คำตอบที่ว่างเปล่า บทที่ 22 บทสรุป [ตอนจบ-END] 23-06-17
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: คำตอบที่ว่างเปล่า บทที่ 22 บทสรุป [ตอนจบ-END] 23-06-17  (อ่าน 24588 ครั้ง)

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
 :oo1:ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ 

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.เรื่องสั้นให้จั่วคนว่าเรื่องสั้นด้วยนะครับ และนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-06-2017 16:42:48 โดย norita_boyV2 »

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
Re: คำตอบที่ว่างเปล่า บทนำ 12-07-16
«ตอบ #1 เมื่อ12-07-2016 16:36:40 »

คำตอบที่ว่างเปล่า
เปิดเรื่อง 07-05-16




บทนำ
เสียงดนตรีที่ดังกระหึ่มกระทบโสตประสาทจนจังหวะการเต้นของหัวใจของผมเร็วและแรงขึ้นตามจังหวะของเสียงเพลง เครื่องดื่มสีอำพัน แก้วแล้วแก้วเหล่าถูกส่งผ่านลำคอของผม หวังเพียงแค่ให้มันได้ขจัดความเหงาในใจของผม ทั้งที่มีผู้คนมากมายอยู่รอบตัว แต่วันนี้ผมกลับรู้สึกเหมือนไม่เหลือใครอีกแล้ว คนเดียวที่เหมือนจะเห็นว่าผมสำคัญ ได้จากผมไปอย่างไม่มีวันกลับมาอีกต่อไป

วันนี้ผมเพิ่งได้ไปส่งหนึ่งคนที่ผมรักให้ไปสู่สุขคติ ผมเข้าใจดีว่าเกิดแก่ เจ็บ ตาย มันเป็นสิ่งที่ทุกคนคงหนีไม่พ้น และยายของผมเองก็อายุ ล่วงเลยมาจน 70 กว่าปีแล้ว ท่านก็คงฝืนสังขารต่อไปไม่ไหว แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมโลกนี้ถึงได้ปล่อยให้ผมเผชิญโลกนี้ต่อไปเพียงลำพัง มันช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย แต่ก็อีกนั่นแหละ ถ้ามีใครที่รู้จักผมมาได้ยินว่าผมตัดพ้อโชคชะตาแบบนี้ ผมอาจจะโดนหมั่นไส้หรือโดนเกลียดก็เป็นได้ เพราะในสายตาคนอื่น คงมองว่าผมมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ น่าอิจฉา

ผมเกิดมาเป็นลูกชายคนเดียวในครอบครัวที่มีทั้งพ่อและแม่ ที่เป็นเจ้าของกิจการโรงแรมซึ่งมีหลายสาขาในประเทศ พอได้รู้แบบนี้หลายๆ คนอาจจะคิดว่าผมคงมีปัญหาเหมือนลูกคนมีตังค์ทั่วๆ ไป ที่ขาดความรักความอบอุ่นเพราะพ่อแม่เลี้ยงด้วยเงิน จริงๆ มันก็ไม่ถูกและไม่ผิดเสียทีเดียว ผมยอมรับว่าเป็นคนขาดความรักความอบอุ่น แต่พ่อแม่ของผมก็ไม่ได้บ้างานจนลืมลูกอย่างผม ไม่ได้สักแต่ให้เงินผมอย่างเดียว

ตรงกันข้าม พ่อกับแม่มีเวลาว่างให้กับผมเสมอ แม้หลักๆ แล้วยายจะเป็นคนเลี้ยงผมมาก็เถอะ แต่พ่อกับแม่ก็อยู่ในทุกช่วงชีวิตของผม ให้คำแนะนำ คำปรึกษา คำสอน เหมือนพ่อแม่พึงจะมีให้กับลูก แต่ทุกอย่างที่พ่อแม่ผมทำ ผมกลับสัมผัสได้แค่ความเย็นชา ทั้งคู่ทำเหมือนกับว่าพวกเค้าต้องทำตามหน้าที่ ซึ่งผมก็อธิบายไม่ถูกว่ามันเป็นยังไง มันไม่ใช่การฝืนใจทำ แต่ไม่ว่ายังไงผมก็ไม่เคยรู้สึกว่าได้ความรักจากผู้ให้กำเนิดทั้งสองเลย

ตั้งแต่ผมจำความได้ ผมไม่เคยได้รับการกอด หรือหอม จากพ่อกับแม่เลย ซึ่งจริงๆ นี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นให้ผมรู้ขาดมาจนทุกวันนี้ก็เป็นได้ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่พ่อกับแม่ผมไม่ทำ ผมจะได้รับชดเชยจากผู้เป็นยายเสมอ จนบางครั้งผมเองต้องแกล้งว่าไม่รู้สึกอะไรที่ไม่ได้รับการปฏิบัติจากพ่อแม่เหมือนเด็กคนอื่น เพราะผมเคยร้องไห้ต่อหน้ายายตอนอนุบาลที่เห็นเพื่อนคนอื่นมีพ่อแม่มาส่งที่โรงเรียนแล้ว พ่อแม่ของเพื่อนๆ กอดหรือหอมแก้ม เพื่อร่ำลา ในขณะที่ผม แม้ทั้งพ่อและแม่จะเป็นคนมาส่งผมเองทุกวัน ทั้งสองก็ทำเพียงจูงมือผมมาส่งให้กับคุณครูเท่านั้น

หลังจากที่ผมร้องไห้ในวันนั้น ผมแอบเห็นยายทะเลาะกับแม่เพราะเรื่องของผม ผมเห็นยายร้องไห้แทบจะยกมือไหว้แม่ของผม เพื่อขอร้องให้แม่ของผมทำในสิ่งที่ผมต้องการ ผมเห็นแม่ผมร้องไห้ห้ามยาย และก้มลงกราบ เพราะไม่อยากอายุสั้นที่ยายไปไหว้แม่ แม่ผมเอาแต่พูดว่าทำไม่ได้ ทำไม่ได้ จากวันนั้นแม่มักจะถามผมว่าต้องการกินอะไร ทำอะไรหรือไปเที่ยวเล่นที่ไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า ผมรู้ว่านี่คือสิ่งที่แม่พยายามจะชดเชยให้ผม แม้ผมจะไม่เคยแสดงความน้อยใจใดๆ ให้ยายเห็นอีก เพราะไม่อยากเห็นยายร้องไห้อีก แต่ผมก็ยังเก็บคำถามไว้ในใจเรื่อยมาว่าทำไม ทำไมพ่อกับแม่ถึงให้ความรักกับผมไม่ได้

พอเริ่มเรียนในระดับประถม ยายมักจะสอนผมเสมอว่าถ้าเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียนแล้วพ่อแม่จะรัก ผมทำตามคำสอนของยายด้วยการเรียนได้คะแนนในอับดับ 1 แทบทุกอย่าง ผมไม่งอแงไม่เกเร ครูอาจารย์ทุกคนชื่นชมผมแต่พ่อกับแม่ผมกลับกล่าวชมเชยเหมือนกับว่าเป็นหน้าที่ที่เค้าต้องชื่นชมผม ผมยังคงคิดว่าหรือนั่นผมยังทำได้ไม่ดีพอ ผมเริ่มมุ่งมั่นเรียนให้ดีขึ้น รวมทั้งการเรียนรู้สิ่งอื่นๆ ที่คิดว่าจะทำให้พ่อกับแม่หันมาชื่นชมผมด้วยความรักบ้าง ไม่ว่าจะดนตรี กีฬา ศีลปะ การต่อสู้ ผมเพียรพยายามทุกอย่าง เพียงเพื่อหวังผลว่าจะได้รับในสิ่งที่ต้องการ

ตอนเรียนมัธยมผมเรียนได้ 4.00 ทุกเทอม ผมเรียนภาษา เพิ่มทั้ง อังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน จีน ญี่ปุ่น จนเรียกได้ว่าผมสื่อสารภาษาเหล่านั้นได้คล่องแคล่ว เหมือนเจ้าของภาษา เพราะด้วยอำนาจเงินที่พ่อกับแม่ของผมมี มันไม่ยากเลยที่จะจ้างเจ้าของภาษามาสอนผมเป็นการส่วนตัว  รวมถึงการได้ไปใช้ชีวิตในบ้านเมืองของเจ้าของภาษานั้นๆ ในช่วงการปิดเทอมของผม ผมสอบเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัยด้วยคะแนนอันดับ 1 ของคณะที่คิดว่าเรียนจบแล้วจะได้นำมาช่วยกิจการธุรกิจของที่บ้าน ผมเรียนจบปริญญาตรีด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 และไปเรียนต่อปริญญาโท ที่สหรัฐอเมริกา จนจบมาทำงานช่วยกิจการของที่บ้าน ทั้งหมดนั้นคนที่ชื่นชมผมจากใจจริง คงมีแต่ยายเท่านั้นแหละครับ

“พ่อกับแม่เค้าคงไม่อยากให้ปอนด์เหลิงแหละลูก ยายว่าพ่อกับแม่เค้าก็ภูมิใจในตัวปอนด์มากแหละลูก”นี่คือสิ่งที่ยายมักจะใช้ปลอบผม และผมชอบนอนหนุนตักยายให้ยายลูบหัว ทุกครั้งที่ผมทำอะไรสำเร็จคนที่ผมจะรีบอวดคือพ่อกับแม่ผม แต่ทุกครั้งผมก็ต้องผิดหวัง เพราะมันเหมือนผมยังดีไม่พอ ดีไม่พอให้พ่อกับแม่รัก และพอผิดหวังผมก็จะมาหายาย แม้ผมไม่เคยพูดออกมาว่าน้อยใจ แต่ยายก็คงรับรู้ได้เสมอมา และผมก็ยังคงได้รับการปฏิบัติเช่นเดิมเรื่อยมา

“ยายรู้ว่าปอนด์ไม่เข้าใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ แต่ยายเชื่อว่าวันนึงปอนด์จะเข้าใจพ่อกับแม่เค้านะลูก”เพราะประโยคนี้ของยายมันทำให้ผมเริ่มดื่มแอลกอฮอล์ ลองบุหรี่บ้าง และเรื่องเซกส์ ผมมองเรื่องเซกส์เป็นสิ่งบำบัดความขาดที่ผมมี และผมไม่เคยมีความสัมพันธ์ที่ยืนยาวกับใครเลย แม้จะไม่ได้เสียการเสียงาน แต่ผมก็เริ่มเที่ยวกลางคืนหนักขึ้น เพราะคำพูดของยายทำให้ผมคิดไปว่าหรือผมไม่ใช่ลูกของพ่อกับแม่ จริงๆ เรื่องนี้มันผุดขึ้นมาในหัวผมตั้งนานแล้ว เพียงแต่ผมกลัว กลัวว่าถ้าสิ่งที่ผมคิดเป็นจริงขึ้นมาผมจะยอมรับได้รึเปล่า

ผมคิดถึงความจะเป็น ไปในหลายทางมากว่าจริงๆ ผมเป็นเด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยง หรือเป็นลูกของพ่อหรือแม่แค่เพียงคนใดคนนึง มันถึงทำให้พวกเค้ารักผมได้ไม่เต็มที่แบบนี้ และแล้ววันนึงผมก็ทนความสงสัยไม่ไหว ผมถึงขั้นวางยานอนหลับพ่อกับแม่ เพื่อเก็บเนื้อเยื่อจากกระพุ้งแก้ม ไปตรวจ DNA จริงๆ แม้จะเสียใจแต่ผมก็ยังหวังลึกๆ ว่าผมจะไม่ใช่ลูกของใครสักคนในสองคนนี้ แต่สิ่งที่ผมได้รับรู้ในวันที่ผมไปรับผลคือ ผมเป็นลูกแท้ๆ ของพ่อกับแม่ นั่นมันยิ่งทำให้ผมไม่เข้าใจว่าทำไมทั้งสองถึงทำเหมือนไม่สามารถรักผมได้ หรือผมเป็นลูกที่เกิดมาโดยไม่ได้ตั้งใจ มันก็ไม่น่าจะใช่ เพราะผมก็เกิดมาในตอนที่ดูทั้งพ่อและแม่พร้อมมีครอบครัว และทั้งสองก็รักกันดี ไม่ใช่แบบที่ถูกบังคับให้แต่งงานกันแน่อย่างใด

ยอมรับเลยว่าวันที่ผมรู้ผล DNA ผมร้องไห้จนแทบไม่เหลือน้ำตา มันแปลกที่ครั้งแรกผมกลัว กลัวที่จะได้รู้ว่าตัวเองไม่ใช่ลูกที่แท้จริงของพวกเค้า แต่พอรู้ว่าจริงๆ ผมก็เป็นลูกพวกเค้านั่นแหละ ผมกลับยิ่งเสียใจ และยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นเมื่อผมได้รับการยอมรับจากทุกๆ คนรอบข้าง ทั้งความรักความชื่นชม ไม่ว่าจะจากพนักงานที่โรงแรม เพื่อนๆ ผม เพื่อนๆ ของพ่อแม่ผม แต่เพียง 2 คน แค่ 2 คนที่ผมต้องการ เค้ากลับไม่เคยให้สิ่งนั้นกับผมเลย สิ่งยึดเหนี่ยวเพียงหนึ่งเดียวที่ผมมีก็คือยาย และวันนี้ยายก็จากผมไปแล้ว จากนี้ไปผมก็คงต้องใช้ชีวิตเพียงลำพัง

ผมรู้สึกสมเพชชีวิตตัวเองอย่างบอกไม่ถูก ชีวิตที่ใครๆ หลายคนมองมาอาจจะอิจฉา แต่ใครจะรู้บ้างว่าแท้จริงผมรู้สึกยังไง ผมพ่นลมหายใจออกไปแรงๆ ก่อนจะสั่งเหล้าเพิ่มอีกแก้วแล้วแก้วเล่า

“เจ้าต้องชดใช้ในสิ่งที่เจ้าทำ”เหมือนมีคนมากระซิบข้างหูจนผมต้องหันไปมอง แต่ก็พบว่าไม่มีใครอยู่ข้างๆ ผม รอบข้างเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังสนุกสนานกับเสียงเพลง และอารมณ์กำลังดำดิ่งด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ผมสะบัดหัวเพื่อไล่อาการมึนเมา เพราะคิดว่าฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ทำให้ผมหูแว่ว ไป ผมตัดสินใจลุกออกจากพื้นที่ตรงนี้ เพราะคิดว่าวันนี้คงเพียงพอแล้วสำหรับการดื่มของผม นี่ก็เกือบจะตี 2 แล้ว ผมเดินคนใครสักคนแต่ผมก็ไม่ได้หันไปมอง ทำเพียงโบกมือเป็นเชิงขอโทษแค่นั้น เพราะคนเยอะๆ แบบนี้มันก็ต้องมีการเบียดกันเป็นธรรมดา ไม่มีใครถือสาอะไรอยู่แล้ว

“ครับแม่”ผมกดรับสายที่โทรเข้ามา นี่เป็นครั้งแรกที่แม่โทรหาผมตอนดึกแบบนี้ ปกติคนที่จะโทรตามผมในเวลาแบบนี้ก็คือยายนั่นเอง คิดแล้วนี่ก็เป็นอย่างนึงที่ผมเสียใจ เพราะทำให้ยายเป็นห่วงตลอดนี่แหละครับ ยายก็อายุมากแล้ว แต่ผมกลับยังทำให้ยายเป็นห่วงเสมอ

“จะกลับรึยังลูก”อยู่ๆ น้ำตาผมก็ไหลออกมา มันไหลออกมาเพราะความสมเพชตัวเอง น้ำเสียงที่แม่ถามไถ่ผมมันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกสักนิดว่าเค้าห่วงผม เค้าแค่กำลังทำตามหน้าที่ หน้าที่ที่ยายไม่อยู่ทำแล้ว เค้าเลยต้องเป็นคนมาทำต่อ

“กำลังจะกลับแล้วครับ รอแทกซี่อยู่”ผมพยายามกลั้นน้ำตาและพยายามคุมเสียงไม่ให้สั่น นี่พระเจ้าจะให้ผมมีชีวิตแบบนี้ต่อไปอีกนานแค่ไหนกันนะ

“แม่รอนะ รีบกลับมาล่ะ”นี่เป็นประโยคที่คล้ายๆ กันของแม่กับยายผม แต่มันให้ความรู้สึกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เมื่อก่อนที่ยายเป็นคนพูดผมจะรู้สึกอุ่นใจทุกครั้งว่ายังมีใครรอให้ผมกลับบ้าน แต่วันนี้สิ่งที่ผมได้ยินมันกลับให้ความรู้สึกแค่ว่ามีคนอยากรู้ว่าผมยังไม่ได้เป็นอะไรไป แต่อยากจะไปทำอะไรที่ไหน เค้าก็คงไม่ได้ใส่ใจอะไร

“แม่ครับ ผมรักแม่นะครับ”มันก็คงเหมือนทุกครั้งที่ผมพูดออกไปแบบนี้ ผมไม่รู้ว่าเค้ารับรู้บ้างรึเปล่าว่า ผมรักเค้ามากขนาดไหน เสียงสัญญานบอกให้รู้ว่าแม่วางสายไปแล้ว เค้าแทบไม่ได้ยินดี ยินร้ายกับคำที่ผมบอกไป แถมไม่มีการพูดอะไรที่มันสามารถเยียวยาจิตใจที่บอบช้ำของผมตอนนี้บ้างเลย ทั้งที่เค้าก็รู้ว่าผมกำลังเสียใจกับการจากไปของยายขนาดไหน

ผมขึ้นรถแทกซี่ด้วยใจที่ห่อเหี่ยวความผิดหวัง ความเสียใจมันถาโถมเข้ามาจนผมแทบจะแบกรับไว้ไม่ไหว ผมอ่อนแอเหลือเกิน ยายครับ หลานยายคนนี้ที่ยายเคยบอกว่าเข้มแข็งที่สุดในโลก ความจริงผมแค่แกล้งเข้มแข็งให้ยายเห็นเท่านั้นแหละครับ ทั้งที่จริงผมอ่อนแอเหลือเกิน ผมเลือกที่จะเปลี่ยนที่หมายบอกกับพี่แทกซี่ จากตอนแรกที่คิดว่าจะกลับบ้าน แต่ผมเปลี่ยนเป็นบอกชื่อโรงแรมให้กับแทกซี่แทน  แล้วผมก็ค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง คงเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ มันทำให้ผมหลับไป ผมหลับไปนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ แต่ตอนนี้รู้สึกสะลึมสะลือ เหมือนมีคนกำลังลากผมอยู่ ผมลืมตาขึ้นมาแต่เหมือนมีเพียงความมืดอยู่รอบกาย

“เร็วๆ สิวะเดี๋ยวแม่งก็ตื่นหรอก”เสียงพูดคุยทำให้ผมต้องตั้งสติว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น ร่างผมเหมือนกำลังลอยเหนือพื้น มีหนึ่งคนยกขาผม ส่วนอีกคนหิ้วปีกผม ถ้านี่เป็นเวลาปกติผมคงสะบัดและใช้วิธีการป้องกันตัวที่ร่ำเรียนมาลุกขึ้นต่อสู้แล้ว แต่นี่เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ ทำให้ผมแทบไม่มีเรี่ยวแรง นี่ผมดื่มเข้าไปมากขนาดไหนกันนะ  แต่สมองผมก็พยายามประมวลผลกับสิ่งที่เกิดขึ้น ผมขึ้นแทกซี่มา นั่นหมายความว่าผมอาจกำลังโดนแทกซี่ลอกคราบก็เป็นได้ พอคิดได้ดังนั้น ผมก็เริ่มดิ้นเพื่อให้หลุดจากทั้งสองคนที่กำลังยกร่างผมอยู่

โดยหวังว่าเรี่ยวแรงและสิ่งที่ผมเคยได้ร่ำเรียนมาจะช่วยให้ผมจัดการกับมิจฉาชีพที่พยายามจะลอกคราบผม แต่ผมคงประเมินฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ต่ำไป

“เชี่ยมึงทำอะไรเนี่ย เดี๋ยวแม่งก็ตายหรอก”มันเหมือนแค่เสียงแว่วๆ เข้ามาในหัวผม แต่เหมือนมีอะไรแข็งๆ มากระแทกที่หัวผม มันกระแทกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมเริ่มสำนึกได้ว่านี่ผมคงไม่รอดแล้ว ก็ดีเหมือนกัน ผมอาจจะได้ไปอยู่กับยายแล้ว หรือพระเจ้าสงสารผมจนไม่อยากให้ผมมีชีวิตอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว งั้น ถ้าผมจะตายในวันนี้ผมก็คงไม่เสียใจแล้ว ผมค่อยๆ หลับตาลงช้าๆ และสติผมก็ค่อยๆ เลือนหายไปเรื่อยๆ

“เจ้าต้องชดใช้ในสิ่งที่เจ้าทำ”นั่นคือสิ่งที่ผมได้ยินเป็นสิ่งสุดท้าย



ฝากเรื่องใหม่ให้ติดตามครับ

เป็นแนวที่ยังไม่เคยเขียน เรียกว่าเขียนเอาสนุก สนองความอยากอ่านตัวเองล้วนๆ

ยังไงติชมได้นะคร๊าบบ

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: คำตอบที่ว่างเปล่า บทนำ 12-07-16
«ตอบ #2 เมื่อ12-07-2016 16:58:10 »

แล้วทำอะไรล่ะ สงสัยจัง ดูแล้วก็ไม่ได้เบียดเบียนใครนี่นา นอกจากโหยหาความรักความใส่ใจจากพ่อแม่มาก ๆ เท่านั้น
หรือจริง ๆ แล้วยังมีอะไรซับซ้อนกว่านี้อีก

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
Re: คำตอบที่ว่างเปล่า บทนำ 12-07-16
«ตอบ #3 เมื่อ13-07-2016 08:19:00 »

บทที่ 1
ชีวิตใหม่


ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้น เพราะรู้สึกปวดหัวอย่างหนัก เท่าที่ผมจำได้คือผมน่าจะโดนแทกซี่ปล้น แต่นี่แสดงว่าผมยังไม่ตาย ผมพยายามมองไปรอบๆ ตัว แต่รู้สึกไม่คุ้นเคยกับสิ่งรอบตัวแม้แต่น้อย ข้างๆ ผมมีหญิงสาวหนึ่งคนที่เหมือนกำลังนอนหลับอยู่ถัดจากผมไป ผมเริ่มแปลกใจว่านี่คือที่ไหนกันแน่ นี่พ่อแม่ผมยังไม่เจอผมเหรอ นี่คือโรงพยาบาลรัฐหรือเปล่านะที่ทำให้ผมต้องนอนในห้องรวมของโรงพยาบาล แบบนี้

ว่าแต่นี่มันโรงพยาบาลที่ไหนกัน ทำไมเสื่อผ้าที่ผมใส่ถึงได้ดูแปลกๆ ขนาดนี้ ผมเริ่มหันมองรอบๆ ตัว ทุกอย่างดูแปลกตาไปเสียหมด ทั้งการตกแต่งห้อง หรือข้าวของเครื่องใช้ มันดูไม่เหมือนข้าวของทุกวันนี้ หรือรสนิยมของเจ้าของที่นี่จะชอบของเก่างั้นเหรอ ผมลุกขึ้นนั่ง ยังรู้สึกมึนๆ หัวอยู่ ผมก้มลงมองเสื้อผ้าของตัวเอง เสื้อผ้าที่ดูแปลกตาไป

“เพล้ง”เสียงของวัตถุบางอย่างตกกระทบพื้น ผมหันไปตามเสียงนั้น ซึ่งมันกลับยิ่งทำให้ผมประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม เพราะสิ่งที่เห็นคือเด็กสาวคนนึงซึ่งน่าจะอายุยังไม่ถึง 20 นุ่งโจงกระเบน พร้อมด้วยผ้าแถบพันรอบอก เธอจ้องมองผมตาเบิกกว้างด้วยความตกใจก่อนจะรีบวิ่งเข้ามาหาผม

“คุณปราช คุณปราชฟื้นแล้วจริงๆ ใช่ไหมเจ้าคะ”หญิงสาวเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น แต่มันยิ่งทำให้ผมมึนงงเข้าไปอีก ทั้งชื่อที่เธอเรียกผม นั่นก็ไม่ใช่ชื่อผม ไหนจะคำพูดลงท้ายแปลกๆ นั่นอีก

“อืม”ผมเพียงตอบรับสั้นๆ เพราะยังไม่เข้าใจกับสิ่งเห็นตรงหน้า นี่มีใครเล่นตลกอะไรกับผมหรือเปล่า หรือนี่ผมกำลังฝันอยู่ แต่ทุกอย่างมันดูจริงเกินไป

“คุณหลวงกับคุณหยาดต้องดีใจมากแน่ๆ ที่คุณปราชฟื้นแบบนี้ คุณปราชอย่าเพิ่งลุกไปไหนนะเจ้าคะ เดี๋ยวเที่ยงขอไปตามนายฝรั่งก่อน”เธอสั่งห้ามผมที่กำลังทำท่าจะลุก ก่อนเธอจะรีบวิ่งออกไป ไม่นานนักเธอกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับผู้ชายอีกคน ผู้ชายชาวต่างชาติ อายุน่าจะราวๆ 50 กว่าๆ  เห็นจะได้ ดูจากท่าทางแล้วน่าจะเป็นหมอ สังเกตได้จากอุปกรณ์ที่เค้าถือเข้ามา

“รู้สึกอย่างไรบ้าง”สำเนียงภาษาไทยแปร่งๆ เปล่งออกมา หลังจากเค้าจับชีพจรผมดู

“ที่นี่ที่ไหน”ผมไม่ได้ตอบคำถามของหมอต่างชาติคนนี้ แต่ผมตั้งคำถามกลับไปเป็นภาษาอังกฤษ เพราะคิดว่าน่าจะสื่อสารกับเค้าได้ง่ายกว่า การให้เค้าลำบากใช้ภาษาไทยแปร่งๆ นี่

“ที่นี่คือบ้านของผม และส่วนนี้คือส่วนที่ไว้รักษาคนป่วย”เค้าตอบผมกลับมาด้วยภาษาอังกฤษ เช่นกัน แต่ฟังจากสำเนียงแล้วเค้าไม่น่าจะใช่คนอังกฤษ ถ้าให้เดาผมว่าเค้าน่าจะเป็นคนฝรั่งเศสเสียมากกว่า แต่นั่นไม่ใช่คำตอบที่ผมต้องการ เพราะสิ่งที่ผมอยากรู้ในตอนนี้คือ ตอนนี้ผมอยู่ส่วนไหนของโลก ทำไมทุกอย่างมันดูแปลกประหลาดไปหมดแบบนี้

“ปราช พ่อปราชเป็นยังไงบ้างลูก”แม่ แม่ผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แถมยังแต่งตัวแปลกๆ นี่อีก แม่พุ่งตรงมาที่ผมก่อนจะสวมกอดผมอย่างรักใคร่  ผมได้ยินเสียงสะอื้นเบา เบาของแม่ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมสัมผัสได้เต็มๆ คือ อ้อมกอดนี้มันช่างอบอุ่นเหลือเกิน อ้อมกอดที่ผมโหยหามาตลอด น้ำใสๆ คงเริ่มไหลจากตาผมแล้ว ผมแทบจะอธิบายความรู้สึกนี้ไม่ถูก มันตื้นตันไปหมด หากนี่มันคือความฝัน ผมก็ขอไม่ตื่นจากฝันนี้ ขออยู่ในโลกแห่งความฝันแห่งนี้ตลอดไป

“ร้องทำไมลูก เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”แม่รีบจับตัวผมพลิกไปมา พร้อมกับใช้มือเช็ดน้ำตาบนหน้าผม ผมส่ายหน้าปฏิเสธว่าไม่เป็นอะไร แต่น้ำตามันก็ยังไม่ยอมหยุดไหล นี่สินะสิ่งที่ผมเฝ้ารอมานานแสนนาน

“แม่หยาดกอดลูกแรงไปหรือเปล่า ลูกเลยเจ็บจนร้องเนี่ย”อีกหนึ่งคนที่เข้ามาลูบหัวผมแผ่วเบา มันเป็นสัมผัสเพียงน้อยนิด จากพ่อ แต่ผมกลับรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ผมยิ่งร้องไห้หนักขึ้นไปอีก จนทุกคนตกใจ ผมรู้สึกอิ่มเอมจนเกือบลืมไปว่านี่ผมยังไม่รู้เลยว่าผมอยู่ที่ไหน ถึงตอนนี้ผมพอจะเดาออกแล้วว่ามันไม่น่าใช่โลกแห่งความเป็นจริงที่ผมเคยอยู่ แต่ต่อให้มันเป็นสิ่งลี้ลับหรือปาฏิหารย์อะไรก็แล้วแต่ ขอให้ผมได้อยู่ที่นี่ตราบนานเท่านาน

“นี่วันที่เท่าไหร่แล้วครับ”ผมเอ่ยถามออกไป แต่ทุกคนดูแปลกใจกับคำพูดของผมไม่น้อย

“ครับอะไรกันพ่อปราช นี่หลับไป เดือนนึงนี่พูดขอรับผิดแล้วเหรอลูก”หลับไปเดือนนึง จริงสิทุกคนที่นี่เรียกผมว่าปราช แล้วปราชนี่คือใคร เค้าคือผมเอง หรือเค้าคือคนอื่น

“วันนี้ ขึ้น 14 ค่ำเดือน 7 ปีมะเส็ง รัตนโกสินสิทร์ศก 76 เจ้าคะคุณปราช”หญิงสาวที่ชื่อเที่ยงเป็นคนตอบคำถามแรกของผม รัตนโกสินทร์ศกงั้นเหรอ สมองผมเริ่มประมวลผล ค่อยๆ ระลึกเรื่องราวที่เคยร่ำเรียนมา ถ้าปีนี้คือ ร.ศ.76 ตอนนี้ก็ต้องเป็นปี พ.ศ. 76+2324 ปี พ.ศ.2400 งั้นเหรอ นี่ผมตื่นมาในยุค รัชกาลที่ 4 อย่างงั้นเหรอ แม้จะยังไม่เข้าใจว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกับผม ทำไมผมถึงตื่นมาที่นี่ แต่ผมก็คงเก็บความแปลกประหลาดใจนี่ไว้ ก่อน เพราะถ้าพูดไปคงไม่มีใครเชื่อผมเป็นแน่ ใครจะเชื่อว่าผมมาจากอนาคตที่ห่างจากที่นี่กว่า 150 ปี

“นี่ผม เอ่อ กระผมหลับไปเดือนนึงหรือขอรับ แล้วทำไมลูกถึงหลับไปละขอรับ”ผมเอ่ยถามในสิ่งที่สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายนี้ แต่ทุกคนดูมีสีหน้าตกใจในคำถามของผม

“ลูกจำไม่ได้เหรอ ว่าลูกกับพี่สาวของลูกเจอพายุฝนจนเรือคว่ำ”ผมส่ายหน้าปฏิเสธ ก็แน่ละผมจะไปจำอะไรได้ที่ไหน ผมเพิ่งตื่นขึ้นมาในที่แห่งนี้ เรียกได้ว่าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับที่นี่เลยจะถูกกว่า

“ลูกจำอะไรได้บ้าง”ผมส่ายหน้าปฏิเสธ ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ทุกคนยิ่งตกใจ ต่างรีบซักไซร้ผม ที่ผมจำอะไรไม่ได้เลย ผมบอกกับทุกคนว่าผมจำอะไรไม่ได้เลย แม้กระทั่งชื่อของพ่อกับแม่ สิ่งเดียวที่จำได้คือหน้าพ่อกับแม่ ทุกคนต่างเป็นกังวลกับความทรงจำของผม แต่สำหรับผมน่าจะเป็นการเริ่มต้นที่ดี เริ่มต้นชีวิตใหม่ของผม จากนี้ไปผมคือปราช ไม่ใช่ปอนด์อีกต่อไป

“ตกลงทำไมลูกกระผมกลายเป็นแบบนี้ไปได้ละขอรับหมอเดนนิส”หลวงปราบหรือก็คือพ่อของผมในตอนนี้เอ่ยถามกับคุณหมอชาวต่างชาติ ตอนนี้ผมได้รับรู้ชื่อของบุคคลที่อยู่ในห้องนี้เกือบครบแล้ว พ่อผมชื่อหลวงปราบ ส่วนแม่คือคุณหยาด หมอชาวต่างชาติท่านนี้ชื่อคุณหมอเดนนิส และอีกหนึ่งสาวใช้นั่นชื่อเที่ยง แต่ก็ยังมีอีกหนึ่งคนที่ทุกคนได้บอกกับผมว่าเธอคือพี่สาวของผม

“น่าจะเป็นอาการความจำเลือนหายชั่วคราว คาดว่าน่าจะค่อยๆ ฟื้นคืนมา”คุณหมอเดนนิสอธิบายอาการของผม ทั้งพ่อและแม่ต่างดูเป็นห่วงเป็นใยผม นี่สินะสิ่งที่ผมโหยหามาตลอด ผมบอกกับทุกคนออกไปว่าไม่ต้องเป็นห่วงตอนนี้ผมรู้สึกสบายดี

 ผมถูกพาออกจากโรงหมอของคุณหมอเดนนิส ก่อนจะกลับไปยังบ้านหรือเรือนของหลวงปราบผู้เป็นพ่อของผมในตอนนี้ แม้จะยังมึนๆ กับการใช้ภาษาของคนสมัยนี้ แต่ผมก็จะพยายามเรียนรู้ อีกอย่างการเป็นคนความจำเสื่อมก็ดูจะเป็นผลดีเพราะเวลาพูดอะไรที่ผิดแปลกออกไป ทุกคนจะได้คิดว่าเป็นผลจากการที่ผมยังไม่หายดี

มีผู้ชายสองคนเป็นคนมาพยุงผมเดิน ด้วยความที่ร่างกายนี้ไม่ได้เคลื่อนไหวมาเป็นเดือน หมอเดนนิสบอกว่าผมยังลุกเดินได้เกือบปกติขนาดนี้ ถือเป็นเรื่องประหลาดที่น่ายินดีมาก ผมถูกประคองออกมาโดยมีเที่ยงเป็นคนนำทางผมกลับบ้าน จริงๆ แล้วบ้านที่ผมต้องกลับก็อยู่ไม่ได้ไกลจากบ้านของหมอเดนนิสเลย เพราะบ้านของหมอเดนนิสก็คือบ้านหลังนึงในพื้นที่อาณาเขตของหลวงปราบนั่นเอง เที่ยงเป็นคนอธิบายรายละเอียดต่างๆ ให้ผมได้เข้าใจ ว่าหมอเดนนิสเดิมทีเข้ามาพร้อมกลุ่มมิชชั่นนารีที่เผยแพร่ศาสนา แต่ได้เคยช่วยชีวิตหลวงปราบไว้เมื่อครั้งเกิดโรคระบาด หลวงปราบเกิดซาบซึ้งใจเลยยกบ้านหลังนั้นให้และคอยเป็นหมอคอยดูแลคนในปกครองของหลวงปราบ รวมถึงคนละแวกนี้ที่เจ็บไข้ได้ป่วย

เที่ยงยังคงพูดจ้อไม่หยุดว่าหญิงสาวอีกคนที่อยู่ในโรงหมอนั้นคือพี่สาวฝาแฝดของผมชื่อปราง จากคำบอกเล่า เราสองคนแอบหนีออกไปพายเรือเล่นกันสองคนพี่น้อง แล้วถึงคราวซวยที่จู่ๆ ก็มีฝนฟ้ากระหน่ำลงมาจนเรือเกิดพลิกคว่ำ กว่าจะมีคนช่วยขึ้นมาจากน้ำได้ก็ใช้เวลานานพอสมควร นานจนทุกคนคิดว่าเราสองพี่น้องจะไม่รอด แต่ก็เหมือนปาฏิหารย์ทุกคนดีใจที่ทั้งปรางและปราชยังมีลมหายใจ หากแต่ผ่านไปหลายคืน ก็ไม่มีใครลืมตาตื่นขึ้นมา ทั้งหลวงปราบและคุณหยาดต่างตระเวนทำบุญ ขอพร บนบานสานกล่าวไปทุกที่ เพื่อขอให้ลูกทั้งสองฟื้นขึ้นมา โดยมีหมอเดนนิสคอยดูแลทั้งคู่อยู่

บ้านใหม่ของผมเป็นบ้านทรงไทย ยกสูงตามแบบฉบับที่ผมเคยเห็นในหนังหรือละครทั่วๆ ไป ผมถูกพามาส่งที่ห้องห้องนึง ที่มีการจัดวางทุกอย่างไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ห้องดูสะอาดเหมือนได้รับการทำความสะอาดอยู่ทุกวัน จากยศที่ทุกคนเรียกพ่อของผมในตอนนี้ แสดงว่าพ่อผมเป็นขุนนาง แล้วจากที่เห็นมีบ่าวไพร่ ขนาดนี้ ก็คงจัดอยู่ในกลุ่มที่มีฐานะพอตัว ผมไม่ได้เรียนสายประวัติศาสตร์มาทำให้รู้เรื่องราวเหล่านี้เพียงแค่ผิวเผินเท่านั้น

“คุณปราชพักผ่อนในห้องก่อนนะเจ้าคะ ถ้ามีอะไรก็เรียกเที่ยงได้ตลอด เที่ยงรออยู่ที่นอกห้องนี่แหละเจ้าค่ะ”หญิงสาวกำลังจะก้าวออกไปแต่ผมเรียกไว้ก่อน เพราะไม่ได้อยากจะพัก ผมอยากรู้เรื่องราวรอบๆ ตัวมากกว่า เลยจะรั้งให้เที่ยงเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟังต่อ แต่เที่ยงบอกว่ามันไม่เหมาะที่เธอจะมาอยู่ลำพังกับผมในห้อง ผมเลยออกจากห้องเพื่อจะไปนั่งด้านนอก แม้เที่ยงจะไม่ค่อยเห็นด้วย เพราะถูกกำชับจากหลวงปราบและคุณหยาด ว่าต้องให้ผมพักผ่อน แต่ผมก็ตื้อจนเที่ยงยอม ด้วยเหตุผลว่าผมนอนไปเป็นเดือนแล้วยังจะให้ผมนอนอีกเหรอ

เที่ยงเล่าว่าหลวงปราบกับคุณหยาดรักปราชกับปรางมาก ดูแลมาอย่างดี และทั้งสองคนก็เป็นเด็กดีมาตลอด เที่ยงเป็นลูกของบ่าวในบ้าน แต่ด้วยความที่เกิดมาไล่เลี่ยกัน คุณหยาดเลยขอมาเป็นเพื่อนเล่นกับปราง จนโตก็กลายเป็นคนรับใช้ส่วนตัวของปราง นอกจากนี้ยังทำให้ผมได้รู้อีกว่าปราชหรือผมในตอนนี้ และปรางจะมีอายุครบ 20 ปี ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี่เอง  นอกจากผมจะย้อนกลับมาในอดีตกว่า 150 ปีแล้ว นี่ผมยังลดอายุลงอีกด้วย เดิมทีผมอายุ 27 ย่าง 28 ปีแล้ว แต่ตอนนี้ต้องกลับมาเป็นเด็ก 20 ปี ส่วนเที่ยงอ่อนกว่าผมและปราง 1 ปี ตอนนี้เธอก็อายุใกล้จะครบ 19 ปี แล้ว เธอเล่าว่าตอนเด็กๆ เรา 3 คนสนิทกันมาก แต่พอเริ่มเป็นหนุ่มผมเองก็ไม่ค่อยเล่นกับเธอแล้ว จริงๆ นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เธอได้กลับมาพูดคุยกับผมนานขนาดนี้

“ถ้าคุณปรางฟื้นมาด้วยอีกคนก็ดีนะเจ้าคะ เที่ยงสงสารคุณหลวงกับคุณหยาด คุณหยาดร้องไห้ทุกครั้งที่ไปดูคุณ 2 คนที่โรงหมอ”ฟังถึงตรงนี้ผมว่าจริงๆ แล้วผมคงไม่ใช่ปราช นี่ผมอาจจะตายแล้วจากที่โดนแทกซี่ลอกคราบ แต่ทำไมผมถึงมาตื่นในร่างนี้ผมก็ไม่อาจรู้ได้ ทั้งปรางและปราช แท้จริงอาจจะวิญญานออกจากร่างไปแล้วก็ได้ ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็อาจแค่นอนเป็นผัก รอเวลาจะลาโลกเท่านั้นแหละ

“ว่าไงเด็กน้อย ยินดีต้อนรับกลับมานะ”อยู่ๆ ก็มีผู้ชายต่างชาติคนนึงเข้ามาสวมกอดทักทายผม ผมรีบผลักเค้าออกห่างเพราะรู้สึกแปลกๆ ที่มีคนไม่รู้จักมากอดแบบนี้ เค้าทำท่าแปลกใจกับทีท่าของผม ผมเพียงหันไปมองเที่ยงเป็นเชิงถามว่าผมรู้จักกับต่างชาติคนนี้เหรอ

“นี่คุณเดวี่เจ้าค่ะ ลูกชายของนายฝรั่ง”ลูกชายของคุณหมอเดนนิสงั้นเหรอ แล้วนี่เค้าสนิทกับปราชขนาดไหนกันเชียว เพราะดูอายุแล้วไม่น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกัน ถ้าเป็นผมเมื่อก่อนอาจจะอายุรุ่นๆ เดียวกัน แต่ตอนนี้ผมคือปราชที่อายุ 20 ปี ส่วนเดวี่นี่ผมว่าคงใกล้ๆ 30 ปีแล้วมั้ง จากการทักทายดูเดวี่กับปราชคงสนิทกันพอดู

“นี่จำเดวี่ไม่ได้แล้วเหรอเด็กน้อย”เค้ายังคงพูดกับผมด้วยภาษาอังกฤษ พร้อมกับเอื้อมมือมายีหัวผม แต่ผมเลือกที่จะถอยห่าง อย่างที่บอกว่าผมไม่ค่อยชินกับสัมผัสของคนที่ไม่รู้จัก แม้แต่ก่อนผมจะใช้ชีวิตแบบ one night stand ไปบ้าง แต่กับชีวิตประจำวันทั่วไป นอกจากยายแล้วแทบไม่มีใครเคยได้ถึงเนื้อถึงตัวผมเลย

“ปราชจำเดวี่ไม่ได้จริงๆ หรือ”คำถามผมด้วยเสียงละห้อยกับภาษาไทยแปร่งๆ นั่น นี่เป็นอีกเรื่องที่ผมสงสัยคือ ตกลงตัวปราชนี่ความรู้ด้านภาษาดีระดับไหน เพราะผมจะได้ไม่แสดงออกมาเกินความสามารถจนผิดปกติมากเกินไป

“คุณปราชอธิบายเองนะเจ้าคะ เที่ยงพูดภาษาปะกิตไม่เป็น แล้วคุณเดวี่ก็ไม่ได้คล่องภาษาไทยเหมือนนายฝรั่งเดนนิสด้วยเจ้าค่ะ”ผมอธิบายให้เดวี่ฟังอีกรอบว่าผมจำอะไรไม่ได้ เค้าบอกกลับมาว่าจริงๆ พ่อเค้าก็บอกมาแล้วว่าผมจำอะไรไม่ได้ จำได้แค่พ่อกับแม่ของผมเอง แต่เค้าก็แอบหวังว่าผมจะจำเค้าได้ อะไรทำให้เค้ามั่นใจขนาดนั้น ว่าผมจะจำเค้าได้






เรื่องนี้แต่งขึ้นเพราะอยากลองล้วนๆ คิดพลอตไว้นานแล้วแต่ไม่ถึงไหนสักที

อาจจะขาดๆ เกินๆ ตกหล่นไปบ้าง ยังไงติชมได้ แม้จะเขียนให้ตัวเอกหลุดไปในอดีต แต่หลักๆ คือใช้เล่าผ่านตัวเอก

เพราะงั้นภาษาก็จะดูปัจจุบันเหมือนเดิม หรือบทพูดที่เหมือนแปลจากภาษาอังกฤษ ก็จะเหมือนการแปลออกมาในมุมมองของตัวเอก

ก็คงเป็นภาษาปัจจุบันปกติ

ฝากติดตามด้วยนะครับ

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 2
เด็กน้อยที่เปลี่ยนไป


“คุณปราชเสร็จหรือยังเจ้าคะ คุณหยาดให้มาตามแล้วเจ้าค่ะ”เสียงของเที่ยงร้องบอกผ่านประตูเข้ามา วันนี้ที่บ้านทำบุญใหญ่ นิมนต์พระมาถวายภัตาหารที่บ้าน เพื่อเป็นการเสริมศิริมงคลให้ผมที่ฟื้นกลับมา ผมตอบรับเที่ยงกลับไปว่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว

อาหารคาวหวานถูกจัดเตรียมไว้ พ่อกับแม่ผมนั่งรออยู่ก่อนแล้ว โดยมีคุณหมอเดนนิส และเดวี่ นั่งอยู่ไม่ห่าง ผมได้รับรู้อีกอย่างว่าพ่อกับแม่ผมให้เกียรติหมอเดนนิสเสมือนญาติผู้ใหญ่คนนึง เพราะพ่อผมอ่อนกว่าหมอเดนนิสประมาณ 4-5 ปี เลยนับถือหมอเดนนิสเป็นเหมือนพี่ชาย ส่วนเดวี่ จริงๆ แล้วตอนนี้เค้าอายุ น่าจะราวๆ 28-29 ปี ผมไม่ทราบอายุที่แน่นอน เพราะผู้บอกเล่าให้ผมฟังคือเที่ยง และเที่ยงก็ไม่ทราบข้อมูลที่แท้จริง

