความสุข ผมก็ยินดีเพราะจากนี้ผมคงไม่มีโอกาสได้ทำมันอีกแล้ว ทั้งสองลูบหัวผมอย่างรักใคร่
หลังจากทานมื้อค่ำเสร็จผมกลับมาอยู่ที่ห้องของปรางโดยมีเที่ยงตามติดแจ เหมือนกลัวว่าผมจะหายไปไหน ผมได้แต่มองหญิงสาวแล้วรู้สึกใจหาย เธอเป็นอีกคนที่อยู่ในความฝันของผม และต้องจบชีวิตลงด้วยวัยเพียงเท่านี้
“ถ้าเอ็งง่วงก็ไปนอนสินังเที่ยง”เจ้าของชื่อยังคงส่ายหน้าทั้งที่ตาจะปิดอยู่แล้ว แต่เที่ยงก็ฝืนอยู่กับผมจนดึกดื่นไม่ได้ จากคำพูดของหลวงตาทำให้ผมไม่พยายามคิดหาเหตุผล หรือพยายามหาว่าใครจะมาเป็นคนสังหารหมู่ครอบครัวนี้ เพราะการที่ผมทำอะไรลงไป มันต้องไปส่งผลกับบางอย่างแน่นอน
ผมค่อยๆ เปิดประตูอย่างเบามือที่สุด หลังจากเที่ยงเผลอหลับไป กลางดึกแบบนี้ทุกอย่างดูเงียบสงัด แต่แค่เพียงผมก้าวออกนอกประตูห้อง บ่าว 2 คนที่มาเฝ้าผมก็ลุกขึ้นยืนอย่างแข็งขัน ผมหันหลังกลับเข้าไปปลุกเที่ยงเพราะคิดจะทำบางอย่าง บางอย่างที่ผมเองก็รู้ว่าไม่ควรทำ แต่ผมกลับทำตรงข้ามกับเหตุผลที่ควรจะเป็น
“ข้าสัญญาว่าจะไม่ไปไหน แต่เจ้าต้องพาข้าไปท่าน้ำ”ผมบอกกับสาวใช้คนสนิท เที่ยงมีสีหน้าเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด แล้วเธอก็ยอมทำตามที่ผมร้องขอ เธอบอกกับ 2 คนที่เฝ้าว่าผมนอนไม่หลับ อยากไปนั่งรับลมที่ท่าน้ำ และไม่ต้องตามไป ขอให้เฝ้าอยู่ห่างๆ ก็พอ หากมีอะไรเที่ยงที่ไปกับผมจะรีบตะโกนให้ช่วยทันที ทีแรกทั้งคู่ไม่ยอมแต่เที่ยงเข้าไปกระซิบบางอย่างกับทั้งสอง เลยยอมให้ผมกับเที่ยงไปยังท่าน้ำ
“คุณปรา...”ผมต้องรีบเอามือปิดปากเที่ยงทันทีที่ถึงศาลาตรงท่าน้ำ เพราะมีอีกคนที่มารออยู่แล้ว
“ข้าบอกแล้วว่าจะไม่หนีไปไหน ข้าแค่จะมาบอกเค้าว่าไม่ต้องรอแค่นั้น”ผมต้องรีบบอกกับหญิงสาวเพื่อไม่ให้เธอตะโกนเรียกคนอื่นๆ
“คิดแล้วว่าเด็กน้อยต้องมา”เดวี่เดินมาดึงผมเข้าไปสวมกอดทันทีที่ผมปล่อยมือจากเที่ยง ผมรู้แล้วว่าเค้าคงรักปราชมาก แต่ผมละ ผมไม่ใช่ปราช และผมรู้สึกยังไงกับเค้ากันแน่ ผมเองยังตอบตัวเองไม่ได้เลย ผมค่อยๆ จับตัวเค้าขยับออก
“ผมไม่ใช่ปราชที่คุณรู้จัก และผมคงไปกับคุณไม่ได้”ข้อความที่เค้าบอกกับผมคือการหนีไปปารีสกับเค้า ใจนึงจริงๆ ผมก็คิดนะว่าถ้าผมไปกับเค้ามันจะเกิดอะไรขึ้น ผมจะไปได้จริงๆ หรือมันจะมีอะไรมาขัดขวางไว้ แล้วถ้าผมไป คืนนี้จะยังเป็นอย่างที่ผมฝันไหม ที่จริงตั้งแต่วันที่ผมมีอะไรกับเดวี่ ผมก็แทบไม่ฝันอะไรอีกเลย