ปราชสนิทกับเดวี่ เพราะเดวี่เป็นคนสอนภาษาฝรั่งเศสให้กับปราช ทั้งปรางและปราชต่างเรียนภาษาอังกฤษจากหมอเดนนิส จนเมื่อสื่อสารภาษาอังกฤษคล่องแคล่วแล้ว หมอเดนนิสถึงส่งต่อให้เดวี่เป็นคนสอนภาษาฝรั่งเศสต่อ หลวงปราบอยากให้ลูกๆ มีความรู้เยอะๆ จึงให้หมอเดนนิสและเดวี่ช่วยสอนเรื่องภาษาให้กับลูกๆ  แต่ปรางไม่อยากเรียนภาษาฝรั่งเศสทำให้ปราช ได้เรียนกับเดวี่เพียงคนเดียว นั่นคงเป็นเหตุผลที่ทำให้ปราชกับเดวี่สนิทกัน

“หลับสบายไหมลูก”แม่เอ่ยถามผม ซึ่งผมก็พยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม หัวใจผมรู้สึกพองโตที่แม่ดูห่วงใยผมขนาดนี้  ก่อนจะหันไปมองอีกคนที่นั่งห่างออกไปไม่ไกล เค้ายิ้มให้ผมอยู่ก่อนแล้ว หากแต่ผมทำเพียงหันหลบสายตานั้น จากคำบอกเล่าของเที่ยงอีกเช่นกัน ที่จริงคุณหมอเดนนิสกับเดวี่นับถือคริสต์ แต่ที่มาร่วมทำบุญด้วยวันนี้เพราะพ่อกับแม่ผมขอร้องให้มา

รอไม่นานนักพระสงฆ์ที่นิมนต์ไว้ก็มา พิธีการถวายต่างๆ ผ่านไป จนพระสงฆ์ฉันท์เสร็จเรียบร้อย พ่อกับแม่พาผมเข้าไปหาพระรูปนึง ก่อนจะเล่าเรื่องของผมให้พระรูปนั้นฟัง

“หลวงตาพอจะช่วยให้ลูกอิฉัน กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหมเจ้าคะ”แม่พนมมือไหว้ พร้อมพูดด้วยเสียงสะอื้น แม่ถามรวมทั้งเรื่องของผมที่เสียความทรงจำ และเรื่องของปรางที่ยังนอนนิ่งไม่ฟื้น

“ขยับเข้ามาใกล้ๆ สิ ชื่ออะไรนะเรา”หลวงตาเรียกผมเข้าไปหา

“ชื่อปราชขอรับ”ผมขยับใกล้เข้าไป เตรียมยื่นแขนรับการผูกข้อมือจากหลวงตาเพื่อเป็นศิริมงคล แต่หลวงตาจับฝ่ามือผมพลิกขึ้นดูที่ฝ่ามือ พร้อมกับเพ่งพินิจดูบางอย่าง

“คนเราจะมาพบกันได้มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หากแต่ทุกคนมีกรรมที่เคยสร้างร่วมกันมา วันนึงโยมจะรู้คำตอบในสิ่งที่โยมเองสงสัย เมื่อเวลานั้นมาถึงโยมจะเข้าใจทุกอย่างเอง”คำพูดของหลวงตาทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นมอง หลวงตารู้งั้นเหรอว่าผมมาจากไหน แม่ผมถามหลวงตาเพิ่มว่าหมายความว่ายังไง แต่หลวงตาก็บอกเพียงว่าชีวิตของทุกคนก็เดินไปตามกรรมเก่าที่เคยสร้างไว้ทั้งนั้นแหละ คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้

หลังจากการทำบุญเสร็จ ผมตามเที่ยงมาดูปรางที่โรงหมอ ในช่วงที่ผมหลับไปพร้อมปรางก็จะมีบ่าวสับเปลี่ยนกันมาเฝ้าพวกผมทั้งสองคน พร้อมทำหน้าที่ต่างๆ กันไปไม่ว่าจะเป็นเช็ดตัวให้ พลิกตัวให้ หรือคอยทำกายภาพบำบัดตามที่หมอเดนนิสแนะนำ ซึ่งเที่ยงจะเป็นหลักในการดูแลผมสองคน แต่ในส่วนการเช็ดตัวหรือเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ผม เที่ยงเล่าว่าส่วนใหญ่เดวี่จะเป็นคนทำ ยกเว้นวันที่เดวี่ต้องไปโบสถ์ก็จะมีบ่าวผู้ชายมาช่วย

เดวี่กำลังทำหน้าที่เป็นบาทหลวงฝึกหัดอยู่ที่โบสถ์คริสใกล้ๆ นี่ซึ่งนี่เป็นความต้องการของหมอเดนนิสที่อยากให้เดวี่เป็นบาทหลวง ตอนนี้คุณหมอกับลูกชายเหลือกันสองคน เพราะภรรยาของคุณหมอเสียไปหลายปีแล้ว

“หวัดดี เด็กน้อย”เสียงทักทายจากเดวี่ พร้อมกับเดินมายีหัวผมอีกแล้ว ผมไม่เข้าใจทำไมเค้าชอบทำเหมือนผมเป็นเด็กเล็กๆ แม้เค้าจะแก่กว่าปราชหลายปี แต่นี่ปราชก็อายุ 20 แล้ว ยิ่งในความรู้สึกผม คือเค้าอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผมเสียด้วยซ้ำ หรือเพราะตัวผมที่เล็กกว่าเค้า ซึ่งมันก็แน่นอนอยู่แล้วที่รูปร่างของชาวตะวันตกอย่างเค้าจะใหญ่โตกว่าผม

“เที่ยงขอกลับไปช่วยเค้าเก็บของที่เรือนนะเจ้าคะ ฝากคุณเดวี่ดูแลคุณปราชด้วยนะเจ้าคะ”เดวี่ทำหน้างงๆ กับคำพูดของเที่ยง จนผมต้องอธิบายเป็นภาษาอังกฤษว่าเที่ยง อยากกลับไปช่วยจัดเก็บข้าวของที่ถวายพระเมื่อเช้า และฝากให้เค้าดูแลผม เมื่อเค้าพยักหน้าเข้าใจแล้ว ผมเลยปล่อยให้เที่ยงกลับไปได้

“ทำไมชอบเรียกผมเด็กน้อย”นี่เป็นอีกเรื่องที่ผมคาใจ เพราะทั้งสิ่งที่เค้าปฏิบัติกับผม หรือคำพูดที่ใช่เรียกผม มันให้ความรู้เหมือนผมเป็นเด็กสิบขวบ

เค้ายิ้มกว้างให้ผมก่อนจะเดินอ้อมเตียงของปรางไปนั่งอีกฝั่ง แต่ยังไม่ยอมตอบคำถามของผม เค้าตบที่เก้าอี้อีกตัวข้างๆ เค้าเป็นเชิงเรียกให้ผมไปนั่งข้างๆ เค้า ผมเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ตัวนั่น เค้าเริ่มเล่าให้ผมฟังว่าเราสองคนรู้จักกันได้ยังไง เค้าย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่พร้อมหมอเดนนิส เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ตอนนั้นเค้าอายุ 18 ส่วนผมเพิ่งจะ 10 ขวบ เค้าเล่าว่าผมเอาแต่ตามเค้าต้อยๆ เพราะอยากมีพี่ชาย แม้ตอนแรกจะคุยกันไม่รู้เรื่องเพราะต่างพูดกันคนละภาษา จนต่างคนต่างฝึกภาษาของอีกฝ่าย แต่ภาษาไทยคงยากเกินไปสำหรับเดวี่ เค้าเลยไปไม่ถึงไหนกับภาษาไทย ตรงกันข้ามกับปราชที่สามารถเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้อย่างรวดเร็ว

ปราชที่แต่ก่อนอยู่แต่กับปรางผู้เป็นพี่สาวและเที่ยงบ่าวรับใช้ พอได้มาเจอกับเดวี่ ทำให้ได้มีกิจกรรมอะไรที่ต่างไปในแบบของเด็กผู้ชายบ้าง หากแต่เดวี่ที่อายุมากกว่าถึง 8 ปี ทำให้บางอย่างปราชสู้เดวี่ไม่ได้ และตอนเด็กๆ ปราชค่อนข้างตัวเล็กแถมขี้โรคอีกต่างหาก และด้วยความที่ถูกตามใจเลยมีงอแงบ้างตามประสา ซึ่งนั่นเองเป็นสาเหตุที่เดวีมองปราชว่าเหมือนเด็กไม่รู้จักโต ยิ่งพ่วงนิสัยขี้อ้อนเข้าไปอีก ปราชยิ่งกลายเป็นเด็กในสายตาของเดวี่

“แต่ก่อนผมดูง้องแง้งขนาดนั้นเลยเหรอ”ผมเอ่ยถามขัดจังหว่ะออกไป เพราะฟังแล้วปราชนี่ก็ดูเป็นเด็กน้อยจริงๆ นั่นแหละ คงเพราะการเลี้ยงดูด้วยแหละที่ทำให้ปราชเป็นแบบนั้น

“น่ารักดีออก เหมือนมีน้องเล็กๆ วิ่งตามตูดตลอดเวลา”เค้าหัวเราะพร้อมกับเอามือมายีหัวผมอีกแล้ว ผมเพิ่งมีโอกาสได้มองหน้าเค้าตรงๆ เดวี่มีโครงหน้าที่ได้รูป สันจมูกโด่งรับกับใบหน้า คิ้วสีน้ำตาลเข้มเช่นเดียวกับสีผม หน้าตาบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นชาวฝรั่งเศส จริงๆ ตอนเด็กๆ ผมก็แยกหน้าตาของฝรั่งแต่ละชนชาติไม่ได้หรอกครับ แต่พอได้ไปใช้ชีวิตในที่ต่างๆ จากช่วงปิดเทอม ทำให้ผมเริ่มเห็นความแตกต่างของคนแต่ละชนชาติได้ดีขึ้น

“ถ้าผมไม่มีทางจำคุณได้ คุณจะรู้สึกยังไง”ดูท่าแล้วเดวี่กับปราชคงสนิทสนมและเป็นพี่น้องที่รักกันมาก มากถึงขนาดเดวี่คิดว่านอกจากพ่อแม่ แล้วเค้าจะเป็นอีกคนที่ปราชจะจำได้เมื่อตื่นขึ้นมา แต่โชคร้ายที่ผมไม่ใช่ปราช และผมคงไม่มีทางจำเค้าได้แน่นอน

“มันต้องมีวันนั้นสิ วันที่เด็กน้อยจะจำเดวี่ได้”เค้าบอกพร้อมเอื้อมมือมาโอบไหล่ผมและดึงตัวผมให้ซบที่ไหล่ของเค้า ผมรู้สึกอบอุ่นแปลกๆ เมื่ออยู่ใกล้ๆ เค้าแบบนี้ ตอนที่ผมอยู่ในยุคปัจจุบัน ผมมีความสัมพันธ์กับคนแทบจะทุกเพศ อย่างที่บอกว่าผมใช้เซกส์ในการบำบัดความเหงาของตัวเอง ผมตอบไม่ได้ด้วยซ้ำว่าผมชอบการมีเซกส์กับผู้หญิงหรือผู้ชายมากกว่ากัน ส่วนเรื่องความรักยิ่งแล้วใหญ่ ผมไม่เคยสัมผัสกับความรักในแบบชู้สาวเลย เพราะทั้งชีวิตผมทุ่มเททุกอย่างเพื่อต้องการความรักจากพ่อกับแม่ จนไม่เหลือจิตใจให้รักใครอีก

“ปราง ปราง”ผมผละออกจากไหล่ของเดวี่เมื่อสังเกตเห็น นิ้วมือของปรางกระดิก ผมผุดลุกขึ้นเข้าไปชิดขอบเตียง แม้จะรู้ว่าผมกับเค้าไม่ได้เป็นพี่น้องกันจริงๆ แต่ผมกลับรู้สึกตื่นเต้นที่เห็นเค้ามีการตอบสนองแบบนี้ เดวี่รีบออกไปตามคุณหมอเดนนิส ส่วนผมเฝ้ามองปรางที่ตอนนี้กลับไปนิ่งเหมือนเดิมแล้ว

ไม่นานนักทั้งหมอเดนนิส พ่อ แม่ เที่ยง ก็เข้ามาพร้อมๆ กับเดวี่ หมอเดนนิสเข้ามาตรวจดูชีพจร ก่อนจะบอกว่าคงเป็นแค่กล้ามเนื้อกระตุก เลยมีการขยับเท่านั้น แต่นี่ก็ถือเป็นลางดี หมอเดนนิสปลอบพ่อกับแม่ผมว่าขนาดผมยังฟื้นขึ้นมาได้ อีกไม่นานปรางก็ต้องฟื้นเช่นกัน

แม่เริ่มร้องไห้อีกครั้ง ผมเดินเข้าไปหาพร้อมสวมกอดแม่ไว้หลวมๆ ในชีวิตของผมในยุคปัจจุบัน ผมแทบไม่เคยมีโอกาสได้ทำแบบนี้ เพราะนอกจากพ่อกับแม่จะไม่กอดผมแล้ว ทั้งสองยังไม่ยอมให้ผมกอดอีกด้วย หรือที่ผมมาอยู่ที่นี่เพราะพระเจ้าตอบรับคำขออันแรงกล้าของผม ที่ให้ผมได้มาเจอพ่อกับแม่ที่นี่ พ่อแม่ที่ผมรักและพวกท่านก็รักผม แม้ทั้งสองจะรักผมในฐานะของปราช แต่ผมก็ขอตักตวงความสุขในตอนนี้ไว้ให้มากที่สุด

“คุณปราชจะกลับตอนไหนก็เรียกเที่ยงนะเจ้าคะ เที่ยงจะรออยู่ด้านนอกโรงหมอนี่เจ้าค่ะ”เที่ยงหันมาบอกผมหลังจากที่พ่อกับแม่ผมกลับไปแล้ว แต่ผมขออยู่ต่ออีกสักพัก คุณหมอเดนนิสก็ตามพ่อกับแม่ผมออกไป เหลือแค่ผมกับเดวี่ที่ยังอยู่เป็นเพื่อนปราง

“เด็กน้อยของเดวี่น่าจะโตขึ้นเสียแล้ว”ผมไม่ค่อยเข้าใจกับคำพูดของอีกฝ่าย เลยต้องถามกลับไปว่าเค้าต้องการสื่อความหมายยังไงกันแน่

“ปกติปราช จะไม่รู้จักการปลอบคนอื่น เพราะปราชเหมือนเป็นน้องเล็กสุด ทำให้ทุกคนต้องเป็นฝ่ายปลอบปราช แต่เมื่อกี้ปราชกอดปลอบแม่ของปราช แสดงว่าตอนนี้ เด็กน้อยน่าจะกำลังเติบโต ใกล้จะเป็นผู้ใหญ่แล้ว”เค้าบอกผมด้วยน้ำเสียงล้อๆ แต่ผมก็ไม่ได้นึกถือสากับสิ่งที่เค้าล้อ เพราะท่าทางเค้าก็เพียงแค่อยากจะหยอกผมแค่นั้น

“แล้วคุณว่าผมเป็นแบบไหนดีกว่ากัน”ไม่รู้ทำไมที่ผมเกิดอยากรู้ว่าระหว่างปราชตัวจริง กับปราชตัวปลอมอย่างผมในตอนนี้ เค้าชอบใครมากกว่ากัน

“ทำไมต้องคิดว่าแบบไหนดีกว่ากัน ในเมื่อแบบไหนมันก็คือตัวของปราชอยู่ดี”ก็เพราะว่าผมไม่ใช่ปราชนี่สิ แต่ต่อให้ผมพูดไปเค้าก็คงไม่เข้าใจ

“งั้นลองอธิบายความเป็นตัวผมในตอนนี้กับเมื่อก่อนให้ฟังหน่อยว่าต่างกันยังไง”เค้าเงียบไปเหมือนกำลังใช้ความคิดก่อนจะดีดนิ้วเหมือนว่าคิดออกแล้ว

เค้าบอกว่าปราชคนเก่าดูเป็นเด็กน้อยที่ร่าเริง แต่ก็ยังติดเอาแต่ใจอยู่บ้าง และเดวี่ต้องคอยเป็นห่วงประจำ เพราะดูแลตัวเองไม่ค่อยได้ แต่ปราชตอนนี้ดูนิ่งขึ้น ดูเป็นคนใจเย็น บางครั้งก็เหมือนคิดอะไรในใจอยู่ตลอดเวลาดูน่าค้นหาขึ้นมากว่าเมื่อก่อน  แม้ความจริงตัวผมจะถือว่ารู้จักกับเดวี่ได้ไม่นาน แต่ผมก็รู้สึกว่าตอนนี้เริ่มพูดคุยกับเค้าได้สนิทใจมากขึ้น

ผมขอแยกตัวกลับ พร้อมกับเที่ยง มีบ่าวคนใหม่มาอยู่เป็นเพื่อนปราง ในเวลากลางคืนปกติจะเป็นบ่าวผู้หญิงสองคน ถ้าหากมีอะไรผิดปกติก็สามารถเรียกเดวี่หรือหมอเดนนิสได้ตลอดเวลา แม้ผมจะมั่นใจว่าปรางคงไม่ฟื้นขึ้นมาแล้ว แต่ก็ยังอยากให้มีปาฏิหารย์ เพราะคงทำให้ทุกคนที่นี่มีความสุขไม่น้อย โดยเฉพาะพ่อกับแม่ของผม หรือจะเป็นพ่อกับแม่ของพวกเราดี




ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 3
คำพูดปริศนา


เสียงร้องไห้ ใครกันนะมาร้องไห้ตอนนี้ ผมพึมพำในใจก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้น แล้วผมก็ต้องตกใจเมื่อเสียงร้องไห้ที่ผมได้ยินมันมาจากปลายเตียงของผมนี่เอง และหญิงสาวที่ยืนร้องไห้อยู่ปลายเตียงของผมก็คือปราง ผมไม่รู้จะตกใจหรือดีใจ ปรางมายืนอยู่ตรงนี้ แสดงว่าปรางฟื้นแล้ว

“ปราง ปรางฟื้นแล้วใช่ไหม”ผมลุกขึ้นเพื่อเดินไปหาเธอ แต่ปรางไม่มีคำพูดใดๆ ตอบกลับผมมาเธอยังคงเอาแต่ร้องไห้สะอื้น ผมมองไปรอบๆ ห้องว่ามีใครตามปรางมาไหม บ่าวที่อยู่เฝ้าปรางหายไปไหน แล้วปรางออกจากโรงหมอมาถึงนี่ได้ยังไง นี่พ่อกับแม่รู้รึยังว่าปรางฟื้นเนี่ย คำถามผุดขึ้นมาในหัวของผมเต็มไปหมด

“ปรางเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม”ผมประคองเธอให้นั่งลงที่เตียง แม้ผมจะไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วสองพี่น้องนี่ปฏิบัติต่อกันยังไง แต่จากที่ฟังเที่ยงเล่ามา ผมกับปรางก็เป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน แม้จะมีทะเลาะกันด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ บ้างประปรายก็เถอะ

เธอยังคงร้องสะอื้นอยู่อย่างนั้น จนผมไม่รู้จะทำยังไง ผมตะโกนร้องเรียกว่ามีใครอยู่แถวนี้หรือเปล่า แต่ก็ไม่มีใครตอบรับเสียงเรียกของผม ผมพยายามพูดคุยกับปรางแต่เธอก็ไม่ตอบอะไรผมเลย จนผมจนปัญญา กำลังจะเดินออกไปเคาะห้องพ่อกับแม่ แต่แล้วผมก็ถูกแรงดึงจากปราง แรงดึงที่ถือว่าค่อนข้างแรงเกินไปเสียด้วยซ้ำ สำหรับผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนึง

เธอหยุดร้องไห้แล้ว แต่สายตาที่มองมาที่ผม มันเต็มไปด้วยความเกลียดชังที่ผมสัมผัสได้ เธอผลักผมลงที่เตียงก่อนจะโดดขึ้นมานั่งคร่อม จนผมขยับตัวไม่ได้ ทำไมเรี่ยวแรงผมถึงสู้ผู้หญิงตัวเล็กๆ นี่ไม่ได้กันนะ

“เจ้าต้องชดใช้ในสิ่งที่เจ้าทำ”พร้อมกับคำพูดนั้น ปรางใช้สองมือของเธอบีบคอผมไว้ ผมพยายามดิ้นให้หลุดแต่เหมือนไม่เป็นผล เรี่ยวแรงของเธอดูจะมีมากมายเกินตัวไปเยอะ ปากก็พูดย้ำในประโยคเดิม ประโยคที่ผมไม่เข้าใจว่ามันหมายความว่ายังไง ผมรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายเพื่อดิ้นให้หลุดจากการกระทำของปราง

“พรืบ”เสียงผ้าห่มถูกสะบัดจนไปอยู่ที่ปลายเตียง ทั้งห้องว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่เงาของปราง ผมฝันอีกแล้วสินะ ผมมาอยู่ที่นี่สัปดาห์กว่าๆ แล้ว และพอเริ่มเข้าสัปดาห์ที่สอง ผมก็เริ่มฝันแบบเดิมทุกๆ คืน นี่ก็เป็นคืนที่ 3 ติดต่อกันแล้วที่ผมฝันแบบนี้ กับประโยคที่ปรางพูดกับผม ประโยคที่ผมแว่วได้ยินครั้งสุดท้าย ก่อนจะไม่รู้สึกตัวตอนที่โดนแทกซี่ทำร้าย

เจ้าของประโยคนั้นคือปราง แล้วมันหมายความว่ายังไงกัน ผมทำอะไรลงไปงั้นเหรอ คนที่ปรางต้องการจะบอกคือปราชตัวจริง หรือคือผมที่อยู่ในร่างปราชตอนนี้กันแน่ ผมลุกจากเตียงเหมือนคืนก่อนๆ ที่เริ่มฝัน เวลาน่าจะราวๆ ตี 2 เห็นจะได้ ผมล้างหน้าล้างตาก่อนจะออกเดิน มุ่งตรงไปยังโรงหมอ หรือบ้านของหมอเดนนิส

บ่าวสองคนที่เฝ้าปรางงัวเงียขึ้นมาจัดแจงเก้าอี้ให้ผม ผมกำชับทั้งสองว่าไม่ให้ไปบอกใครว่าผมมาที่นี่เวลาแบบนี้ 2 คืนก่อนหน้าผมก็มาดูปรางในเวลาเดียวกันนี้ และกลับไปก่อนที่ใครจะตื่นขึ้นมาเจอว่าผมออกมาที่นี่ เพื่อไม่ให้ใครต้องมากังวลกับผม

“คุณปราชเป็นอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ”เสียงที่คุ้นเคยเอ่ยถามมาจากทางด้านหลัง จนผมต้องหันกลับไปมอง เมื่อแน่ชัดว่าคือเที่ยง ผมหันไปมองบ่าวอีกสองคน แต่ทั้งสองคนรีบปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นคนบอกเรื่องที่ผมออกมาที่นี่แก่เที่ยง

“อีสองคนนี้ไม่ได้เป็นคนบอกเที่ยงหรอกเจ้าค่ะ แต่เที่ยงตื่นแล้วบังเอิญเห็นคุณปราชมาที่นี่ตั้งแต่คืนวานแล้ว เจ้าค่ะ วันนี้เลยรอดูว่าคุณปราชจะมาอีกไหม”ผมก็ลืมไปว่าเที่ยงนี่แม้จะเป็นเพื่อนเล่นคนสนิทของปราชกับปรางแล้ว จริงๆ ก็เหมือนพี่เลี้ยงของทั้งคู่นั่นแหละครับ เพราะแม้เที่ยงจะอายุน้อยกว่า แต่ดูเที่ยงจะมีความเป็นผู้ใหญ่สูงกว่าทั้งปราชและปรางเสียละมั้ง

“ข้าแค่ฝันถึงปราง เลยอยากมาหา ก็เท่านั้นแหละ”ผมบอกออกไปตามตรงแม้ จะบอกไม่หมดเสียทีเดียวก็เถอะ เที่ยงหันไปบอกบ่าวอีก 2 คนให้กลับไปพักผ่อนที่เรือน เดี๋ยวเที่ยงจะอยู่เป็นเพื่อนผม และเฝ้าปรางต่อให้เอง

“ฝันไม่ดีหรือเจ้าคะ”เธอถามด้วยความเป็นห่วง แต่จะให้ผมบอกสิ่งที่ฝันออกไปทั้งหมดก็คงจะไม่ดีเท่าไหร่ แต่การจะเก็บไว้คนเดียวผมก็คงจะอึดอัดเลยกะว่าจะถามอะไรบางอย่างจากเที่ยงน่าจะดีกว่า

“เด็กน้อย มาทำอะไรกลางดึกแบบนี้”ยังไม่ทันที่ผมจะถามอะไรเที่ยงออกไป เสียงของเดวี่ก็ขัดขึ้นเสียก่อน เค้ายังอยู่ในชุดนอน ผมเผ้าดูยุ่งเยิง คงยังไม่ได้ตื่นเต็มที่ เค้าเดินเข้ามายีหัวผมเหมือนทุกครั้ง เที่ยงขอตัวออกไปเฝ้าอยู่หน้าห้อง

“ว่าไงเด็กน้อย มาทำอะไร”เค้านั่งลงข้างๆ ผมพร้อมกับถามคำถามเดิม แต่ผมไม่ได้ตอบอะไร ผมยังคงจ้องมองปรางที่นอนนิ่งๆ อยู่ตรงหน้า เฝ้าถามกับตัวเองว่าทำไมปรางถึงมีแววตาชิงชังผมได้ขนาดนั้น

“เธอสองคนเป็นฝาแฝดกัน มันคงมีบางอย่างสื่อถึงกัน แต่เธอก็ต้องเข้าใจว่าเราคงยังทำอะไรไม่ได้ คงทำได้เพียงรอปาฏิหารย์ ให้ปรางฟื้นขึ้นมา เหมือนปาฏิหารย์ที่ทำให้เด็กน้อยของเดวี่ฟื้นขึ้นมานี่ไง”นี่เค้าคงคิดว่าผมเป็นห่วงปรางจนต้องมาหาตอนดึกๆ แบบนี้ใช่ไหม ถึงได้พูดกับผมแบบนี้

“ปรางเป็นคนยังไง”เค้ามีสีหน้าไม่เข้าใจในตอนแรก แต่แล้วเค้าก็บอกออกมาว่าลืมไป ที่ผมจำอะไรไม่ได้ เดวี่เริ่มเล่าความสัมพันธ์ของผมกับปราง หรือจะให้ถูกก็คงเป็นปราชกับปราง ปรางเป็นคนนิสัยร่าเริงคล้ายๆ กับปราช ทั้งคู่สนิทกันมากเพราะถูกเลี้ยงดูมาด้วยกัน ซึ่งจุดนี้ผมรับฟังจากเที่ยงมาแล้ว

“ผมกับปรางทะเลาะกันบ่อยไหม”คำถามแรกอาจไม่ได้คำตอบที่ผมต้องการ แต่คำถามนี้น่าจะตรงประเด็นมากที่สุด เดวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามนี้จากผม และคำตอบที่ได้จากเดวี่กลับทำให้ผมยิ่งงุนงง เพราะเดวี่บอกว่า ผมกับปรางรักกันขนาดนี้จะทะเลาะกันด้วยเรื่องอะไร แต่ก่อนยังมีบ้างที่ทะเลาะกันเรื่องแย่งของฝากจากผู้เป็นพ่อเวลากลับจากไปราชการ แต่หลังๆ มานี้ไม่เคยทะเลาะกันอีกเลย

ถ้าปรางกับปราชไม่ได้โกรธหรือเกลียดกัน แล้วสิ่งที่ผมเห็นในฝันนั่นมันคืออะไรกันนะ หรือคนที่ปรางชิงชังคือผมคนนี้ที่ไม่ใช่ปราช แต่ในเมื่อเราอยู่กันคนละชาติภพ ขนาดนี้ผมจะไปทำอะไรเธอตอนไหน

“ไปนอนกัน”อยู่ๆ คนตัวใหญ่นี่ก็ดึงแขนผมลุกขึ้น ผมเดินตามออกมาจนนอกห้อง เที่ยงเป็นฝ่ายเข้าไปในห้องเพื่อเฝ้าปรางต่อ ผมถามคนที่จูงมือผมว่าจะพาผมไปไหน เพราะผมจะกลับบ้านแล้ว แต่คนตัวใหญ่นี่กลับบอกว่าให้ผมนอนที่นี่ก่อน เช้าแล้วค่อยกลับก็ได้

“ที่นี่มีที่นอนสำหรับผมด้วยเหรอ”เค้ายิ้มขำให้กับคำถามของผม ก่อนจะตอบรับว่าบ้านหลังนี้ก็เหมือนบ้านของผม ผมจะเข้าออกตรงไหนก็ได้หมดนั่นแหละ ทำให้ผมเข้าใจไปว่าที่บ้านหลังนี้มีห้องนอนส่วนตัวของผมอยู่ด้วย แต่ผมคิดผิด

“เด็กน้อยมานอนที่นี่ประจำแหละ”เค้ายืนยันเมื่อเห็นว่าผมไม่ค่อยเชื่อคำพูดของเค้าสักเท่าไหร่ เพราะนี่คือห้องนอนของเค้า นี่ตกลงปราชกับเดวี่นี่สนิทกันแบบไหนกันแน่ ถึงได้มานอนเตียงเดียวกันได้ขนาดนี้ แม้จะไม่ค่อยเห็นด้วยกับเดวี่เท่าไหร่ แต่ด้วยความอ่อนเพลียเพราะตื่นกลางดึกติดต่อกันมา 3 คืนแล้ว ทำให้ผมเลือกที่จะล้มตัวลงนอนที่เตียงของเค้า

เค้าล้มตัวลงนอนข้างๆ ผมก่อนจะสอดแขนเข้ามาและดึงร่างผมให้เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเค้า แล้วริมฝีปากของเค้าก็ถูกจรดลงมาที่หน้าผากของผม ผมหันมองหน้าเค้าด้วยความไม่เข้าใจในการกระทำของเค้า

“เราทำแบบนี้กันเป็นปกติเหรอ”ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะสำหรับผมการปฏิบัติแบบนี้ผมเคยได้รับจากคนเพียงคนเดียวเท่านั้นคือยายของผม แม้แต่พ่อกับแม่ผมก็ยังไม่เคยได้รับสัมผัสแบบนี้ แล้วยิ่งในฐานะพี่น้องอย่างที่เดวี่กับปราชเป็น ผมยิ่งไม่เคยรู้ว่าการปฏิบัติต่อกันแบบนี้มันคือเรื่องปกติ หรืออย่างไร

“มันก็เป็นการแสดงความรักที่พี่ชายมีต่อน้องชายไง”เค้าบอกผม และผมเพลียเกินกว่าจะสงสัยอะไรอีก ผมค่อยๆ เข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง ภายใต้อ้อมกอดที่อบอุ่น ความอบอุ่นที่ผมเพิ่งเคยได้สัมผัส




“คุณพ่อขอรับ!!! คุณแม่ขอรับ!!!”ผมร้องเรียกคนทั้งคู่ที่ร่างเต็มไปด้วยเลือด

“ปราง!!! ปราง!!!”ร่างแน่นิ่งของปรางก็เต็มไปด้วยสีแดงสดเช่นเดียวกัน

“เฮือก”ผมสะดุ้งตื่น นี่ผมฝันอีกแล้วเหรอ หากแต่ครั้งนี้มันต่างไป จากครั้งก่อนๆ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ ทำไมครั้งนี้ในฝันผมถึงเห็นแต่เลือดเต็มไปหมด

“ฝันร้ายเหรอเด็กน้อย”ใช่สินะนี่ผมไม่ได้นอนอยู่ที่ห้องของตัวเองนี่นา นี่ผมอยู่ในห้องของเดวี่ สองแขนของเค้าโอบเอวผมไว้อย่างหลวมๆ ทั้งที่ยังไม่ได้ลืมตา แสงที่ส่องลอดเข้ามาในห้องทำให้รู้ว่านี่เช้าแล้ว ผมแกะแขนของอีกคนออก เพราะนี่คงถึงเวลาที่ผมต้องกลับแล้ว ไม่รู้ว่าป่านนี้จะมีใครเป็นห่วงผมหรือเปล่าที่ผมหายออกจากบ้านมาแบบนี้

“ตกลงฝันว่าอะไร”เดวี่ลุกขึ้นนั่งเอนหลังพิงกับหัวเตียง เผยให้เห็นร่างท่อนบนที่เปลือยเปล่า นี่เค้าไปถอดเสื้อออกตั้งแต่ตอนไหน เท่าที่จำได้เมื่อคืนเค้ายังใส่เสื้ออยู่นี่นา สงสัยผมจะเผลอจ้องแผ่นอกเค้านานเกินไป จนเค้ารู้ตัว แถมยังกระเซ้าผมว่า คงไม่ใช่ฝันร้ายแล้ว น่าจะเป็นฝันดีแน่ๆ

ผมไม่ได้ต่อความอะไรกับเค้า บอกเพียงว่าจะขอตัวกลับ ตอนแรกเค้าจะให้ผมรอเค้าล้างหน้าล้างตา แล้วจะเดินไปส่งที่บ้าน แต่ผมยืนกรานว่าผมไม่ใช่สาวน้อยที่จะต้องมีใครไปส่ง อีกอย่างบ้านผมกับบ้านเค้าก็อยู่ห่างกันนิดเดียว เค้าถึงยอมปล่อยผมกลับ

“แอบไปนอนกับเดวี่มาอีกแล้ว เหรอพ่อปราช นี่โตขนาดนี้แล้วยังทำตัวติดพี่ชายเหมือนเป็นเด็กๆ อีก”ทันทีที่ผมกลับถึงบ้าน แม่ก็ทักผมเหมือนกับว่าการที่ผมไปนอนที่ห้องเดวี่มันเป็นเรื่องปกติอย่างนั้นแหละ

“นี่ลูกไปนอนห้องเค้าบ่อยหรือขอรับ”ผมถามออกไปด้วยความสงสัย และคำตอบที่ผมได้รับก็คือ ตอนเด็กๆ ผมกับปรางจะถูกจัดให้นอนห้องเดียวกัน รวมถึงมีเที่ยงมานอนเป็นเพื่อนพวกเราด้วย แต่พอเริ่มโต ผมก็ถูกแยกห้องออกมานอนคนเดียว ด้วยความที่เป็นผู้ชาย ไม่เหมาะที่จะนอนห้องเดียวกับผู้หญิง จนเมื่อมีเดวี่เข้ามา ปราชที่ไม่ชอบการนอนคนเดียว เลยขอไปค้างกับเดวี่บ่อยๆ จนเป็นความเคยชิน ที่ทุกคนเห็นเป็นเรื่องปกติ
 
หลังจบบทสนทนาเรื่องนิสัยการนอนของผม เรื่องในความฝันของผมก็เข้ามารบกวนผมอีกครั้ง ยิ่งเห็นหน้าแม่ผมยิ่งกังวัล กังวลว่ามันจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นหรือเปล่า







ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ในโลกใหม่ (แต่ยุคเก่า) นี้ ยังมีหลายเรื่องที่ปอนด์ไม่รู้สินะ แต่ว่าปราชญ์คือปอนด์ในชาติก่อนหรือเปล่า
รอติดตามไปพร้อมกับปอนด์ค่ะ

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 4
คนเดิมที่แตกต่าง


“กระผมชอบนอนหนุนตักคุณแม่แบบนี้หรือขอรับ”วันนี้ผมเห็นแม่นั่งอยู่ที่ชานเรือนกับเที่ยง แล้วนึกถึงสิ่งที่ผมมักจะชอบทำเป็นประจำกับยาย นั่นคือการที่ผมนอนหนุนตักยายให้ยายลูบหัวเวลาที่ผมมีเรื่องไม่สบายใจ และตอนนี้ผมก็รู้สึกไม่สบายใจ กับเรื่องราวในความฝันของผม เลยจะขอนอนหนุนตักแม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมอยากจะทำมานานแล้ว แต่ในชีวิตของปอนด์ หรือก็คือผมในยุคปัจจุบัน ผมไม่เคยมีโอกาสได้ทำแบบนี้เลย

น่าแปลกที่ปราชดูมีอะไรที่คล้ายกับผมในหลายอย่าง แต่ปราชเป็นคนที่ได้รับในสิ่งที่ผมไม่เคยได้สัมผัส แม่ค่อยๆ ลูบหัวผมอย่างอ่อนโยน สิ่งที่ผมและปราชชอบเหมือนกันอย่างการนอนหนุนตักให้คนลูบหัวแบบนี้ ผมรับรู้ได้เลยว่าปราชจะมีความสุขขนาดไหน แต่ปราชคงไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของผมอย่างแน่นอน ว่าแม้ผมจะได้รับการชดเชยสิ่งเหล่านี้จากยาย แต่มันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกเติมเต็มขึ้นมาเลย ผมกลับยิ่งโหยหาในสิ่งที่ขาด

แต่ตอนนี้ผมได้รับมันแล้ว ไม่ว่านี่คืออดีตชาติของพ่อกับแม่ผม หรือเป็นความฝัน เป็นภาพลวงตาอะไรก็แล้วแต่ ผมขอถือว่านี่มันคือชีวิตของผมแล้ว แม้ก่อนหน้านี่ปราชจะคือใคร แต่จากนี้ไป ปราชก็คือผมแล้ว ความรักจากทุกคนที่นี่ผมจะถือว่ามันคือความรักที่พวกเค้ามีให้กับผม ผมค่อยๆ ผ่อนคลาย และเริ่มหายใจอย่างสม่ำ เสมอ ก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทรา

“คุณพ่อขอรับ คุณแม่ขอรับ”ผมร้องเรียกคนทั้งคู่ที่ร่างเต็มไปด้วยเลือด

“ปราง ปราง”ร่างแน่นิ่งของปรางก็เต็มไปด้วยสีแดงสดเช่นเดียวกัน

“ม่ายยยย”ผมตะโกนสุดเสียงก่อนจะลุกขึ้นนั่ง เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้าของผม แม่รีบจับตัวผม พร้อมกับโอบกอดไว้ เที่ยงที่อยู่ใกล้ๆ ก็เข้ามาดูผมด้วยสีหน้าที่ตกใจ แม่รีบถามผมว่าเกิดอะไรขึ้น ผมตอบเพียงสั้นๆ ว่าฝันร้าย ความฝันที่เหมือนกับตอนที่ผมนอนที่ห้องเดวี่ แต่มันต่างไปจากเดิม ครั้งนี้เหมือนผมเริ่มเห็นรายละเอียดชัดขึ้น สภาพห้องที่เต็มไปด้วยเลือดนั่น มันคือห้องนึงในบ้านหลังนี้ ห้องที่เที่ยงเคยพาผมไปดู ห้องของปราง

ความฝันเรื่องนี้ของผมมันต่างจากที่เห็นสายตาชิงชังของปราง นั่นผมก็ยังคงฝันอยู่เพียงแต่มันยังเหมือนเดิมทุกครั้ง ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง จนผมเริ่มจะชิน และรับมือกับมันได้ แต่ความฝันล่าสุดมันต่างออกไป เริ่มแรกที่ฝัน ผมมองเห็นทุกอย่างไม่ชัดและเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่ในครั้งต่อๆ มาภาพแต่ละอย่างกลับค่อยๆ ชัดขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผมได้เห็นรายละเอียดต่างๆเพิ่มเติมในทุกครั้ง

“ฝันว่ายังไงพ่อปราช เล่าให้แม่ฟังได้ไหม”ผมเอื้อมมือไปรับขันน้ำจากเที่ยงมาดื่ม โดยที่ยังไม่ตอบคำถามที่แม่ถามผม หรือว่านี่คือเหตุผลที่ผมมาอยู่ที่นี่ แล้วมันคืออะไรกันล่ะ อะไรที่คนพาผมมาที่นี่อยากให้ผมได้รู้

“คุณแม่ขอรับตั้งแต่เล็กจนโต ลูกเคยทำอะไรที่ไม่ดีบ้างไหมขอรับ”ผมไม่คิดว่าจะเล่าสิ่งที่ผมฝันให้ใครรู้อีกแล้ว เพราะคงมีคนอยากให้ผมรับรู้สิ่งเหล่านี้เพียงคนเดียว แม่ดูมีความไม่เข้าใจกับสิ่งที่ผมถามเท่าใดนัก แต่แม่ก็บอกผมว่าตั้งแต่เล็กจนโตที่เลี้ยงผมมา ยังไม่เคยเห็นผมทำอะไรที่เลวร้ายเลย จะมีบ้างที่เลานซนตามประสาเด็กๆ แต่ก็ไม่เคยไปสร้างความเดือดร้อนให้ใคร แม่ยังคงถามถึงสิ่งที่ผมฝันถึง ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่ ผมรับรู้ได้ว่าแม่ห่วงผม แต่อย่างที่บอกว่าเรื่องนี้ผมคงต้องเก็บมันไว้เพียงลำพังก่อน

“ปราง”ผมเอ่ยชื่อ คนที่อยู่ในฝันของผมมาตลอดหลายคืน หญิงสาวที่ตอนนี้ได้ชื่อว่าเป็นพี่สาวฝาแฝดของผม ถ้าเธอเป็นคนที่พาผมมาที่นี่ ผมว่ามันก็ดูมีโอกาสที่จะเป็นไปได้ที่ปรางเป็นคนพาผมมาที่นี่ แล้วถ้าอย่างนั้นปรางต้องการให้ผมมาเจอกับอะไร คำพูดที่ปรางบอกผมในฝันนั่นจะสื่อถึงสิ่งที่ผมได้ทำลงไปแล้ว หรือผมจะทำหลังจากนี้กันแน่

“ลูกขอตัวไปโรงหมอนะขอรับคุณแม่”เมื่อเห็นผมไม่ได้ตอบคำถาม ผู้เป็นแม่ก็ไม่ได้ซักไซร้อะไร ผมอีก เพียงแค่กำชับให้เที่ยงตามผมไปด้วยเท่านั้น พอถึงโรงหมอของคุณหมอเดนนิส ผมให้บ่าวที่เฝ้าปรางอยู่ รวมทั้งเที่ยงด้วย ออกไปก่อน ขอผมอยู่เพียงลำพังกับปรางเท่านั้น

แม้จะรู้ว่าผมคงไม่ได้คำตอบอะไรจากคนที่นอนแน่นิ่งอยู่แบบนี้ แต่ในเมื่อเรื่องอะไรที่มันเหนือธรรมชาติก็ยังเกิดขึ้นกับผมมาแล้ว ถ้ามันจะมีอะไรที่ไม่น่าเชื่อเกิดขึ้นอีกก็คงจะไม่แปลก ผมเอื้อมมือจับมือปราง มองใบหน้าที่ยังคงนิ่งสนิท

“เธอต้องการอะไรกันแน่ปราง”ผมพึมพำ อย่างมีความหวัง หวังว่าเธอจะตื่นมาคุยกับผม ช่วยบอกผมทีว่าผมต้องชดใช้อะไร หรือผมได้ทำผิดอะไรต่อเธอกันแน่ ผมยังคงนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไป ข้อดีอีกอย่างของการได้มาอยู่ที่นี่คือ ผมมีเวลาเหลือเฟือ ไม่ต้องรีบตื่นนอน ไม่ต้องรีบทำงานแข่งกับเวลา หรือไม่ต้องเผื่อเวลาเพื่อไปเผชิญกับรถติดบนท้องถนน เห็นได้ชัดว่าชีวิตที่นี่มันดีกว่าชีวิตเดิมของผมเป็นไหนๆ

ผมมีพ่อ มีแม่ที่ดูรักผมจริงๆ มีชีวิตที่แสนสบายไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ มีคนคอยรับใช้ที่พร้อมทำตามคำสั่งมากมาย ซึ่งมันจะทำให้ผมมีความสุขมากๆ หากไม่มีเรื่องความฝันประหลาดๆ นี่เข้ามาเกี่ยวข้อง

“เป็นไงเด็กน้อย”และอีกหนึ่งอย่างที่ผมมีที่นี่ เดวี่นั่นเอง ผมรู้ว่าระหว่างเค้ากับปราช ทั้งคู่คงสนิทกันเหมือนพี่น้อง แต่สำหรับผมที่ความจริงอายุจริงของผมก็คงรุ่นราวคราวเดียวกับเค้า ผมไม่ได้มองว่าเค้าคือพี่ชาย ผมไม่รู้ว่าจะจัดเค้าอยู่ในสถานะใดของชีวิตผม ผมรู้เพียงแต่ว่าเค้ามีความพิเศษสำหรับผม

เค้ายังคงทำเหมือนทุกครั้งที่เจอผมด้วยการเอื้อมมือมายีหัวผม ซึ่งเดี๋ยวนี้ผมไม่ได้ขัดขืนเค้าแล้ว ไม่ว่าเค้าจะยีหัวผม จะโอบไหล่ หรือจับผมพิงไหล่เค้า ผมยอมโอนอ่อนไปกับเค้า จนเดี๋ยวนี้เริ่มจะคิดแล้วว่าตัวเองเป็นเด็กน้อยตามคำที่เค้าเรียกผมเสียแล้ว

“ถ้าผมไม่มีทางจำเรื่องราวในอดีตได้”ผมเอ่ยในสิ่งที่เคยจะพูดกับเค้าแล้วครั้งนึง ซึ่งความจริงนี่มันก็ไม่ใช่เรื่องสมมติเพราะผมไม่ใช่ปราช แล้วก็ไม่มีทางที่จะมีความทรงจำของปราชได้อย่างแน่นอน

“ถ้าผมไม่มีวันจำคุณได้ คุณจะเสียใจไหม”ผมไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องตั้งคำถามแบบนี้กับเค้า เดวี่มีแววตาสงสัย เค้าถามผมกลับมาว่ากังวลหรือ ถึงได้ถามเรื่องนี้กับเค้าเป็นครั้งที่สองแล้ว แต่เค้าก็ยังยืนยันคำเดิมว่า ไม่ว่าผมจะเป็นยังไง ผมก็ยังคือปราช น้องชายคนเดิมของเค้าเสมอ

“คุณตอบไม่ตรงคำถาม”ทั้งที่ผมควรหยุดบทสนทนาไว้แค่นั้น แต่ผมยังคงตั้งคำถามกับเค้าเพิ่มอีก ผมกำลังรู้สึกอิจฉา อิจฉาในสิ่งที่ผมไม่เคยได้รับ แต่ปราชกลับได้รับทุกอย่าง แม้ผมจะบอกกับตัวเองว่าตอนนี้สิ่งที่อยู่ตรงหน้าทั้งหมดนี้มันคือของผมแล้ว เป็นสิ่งที่ทุกคนมอบให้ผม แต่ลึกๆ ในใจผมก็อดคิดไม่ได้ว่าที่ทุกคนรัก มันคือปราช ไม่ใช่ผม หรือผมจะคาดหวังมากเกินไป ผมแค่หวังว่าจะมีสักคนที่รักผม ที่เป็นผมจริงๆ ไม่ใช่รักผมที่เป็นปราช ท้ายที่สุดผมก็ยังคงเป็นคนโลภ ที่ได้รับความรักแล้ว แต่ยังต้องการอย่างไม่สิ้นสุดอีก

“เสียงหัวเราะที่เราเคยมีด้วยกัน เรื่องสนุกที่เราเคยทำด้วยกันเสียงร้องไห้ของเด็กน้อยที่ร้องจะมานอนห้องพี่ให้ได้ หรืออีกมากมายที่เป็นเรื่องราวที่เรารู้กันแค่สองคน ทั้งหมดนี้มันสำคัญก็จริง แต่ถ้ามันสามารถแลกความทรงจำเหล่านั้นทิ้งไปจนหมดสิ้น เพื่อให้เด็กน้อยของพี่ฟื้นขึ้นมาได้ พี่ก็ยินดีจะให้ปราชลืมพี่ไปตลอดชีวิต”นั่นสินะ ถ้าลองเป็นผม แล้วเราลองรักใครมากๆ ผมก็อาจจะยอมทุกอย่างแค่เพียงได้เจอกับเค้าอีกครั้ง

“แค่เด็กน้อยของพี่ยังอยู่ตรงนี้มันก็วิเศษมากแล้ว”เค้ายีหัวผมอีกแล้ว แต่ผมกลับรู้สึกเศร้า เศร้าอย่างบอกไม่ถูก

“ขอโทษ”ขอโทษที่ผมไม่ใช่ปราช และขอโทษที่ทุกคนคงไม่ได้เจอปราชตัวจริงอีกแล้ว น้ำตาผมค่อยๆ ไหลรินออกมา ผมไม่ควรจะอิจฉาปราช ในเมื่อผมมีโอกาสมาที่นี่เพื่อได้สัมผัสกับสิ่งที่ผมขาด ผมควรจะตอบแทนทุกคนที่นี่ด้วยการทำให้พวกเค้ามีความสุข เดวี่ใช้มือปาดน้ำตาให้ผม แต่ผมดันมือนั้นออก ก่อนจะเช็ดมันด้วยตัวเอง ผมบอกออกไปว่าไม่เป็นไร คงเพราะอาจจะกังวลมากเกินไป

“จริงสิ มานี่มา”เค้าลุกขึ้น พร้อมจับข้อมือผมให้เดินตาม ออกไป เค้าพาผมเดินอ้อมตัวบ้านออกไป ที่ศาลาที่สนามหญ้า แล้วให้ผมนั่งรอ เดวี่เดินหายเข้าไปในบ้านก่อนจะกลับออกมาพร้อมอะไรบางอย่าง

“อ่ะ ของโปรดของปราช”ผมมองสิ่งที่เค้ายื่นให้ผม มันคือขนมหม้อแกง ที่อยู่ในถ้วยดินเผา ผมรับมาอย่างงงๆ กับคำที่เค้าบอกว่าของโปรด เพราะขนมนี้คงจะเป็นของโปรดของปราช แต่มันไม่ใช่ของโปรดของผมนี่สิ ตั้งแต่เล็กจนโต ผมเป็นคนไม่กินขนมไทยเลย ไม่ใช่ว่าที่บ้านมีเงินแล้วจะกินแต่ของแพงๆ หรอกนะครับ แต่ผมรู้สึกว่าขนมไทย แทบทุกอย่างมันหวานมากเกินไป หวานจนเลี่ยน ทำให้ผมไม่ค่อยชอบรสชาดของมันสักเท่าไหร่

“พอดีเจอที่ตลาดเลยนึกถึงปราช เมื่อก่อนเวลาปราชโกรธ ไม่ว่าจะเรื่องอะไร แค่ซื้อขนม โม่เกงนี่มามาฝาก ปราชก็หายโกรธทุกที”ผมหลุดขำกับชื่อขนมที่เค้าพยายามออกเสียง จนเค้าต้องให้ผมพูดให้ฟังว่ามันออกเสียงว่ายังไง ก่อนเค้าจะพูดตามแต่ไม่ว่าจะพูดกี่ครั้ง มันก็ยังเป็น “โม่เกง” อยู่ดี

จะว่าไปปราชนี่ก็เหมาะให้เดวี่เรียก เด็กน้อยจริงๆ นั่นแหละครับ แค่ฟังว่าซื้อขนมมาฝากก็หายโกรธได้นี่ ก็เด็กน้อย จนไม่รู้จะน้อยยังไงแล้วละครับ แต่นี่ผมจะทำยังไงกับขนมนี่ดีละครับเนี่ย จะให้กินก็ไม่ชอบ แต่จะไม่กินเลยก็เดี๋ยวคนซื้อมาฝากจะเสียใจ เพราะดูเค้าภูมิใจกับการได้ซื้อของโปรดมาให้น้องชายเสียเหลือเกิน

ผมตักขนมเข้าปาก หนึ่งคำเล็กๆ อยากจะบอกว่าแทบจะกลืนไม่ลงเลยแหละครับ คือรสชาดมันก็ไม่ได้แย่ เพียงแต่ผมไม่ชอบความหวานนี่แหละครับ ผมยิ้มให้คนที่ซื้อมาพร้อมกับกลืนลงคอไปอย่างยากลำบาก แม้ในใจแทบจะอยากคายออกจากปากให้รู้แล้วรู้รอด แต่พอเห็นสายตาของคนที่ซื้อมาฝากแล้วก็ต้องพยายามกลืนลงไป

“ทำไมกินนิดเดียว ไม่อร่อยเหรอ”เค้าทำหน้าเศร้า แต่ดูเหมือนแกล้งทำเสียมากกว่า คงคิดว่าผมอำเล่นที่เลิกกินทั้งที่กินไปแค่นิดเดียว

“ตอนนี้ผมไม่ใช่เด็กเหมือนเก่า ผมคงไม่ชอบกินขนมนี่แล้วล่ะ”เดวี่ดูแปลกใจไม่น้อยกับคำพูดของผม คงเพราะเค้าเคยชินกับปราชที่ชอบขนมหม้อแกงนี้ จากที่ฟังก็คงไม่ใช่แค่ชอบธรรมดา คงจะคลั่งเอามากๆ เสียด้วย ก็ถึงขนาดใช้เป็นขนมสำหรับให้หายโกรธได้ขนาดนั้น

“งั้นเดี๋ยวที่เหลือนี่เดวี่จัดการเอง”เค้าตักขนมคำโตเข้าปากจนผมรู้สึกขนลุกแทน เพราะมันคงหวานมากแน่ๆ แต่แล้วผมก็ต้องหลุดหัวเราะออกมา เพราะท่าทางตลกๆ ของเค้าในการกินขนม

ยิ่งได้ใกล้ชิดกับเดวี่ ผมก็ยิ่งคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างเดวี่กับปราชเนี่ย มันเพียงแค่พี่ชายจริงๆ หรือเปล่า ดูมันมีมุมที่ดูเอาใจใส่อีกฝ่ายเกินความจำเป็น อยู่มากทีเดียว หรือว่าผมคิดมากเกินไป ผมอาจจะเอาความคิดตัวเองมาตัดสิน แต่จริงๆ ทั้งเดวี่และปราช อาจจะรักกันในฐานะพี่น้องอย่างบริสุทธิ์ใจก็เป็นได้





ต่อครับ

ขอบคุณที่ติดตาม ติชมได้นะครับ

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 5
กังวล



“คุณพ่อขอรับ!!! คุณแม่ขอรับ!!!”ผมร้องเรียกคนทั้งคู่ที่ร่างเต็มไปด้วยเลือด

“ปราง!!! ปราง!!!”ร่างแน่นิ่งของปรางก็เต็มไปด้วยสีแดงสดเช่นเดียวกัน

 “คุณปราชอย่าเข้าไปเจ้าค่ะ”

แล้วผมก็สะดุ้งตื่นอีกตามเคย แต่วันนี้เรื่องราวขยับมาไกลอีกหน่อย ตรงที่มีเที่ยงอยู่ในความฝันของผมด้วย ภาพทุกภาพชัดเจนว่า พ่อแม่ของผมนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นที่เต็มไปด้วยเลือดแดงฉาน และที่เตียงใกล้ๆ กันนั้น ก็เป็นปรางที่นอนแน่นิ่งจมกองเลือดเช่นเดียวกัน ส่วนผมเหมือนออกมาจากที่ไหนสักที่ที่ยังไม่ชัดเจน โดยมีเที่ยงที่ฉุดรั้งเอาไว้ สภาพจุดที่เกิดเหตุก็แน่นอนแล้วว่ามันคือที่ห้องของปรางในบ้านหลังนี้

ผมค่อยๆ ลุกขึ้นปาดน้ำตาที่ไหล ครั้งแรกๆ ที่ฝันผมยังไม่มีน้ำตา แต่เมื่อฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่า กับการที่ผมต้องเห็นพ่อกับแม่ในสภาพนั้น ในแทบทุกคืน ความรู้สึกเศร้า เสียใจมันได้ก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ จนน้ำมามันคงไหลมาเอง ตามเหตุการณ์ที่อยู่ในฝัน เพราะในฝันผมคงกำลังเสียใจอย่างสุดซึ้ง แต่เมื่อตื่นขึ้นมา ผมก็ยังอุ่นใจได้ว่า มันเป็นเพียงแค่ความฝัน

นี่ก็เกือบเช้าแล้ว ผมเลือกที่จะล้างหน้าล้างตา แต่ผมไม่ได้ไปยังโรงหมอเหมือนช่วงแรกๆ แล้ว เพราะรู้สึกว่าผมคงไม่ได้คำตอบอะไรจากการไปนั่งเฝ้าปรางอีกแล้ว ผมเลือกวิธีที่จะทำให้ผมสบายใจ หรือผ่อนคลายขึ้น นั่นคือการออกไปนั่งที่ศาลาท่าน้ำ เฝ้ามองสายน้ำที่ไหลไป รอจนบ่าวจัดเตรียมอุปกรณ์ มาวางที่ท่าน้ำแห่งนี้

“มานานแล้วเหรอพ่อปราช”เสียงจากแม่เอ่ยทักผมขึ้น ตั้งแต่วันที่แม่รู้ว่าผมฝันร้าย แม่ก็ชวนผมมาใส่บาตรกับแม่ หวังว่าการทำบุญจะช่วยให้จิตใจผมสงบขึ้น ซึ่งมันก็ช่วยได้ในระดับนึงแหละครับ แต่ก็ไม่ทั้งหมดเสียทีเดียว แต่ในเมื่อมันทำให้แม่สบายใจไปด้วย ผมก็ยินทีทำ

“ยังฝันร้ายอยู่ไหมลูก”คำถามไถ่พร้อมมือที่เอื้อมมาลูบหัวผมอย่างเอ็นดูนี้ บ่งบอกว่าเค้าห่วงผมขนาดไหน นั่นมันทำให้ผมเลือกที่จะโกหกออกไปว่า ผมไม่ได้ฝันร้ายอีกแล้ว ผมไม่อยากให้แม่ต้องไม่สบายใจ เพราะผมว่าแค่เรื่องปรางยังไม่ฟื้น ความความทรงจำผมไม่กลับมานี่ก็คงเป็นกังวลมากแล้ว

รอไม่นานนักเรือพระก็เข้ามาจอดเทียบท่า อาหารคาวหวานถูกทยอยใส่ลงไปในบาตรของพระ ตามด้วยดอกไม้ ทั้งผมและแม่พนมมือเตรียมรับพร แต่ก่อนจะให้พร พระท่านก็ถามขึ้น

“อายุเท่าไหร่แล้วละโยม”พร้อมกับหันมาที่ผม ผมตอบออกไปตามอายุของปราช นั่นคือกำลังจะครบ 20 ปีในอีกไม่ช้านี้

“หมั่นทำบุญหน่อยนะโยม”แม้จะไม่ค่อยเข้าใจแต่ผมก็รับคำจากท่าน หลังจากรับพรแล้วคนที่วิตกกังวลกับคำพูดของพระคือแม่นั่นเองครับ แม่ตีความไปแล้วว่าอาจมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับผม นั่นส่งผมให้วันนี้ผมต้องไปถวายภัตาหารเพล กับแม่ที่วัด ในช่วงสายอีกรอบ แต่จริงๆ สำหรับผมแล้ว ไม่ได้อะไรกับเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ครับ

ไม่ใช่ไม่เชื่อเรื่องบาป บุญ คุณ โทษนะครับ เพียงแต่รู้สึกว่า แต่ละอย่างมันไม่น่าจะหักล้างกันได้ คือสมมติว่าเราทำบาปมาเยอะ แล้วจะมาทำบุญชดเชย มันก็ไม่น่าจะหักล้างบาป ออกไปได้ แต่ก็นั่นแหละครับถ้ามันทำให้แม่สบายใจ ผมก็ยินดีทำหมดแหละครับ




นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ออกมาจากบริเวณบ้าน แต่วัดที่ผมได้มาก็ไม่ได้ห่างจากบ้านมากนัก เป็นวัดที่อยู่ติดกับแม่น้ำ ต้นไม้ดูร่มเย็น แค่ได้มาก็รู้สึกสงบอย่างบอกไม่ถูก หลังจากถวายเพล และพระฉันท์เรียบร้อยแล้ว แม่พาผมมาไหว้ หลวงตาที่เคยแม่เคยนิมนต์ ไปที่บ้าน หลวงตาที่พูดกับผม เหมือนเหลวงตาจะรู้อะไรบางอย่าง

แม่ผมมาขอคำแนะนำจากหลวงตา อยากให้หลวงตาช่วยดูดวงชะตา ของผมให้หน่อย ว่าจะมีอันตรายเกิดขึ้นกับผมหรือไม่ หากแต่หลวงตาบอกว่า หลวงตาเป็นพระ ไม่ใช่หมอดู ส่วนเรื่องชีวิตคนเราอะไรมันจะเกิดมันก็ต้องเกิด คงไปฝืนอะไรไม่ได้ ให้พยายามปล่อยวาง อย่าไปวิตกกังวลมาก ตัวผมนั้นคล้อยตามกับสิ่งที่หลวงตาแนะนำนะครับ แต่แม่ผมนี่สิครับ ดูจะยังไม่สบายใจ

“โยมปราช อย่าเพิ่งไป ขออาตมาคุยด้วยสักประเดี๋ยว”หลวงตาเอ่ยรั้งผมไว้ในขณะที่กำลังจะลุกตาม คนอื่นๆ ไป ผมหันกลับมา นั่งลงพร้อมกับพนมมือรอฟังสิ่งที่หลวงตาจะพูดกับผม

“โยมรู้ใช่ไหม ว่าที่นี่มันไม่ใช่ที่ของโยม”คำพูดของหลวงตาทำเอาผมตาโต หูผึ่งเลยทีเดียว ถ้าหลวงตารู้ว่าผมมาจากในอนาคต แสดงว่าหลวงตาก็ต้องรู้ว่าทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่ แล้วสิ่งที่อยู่ในความฝันของผม หลวงตาจะรู้ด้วยไหม คำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัวผม และผมเริ่มตั้งคำถามกับหลวงตา แต่หลวงตากลับบอกเพียงให้ผมตั้งสติ แล้วใจเย็นๆ ก่อน

“หลวงตาแค่อยากชี้แนะบางอย่างเท่านั้น ส่วนคำตอบในเรื่องต่างๆ เมื่อถึงเวลาโยมจะได้รู้เอง”คำพูดของหลวงตาช่างคล้ายกับสิ่งที่ยายเคยบอกกับผม หรือว่ายายเองก็รู้ว่าผมจะต้องมาเจอสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้

“อะไรก็ตามที่โยมคิดว่าโยมรู้ ไม่ว่าโยมจะคิดว่ามันจริงหรือไม่จริง โยมจงอย่าคิดที่จะเปลี่ยนแปลง อะไรที่มันถูดขีดเส้นไว้แล้ว
ว่ามันต้องเป็นเช่นไร โยมก็ทำได้เพียงเฝ้ามองให้มันเป็นไป”ผมคิดตามสิ่งที่หลวงตากำลังพูด มันคงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากสิ่งที่ผมได้เห็นในความฝัน นั่นหมายความว่าความฝันของผมมันจะเป็นจริงอย่างนั้นหรือ

“ใครพากระผมมาที่นี่ แล้วกระผมมีเวลาอีกนานแค่ไหนขอรับ”ผมรู้ว่าหลวงตาต้องรู้ในสิ่งที่ผมถาม น้ำตาผมค่อยๆ ไหลออกมา นี่ผมมาที่นี่ทำไมกัน จากในตอนแรกที่ผมคิดว่าพระเจ้าคงเห็นใจผม ที่ไม่เคยได้รับความรักจากพ่อแม่ เลยให้ผมได้มีโอกาสมาที่นี่ แต่มันคงเป็นเวลาที่แสนสั้น เพราะภาพที่ผมเห็นในฝัน ทั้งพ่อ แม่ ปราง หรือแม้แต่เที่ยง ทุกคนดูไม่ได้เปลี่ยนไปจากสิ่งที่ผมเห็น นั่นหมายความว่า ไม่ช้าไม่นานนี้ มันจะเกิดเหตุร้ายขึ้นกับครอบครัวของผม

“อย่างที่บอกไป ทุกอย่างโยมจะค่อยๆ ได้รับรู้มันเอง”ถ้าหลวงตาจะบอกผมแค่นี้ สู้ไม่บอกเลยเสียยังจะดีกว่า ผมปาดน้ำตาที่มี เช็ดจนแห้ง ไม่อยากออกไปแล้วให้ใครเห็นหรือสงสัยจนมาเป็นกังวลกับผมอีก ผมกล่าวลาหลวงตา ซึ่งไม่วายที่หลวงตายังกำชับผมอีกครั้งว่าอย่าได้คิดเปลี่ยนแปลงอะไร

“หลวงตาคุยอะไรเสียนานละพ่อปราช”ทันทีที่ผมออกมาเจอแม่ ก็เป็นไปตามคาดที่แม่จะสงสัยในสิ่งที่หลวงตารั้งผมให้อยู่สนทนาด้วย แต่ผมก็เลือกที่จะโกหก ว่าหลวงตาพูดเรื่องความทรงจำของผม ผมบอกไปเพียงแต่ว่าหลวงตาไม่ให้กังวลกับมันมาก ปล่อยให้มันเป็นไป แม่ก็ไม่ได้ซักไซร้อะไรผมอีก

ทันทีที่ถึงบ้าน ผมมุ่งตรงไปหาปรางในทันที ในหัวก็ยังคิดถึงคำพูดของหลวงตา หากทุกอย่างจะเป็นไปตามสิ่งที่ผมเห็น เหตุการณ์มันไม่ได้เกิดขึ้นในห้องนี้ แล้วมันจะมีเหตุผลอะไรบ้างที่ปรางต้องย้ายกลับไปที่บ้าน หรือว่าปรางจะฟื้น แต่ผมค่อนข้างมั่นใจว่าปรางไม่น่าจะฟื้นขึ้นมาได้ แล้วมันจะมีเหตุผลอะไรล่ะที่ต้องย้ายปรางออกจากทีนี่

“สวัสดี”ผมหันไปตามเสียงทักทายภาษาอังกฤษ เป็นคุณหมอเดนนิส ที่เดินเข้ามา ผมเอ่ยทักทายกลับไปเป็นภาษาอังกฤษ และไม่รอช้าที่จะเอ่ยถามในสิ่งที่สงสัย ว่าปรางจะอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหน แต่คำตอบของหมอเดนนิส ก็ยังไม่ทำให้ผมหายสงสัยไปได้ เพราะสิ่งที่หมอบอกคือ ปรางจะถูกดูแลที่นี่ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะฟื้น ผมยังถามต่อไปอีกว่าหากมีคนบอกว่าสามารถรักษาปรางได้ด้วยวิธีอื่น จะมีการเคลื่อนย้ายปรางไหม คำตอบของหมอก็ยังเหมือนเดิม คือก็คงยังรักษาที่โรงหมอแห่งนี้ เพราะไม่ใช่ว่าทั้งพ่อและแม่ผม จะไม่เคยลองให้คนอื่นมาดูอาการ

แล้วถ้าไม่ใช่การรักษา จะยังมีเหตุผลอะไรอีกที่จำเป็นต้องย้ายปรางกลับไปที่บ้าน เพราะอยู่ที่โรงหมอนี่ก็อยู่ในตัวบ้าน แถมทั้งพ่อและแม่ก็แวะเวียนมาเยี่ยมปรางแทบทุกวันอยู่แล้ว ดูมันไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่ปรางจะต้องกลับไปที่บ้าน หรือสิ่งที่ผมเห็นในฝันนั่นอาจจะไม่เกิดขึ้นจริง

“หวัดดี เด็กน้อย”เดวี่เดินเข้ามาทักทายผมอีกคน เค้าวางมือลงบนหัวผมอย่างเคย ก่อนจะถามไถ่ว่าผมเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมดูไม่ค่อยดีเลย แต่ผมปฏิเสธออกไปว่าไม่ได้เป็นอะไร แม้เค้าจะดูไม่ค่อยเชื่อกับสิ่งที่ผมปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรผมอีก ส่วนคุณหมอเดนนิสก็ดูอาการของปรางอีกนิดหน่อย ก่อนจะเดินออกจากห้องไป

“ไปเดินเล่นไหม”เดวี่เอ่ยชวน แม้จะไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมเค้าชวนผมไปเดินเล่น แต่ผมก็ไม่ได้ปฏิเสธ ผมเดินตามเค้าออกจากโรงหมอ ลัดเลาะไปจนถึงแถบเลียบแม่น้ำ ถึงจะยังอยูในช่วงบ่าย แต่กากาศก็ไม่ร้อนจนเกินไป อีกทั้งต้นไม้ใหญ่ที่ปกคลุมทางเดิน ทำให้เหมือนเป็นโดมต้นไม้ให้เราเดินได้อย่างไม่ต้องกลัวแสงแดด เราสองคนเดินไปเรื่อยๆ โดยไม่มีใครพูดออะไร ต่างคนเหมือนต่างปล่อยให้อีกคนได้ใช้ความคิด

ผมไม่รู้ว่าเดวี่คิดอะไรอยู่ แต่สำหรับผม หลายสิ่งกำลังตีกันในหัวไปหมด ผมมีหลายอย่างที่ต้องการคำตอบ แต่มันคงไม่มีใครให้คำตอบกับผมได้ ผมนึกขำเมื่อคิดถึงคำพูดของยาย ที่เคยบอกว่าวันนึงผมจะเข้าใจพ่อกับแม่ วันนึงผมจะได้คำตอบว่าทำไมพวกท่านไม่รักผม แต่จนถึงตอนนี้ผมยังไม่ได้คำตอบเลย แถมไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ผมจะยังได้กลับไปเจอพวกท่านไหม

ถึงผมจะชอบที่นี่ แต่ก็คงอย่างที่หลวงตาบอก ว่านี่มันไม่ใช่ที่ของผม ใครจะรู้พรุ่งนี้ผมอาจกลับไปตื่นที่เดิม หรือบางทีในโลกปัจจุบัน ผมอาจจะตายไปแล้ว วันนึงผมอาจจะไม่ได้ตื่นขึ้นมาที่ไหนอีกเลยก็เป็นได้ แต่ทุกคนก็เอาแต่บอกว่าวันนึงผมจะได้รู้คำตอบในสิ่งที่สงสัย แล้วมันเมื่อไหร่กันล่ะ

“สบายใจขึ้นบ้างไหม”เค้าเอ่ยถามหลังจากเงียบมาตลอด หรือที่เค้าชวนผมเดินมานี่ก็แค่เพื่อให้ผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้นบ้างอย่างงั้นเหรอ จากที่สังเกตเค้า จริงๆ ผมว่าเดวี่เป็นคนขี้เล่น ดูยุกยิกๆ โน่นนี่นั่นตลอดเวลา คงไม่แปลกที่ปราชจะตามติดพี่ชายคนนี้ แต่ในบางมุมเดวี่ก็ดูพยายามไม่เล่นมาก และเหมือนพยายามไม่เล่นกับผมมากจนเกินไป คงด้วยวัยของเค้าที่คงต้องมีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น

“บอกแล้วว่าผมไม่ได้เป็นอะไร”แม้ในหัวของผมจะยังเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย แต่ผมก็คงไม่สามารถบอกเล่าให้เค้าได้ฟังได้ คงทำได้เพียงอย่าให้เค้าเป็นห่วงก็พอ เช่นเดียวกับพ่อแม่ของผมที่ผมก็ไม่ควรให้เค้าเป็นห่วงเช่นกัน

“งั้นเรากลับกันดีกว่าเนอะ นี่เราก็เดินมาไกลมากแล้ว”เราเดินย้อนกลับในทางเดิน ผมมองไปรอบๆ ที่ตอนนี้เหมือนจะเริ่มบ่ายคล้อย นี่เราเดินกันมาไกลขนาดไหนกันนะ ทั้งๆ ที่รู้สึกเหมือนคิดอะไร เพลินๆ แค่เพียงไม่นาน แต่ดูจากสภาพรอบๆ ที่แดดร่มลมตกขนาดนี้แล้ว ที่เราสองคนเดินมาคงใช้เวลาไปมาก

ช่วงเวลาเดินกลับผมเลิกคิดถึงสิ่งที่กังวลมาทั้งวัน มันทำให้ผมได้ซึมซับกับบรรยากาศรอบๆ ได้มากขึ้น บรรยากาศที่ตั้งแต่เกิดมาผมคงไม่เคยได้สัมผัส ผมหยุดเดิน และสูดอากาศเข้าเต็มปอด อากาศที่สูดเข้าไปแล้วสดชื่นกว่าที่ผมเคยเจอในชีวิตตอนปัจจุบัน วิถีชีวิตของคนที่นี่ช่างน่าอิจฉา ไม่มีความวุ่นวาย ไม่มีความเร่งรีบ ไม่มีมลพิษ

“คืนนี้ขอไปนอนค้างด้วยได้ไหม”พอกลับมาถึงบ้าน ผมเริ่มรู้สึกผ่อนคลายลงมากแล้ว แต่เห็นหน้ายิ้มแป้นของคนมาส่งถึงบันไดบ้านนี่ มันทำให้ผมคิดถึงอ้อมกอดของเค้า อ้อมกอดที่มันมีความอบอุ่นอย่างที่ผมไม่เคยได้รับมาก่อน



TBC

ออฟไลน์ autopilot

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
มาต่อเถิดนะคะ อยากอ่านต่อแล้วววว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
มาต่อเถิดนะคะ อยากอ่านต่อแล้วววว


ขอเวลาอีกนิดนะคร๊าบบ

พอดีตอนนี้งานกะยุ่ง เลย ต่ออยู่เรื่องเดียว ที่ "ผิดที่ใคร"

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 6
ทดสอบ




หลังจากได้รับการตอบรับจากเดวี่ให้ผมมาค้างได้ หลังจากผมอาบน้ำเปลี่ยนเป็นใส่ชุดนอน เสร็จเรียบร้อย ก็ตรงมายังบ้านของคุณหมอเดนนิส ซึ่งจริงๆ เค้าก็ยินดีให้ผมมาอยู่แล้ว จากการบอกเล่าของเค้าปราชก็มาค้างกับเค้าบ่อยๆ แต่สำหรับผมนี่คือแค่ครั้งที่ 2 ที่ได้เข้ามาในห้องนี้ เค้าไม่ได้ห้ามที่ผมขอดูสิ่งต่างๆ ในห้องของเค้า

จริงๆ เค้ายินดีเสียด้วยซ้ำ ที่ผมอยากจะดูสิ่งต่างๆ เพราะเดวี่คิดว่าผมอาจจะจำอะไรขึ้นมาได้บ้าง ในห้องนอนเค้าถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่มีอยู่มุมนึงที่น่าสนใจสำหรับผม คือชั้นหนังสือ เค้ามีหนังสืออยู่เยอะเลยทีเดียว แสดงว่าเดวี่น่าจะเป็นนักอ่านตัวยงเหมือนกันนะเนี่ย

“คุณคิดจะอยู่ที่นี่อีกนานไหม”ผมหยิบสมุดโน้ตเล่มนึงออกมาเปิดดู จึงเกิดความสงสัย เพราะมันเป็นการจดคำศัพท์ ภาษาอังกฤษ ที่มีคำอ่านแบบ คาราโอเกะ เป็นตวามหมายในภาษาไทย แต่ดูเหมือนสมุดโน้ตเล่มนี้จะไม่ได้ใช้งานมานานแล้ว

“นานเท่าที่อยากอยู่”เค้าตอบพร้อมยิ้มกว้าง แต่ก็ดูเป็นคำตอบปลายเปิด ที่เค้าคงยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอยู่ที่นี่ไปอีกนานแค่ไหน แต่มันก็ทำให้ผมสงสัยว่าถ้าเค้ายังอยู่นี่ไปเรื่อยๆ แล้วทำไมเค้าไม่เรียนภาษาไทยเพิ่ม จริงๆ เค้าก็เรียนภาษาไทยได้ในระดับที่พอฟังเข้าใจบ้างแล้วนะครับ จากที่เคยคุยกับเค้า แต่ต้องพูดชัดๆ เค้าถึงจะเข้าใจ แต่ทักษะการพูดของเค้านี่น่าจะเทียบเท่าเด็ก 2 ขวบครับ พูดทีแทบต้องใช้วุ้นแปลภาษาในการทำความเข้าใจ

“ไม่เห็นต้องลำบากเรียนเพิ่ม เพราะมีปราชเป็นล่ามให้เดวี่อยู่แล้ว”และนั่นคือคำตอบของเค้าเมื่อผมตั้งคำถามว่าทำไมเค้าไม่เรียนภาษาไทยเพิ่ม คำตอบของเค้ามันทำให้ผมคลางแคลงใจเพิ่มขึ้นอีกในความสัมพันธ์ของเดวี่กับปราช

เค้าเรียกให้ผมไปนั่งที่เตียงก่อนจะ หยิบเอาสมุดโน้ตในมือผมไปวางไว้ที่หัวเตียง มือเค้าเอื่อมมารั้งให้ผมนอนลง สายตาเราประสานกัน แม้จะไม่ค่อยมั่นใจในความสัมพันธ์ของสองคนนี้แต่ผมว่าความรู้สึกระหว่างสองคนนี้มันอาจจะมีความพิเศษมากกว่าพี่น้องธรรมดาแน่ๆ

“นอนเถอะ”เค้าโน้มหน้ามาจรดลงที่หน้าผากของผม เหมือนครั้งก่อน ที่ผมมานอนห้องนี้ นี่ยิ่งทำให้ผมเพิ่มความสงสัย จนรู้สึกอยากทดสอบอะไรบางอย่าง ผมมองหน้าเค้านิ่ง ก่อนจะค่อยๆ ขยับหน้าเข้าไปใกล้เค้า เดวี่มีความสงสัยอยู่ในแววตา ว่าผมจะทำอะไร ผมค่อยๆ ขยับเข้าไปเรื่อยๆ จนริมฝีปากของเราสัมผัสกัน ดูเค้าตกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ห้ามหรือปฏิเสธผม นั่นทำให้ผมได้ใจ ดันลิ้นเข้าไปในปากของเค้า

“พอเถอะ”เหมือนเพิ่งได้สติ เค้าถอนปากออก แล้วลุกขึ้นนั่งหันหลังให้กับผม จากปฏิกิริยาของเค้า ผมว่าทั้งตัวเค้าเองและปราชคงไม่เคยทำอะไรแบบนี้กันแน่ๆ แม้ผมจะไม่รู้ว่าจริงๆ ปราชรู้สึกยังไงกับเดวี่ แต่ผมมั่นใจว่าเดวี่นั่นอาจจะรู้สึกอะไรที่เกินพี่น้องกับปราช เพียงแค่ยังไม่รู้ตัว หรืออาจจะยังไม่อยากจะยอมรับแค่นั้นเอง

“อย่าไปเที่ยวทำแบบนี้กับคนอื่นอีกนะ”เค้าพูดก่อนจะลุกขึ้น เดินอ้อมเตียงไปโดยไม่หันมามองหน้าผม เค้าน่าจะกำลังสับสนในความรู้สึกที่มีต่อปราช จริงๆ ถ้าเค้าไม่ได้รู้สึกพิเศษต่อกัน ผมว่าเดวี่อายุอานามขนาดนี้ ในยุคสมัยแบบนี้คงมีคู่ครองไปแล้ว

“ก็แค่การแสดงความรักในแบบน้องชายกับพี่ชาย”ผมนึกสนุกอยากแกล้งเค้า เลยพูดออกไป แบบนั้น แต่เค้าไม่ได้ตอบอะไรผมกลับมา เค้าเดินเปิดประตูออกจากห้องไป มันอาจจะเป็นเรื่องยากที่จะให้เค้าเข้าใจความรู้สึกของตัวเองในยุคสมัยแบบนี้ ผมค่อยๆ ล้มตัวลงนอน โดยไม่ได้คิดอะไรอีก แต่นอนยังไงก็ไม่หลับ พลิกตัวแล้วพลิกตัวอีก

ผ่านไปพักใหญ่ เดวี่กลับเข้ามานอนลงข้างๆ ผม แม้จะอยู่ในความมืด แต่แสงจันทร์ที่ส่องลอดเข้ามาภายในห้องก็ทำให้มองเห็นว่าเค้าจ้องมองผมอยู่

“คุณไม่เป็นไรใช่ไหม”ผมเอ่ยถามออกไปเมื่อเห็นว่าแววตาเค้าดูมีความกังวลอยู่มาก มากจนผมเริ่มรู้สึกผิดที่คิดเล่นกับความรู้สึกของเค้าแบบนี้ ผมอาจจะคิดน้อยไป เพราะอาจไม่เคยต้องมาเจอสถานการณ์ลำบากใจเช่นเค้า

“อย่าทำแบบนี้อีกนะเด็กน้อย”เค้าบอกผมว่าอย่าทำ แต่เค้ายังเอื้อมมือมาลูบหัวผมแบบนี้ หรือที่มาจูบหน้าผากผม มันดูย้อนแย้งกันอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

“ไม่ชอบเหรอ”ผมถามกลับพร้อมกับขยับเข้าหาอ้อมกอดของเค้า ซึ่งเค้าเองก็ไม่ได้ผลักไสผมออก เห็นได้ชัดว่าเค้าแค่ยังไม่ยอมรับความรู้สึกของตัวเองแค่นั้น

“นอนเถอะ”เค้าไม่ได้ตอบอะไรผม แต่ตัดบทด้วยการบอกให้ผมนอน และกอดกระชับผมเข้าหา ผมแอบอมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงในอ้อมกอดของคนปากแข็งนี่





“เฮือก”ผมลืมตาตื่นขึ้น เม็ดเหงื่อเกาะทั่วทั้งตัว ผมค่อยๆ แกะมือของคนที่เกาะกุมออก เค้ายังคงนอนนิ่ง หายใจอย่างสม่ำเสมอ ผมค่อยๆ ลุกจากเตียง เดินออกไปที่ระเบียง เหม่อมองออกไปด้านนอก คืนนี้เป็นคืนเดือนหงาย ทำให้มองเห็นทุกอย่างจางๆ ภายใต้แสงจันทร์ สายลมอ่อนๆ พัดมากระทบใบหน้า จริงๆ ผมน่าจะรู้สึกผ่อนคลาย หากแต่ตรงกันข้าม

ความฝันเมื่อสักครู่สร้างความแปลกใจให้ผมอีกแล้ว ผมไม่ได้ฝันเห็นปรางมาบีบคอ ไม่ได้เห็นพ่อแม่ ปรางอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยเลือด หากแต่ผมฝันเห็นที่ไหนก็ไม่รู้ ที่เหมือนกันกับทุกครั้งคือมีเลือด เลือดเต็มไปหมด มีเสียงร้องไห้ แต่ผมเห็นหน้าไม่ชัดว่าคนเหล่านั้นคือใคร หรือสถานทีในฝันนั้นคือที่ไหน

ทำไมเรื่องเดิมผมยังไม่ทันได้รับคำตอบด้วยซ้ำ ทำไมถึงมีเรื่องใหม่มาให้ผมต้องหาคำตอบอีก คนที่พาผมมาต้องการอะไรกันแน่ ผมพ่นลมหายใจออกอย่างอ่อนใจ คิดยังไงผมก็คงยังไม่ได้คำตอบอยู่ดี

“ออกมาทำอะไรเด็กน้อย”ผ้าบางๆ ถูกวางคลุมมาที่ไหล่ผม หลังมือเค้ายื่นมาแตะที่แก้มผม ผมไม่ได้ตอบอะไรเค้า ผมเลือกที่จะมองไกลออกไป ผมแค่อยากนั่งเงียบๆ แบบนี้ เดวี่นั่งลงข้างๆ ผม พร้อมกับยื่นมื่อโอบไหล่ผม ผมค่อยๆ เอนศีรษะพิงไหล่ของเค้าอย่างไม่ขัดขืน สิ่งที่อยู่ในฝันของผมยังคงวนเวียนในความคิด

“มีอะไรเล่าให้เดวี่ฟังได้นะ”เค้าถามอย่างอ่อนโยน สัมผัสของเค้าเหมือนจะช่วยคลายความกังวลผมลงไปได้บ้าง เวลาอยู่กับเค้ามันทำให้ผมมีความรู้สึกอบอุ่นแปลกๆ เป็นความอบอุ่นที่แตกต่างจากของยายที่ผมเคยได้รับ

“คุณเชื่อเรื่องชาติหน้าไหม”ผมไม่รู้หรอกครับว่าที่ผมเจออยู่ตอนนี้มันคืออดีตชาติของผม หรือผมแค่ฝันไป หรือมันคือโลกคู่ขนาดอีกด้านของผม ผมไม่รู้ว่าผมจะอยู่ที่นี่ไปจนแก่เฒ่า หรืออาจเสียชีวิตตั้งแต่ยังหนุ่ม แล้วถ้าผมตายที่นี่ ผมจะไปตื่นขึ้นที่ไหน เป็นสิ่งที่ผมกำลังคิดอยู่ตอนนี้

ถ้าทุกอย่างจะค่อยๆ คลี่คลายออกมาให้ผมได้รับรู้ตามที่หลวงตาบอก ผมก็ควรจะต้องรอสินะ รอให้ทุกอย่างมันเป็นไปในทางที่มันควรจะเป็น

“เดวี่เชื่อในพระคริสต์ คนเราเกิดครั้งเดียว ตายครั้งเดียว และเราจะได้รับการตัดสินพิพากษาตามความดีงามที่ทำในชีวิตก่อนตาย”ผมก็ไม่น่าถาม เค้ากำลังเป็นบาทหลวงฝึกหัด แม้ผมจะไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์แต่ก็เคยเรียนมา ซึ่งตามที่ผมเข้าใจก็คงไม่ต่างจากที่เดวี่บอกเมื่อสักครู่เท่าไหรา

“แต่เดวี่ก็เชื่อว่าพระเจ้าสามารถทำให้เรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้นได้”แล้วที่ผมกำลังเจออยู่ตอนนี้มันคือเรื่องอัศจรรย์อย่างที่เค้าว่าหรือเปล่า

“งั้นผมขอให้คุณเป็นเรื่องอัศจรรย์ของผม”ไม่รู้ว่าอะไรทำให้ผมพูดออกไปแบบนั้น อย่าว่าแต่เดวี่เลยที่จะไม่เข้าใจในคำพูดของผม เพราะตัวผมเองยังไม่เข้าใจตัวเองเลยด้วยซ้ำ

“ได้สิ เพราะตอนนี้เด็กน้อยก็เป็นเรื่องอัศจรรย์ของเดวี่”ไหล่ผมถูกวงแขนกว้างของเค้ากระชับเข้าหาแน่นขึ้นกว่าเดิม ผมเผลอปิดเปลือกตาลงโดยไม่รู้ตัว แต่เพียงวูบเดียวที่เหมือนผมจะหลับ เสียงเดิมก็ดังก้องเข้ามาในหัวของผมทันที

“เจ้าต้องชดใช้ในสิ่งที่เจ้าทำ”

ผมสะดุ้งขึ้นแทบจะทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น จากครั้งแรกที่ผมได้ยินเสียงนี้มันเหมือนเสียงกระซิบแผ่วๆ แต่ยิ่งผมฝันบ่อยมากขึ้นเท่าไหร่ เสียงก็ยิ่งดังขึ้น แข็งกร้าวขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้ชัดว่าเจ้าของเสียงใส่ความเกลียดชังลงไปในน้ำเสียงนั้น

“เป็นไรหรือเปล่า”คนที่กอดผมไว้รีบถาม ผมส่ายหน้าปฏิเสธ ความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาในหัวของผม หากทุกครั้งที่ผมหลับ ผมจะฝันเห็นเรื่องราว แล้วในแต่ละครั้ง เรื่องราวมันจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แล้วถ้าหากผมนอนมากขึ้น เรื่องราวทั้งหมดมันจะมาให้ผมเห็นเร็วขึ้นหรือเปล่า ผมลุกขึ้นเดินเข้าห้องนอนจนเดวี่ต้องเดินตามมาด้วยอย่างงงๆ

“ง่วงแล้ว”ผมล้มตัวลงนอนที่เตียงตามเดิม ส่วนอีกคนก็นอนลงที่เตียง ข้างๆ ผมเช่นกัน เค้าดึงผมเข้าไปไว้ในอ้อมกอดเช่นเดิม ผมว่าผมคงไม่ต้องสงสัยอะไรเกี่ยวกับความรู้สึกของเดวี่อีกแล้ว ผมรู้สึกดีนะครับที่ได้รับการปฏิบัติจากเค้าแบบนี้ แต่ติดตรงที่ผมไม่ใช่คนที่เค้ากำลังคิดว่าใช่ ชีวิตผมนี่ก็ยังไม่ได้ต่างจากเดิมเท่าไหร่เลย

ผมพยายามข่มตาหลับ ปิดเปลือกตาลง พยายามให้ตัวเองหลับ แต่มันกลับกลายเป็นว่า เหมือนผมพยายามมากไป พยายามมากจนมันกลายเป็นฝืน และสุดท้ายผมก็นอนไม่หลับ ผมพลิกตัวไปมาจนเจ้าของอ้อมกอดที่กอดผมไว้คงเริ่มจะรู้สึกตัว

“นอนไม่หลับหรือเด็กน้อย”มือหนาของเค้าเลื่อนมาลูบหัวผมอย่างแผ่วเบา ตามด้วยจมูกของเค้าที่โน้มมาสัมผัส ผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้น แต่มีความรู้สึกบางอย่างมาแทนที่ ให้ตายสิผมกำลังนึกถึงเซกส์

“เดวี่”ผมเรียกชื่อเค้าเสียงแผ่ว เค้าส่งเสียงอืมในลำคอเป็นการขานรับ

“คุณไม่คิดว่า...การที่เราสองคนใกล้ชิดกันแบบนี้มันไม่แปลกบ้างเหรอ”แม้จะมั่นใจว่าตัวเค้าคิดยังไงกับปราช แต่แน่นอนผมว่าเค้าคงยังไม่ยอมรับความรู้สึกตัวเองแน่นอน สมองผมเริ่มสั่งการให้คิดบางอย่าง บางอย่างที่อาจจะไม่ใช่เรื่องดี แต่ความต้องการในสิ่งที่ผมเคยมีอย่างเมื่อก่อน มันมีแรงขับที่มากกว่า

“เราก็ทำแบบนี้มาตั้งนานแล้ว”ตอนยังเด็กมันก็อาจไม่แปลกอย่างเค้าว่า แต่ตอนนี้ทั้งเค้าและปราชก็ไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว ผมพลิกตัวกลับเพื่อเผชิญหน้ากับเค้า ร่างกายของเราเบียดชิดกันจนผมสัมผัสได้ว่า คงไม่ใช่ผมคนเดียวที่เริ่มมีความต้องการ

“คุณทำให้ผมรู้สึก...”คำพูดของผมหายไป เพราะผมประกบปากลงไปที่ริมฝีปากของเค้า เค้าไม่ได้ปฏิเสธในทีแรก แต่แล้วเค้าก็ผลักผมออก แล้วผุดลุกขึ้นนั่ง