“เด็กน้อยไม่รักเดวี่หรือ”น้ำเสียงของเค้าแผ่วเบา ถึงผมจะรู้สึกสงสารเค้าทั้งที่ผมเองเป็นคนไขกุญแจให้เค้ายอมรับความรู้สึกของตัวเอง แต่ผมกลับทิ้งเค้าไว้ลำพัง ผมคงเป็นคนที่เห็นแก่ตัวมากสินะ ผมอยากให้สิ่งที่เกิดตรงนี้มันเป็นแค่ความฝันเหลือเกิน
“ผมไม่ใช่คนที่คุณคิดหรอก คุณกลับไปเถอะ ที่ผมมาเจอคุณเพื่อไม่ให้คุณต้องเสียเวลารอผม”สายตาเค้าดูไม่เข้าใจกับการกระทำของผม ส่วนผมเองจริงๆ ถ้าดึงเอาเหตุผลดีๆ มาบอกเค้า เดวี่อาจจะยอมรับได้ง่ายกว่านี้เพราะดูเดวี่ก็ไม่น่าใช่คนไม่มีเหตุผล แต่ผมว่าการให้เค้าเกลียดผมไปเลยมันอาจจะดีกับตัวเค้ามากกว่า
ผมหันมองเที่ยงส่งสัญญาณว่าจะกลับขึ้นเรือน พร้อมหันหลังให้เดวี่ แต่เพียงก้าวแรกที่ผมออกเดิน เดวี่ก็ตามมากอดผมไว้จากด้านหลัง ผมหยุดนิ่งไม่แสดงอาการใดๆ
“บอกมาคำเดียว บอกมาว่าเด็กน้อยไม่เคยรักเดวี่”รักอย่างเหรอ ผมเคยมีความรักให้ใครบ้างล่ะ นอกจากพ่อแม่ ยาย ผมเคยให้สิ่งนี้กับใครอีกบ้าง ความรู้สึกใจหายที่เกิดขึ้นตอนนี้มันคืออะไรกันนะ แต่ผมไม่มีเวลาแล้วนี่มันดึกมากแล้ว เดวี่ควรไปจากที่นี่ก่อนที่ความฝันของผมมันจะเกิดขึ้นจริงๆ
“ผมไม่เคยรักคุณ สิ่งเดียวที่ผมต้องการจากคุณก็แค่เซกส์”ผมบอกออกเสียงเรียบ เค้าค่อยๆ คลายอ้อมกอดออก ผมเดินตรงหาเที่ยงโดยไม่ได้หันกลับไปมองเค้าอีก ผมกับเที่ยงเดินกลับมาเงียบๆ โดยไม่พูดคุยอะไรกัน แต่ดูทุกอย่างมันเงียบจนผิดปกติ ผมเริ่มฉุกคิดว่าหรือนี่จะถึงเวลาแล้ว
“ยิ่งโยมพยายามเปลี่ยน ทุกอย่างมันยิ่งจะแย่ลง”คำพูดของหลวงตาดังก้องเข้ามาในหัวของผมทันที ผมมองไปที่ทางเข้าห้องนอนของปราง ตอนนี้ไม่มีคนเฝ้าอยู่แล้ว มันคงเกิดขึ้นจริงๆ แล้วสินะ
ไม่นานนักร่างผมและเที่ยงก็ถูกคนในความมืดเข้ามาประชิดตัว เที่ยงคงตกใจอย่างมากแต่เธอโดนปิดปากและมีมีดปลายแหลมจ่อที่คอทำให้ไม่กล้าที่จะขัดขืน ส่วนผมเองก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ เราทั้งสองถูกพาไปยังห้องนอนของปรางเหตุการณ์มันดูต่างจากในฝันของผมแล้ว แต่คิดว่าจุดจบของเรื่องนี้มันคงไม่ต่าง
“ปล่อยลูกเมียกูไป มึงแค้นที่กูช่วยทางการตามล่ามึง มึงก็ทำกูคนเดียว”ทันทีที่ผมและเที่ยงเข้าไปในห้องหลวงปราบผู้เป็นพ่อก็หันไปบอกกับคนที่จะ ผมจำมันได้แล้ว มันคือคนที่ผมเจอที่งานวัดครั้งนั้น และที่เพิ่งเจอในวัดอีกครั้งเมื่อกลางวัน ผมเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราว ว่าทำไมครอบครัวของผมถึงต้องโดนฆ่ายกครัวแบบนี้ ทุกคนต้องมาตายเพียงเพราะโจรชั่วคนเดียวนี่สินะ ผมค่อยๆ หลับตาลงเพราะเหตุการณ์ต่อจากนี้มันอยู่ในฝันของผมมานับไม่ถ้วน