“นอนเถอะ เดี๋ยวเดวี่จะไปนอนอีกห้องเอง”เค้าบอกก่อนจะลุกเดินออกไป หรือนี่ผมกำลังทำสิ่งที่ผิดพลาด




TBC
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-12-2016 16:40:53 โดย norita_boyV2 »

ออฟไลน์ beedy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
 :z2: :z3:  ค้างงงงงง

ชอบเรื่องนี้มากจ้า

รักคนแต่งน้าสาส  :mew1: :mew1:  เป็นกำลังใจให้จ้า

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 7
ชายปริศนา



“คุณปราช คุณปราชเจ้าคะ”ผมหันไปมองหญิงสาวที่เรียกผม อย่างงงๆ

“ว่าอย่างไร”เพราะมัวแต่คิดอะไรเพลินๆ ทำให้ไม่ทันได้ฟังในสิ่งที่เธอพูดกับผมทั้งเรื่องความฝัน ที่ก็ยังวนเวียนอยู่เหมือนเดิมภาพที่ผมเห็นทุกคนจมอยู่ในกองเลือดมันชัดขึ้นทุกที แต่ผมก็ยังพอเบาใจได้อยู่บ้าง เพราะยังไงปรางก็ยังอยู่ที่โรงหมอ ของหมอเดนนิส ถ้าตามความฝันของผมร่างของปรางต้องถูกเคลื่อนย้าย ซึ่งแน่นอนว่าผมยังไม่เห็นวี่แววการที่ปรางจะถูกย้ายเลย

“เที่ยงว่าช่วงนี้ ไม่เห็นคุณเดวี่เลยนะเจ้าคะ ปกตินี่มีคุณปราชที่ไหน ยังไงก็ต้องได้เจอคุณเดวี่”หญิงสาวพูดไปตามเรื่องตามราวของคนช่างพูด เที่ยงผู้รับผิดชอบหลักในการดูแลผมกับปราง เธอคงสังเกตเห็นความไม่ปกติบางอย่าง บางอย่างที่ผมเองก็รู้ เพราะตั้งแต่วันนั้นที่ผมจูบกับเดวี่ เค้าก็พยายามหลบหน้าผมตลอดๆ ทีแรกผมก็นึกว่าเค้ายุ่งมากจนไม่มีเวลา แต่หลังจากได้คุยกับหมอเดนนิส ทำให้ผมรู้ความจริงว่า เค้าไม่ได้ยุ่งขนาดนั้น

ผมเลยคิดว่า หรือผมจะล้ำเส้นเค้ามากจนเกินไป ตอนนี้เค้าคงกำลังสับสนในความรู้สึกของตัวเอง ส่วนผม ตอนนี้ผมก็กำลังสับสนอยู่เช่นกันว่าควรหยุด ไม่ยุ่งกับความรู้สึกของเดวี่เค้าอีก การปล่อยให้มันเป็นความไม่ชัดเจนระหว่างเดวี่กับปราชต่อไป มันอาจจะดีอยู่แล้ว แต่อีกใจนึงผมก็รู้สึกว่า อยากให้เค้าได้สัมผัสกับความต้องการภายในจิตใจที่แท้จริงของเค้า และผมเองก็จะได้ประโยชน์จากตรงนั้นด้วย อาจจะดูเห็นแก่ตัว แต่ผมก็ยังอยู่ในวัยที่มีความต้องการกับเรื่องเซกส์ จะให้ไปหาจากที่อื่นหรือคนอื่นผมก็ว่ามันจะยิ่งยุ่งยาก สู้ช่วยให้เดวี่ได้สมหวังน่าจะดีกว่า

“เดวี่ ก็คงยุ่งๆ เรื่องการฝึกเป็นบาทหลวงนั่นแหละกระมัง”ผมเลือกที่จะตอบเลี่ยงๆ เพื่อให้เที่ยงไม่ติดใจอะไรมากนัก เที่ยงไม่ได้ถามอะไรอีกเมื่อเห็นว่าผม ไม่อยากต่อบทสนทนา ผมเดินมุ่งหน้าไปยังชานเรือนฝั่งติดกับแม่น้ำ มองทอดสายตาไปตามลำน้ำ ความสงสัยอีกอย่างผุดขึ้นมาในหัวของผม คงเพราะผมมีเวลาว่างมากมายเหลือเกิน ทำให้สมองผมฟุ้งซ่านไปเสียทุกเรื่อง อีกเรื่องที่ผมเริ่มคิดถึงคือ ชีวิตในปัจจุบันของผม เรื่องราวมันดำเนินต่อไปยังไงกันนะ ผมจะกำลังเป็นเจ้าชายนิทรา เหมือนที่ปราชเคยเป็น รอเวลาที่ผมจะกลับไป หรือตอนนี้ปราชจะไปอยู่ที่ร่างของผม ถ้าเกิดเป็นอย่างนั้น ปราชจะใช้ชีวิตแทนผมได้หรือเปล่า

“คิดอะไรอยู่หรือพ่อปราช”เสียงที่เอ่ยถาม พร้อมกับที่เจ้าของเสียงนั่งลงข้างๆ ผม แม่หรือจะเรียกให้ถูกก็คือแม่ของปราช แต่ดูจากรูปลักษณ์ยังไงก็คนเดียวกับแม่ผมนั่นแหละ ผมค่อยๆ พิงศีรษะเข้าหาคนที่เพิ่งนั่งลงข้างผม แม่ค่อยๆ ลูบเส้นผมของผมอย่างห่วงใย ท่านคงสัมผัสได้ว่าผมมีเรื่องอะไรในใจ

“ยังคิดเรื่องความฝันอยู่รึ”ผมไม่ได้ตอบ เพราะมันก็ไม่ใช่ทั้งหมดเสียทีเดียว ความฝันที่ยังคงคาใจผมก็ส่วนนึง แต่เรื่องราวชีวิตจริงๆ ของผมนั่นก็ส่วนนึง ตอนนี้มันปนกันไปหมด ผมพยายามแล้วที่จะไม่เก็บมาคิด แต่ก็อย่างที่บอก ชีวิตที่นี่ของผมมันว่างเหลือเกิน หรือผมควรหาอะไรทำ แต่จะให้ทำอะไรละ หยิบจับอะไรก็มีคนคอยจะทำให้แทบจะเป็นง่อยอยู่แล้ว

“แม่ว่าพ่อปราช ออกไปเที่ยวงานวัดดีไหม วันนี้มีงานวัด อาจจะสบายใจขึ้น แม่จำได้ว่าพ่อปราชชอบขอไปเที่ยวงานวัดอยู่บ่อยๆ”งานวัดงั้นเหรอ ผมเนี่ยนะชอบไปงานวัด ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยไปงานวัดสักครั้งเลยก็ว่าได้ แต่นั่นมันชีวิตผมนี่เนอะ นี่มันชีวิตปราช ปราชชอบขนมหม้อแกง ปราชชอบงานวัด ดูเป็นชีวิตที่ไม่น่าสนใจเลย อย่างว่าจะให้ทำไงได้ชีวิตในยุคนี้มันก็คงไม่มีอะไรให้ทำมากไปกว่านี้ละมั้ง

“ว่าไงพ่อปราช ให้นังเที่ยงมันพาไปเดินเที่ยวงานวัดสักหน่อยปะไร”ผมเงยหน้าขึ้นมอง เพราะเริ่มรู้สึกว่าก็ดูเป็นกิจกรรมอะไรที่ดีกว่าการนั่งๆ นอนๆ อยู่บ้านแบบนี้

“แต่เที่ยงว่าไม่น่าจะเหมาะนะเจ้าคะ คุณปราชก็ยังจำอะไรไม่ค่อยได้ ถนนหนทางก็ยังไม่ค่อยคุ้น ปกติมีคุณปราชก็ไปกับคุณเดวี่ ให้ไปกับเที่ยงเกรงจะมีอันตรายหรือเปล่าเจ้าคะ”สาวใช้ของผมกล่าวแย้งขึ้นมา จริงๆ ผมว่าที่นี่ก็ไม่น่าจะมีอันตรายอะไร ดูเที่ยงจะวิตกกังวลมากเกินไปเสียละมั้ง แต่อย่างว่าทุกคนก็คงคิดว่าปราชที่ถูกเลี้ยงมาอย่างไข่ในหินขนาดนี้ในสายตาคนอื่นๆ ก็คงมองปราชเป็นแค่เด็กอ่อนแอคนนึง

“ข้าก็ไม่ได้จะให้เองไปคนเดียวเสียเมื่อไหร่ ก็ให้ไอ้พวกผู้ชายมันตามไปดูแลด้วย แต่เองต้องเป็นคนพาพ่อปราชเค้าเดินดูงาน เองนี่ก็”แม่หันไปดุเที่ยงอย่างไม่จริงจังนัก จะว่าไปที่เที่ยงบอกว่าปกติปราชมักจะไปงานวัดกับเดวี่ งั้นผมว่าผมเริ่มคิดอะไรออกแล้ว

“คุณแม่ขอรับ งั้นกระผมขอลองไปชวนเดวี่ดูก่อนนะขอรับ เผื่อว่าเดวี่ว่าง จะได้ไม่ต้องให้พวกบ่าวไพร่ แห่กันไปตามลูกเป็นพรวน”ผมเสนอความเห็น เพราะอยากดูปฏิกิริยาของเดวี่ด้วย ว่าเค้าจะปฏิเสธผมยังไง หรือจะเลี่ยงผมด้วยวิธีไหนอีก เมื่อไม่มีเสียงคัดค้านใดๆ ผมมุ่งตรงไปยังบ้านของคุณหมอเดนนิส แต่สุดท้ายผมก็ต้องผิดหวังเมื่อรู้ว่าเดวี่ยังไม่กลับมาบ้าน นี่เค้าจะพยายามหลบหน้าผมไปถึงเมื่อไหร่กัน

“เดวี่ไม่อยู่แล้วพ่อปราชอยากไปหรือเปล่า ถ้าอยากไปแม่จะให้พวกบ่าวไพร่ตามไปสักคนสองคน พ่อปราชก็ให้นังเที่ยงมันพาเดินเล่น ดูอะไรสักหน่อย”ผมตัดสินใจไปเที่ยวงานวัดตามที่แม่แนะนำ แม้จะผิดหวังที่ไม่ได้ไปกับเดวี่ แต่ไปกับเที่ยงก็สนุกไปอีกแบบครับ หญิงสาวช่างพูดและช่างอธิบาย เที่ยงเป็นคนที่อยู่กับผมมากที่สุดจนเริ่มรู้แล้วว่าผมไม่ใช่แค่จำคนไม่ได้ แต่สิ่งของ การกระทำอะไรต่างๆ ที่คนอื่นเค้าทำกันเป็นปกติผมก็ไม่รู้จัก แน่ละผมไม่ใช่คนในยุคสมัยนี้ ขนบธรรมเนียมต่างๆ ผมเองเลยไม่คุ้นเคย แม้จะเคยผ่านตาจากการเรียนประสัติศาสตร์มาบ้าง มันก็ไม่ช่วยให้ผมรู้ไปเสียทุกอย่าง

“ประทีปแก้วสวยดีนะเจ้าคะ”ตอนนี้ผมอยู่ที่วัดแล้วผู้คนในวัดค่อนข้างหนาตา กว่าที่ผมและบรรดาบ่าวที่ติดตามจะมาถึงวัดก็เริ่มมืดแล้ว เที่ยงชี้ให้ผมดูโคมไฟแก้วที่ประดับเป็นแถวยาวตามทางเดิน ก็ดูสวยแปลกตาดีครับ นี่ถ้าเป็นยุคปัจจุบันผมว่าคนที่อยู่ในนี้คงต่างแย่งกันถ่ายรูปเพื่อลงโซเชียลกันเป็นแน่

“ขำอะไรหรือเจ้าคะ”หญิงถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจการอาการของผม แต่ผมก็เพียงส่ายหน้าปฏิเสธยิ้มๆ ว่าไม่มีอะไร นี่ผมมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่นานแค่ไหนกันแล้วนะ มันก็น่าแปลกที่ผมไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองขาดความสะดวกสบาย หรือว่าอยู่ไม่ได้ที่ขาดเทคโนโลยี ที่นี่ทุกคนมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน ถามไถ่ทักทาย มันไม่ใช่แค่ส่งสติกเกอร์ไลน์หากันเหมือนที่ผมเคยคุ้น

“คุณปราชเจ้าคะรำโคมจะเริ่มแล้วขอเที่ยงหยุดดูสักประเดี๋ยวนะเจ้าคะ”เที่ยงชี้ไปทางกลุ่มหญิงสาวที่แต่ชุดเหมือนๆ กันกลุ่มนึง ทุกคนถือโคมไฟรูปดอกบัวสีชมพู ผมพยักหน้าเป็นสัญญานให้เที่ยงและเดินตามหญิงสาวไปหยุดยืนดูรำโคมอย่างที่เธอบอก เสียงบรรเลงเพลงเริ่มต้นขึ้น การร่ายรำที่อ่อนช้อยไปตามจังหว่ะก็ดำเนินไป แม้จะเป็นการแสดงที่น่าสนใจ แต่สำหรับผมและบ่าวผู้ชายอีก 2 คนที่ติดตามผมมาคงเห็นตรงกันว่ามีอย่างอื่นน่าสนใจกว่า

ผิดกับเที่ยงที่ยืนดูด้วยสายตาระวาววับ คงชอบมากสินะ ผมหันไปบอกกับบ่าวผู้ทั้งสองว่าอยากไปเดินดูอะไรก็ไปตามสบาย แล้วค่อยเจอกันที่หน้าวัดในตอนจะกลับ ทั้งสองปฏิเสธคำอนุญาตของผมเพราะคำสั่งที่รับมาคือตามดูแลผม เลยไม่กล้าที่จะแยกตัวออกไปหรือปล่อยให้ผมคลาดสายตา แต่พอเจอคำขู่ผมว่าจะไปฟ้องแม่ว่าทั้งคู่ขัดคำสั่งผมทั้งคู่เลยยอมแยกตัวออกไป จริงๆ ผมก็แค่ขู่ไปอย่างนั้นแหละครับ แค่อยากให้ทั้งสองคนได้ไปเที่ยวเล่นบ้างแค่นั้น

ระหว่างยืนรอเที่ยงอยู่นั่นสายตาผมก็พลันไปสบตากับผู้ชายคนนึงที่อยู่อีกฝากของคณะนางรำ จะไม่แปลกเลยถ้าเค้าไม่ได้จ้องมองที่ผมอยู่ก่อนแล้ว และอีกอย่างคือผมรู้สึกคุ้นเคยกับสายตาคู่นั้นเหลือเกิน เค้ากระชับผ้าที่คลุมศีรษะอยู่อย่างรวดเร็ว เมื่อรู้ตัวว่าผมสังเกตเห็นเค้าแล้ว ผมหันมองเที่ยงที่ดูจะยังสนใจนางรำอยู่จนเหมือนจะลืมผมไปแล้ว

ผมไม่เข้าใจว่าทำไมผู้ชายที่มีผ้าคลุมศีรษะปิดหน้าปิดตาคนนั้นถึงดึงดูดความสนใจของผม เค้ากำลังจะเดินหลบออกจากจุดที่ผมมองเห็นเค้า ผมหันไปมองเที่ยงอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจเดินฝ่าฝูงชนตามผู้ชายคนนั้นไป ผมเดินชนคนนั้นคนนี้โดยไม่สนใจคำตะโกนด่าไล่ตามหลัง ผมไม่ได้หันกลับไปมอง เพราะสายตามัวแต่จับจ้องกับแผ่นหลังของชายผู้นั้น

“รอเดี๋ยว”ผมตะโกนขึ้น เพราะมั่นใจว่าชายผู้นั้นรู้แล้วว่าผมตามเค้ามา เค้าหยุดเดิน ทำให้ผู้คนที่เบียดเสียดอยู่กระแทกที่ผู้ชายคนนั้น ผ้าที่คลุมศีรษะของเค้าค่อยๆ ร่วงลงสายตาผมจับจ้องที่ใบหน้าเค้าจนลืมที่จะก้าวตามไป เค้าค่อยๆ หันหน้ากลับมาเพื่อหยิบผ้าผืนนั้น ผมเห็นหน้าเค้าแล้ว ผมรู้สึกคุ้นเคยกับใบหน้า รวมถึงแววตาของเค้าที่จ้องกลับมาที่ผม แต่ผมกลับไม่ยักจำได้ว่าเคยเจอหรือรู้จักเค้าที่ไหน

“เด็กน้อย”เสียงเรียกพร้อมสัมผัสเกาะกุมข้อมือรั้งไม่ให้ผมก้าวตาม ผมหันกลับมามองเจ้าของเสียงที่เรียกผม แค่ภาษาที่ใช้ผมก็ไม่ต้องเดาแล้วว่าใคร เดวี่ดึงข้อมือผมไว้ ก่อนจะมองเลยไปว่าผมกำลังมองหาใครอย่างสงสัย ผมหันกลับไปมองแผ่นหลังของชายผู้นั้นอีกครั้ง เค้าหันกลับมาสบตากับผมและค่อยๆ คลี่ยิ้มแต่มันช่างเป็นยิ้มที่เยือกเย็นและน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก และในเสี้ยววินาทีผมรู้สึกเหมือนโดนของแข็งกระแทกที่หัวอย่างแรง

ความเจ็บปวดพุ่งปรี๊ดขึ้นมาทันที มันเป็นความรู้สึกเดียวกับวันที่ผมโดนแทกซี่ลอกคราบ วันที่ทำให้ผมตื่นขึ้นมาที่นี่สายตาผมเริ่มพล่าเบลอ ภาพต่างๆ เริ่มเบลอ สีหน้าของเดวี่เหมือนกำลังตกใจอย่างสุดขีดเค้าเอื้อมมือมาคว้าผมไว้พร้อมร้องเรียก

“ปราช ปราช ปราชเป็นอะไร เด็กน้อยทำใจดีๆ ไว้”เสียงที่ได้ยินเริ่มแผ่วลง แผ่วลงและสุดท้ายก็เบาจนผมแทบไม่ได้ยิน แต่ความรู้สึกปวดหัว จนเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ กลับยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ผมพยายามดิ้นทุรนทุราย เพียงเพราะหวังว่าอาการเจ็บปวดที่มีจะทุเลาลง

“ปอนด์ ปอนด์เป็นยังไงบ้าง”ความเจ็บปวดยังไม่ได้ทุเลาลงแต่เสียงเรียกที่หูผมได้ยินกลับเปลี่ยนเป็นชื่อของผมจริงๆ นี่ความเจ็บปวดมันทำให้ผมหูแว่ว หรือมันจะเกิดอะไรขึ้นกับผมอีก

“เมื่อไหร่คุณหมอจะมาคะคุณพยาบาล”เสียงของแม่นิ แล้วตอนนี้มันกำลังเกิดอะไรขึ้นกันแน่

“ปอนด์ ปอนด์ลืมตาสิลูก”ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนโดนกดไม่ให้ขยับมันเหมือนแขนขาถูกยึดไว้ แต่ความเจ็บปวดทำให้ผมต้องพยายามดิ้นทุรนทุรายต่อไปอย่างหยุดไม่ได้

“คุณหมอมาแล้วค่ะ”เสียงบทสนทนายังคงดำเนินต่อไปโดยที่ผมได้ยินแค่เสียงเพราะลืมตาไม่ขึ้น มันเหมือนคนอยากจะตื่นแต่พยายามลืมตายังไงก็ลืมไม่ขึ้น

“คุณแม่รอข้างนอกก่อนนะครับ จากอาการตอนนี้อย่างน้อยเราก็มั่นใจได้แล้วว่าการใช้ไฟฟ้ากระตุ้นสมองของคนไข้ใช้ได้ผล คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”นี่ผมกำลังอยู่ในโลกปัจจุบันอย่างงั้นเหรอ จากสิ่งที่ได้ยินแสดงว่านี่ผมคงกลายเป็นเจ้าชายนิทราอยู่สินะ ผมรวบรวมแรงที่เหลือทั้งหมดพยายามจะลืมตาขึ้น

“โอ้ยยยย”ผมตะโกนสุดเสียงเพื่อต่อสู้กับความเจ็บปวดที่กำลังเผชิญอยู่ เหมือนจะได้ผลความเจ็บปวดที่มีเมื่อสักครู่หายไปจนหมด แต่เสียงรอบข้างผมก็เงียบไปด้วย เงียบเหมือนกับว่าผมไม่ได้อยู่ที่เดิมแล้ว

“เจ้ายังไม่ได้ชดใช้ในสิ่งที่เจ้าทำ”เสียงกระซิบเย็นยะเยือกส่งเสียงที่ข้างหูของผม จนผมต้องรีบลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว

“เฮ้ย”ผมแทบขวัญกระเจิงเมื่อลืมตาขึ้นเพราะใบหน้าของปรางมาอยู่ตรงหน้าผม มันเหมือนเธอนอนคว่ำหน้าทับผมอยู่ แต่เพียงแค่แวปเดียวภาพนั้นก็หายไป ผมลุกขึ้นนั่งหายใจหอบถี่ รับรู้ได้เลยว่าเม็ดเหงื่อคงผุดเต็มหน้าผมแล้ว ผมหันมองรอบๆ ตัวมันไม่ได้ต่างจากวันแรกที่ผมตื่นมาที่นี่ ข้างๆ ผมมีปรางที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงถัดไป ส่วนอีกด้านคือเที่ยงสาวใช้ที่มีสีหน้า ตกใจระคนดีใจ ที่ดูจะมากกว่าครั้งก่อนอยู่พอสมควร กำลังจ้องมองมาที่ผม

“คุณปราชฟื้นแล้ว คุณปราชฟื้นแล้ว คุณปราชอย่าเพิ่งลุกนะเจ้าคะ ขอเที่ยงตามนายฝรั่งก่อน เที่ยงไหว้นะเจ้าคะอย่าลุกไปไหนเด็ดขาด ก่อนที่คอของนังเที่ยงจะหลุดจากบ่า”นี่มันเกิดอะไรขึ้นอีกละเนี่ย ที่จำได้คือผมล้มลงที่งานวัดตอนที่เดวี่ดึงแขนผมไว้ แต่นี่ผมมาตื่นอยู่ที่โรงหมอของคุณหมอเดนนิส

“เด็กน้อยตื่นแล้ว เดวี่คิดว่าเด็กน้อยจะหลับไปนานแบบเดิมเสียแล้ว”คนที่เข้ามาหาผมคนแรกหลังจากเที่ยงออกไปไม่ใช่หมอเดนนิส แต่เป็นเดวี่ พอเข้ามาเห็นผมนั่งอยู่ก็ตรงเข้ามาสวมกอดผมทันที จนผมตั้งตัวไม่ทัน แต่มันก็เป็นอ้อมกอดที่อบอุ่น เหมือนกอดต้อนรับกลับบ้าน อย่างที่บอกว่ากอดของเดวี่อบอุ่นไม่เหมือนกอดของยายที่ผมคุ้นเคย แต่เดี๋ยวก่อน

“เดวี่ร้องไห้ทำไม”ผมเอ่ยถามเมื่อสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นและเสียงสะอื้นเบาๆ ของพ่อฝรั่งที่กอดผมอยู่




TBC
ดองจนเกือบลืม 555555
จากนี้จะพยายามมาต่อบ่อยๆ (เหรอ)

 :z3:

ออฟไลน์ korinasai

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 309
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
ปราชทำอะไรปราง ให้ชดใช้ด้วยอะไร?

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ตกลงเรื่องราวมันเป็นยังไงกันแน่นะ ปริศนาเยอะเกิน

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 8
ฝืน




“เดวี่กลัว กลัวว่าเด็กน้อยจะไม่ตื่นขึ้นมาเจอเดวี่อีก”ผมยังคงนั่งอมยิ้มอยู่กับการนึกถึงประโยคนี้ ภาพฝรั่งตัวโตที่น้ำตาน้ำมูกเปรอะเปื้อน พร่ำบอกว่ากลัวจะไม่ได้เจอกับผมอีก แบบนี้ผมยิ่งมั่นใจขึ้นไปอีกว่าเดวี่คิดยังไงกับปราช แล้วนี่ผมจะดีใจทำไม ผมไม่ใช่ปราชสักหน่อย คนที่เดวี่มีความรู้สึกดีๆ ให้คือปราช ไม่ใช่ปอนด์

“คุณปราชรู้ไหมเจ้าคะ”เสียงสาวใช้ที่นั่งร้อยมาลัยอยู่ข้างๆ ผมสะกิดให้ผมหยุดคิดเรื่องของเดวี่ ตั้งแต่ที่ผมหลับไปอีก 2 วันเต็มๆ แล้วตื่นขึ้นมารอบนี้เที่ยงแทบจะสิงร่างผมก็ว่าได้ครับ แต่จุดนี้ผมก็งงเหมือนกันนะครับ จากที่ผมปวดหัวที่งานวัดแล้วเหมือนจะไปโผล่โรงพยาบาล แล้วกลับมาตื่นที่นี่ มันน่าจะกินเวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมง แต่กลายเป็นว่าผมหลับไปตั้ง 2 วัน

“ถ้าคุณปราชไม่ตื่น เที่ยงกับไอ้ 2 คนนั้นโดนคุณหลวงกับคุณหยาดจับถ่วงน้ำแน่นอนเจ้าค่ะ”นี่ก็พูดเกินไป ผมว่าพ่อกับแม่ผมก็คงพูดไปด้วยความโมโหบวกกังวลนั่นแหละ ผมได้ฟังรายละเอียดจากเที่ยงว่าวันนั้นที่งานวัด อยู่ๆ ผมก็หายไปเที่ยงกับบ่าวอีก 2 คนตามหาจนทั่วงาน ตามยังไงก็ไม่เจอ จนดึก แล้วที่บ้านเห็นว่ายังไม่กลับ เดวี่เลยอาสามาตาม อันนี้ก็แปลกเพราะผมจำได้ว่าช่วงเวลาที่เดินตามผู้ชายคนนั้นไป ผมคลาดกับเที่ยงแค่เวลาไม่นาน

แต่กลายเป็นทุกคนตามหาผมจนดึกกว่าที่เดวี่จะเป็นคนเจอตัวผม แน่นอนว่ามันแปลก ทว่าสำหรับผมการที่อยู่ดีๆ ก็มาโผล่ในยุคสมัยที่โบราณขนาดนี้ได้ ก็คงไม่ต้องคิดมากว่าจะมีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นกับผมอีกหรือเปล่า นี่ผมก็มั่นใจได้ว่าการที่ผมเดินตามผู้ชายคนนั้นไป คงเพราะมีคนอยากให้ผมเจอกับผู้ชายคนนั้นแน่นอน ไม่ช้าไม่นานผมว่าผมคงต้องได้เจอกับชายผู้นั้นอีก

ตอนนี้ผมคงทำได้เพียงรอ รอที่เรื่องราวทุกอย่างจะปะติดปะต่อกัน แล้วผมคงได้รับคำตอบที่กระจ่างเสียที
ว่าอะไรที่ผมต้องชดใช้ อะไรที่ผมเคยได้ทำไว้ ถึงทำให้ปรางอาฆาตแค้นผม และดึงผมกลับมาที่นี่

“คุณปราชรู้ไหมเจ้าคะ คุณเดวี่ตอนอุ้มคุณปราชกลับมาที่เรือน น้ำตาคุณเดวี่ไหลไม่หยุดเลยเจ้าค่ะ ยิ่งเลือดคุณปราชไหลมากเท่าไหร่ น้ำตาคุณเดวี่ยิ่งไหลมากเท่านั้น แต่เที่ยงเองก็ร้องนะเจ้าคะ ทั้งกลัวคุณปราชเป็นอะไรไป แล้วไหนจะกลัวคุณหลวงกับคุณหยาดจะลงโทษอีกที่ดูแลคุณปราชไม่ดี  เที่ยงจะจำจนวันตายเลยว่าต่อไปใครจะทำอะไรคุณปราชต้องข้ามศพนังเที่ยงคนนี้ไปก่อน”ผมยิ้มขำให้กับท่าทางของสาวใช้คนสนิท แต่สมองกลับคิดถึงสิ่งที่เพิ่งได้ยิน ทุกคนบอกผมว่าอยู่ๆ ผมก็เลือดกำเดาไหล แล้วสลบไป แต่ไม่ได้มีใครบอกว่าเดวี่อุ้มผมกลับมาทั้งน้ำตา ภาพใบหน้าเปื้อนน้ำตาของเดวี่ผุดขึ้นมาให้หัวผมอีกครั้ง ให้ตายสิทำไมผมนึกไปถึงเรื่องลามกได้เนี่ย ยิ่งนึกถึงเดวี่ผมกลับยิ่งคิดว่าเค้าเซกซี่ อยากจะสัมผัสร่างกายของเค้า

“พ่อปราชอยู่นี่เอง”เสียงของแม่ดังมาทำให้ผมต้องรีบข่มอารมณ์บางอย่างที่เริ่มก่อตัวให้มันสงบลง ผมหันไปส่งยิ้มให้ผู้เป็นแม่ที่เพิ่งกลับจากการไปทำบุญที่วัด จริงๆ ท่านอยากให้ผมไปทำบุญด้วยแหละครับ แต่พ่อเป็นคนห้ามไว้ บอกว่าผมเพิ่งฟื้นยังไม่แข็งแรง ไม่อยากให้ออกไปไหน ทั้งคู่เลยไปทำบุญกันแค่สองคน แล้วก็เห็นว่าจะไปดูดวงฝห้ผมกับปรางด้วย

“เจ้าคุณพ่อไม่ได้กลับมาพร้อมกันหรือขอรับ”ผมเอ่ยถามถึงอีกคนที่น่าจะกลับมาพร้อมกัน

“เจ้าคุณพ่อมีราชการด่วน ช่วงนี้เห็นว่าต้องช่วยกันหารือเรื่องโจรที่กำลังอาละวาดหนัก พ่อปราชพูดเรื่องนี้มาก็ดีเหมือนกัน ช่วงนี้ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าออกไปไหนมาไหนคนเดียวนะลูก ร่างกายเราก็ยังไม่สู้จะแข็งแรง แล้วไหนจะขโมยขโจรที่อาละวาดอีก”โจรนี่ก็มีอยู่ทุกสมัยจริงๆ สินะ ผมต้องมาโผล่ที่นี่ก็เพราะโดนโจรในคราบแทกซี่ทำร้าย มานี่ก็ยังจะเจอกักบริเวณเพราะกองโจรอาละวาดอีกเหรอเนี่ย

“พ่อปราชมานี่มา”น้ำเสียงที่อ่อนลง พร้อมมือตบเบาๆที่ตัก ทำให้ผมค่อยๆ หันหัวเอนกายลงนอนหนุนตัก มือนิ่มนั้นค่อยๆลูบหัวผมอย่างอ่อนโอน

“วันนี้แม่ไปคุยกับหลวงตามา เกี่ยวกับเรื่องของพ่อปราชกับแม่ปราง แม่ฟังหลวงตาพูดแล้วก็ใจไม่สู้จะดีนัก”ผมแหงนหน้าขึ้นมอง และรอฟังสิ่งที่แม่กำลังจะพูด หลวงตาท่านคงรู้อะไรบางอย่าง แต่ท่านก็คงพูดเหมือนที่เคยพูดกับผม คือไม่ได้พูดตรงๆ แต่เหมือนเป็นการพูดให้เราฉุกคิดเสียมากกว่า

“พ่อปราชพอจะบอกแม่ได้ไหม ว่าไอ้ความฝันที่พ่อปราชมักจะฝันบ่อยๆ นั่นมันเป็นเช่นไร”หลวงตาพูดเกี่ยวกับความฝันของผมอย่างงั้นเหรอ แต่จากที่ฟัง หลวงตาคงไม่ได้บอกอะไรเกี่ยวกับความฝันของผมมากนัก แม่ถึงต้องมาถามผมอย่างนี้ แล้วจะให้ผมบอกยังไงดีล่ะ จะให้ผมเล่าว่าผมเห็นทุกคนตายอย่างนั้นก็คงไม่ดีแน่ แล้วที่หลวงตาเคยบอกกับผม ว่าอย่าได้พยายามเปลี่ยนอะไร แสดงว่าผมก็ไม่ควรเล่าให้คนอื่นฟังสินะ

“มันเป็นฝันร้ายขอรับ ฝันร้ายที่ลูกไม่อยากให้มันเกิดขึ้น”ผมพูดเหมือนพึมพำกับตัวเองเสียมากกว่า เพียงแค่คิดถึงเรื่องนี้ สีหน้า แววตา และน้ำเสียงของปรางก็แทบจะชัดขึ้นมาในหัวของผม ผมว่าผมคงต้องแต่งความฝันหลอกๆ บอกกับแม่เสียแล้ว เพราะถ้าไม่บอกออกไปผมก็คงจะโดนถามซ้ำๆ อีกหลายครั้งเป็นแน่

“ลูกฝันว่าต้องจากไปไกลแสนไกล ไกลจากที่ที่เคยอยู่ แล้ว ณ ที่แห่งนั้น คุณแม่กับเจ้าคุณพ่อไม่รักลูกขอรับ”อาจจะเป็นการโกหกที่ตลกร้ายสักหน่อย เพราะสิ่งที่ผมใช้อ้างเป็นความฝัน มันก็คือความเป็นจริงที่ผมเคยเผชิญมาต่างหากละ ผมจมอยู่กับความรู้สึกที่พ่อแม่ไม่รักมาตั้งแต่จำความได้ โดยที่ผมไม่รู้เลยว่าทำไมต้องพบเจอกับสภาพเช่นนั้น

น้ำตาของผมค่อยๆ ไหลออกมา ถ้าให้เลือกในตอนนี้ว่าผมอยากกลับไปใช้ชีวิตในปัจจุบันเหมือนเดิม กับให้อยู่ที่นี่ต่อไปผมก็ชักไม่แน่ใจแล้ว ผมอาจจะไม่มีความสุขกับชีวิตในปัจจุบัน แต่การอยู่ที่นี่ล่ะผมมีความสุขจริงๆ หรือผมแค่กำลังหลอกตัวเองว่ามีความสุขกับการที่ใช้ชีวิตเป็นคนอื่น แถมผมไม่รู้ว่าสิ่งที่อยู่ในความฝันของผมนั้นจะเกิดขึ้นจริงไหม หรือจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่

“มันก็แค่ความฝันอย่าคิดมากเลยพ่อปราช”ผ้าบางๆ ค่อยๆ บรรจงเช็ดน้ำตาให้ผม ถ้าแม่ของผมคนนี้กับแม่คนในยุคปัจจุบันของผม เป็นคน คนเดียวกันก็คงจะดี ผมพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้มันไหลอีก ก่อนจะลุกขึ้นนั่งและทำตัวให้ดูร่าเริงขึ้น แม่เริ่มเล่าให้ผมฟังว่าอีกไม่กี่วันผมและปรางจะอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ และแม่เอาดวงชะตาของเราทั้งคู่ไปให้หลวงตาดูให้ ปรากฏว่าดวงชะตาของเราทั้งคู่ไม่สู้จะดีนัก อาจรุนแรงถึงชีวิตก็เป็นได้ ผมไม่ได้แปลกใจกับสิ่งที่ได้รับรู้เท่าไหร่นัก เพราะถ้าคิดดีๆ ผมว่าปราชอาจจะตายแล้วด้วยซ้ำไป ส่วนผมก็แค่มาอาศัยอยู่ในร่างนี้ เพื่ออะไรสักอย่างที่ผมยังหาคำตอบไม่ได้

สำหรับปรางถ้าสิ่งที่ผมฝันมันจะกลายมาเป็นความจริง ผมว่าคนที่ดวงชะตาขาดมันจะไม่แช่แค่ผมกับปราง แต่มันหมายรวมทั้งพ่อและแม่ด้วย แล้วผมควรรอให้วันนั้นมาถึงโดยไม่ต้องทำอะไรอย่างที่หลวงตาบอกผมจริงๆ อย่างนั้นหรือ ถ้าผมพยายามเปลี่ยนแปลง มันจะเกิดอะไรขึ้น

“เดี๋ยวคงต้องย้ายแม่ปรางกลับมาที่บ้านเพื่อเตรียมทำพิธี”สิ่งที่ได้ยินทำให้ผมคิดหนัก นี่สินะสาเหตุที่ปรางจะกลับมาอยู่ในบ้านนี้อย่างที่ผมเห็นในความฝัน พิธีที่จะจัดขึ้นเพื่อแก้เคล็ดเรื่องดวงชะตาของปรางกับปราชคือ ต้องทำพิธีแต่งงานให้เราทั้งคู่ จริงๆ เรื่องนี้แม่เคยคิดจะทำครั้งนึงแล้วตั้งแต่ตอนที่เราทั้งคู่ยังเด็ก แต่พ่อผมไม่เชื่อ จนตอนนี้ความคิดนี้กลีบมาอีกครั้งและเหมือนว่าทุกคนจะเห็นด้วย

“เธอต้องการให้มันเป็นยังไงเหรอปราง”หลังจากปลีกตัวจากแม่ ผมมุ่มตรงมายังโรงหมอที่บ้านของหมอเดนนิส ผมพึมพำกับร่างที่นอนนิ่งของปราง ถ้าเธอเป็นคนนำผมมาที่นี่ เธออยากให้ผมทำอะไร ถ้าอยากปล่อยให้เรื่องราวมันเกิดขึ้นแบบเดิม ซึ่งอาจเป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นแล้ว คือเหตุการณ์ที่ผมเห็นในฝัน เธอต้องการแค่ให้ผมมาเจอเหตุการณ์นั้นหรือ แล้วจะได้อะไรจากการทำแบบนั้น หรือว่าปรางต้องการให้ผมเปลี่ยนแปลงบางอย่าง

“เฮ้”ชายหนุ่มร่างสูงเดินเค้ามาทักทายผมด้วยรอยยิ้ม เดวี่ไม่หลบหน้าผมแล้ว แต่ก็ดูยังมีระยะห่างที่เว้นไว้ ผมส่งยิ้มกลับไปให้เค้าแต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป ผมหันมามองร่างแน่นิ่งของปรางอีกครั้งอย่างใช้ความคิด เสียงในหัวบอกกับผมว่าผมต้องทำอะไรสักอย่าง แต่เสียงของหลวงตาที่บอกกับผมว่าอย่าพยายามเปลี่ยนอะไรก็ยังก้องอยู่ในหัวเช่นกัน

“ตื่นเต้นที่จะต้องแต่งงานกับฝาแฝดตัวเองเหรอเด็กน้อย”เค้าถามผมด้วยน้ำเสียงยอกเย้า นี่แสดงว่าเค้าก็คงรู้เรื่องราวที่ผมกับปรางต้องแต่งงานแก้เคล็ดแล้วสินะ แล้วนี่เค้าเชื่อเรื่องโชคลางอะไรทำนองนี้หรือเปล่านะ แต่สำหรับผมบอกตรงๆ ว่าเมื่อก่อนไม่เคยเชื่อเลยแม้แต่นิดเดียว จนมาถึงตอนนี้ที่ต้องมาเจอเรื่องประหลาดแบบนี้กับตัวเอง ผมก็ยอมรับนะครับว่ามันคงมีความเป็นไปได้จริงๆ กับการแก้เคล็ดพวกนี้ แต่ผมว่าเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นครั้งนี้ ไม่น่าจะลบล้างได้ด้วยการแต่งงานหลอกๆ ของผมกับปราง

“ถึงจะไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ แต่ถ้าทำแล้วเป็นผลดีกับตัวเด็กน้อยของเดวี่ เดวี่ก็ว่าควรที่จะทำ”นี่คือความเห็นจากเดวี่ หลังจากที่ผมลองถามว่า การจับผมกับปรางแต่งงานกันทุกอย่างมันจะดีขึ้นจริงๆ อย่างนั้นหรือ ผมเริ่มเกริ่นคำถามต่อไปเกี่ยวกับเรื่องราวที่ผมกำลังตัดสินใจ

“ถ้าคุณรู้ว่าจะมีอันตรายเกิดขึ้นกับคนที่คุณรัก คุณจะปล่อยให้มันเกิดขึ้นโดยเฝ้าดูอยู่เฉยๆ หรือคุณจะหาทางไม่ให้มันเกิดขึ้น”ที่จริงผมมีคำตอบให้ตัวเองในใจแล้วนะครับ เพียงแต่อยากฟังมุมมองของเค้าดู เผื่อว่าจะมีอะไรที่ทำให้ผมเปลี่ยนใจหากเค้าเห็นต่าง แต่ถ้าหากเค้าก็คิดเช่นเดียวกับผม มั่นยิ่งจะทำให้ผมไม่ลังเลในสิ่งที่ตัดสินใจไปแล้ว

“เดวี่เชื่อว่าทุกอย่างพระผู้เป็นเจ้าได้กำหนดมาแล้ว ว่ามันจะเป็นเช่นไร”ความเห็นของเค้าก็คงไม่ได้ต่างจากสิ่งที่หลวงตาบอกกับผมสินะ

“แต่ถ้ามันมีอะไรที่เดวี่ทำเพื่อช่วยคนที่เดวี่รักให้ปลอดภัย เดวี่ก็พร้อมจะทำทุกอย่าง”ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือว่าตอนพูดว่าคนที่เค้ารัก สายตาที่มองมายังผมมันมีความนัยที่แฝงอยู่

“ผมมีอีกคำถาม แต่คืนนี้ผมขอนอนค้างห้องคุณแล้วจะบอกว่าเรื่องอะไร”ผมไม่ได้อยู่รอคำตอบรับหรือปฏิเสธของเค้าเพราะมีเรื่องที่ต้องรีบทำ ผมวิ่งกลับเรือนเพื่อคุยกับแม่ โชคดีที่พ่อก็อยู่ด้วยผมจะได้พูดทีเดียวให้จบไปเลย ผมไม่ได้จะขัดขวางเรื่องการทำพิธีแต่งงานระหว่างผมกับปราง แต่ผมแค่จะขอไม่ให้ย้ายปรางกลับมาที่เรือนหลังนี้ แน่นอนว่าทั้งพ่อและแม่ไม่เห็นด้วยกับคำขอของผม เพราะถึงจะเป็นงานแต่งหลอกๆ แต่การจัดงานที่กำลังเริ่มเตรียมการก็ไม่ใช่งานเล็กๆ สักเท่าไหร่ เห็นว่าจะจัดพิธีเสมือนจริงทุกขั้นตอน

แต่สุดท้ายผมก็โน้มน้าวโดยเอาเรื่องสุขภาพของปรางมาอ้างว่าไม่ควรเคลื่อนย้าย เพราะอาจเป็นอันตราย และพอขอคำปรึกษาจากหมอเดนนิสก็เห็นด้วยกับผม ทั้งพ่อและแม่เลยยอมปรับเปลี่ยนพิธีการที่จะขึ้นเสียใหม่ที่บริเวณบ้านของหมอเดนนิส แค่นี้ปรางก็ไม่ต้องถูกย้ายกลับมายังเรือนหลังนี้ เหตุการณ์ที่ผมเห็นในฝันก็จะยังไม่เกิดขึ้น การเตรียมงานถูกให้เร่งมือมากกว่าเดิมเพราะเหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่วัน

หลังจากสบายใจแล้วกับการที่ปรางจะไม่ถูกย้าย ผมก็บอกกับทุกคนว่าคืนนี้จะไปนอนค้างกับเดวี่ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนเห็นว่าผมทำเป็นปกติอยู่แล้ว แต่สิ่งที่มันไม่ปกติคือความคิดของผมเองนี่แหละ แม้จะมีหลายเรื่องที่ยังคาใจและรอคำตอบ แต่การที่ไม่ได้ปลดปล่อยบางอย่างมันก็ยิ่งเป็นตัวสะสมความเครียดหรือทำให้คิดมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

“เดวี่จำไม่ได้ว่าอณุญาตให้เด็กน้อยมานอนที่นี่”ทันทีที่เห็นผมถือวิสาสะเข้ามาในห้องนอนของเค้า เค้าก็ทักท้วงผมด้วยท่าทางไม่ได้จริงจังนักทำให้ผมทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งที่เค้าพูด ผมเดินไปล้มตัวลงนอนบนเตียงที่เหมือนถูกจัดไว้รอผม มุมปากผมยกขึ้นแทบจะทันทีเช่นกันที่เหมือนจับผิดคนปากแข็งได้

ทีแรกกะว่าจะนอนเล่นๆ รอเวลาเค้ามานอนแล้วจะเริ่มแหย่ให้เค้าเปิดใจยอมรับความรู้สึกตัวเองมากกว่าเดิม แต่ผมดันหลับไปเสียจริงๆ เสียได้ และไม่ต้องเดาว่าเวลาหลับจะเกิดอะไรขึ้นกับผม แต่ตอนนี้ผมเริ่มรับมือกับทุกๆ ความฝันได้แล้ว ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นเมื่อรู้สึกตัวตื่น ภาพความฝันครั้งนี้โดยรวมยังคงเป็นแบบเดิมที่ทั้งพ่อ แม่ และปรางจมกองเลือดที่ห้องเดิม แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือเปลวไฟ แต่ผมยังเห็นไม่ชัดว่ามันคือไฟอะไร

“ฝันร้ายอีกแล้วเหรอเด็กน้อย”น้ำเสียงงัวเงียกระซิบที่ข้างหูผม ทำให้ผมเพิ่งสังเกตุว่าเดวี่โอบผมไว้ในอ้อมกอดของเค้าอย่างหลวมๆ ผมตะแคงตัวหันหน้าเข้าหาเค้า ที่ลืมตามามองผมแล้วเช่นกัน ยิ่งผมมองใบหน้าของเค้าในระยะประชิดขนาดนี้ มันยิ่งทำให้ผมแทบลืมความกังวลเกี่ยวกับความฝันที่เพิ่งผ่านไปเมื่อสักครู่จนหมด ผมขยับเข้าใกล้เค้าเรื่อยๆ เหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่าง ลมหายใจอุ่นๆ ของเราทั้งคู่แทบจะซึมเข้าผิวหนังของอีกฝ่าย

เป็นเค้าที่ประกบปากลงมาที่ผม แม้ผมจะเคยจูบคนมามากแต่ครั้งนี้มันกลับต่างออกไป มันดูอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายที่ส่งผ่านมาให้ผม รสจูบที่อ่อนโยนแล้วลิ้นที่ส่งผ่านเข้ามาในโพรงปากของผมมันช่วงหวานเหลือเกิน ตัวผมถูกรั้งด้วยแขนของเค้าให้ตัวของเราสองคนชิดกันมากขึ้น

แต่แล้วเค้าก็ถอนปากออกแล้วกดหน้าลงที่ซอกคอของผม แรงกัดเบาๆ ที่ต้นคอไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกเจ็บ แต่เหมือนเค้ากำลังพยายามข่มอารมณ์ไม่ให้อะไรมันเลยเถิดไปไกลมากกว่านี้

“ที่ผมบอกว่ามีเรื่องจะถาม”ผมเริ่มพูดถึงสิ่งที่เคยบอกกับเค้าโดยที่เค้ายังซุกหน้าอยู่ที่ซอกคอของผม

“ความรู้สึกที่คุณมีให้ผมมันมากกว่าแค่น้องชายคนนึงใช่ไหม”เค้าขยับตัวออกจากผมด้วยท่าทีที่ผมไม่รู้ว่าเค้าตกใจ หรือโกรธที่ผมถามออกไปแบบนั้น แต่มาถึงขนาดนี้แล้ว ผมว่ามันถึงเวลาแล้วที่เค้าจะต้องยอมรับความรู้สึกของตัวเอง แม้ผมจะต้องการแสวงหาประโยชน์จากตรงจุดนั้นด้วยก็เถอะ

“ปราชเคยบอกว่าแม้เราจะไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน แต่เดวี่ก็คือพี่ชายที่ปราชรักมาก แต่มันก็แค่พี่ชาย”เค้าหัวเราะในลำคอเหมือนสมเพชตัวเอง ผมได้แต่นิ่งรอฟังว่าจริงๆ แล้วก่อนที่ผมจะมาอยู่นี่ระหว่างเค้ากับปราชความสัมพันธ์ของพวกเค้าเป็นยังไง

“ขอโทษ ขอโทษที่เดวี่เป็นแค่พี่ชายไม่ได้ เด็กน้อยไม่ต้องพยายามฝืนทำแบบนี้กับเดวี่อีกเลย”โหถ้าปราชคิดแค่พี่น้องมันน่าจะเว้นระยะห่างกันมากกว่านี้บ้างสิ นี่ผมว่าทั้งเดวี่ทั้งปราชต่างคนต่างยังไม่ยอมรับในความรู้สึกของตัวเองมากกว่า

“ผมไม่เคยฝืน นอนเถอะอย่าคิดมากเลย”คงต้องให้เวลากับเค้าอีกสักหน่อย เราทั้งคู่ต่างล้มตัวลงนอน ก่อนจะปิดเปลือกตาลง ไม่นานนักผมก็สัมผัสได้ว่ามีอ้อมกอดที่อบอุ่นโอบกอดผมไว้

“เดวี่รักเด็กน้อยตอนนี้มากกว่าเมื่อก่อนเสียอีก”คำพูดนั้นทำให้ผมหลับไปพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปาก



TBC

ตอนนี้อาจจะยังไม่มีอะไรมาก

แต่อีกสัก ตอนสองตอนจะเริ่มคลายปมต่างๆ แล้วใ

ฝากติดตามด้วยนะฮ่ะ


ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 9
งานแต่ง



วันนี้คือวันครบรอบอายุ 20 ปีบริบูรณ์ของทั้งปราชและปราง รวมทั้งเป็นวันที่ผมต้องเข้าร่วมพิธีแต่งงานกับปรางอีกด้วย ถึงจะเป็นแค่พิธีหลอกๆ แต่การจัดงานที่ทีแรกผมเข้าใจว่าคงไม่มีพิธีรีตองอะไรมาก มันทำให้ผมต้องคิดใหม่ ผมถูกปลุกมาตั้งแต่เช้าเพื่อแต่งองค์ทรงเครื่อง เที่ยงสาวใช้ประจำตัวของผมก็ถูกจับแต่งตัวเช่นกัน เนื่องด้วยทั้งผมและปรางไม่ได้มีเพื่อนมากมายนัก และการจัดงานที่ค่อนข้างฉุกละหุก ด้วยความรีบร้อน เที่ยงต้องรับหน้าที่เป็นเพื่อนเจ้าสาวให้กับปราง ซึ่งดูเหมือนเที่ยงเองก็ชอบที่ได้แต่งตัวสวยๆ

ส่วนเพื่อนเจ้าบ่าวของผมก็ไม่ใช่ใครที่ไหน พ่อฝรั่งตาน้ำข้าว ทีแรกผมก็ไม่รู้รายละเอียดอะไรเท่าไหร่เพราะกะว่าเค้าจัดให้ทำอะไรผมก็ทำไป อีกอย่างเดวี่เองก็ไม่ยอมบอกผมว่าเค้าจะต้องมาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้กับผม แต่ดูๆ ไปฝรั่งในชุดไทยแบบนี้ก็ดูแปลกตาดีเหมือนกันแหละครับ

พิธีการเริ่มจากการทำบุญตักบาตร พิธีสงฆ์ โรงหมอของคุณหมอเดนนิสถูกปรับเปลี่ยนเป็นที่จัดงานมงคล เตียงของปรางถูกจัดวางไว้ที่มุมนึงโดยปรางถูกยกลงนอนบนฟูกที่ปูขึ้นมาใหม่ ด้วยเหตุผลที่ไม่อยากให้อยู่สูงกว่าพระสงฆ์ที่มาร่วมพิธีในวันนี้ ผนังห้องด้านนึงถูกจัดไว้เป็นที่สำหรับพระสงฆ์จำนวน 9 รูป ส่วนผมต้องนั่งอยู่ข้างๆ ปรางโดยมีเดวี่นั่งอยู่เคียงข้าง เค้าดูอึดอัดไม่น้อยกับการต้องนั่งพับเพียบอยู่กับพื้น ส่วนถัดจากปรางไปเป็นเที่ยง หญิงสาวที่ดูจะมีความสุขที่สุดของการจัดงานวันนี้ ถัดจากกลุ่มของพวกผม ก็จะเป็น หลวงปราบ คุณหยาด และหมอเดนนิส

หลังพระสงฆ์สวดอะไรต่างๆ จนจบตามขั้นตอน ก็ถึงเวลาที่ผมต้องตักบาตร ที่จริงผมกับปรางต้องตักร่วมกันเป็นคู่แรก แต่ก็อย่างที่รู้ปรางไม่สามารถลุกมาตักบาตรได้ ดังนั้นจึงต้องให้เที่ยงเป็นตัวแทนของปราง โดยถอดแหวนของปรางมาไว้ที่เที่ยง แต่ปัญหาที่ตามมาอีกคือ ตามขั้นตอนเที่ยงต้องตักบาตรพร้อมเดวี่ เป็นคู่ถัดไป สุดท้ายเลยกลายเป็นว่า ผม เดวี่ และเที่ยง ต้องตักบาตรร่วมกัน พร้อมๆ กันไป

“อาตมาเตือนโยมแล้วว่าอย่าพยายามเปลี่ยนแปลงสิ่งใด”ผมเงยหน้าขึ้นมองตามเสียง หลวงตาที่เคยพูดกับผม ตกลงหลวงตารู้อะไรบ้าง แล้วนี่หลวงตาทราบอย่างนั้นหรือว่าผมพยายามเปลี่ยนอะไร

“คุณปราชเจ้าคะ ขยับเจ้าค่ะ”เที่ยงสะกิดให้ผมตักบาตรพระสงฆ์รูปถัดไป ทำให้ผมไม่สามารถพูดคุยกับหลวงตาได้ พิธีสงฆ์เสร็จเรียบร้อย ทั้งตักบาตรและถวายภัตาหารเช้า ตอนนี้ก็ได้เวลาส่งพระสงฆ์ เพื่อรอฤกษ์แห่ขันมากต่อไป ผมเดินตามหลวงตาไปที่ท่าเรือเพื่อจะขอคำอธิบายในสิ่งที่หลวงตาพูด

“ยิ่งโยมพยายามเปลี่ยนแปลง ทุกสิ่งมันจะยิ่งแย่ลง”ยังไม่ทันที่ผมจะเอ่ยถามหลวงตาก็หันมาพูดกับผม แล้วเดินลงเรือไปโดยไม่รอให้ผมได้สอบถามอะไรอีก ผมไม่เข้าใจว่าทำไมหลวงตาไม่พูดกับผมตรงๆ ไปเลยว่าผมต้องทำยังไง ไม่ใช่มาพูดให้ผมคิดเองอย่างนี้ ผมไม่ทันจะได้คิดอะไรต่อก็ถูกเรียกให้ไปเตรียมตั้งขบวนขันหมาก

เรื่องการแต่งงานอะไรพวกนี้ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยนึกถึงเลยสักครั้ง ดูชีวิตจริงของผมมันจะห่างไกลกับการแต่งงานเหลือเกิน ทว่าตอนนี้ผมกลับมายืนอยู่ที่ขบวนขันหมาก ขบวนกำลังถูกจัดแจงให้ถูกต้องว่าใครถืออะไร อยู่ลำดับไหน ส่วนเดวี่รับหน้าที่ในการกางร่มให้เจ้าบ่าวอย่างผม ทุกครั้งที่ผมหันไปมองเค้า ผมจะพบว่าเค้ายิ้มให้ผมอยู่แล้ว

“มองอะไรนักหนาเนี่ย”เมื่อรู้สึกว่าถูกจับจ้องตลอดเวลาผมก็ทำตัวไม่ค่อยถูกเหมือนกันแหละครับ

“มองเจ้าบ่าวตัวน้อย”แล้วดูสิ่งที่พ่อฝรั่งตาน้ำข้าวตอบผมครับ แถมรอยยิ้มเยาะนั่นอีก คอยดูเถอะเดี๋ยวเจอผมแกล้งให้อดใจไม่ไหวแน่ๆ ระวังตัวไว้เถอะพ่อฝรั่ง

ขบวนขันมากเริ่มเคลื่อนพร้อมด้วยเสียงโห่ร้อง และดนตรีบรรเลงอยากคึกคัก มีการกั้นประตูเงินประตูทอง มีอะไรอีกหลายๆ อย่างเหมือนงานแต่งงานจริงทุกอย่าง แต่ที่ผมรู้สึกสะดุดที่สุดคงจะเป็นขั้นตอนรดน้ำสังข์บ่าวสาวนี่แหละครับ ด้วยความที่ปรางยังนอนอยู่บนเตียง ภาพที่ออกมาคงไม่ต้องอธิบายเลยแหละครับว่าอีกนิดจะเป็นรดน้ำศพอยู่แล้ว หลังจากพิธีการต่างๆ จบไปก็เป็นการส่งตัวบ่าวสาวเข้าเรือนหอ ซึ่งแน่นอนว่าก็ปรับโรงหมอใหม่อีกรอบด้วยความรวดเร็ว เพราะที่นี่มีเตียงนอนของทั้งผมและปรางอยู่แล้ว ก็แค่นำมาวางติดกันแค่นั้น

“พ่อปราชต้องอยู่ที่นี่ 3 วัน 3 คืน”ผู้เป็นแม่เข้ามาบอกกับผมหลังจากพิธีเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้คนอื่นๆ เริ่มทยอยกลับไปที่เรือนใหญ่แล้วครับ จากตอนนี้ไปจนค่ำ ที่เรือนใหญ่ก็งานรื่นเริงย่อมๆ นี่แหละครับ แต่ผมเพิ่งรู้ว่าตัวผมต้องถูกกักบริเวณจากพิธีอะไรนี่ด้วย

“นี่กระผมต้องอยู่ในโรงหมอนี่ 3 วัน 3 คืนเลยหรือขอรับ”ผมแสดงอาการเหนื่อยหน่ายออกมาอย่างเห็นได้ชัด แต่แม่หยาดกลับหัวเราะพร้อมเข้ามาลูบหัวผมอย่างเอ็นดู

“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกพ่อปราช แต่ใน 3 วันนี้เผื่อถือเคล็ดก็ต้องอยู่ที่บ้านหมอเดนนิสไปก่อน อย่าเพิ่งออกไปไหน”บ้านหมอเดนนิส งั้นก็หมายความว่าผมไปนอนห้องเดวี่ได้สินะ

“อีกอย่างตอนนอนพ่อปราชต้องมานอนที่โรงหมอนี่ ด้วยเราใช้ที่นี่เป็นเรือนหอแล้ว ยังไงพ่อปราชก็ทนหน่อยนะลูก นี่แหละที่แม่บอกพ่อปราชว่าอยากให้จัดงานที่เรือนของเรา แต่พ่อปราชก็ยินยันอยากให้จัดที่โรงหมอนี่”ดูไม่ค่อยเหมือนคำธิบาย แต่เป็นการบ่นผมเสียมากกว่า และนั่นทำให้ผมนึกถึงคำหลวงตาอีกครั้ง

“ยิ่งโยมพยายามเปลี่ยนแปลง ทุกสิ่งมันจะยิ่งแย่ลง”คำพูดของหลวงตาทำให้ผมคิดทบทวนอีกครั้ง ถ้าตามความหมายที่หลวงตาบอก นี่ผมได้เปลี่ยนแปลงบางอย่างไปแล้ว ผลที่จะตามมามันจะมีอะไรเกิดขึ้น ผมคงต้องรอดูต่อไป หลังทุกอย่างผ่านไปโรงหมอที่ผมอยู่ก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง เสียงการสังสรรจากเรือนใหญ่แว่วมาให้ได้ยินบ้างเป็นระยะ

“คุณปราชแน่ใจนะเจ้าคะว่าไม่ให้เที่ยงอยู่ด้วย”สาวใช้คนสนิทเอ่ยถามหลังจากยกอาหารมื้อเย็นมาให้ผมเสร็จเรียบร้อย ที่จริงทั้งพ่อแม่ก็อนุญาตเธอแล้วว่าให้ไปสนุกกับคนอื่นๆ ที่เรือนใหญ่ แต่หญิงสาวก็ยังกังวลกับผมที่ต้องอยู่ที่นี่ลำพังกับปราง ซึ่งดูเหมือนการอยู่คนเดียว

“งั้นเอ็งไปหยิบเหล้ามาให้ที”ความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาในหัวของผม เที่ยงดูไม่ค่อยจะเห็นด้วยกับความคิดผมสักเท่าไหร่ แต่ด้วยความที่เธอเป็นบ่าวเลยไม่สามารถขัดผมได้

“เที่ยงไม่เคยเห็นคุณปราชดื่มเลยนะเจ้าคะ นี่คุณปราชแน่ใจแล้วหรือเจ้าคะที่จะดื่ม”สาวใช้ของผมยังคงกังวลกับสิ่งที่ได้รับรู้ แต่ผมก็ยังยืนกรานให้เที่ยงกลับไปที่เรือนใหญ่ และผมได้อีกอย่างนี่มันคืนส่งตัวเข้าหอของผม แม้จะหลอกๆ ก็เถอะ ผมหยิบยกเรื่องนี้มาพูดติดตลกกับเที่ยง แถมด้วยประเด็นผมอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ไม่ใช่เด็กๆ อีกต่อไปแล้ว

“หวัดดีเด็กน้อย”ผมลอบยิ้มเมื่อได้ยินเสียงของใครอีกคน ผมกะไว้อยู่แล้วว่ายังไงเดวี่ก็ต้องมา เที่ยงรีบเข้าไปฟ้องเดวี่เรื่องที่ผมจะดื่มเหล้า แต่ดูเหมือนทั้งคู่จะคุยกันไม่รู้เรื่องหรอกครับ เที่ยงก็ซัดภาษาไทยไปเต็มที่ ส่วนเดวี่ต่อให้พอจะเดาได้ว่าเที่ยงบอกอะไร แต่ตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษไป เที่ยงก็ไม่เข้าใจอยู่ดี

“เที่ยง”ผมเรียกเสียงต่ำ เชิงตำหนิหน่อยๆ

“ไปได้แล้ว”เมื่อเห็นว่ายังไงก็คงห้ามผมไม่ได้แล้ว เที่ยงเลยจำต้องยอมเดินออกไป แต่ก็ไม่วายบอกว่าให้เดวี่ดูแลผมด้วย

“เค้าบอกให้คุณดูแลผม”ผมแปลให้กับเดวี่ที่ยังดูไม่ค่อยเข้าใจว่าเที่ยงบอกอะไรก่อนจะปิดประตูไป

“สุขสันต์วันเกิดนะเด็กน้อย เดวี่ขอให้เด็กน้อยมีความสุขมากๆ” กล่องไม้เล็กๆ ถูกยื่นมาให้ผม ก่อนผู้ให้จะเอื้อมมือมาลูบที่หัวผม วันเกิดงั้นเหรอ ก็ดูเป็นวันที่น่าจดจำดีนะครับ ทั้งต้องแต่งงาน ทั้งยังได้ของขวัญวันเกิดนี่อีก มันช่างตลกสิ้นดี ผมเปิดกล่องไม้เล็กๆ นั่น ข้างในกล่องบรรจุเข็มกลัดรูปใบไม้ 4 แฉก นี่เค้าตั้งใจให้หรือให้โดยไม่ได้คิดอะไรกันนะ

ก็ไอ้ใบไม้ 4 แฉกนี่มันใบโคลเวอร์ 4 แฉกชัดๆ เลยครับ แล้วไอ้ใบโคลเวอร์นี่ถ้าผมจำไม่ผิดมันเป็นสัญลักษณ์ ของความโชคดี แล้วก็รักแท้ มันแทบไม่ต้องเดาอะไรอีกแล้วว่าตกลงเดวี่คิดยังไงกับปราช

“ขอบคุณ แต่ผมอายุ 20 แล้ว เป็นผู้ใหญ่แล้ว เลิกเรียกว่าเด็กน้อยได้แล้วนะ”ผมเงยหน้าขึ้นบอกกับคนที่ลูบหัวผมอยู่ เค้าดูไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งที่ผมบอกเท่าใดนัก ผมลุกเดินไปหยิบเหล้าที่เที่ยงนำมาวางไว้ รินใส่แก้ว 2 ใบแล้วถือกลับมายื่นให้เดวี่ 1 ใบ เค้าทำหน้าสงสัยไม่น้อย ซึ่งก็คงไม่แปลกที่เค้าจะงง จากที่เที่ยงบอก ปราชคนเดิมคงไม่เคยดื่มเลยสินะ

“ฉลองให้กับอายุ 20 ปีบริบูรณ์ของผมไง”ผมยักคิ้วให้เค้าอย่างท้าทาย ก่อนจะกระดกแก้วของตัวเอง รวดเดียว เหล้าเพียวๆ ก็แล่นผ่านลำคอผมลงไปถึงกระเพาะ ความรู้สึกร้อนวูบวาบในทางเดินอาหาร เหมือนยิ่งกระตุ้นให้ผมต้องการน้ำสีอำพันนั่นเพิ่มอีก เดวี่เองก็ดูจะไม่ยอมแพ้ผม

“พอได้แล้ว”เค้าเอ่ยปากห้ามเมื่อเห็นว่าผมดื่มไปหลายแก้วแล้ว คงกลัวผมเมาสินะ นี่ผมว่าผมยังไม่ค่อยรู้สึกเท่าไหร่เลย แต่ไม่เป็นไรแค่ตึงๆ ประมาณนี้แหละ เหมาะที่จะทำอย่างอื่นต่อ ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมกำลังคิดจะทำมันไม่น่าจะดีแน่ๆ

ผมผลักเดวี่ให้นั่งลงที่เตียงนอนผม ที่อยู่ข้างๆ กับปราง ผมหันมองปรางนิดนึงแม้จะรู้สึกแปลกๆ ไปบ้างที่ผมคิดจะทำเรื่องแบบนี้ทั้งๆ ที่ยังมีคนอื่นอยู่ด้วยแบบนี้ แต่ก็นั่นแหละ ปรางไม่มีวันตื่นขึ้นมาอยู่แล้วนิ อยากรู้เหมือนกันแหละว่าถ้าผมทำแบบนี้ปรางจะทำให้ผมได้ไปเจอกับอะไรอีก

เดวี่ดูไม่เข้าใจการกระทำของผมในทีแรก แต่พอผมเริ่มประกบปากจูบกับเค้า และมือผมก็พยายามสอดเข้าไปภายใต้เสื้อผ้าของเค้าทุกจุดที่คิดว่าจะกระตุ้นให้เค้ารู้สึกมากที่สุด เค้าดูจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ผมทำในทีแรก แต่อย่างว่าแหละครับ ไม่ว่ายุคสมัยไหน จงอย่าได้ดูถูกฤทธิ์ของแอลกอฮอล์

“ไม่มีใครมากรอกเดวี่”ผมกระซิบเค้าเสียงแหบเมื่อเห็นว่าเค้ายังกังวลกับการมองที่ประตู ซึ่งก็ดูเหมือนว่าวันนี้เค้าจะข้ามผ่านกำแพงที่เค้าเคยสร้างไว้ให้กับตัวเอง และแล้วบทรักที่เร่าร้อนของเราสองคนก็เกิดขึ้น ในขณะที่คนอื่นๆ กำลังดื่มกินอยู่ที่เรือนใหญ่ ก็เป็นการดีที่จะไม่มีใครมาสนใจเราสองคน จะมีก็แต่

“เฮ้ย”ผมสะดุ้งจนต้องกอดร่างของเดวี่ไว้แน่น แต่ผมคงตาฝาดไป เหมือนผมเห็นปรางลืมตาขึ้นมองการกระทำของเราสองคน แต่พอดูอีกที ปรางก็ยังแน่นิ่งอยู่เหมือนเดิม

“เป็นอะไรหรือเปล่า”เสียงแหบพร่าของอีกคนเอ่ยถามทั้งที่เค้ายังขยับตัวเข้าออกช้าๆ ในตัวของผม ผมส่ายหน้าปฏิเสธก่อนค่อยๆ ขยับตัวตามจังหวะของเค้า ไม่นานนักเราทั้งคู่ก็ไปถึงจุดหมายปลายทางแห่งความสุขพร้อมๆ กัน หากแต่ว่าการมอบความสุขให้กันและกันของเราทั้งคู่มันยังไม่พอ และเราต่างเห็นตรงกันว่าในโรงหมอนี่คงไม่เหมาะแล้ว

เราต่างช่วยกันใส่เสื้อผ้าอย่างลวกๆ แล้วมุ่งตรงไปยังห้องนอนของเดวี่ นี่สิมันถึงเรียกว่าส่งตัวเข้าหอของจริง ผมรู้ว่าทำผิดที่ใช้ความรักของเดวี่ที่มีต่อปราชมาหาประโยชน์ให้กับความต้องการของตัวเอง แต่ยังไงเสียมันก็ไม่ใช่ผมคนเดียวที่ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ เดวี่เองก็ได้ในสิ่งที่เค้าต้องการด้วยแหละน่า

หลังจากสูญเสียพลังงานไปกับบทรักที่เร่าร้อนระหว่างผมกับเดวี่ อีกฝ่ายก็หลับไปเรียบร้อย ส่วนผมพอทุกอย่างสงบลงสมองก็ดันคิดถึงเรื่องที่หลวงตาบอกอีกแล้ว แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ตก ผมจึงค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง ก่อนที่สติผมจะดับไปเหมือนมีเสียงบางอย่างแว่วเข้ามาในหูของผมอีกแล้ว

“อีกไม่นาน อีกไม่นานเจ้าจะได้รู้ หึหึ”





TBC

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ปอนด์กำลังจะทำอะไรกันแน่ ทำไมยิ่งพยายามแก้ไขมันยิ่งดูยุ่งไปกันใหญ่

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
เดวี่เสร็จปอนด์จนได้

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ YounIn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1524
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-8
ลุ้นต่อไปว่าจะเกิดอะไรขึ้น

ออฟไลน์ หมอตัวเปียก

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1875
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
สนุกแฮะ

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 10
ผลกระทบ


“ตื่นนานแล้วเหรอ”ผมเอ่ยทักทายเดวี่ที่พอผมลืมตาขึ้นมาก็เห็นเค้านอนมองผมอยู่แล้ว สีหน้าของเค้าดูกังวลอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ผมก็แกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้กับสิ่งที่สัมผัสได้ ผมยิ้มกว้างให้เค้า ค่อยๆ ขยับเข้าหาใช้จมูกของตัวเองเขี่ยไปมาที่จมูกของเค้า จนในที่สุดเค้าก็ยิ้มออกมา แม้มันจะดูฝืนไปสักหน่อยก็เถอะ

“ขอโทษ”เสียงเบาจนแทบจะเป็นเสียงกระซิบ นี่เค้ากังวลมากเกินไปหรือเปล่า ดูตอนนี้เค้าเหมือนกำลังรู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน แต่ผมว่าเค้าเองก็คงปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าเมื่อคืนเค้ามีความสุขขนาดไหน

“เฮ้...เราต่างก็มีความสุขกันไม่ใช่เหรอ”ผมจูบที่แก้มของเค้าเบาๆ สอดนิ้วไปตามเส้นผมของเค้า นี่ผมว่าปฏิกิริยาของเค้ากับผมจะสลับกันอยู่นะเนี่ย ทั้งที่ผมเป็นฝ่ายถูกรุกล้ำ แต่เดวี่ทำเหมือนเสียตัวให้ผมอย่างนั้นแหละ แต่ก็น่ารักดีครับ ผมอมยิ้มน้อยๆ มองเค้าที่ยังดูไม่คลายกังวลลง ปกติก็เห็นถึงเนื้อถึงตัวกับผมอยู่ตลอด แถมเมื่อคืนก็ดูช่ำชองเหลือเกิน พอเช้ามาดันมาคิดมากซะงั้น

“คุณกังวลเรื่องอะไร”ผมเปิดโอกาสให้เค้าได้ระบายออกมา เผื่อบางทีเค้าจะสบายใจขึ้นมาบ้าง แต่ถ้าให้ผมเดาก็คงกังวลเรื่องความสัมพันธ์ของเราสองคนนี่แหละ ในยุคสมัยแบบนี้มันคงไม่มีใครจะยอมรับได้อยู่แล้ว ถึงตัวเค้าเองจะไม่ใช่คนไทย แต่เค้าก็เป็นคริสเตียน จริงสินะ นี่คงเป็นอีกจุดที่เค้าเกิดความกังวล

“สิ่งที่เราทำมันเป็นบาป”นั่นไง ไปโน่นเลย บาปอย่างนั้นเหรอ สำหรับผมตอนนี้บาป บุญ มันจะยังสำคัญอีกเหรอ ชีวิตของปอนด์ที่ผมเคยเป็นแม้ผมจะไม่ใช่คนดีหมั่นทำบุญ แต่ผมก็ไม่ได้ไปทำเลวที่ไหน เพราะงั้นชีวิตผมควรจะสมดุลสิ แล้วมันเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า ก็ไม่ ผมแทบจะนับสิ่งที่เป็นความสุขของผมได้เลย และแน่นอนความสุขมันน้อยจนเทียบกับความทุกข์ที่มีไม่ได้เลย อย่าครับอย่าเพิ่งเถียงว่าความทุกข์ของผมมันเล็กน้อย ในเมื่อคุณไม่ใช่ผม คุณไม่มีวันรู้ว่าความรู้สึกผมมันเป็นเช่นไร

“การที่เราเติมเต็มความสุขให้แก่กัน มันเรียกว่าบาปอย่างนั้นเหรอ”แม้จะรู้ว่าผมไม่สามารถเอาความคิดของผมที่เกิดและโตในอีกยุคที่การยอมรับในเรื่องรักร่วมเพศมันเปิดกว้างแล้ว มันจะนำมาเปรียบเทียบกับยุคนี้ที่ย้อนมากว่าร้อยปีแบบนี้ แต่มันก็อดไม่ได้อยู่ดีที่ผมจะหาเหตุผลมาเข้าข้างตัวเอง

“ความสุขที่เกิดจากความไม่ถูกต้อง มันจะเป็นความสุขไปได้ยังไง”นั่นแหละครับ ในเมื่อเราสองคนต่างตั้งธงไว้คนละฝั่งแล้ว แถมต่างคนต่างยึดมั่นในความคิดของตน มันก็คงยากที่จะรับฟังเหตุผลของอีกฝ่าย ที่จริงผมเองนี่แหละควรจะเข้าใจเค้าเพราะผมเข้าใจความต่างของยุคสมัยดี เพียงแต่ผมเองก็มีทิฐิของผมเหมือนกันแหละครับ

“คิดเสียว่า มันไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเราสองคน คุณเองก็ไปเข้าโบสถ์ ชำระล้างบาปของคุณเสีย แบบนี้น่าจะทำให้คุณสบายใจขึ้น”ผมบอกออกไปด้วยความหงุดหงิด รู้นะครับว่าผมไม่ควรอารมณ์เสียกับเรื่องนี้เพราะเดวี่เองก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่มันควบคุมตัวเองไม่อยู่จริงๆ ครับ ผมรีบความหาเสื้อผ้ามาใส่ให้เรียบร้อย ไม่ได้สนใจการเหนี่ยวรั้งจากเดวี่ที่ให้ผมอยู่ต่อ ก็ถ้าพูดมาเสียขนาดนี้แล้ว ยังจะอยากให้ผมอยู่ต่อไปทำไมอีก ผมมันก็แค่ตัวผิดบาปในใจเค้านิ

ผมเดินออกจากห้องของเดวี่ กำลังว่าจะกลับไปเรือนใหญ่ แต่นึกขึ้นได้ว่ายังต้องอยู่ที่โรงหมอ ของคุณหมอเดนนิส ผมถอนหายใจอย่างหงุดหงิด แต่ก็ตรงไปยังโรงหมออย่างเลี่ยงไม่ได้ ตอนนี้ผมอยากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สบายตัวเป็นที่สุด

“คุ..คุณปราช มะ...มะมาแล้วหรือเจ้าคะ”ทันทีที่ก้าวเข้าโรงหมอ เที่ยงก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ผมขมวดคิ้วอย่างสงสัย ปกติแล้วเที่ยงเป็นคนพูดจาฉะฉาน ช่างพูดช่างคุย แต่ตอนนี้เหมือนกำลังพยายามหลบตาผม ผมไม่ได้เก็บความสงสัยเอาไว้

“เป็นอะไรของเอ็งนังเที่ยง”

“ปะ...เปล่าเจ้าค่ะ คุณปราชจะรับอาหารเช้าเลยไหมเจ้าคะ”ท่าทางแบบนี้น่าจะมีอะไรสักอย่างสิ อาการของเที่ยงตอนนี้เหมือนจะกลัวผมเสียมากกว่า ผมยังคงจ้องมองสาวรับใช้ส่วนตัวด้วยสายตาจับผิด และเอ่ยคาดคั้นอีกรอบ

“ไม่มีอะไรจริงๆ เจ้าค่ะ ประเดี๋ยวเที่ยงจัดสำรับให้เลยนะเจ้าคะ”เมื่อเจ้าตัวยังคงบ่ายเบี่ยงผมก็ไม่อยากที่จะเซ้าซี้อีก ตอนนี้ในสมองผมมีเรื่องให้คิดมากพอแล้ว ไม่อยากจะเก็บเรื่องนี้มาให้ปวดหัวเพิ่มอีก ผมบอกกับเที่ยงว่าขออาบน้ำก่อนแล้วค่อยทานอาหารเช้า ผมใช้เวลาในการชำระร่างกายอย่างอ้อยอิ่ง เพราะน้ำเย็นมันช่วยให้ผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้น แต่ร่องรอยที่เกิดขึ้นเมื่อคืนมันเริ่มทำให้ผมหงุดหงิดอีกครั้ง ผมรีบเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้เรียบร้อย เปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะออกจากห้องอาบน้ำมา

“ตกลงเอ็งไม่มีอะไรแน่หรือ”ผมนั่งตรงที่เที่ยงจัดสำรับอาหารไว้ให้ แต่อาการประหม่าของเที่ยงยังไม่หายไป ซึ่งมันเริ่มขัดหูขัดตาของผมมากขึ้น และเจ้าตัวก็ยังปฏิเสธเสียงสั่นว่าไม่มีอะไร

“ถ้ายังยืนยันว่าไม่มีอะไรก็ไปให้พ้นๆ หน้าข้า แต่ถ้าจะอยู่นี่ก็ทำตัวให้มันปกติ หรือไม่ก็เล่ามาว่าเป็นอะไร”ผมบอกแล้วก็หันมาสนใจอาหารตรงหน้า แม้จะรู้สึกไม่ค่อยหิว แต่ผมก็รู้ว่าควรกินอะไรบ้าง เมื่อคืนผมเองก็ดื่มเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ค่อยได้ทานอะไรสักเท่าไหร่

ผมชำเลืองมองเที่ยงเป็นระยะเธอไม่ได้ออกจากห้องไป แต่ก็เหมือนไม่ได้คิดจะเล่าหรืออธิบายอะไรกับอาการที่เป็นอยู่ เที่ยงเลือกที่จะนั่งเงียบๆ อยู่ข้างเตียงปราง จนผมทานเสร็จเรียบร้อย เที่ยงเข้ามาเก็บทุกอย่างออกไปโดยไม่ได้ปริปากพูดอะไรสักคำ ผมมองไปรอบๆ ภายในโรงหมอ ทั้งที่ผมเองก็อยู่ที่นี่มาหลายครั้ง แต่วันนี้กลับรู้สึกว่ามันน่าเบื่อเสียจริง ทุกทีผมยังมีเที่ยงคอยชวนคุย เล่าอะไรต่างๆ ให้ฟัง แต่ครั้งนี้หญิงสาวกลับไม่พูดคุยเหมือนเดิม อะไรทำให้หญิงสาวเปลี่ยนไปแค่ชั่วข้ามคืน หรือว่า

สายตาผมจับจ้องไปที่เตียงนอนของผม ไม่น่าจะเป็นไปได้ เมื่อคืนเที่ยงไม่น่าจะมาเห็นตอนที่ผมกับเดวี่มีอะไรกัน แต่อาการของเที่ยงมันก็ชวนให้คิดจริงๆ ว่าเที่ยงอาจจะได้เห็นบางอย่าง แต่ถ้าเที่ยงเห็นจริงๆ เที่ยงน่าจะบอกพ่อหรือแม่ไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นผมควรถามเที่ยงตรงๆ ไปเลยจะดีกว่า ผมนั่งรอเที่ยงอยู่นานมากแต่ก็ไร้วี่แววที่เที่ยงจะกลับมา หรือว่านี่เที่ยงจะทำตามที่ผมบอกให้ไปพ้นๆ หน้า

ผมเดินออกจากโรงหมอ แต่ก็นั่นแหละครับผมต้องอยู่ในบริเวณบ้านของหมอเดนนิส ซึ่งเที่ยงคงไม่ข้ามมาฝั่งนี้แน่ๆ ผมเดินไปเดินมาทั้งในสวน หรือกลับมาที่โรงหมอ เที่ยงก็ไม่กลับมา จวบจนเวลาอาหารมื้อกลางวัน ก็เป็นคนอื่นที่ยกสำรับอาหารมาให้ผม

“เที่ยงไม่ค่อยสบายเจ้าค่ะ”และนั่นคือคำตอบที่สาวใช้คนใหม่บอกกับผมเมื่อผมเอ่ยถามถึงเที่ยง

“เป็นอะไรมากหรือเปล่า”ผมไม่มั่นใจสักเท่าไหร่ว่าจริงๆ แล้วเที่ยงป่วย หรือแค่ไม่มาเจอผมเพราะผมสั่ง หรือว่าเที่ยงต้องการหลบหน้าผม นี่ผมคงกังวลมากเกินไป จริงๆ มันอาจจะไม่มีอะไรมากก็ได้ ผมฝากบอกสาวใช้ไปว่าถ้าช่วงเย็นเที่ยงดีขึ้นให้แวะมาหาผมด้วย ผมมีเรื่องอยากจะคุยด้วยสักหน่อย

“เฮ้อ”บ่ายคล้อยแล้วผมเดินออกมานั่งที่ศาลาริมน้ำ นี่ผมกำลังทำอะไรอยู่ แล้วคำพูดเมื่อคืนที่ผมได้ยินก่อนหลับไปนั่นมันหมายความว่ายังไงกัน ผมใกล้จะได้รู้คำตอบในสิ่งที่ผมสงสัยอย่างนั้นหรือ คำว่าอีกไม่นานในสิ่งที่ผมได้ยินมามันจะแค่ไหนกัน อีกวันสองวัน หรือมากกว่านั้น

ป่านนี้ในปัจจุบันผมจะเป็นยังไงกันนะ ถ้าวันนั้นที่ผมรู้สึกตัวแวบนึงในโรงพยาบาลนั้นคือสิ่งที่กำลังเกิดควบคู่กันไป แสดงว่าสักวันผมก็จะได้กลับไปสินะ แล้วผมจะกลับไปในสภาพไหน เมื่อไหร่ ทำไมตอนนี้ผมกลับเริ่มรู้สึกอยากไปใช้ชีวิตในแบบเดิมกันนะ จริงอยู่ว่าผมเคยคิดว่าชีวิตตัวเองไม่มีความสุข การได้มาที่นี่นั้นมีความสุขมากกว่า ทว่านี่มันไม่ใช่ชีวิต ต่อให้ภายนอกผมจะเหมือนปราช ในใจผมก็ไม่ใช่อยู่ดี

“คิดอะไรอยู่”เสียงดังขึ้นด้านหลังของผม ผมหันมาเจอกับชายหนุ่มตาน้ำข้าว ที่ยืนยิ้มให้ผมอยู่ด้วยสีหน้าและแววตา แตกต่างจากเมื่อเช้าอย่างสิ้นเชิง เมื่อเช้ายังดูเครียด ดูกังวลอยู่เลย ทำไมตอนนี้มายิ้มระรื่นแบบนี้ได้ละเนี่ย

“คิดถึงอนาคต”อนาคตที่ห่างจากนี่เป็นร้อยปี ถ้าเกิดวันนึงผมได้กลับไปใช้ชีวิตในยุคปัจจุบัน ผมจะได้เจอผู้ชายคนนี้อีกไหม นอกจากผมและพ่อแม่ ที่อยู่ทั้งในสองยุคนี้แล้ว จะมีคนอื่นๆ อีกไหม ไม่ว่าจะเป็นเดวี่ เที่ยง หรือคนอื่นอีก

“เด็กน้อยของเดวี่โตแล้วจริงๆ สินะ แต่ไม่ต้องรีบคิดอะไร พักให้ร่างกายแข็งแรงดีก่อนจะดีกว่า”เค้านั่งลงข้างๆ ผม วางมือบนศีรษะผมพร้อมลูบเบาๆ นี่ขนาดคิดว่าผมโตแล้วแต่ก็ยังทำเหมือนผมเป็นเด็กอยู่ดีสินะ อีกอย่างไอ้อนาคตที่เค้าเข้าใจกับ อนาคตที่ผมหมายถึง มันคนละเรื่องกันเลย

“แล้วนี่…ไม่กลัวผิดบาปแล้วเหรอ”ผมบอกเสียงประชดหน่อยๆ พร้อมชายตามองเค้าที่นั่งชิดผมจนเรียกว่าเบียดกันแล้ว แถมมือที่ยังลูบหัวผมอยู่นี่อีก เค้ายิ้มแก้เก้อ ก่อนจะขยับออกจากผมเล็กน้อย เค้าหันหน้าทอดสายตาไปยังสายน้ำที่กำลังไหลเอื่อยๆ อยู่นั้น เค้าสูดหายใจจนเต็มปอด ก่อนจะหันมายิ้มให้ผมอีกครั้ง ยิ้มที่ทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก

“ถึงแม้ว่ามันจะผิด แต่บางทีเราอาจจะไม่ได้อยากเป็นคนที่ถูก จริงไหม”คำถามที่เหมือนไม่ได้จะต้องการคำตอบ มันเหมือนเค้าแค่พูดกับตัวเอง แล้วให้ผมได้รับรู้ความคิดของเค้าเท่านั้น

“คุณปราชเจ้าค่ะ”ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรกับเดวี่ต่อ บทสนทนาของเราทั้งคู่ก็ถูกขัดจังหวะขึ้นโดยเที่ยง สาวใช้คนสนิทของผมที่วันนี้หายไปทั้งวัน ผมหันมองเธออย่างจับผิดว่าป่วยตามที่ฝากคนอื่นมาบอกผมหรือเปล่า จากการประเมินผมว่านอกจากสีหน้ากังวลใจที่เห็นได้ชัดแล้ว ผมว่าเที่ยงไม่น่าจะป่วยจริง

“สำรับอาหารเย็นพร้อมที่โรงหมอแล้วเจ้าค่ะ”ผมพยักหน้าเข้าใจในสิ่งที่เที่ยงบอก ก่อนจะให้เธอไปรอผมที่โรงหมอได้เลย เพราะกะว่าจะคุยกับเดวี่ต่ออีกสักหน่อย แต่เดวี่เองกลับเป็นฝ่ายให้ผมไปกับเที่ยงเลย ผมไม่ค่อยอยากทำตามที่เดวีบอกสักเท่าไหร่ เพราะอยากจะคุยเรื่องระหว่างผมกับเค้าให้ชัดเจนไปเลย สำหรับผมนั้นผมแค่ต้องการความสัมพันธ์ทางกาย ซึ่งผมคงพูดกับเค้าตรงๆ แบบนั้นไม่ได้ แต่ก็ใช่ว่าผมจะไม่รู้สึกอะไรกับเค้านะครับเพียงแต่ผมว่าความรู้สึกที่ผมมีต่อเค้ามันอาจจะยังน้อยกว่าที่เดวี่มีให้กับปราช

“มีอะไรไว้ค่อยคุยกันคืนนี้”เค้าขยับเข้ามาพูดเบาๆ ให้ได้ยินแค่ผมกับเค้า ผมยิ้มอย่างผู้มีชัย ในที่สุดเดวี่ก็คงควบคุมไม่ให้ตัวเองคิดทำอะไรเกินเลยกับปราชไม่ได้เป็นแน่ ผมออกเดินตามเที่ยงไปยังโรงหมอเพื่อทานอาหารเย็น

“คืนนี้เองนอนนี่เฝ้าปรางด้วยนะ”หลังจากทานมื้อเย็นเสร็จอย่างเงียบๆ ผมก็บอกกับเที่ยง เที่ยงผู้ที่ปกติช่างพูดช่างจา แต่ตอนนี้กลับเงียบจนผิดปกติ ผมถามก็ตอบแค่ว่ารู้สึกปวดหัวไม่ค่อยสบาย แต่ผมว่าเธอโกหก

“คุณปราชจะไปนอนห้องคุณเดวี่หรือเจ้าคะ แต่คุณปราชต้องถือเคล็ดอยู่ที่นี่เป็นเวลา 3 วัน สามคืนนะเจ้าคะ”หลังเที่ยงรู้ว่าผมจะไปนอนห้องเดวี่ ดูเที่ยงจะมีปฏิกิริยาแปลกๆ อย่างเห็นได้ชัด จนผมเริ่มจะปักใจเชื่อแล้วว่าเที่ยงคงเห็นบางอย่างแล้วจริงๆ

“เมื่อคืนหลังจากที่เอ็งเอาเหล้ามาแล้ว เอ็งได้กลับมานี่อีกหรือเปล่า”ผมถามย้ำออกเพื่อความมั่นใจ เที่ยงปฏิเสธว่าไม่ได้กลับมา แต่เป็นการปฏิเสธที่มีพิรุธอย่างเห็นได้ชัด ผมเลิกคาดคั้นอะไรจากเที่ยงอีกเพราะถามอะไรไปก็ยืนยันปฏิเสธเหมือนเดิม ในเมื่อเธอยังปฏิเสธ ผมก็จะยังถือว่าเธอไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น หลังอาบน้ำเปลี่ยนชุดนอนเสร็จเรียบร้อย ผมก็เตรียมตัวจะไปหาเดวี่ แต่เที่ยงก็พยายามรั้งผมไว้อีกครั้ง

“ถือเสียว่าเที่ยงขอร้องนะเจ้าคะ อย่าไปเลยเจ้าค่ะ”แม้จะรู้สึกว่าไม่ควรไปตามที่เที่ยงขอร้อง แต่ความต้องการลึกๆ ในใจของผมกับสิ่งที่ได้รับจากเดวี่ในคืนก่อนมันทำให้ผมไม่สนใจคำพูดของเที่ยงมากนัก ไม่นานนักผมก็มายืนอยู่หน้าประตูห้องนอนของเดวี่ ผมยกมือขึ้นเคาะเบาๆ สองครั้ง รอแค่อึดใจเสียงฝีเท้าก็เริ่มดังเข้าใกล้ผมมาเรื่อยๆ

ทั้งที่ตั้งใจว่ามีเรื่องจะต้องคุยกันกับเดวี่ก่อน ว่าตกลงเราทั้งคู่จะทำยังไงกับความสัมพันธ์นี้ ผมรู้ดีว่าในยุคสมัยแบบนี้มันคงไม่มีใครยอมรับแน่นอนอยู่แล้ว ถ้าเกิดมีใครรู้ขึ้นมามันคงเป็นเรื่องใหญ่ ใครในที่นี่ก็คือพ่อแม่ของผม หรือพ่อแม่ของปราชนี่แหละครับ ส่วนเที่ยงนั้นต่อให้รู้จริงๆ ผมก็คิดว่าผมจะแก้ปัญหาได้ นี่คือทั้งหมดที่ผมคิดว่าจะคุยกับเค้า แต่พอเจอหน้ากัน สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเริ่มต้นด้วยจูบอันร้อนแรง