น้ำตาของผมค่อยๆ ไหลรินออกมา แม้ผมจะร้องไห้กับเหตุการณ์นี้มาหลายครั้งแล้วแต่ทุกครั้งพอตื่นขึ้นมา มันก็เป็นแค่ฝันร้ายของผม ส่วนครั้งนี้มันคือฝันร้ายที่กลายเป็นจริงแล้ว ผมไม่อยากจะรับรู้อะไรอีกแล้ว
“ลืมตาขึ้นมาสิ เจ้าจะได้รู้ว่าความสูญเสียจริงๆ มันเป็นเช่นไร”เสียงกระซิบข้างหูผมพร้อมกับมือเรียวที่สัมผัสหน้าผม หนังตาผมกำลังถูกดึงขึ้น ผมได้แต่พยายามขัดขืนและไม่เข้าใจ ทำไมปรางถึงอยากให้ผมมาเผชิญกับเหตุการณ์นี้ ตอนนี้เหมือนผมหลุดออกมาเป็นผู้เฝ้ามองเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว ภาพความโหดร้ายทารุณที่ไอ้โจรชั่วกำลังทำกับครอบครัวของผม ยิ่งพวกเค้าเจ็บปวดเท่าไหร่ ผมเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน สีหน้าทุรนทุรายของทุกคนติดตาของผมจนคิดว่าผมคงลบจากความทรงจำไปไม่ได้
ภาพมันชัดกว่าทุกครั้ง พ่อ แม่ เที่ยง ทุกคนเจ็บปวดและแน่นิ่งไปในที่สุด รวมถึงตัวของปราชเอง เสียงของปรางยังคงพูดซ้ำไปซ้ำมาข้างหูผม ผมอยากจะบอกเหลือเกินว่าผมรู้แล้วว่าการสูญเสียมันเจ็บปวดขนาดไหน แต่ที่ไม่เข้าใจในตอนนี้คือปรางอยากเห็นผมเจ็บปวดอย่างนี้ทำไม
“ค่อยๆ มองไปรอบๆ แล้วเจ้าจะเข้าใจ”เสียงกระซิบสุดท้ายก่อนจะกลายเป็นเสียงหัวเราะอย่างสะใจ ผมค่อยๆ หันไปมองรอบๆ มองไปทางไหนก็เห็นแต่ทุกคนนอนจมกองเลือด
“ปัง”เสียงกระสุนดังขึ้นก่อนที่ความเจ็บปวดจะเริ่มแล่นเข้ามาในความรู้สึกของผม เดวี่สายตาผมหันไปสบตากับเดวี่ เค้ายิงผมทำไม ร่างผมค่อยๆ ล้มลงใบหน้าที่กองอยู่ตรงหน้าผม มันก็คือใบหน้าของผมเอง ไม่สิมันคือใบหน้าของปราชสินะ ผมเริ่มแน่นิ่งขยับตัวไม่ได้แล้ว ร่างของปราชถูกดึงขึ้นไป เดวี่สินะที่ดึงร่างของปราชขึ้นไป ผมเข้าใจแล้ว ผมเข้าใจแล้ว กล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ตกลงมาที่หน้าผม
“ข้าขอให้เจ้าจมอยู่กับความเจ็บปวด อย่าได้รับความรักจากผู้ใด”เสียงหัวเราะของปรางดังก้องขึ้นมาอีกครั้ง นี่สินะสาเหตุที่ปรางพาผมมาที่นี่ ไม่ใช่ว่าผมคือปราช แต่ผมคือคนชั่วที่ฆ่าพวกเค้าทั้งครอบครัว และก็คงเพราะเหตุนี้สินะ พ่อแม่ถึงไม่เคยรักผม มันก็สมควรแล้ว พวกท่านจะรักผมได้ยังไง ดวงตาผมค่อยๆ ปิดลง แต่ภาพเหตุการณ์นี้คงยากจะลบไปจากความทรงจำของผม
TBC