มันเหมือนว่าห้องนอนแห่งนี้มีมนต์สะกด ให้เราทั้งคู่ดึงดูดเข้าหากันแทบไม่ต้องมีคำพูดอะไร พอสายตาประสานกันทุกอย่างก็เหมือนจะดำเนินไปอย่างราบรื่นไม่มีสะดุดแม้แต่น้อย ผมลืมเรื่องที่คิดว่าจะคุยกับเค้า กลับมาสนใจแค่การมอบความสุขให้กันที่กำลังเกิดขึ้น เราถาโถมเข้าหากันอย่างไม่รู้จักพอ ผมเองตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ ก็เพิ่งเป็นคืนที่สองที่ได้ทำอะไรแบบนี้ ส่วนเดวี่เองผมว่าเค้าคงเก็บกดความต้องการนี้ที่จะทำกับปราชมานานแล้ว

“พ่อปราช”เสียงประตูเปิดอย่างรวดเร็วพร้อมเสียงตะโกนของคุณหยาด ผู้เป็นแม่ของผมในตอนนี้ ทำให้ผมและเดวี่ผละออกจากกันอย่างรวดเร็ว ผ้าผืนที่ใกล้ที่สุดถูกฉวยมาปิดของสงวนโดยอัตโนมัติ นอนจากคุณหยาดผู้เป็นแม่ผมที่ยืนน้ำตานองหน้าทำอะไรไม่ถูกอยู่ตรงนั้น

“ไอ้ลูกวิปริต”หลวงปราบผู้เป็นพ่อของผมคืออีกคนที่พุ่งเข้าฟาดฝ่ามือลงที่ใบหน้าของผม เดวี่จะเดินเข้ามาขวาง แต่ผมยกมือขึ้นห้ามว่าไม่เป็นไร อีกหนึ่งคนที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องเงียบๆ ด้วยสีหน้าผิดหวังคือหมอเดนนิสผู้เป็นพ่อของเดวี่ ทุกอย่างมันดูเกิดขึ้นเร็วจนผมคิดไม่ทันว่าจะแก้สถานการณ์นี้อย่างไร เดวี่พยายามที่จะอธิบาย พูดบางอย่าง แต่ตอนนี้ดูไม่มีใครจะพร้อมฟังอะไรทั้งนั้น

“ไปใส่เสื้อผ้าแล้วกลับเรือน”เสียงออกคำสั่งจากผู้เป็นพ่อ พูดแล้วหันหลังให้ผมแต่ไม่ได้เดินไปไหน ผมหันไปบอกเดวี่ที่พยายามอยากอธิบาย ขอโทษ หรืออะไรต่างๆ ว่าให้หยุดไว้ก่อน ตอนนี้มันไม่น่าจะเป็นเวลาที่เหมาะสักเท่าไหร่ หลังผมและเดวี่ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย บ่าวที่เหมือนจะรออยู่ด้านล่างก็ขึ้นมาประกบผมเพื่อพากลับเรือน พร้อมกันเดวี่ไม่ให้ตามมาพูดอะไรอีก

“เฝ้าไว้ อย่าให้คลาดสายตา”คำสั่งจากผู้เป็นพ่อของผม ทันทีที่ผมกลับถึงห้องที่เรือนใหญ่ ส่วนผู้เป็นแม่ของผมตอนนี้เอาแต่ร้องไห้และพูดวนซ้ำไป ซ้ำมาว่าทำไมผมถึงทำแบบนี้ ไม่นานนักทุกคนก็ออกไปเหลือทิ้งผมไว้กับเที่ยงแค่สองคน  นี่มันกลายเป็นเรื่องใหญ่ไปแล้วสินะ อีกหน่อยทุกคนที่นี่อาจจะไม่รักผม เหมือนที่พ่อแม่ในปัจจุบันของผมไม่รักผมอย่างแน่นอน พอคิดแบบนั้นน้ำตาผมมันก็ดันไหลออกมาเอง นี่ผมทำทุกอย่างให้มันแย่ลงเพราะตัวผมเองสินะ

“เจ็บมากไหมเจ้าคะ”ผมแทบไม่ได้สนใจสาวใช้คนเดียวที่ยังอยู่กับผมในห้อง ผมแทบไม่ต้องเดาว่าทุกคนไปที่ห้องนอนเดวี่ได้ยังไง แต่ผมคงไม่โทษเธอหรอก ทุกอย่างมันก็เกิดจากสิ่งที่ผมทำมันลงไปด้วยตัวเองทั้งนั้น

“เที่ยงขอโทษนะเจ้าคะที่ต้องทำแบบนี้ คุณปราชจะโกรธ จะเกลียด ตบตี ทำอะไรกับเที่ยงก็ได้เจ้าค่ะ แต่เที่ยงไม่อยากเห็นคุณปราช วิปริตผิดเพศแบบนี้”เที่ยงเริ่มพูดด้วยน้ำตาที่ไหลอาบสองแก้ม เธอสะอื้นจนตัวโยนพร้อมกับก้มลงกราบผม จนผมต้องรีบดึงให้ลุกขึ้น

“ไม่เป็นไร ข้าไม่เป็นไร”ผมคงไม่โทษเธออยู่แล้ว เพราะไม่รู้จะทำอย่างนั้นให้ได้อะไรขึ้นมา ตอนนี้ผมคงต้องรอดูสิ่งที่จะตามมาจากนี้เสียมากกว่าว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

“เสียงอะไร”ยังไม่ทันที่ผมจะคิดอะไรมากไปกว่านี้ เสียงโครมคราม เหมือนคนกำลังยกตู้ ยกเตียงก็ดังขึ้น เรียกความสนใจจากผมเสียก่อน

“คุณหลวงให้ย้ายคุณปรางกลับเรือนเจ้าค่ะ”

สิ่งที่ผมได้ยินแทบจะทำให้เลิกคิดเรื่องอื่นไปในทันที นี่นะเหรอสิ่งที่จะทำให้ปรางถูกย้ายกลับมาที่นี่ สิ่งที่ผมเห็นในฝันมันใกล้จะเกิดขึ้นแล้วอย่างนั้นเหรอ ผมอยากจะออกไปห้ามทุกคนให้นำปรางกลับไปไว้ที่โรงหมดเช่นเดิม แต่คำพูดจากหลวงตาก็ดังก้องมาในหัวของผม ผมคงไปแก้ไขอะไรในสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้วไม่ได้ ยิ่งถ้าพยายามฝืน ทุกอย่างมันก็จะยิ่งแย่ลงไปอีก






TBC

Happy New Year 2017  นะคร๊าบบบ





ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 11
ฝันร้ายที่กลายเป็น...



ปรางถูกย้ายกลับมาอยู่ที่เรือนใหญ่เป็นที่เรียบร้อย หมอฝรั่งคนใหม่ถูกว่าจ้างให้มาดูแลปราง ส่วนหมอเดนนิสและเดวี่ ผมรู้จากเที่ยงว่าทั้งคู่เก็บกระเป๋าออกไปจากที่นี่ตั้งแต่คืนวันนั้น ผมไม่มีโอกาสออกไปเจอใครทั้งนั้น ตอนนี้ได้รับอนุญาตให้ออกจากห้องได้แค่ตอนเข้าห้องน้ำ ซึ่งต้องมีคนเฝ้า ตอนกินข้าวก็แทบกลืนไม่ลงเพราะมีคนมาจ้องตลอดเวลา อีกที่ที่ผมได้รับให้เข้าไปเปลี่ยนบรรยากาศได้คือ ห้องนอนของปราง

“เที่ยงขอโทษนะเจ้าคะ ที่ทุกอย่างมันกลายเป็นแบบนี้”หญิงสาวยังคงขอโทษผมซ้ำไปซ้ำมา ครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งที่ผมก็บอกย้ำไปแล้วว่าไม่ถือโทษเธอแต่อย่างใด ส่วนผู้เป็นพ่อของปราชยังเรียกว่ายังโกรธ หรืออาจจะเกลียดกับการกระทำที่ผมได้ทำลงไป ตอนนี้การเผชิญหน้ากันแต่ละครั้งมันดูอึดอัดไปหมด แม้เรื่องนี้จะมีคนรู้ความจริงไม่กี่คน มันก็เพียงพอให้เกิดข่าวลือต่างๆ มากมายว่าทำไมคุณหมอเดนนิส และเดวี่หายออกไปด้วยเหตุผลใด

“ข้าผิดมากหรือเปล่า”สายตาผมมองไปที่คุณหยาดผู้เป็นแม่ แม่ดูซูบไปอย่างเห็นได้ชัด แถมทุกครั้งที่มองผม สายตาของท่านดูมีแต่ความผิดหวัง

“ผิดหรือไม่ เที่ยงคงไม่กล้าตัดสินหรอกเจ้าค่ะ เที่ยงรู้แค่ว่าคุณหลวงกับคุณหยาดเสียใจมากกับเรื่องนี้ หากย้อนกลับไปได้เที่ยงอาจจะไม่บอกเรื่องนี้กับผู้ใด แต่เที่ยงจะเลือกขอร้องให้คุณปราชเลิกทำเช่นนี้แทน”ผมอาจจะคิดน้อยเกินไปจริงๆสินะ การปล่อยความต้องการให้เป็นใหญ่ ผมเลยได้รับผลของการกระทำที่เป็นอย่างนี้ หรือว่านี่มันคือสาเหตุที่ในยุคปัจจุบัน พ่อแม่ไม่รักผม

“คุณแม่ขอรับ ลูกไปด้วยได้ไหมขอรับ”ผมส่งเสียงเรียกผู้เป็นแม่ที่กำลังเตรียมตัวจะไปถวายเพลที่วัด แม่มองผมด้วยสายตาสับสนและลำบากใจกับสิ่งที่ผมเอ่ยปากขอ

“ให้คุณปราชไปเถอะเจ้าคะ กว่าคุณหลวงจะกลับมาก็คงค่ำ ยังไงคุณหยาดก็พาคุณปราชกลับมาก่อนอยู่แล้ว เดี๋ยวเที่ยงจะกำชับพวกบ่าวไพร่ไม่ให้ใครบอกเรื่องนี้กับคุณหลวงเองเจ้าค่ะ”แน่นอนว่าตอนนี้ผมถูกกักบริเวณ การจะออกไปไหนได้มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย แต่ดูเหมือนคำพูดของเที่ยงจะได้ผล ผมได้รับอนุญาตให้ไปวัดได้ อย่างลับๆ

“ขอลูกรอถามอะไรหลวงตาสักหน่อยนะขอรับ”หลังจากการถวายเพลเสร็จ ผมเอ่ยปากขออยู่ต่ออีกสักหน่อย เพราะจุดประสงค์จริงๆ ที่ผมอยากมาที่นี่คือการมาพบกับหลวงตานั่นเอง ผมว่าคนเดียวที่พอจะให้คำตอบอะไรผมได้บ้างกับเรื่องราวทั้งหมด คงมีเพียงแค่หลวงตาคนเดียวเท่านั้น

“ครู่เดียวนะพ่อปราช”ทุกคนเดินออกจากศาลาไปปล่อยผมนั่งรอลำพัง แต่เหมือนว่าเที่ยงจะจับตามองผมอยู่ที่ประตูทางออก ที่จริงผมก็ไม่ได้คิดจะหนีไปไหนนะครับ แต่ตอนนี้ทุกคนทำเหมือนผมเป็นนักโทษที่กลัวว่าจะแหกคุกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้

“กระผมมาขอคำชี้แนะขอรับ”เหมือนหลวงตาเองจะรู้อยู่แล้วว่าผมจะมา เพราะพอทุกคนแยกออกไป หลวงตาเองที่เป็นคนเดินมาหาผม

“เห็นแล้วใช่ไหมว่าสิ่งที่โยมพยายามเปลี่ยนมันส่งผลกระทบเช่นไร”หลวงตายังคงพูดให้ผมคิดเองเช่นเดิม แล้วไอ้ผลกระทบที่หลวงตาว่านี่มันคือที่ผมเจออยู่ตอนนี้อย่างงั้นเหรอ

“ถึงแม้โยมจะพยายามเปลี่ยนแปลง แต่อะไรที่มันจะเกิดขึ้นมันก็ต้องเกิดขึ้น แล้วพอมีการเปลี่ยนแปลง บางอย่างที่มันไม่ควรจะเกิดมันก็เกิดขึ้นมา ถ้าโยมยังพยายามเปลี่ยนอะไรอีก เรื่องราวมันก็จะยิ่งแย่ลงไปกว่าเดิม”อะไรที่มันไม่ควรเกิดอย่างนั้นเหรอ ไอ้ที่หลวงตาบอกว่าไม่ควรเกิดมันคือเรื่องระหว่างผมกับเดวี่หรือเปล่า

“กระผมควรอยู่เฉย รอให้ทุกอย่างมันเกิดขึ้นหรือขอรับ”ผมถามย้ำอีกครั้ง แม้จะพอเข้าใจในสิ่งที่หลวงตาบอกอยู่แล้ว

“โยมสร้างบ่วงกรรมเพิ่มขึ้นมาแล้ว มันก็คงมีคนที่ต้องใช้กรรมร่วมกับโยมขึ้นมาอีก”อย่างที่เคยบอกว่าผมเคยไม่เชื่อเรื่องบาปกรรมอะไรพวกนี้ แต่พอชีวิตต้องมาเผชิญกับสิ่งที่เป็นตอนนี้ กรรมมันก็คือผลของการกระทำสินะ ถ้านี่คือชีวิตในอดีตของผม พ่อกับแม่ก็คงไปใช้กรรมร่วมกับผมในยุคปัจจุบันสินะ นี่ยิ่งช่วยตอกย้ำให้ผมคิดว่าสาเหตุที่เหมือนพ่อแม่จะไม่รักผม มันเพราะเรื่องราวในอดีตนี่หรือเปล่า แล้วปรางล่ะ ทำไมผมถึงไม่ได้เจอเธอในยุคปัจจุบัน

หลวงตาไม่รอให้ผมได้ถามอะไรเพิ่มเติม ผมทำได้เพียงยกมือไหว้ตามหลังหลวงตาเท่านั้น ผมลุกเพื่อจะเดินไปหาทุกคนที่รออยู่ แต่แปลกใจเล็กน้อยที่เที่ยงไม่ได้รอผมอยู่ตรงทางออก คนอื่นๆ รอกันอยู่ที่ศาลาริมท่าน้ำ แต่จากที่มองดูไม่มีเที่ยงอยู่ในกลุ่มนั้น ผมกวาดสายตาไปรอบๆ แล้วสายตาก็ไดสะดุดกับใครคนนึง ที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ห่างออกไป เหมือนเค้าจ้องมาที่ผม

ผมจำเค้าได้ นั่นคือชายคนที่ผมเคยเจอตอนงานวัด เค้ามาทำอะไรที่นี่ เหมือนเค้าจะรู้ตัวแล้วว่าผมสังเกตุเห็นเค้าหันหลังเดินหลบออกไปแทบจะทันที ส่วนผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตัวเองต้องเดินตามเค้าอีกแล้ว ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงมีแรงดึงดูดบางอย่างให้ผมมีความสนใจได้ขนาดนี้ ทั้งที่ผมไม่รู้จักอะไรในตัวเค้าเลย

“คุณปราชเจ้าคะ คุณปราช”เสียงของเที่ยงทำให้ผมเหมือนเพิ่งได้สติ และหยุดเดิน ผมหันกลับไปมองหญิงสาวก่อนจะหันมองคนที่ผมเดินตามอีกครั้ง เค้าหันกลับมามองผมแล้วค่อยๆ เร่งฝีเท้าห่างออกไป

“จะไปไหนหรือเจ้าคะ”ผมส่ายหน้าปฏิเสธ พร้อมชวนเที่ยงกลับไปยังท่าน้ำเพื่อสมทบกับคนอื่นๆ พอกลับถึงบ้านดูทุกคนจะโล่งใจกับการที่ผมกลับมาถึงบ้านก่อนผู้เป็นพ่อ

“ช่วงนี้เจ้าคุณพ่อไม่ค่อยอยู่ติดเรือนนะขอรับ”ผมพูดลอยๆ กับผู้เป็นแม่เพราะช่วงนี้พ่อดูเคร่งเครียดกับสิ่งที่ทำเหลือเกิน แต่ผมเองก็ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเพราะงานราชการที่ต้องทำ หรือเป็นผลพวงมาจากผมอีกด้วยหรือเปล่าถึงทำให้ท่านเคร่งเครียดขนาดนั้น

“ช่วงนี้โจรชุกชุม เห็นว่าต้องช่วยทางการอีกแรง ว่าแต่ลูกเถอะ พ่อปราชยังโกรธพ่ออยู่หรือไม่”ผมส่ายหน้าปฏิเสธ เพราะตอนนี้ผมว่าผมไม่อยู่ในฐานะที่จะโกรธใครได้หรอกครับ ผมว่ามีแต่ผมเสียด้วยซ้ำต้องถามคำถามนี้กับคนอื่นว่าหายโกรธกับสิ่งที่ผมได้ทำลงไปหรือยัง

“เดี๋ยวพอเสร็จธุระ พ่อกับแม่คงต้องหารือเรื่องสู่ขอ ลูกสาวสักบ้านมาเป็นคู่ครองให้ลูก”ถึงจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ได้ยิน แต่ผมเองก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกไปมากนัก ผมไม่แน่ใจว่านี่ก็เป็นสิ่งที่ผมไม่ควรไปพยายามเปลี่ยนหรือเปล่า เพื่อไม่ให้มีผลกระทบอะไรเพิ่มมากอีก ผมก็ควรจะเออออไปก่อน

“กระผมต้องแต่งงานอีกรอบสินะขอรับ”ผมพยายามพูดเล่นด้วยน้ำเสียงสบายๆ ให้แม่รู้สึกดีขึ้น ซึ่งมันดูไม่ได้ผลเท่าไหร่ แม่เพียงหันมายิ้มขื่นๆ ก่อนจะเดินออกไปเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไรอีก ผมหันมองหน้าเที่ยง คนที่ยังพอจะเข้าหาผมอย่างปกติที่สุดแล้วตอนนี้ แต่ไอ้ท่าทางลุกลี้ลุกลนของเที่ยงนี่อะไรอีกละครับเนี่ย

“คุณปราชเจ้าคะ”ผมเลิกคิ้ว มองสาวใช้คนสนิทว่ามีอะไรอีกหรือเปล่า เมื่อไม่เห็นว่าเที่ยงจะพูดอะไร ผมเลยเดินมุ่งหน้าไปยังห้องนอนของปราง

“คุณปราชจะยอมแต่งงานกับคนที่คุณหลวง ไปสู่ขอให้จริงๆ ใช่ไหมเจ้าคะ”ผมเดินไปนั่งลงที่ข้างเตียงของปราง พร้อมคิดตามสิ่งที่เที่ยงถาม แล้วจึงพยักหน้าเป็นการยอมรับตามสิ่งที่เธอถามมา

“แน่ใจหรือเจ้าคะ”ผมเริ่มไม่เข้าใจกับสิ่งที่เที่ยงกำลังจะสื่อ เพราะเหมือนเป็นการเกริ่นเพื่อนำไปสู่บางอย่าง จริงๆ ที่เธอต้องการจะพูดกับผม มากกว่าจะเป็นการตั้งคำถามธรรมดา

“เอ็งไม่อยากให้ข้าแต่งรึ”ผมแกล้งถามกลับไป เวลาได้คุยกับเที่ยงก็ช่วยให้ผ่อนคลายดีเหมือนกันนะครับ เหมือนได้หลุดออกจากบรรยากาศเครียดๆ บ้าง เที่ยงรีบส่ายหน้าปฏิเสธกับคำถามของผม ผมต้องกลั้นขำกับท่าทีนั้น

“หรือเอ็งอยากแต่งกับข้า”ผมแกล้งแหย่เพราะนึกสนุกที่ได้เห็นท่าทางตกใจของสาวใช้คนสนิท เธอรีบปฏิเสธหนักกว่าเดิมเสียอีก ก่อนจะยื่นกระดาษแผนนึงมาให้ผม ผมรับมาอย่างงงๆ ว่ามันคืออะไร กระดาษที่มีข้อความสั้นๆ อยู่ในนั้น ด้วยภาษาที่เขียนทำให้ผมรู้ได้ในทันทีว่าใครเป็นคนให้กระดาษแผ่นนี้มา

“คุณปราชรับปากเที่ยงได้ไหมเจ้าคะ ว่าจะแต่งงานกับคนที่คุณหลวงหามาให้”เที่ยงบอกกับผมด้วยสายตาเว้าวอน ทั้งที่เธอเองยังไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่ากระดาษแผ่นนี้เขียนว่ายังไง

“เอ็งรู้หรือว่าเดวี่เขียนว่าอย่างไร”หญิงสาวส่ายหน้าปฏิเสธ

“เที่ยงไม่รู้ว่าในนั้นเขียนว่าอย่างไร ที่จริงเที่ยงทิ้งไปเสียยังได้เลยเจ้าคะ แต่ถ้าคุณปราชยืนยันว่าจะยอมแต่งงาน ข้อความในกระดาษแผ่นนี้มันก็คงไม่มีความหมาย เที่ยงก็แค่สงสารคุณเดวี่ ดูท่าทางแกจะไม่ค่อยดีนัก เที่ยงไม่อยากให้คุณปราชกับคุณเดวี่ทำเรื่องไม่ดี แต่มันก็ไม่ใช่ว่าเที่ยงจะเกลียดคุณเดวี่นะเจ้าคะ”เที่ยงเองก็คงลำบากใจมากสินะ เธอเองก็คงกำลังสับสนว่าจะเห็นด้วยกับทางไหน อีกอย่างที่เที่ยงยอมเอากระดาษแผ่นนี้มาให้ผมตามคำขอของเดวี่ ก็คงเพราะอาจรู้สึกผิดที่เป็นคนบอกเรื่องนี้ให้คนอื่นรับรู้จนมันกลายเป็นอย่างตอนนี้

“คุณเดวี่แอบเอามาให้เที่ยงที่วัดเจ้าคะ ไม่ต้องบอกเที่ยงก็ได้เจ้าคะว่าในนั้นเขียนว่าอย่างไร แต่เที่ยงขอให้คุณปราชสัญญาว่าจะยอมแต่งงานตามที่คุณหลวงและคุณหยาดต้องการ”ผมหัวเราะในลำคอ เพราะบอกตามตรงผมว่าเรื่องการแต่งงานหรืออะไรอื่นๆ มันจะทันได้เกิดขึ้นหรือเปล่า ผมมองร่างของปรางที่นอนนิ่งอยู่นี้ เสื้อผ้าที่ปรางใส่ตอนนี้มันช่างเหมือนกับชุดที่ผมเห็นในฝันเป็นประจำเสียเหลือเกิน หรือว่านี่มันคือวันที่จะเกิดขึ้นแล้ว

“เดวี่ขอให้ข้าหนีไปด้วย”ผมบอกออกไปโดยไม่ได้หันไปเธอ

“แต่เอ็งไม่ต้องห่วง ข้าไม่ไปไหนหรอก”ผมไม่ได้บอกไปทั้งหมดว่าคืนนี้เดวี่จะมาหาผมที่ท่าน้ำ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้ ถ้าความฝันของผมมันจะเป็นจริง คืนนี้อาจเป็นคืนสุดท้ายสำหรับผมที่นี่ พรุ่งนี้ผมอาจจะตื่นขึ้นในยุคปัจจุบัน ที่นี่อาจจะเป็นแค่ความฝันเรื่องยาวเรื่องนึงของผม

เหตุการณ์ในห้องนี้ผมฝันจนจำได้แทบทุกอย่างแล้ว ยกเว้นอย่างเดียวคือหน้าตาของคนที่ฆ่าทุกคน หวังว่ามันคงไม่เลวร้ายขนาดว่าเดวี่คือคนๆ นั้นหรอกนะครับ ผมนั่งอยู่ที่ห้องของปรางจนค่ำ มื้อค่ำของวันนี้ผมมีโอกาสได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาทั้งพ่อ ทั้งแม่ ดูๆ ไปมันเริ่มจะใกล้เคียงชีวิตเดิมของผมเข้าไปทุกที พ่อยังคงเย็นชากับผม แม่เองแม้จะยังดูเป็นห่วงเป็นใยผม แต่ก็ซ่อนความผิดหวังในตัวผมไว้ไม่มิด

“ข้าเกริ่นกับหลวงเทิดแล้วนะแม่หยาด ว่าเราจะไปสู่ขอลูกสาวของเขา เขาก็ว่าไม่ติดปัญหาอันใด”ผมยังคงนิ่งฟังโดยไม่ได้แสดงอาการใดๆ สมองผมยังคงคิดถึงแต่เรื่องคืนนี้ว่ามันจะเกิดขึ้นอย่างที่ผมเป็นกังวลหรือเปล่า

“คุณพ่อ คุณแม่ขอรับลูกกราบขอโทษในทุกสิ่งที่ลูกทำไม่ดี ทุกสิ่งที่ทำให้ไม่พอใจ คุณพ่อคุณแม่จะอภัยให้ลูกได้ไหมขอรับ จากนี้ไปลูกยินดีทำตามที่คุณพ่อ กับคุณแม่ต้องการทุกอย่าง ขอแค่อย่างเดียว อย่าเกลียดลูกเลยนะขอรับ”ผมขยับเข้าไปกราบลงบนตกของทั้งคู่ แม้จะทำใจไว้แล้ว แต่พอนึกถึงว่าเหตุการณ์ในฝันจะเกิดขึ้น ผมก็อดที่จะน้ำตาไหลไม่ได้ หากท่านทั้งสองจะต้องตายไป ผมจะยังมีโอกาสได้เจอพวกท่านอีกหรือไม่ ผมจะตื่นขึ้นในยุคปัจจุบันจริงๆ หรือเปล่า

“พ่อกับแม่ไม่เคยเกลียดลูก เพียงแต่เราทั้งคู่ไม่อยากเห็นลูกเดินทางผิด พ่อยอมให้ลูกแต่งกับนังเที่ยง ยกมันมาเป็นเมียแต่งออกหน้าออกตาเสียยังจะดีกว่า ให้เกิดเรื่องเช่นนั้น”ถ้าการที่ผมยอมรับทำตามในสิ่งที่พวกเค้าอยากให้เป็นหรืออยากให้ทำ แล้วมันทำให้พวกเค้าทีความสุข ผมก็ยินดีเพราะจากนี้ผมคงไม่มีโอกาสได้ทำมันอีกแล้ว ทั้งสองลูบหัวผมอย่างรักใคร่

หลังจากทานมื้อค่ำเสร็จผมกลับมาอยู่ที่ห้องของปรางโดยมีเที่ยงตามติดแจ เหมือนกลัวว่าผมจะหายไปไหน ผมได้แต่มองหญิงสาวแล้วรู้สึกใจหาย เธอเป็นอีกคนที่อยู่ในความฝันของผม และต้องจบชีวิตลงด้วยวัยเพียงเท่านี้

“ถ้าเอ็งง่วงก็ไปนอนสินังเที่ยง”เจ้าของชื่อยังคงส่ายหน้าทั้งที่ตาจะปิดอยู่แล้ว แต่เที่ยงก็ฝืนอยู่กับผมจนดึกดื่นไม่ได้ จากคำพูดของหลวงตาทำให้ผมไม่พยายามคิดหาเหตุผล หรือพยายามหาว่าใครจะมาเป็นคนสังหารหมู่ครอบครัวนี้ เพราะการที่ผมทำอะไรลงไป มันต้องไปส่งผลกับบางอย่างแน่นอน

ผมค่อยๆ เปิดประตูอย่างเบามือที่สุด หลังจากเที่ยงเผลอหลับไป กลางดึกแบบนี้ทุกอย่างดูเงียบสงัด แต่แค่เพียงผมก้าวออกนอกประตูห้อง บ่าว 2 คนที่มาเฝ้าผมก็ลุกขึ้นยืนอย่างแข็งขัน ผมหันหลังกลับเข้าไปปลุกเที่ยงเพราะคิดจะทำบางอย่าง บางอย่างที่ผมเองก็รู้ว่าไม่ควรทำ แต่ผมกลับทำตรงข้ามกับเหตุผลที่ควรจะเป็น

“ข้าสัญญาว่าจะไม่ไปไหน แต่เจ้าต้องพาข้าไปท่าน้ำ”ผมบอกกับสาวใช้คนสนิท เที่ยงมีสีหน้าเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด แล้วเธอก็ยอมทำตามที่ผมร้องขอ เธอบอกกับ 2 คนที่เฝ้าว่าผมนอนไม่หลับ อยากไปนั่งรับลมที่ท่าน้ำ และไม่ต้องตามไป ขอให้เฝ้าอยู่ห่างๆ ก็พอ หากมีอะไรเที่ยงที่ไปกับผมจะรีบตะโกนให้ช่วยทันที ทีแรกทั้งคู่ไม่ยอมแต่เที่ยงเข้าไปกระซิบบางอย่างกับทั้งสอง เลยยอมให้ผมกับเที่ยงไปยังท่าน้ำ

“คุณปรา...”ผมต้องรีบเอามือปิดปากเที่ยงทันทีที่ถึงศาลาตรงท่าน้ำ เพราะมีอีกคนที่มารออยู่แล้ว

“ข้าบอกแล้วว่าจะไม่หนีไปไหน ข้าแค่จะมาบอกเค้าว่าไม่ต้องรอแค่นั้น”ผมต้องรีบบอกกับหญิงสาวเพื่อไม่ให้เธอตะโกนเรียกคนอื่นๆ

“คิดแล้วว่าเด็กน้อยต้องมา”เดวี่เดินมาดึงผมเข้าไปสวมกอดทันทีที่ผมปล่อยมือจากเที่ยง ผมรู้แล้วว่าเค้าคงรักปราชมาก แต่ผมละ ผมไม่ใช่ปราช และผมรู้สึกยังไงกับเค้ากันแน่ ผมเองยังตอบตัวเองไม่ได้เลย ผมค่อยๆ จับตัวเค้าขยับออก

“ผมไม่ใช่ปราชที่คุณรู้จัก และผมคงไปกับคุณไม่ได้”ข้อความที่เค้าบอกกับผมคือการหนีไปปารีสกับเค้า ใจนึงจริงๆ ผมก็คิดนะว่าถ้าผมไปกับเค้ามันจะเกิดอะไรขึ้น ผมจะไปได้จริงๆ หรือมันจะมีอะไรมาขัดขวางไว้ แล้วถ้าผมไป คืนนี้จะยังเป็นอย่างที่ผมฝันไหม ที่จริงตั้งแต่วันที่ผมมีอะไรกับเดวี่ ผมก็แทบไม่ฝันอะไรอีกเลย

“เด็กน้อยไม่รักเดวี่หรือ”น้ำเสียงของเค้าแผ่วเบา ถึงผมจะรู้สึกสงสารเค้าทั้งที่ผมเองเป็นคนไขกุญแจให้เค้ายอมรับความรู้สึกของตัวเอง แต่ผมกลับทิ้งเค้าไว้ลำพัง ผมคงเป็นคนที่เห็นแก่ตัวมากสินะ ผมอยากให้สิ่งที่เกิดตรงนี้มันเป็นแค่ความฝันเหลือเกิน

“ผมไม่ใช่คนที่คุณคิดหรอก คุณกลับไปเถอะ ที่ผมมาเจอคุณเพื่อไม่ให้คุณต้องเสียเวลารอผม”สายตาเค้าดูไม่เข้าใจกับการกระทำของผม ส่วนผมเองจริงๆ ถ้าดึงเอาเหตุผลดีๆ มาบอกเค้า เดวี่อาจจะยอมรับได้ง่ายกว่านี้เพราะดูเดวี่ก็ไม่น่าใช่คนไม่มีเหตุผล แต่ผมว่าการให้เค้าเกลียดผมไปเลยมันอาจจะดีกับตัวเค้ามากกว่า

ผมหันมองเที่ยงส่งสัญญาณว่าจะกลับขึ้นเรือน พร้อมหันหลังให้เดวี่ แต่เพียงก้าวแรกที่ผมออกเดิน เดวี่ก็ตามมากอดผมไว้จากด้านหลัง ผมหยุดนิ่งไม่แสดงอาการใดๆ

“บอกมาคำเดียว บอกมาว่าเด็กน้อยไม่เคยรักเดวี่”รักอย่างเหรอ ผมเคยมีความรักให้ใครบ้างล่ะ นอกจากพ่อแม่ ยาย ผมเคยให้สิ่งนี้กับใครอีกบ้าง ความรู้สึกใจหายที่เกิดขึ้นตอนนี้มันคืออะไรกันนะ แต่ผมไม่มีเวลาแล้วนี่มันดึกมากแล้ว เดวี่ควรไปจากที่นี่ก่อนที่ความฝันของผมมันจะเกิดขึ้นจริงๆ

“ผมไม่เคยรักคุณ สิ่งเดียวที่ผมต้องการจากคุณก็แค่เซกส์”ผมบอกออกเสียงเรียบ เค้าค่อยๆ คลายอ้อมกอดออก ผมเดินตรงหาเที่ยงโดยไม่ได้หันกลับไปมองเค้าอีก ผมกับเที่ยงเดินกลับมาเงียบๆ โดยไม่พูดคุยอะไรกัน แต่ดูทุกอย่างมันเงียบจนผิดปกติ ผมเริ่มฉุกคิดว่าหรือนี่จะถึงเวลาแล้ว

“ยิ่งโยมพยายามเปลี่ยน ทุกอย่างมันยิ่งจะแย่ลง”คำพูดของหลวงตาดังก้องเข้ามาในหัวของผมทันที ผมมองไปที่ทางเข้าห้องนอนของปราง ตอนนี้ไม่มีคนเฝ้าอยู่แล้ว มันคงเกิดขึ้นจริงๆ แล้วสินะ

ไม่นานนักร่างผมและเที่ยงก็ถูกคนในความมืดเข้ามาประชิดตัว เที่ยงคงตกใจอย่างมากแต่เธอโดนปิดปากและมีมีดปลายแหลมจ่อที่คอทำให้ไม่กล้าที่จะขัดขืน ส่วนผมเองก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ เราทั้งสองถูกพาไปยังห้องนอนของปรางเหตุการณ์มันดูต่างจากในฝันของผมแล้ว แต่คิดว่าจุดจบของเรื่องนี้มันคงไม่ต่าง

“ปล่อยลูกเมียกูไป มึงแค้นที่กูช่วยทางการตามล่ามึง มึงก็ทำกูคนเดียว”ทันทีที่ผมและเที่ยงเข้าไปในห้องหลวงปราบผู้เป็นพ่อก็หันไปบอกกับคนที่จะ ผมจำมันได้แล้ว มันคือคนที่ผมเจอที่งานวัดครั้งนั้น และที่เพิ่งเจอในวัดอีกครั้งเมื่อกลางวัน ผมเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราว ว่าทำไมครอบครัวของผมถึงต้องโดนฆ่ายกครัวแบบนี้ ทุกคนต้องมาตายเพียงเพราะโจรชั่วคนเดียวนี่สินะ ผมค่อยๆ หลับตาลงเพราะเหตุการณ์ต่อจากนี้มันอยู่ในฝันของผมมานับไม่ถ้วน

น้ำตาของผมค่อยๆ ไหลรินออกมา แม้ผมจะร้องไห้กับเหตุการณ์นี้มาหลายครั้งแล้วแต่ทุกครั้งพอตื่นขึ้นมา มันก็เป็นแค่ฝันร้ายของผม ส่วนครั้งนี้มันคือฝันร้ายที่กลายเป็นจริงแล้ว ผมไม่อยากจะรับรู้อะไรอีกแล้ว

“ลืมตาขึ้นมาสิ เจ้าจะได้รู้ว่าความสูญเสียจริงๆ มันเป็นเช่นไร”เสียงกระซิบข้างหูผมพร้อมกับมือเรียวที่สัมผัสหน้าผม หนังตาผมกำลังถูกดึงขึ้น ผมได้แต่พยายามขัดขืนและไม่เข้าใจ ทำไมปรางถึงอยากให้ผมมาเผชิญกับเหตุการณ์นี้ ตอนนี้เหมือนผมหลุดออกมาเป็นผู้เฝ้ามองเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว ภาพความโหดร้ายทารุณที่ไอ้โจรชั่วกำลังทำกับครอบครัวของผม ยิ่งพวกเค้าเจ็บปวดเท่าไหร่ ผมเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน สีหน้าทุรนทุรายของทุกคนติดตาของผมจนคิดว่าผมคงลบจากความทรงจำไปไม่ได้

ภาพมันชัดกว่าทุกครั้ง พ่อ แม่ เที่ยง ทุกคนเจ็บปวดและแน่นิ่งไปในที่สุด รวมถึงตัวของปราชเอง เสียงของปรางยังคงพูดซ้ำไปซ้ำมาข้างหูผม ผมอยากจะบอกเหลือเกินว่าผมรู้แล้วว่าการสูญเสียมันเจ็บปวดขนาดไหน แต่ที่ไม่เข้าใจในตอนนี้คือปรางอยากเห็นผมเจ็บปวดอย่างนี้ทำไม

“ค่อยๆ มองไปรอบๆ แล้วเจ้าจะเข้าใจ”เสียงกระซิบสุดท้ายก่อนจะกลายเป็นเสียงหัวเราะอย่างสะใจ ผมค่อยๆ หันไปมองรอบๆ มองไปทางไหนก็เห็นแต่ทุกคนนอนจมกองเลือด

“ปัง”เสียงกระสุนดังขึ้นก่อนที่ความเจ็บปวดจะเริ่มแล่นเข้ามาในความรู้สึกของผม เดวี่สายตาผมหันไปสบตากับเดวี่ เค้ายิงผมทำไม ร่างผมค่อยๆ ล้มลงใบหน้าที่กองอยู่ตรงหน้าผม มันก็คือใบหน้าของผมเอง ไม่สิมันคือใบหน้าของปราชสินะ ผมเริ่มแน่นิ่งขยับตัวไม่ได้แล้ว ร่างของปราชถูกดึงขึ้นไป เดวี่สินะที่ดึงร่างของปราชขึ้นไป ผมเข้าใจแล้ว ผมเข้าใจแล้ว กล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ตกลงมาที่หน้าผม

“ข้าขอให้เจ้าจมอยู่กับความเจ็บปวด อย่าได้รับความรักจากผู้ใด”เสียงหัวเราะของปรางดังก้องขึ้นมาอีกครั้ง นี่สินะสาเหตุที่ปรางพาผมมาที่นี่ ไม่ใช่ว่าผมคือปราช แต่ผมคือคนชั่วที่ฆ่าพวกเค้าทั้งครอบครัว และก็คงเพราะเหตุนี้สินะ พ่อแม่ถึงไม่เคยรักผม มันก็สมควรแล้ว พวกท่านจะรักผมได้ยังไง ดวงตาผมค่อยๆ ปิดลง แต่ภาพเหตุการณ์นี้คงยากจะลบไปจากความทรงจำของผม




TBC

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 12
กรรม


ปวดหัว ทำไมผมถึงปวดหัวแบบนี้ ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นตอนนี้เรื่องราวในหัวของผมมันมากมายและผสมปนเปกันไปหมดแล้ว ผมลืมตามองเพดานนิ่งๆ คิดถึงสิ่งที่ผมได้พบเจอ เรื่องราวที่แปลกประหลาด มันอาจจะเป็นแค่ฝันไป และตอนนี้ผมคงตื่นแล้วจริงๆ เสียที เพดาของห้องที่ผมมองอยู่ตอนนี้บ่งบอกชัดเจนว่านี่คือสถานที่อยู่ในปัจจุบัน

หญิงสาวที่ฟุบอยู่ข้างๆ ผมคือแม่ แม่ที่ผมเพิ่งเห็นภาพเค้าถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยม ภาพติดตาที่คนทำไม่ใช่ใครที่ไหน คนๆ นั้นคือผมเอง ผมอยากให้ทุกอย่างมันเป็นแค่ฝันร้าย ผมยอมรู้สึกว่าแม่ไม่รักเหมือนเดิม ดีกว่าการจะต้องมารู้สึกแบบนี้ ทุกอย่างมันยังชัดเจนในความทรงจำของผมเหลือเกิน ถ้าผมจะมีความทรงจำของปราชนั่นอาจจะยังพอให้ผมยอมรับได้บ้าง แต่ตอนนี้ความทรงจำของโจรผู้โหดเหี้ยมนั่นมันอยู่ในหัวของผมด้วย มันอาจไม่ใช่ความจริง มันอาจเป็นแค่ความฝัน แต่ผมกลับติดอยู่กับความรู้สึกนั้น

“เกลียด”ผมรู้สึกเกลียดตัวเอง เกลียดในสิ่งที่ผมเป็น และเกลียดอดีตที่ผมเคยเป็น

“ปอนด์ ปอนด์ฟื้นแล้วเหรอลูก”แม่รีบลูกมาสัมผัสผมเมื่อเห็นว่าผมลืมตาขึ้นแล้ว ความตื่นเต้นระคนดีใจแสดงออกมาอย่างชัดเจน ใครกันที่รู้สูกว่าผู้หญิงคนนี้ไม่รัก ผมสินะ ผมเองหรือเปล่าที่มองไม่เห็นว่าแม่รักผม หรือมีอะไรบังตาให้ผมคิดแบบนั้น น้ำตาผมค่อยๆ ไหลออกมา ไหลออกมาเหมือนผมควบคุมเอาไว้ไม่ได้เลย ไม่มีเสียงใดๆ ออกจากปากผม มีเพียงน้ำใสๆ ที่ไหลเป็นทาง

“เจ็บตรงไหนหรือเปล่าลูก บอกแม่สิเจ็บตรงไหน ร้องไห้ทำไม เดี๋ยวหมอก็มาแล้ว”เจ็บตรงไหนงั้นเหรอ ผมคงตอบไม่ได้ว่าตอนนี้เจ็บที่ตรงไหนมากกว่ากัน ทีมหมอและพยาบาลกรูกันเข้ามาดูผม อุปกรณ์ระโยงระยางถูกใส่เข้ามาเช็คอาการของผม แต่ผมรู้ ผมรู้ว่าผมไม่เป็นไรแล้ว บาดแผลที่ผมยังมีก็คงแค่ที่ถูกแทกซี่ทำร้ายแค่นั้นแหละ

“นับว่าเป็นเรื่องที่แปลกมากนะครับ ที่อยู่ดีๆ ร่างกายของคนไข้ก็ฟื้นตัวขึ้นมาราวกับปาฏิหาริย์ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เราแทบจะหมดหวังกันแล้ว”คุณหมอเริ่มพูดถึงอาการของผมให้แม่และพ่อของผมที่เพิ่งมาถึงรับฟัง ทั้งคู่รับฟังด้วยความตื้นตัน แม่ผมเหมือนกำลังจะร้องไห้ แต่มันคงเป็นการร้องไห้เพราะความยินดี

“ปลอดภัยแล้วนะลูก”พ่อผมเข้ามาจับมือผมอย่างห่วงใยหลังจากที่คุณหมอออกไปแล้ว

“พ่อครับ แม่ครับ”ผมเรียกท่านทั้งสอง ใจจริงผมอยากจะลุกจากเตียงนี่ แต่ร่างกายที่ยังบอบช้ำของผมตอนนี้มันไม่สามารถทำได้

“ผมขอโทษ ผมขอโทษ”ผมพูดประโยคเดิมซ้ำๆ พร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาไม่ขาดสาย ทั้งพ่อและแม่ต่างตกใจกับอาการของผม ทั้งคู่เข้ามากอดปลอบผม

“ปอนด์ใจเย็นนะลูก ไม่มีอะไรแล้ว”ยิ่งกลายมาเป็นแบบนี้ผมยิ่งรู้สึกผิด รู้สึกผิดต่อทุกคนเลย ไม่มีคำพูดใดๆ ที่ผมจะพูดได้อีกนอกจากคำว่าขอโทษ ถ้าฝันนั่นคือชาติที่แล้ว ผมก็ผิดที่ฆ่าท่านทั้งคู่ ชาตินี้ผมก็ยังเป็นลูกที่ดีพอไม่ได้

วันคืนค่อยๆ ผ่านไปอย่างช้าๆ ผมได้รับรู้ว่าผมเองหลับไปประมาณ 2 สัปดาห์กว่าๆ สภาพผมตอนนี้ก็ดูไม่จืดเท่าไหร่ครับ หัวที่โดนคนร้ายเอาก้อนหินหรืออิฐนี่แหละทุก กลายเป็นรอยแผลแตก แถมมาด้วยรอยการผ่าตัด เส้นผมของผมก็ถูกโกนออกไปจนหมด กว่าผมจะขึ้นมาปกปิดรอยแผลบนหัวของผมก็คงใช้เวลาอีกพอสมควร

ชีวิตในแต่ละวันของผมวนเวียนอยู่แบบเดิมๆ ซ้ำๆ กินข้าว กินยา แล้วก็นอน วนแล้ววนอีกอยู่แบบนี้จนผมแทบจะลืมวันเวลาไปแล้ว พ่อกับแม่ยังคงมาเฝ้าผมทุกวัน ผมควรจะมีความสุขที่โดนเอาใจใส่แบบนี้ แต่ใจผมมันกลับยิ่งห่อเหี่ยว ความรู้สึกต่างๆ มันยังตีกันในหัวของผมโดยที่ผมจัดการไม่ได้ ผมเริ่มพูดน้อยลง เพราะรู้สึกไม่อยากพูดอยากคุย เรียกว่าผมกลายเป็นคนถามคำตอบคำไปแล้ว

“ไม่น่าจะเป็นอาการซึมเศร้านะครับ เพียงแต่ก็ต้องสังเกตอาการดูอย่างใกล้ชิด จริงๆ พรุ่งนี้หมอก็อนุญาตให้ออกได้แล้วนะครับ ถ้าทางคุณแม่สบายใจแล้ว”ผมแกล้งหลับจนแทบจะทุกครั้งที่หมอเข้ามาตรวจ นี่ชีวิตผมมันจะต่อติดจากเดิมไหมนะ ทำไมผมยังนึกภาพการใช้ชีวิตปกติของตัวเองไม่ถูก ผมรู้สึกเหมือนไม่ได้ทำงานมานานแสนนาน ผมจะไปติดต่อพูดคุยกับผู้คนมากหน้าหลายตาในแบบเดิมได้ยังไงกัน

“เรื่องพยาบาลพิเศษเป็นยังไงบ้างแล้วคุณ”ผมยังคงนอนหลับตานิ่งฟังบทสนทนาของพ่อและแม่ ตอนนี้มันเหมือนทุกอย่างไม่อยู่ในความสนใจของผมเลยดูเหมือนเหตุการณ์สุดท้ายก่อนที่ผมจะกลับมาที่นี่ มันได้สร้างผลกระทบต่อจิตใจผมอย่างมาก ผมต้องอยู่โรงพยาบาลเบ็ดเสร็จรวมแล้วก็เป็นเดือน ร่างกายผมดีขึ้นจนเกือบจะปกติแล้ว แต่จิตใจของผมมันยังรู้สึกหดหู่และเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก ผมอยากจะนึกว่ามันเป็นแค่ความฝัน แต่มันกลับฝังในหัวผมชัดกว่าการเป็นแค่ความฝัน

“คุณปอนด์หิวหรือยังคะ”ผมกลับมาอยู่บ้านได้สักพักแล้ว ซึ่งชีวิตประจำวันก็ดูจะไม่ต่างจากตอนอยู่โรงพยาบาลสักเท่าไหร่ ผมยังคงมีพยาบาลพิเศษมาดูแล แต่ละวันผมก็ยังไม่ค่อยได้ทำอะไรนอกจากนั่งเหม่อ คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ซึ่งเรื่องที่คิดก็วนเวียนอยู่กับเรื่องเดิมๆ

“บอกแม่บ้านตั้งโต๊ะเลยก็ได้ครับ”ผมก้มมองเวลาบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ บอกเวลาเกือบเที่ยงแล้ว

“พี่เพ็ญทานด้วยกันนะครับ”ผมเอ่ยปากชวน จริงๆ พี่เพ็ญหรือพยาบาลพิเศษที่แม่ผมจ้างมาก็ดูแลผมมาสักระยะนึงแล้ว แต่ผมแทบไม่ได้พูดคุยกับพี่เค้าเลย แรกๆ พี่เพ็ญก็พยายามที่จะพูดคุยกับผม แต่เมื่อเห็นผมไม่สนใจที่จะตอบ บทสนทนาเราเลยมีแค่การกินข้าว กินยา วัดความดันตามที่หมอแจ้งไว้ ทีแรกผมเกือบจะบอกว่าไม่ต้องจ้างพยาบาลแล้ว เพราะผมเองก็ช่วยเหลือตัวเองได้แทบทุกอย่างแล้ว ปล่อยผมอยู่กับแม่บ้านเฉยๆ ก็ได้

แต่ผมดันมีอาการแปลกประหลาดเพิ่มขึ้นมาอีก คือผมจะมีอาการความดันต่ำโดยไม่ทราบสาเหตุ ตอนที่ยังอยู่โรงพยาบาลผมไม่มีอาการนี้ พอกลับมาอยู่บ้าน อาการจะเกิด 2-3 ครั้งต่อวันในช่วงแรกๆ เป็นผลให้บางครั้งผมหน้ามืดหรือเกือบหมดสติไปก็มี ซึ่งช่วงนี้อาการก็เริ่มลดลงแล้ว

“คงเบื่อแย่ใช่ไหมคะ อยู่แต่ในบ้านแบบนี้”พี่เพ็ญพยายามชวนผมคุย และผมเองก็คิดว่าควรเริ่มให้ตัวเองมีปฏิสัมพันธ์ อย่างปกติเสียที แม้จะยังรู้สึกฝืนๆ แต่ก็คงต้องพูดคุยให้เป็นปกติแล้ว ตั้งแต่กลับมาอยู่บ้านมีเพื่อนมาเยี่ยมหลายๆ คนก็เป็นห่วงว่าผมดูไม่ปกติ

“ก็เบื่อบ้างครับ แต่ก็เข้าใจว่าร่างกายผมเองยังไม่ปกติ คงยังไม่เหมาะจะออกไปข้างนอก”ผมตอบออกไป พร้อมยิ้มให้กับพี่เพ็ญ ซึ่งดูพี่เพ็ญเองก็จะแปลกใจไม่น้อยที่ผมเริ่มพูดคุยมากขึ้นแบบนี้

“ที่จริงก็ไม่ถึงกับไปไหนไม่ได้เลยนะคะ ก็ต้องดูถึงสถานที่ที่จะไปด้วยกว่ามีความเสี่ยงอะไรหรือเปล่า”แม้จะไม่ได้รู้จักกรือสนิทสนมกันมาก่อน แต่ผมว่าพอได้พูดคุยแล้วพี่เพ็ญก็ช่วยให้ผมสบายใจขึ้นมาบ้าง

“งั้นพาผมไปที่นึงได้ไหมครับ”พี่เพ็ญชั่งใจอยู่ครู่นึงหลังรับฟังว่าผมจะไปที่ไหน และแน่นอนว่าต้องโทรไปแจ้งพ่อกับแม่ผมด้วยว่าจะพาผมออกไปข้างนอก ทีแรกก็เหมือนผมจะไม่ได้ไปแล้ว ดีที่พ่อกับแม่ผมยอมฟังเหตุผลของพี่เพ็ญ

“ขอบคุณที่พามานะครับ”ผมบอกกับพี่เพ็ญก่อนจะเดินนำไป ผมมาที่ไหนนะเหรอครับ ผมแค่มาหายาย คนเดียวที่คอยอยู่ข้างผมมาตลอด

“ถ้าคุณยายยังอยู่คงดีใจที่เห็นคุณปอนด์ปลอดภัยนะคะ แล้วก็ใกล้หายดีแบบนี้”พี่เพ็ญที่เดินตามหลังมาบอกกับผม ผมพียงหันไปยิ้มจางๆ รับคำพูดนั้น

“พี่เพ็ญเคยรู้สึกว่าพ่อแม่ไม่รักไหมครับ”ผมจ้องมองภาพขาวดำของยายที่แปะอยู่ พร้อมพูดออกมาลอยๆ โดยไม่ได้หันไปมองพี่เพ็ญที่ยืนอยู่ข้างหลังของผม

“พี่ว่าคุณพ่อคุณแม่ของคุณปอนด์ ท่านก็คงรักคุณปอนด์นะคะ”ผมหัวเราะหึ ในลำคอ ผมว่าพี่เพ็ญเองก็คงมองออกแหละครับว่าความสัมพันธ์ พ่อแม่ลูกในครอบครัวผมมันดูแปลกๆ

“ผมรู้สึกมาตลอดชีวิตเลยครับว่าพ่อกับแม่ไม่รักผม ผมเฝ้าถามตัวเองทุกวันว่าผมยังดีไม่พอตรงไหน หรือผมผิดอะไรทำไมผมถึงไม่ได้รับความรักจากพ่อกับแม่ จนมาวันนึงผมก็ได้คำตอบ แต่คำตอบนั้นกลับยิ่งย้ำว่าผมคงไม่มีทางได้รับความรักนั้นจริงๆ”น้ำตาผมค่อยๆ ไหลออกมา

“ข้าขอให้เจ้าจมอยู่กับความเจ็บปวด อย่าได้รับความรักจากผู้ใด”เหมือนเสียงของปรางที่บอกกับผมจะยังคงดังก้องอยู่ในหัวของผมตลอดเวลา

“พี่ว่าคุณปอนด์คิดมากเกินไปนะคะ ไม่มีพ่อแม่ที่ไหนไม่รักลูกหรอกคะ เพียงแต่การแสดงออกของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน”ผมไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมอยู่ๆ ถึงต้องมาระบายเรื่องนี้ให้กับพี่เพ็ญฟัง ผมยกมือขึ้นปาดน้ำตา

“ไหนๆ ก็มาวัดแล้วไปถวายสังฆฑานทำบุญให้คุณยายไหมคะ เผื่อจะสบายใจขึ้น”เมื่อเห็นว่าผมนิ่งเงียบไป พี่เพ็ญก็เสนอความเห็นขึ้นมา ผมเองก็ไม่ได้ปฏิเสธ ผมเดินตามพี่เพ็ญไปยังจุดที่มีให้บริจาคบูชา อุปกรณ์สำหรับถวายสังฆฑาน โดยที่พี่เพ็ญเป็นคนจัดการทุกอย่าง

“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”พี่เพ็ญหันกลับมามองผมที่เดิน เพราะจู่ๆ ก็รู้สึกหน้ามืดขึ้นมา

“ไม่เป็นไรครับ แค่เหมือนจะหน้ามืดนิดหน่อย”ผมตามพี่เพ็ญเข้าไปนั่ง แต่ยังต้องก้มหน้าอยู่หน่อยๆ เพราะยังรู้สึกไม่ค่อยดี

“ขยับเข้ามาใกล้ๆ สิโยม”เสียงที่พูดขึ้นฟังคุ้นๆ หูจนผมต้องเงยหน้าขึ้นมอง

“หลวงตา”ผมหลุดปากออกมาด้วยความตกใจ เพราะหลวงตาที่อยู่ตรงหน้าผมตอนนี้คือคนเดียวกันกับที่ผมเคยเจอ ในที่ที่ปรางพาผมเข้าไป ผมพนมมือไหว้พร้อมขยับเข้าไปกราบหลวงตาใกล้ๆ

“กลับมาแล้ว โยมก็คงได้คำตอบที่สงสัยแล้วสินะ”ผมเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ ตกลงสิ่งที่ผมได้พบเจอมันคือความจริงสินะ มันไม่ใช่ความฝัน มันคือเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นจริงๆ

“ผมควรทำยังไงต่อไปครับหลวงตา”ผมว่าหลวงตาเข้าใจในสิ่งที่ผมถาม ผมอยากรู้ว่ามันจะมีทางไหนไหมให้พ่อกับแม่หันมาให้ความรักกับผม

“เราทุกคนมีกรรมเป็นของติดตัวทุกคนแหละโยม ในเมื่อโยมเคยได้ทำกรรมกับเขาไว้ การจะเปลี่ยนแปลงย่อมเป็นไปได้ยาก”

“ไม่มีทางแก้เลยเหรอครับ”ผมถามกลับอย่างไร้ความหวัง

“หมั่นทำกรรมดีแล้วกันนะโยม คิดดีทำดี แม้มันจะชดเชยหรือหักล้างกันได้ แต่มันก็ดีกับตัวของโยมเองนั่นแหละ”หลวงตาก็ยังคงพูดให้ผมไปคิดต่อเช่นเดิม

“นอกจากหลวงตาแล้ว ผมจะได้เจอคนอื่นอีกไหมครับ”ผมเอ่ยถามอีกอย่างที่ข้องใจ ในปัจจุบันผมเจอพ่อกับแม่ แล้วก็หลวงตาที่นี่ แล้วคนอื่นๆ อีกละ อย่างเช่น “เดวี่”

“การที่ได้สร้างกรรมร่วมกันมาแล้ว กรรมก็มักจะผูกเราเอาไว้ด้วยกันนั่นแหละโยม”หลวงตาพูดแค่นั้นก่อนจะให้ผมถวายสังฆฑานอย่างที่ตั้งใจไว้ในทีแรก

“นี่น้องปอนด์เคยเจอหลวงตาท่านมาก่อนเหรอคะ เห็นถามอะไรกันแปลกๆ”

“ครับ หลวงตาคอยแนะนำผมหลายครั้งแล้ว”ผมตอบพี่เพ็ญออกไป โดยไม่ได้เจาะจงลงรายละเอียด ขณะที่เรากำลังเดินลงจากศาลากันอยู่สายตาผมก็เหลือบไปเห็นกลุ่มชาวต่างชาติกลุ่มนึง ซึ่งมีหนึ่งคนที่ดูสะดุดตาผมเหลือเกิน

“เดี๋ยวผมมานะครับพี่เพ็ญ”ผมบอกพี่เพ็ญพลางรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังกลุ่มชาวต่างชาติที่อยู่ห่างออกไปไม่มาก ยิ่งใกล้เข้าไปเท่าไหร่ ผมยิ่งเริ่มมั่นใจว่าใช่คนที่ผมคิดแน่นอน แต่นี่ผมจะตามเค้าทำไม ยังไงเค้าก็ไม่น่าจะรู้จักผมอยู่แล้ว

“โอ้ย”ผมหยุดเดินพร้อมหลุดอุทานออกมา เพราะรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาในหัว พร้อมกับอาการหน้ามืดอีกแล้ว

“อย่ารีบเดินแบบนี้สิคะ ร่างกายคุณปอนด์ยังออกแรงมากไม่ได้นะคะ แล้วนี่รีบวิ่งตามใครคะเนี่ย”ผมหันไปมองกลุ่มชาวต่างชาติกลุ่มนั้นอีกครั้ง ทั้งกลุ่มกำลังขึ้นรถออกไปแล้ว

“พอดีคิดว่าเจอคนรู้จักนะครับ”ผมบอกออกไป แล้วถ้านั่นคือเดวี่จริงๆ ผมจะมีโอกาสได้เจอกับเค้าอีกไหม




TBC

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 13
รู้จักกันอีกครั้ง


“ขอบคุณอีกทีนะครับพี่เพ็ญ ดูแลผมมาอย่างดี”ผมกล่าวขอบคุณพยาบาลพิเศษที่ดูแลผมอยู่เป็นเดือนๆ จนตอนนี้ผมหายดีจนแทบจะเรียกว่าปกติแล้ว วันนี้ผมเลยมาเลี้ยงข้าวเย็นส่งท้ายการทำงาน แม้ทีแรกหญิงสาวรุ่นพี่จะปฏิเสธ แต่สุดท้ายก็ยอมตกลงมากับผม ที่จริงส่วนนึงผมก็อยากออกมาข้างนอกบ้างนั่นแหละครับ อยู่แต่ในบ้านมันก็เบื่อ จะชวนเพื่อนออกมาสังสรรค์ก็ไม่มีใครว่างเลย ก็เลยถือโอกาสมาดินเนอร์กับพี่เพ็ญนี่แหละครับ

“ไม่ต้องขอบคุณหรอกคะ พี่ก็ทำให้ดีที่สุดตามหน้าที่”หญิงสาวบอกกลับมาอย่างจริงใจ

“ต่อไปถ้าพี่เพ็ญมีอะไรให้ช่วยก็บอกนะครับ จากนี้ก็คิดเสียว่าผมเป็นน้องชายคนนึง อีกอย่างเลิกเรียกผมว่าคุณได้แล้ว เรียกน้องก็ได้ครับ”ผมบอกออกไปอย่างจริงใจ เพราะรู้สึกถูกชะตากับหญิงสาวรุ่นพี่คนนี้จริงๆ พี่เพ็ญยิ้มตอบกลับผมมา ผมเดินมาส่งเธอที่ลิฟต์ เพื่อลงจากตึก

“แล้วนี่แฟนพี่เพ็ญมาถึงแล้วเหรอครับ”ผมชวนคุยเพราะเห็นบอกตอนผมไปรับว่าจะให้แฟนมารับกลับ

“อ๋อ พอดีแฟนพี่ไม่ว่างแล้ว พี่เลยให้น้องสาวมารับแทนนะคะ นี่ก็บ่นๆ ให้พี่อยู่เห็นว่านัดกับแฟนไว้ ต้องให้แฟนรออีก”เหมือนพี่เพ็ญจะเพิ่งรู้สึกตัวว่าพูดออกมาเกินความจำเป็น

“ที่จริงให้ผมไปส่งก็ได้นะครับ”หญิงสาวรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธ เพราะเกรงใจผม แต่จริงๆ ผมก็ไม่ได้มีธุระอะไรอยู่แล้ว ถ้าให้ผมไปส่งก็ไม่ลำบากอะไรอยู่แล้ว

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ นี่น้องสาวพี่บอกอีก 5 นาทีก็ถึงแล้ว ว่าแต่น้องปอนด์เถอะค่ะ ไปไหนต่อคะเนี่ย เพิ่งหายป่วยก็อย่าเพิ่งหักโหมเที่ยวนักนะคะ เห็นคุณแม่บอกว่าเมื่อก่อนน้องปอนด์เที่ยวหนักมะ...มาก”คำพูดของพี่เพ็ญสะดุดไปคงเพราะเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของผม ที่จริงผมก็ไม่อยากเป็นแบบนี้นะครับ แต่พอพูดถึงพ่อกับแม่ทีไร ความรู้สึกต่างๆ มันก็ยังตีกันในหัวผมไปหมด ทั้งเรื่องที่ผมก็ยังรู้สึกน้อยใจท่านทั้งคู่เหมือนเดิม ที่เหมือนไม่ได้ให้ความรักกับผม แต่อีกใจก็พยายามคิดว่ามันสมควรแล้วที่เป็นแบบนี้ เมื่อเทียบกับสิ่งที่ผมเคยทำไว้ในอดีต

“แค่จะไปเจอเพื่อนแปบนึงแค่นั้นแหละครับ”ผมโกหกออกไปเพราะไม่ได้นัดใครไว้ และยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะไปที่ไหน แต่ผมอยากจะไป เผื่อได้เจอใครคนนั้น คนที่ผมคิดว่าน่าจะใช่ ถ้าตามที่หลวงตาพูดไว้ว่าคนที่สร้างกรรมร่วมกันมาจะต้องมาใช้กรรมร่วมกันผมก็น่าจะต้องได้เจอกับเค้าสักวัน แต่ถ้าไม่เจอวันนี้ผมก็หวังแค่ว่าจะมีสักคนที่มาช่วยคลายความเหงาให้กับผม

“งั้นพี่ไปนะคะ แล้วก็ไม่ต้องคิดมากเรื่องคุณพ่อคุณแม่นะคะ ยิ้มหน่อยๆ เป็นน้องชายพี่ห้ามทำหน้าอมทุกข์นะ”พี่เพ็ญบอกกับผมก่อนเข้าลิฟต์ไป ผมโบกมือ และยิ้มจางๆ ให้แกก่อนจะค่อยๆ หุบยิ้มลงเมื่อประตูลิฟต์ปิดลง ผมเดินเลี่ยงออกไปยังจุดที่ยื่นออกจากตัวตึกที่อยู่ตอนนี้และเค้าให้สูบบุหรี่ได้

ผมทอดสายตามองแสงสีในยามค่ำคืนของกรุงเทพฯ นาฬิกาข้อมือของผมตอนนี้บอกเวลาเกือบ 4 ทุ่มแล้ว ผมดูดบุหรี่เข้าไปเต็มปอด ก่อนจะค่อยๆ พ่นออกมาหวังให้ตัวเองคลายความตึงเครียดลงบ้าง อันที่จริงก็ไม่เรียกว่าเครียดหรอกครับ เรียกว่ามีหลายเรื่องให้ต้องคิดเสียมากกว่า แรงสั่นที่กระเป๋ากางเกง และเสียงดนตรีที่ดังตามมา เรียกความสนใจจากผมให้ล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาดู ผมมองชื่อบนหน้าจอก่อนจะยิ้มเยาะให้กับตัวเอง

“ครับแม่”ผมปรับน้ำเสียงให้ดูเป็นปกติมากที่สุด ผมยังคงต้องใช้ความพยายามอย่างมากในทุกครั้งที่พูดคุยกับทั้งพ่อและแม่แล้วไม่ให้ตัวเองนึกถึงเหตุการณ์วันนั้นในอดีต

“กำลังจะไปส่งพี่เพ็ญครับ”ผมโกหกออกไปอีกแล้ว ช่วงนี้ผมกลายเป็นคนที่พูดคำไม่จริงเพิ่มขึ้น ทั้งที่รู้ว่าไม่ควรแต่บางครั้งถ้าไม่อยากให้เรื่องราวมันยุ่งยากหรือให้อีกฝ่ายสบายใจ ผมว่าการที่เลือกจะโกหก มันก็คงไม่ได้แย่ เพราะบางครั้งการพูดความจริงทั้งหมดมันก็ก่อเรื่องยุ่งยากตามมาได้เช่นกัน

“วันนี้ผมขอไปค้างคอนโดนะครับ...ครับ...เดี๋ยวไปส่งพี่เพ็ญก็กลับเลยครับ ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”ผมตั้งใจไว้แล้วที่จะพาพี่เพ็ญมาทานข้าว เพราะบ้านของพี่เพ็ญก็อยู่ไม่ห่างจากคอนโดของผมมากนัก และผมเองก็บอกพี่เพ็ญไปแล้วว่าถ้าหากแม่ผมโทรไปถามให้บอกว่าผมเป็นคนไปรับ และไปส่ง ผมกดวางสายก่อนจะกดก้นบุหรี่ลงที่กระถางที่จัดไว้ให้ทิ้งก้นบุหรี่ สายตาผมจ้องมองไปยังจุดหมาย ที่ผมเคยไปเป็นประจำ วันนี้เป็นคืนวันศุกร์อีกไม่นานผู้คนมากมายคงมุ่งไปยังจุดเดียวกันกับผม

นี่สินะชีวิตจริงๆ ของผม ผมคือปอนด์ชายผู้อายุใกล้จะครบ 28 ปีเต็มแล้ว และกำลังจะใช้แสงสียามค่ำคืนกับผู้คนที่ผ่านเข้ามา บำบัดความเหงาและหว้าเหว่ของตัวเอง ผมไม่ต้องใช้ชีวิตในร่างปราชอีกต่อไป ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากจะลบความทรงจำเหล่านั้นไปเสีย ความทรงจำที่ตอนเริ่มต้นมีแต่ความสุข แต่ท้ายที่สุดผมก็เหมือนถูกลากไปแขวนคอในจตุรัสกลางเมือง แต่นั่นมันอาจจะดีกว่า เพราะนี่ผมไม่ตาย มันมีแค่ความรู้สึกที่ตกค้างอยู่ ตกค้างที่ย้ำว่าผมเหมือนกำลังตายทั้งเป็น

“หมั่นทำกรรมดีแล้วกันนะโยม”อยู่ๆ คำพูดของหลวงตาก็ผุดขึ้นมาในหัวของผม แต่ผมก็แค่ส่งเสียง “หึ” ในลำคอ ก็ในเมื่อถ้าหลวงตาก็บอกเองว่าทำดีไป มันก็ไม่สามารถหักล้างกับที่เคยทำไม่ดีไว้ งั้นผมก็ขอเป็นแบบนี้ไปเหมือนเดิมแล้วกันนะครับ นี่คือข้ออ้างในการไม่ทำตามคำแนะนำของหลวงตา

“สวัสดีครับพี่ หายไปนานเลยนะครับ”เด็กรับรถที่คงคุ้นหน้าผมดี เพราะผมก็เป็นลูกค้าประจำของที่คลับแห่งนี้ ผมยกยิ้มที่มุมปากไม่ได้ตอบอะไร ก่อนจะส่งกุญแจให้เอารถไปเก็บวันนี้ผมตั้งใจว่าจะไม่ดื่มมากนัก เพราะทั้งร่างกายที่ห่างแอลกอฮอล์ไปนาน ประกอบกับวันนี้ต้องขับรถกลับเองด้วย

ผมตรงไปยังมุมประจำของผมทันทีที่ก้าวเข้าไปในคลับ เสียงเพลงจังหวะกลางๆ ถูกเปิดคลอๆ ไม่ได้ดังจนแสบแก้วหูเหมือนบางที่ แต่นี่ก็ดังพอให้คนข้างในนี้คุยกันด้วยระดับเสียงที่ดังกว่าปกติ ตอนนี้ผู้คนเริ่มหนาตาบ้างแล้ว คาดว่าอีกไม่เกินชั่วโมงข้างในนี้จะอัดแน่นไปด้วยนักดื่ม และนักล่าที่มาหาเหยื่อ หรือบางทีเหยื่อก็เป็นฝ่ายมาทอดสะพานให้นักล่าก็มี ผมเองก็อยู่ในทุกสถานะเหล่านั้นมาหมดแล้ว

บางวันที่อยากดื่มเฉยๆ ผมก็จะดื่มจนถึงลิมิตแล้วก็กลับโดยที่จะไม่เอารถมาเอง แต่ถ้าคืนไหนที่ต้องการเป็นผู้ล่าผมจะไม่ดื่มมากนัก แถมด้วยถ้าวันไหนอยากเป็นผู้ถูกล่าก็ต้องแปรสภาพตัวเองให้เป็นคนอ่อนต่อโลกให้มากๆ แต่การมาในที่เดิมๆ ซ้ำๆ ก็มีข้อเสียเช่นกัน เพราะมนุษย์แสงสีเช่นผมก็มีอยู่ไม่น้อย และมักจะมารวมตัวในที่เดียวกันจนคุ้นหน้าคุ้นตาและรู้จักเป้าหมายของกันและกันมากเกินไป เพราะงั้นนักท่องราตรีที่ดีควรมีที่ประจำไว้มากกว่าหนึ่ง จะได้สับเปลี่ยนหมุนเวียนไปบ้าง

“เตกีล่ามา 5 ช็อทครับ”ผมนั่งตรงเค้าเตอร์บาร์ ก่อนจะสั่งไปอย่างคุ้นเคยจนลืมคิดไปว่า วันนี้ดื่มมากไม่ได้ แต่ไม่เป็นไร ที่สั่งไปนั่นมันก็เล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับปริมาณในเวลาปกติของผม ไม่นานนักแก้วใบจิ๋วที่ข้างในมีน้ำใสแจ๋วก็ถูกนำมาวางตรงหน้าผม พร้อมด้วยมะนาว 5 แว่นเท่ากับจำนวนแก้ว เกลืออีกพอประมาณถูกจัดวางมาในถาดใบเล็กจนครบเซต

ผมค่อยๆ ใช้นิ้วจิ้มละเลียดไปที่เกลืออย่างช้าๆ ก่อนจะลากเม็ดเกลือเหล่านั้นมาวนที่ปากแก้วใบจิ๋ว ความรู้สึกบอกว่ามีสายตากำลังจับจ้องผมอยู่ แต่ผมยังคงจดจ่ออยู่กับแก้วเครื่องดื่มใบจิ๋ว ผมหยิบแก้วขึ้นกระดกไปหนึ่งแก้ว ก่อนจะหยิบมะนาวที่มีเกลือติดอยู่นิดหน่อยมากัดไว้ที่ริมฝีปาก รสเปรี้ยวของมะนาว ช่วยบรรเทาความแรงของแอลกอฮอล์ ที่อุ่นวาบจากลำคอลงไปถึงกระเพาะเมื่อสักครู่ได้เป็นอย่างดี แต่ทีจริงมันก็บรรเทาแค่ความรู้สึกเท่านั้นแหละ เพราะมะนาวเพียงน้อยนิดก็คงไปลดดีกรีของแอลกอฮอล์ที่ดื่มลงไปไม่ได้

ผมเงยหน้าขึ้นหันไปตามทิศที่คาดว่าจะมีคนมองผมอยู่ แต่ผู้คนที่หนาแน่นขึ้นทำให้ผมไม่เห็นในทันทีว่าใครคือคนที่จ้องผมอยู่ สายตาผมกวาดมองไปในหมู่ผู้คนมากมายที่เริ่มโยกย้ายตามเสียงเพลง มือผมฉวยหยิบแก้วใบจิ๋วขึ้นมายกรวดเดียวอีกใบ มะนาวฝานถูกผมคาบไว้ที่ริมฝีปากอย่างอ้อยอิ่ง สายตาผมช้อนมองหนึ่งคนในเงามืดที่อยู่ห่างออกไป ห่างจนผมไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของเค้า แต่ผมมั่นใจว่านั่นคือคนที่จ้องมองมายังผม

ผมยกยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะแลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเองรสเค็มจากเกลือและเปรี้ยวจากมะนาวช่างเข้ากันเสียเหลือเกิน สายตาผมมองตรงไปยังเป้าหมาย แม้ผมจะเห็นเค้าไม่ชัดเพราะเค้าอยู่ในเงามืดตรงแสงไฟส่องไม่ถึง แต่ตรงที่ผมอยู่นี้ มั่นใจได้เลยว่าเค้าเห็นทุกการกระทำของผม ผมยกนิ้วขึ้นปาดเช็ดที่ริมฝีปากก่อนจะหมุนเก้าอี้กลับหันหน้าเข้าเค้าเตอร์เหมือนเดิม ผมกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจว่าคืนนี้ผมอาจหาคนมาช่วยบำบัดความเหงาได้เร็วกว่าที่คิด

ผมวางแก้วเตกีล่าช็อทที่ 3 ลงกับเค้าเตอร์พอดีตอนที่มีคนมานั่งลงบนเก้าอี้ตัวข้างๆ ผม จากการมองด้วยหางตาผมว่านี่คือคนที่แอบมองผมในความมืดแน่นอน ผมค่อยๆ ละเลียดกับเตกีล่าช็อทที่ 4 ทำทีไม่สนใจคนที่เพิ่งมานั่งข้างๆ ใจเย็นไว้ก่อน นั่นคือสิ่งที่ผมบอกกับตัวเอง

“Hello”น้ำเสียงที่ได้ยินทำให้ผมต้องหยุดชะงัก วางแก้วใบจิ๋วไว้ตามเดิม ผมบอกกับตัวเองในใจว่าไม่น่าใช่ แต่ถ้าใครมาแตะที่หน้าอกผมตอนนี้จะสัมผัสได้ว่ามันเต้นโครมครามจนเหมือนจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ผมค่อยๆ หันไปตามเสียงคนที่ทักทายผมช้าๆ ช้าๆ แล้วเสียงเพลงรอบกายผมก็เหมือนหยุดนิ่งไป มีเพียงเสียงวิ้งๆ อยู่ในหูของผม คำพูดของหลวงตาลอยวนมาในหัวของผมอีกครั้ง

“การที่ได้สร้างกรรมร่วมกันมาแล้ว กรรมก็มักจะผูกเราเอาไว้ด้วยกัน”ผมมองหน้าเค้านิ่ง จนเค้าคงเริ่มงงว่าทำไมผมถึงจ้องเค้าขนาดนี้

“เดวี่”ผมหลุดเรียกชื่อของเค้าออกมาแผ่วเบา

“What???”ภาษาอังกฤษที่ยังติดสำเนียงฝรั่งเศสหันมาถามผมอย่างไม่เข้าใจ

“เปล่าครับ คุณแค่เหมือนคนที่ผมเคยรู้จัก”ผมตอบกลับเป็นภาษาฝรั่งเศสไปโดยอัตโนมัติ เค้าดูแปลกใจไม่น้อยที่เห็นผมพูดฝรั่งเศสได้ ส่วนผมต้องพยายามตั้งสติ เพราะแม้คนๆ นี้จะเหมือนเดวี่ไปทุกกระเบียดนิ้ว แต่เค้าก็ไม่ใช่เดวี่คนเดิมอีกแล้ว

“คุณมีเชื้อสายฝรั่งเศสเหรอ ทำไมถึงพูดฝรั่งเศสได้ชัดขนาดนี้”เค้าดูมีความสนใจในทักษะด้านภาษาของผมเป็นพิเศษ ผมเลื่อนแก้วเตกีล่าอีก 1 ช็อทที่เหลือให้เค้าเมื่อเห็นว่าเค้าไม่มีเครื่องดื่มติดมือมา นี่ผมจะได้เจอใครอีกบ้างกันนะ นอกจากเดวี่แล้ว แล้วนี่เค้าจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับผมในฐานะไหนกันละ

“ผมแค่เคยเป็นเด็กขยันและตั้งใจเรียน โตมาถึงได้เก่งแบบนี้ไง”ผมบอกยิ้มๆหันมองเค้าให้เต็มตา เค้ายังเหมือนเดิมแทบทุกอย่าง เว้นอยู่แค่ทรงผมที่ถูกตัดแต่งให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป เค้ายกแก้วใบจิ๋วที่ผมส่งให้ขึ้นกระดก ก่อนจะอ้าปากทำเสียงจิในลำคอ

“แล้วนี่ คุณชื่ออะไร”เค้าเอ่ยถามผมอย่างไม่มีปิดบังว่าสนใจในตัวผม

“ผมชื่อปอนด์ครับ แล้วคุณล่ะ”หลังจากพูดคุยมาหลายประโยคนี่คงถึงเวลาทำความรู้จักกันแล้วสินะ

“ผมชื่อเดช็อง ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”

“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ”เดช็องอย่างนั้นเหรอ ผมยังคงสงวนท่าทีไม่รีบร้อนที่จะอยากรู้จักเค้ามากไปกว่านี้ เพราะผมรู้ดีว่า อีกไม่ช้าผมคงได้รู้จักเค้ามากขึ้นอย่างแน่นอน จากที่ดูตอนนี้ตัวเค้ากับผมอายุคงไล่เลี่ยกันแน่ๆ ถ้าจะต่างกันก็คงไม่เกิน 2-3 ปี

“คุณบอกว่าผมเหมือนคนที่คุณเคยรู้จัก เค้าเป็นใครหรือครับ หรือว่าที่จริงเราเคยเจอกันมาก่อน”เค้าถามผมด้วยแววตาสงสัย ก่อนจะหันไปยกแก้วใบจิ๋วให้กับบาร์เทนเดอร์ และชูนิ้วมือทั้ง 5 อีกข้างเป็นการขอเตกีล่ามาเพิ่มอีก 5 ช็อท

“เราไม่เคยเจอกันมาก่อนอย่างแน่นอน ส่วนคนที่ผมพูดถึง เค้าก็แค่...คนที่อยู่ไกลแสนไกลและผมคงไม่มีทางได้เจอเค้าอีก”เดวี่คนเดิมไม่มีอีกแล้ว เช่นเดียวกับเด็กน้อยของเดวี่ที่คงไม่มีอีกแล้วเช่นกัน

“แฟนเก่าคุณเหรอครับ เค้าเป็นคนทำให้คุณพูดฝรั่งเศสได้คล่องแบบนี้หรือเปล่า”แฟนเก่างั้นเหรอ ระหว่างผมกับเดวี่ ไม่สิอาจจะเป็นระหว่างเดวี่กับผมที่อยู่ในร่างปราช ตอนนั้นคงไม่สามารถใช้คำว่าแฟนได้หรอกมั้ง พอนึกถึงเรื่องนี้ก็ยิ่งทำให้ผมไม่เข้าใจ ผมไม่ใช่ปราช แต่ทำไมผมถึงเห็นว่าปราชมีหน้าตาที่เหมือนผมในตอนนี้เลย หรือว่านั่นเป็นแค่ภาพลวงที่ถูกสร้างขึ้นมาให้กับผมโดยเฉพาะ

“ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง”ผมปฏิเสธอย่างขำๆ กับการคาดเดาของเค้า เมื่อเห็นว่าเค้ายังคงจ้องหน้าเพื่อรอคำตอบจากผมอยู่  เราเงียบกันไปสักพักต่างคนต่างหยิบแก้วเครื่องดื่มขึ้นกระดก

“คุณรู้ได้ยังไงว่าผมมองคุณอยู่”เค้าเปิดบทสนทนาอีกครั้งโดยใช้เหตุการณ์เริ่มต้นที่ทำให้เรามานั่งคุยกันอยู่ตอนนี้

“แล้วคุณละ ทำไมถึงจ้องมองผม”ผมยกแก้วขึ้นดื่มก่อนจะถามเค้ากลับ แทนที่จะตอบในสิ่งที่เค้าถาม

“ผมถามก่อน”เค้ารีบย้ำเหมือนบังคับกลายๆ ว่าผมต้องตอบข้อข้องใจของเค้า

“ผมจะไปรู้ได้ยังไงว่าคุณมองผมอยู่ ผมก็แค่นั่งอยู่คนเดียวมองอะไรไปเรื่อยๆ”ผมตอบด้วยความรู้สึกสนุกที่ได้มาผลัดกันถามตอบกับเค้าแบบนี้

“แต่คุณทำเหมือนเชิญชวนให้ผมมานั่งตรงนี้ด้วย”ที่เค้าพูดมานี่ก็ไม่ผิดหรอกนะครับ เพราะผมก็ทำแบบนั้นจริงๆ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องจำเป็นที่ผมจะต้องยอมรับกับเค้านี่ครับ

“นั่นคุณอาจจะคิดไปเอง”ผมยังคงตีเนียนตอบอย่างไม่สะทกสะท้านกับสิ่งที่เค้ามาพูด

“ก็ได้ๆ ผมยอมแพ้ ผมแค่รู้สึกว่าคุณมีแรงดึงดูดบางอย่างให้ผมละสายตาไม่ได้ แล้วพอยิ่งได้มาทำความรู้จักผมว่าคุณยิ่งมีความน่าสนใจ”นี่สินะผลของการเคยสร้างกรรมไว้ร่วมกันอย่างที่หลวงตาบอก มันส่งผลให้ทั้งผมและเค้าถูกดึงดูดเข้าหากัน แต่ว่าให้ตายเถอะ ผมดันนึกถึงเรื่องระหว่างผมกับเค้าขึ้นมาเสียได้ ริมฝีปากนั้นที่ผมเคยครอบครอง แผ่นอกกว้าง กล้ามเนื้อแกร่ง ทุกส่วนที่ผมเคยได้สัมผัส มันเหมือนเรียกร้องให้ผมเข้าไปสัมผัสอีกครั้ง

“คุณอาจกำลังให้ค่าผมสูงเกินไป”ผมหันมายกแก้วขึ้นดื่มและพยายามบอกเสียงเรียบเพื่อเป็นการข่มความรู้สึกของตัวเองไว้ด้วย

“กำลังคุยกับคุณสนุกๆ แต่ผมคงต้องไปแล้ว แฟนสาวของผมส่งข้อความมาตามแล้ว”แฟนสาวอย่างนั้นเหรอ เค้ามีแฟนแล้ว แล้วทำไมผมต้องรู้สึกใจมันหวิวๆ แปลกๆ

“แลกเบอร์กันไว้ไหมครับ เผื่อนัดแฮงเอ้าท์กัน”เค้าหันมาถามผมพร้อมตั้งท่าเตรียมจะออกไปแล้ว

“ดูคุณรีบๆ ผมว่าคุณรีบไปก่อนก็ได้ครับ ไว้เจอกันคราวหน้าค่อยแลกเบอร์กันก็ได้”ผมบอกออกไปอย่างไม่ตื่นเต้น เพราะยังไงเราต้องได้เจอกันอีกอยู่แล้ว

“คราวหน้า?”เค้าย้อนถามด้วยความสงสัย

“เชื่อผมสิ เดี๋ยวเราก็ได้เจอกันอีก”





TBC

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 14
ร่วมงาน


นับจากวันนั้นที่ผมได้เจอกับเดวี่ ไม่สิเค้าคือเดช็อง ผมก็นึกว่าจะได้เจอเค้าอีกในเร็ววันแต่นี่ก็เป็นเดือนแล้วผมยังไม่เจอกับเค้าอีกเลย นี่ผมถึงขนาดกลับไปที่เดิมที่เราได้เจอกันในครั้งนั้นอีกหลายรอบแต่ก็ต้องผิดหวังกลับมาทุกครั้ง แต่ผมก็ยังเชื่อนะครับว่าเราต้องได้เจอกันอีกแน่นอน

“ปอนด์ ปอนด์ ไหวไหมเนี่ยลูก แม่บอกว่าให้พักอีกหน่อยก็ไม่เชื่อ ไม่รู้จะรีบกลับมาทำงานทำไม”ผมหันมองผู้เป็นแม่ที่เดินเข้ามาเรียกผม วันนี้ผมกลับมาทำงานวันแรก ที่จริงก็ยังไม่ค่อยอยากมาหรอกครับแต่อยู่บ้านเฉยๆ มันก็เบื่อ สู้ออกมาทำงานได้พบเจอผู้คนบ้างชีวิตจะได้มีสีสันครับ อีกอย่างการมาทำงานตอนนี้พ่อกับแม่ก็แค่ให้ผมดูแลบางเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แค่นั้นแหละครับ

“ผมโอเคแล้วครับ แล้วนี่ได้เวลาไปเลือกดูตัวสาวของผมหรือยังครับ”ผมแกล้งพูดเล่นแต่ดูแม่ไม่ค่อยจะขำกับผมสักเท่าไหร่ ส่วนสาวที่ผมพูดถึงนี่ก็คือแม่ผมไม่อยากให้ผมเหนื่อยมากเลยจะหาเลขาส่วนตัวมาช่วยผมอีกแรง

“จะให้ไปสัมภาษณ์ด้วยดีไหมเนี่ย เดี๋ยวไปพูดเล่นกับคนมาสัมภาษณ์แบบนี้เค้าจะไม่เคารพเอานะ”นี่ดูแม่ผมก็จะจริงจังไปนะครับเนี่ย

“ผมก็แค่แซวเล่นนะครับ เดี๋ยวผมดูเองได้ไหมครับเรื่องนี้ เห็นว่าแม่ก็คัดมาเหลือ 3 คนแล้วยังไงก็คงโอเคทุกคน แต่ในเมื่อเค้าต้องทำงานกับผม ผมก็ขอเป็นคนเลือกเองนะครับ”แม่หยุดคิดนิดนึง ที่จริงก่อนที่ผมจะถูกทำร้ายจนเข้าโรงพยาบาล แม่ก็ไว้ใจในการทำงานของผมทุกอย่างอยู่แล้ว เพียงแค่ตอนนี้ผมอาจจะยังไม่ค่อยหายดีเค้าเลยห่วงผมเป็นพิเศษ

“เอางั้นก็ได้ แล้วช่วงบ่ายที่มีนัดประชุมกับตัวแทนบริษัททัวร์ จะเข้าคนเดียวหรือให้แม่เข้าด้วย”ส่วนนี่ก็งานที่ผมต้องรับผิดชอบ เห็นว่าเป็นโปรเจคใหม่ที่จะลงทุนร่วมกับบริษัทท่องเที่ยว แต่อันนี้ผมก็ยังไม่ได้ดูรายละเอียดอะไรมาก เห็นแม่บอกคร่าวๆ ว่าทางผมก็แค่สำรองห้องพักให้ตรงกับทริปที่ทางนั้นจัดมา หรืออาจมีต้องให้ข้อมูลเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวบ้าง ฟังแล้วก็ไม่น่าจะมีอะไรยุ่งยากเท่าไหร่ แถมเดี๋ยวผมยังจะมีผู้ช่วยอีก

“ผมเข้าคนเดียวก็ได้ครับ ไม่น่าจะมีอะไรมากเดี๋ยวหลังสัมภาษณ์ผมมาดูข้อมูลทำความเข้าใจนิดหน่อยก็คงเรียบร้อย”หลังตกลงกับแม่เรียบร้อยผมก็ตรงไปยังห้องที่นัดสัมภาษณ์ทันที ผมไปถึงก่อนเวลานัดนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้เปิดดูข้อมูลของผู้สมัครเลย เพราะผมเชื่อว่าทั้งฝ่ายบุคคลทั้งแม่ผม คงคัดคนที่เหมาะสมมาแล้ว ที่ผมมาในวันนี้ก็แค่จะดูว่าผมถูกชะตากับใครมากกว่ากัน เพราะในเรื่องความสามารถคงไม่หนีกันเท่าไหร่

“ยังไงรอทางฝ่ายบุคคลติดต่อกลับไปแจ้งผลนะครับ ขอบคุณที่มานะครับ”ผมยิ้มหวานให้กับผู้เข้าสัมภาษณ์คนที่สอง ผ่านมาสองคนแล้วสำหรับในเรื่องคุณสมบัติผมให้ผ่านทั้งคู่ แต่ถ้าจะให้เลือกผมก็ไม่รู้สึกว่าอยากจะได้ใครมาร่วมงานด้วยเป็นพิเศษ ผมหยิบแฟ้มใบสมัครใบสุดท้ายขึ้นมาเปิดดู นี่กะว่าถ้ายังไม่ถูกชะตาอีกผมคงต้องจับสลากละครับ

“เชิญนั่งเลยครับ”ผมบอกโดยที่ยังไม่ทันเงยหน้าขึ้นมองคนที่เข้ามาใหม่เพราะยังเปิดดูประวัติของเค้าอยู่ แต่แล้วผมก็ต้องรีบเงยหน้าขึ้นมองเพราะรูปที่ติดอยู่บนใบสมัคร ใบหน้าที่ยิ้มให้ผมทำเอาผมประหลาดใจไม่น้อย “เที่ยง” นั่นคือชื่อที่ผุดขึ้นมาในหัวผม หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้านี้เหมือนกับเที่ยงทุกกระเบียดนิ้ว อาจมีต่างบ้างตรงจุดที่หญิงสาวตรงหน้านี้ไม่ใช่เด็ก 19 เหมือนเที่ยง เธอน่าจะอายุน้อยกว่าผมสัก 3-4 ปี ผมเหลือบมองข้อมูลในใบสมัคร หญิงสาวตรงหน้าผมอายุ 25 ปีแล้ว

“คุณทีปะกาใช่ไหมครับ”ผมพยายามคุมเสียงให้เป็นปกติ นี่ชีวิตบทใหม่ผมกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้วสินะ ผมได้เจอเดวี่ ได้เจอเที่ยงต่อจากนี้ ชีวิตผมคงมีเรื่องราวที่สนุกๆ เพิ่มขึ้นสินะ

“ค่ะ”เธอรับคำสั้นๆ ผมยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ความรู้สึกผมเหมือนกับได้เจอเพื่อนเก่าอย่างไงอย่างนั้น

“ลองแนะนำตัวเองสั้นๆ พร้อมประวัติการทำงานที่เคยผ่านมาให้ฟังหน่อยได้ไหมครับ”ผมถามด้วยคำถามพื้นฐาน เพราะอย่างที่บอกว่าเรื่องบุคลิกภาพ ความรู้ความสามารถ ทั้ง 3 คนที่มาในวันนี้ผ่านบททดสอบนั้นมาหมดแล้ว และตอนนี้ผมแทบไม่ต้องตัดสินใจอะไรแล้ว ยังไงผมก็ต้องเลือกคนตรงหน้านี้อยู่แล้ว

“คุณทีมีพี่สาวด้วย ดูนามสกุลแล้วผมว่าคุ้นๆ พี่สาวคุณทีนี่เป็นพยายาลหรือเปล่าครับ”จากชื่อเล่นที่เค้าแนะนำตัวมาทำให้ผมรู้ว่า ชื่อเล่นของเค้าคือที และดูเหมือนเค้าจะนามสกุลเดียวกะพี่เพ็ญ นี่โลกมันจะกลมได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย

“คุณรู้ได้ยังไงคะว่าพี่สาวทีเป็นพยาบาล”เธอถามอย่างตื่นเต้น แม้ตอนนี้เธอจะดูเป็นสาวเปรี้ยวเฉี่ยวตามสมัยนิยม แต่ผมว่าบางมุมเธอก็ยังคงเหมือนเที่ยงที่ผมเคยรู้จัก

“แล้วใช่ไหมละครับ”ผมถามกลับด้วยความนึกสนุกไม่ได้บอกความจริงกับเธอว่าผมรู้จักกับพี่สาวของเธอ นี่ผมว่าผมเดาไม่ผิดแล้วที่คิดว่าพี่เพ็ญคือพี่สาวของคนตรงหน้าผม

“ก็ใช่นะคะ ว่าแต่คุณสืบประวัติทีมาก่อนหรือเปล่าคะ”เธอตอบกลับผมมาด้วยท่าทีมั่นใจ และดูเหมือนจะแฝงไปด้วยความขี้เล่นอยู่ไม่น้อยทีเดียว แต่แบบนี้แหละครับผมว่าชีวิตผมคงมีสีสันขึ้นอีกเยอะแน่ๆ ครับคราวนี้

“ผมไม่ว่างขนาดทำอะไรแบบนั้นหรอกครับ เอาเป็นว่ายังไงผมจะให้ฝ่ายบุคคลติดต่อกลับไปแจ้งผลอีกครั้งนะครับ”เธอขมวดคิ้วเหมือนกำลังสงสัยบางอย่าง

“แค่นี้เองเหรอคะ แล้วไม่ถามทักษะ หรือความสามารถอะไรเลยเหรอคะ”เธอถามย้ำด้วยความสงสัย

“เรื่องพวกนั้นคุณโดนทดสอบมาหมดแล้วนี่ครับ วันนี้เค้าก็แค่นัดพวกคุณทั้ง 3 คนมาให้ผมเลือกแค่นั้นเอง”ผมบอกออกไปอย่างไม่ปิดบัง

“แบบนี้คุณก็มีในใจแล้วสิคะ ว่าจะเลือกใคร”ผมไม่ได้ตอบอะไรออกไปอีก เพียงแต่ผายมือเป็นการส่งอีกฝ่าย

“โอเคค่ะ ก็หวังว่าเราจะได้ร่วมงานกันนะคะคุณปณต”เธอยกมือไหว้ผมก่อนจะเดินออกจากห้องไป ผมอมยิ้มมองตามแผ่นหลังของหญิงสาวออกไป จากที่เคยคิดว่าการกลับมาคราวนี้ผมคงต้องใช้ชีวิตแบบราบเรียบไม่มีอะไรหวือหวา แต่ตอนนี้ผมได้เจอบุคคลในอดีตถึง 2 คนแล้วชีวิตผมมันคงมีอะไรมาให้ประหลาดใจอีกแน่นอน

“สวัสดีครับพี่เพ็ญ”ผมกะไว้อยู่แล้วว่าพี่เพ็ญต้องโทรมาหาผม แต่นี่ดูจะเร็วกว่าที่ค่ดไว้ไม่น้อยเลยทีเดียว ทั้งที่เที่ยงหรือคุณทีเพิ่งออกไปได้ไม่นาน นี่คงเก็บความสงสัยไว้นานไม่ได้

“น้องปอนด์คือคนที่ยัยทีน้องสาวพี่ไปสมัครเป็นเลขาหรือเปล่าคะ”พี่เพ็ญเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่เต็มเสียงนัก ตามสไตล์ของพี่เพ็ญแหละครับ ที่คงเกรงใจผม แต่บุคลิคช่างดูต่างกับผู้เป็นน้องสาวของแกเหลือเกินครับ

“ก็น่าจะใช่แหละครับ นี่เค้าให้พี่เพ็ญโทรมาใช้เส้นกับผมหรือเปล่าครับเนี่ย”ผมแกล้งแซว จนอีกฝ่ายรีบปฏิเสธพัลวัล

“พี่ก็แค่โทรมาถามเฉยๆ เห็นน้องสาวบอกไปสัมภาษณ์ที่โรงแรม ฟังชื่อโรงแรมดูคุ้นๆ แค่นั้นแหละค่ะ พี่ไม่กล้าไปก้าวก่ายงานน้องปอนด์หรอกค่ะ เดี๋ยวเกิดยัยทีไปทำงานไม่ได้เรื่องมา พี่จะเสียเปล่าๆ”พี่เพ็ญรีบบอกอย่างเกรงใจ

“ไม่หรอกครับ น้องสาวพี่เพ็ญก็ดูคล่องแคล่วออก แถมทักษะก็น่าจะดีด้วย มีได้ภาษาที่ 3 ด้วยก็ยิ่งถือว่าได้เปรียบแล้วครับ”ผมบอกออกไปตามตรง เพราะถ้าให้เลือกเองโดยไม่มองว่าน้องสาวพี่เพ็ญคือเที่ยงที่ผมเคยรู้จัก พิจารณาแล้ว ทั้ง 3 คนที่มาในวันนี้ทั้งบุคลิคหรือทักษะที่เกี่ยวกับงาน ถือว่าสูสีกันมาก รวมทั้งทักษะด้านภาษาอังกฤษ แต่กับน้องสาวพี่เพ็ญ มีอีกภาษาที่เพิ่มขึ้นมา

“แสดงว่านี่ยัยทีน้องพี่ก็มีหวังสิคะเนี่ย “พี่เพ็ญบอกอย่างตื่นเต้นจนผมนึกขำ

“ยังไงก็รอฟังผลดูแล้วกันนะครับ”ผมตอบกลับไปกลางๆ ไม่ได้ชี้ชัดอะไรมากนัก

“งั้นพี่ไม่กวนน้องปอนด์แล้วดีกว่านะคะ”ผมกดวางสายจากพี่เพ็ญ พอดีกับที่ผู้ช่วยของแม่ผมถือเอกสารเข้ามาให้

“เอกสารที่จะใช้ประชุมกับตัวแทนของบริษัททัวร์ค่ะ คุณปณต”ผมรับมาเปิดดูผ่านๆ ดูๆ แล้วก็น่าจะแค่เรื่องการสำรองห้องพัก ตามสถานที่ต่างๆ ที่ทางทัวร์เค้าจัดมา การแนะนำเรื่องสถานที่ท่องเที่ยว เดี๋ยวนะบริษัททัวร์ แต่จะมาให้โรงแรมช่วยเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวเนี่ยนะ นี่ตกลงสัญญาระหว่างโรงแรมผมกับบริษัทนี้นี่มันยังไงกันแน่

“ในสัญญา เราจะลงทุนร่วมด้วย และเรามีสิทธิ์ในการเสนอสถานที่จะเป็นเส้นทางในแต่ละทริปด้วย คือเค้าเป็นบริษัทต่างชาติและเพิ่งจะเริ่มก่อตั้งไม่นาน อีกอย่างหุ้นส่วนเค้าก็ไม่ใช่คนไทยด้วยลูก”ผมฟังแม่อธิบายรายละเอียดผ่านเสียงโทรศัพท์ และรู้สึกค้านอยู่ในใจ ว่าทำไมแม่ถึงมาตัดสินใจลงทุนกับบริษัทโนเนมแบบนี้

ผมวางแฟ้มเอกสารในมือลง อย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ นี่พ่อกับแม่กำลังมองว่าผมยังไม่พร้อมทำงานเลยหางานอะไร เล็กๆ แบบนี้มาให้หรือเปล่าเนี่ย ผมยกนาฬิกาข้อมือ 11 โมงกว่าแล้วผมตัดสินใจเดินออกจากห้องทำงาน เพราะคงไม่มีกะจิตกะใจจะดูเอกสารประชุมต่อแล้ว ผมมีเวลาเกือบ 2 ชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาประชุม น่าจะพอไปนั่งร้านกาแฟสักหน่อย เพราะจะให้ทานข้าวผมก็ยังไม่หิว แล้วอีกอย่างวันนี้หลังประชุมเสร็จผมก็คงไม่มีงานอะไรอีกแล้ว

“ลาเต้เย็นแก้วนึงครับ”จริงๆ ผมก็ไม่ใช่คอกาแฟสักเท่าไหร่หรอกครับ เลยต้องสั่งอะไรเบาๆ แบบนี้ ผมจ่ายเงินแล้วเดินไปนั่งรอเหมือนอย่างที่เคยทำ นิตยสารเล่มบางที่วางอยู่ถูกผมหยิบขึ้นมาเปิดอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก

“ทำไมคุณรู้ว่าเราจะได้เจอกันอีก”น้ำเสียงที่ทักทายเป็นภาษาฝรั่งเศส พร้อมกับเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามผมถูกดึงออกก่อนเจ้าของเสียงจะนั่งลง ผมไม่ต้องเงยหน้าขึ้นมองก็พอจะรู้แล้วว่าใคร ผมลอบยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะปรับสีหน้าให้เรียบเฉย แล้วเงยหน้าขึ้นมอง เค้าส่งยิ้มรอผมอยู่แล้ว วันนี้เค้าดูแตกต่างจากครั้งก่อนที่เราพบกันพอควร วันนี้เค้าแต่งตัวดูภูมิฐานไม่น้อยเลย

“ผมก็แค่มาจากอนาคตเลยรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า”เค้าหัวเราะในลำคอให้กับคำพูดของผม แต่นั้นไม่ได้ทำให้ผมสนใจเท่ากับสิ่งที่เค้าติดมือมาด้วย เพราะมันเป็นสิ่งที่ผมเพิ่งวางทิ้งไว้ที่โต๊ะทำงาน งั้นก็หมายความว่าเค้าคือคนที่ผมต้องเริ่มงานด้วยอย่างนั้นหรือ จะเริ่มแล้วสินะ คราวนี้มาทั้งเดช็องที่อยู่ตรงหน้าผมตอนนี้ และคุณทีหญิงสาวที่อีกไม่นานจะกลายมาเป็นเลขาส่วนตัวของผม

“ไม่เชื่อผมงั้นเหรอ งั้นผมยังบอกได้อีกว่าวันนี้คุณมีนัดคุยงานเกี่ยวกับเส้นทางท่วงเที่ยว และก็เกี่ยวกับเรื่องของโรงแรมด้วย”เค้าชูเอกสารที่อยู่ในมือและยิ้มอย่างรู้ทัน

“คุณก็แค่คนช่างสังเกตถูกไหมครับ”เค้าจะรู้ตัวหรือเปล่าว่าตอนนี้อาการที่เค้าแสดงออกว่าสนใจในตัวผมมันชัดขนาดไหน มันดูไม่ได้ต่างจากที่เดวี่มองปราชอย่างที่ผมเคยรับรู้ แต่ครั้งก่อนที่เค้าบอกกับผมเค้ามีแฟนผู้หญิงอยู่แล้ว เรื่องนี้มันคงจะมีผลกระทบกับผมในอีกไม่ช้า เพียงแต่ว่ามันจะออกมาในรูปแบบไหนแค่นั้นเอง

“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”เค้าสะกิดถามผม นี่สีหน้าผมคงเปลี่ยนตามสิ่งที่กำลังคิดถึงเมื่อสักครู่สินะ

“แค่คิดอะไรนิดหน่อยครับ ไม่มีอะไร”ครั้งนี้ผมจะทำอะไรผิดพลาดลงไปอีกไหมนะ ในอดีตนั้นเหมือนผมเองที่เป็นต้นเหตุให้เรื่องราวระหว่างผมกับเค้ามันเกินเลยไป จนมีผลกระทบมากมายตามมา ถ้าครั้งนี้ผมปล่อยให้อะไรมันเกิดขึ้นอีก ซึ่งผมมั่นใจว่ามันต้องมีโอกาสที่เอื้อให้เกิดอะไรเช่นนั้นแน่นอน แล้วมันก็คงมีอะไรยุ่งยากตามมาแน่นอนหากผมปล่อยให้มันเกิดขึ้น

“อ่า ดูเหมือนเราจะเจอกันในช่วงเวลาที่ผมติดธุระตลอดเลยนะครับ ผมน่าจะต้องไปแล้ว”เค้ามองดูนาฬิกาที่ข้อมือและหยิบแก้วกาแฟที่เพิ่งมาเสริฟ เตรียมลุกออกจากตรงนี้

“เราจะได้เจอกันอีกไหม”เค้าถามย้ำเหมือนต้องการให้ผมยืนยันว่าเราทั้งคู่จะได้พบกันอีก ซึ่งแน่นอนสำหรับผม ผมรู้อยู่แล้วว่าคนที่เค้ากำลังจะไปพบก็คือผมเอง แต่ผมคงยังไม่มีความจำเป็นที่จะรีบให้เค้ารับรู้ตอนนี้

“แน่นอน  เราจะได้เจอกันอีก”ผมบอกออกไปอย่างหนักแน่น แต่ก็กำลังสับสนกับความรู้สึกของตัวเอง หลังจากครั้งก่อนที่ผมได้เจอเค้าผมยังรู้สึกอยากจะเจอเค้าอีกครั้ง แต่พอวันนี้ได้มาเจอแล้ว ผมกลับกลายเป็นว่ามีแต่ความกังวลที่ได้เจอเค้า

“ไว้เจอกันใหม่นะครับ”ภาษาไทยสำเนียงแปร่งๆถูกส่งออกมาก่อนเค้าจะลุกออกไป ผมทำเพียงมองตามแผ่นหลังของเค้าจนลับตาไป










TBC

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 15
เรา สอง สาม คน


“คุณทำให้ผมประหลาดใจอีกแล้ว”เดช็องที่ยังรอผมอยู่หน้าห้องประชุมทั้งที่เราประชุมกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว

“ยินดีที่จะได้ร่วมงานกันนะครับ”ผมบอกอย่างเป็นทางการอีกครั้ง เพราะนี่ยังอยู่ในเวลางาน ไม่อยากให้เค้ามองว่าผมจะมาเป็นหุ้นส่วนที่ไม่จริงจัง เพราะจากการประชุมที่เพิ่งจบไป ผมว่าเค้าเองก็มีไอเดียดีๆ หลายอย่างที่คงนำมาต่อยอดตรงนี้ได้ดีทีเดียว

“ดูคุณไม่ประหลาดใจเลยที่ผมกลายมาเป็นหุ้นส่วนธุรกิจของคุณ”เค้ามองมาที่ผมเหมือนกำลังค้นหาบางอย่าง ผมเพียงยิ้มบางๆ ให้กับเค้า

“พอดีผมผ่านเรื่องน่าประหลาดใจมากกว่านี้มาแล้ว”ผมตอบออกไปเสียงเบา พร้อมกับภาพใบหน้าของเดวี่ที่ซ้อนทับขึ้นมาให้ผมเห็นบนใบหน้าของเดช็อง จะว่าซ้อนทับก็ไม่ถูกนัก ก็หน้าตาของทั้งคู่ก็คือใบหน้าเดียวกันนั่นแหละ

“เกี่ยวกับเรื่องอุบัติเหตุที่คุณเจอหรือเปล่า”ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ว่าเค้ารู้เรื่องที่ผมโดนทำร้ายด้วยหรือ แต่ถ้าให้เดาก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก พนักงานที่นี่ก็รู้กันทุกคนว่าผมเพิ่งหายจากการพักรักษาตัว

“ขอโทษถ้าผมทำให้คุณไม่สบายใจ”ผมยกยิ้มมุมปากอีกครั้ง นี่คงจับสังเกตสีหน้าผมสินะ

“ผมไม่เป็นไร แค่นึกถึงอะไรนิดหน่อย”ยิ่งต้องมาร่วมงานทั้งกับเค้าแล้วก็คุณทีปกา หรือเที่ยงผมก็ยิ่งคิดถึงเรื่องที่ผมได้ไปพบเจอมา แล้วนี่เรื่องราวมันจะเป็นยังไงต่อไป จะเกิดอะไรที่ไม่คาดคิดขึ้นอีกไหม

“คุณปณต คุณปณตคะ”เสียงเรียกชื่อจากเลขาส่วนตัวทำให้ผมต้องหยุดความคิดเอาไว้ ที่จริงนี่ก็หลายวันแล้วหลังจากวันที่เดช็องมาร่วมประชุมกับผม แต่วันนี้พอคุณทีเลขาส่วนตัวของผมกำลังอธิบายตารางนัดหมายของผมให้ฟัง และก็มีกำหนดการที่ผมต้องไปพบกับเดช็อง ทำให้ผมดันนึกถึงเค้าขึ้นมาอีก

“เรียกผมปอนด์ก็ได้ครับเวลาคุยกับผมสองคน”ผมหันไปบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แม้เธออาจจะคิดว่าเราทั้งคู่เพิ่งรู้จักและได้ร่วมงานกันเพียงไม่นาน แต่สำหรับผมแล้ว เธอก็แทบจะเหมือนเพื่อนผมคนนึงที่คุ้ยเคยกันมา แต่พูดไปเธอคงหาว่าผมบ้า

“โอเคค่ะ ตอนแรกทีก็นึกว่าคุณปอนด์จะไม่เลือกทีมาทำงานด้วยซะแล้ว นี่ถ้าคุณปอนด์ไม่เลือกที ทีคงเสียดายแย่ที่ไม่ได้มีเจ้านายดีๆ แบบนี้”อันนี้ก็ออกจะยกยอผมมากเกินไปอยู่สักหน่อยแหละครับ ผมยิ้มให้เธออีกครั้งเพราะรู้สึกว่าการได้กลับมาเจอกับเธออีกครั้งที่นี่ มันคงช่วยให้ชีวิตทำงานของผมไม่เคร่งเครียดเกินไปนัก อย่างน้อยๆ ก็ไม่ต้องวางตัวให้ดูเป็นเจ้านายกับลูกน้องมากนัก ผมชอบความเป็นกันเองแบบนี้มากกว่า แต่คนส่วนใหญ่ที่นี่ก็ยังเว้ระยะห่างตรงจุดกับผมไว้แทบทุกคน

“แล้วอาทิตย์หน้าที่ต้องไปดูสถานที่กับเมอซิเออร์ เดช็อง ตกลงคุณปอนด์จะให้ทีไปด้วยไหมคะ”เธอถามย้ำเรื่องนี้กับผมเป็นครั้งที่สอง เพราะผมเองก็ไม่ได้บอกชัดเจนในทีแรก ด้วยวันที่จะไปนั้นเป็นวันหยุดของคุณที ผมเลยไม่อยากที่จะรบกวนวันหยุดเธอสักเท่าไหร่ แม้รู้ว่าถ้าผมออกคำสั่งให้เธอไปด้วย เธอคงไม่ขัดข้องอยู่แล้ว ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งที่ผมยังลังเลยจะให้เธอไปด้วยหรือไม่ ก็คงมาจากอีกคนที่อยู่ในตารางนัดของผมนั่นแหละครับ

ถึงเดช็องจะเคยบอกมาแล้วว่าตอนนี้เค้ามีหญิงสาวที่คบหาอยู่แล้ว แต่ผมเองกลับหยุดความคิดที่จะหาโอกาสมีเวลาพบเค้าตามลำพังไว้ไม่ได้ ผมหันมองเลขาคนสวยของผมอีกครั้ง และเธอเองก็กำลังรอคำตอบของผมอยู่เช่นกัน

“เดี๋ยวตอนเย็น ไปดินเนอร์กันผมให้คำตอบละกันนะ คือกำลังคิดว่าผมต้องไปวันหยุด กลัวรบกวนเวลาคุณทีกับแฟน”ผมแกล้งแหย่เธอเพราะทราบมาว่าเธอมีแฟน และก็คงเหมือนคนทั่วไปในวัยนี้ที่วันหยุดคงอยากใช้เวลากับคนรักอยู่แล้ว

“ตายแล้วทีลืมสนิทเลยต่ะ คุณปอนด์”เธอบอกด้วยความตกใจ นี่ลืมเตรียมชุดสวยหรือไงครับเนี่ย ผมยิ้มขำๆ กับอาการของเธอ ที่จริงผมก็บอกกับเธอไว้ล่วงหน้าหลายวันแล้วแหละครับว่าจะพาไปเลี้ยงต้อนรับที่เธอเข้ามาทำงานกับผม

“นี่ลืมนัดผมแบบนี้ ผมชักหวั่นๆ คุณทีจะทำผมพลาดนัดกับลูกค้านะเนี่ย”ผมแกล้งแซวออกไปขำๆ

“ที่ลืมนี่ไม่ใช่นัดคุณปอนด์ค่ะ ไอ้ที่ลืมนี่คือลืมว่าเคยนัดแฟนไว้วันนี้ด้วย”เธอทำหน้าเครียดจนผมอดจะขำออกมาอีกครั้งไม่ได้ ที่จริงนัดกับผมมันก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรขนาดนั้นเลื่อนไปก่อนก็ได้

“คุณทีไปกับแฟนก่อนก็ได้นะ วันหลังค่อยไปกับผมก็ได้”ผมบอกออกไปให้เธอคลายกังวล ทว่าดูคำพูดผมจะไม่ช่วยเท่าไหร่

“ทีว่าทีเลื่อนนัดแฟนดีกว่าค่ะ เค้าคงเข้าใจแหละ”เธอชั่งใจอยู่พักนึงก่อนจะบอกกับผม ไปๆมาๆ ผมเสียอีกที่รู้สึกเกรงใจ กับการที่ต้องมาเบียดเบียนเวลาของคู่รักเค้า แต่ดูคุณทีก็ยืนยันว่าจะไปกับผม

“จริงๆ ถ้าไม่ติดอะไร ชวนแฟนคุณทีไปด้วยกันก็ได้นะครับ”ผมผุดอีกหนึ่งไอเดียที่อาจจะไม่ได้ดีนัก แต่มันก็ไม่น่าแย่เท่าไหร่ อีกอย่างการที่ผมได้รู้จักแฟนของลูกน้องไว้มันก็ไม่ได้เสียหายอะไร ผมว่าสียอีกที่ได้รู้จักคนที่ร่วมงานกับเราให้มากขึ้น

“จะดีเหรอคะที เกรงใจคุณปอนด์”แต่เธอก็ยังคงบ่ายเบี่ยง ก็คงเพราะเกรงใจผมนั่นแหละครับ

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ลองถามแฟนคุณทีก่อนก็ได้ว่าสะดวกไหม ถ้าสะดวกก็มาด้วยกันนี่แหละครับ”ผมยังพูดโน้มน้าวจนเธอยอมโทรคุยกับแฟนและแฟนของคุณทีก็ตอบตกลงตามข้อเสนอของผม

“ที่จริงแล้วแฟนของทีก็...”เหมือนเธอจะบอกอะไรบางอย่างเพิ่มเติม แต่ผมต้องรีบไปงานอื่นต่อเลยต้องตัดบท เพราะยังไงเย็นนี้ก็คงได้เจอและพูดคุยกับทั้งคู่อยู่แล้ว จนพอถึงเวลาเลิกงาน ด้วยวันนี้ค่อนข้างงานยุ่งพอสมควร กว่าจะทำงานกันเสร็จก็ปาไปเกือบสองทุ่มแล้ว

“แน่ใจนะครับว่าไม่อยากไปเปลี่ยนชุดสวยๆ ก่อน”ผมแซวเลขาของตัวเองเพราะนี่ก็ทำงานมาทั้งวัน แต่จริงๆ เหมือนว่าเธอเองก็ไปเติมหน้ามาพร้อมแล้วแหละครับ อีกอย่างชุดที่เธอใส่มาทำงานก็สวยอยู่แล้วแหละครับ

“ทีว่าแค่นี้ก็สวยจนผู้ชายมองตามเป็นพรวนแล้วค่ะ อีกอย่างมีแฟนแล้วสวยไปกว่านี้เดี๋ยวแฟนจะหึงค่ะ”เธอตอบกลับผมทีเล่นทีจริง ด้วยความที่เราเลิกงานค่อนข้างช้าเลยออกมาพร้อมกัน ส่วนแฟนของคุณทีจะไปเจอเราที่ร้านเลย

“แล้วนี่แฟนคุณทีมาถึงยังครับเนี่ย”ผมถามขณะที่กำลังเดินเข้าร้าน เธอยิ้มๆ ก่อนจะชี้ให้ผมหันไปมอง ชายชาวต่างชาติคนนึงที่โบกมือให้เราสองคน

“จะบอกหลายทีแล้วละค่ะ แต่หาจังหวะไม่ได้สักที”จะว่าไม่แปลกใจเลยก็คงไม่ใช่ครับ แต่แค่ไม่คาดคิดว่าอะไร อะไรมันจะออกมาในรูปแบบนี้ เดช็องหรือเดวี่ที่ผมเคยรู้จัก มาตอนนี้กลายมาเป็นแฟนกับเลขาคนสวยของผม ทีปกาหรือเที่ยงที่ผมเอ็นดูเธอเหมือนน้องสาวคนนึง ผมหัวเราะให้กับโชคชะตาของตัวเอง ผมคงไม่ปฏิเสธว่าตัวเองก็มีความคิดที่ไม่บริสุทธิ์ต่อเดช็องอยู่บ้างเหมือนกัน พอมารู้ว่าแฟนของเค้าที่เคยพูดถึงคือคุณที ผมก็คงต้องหยุดความคิดนี้สินะครับ

“ดูเหมือนเจ้านายคุณจะไม่เซอร์ไพรส์เท่าไหร่ ที่เราสองคนเป็นแฟนกันนะฮันนี่”ชายหนุ่มตาน้ำข้าวเอ่ยกับแฟนสาวที่นั่งลงข้างเค้าเบาๆ แต่มันก็ดังพอที่ผมจะได้ยิน ซึ่งเค้าก็โดนแฟนสาวของตัวเองตีแขนเบาๆ เป็นการปรามเพราะเกรงใจผม

“คุณทีไม่ต้องอะไรมากหรอกครับ คิดเสียว่าผมเป็นเพื่อนคนนึงของคุณ มื้อนี้ก็เหมือนมาทานกับเพื่อนแหละครับ นอกเวลางานเราจะไม่อยู่ในฐานะเจ้านายกับลูกน้อง ตกลงไหมครับ”ผมบอกด้วยท่าทีสบายๆ ให้บรรยากาศมันผ่อนคลายมากขึ้น แต่ดูๆ ไปตัวเดช็องเองก็ไม่ได้เกร็งอะไรเลยนะครับ เค้าดูทำตัวสบายๆ ติดจะดูขี้เล่นมากเกินไปด้วยซ้ำ

“งั้นตอนนี้เราเป็นเพื่อนกันแล้ว ก็คงได้นัดแฮงก์เอาท์กันบ่อยๆ นะครับ”เดช็องหันมาบอกกับผมยิ้มๆ ก่อนจะเอื้อมมื้อโอบไหล่แฟนสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมพยายามยิ้มกับภาพตรงหน้า บอกไม่ถูกเหมือนกันครับว่าตัวเองควรจะรู้สึกยังไงกับสถานการณ์ตอนนี้

“เออจริงสิ ทีสั่งกาแบร์เนต์ โซวีนยองไว้นะคะ”คุณทีบอกชื่อเครื่องดื่ม สำหรับมื้อนี้ นับว่าเลือกได้ไม่เลวเลยกับไวน์แดงสัญชาติชิลี เพราะเมนูหลักๆ ของพวกเราวันนี้เป็นสเต็กเนื้อแดงทั้งนั้น

ไม่นานนักอาหารและเครื่องดื่มก็มีบริกรนำมาเสิร์ฟให้กับพวกเราทั้ง 3 คนบรรยากาศที่ภายนอกดูสบายๆ แต่ในใจผมกลับกำลังวุ่นวาย เพราะถึงแม้ผมจะบอกกับตัวเองให้พยายามไม่เข้าไปแทรกกลางระหว่างสองคนตรงหน้านี้หรือไปทำเรื่องอะไรให้มันยุ่งยากอีก แต่ลางสังหรณ์กลับบอกกับผมว่าจากนี้มันคงมีอะไรที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นอีกแน่นอน

“ยูกับคุณปอนด์เคยเจอกันมาก่อนด้วย”ทีปกาถามด้วยความตื่นเต้นเมื่อรู้ว่าผมและเดช็องเคยเจอกัน ก่อนที่จะได้มาร่วมงานกัน ผมก็อธิบายไปตามความจริงว่าเป็นแค่การบังเอิญเจอกันธรรมดาไม่ได้พิเศษอะไร ดูเหมือนเธอเองก็ไม่ได้ติดใจอะไร อาหารมื้อค่ำของเราก็ดำเนินไปพร้อมการพูดคุยสรรพเพเหระทั่วๆ ไป ตอนนี้ไวน์แดงถูกเปิดเป็นขวดที่สองแล้ว หญิงสาวคนเดียวของโต๊ะเราก็เหมือนจะไม่ค่อยดื่มแล้ว คงไม่อยากจะเมาสักเท่าไหร่  ส่วนอีกคนนอกจากจะดื่มไม่ยั้งแล้ว ยังเหมือนว่าเค้าจะแอบมองผมอยู่หลายครั้งด้วยสายตาที่แฝงความนัยบางอย่าง แต่ผมแกล้งทำเป็นไม่เห็นมันเสีย

“กลับแล้วนะคะคุณปอนด์ อย่าดื่มมากนักนะคะ อีกอย่างถ้าไม่ไหวก็กลับแทกซี่นะคะทีเป็นห่วงค่ะ”หญิงสาวหันมาบอกกับผมก่อนจะเดินออกไปกับแฟนหนุ่ม ผมบอกกับทั้งคู่ว่ากลับกันก่อนก็ได้เพราะผมเองอยากนั่งต่ออีกสักพัก

หลังทั้งคู่ออกไปได้ไม่นานผมก็ตามออกไปเช่นกัน ผมมุ่งตรงไปยังคอนโดของตัวเองแม้จะยังไม่ได้เมาอะไรมากแต่ก็เริ่มมึนๆ ตึงๆ บ้างแล้ว รู้ตัวนะครับว่าผมควรขึ้นห้องไปนอนแต่แทนที่จอดรถเรียบร้อยผมจะขึ้นห้อง ผมกลับเดินออกมาหน้าคอนโดเพื่อเรียกแทกซี่ และไม่นานนักผมก็นั่งอยู่ที่เคาเตอร์บาร์พร้อมเครื่องดื่มที่คุ้นเคย เสียงเพลงที่ดังจนกระตุ้นจังหวะการเต้นของหัวใจ กับผู้คนมากมายที่นี่ไม่ได้ดึงความสนใจผมไว้ หากแต่สมองผมยังคิดวนเวียนอยู่กับสองคนที่เพิ่งแยกจากผม ผมทำได้เพียงยกแก้วขึ้นดื่ม แก้วแล้วแก้วเล่า หวังให้สมองตัวเองหยุดคิดเรื่องนี้สักพัก ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหนแต่ตอนนี้แก้วใบเล็กที่เรียงรายอยู่ตรงหน้าผมนับนิ้วมือคงไม่พอแล้ว

“แกร๊ก”ใครบางคนนั่งลงข้างๆ ผมพร้อมยกแก้วของเค้ามากระแทกที่แก้วผม ผมไม่ได้หันไปสนใจหรือคิดจะอยากสร้างความรู้จักอะไรกับคนที่เพิ่งมานั่งข้างๆ ผม เพราะตอนนี้ผมไม่อยู่ในอารมณ์ที่อยากจะพูดคุยกับใครสักเท่าไหร่

ผมลุกขึ้นโดยไม่สนใจว่าคนที่เพิ่งนั่งลงข้างๆ ผม เพราะรู้สึกว่าถึงเวลาต้องกลับแล้ว แต่คงเพราะผมดื่มมากเกินไปทำให้ตัวผมเองเซ เล็กน้อย

“ไหวหรือเปล่า”คำพูดภาษาต่างประเทศพร้อมมือหนาที่เอื้อมมาคว้าผมไว้ ทำให้ผมต้องหันไปมองยืนยันกับตัวอีกครั้งว่าผมไม่ได้หูฝาดไป

“เดวี่ เดวี่จริงๆ ด้วย”ผมพึมพำพร้อมกับสองมือที่เอื้อมขึ้นไปสัมผัสใบหน้าของเค้า คิดถึง ผมคิดถึงเค้าเหลือเกิน ผมว่าตอนนี้สติผมคงเริ่มไม่ปกติเอามากๆ แล้วแหละครับ ผมจ้องมองเค้าอีกครั้งก่อนจะค่อยๆ ดึงใบหน้าของเค้าลงมาหา สายตาผมจับจ้องที่ริมฝีปากน่าจูบนั่น

“โอ้ย”เพียงแค่ริมฝีปากของเราสัมผัสกันความเจ็บก็แล่นเข้ามาในหัวของผมอย่างรุนแรง แรงจนผมต้องทรุดลงกับพื้น ใช้สองมือกุมศีรษะของตัวเอง สมองผมเริ่มเบลอๆ เหมือนทุกอย่างค่อยๆ จางลงเรื่อยๆ แล้วหายไปในที่สุด เหมือนทุกอย่างดำมืดไปหมด

“ตื่นสิ ตื่น”เสียงกระซิบแผ่วเบาข้างๆ หูผมทำให้ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้น แสงสว่างจ้าเข้ามาทันทีที่ลืมตา จนผมต้องหรี่ตาเพื่อปรับให้สายตาคุ้นเคย

“ปราง”ภาพที่ผมเห็นตรงหน้าทำให้ต้องหลุดเรียกชื่อของอีกคนขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ ปรางค่อยๆ เดินเข้ามาหาผมด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม รอยยิ้มที่ผมไม่เคยเห็นจากเธอมาก่อน แต่แล้วรอยยิ้มนั้นก็ค่อยๆ หายไปพร้อมกับใบหน้าของปรางที่ซีดลงเรื่อยๆ

“เจ้าจะไม่มีวันได้รับความรักจากใครทั้งนั้น”น้ำเสียงที่ดุดันพร้อมกับตัวของเธอที่กระโจนเข้ามานั่งทับที่ตัวผม สองมือของเธอบีบลงมาที่คอของผม เสียงหัวเราะด้วยความสะใจของเธอดังก้องไปทั่ว ส่วนตัวผมเองไม่สามารถแม้แต่จะควบคุมให้ตัวเองขยับได้

“ขอ...โทษ”ผมพยายามพูดออกไป แม้รู้ว่าสิ่งที่ผมบอกมันจะไม่ช่วยอะไรเลยก็ตาม ผมพึมพำคำขอโทษพร้อมกับเรียกชื่อเธอซ้ำๆ วนเวียนอยู่อย่างนั้นผมค่อยๆ หลับตาลงอย่างยอมจำนน

“ไม่มีวัน ไม่มีวันที่เจ้าจะมีความสุข”เสียงตะโกนที่เหมือนจงใจพ่นใส่หน้าผมดังขึ้นจนผมสะดุ้ง

“เฮือก”ผมผุดลุกขึ้น พร้อมหอบหายใจเข้าเต็มปิด เหมือนคนที่กลั้นหายใจเป็นเวลานาน ผมหอบอยู่พักนึงจนรู้สึกว่าตัวเองหายใจได้อย่างปกติแล้ว สายตาผมก็เริ่มรับรู้ถึงความไม่ปกติ เพราะผมไม่คุ้นตากับสถานที่ที่ผมอยู่ตอนนี้เลย

“อรุณสวัสดิ์ยามเช้า เมื่อคืนหลับสบายดีไหม”ชายหนุ่มตาน้ำข้าวที่เพิ่งเดินเข้ามาด้วยชุด ผ้าเช็ดตัวสีขาวพันกายท่อนล่างไว้อย่างหมิ่นเหม่ หนดน้ำที่เกาะบนตัวเค้าทำให้ผมไม่ต้องเดาว่าเค้าเพิ่งอาบน้ำเสร็จ

“ผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”ผมเอ่ยถามกับเดช็องที่ตอนนี้เดินเช็ดผมมาหยุดอยู่ข้างเตียง สมองผมเริ่มคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น เมื่อคืนหลังจากแยกกับเดช็องและคุณทีผมไปนั่งดื่มต่อ แล้วก็เหมือนจะเมามาก

“คุณเมามาก แถมทำท่าจะจูบผม แต่จู่ๆ ก็ฟุบไปเลยผมไม่รู้จะทำยังไง เลยพาคุณกลับมาที่คอนโดด้วย”ผมจะจูบเค้างั้นเหรอ ผมค่อยๆ ลำดับเหตุการณ์ โอ้ยให้ตายสิผมพอจะนึกออกลางๆ แล้ว แต่นั่นเพราะผมเมาจนเข้าใจว่าผมได้เจอกับเดวี่

“เฮ้ย”ผมร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจเมื่อเพิ่งสังเกตว่าตัวเองไม่ได้ใส่เสื้อ แล้วพอเลิกผ้าห่มออก ผมก็มีแค่บอกเซอร์ตัวบางอยู่ชิ้นเดียวเป็นปราการด่านสุดท้าย นี่ผมกับเค้าคงไม่ได้เกินเลยอะไรกันไปมากใช่ไหมเนี่ย แค่เกือบจะจูบกับเค้านี่ผมก็ว่าผมแย่แล้วนะ สถานะในตอนนี้ของเราทั้งคู่ทำให้มันกระอักกระอ่วนไม่น้อยนะครับถ้ามีอะไรเกิดขึ้น

“ผมแค่เช็ดตัวให้คุณเพราะตอนพาคุณขึ้นมา คุณดันอ้วกออกมาทั้งๆ ที่ยังหลับอยู่”หมดกันภาพพจน์ผมทั้งจะไปจูบเค้า ทั้งมาอ้วกอีก เป็นไปได้นี่ ตอนนี้ผมอยากหายตัวกลับบ้านไปเลยให้รู้แล้วรู้รอด แล้วนี่เค้าจะมายืนโชว์หุ่นให้ผมดูอีกนานไหมเนี่ย

“แล้วนี่เสื้อผ้าผม พอจะใส่กลับบ้านได้ไหม”ผมถามแก้เก้อเพราะไม่รู้จะทำตัวยังไงต่อ

“อ้อ ผมให้แม่บ้านไปซักแห้งมาแล้ว เพิ่งมาส่งเมื่อสักครู่ คุณไปล้างหน้าล้างตาก่อนก็ได้”พอได้ฟังผมรีบลุดพรวดเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าบ้วนปากอย่างลวกๆ เปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยความรวดเร็ว และบอกกับเดช็องว่าจะขอตัวกลับ แม้เค้าจะรั้งให้ผมอยู่ทานมื้อเช้าและบอกจะไปส่ง แต่ผมก็ปฏิเสธทุกอย่าง

“เขาไปไหนแล้ว”ขณะที่ผมกำลังจะก้าวออกจากประตู เดช็องก็เอ่ยถาม แต่ผมก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่เค้าถามสักนิด

“เดวี่ คุณหลุดเรียกผมด้วยชื่อนี้ 2 ครั้งแล้ว”เค้าถามด้วยน้ำเสียงและใบหน้าที่จริงจัง

“เค้าไม่อยู่แล้ว”ผมบอกเสียงแผ่ว ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ไหลวนเหมือนฉายซ้ำให้ผมดูอีกครั้ง แถมเมื่อคืนปรางก็มาปรากฏในฝันของผมอีกแล้ว มันคงกำลังจะเริ่มอีกแล้วสินะ สิ่งที่ผมต้องชดใช้เนี่ย

“ผมขอโทษ”น้ำเสียงของเดช็องสลดลงอย่างรู้สึกผิด นี่คงคิดว่าเดวี่คือแฟนผมที่ตายจากไปสินะ

“คุณคงรักเค้ามาก”รักอย่างนั้นหรือ ผมยิ้มเหยียดๆ ให้กับตัวเอง

“เค้าต่างหากละที่รักผมมาก ไม่สิเค้ารักผมเพราะเข้าใจว่าผมคือคนที่เค้ารัก”ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมยอมพูดเรื่องนี้กับเดช็อง คงเพราะจริงๆ แล้วคนที่เรากำลังพูดถึงมันก็คือตัวเค้านั่นแหละ

“ผมไม่เข้าใจ”เค้าทำหน้าสงสัยในสิ่งที่ผมบอก

“มันก็เหมือนที่ผมกำลังมองว่าคุณเหมือนเค้านี่ไง ส่วนเค้าก็แค่เข้าใจว่าผมคือใครอีกคนทั้งที่มันก็ทั้งใช่และไม่ใช่”ตอนนั้นผมก็คือปราช แต่เป็นปราชแค่ร่างกาย ส่วนข้างในผมก็คือปอนด์ คนที่เดวี่ไม่รู้จักเลย

“แสดงว่าคุณกำลังจะรักผมอย่างที่คุณเคยรักเค้า”เค้าเดินเข้ามาหาผมก่อนจะดึงผมเข้าไปประกบปากอย่างรุนแรง แม้จะตกใจและพยายามจะขัดขืน แต่ด้วยสรีระแล้วผมก็สู้แรงเค้าไม่ได้ แถมเหมือนผมจะฝืนต่อต้านเค้าไม่ได้ ผมเผลอจูบตอบเค้าอย่างลืมตัว ลึกๆ แล้วผมก็ยังต้องการเค้าสินะ แต่ไม่ ผมจะทำแบบนี้ไม่ได้ ผมจะไม่ทำผิดในแบบเดิมอีก

“ผมไม่เคยรักเค้า ผมแค่เป็นคนนำความวุ่นวาย เจ็บปวด ทุกข์ทรมานไปให้เค้า และถ้าคุณไม่อยากให้ชีวิตคุณวุ่นวายหรือต้องเจอกับความทุกข์ ก็อย่าทำแบบนี้อีก ครั้งนี้ก็คิดเสียว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น เราจะเป็นแค่คนทำธุรกิจร่วมกัน”






TBC

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 16
ขนมโม่แกง




“แล้วนึกยังไงชวนพ่อกับแม่มาทำบุญแต่เช้าแบบนี้”แม่เดินเข้ามาหาผมพร้อมยิ้มให้อย่างอ่อนโยน อ่อนโยนชนิดที่ว่าผมแทบไม่เคยได้รับรอยยิ้มแบบนี้บ่อยนัก ส่วนผู้เป็นพ่อยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา

“ผมคิดถึงคุณยายนะครับ เลยอยากมาทำบุญให้ท่านสักหน่อยครับ”ผมตอบความจริงออกไปบางส่วน เพราะแม้ผมจะคิดถึงยายจริงๆ แต่อีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมอยากมาทำบุญวันนี้ก็เพราะปราง ปรางที่ผมเพิ่งเจอในฝัน ปรางที่เหมือนจะยังไม่หมดแรงอาฆาตในตัวผม ที่จริงเรื่องนี้ผมก็ยังมีส่วนที่ไม่ค่อยเข้าใจนัก

อย่างเรื่องที่ทำไมผมถึงมีหน้าตาเหมือนปราช ทั้งที่แท้จริงผมกับปราชคือคนละคน หรือเพราะจริงๆ แล้วคนที่ควรมาเกิดเป็นลูกของพ่อกับแม่ควรเป็นปราช ไม่ใช่ผม

“คุณยายคงดีใจที่ลูกคิดถึงท่าน”แม้จะพูดคุยกับแม่เหมือนปกติ แต่ในหัวผมก็ยังคิดวนเวียนเรื่องเดิมๆ ที่จริงผมพยายามลบภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผมเคยเห็นให้มันออกจากหัวไป แต่การที่ผมยังอยู่กับพวกท่านเจอกันแทบทุกวัน มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ผมจะทำได้แบบนั้น

“ครับ”ผมรับคำผ่านๆ ความรู้สึกผิดมันยังเกาะกินในใจผมอย่างเหนี่ยวแน่น แม้จะพยายามคิดว่ามันคืออดีต ถึงคนที่ทำเรื่องเลวร้ายนั้นจะเป็นผม แต่มันก็คือผมคนอื่น ที่ไม่ใช่ผมในตอนนี้ ผมอยากคิดเช่นนั้นแต่ก็ยังทำไม่ได้จริงๆ ครับ

“เออวันนี้ลูกจะไปดูโปรแกรมเที่ยวกับคุณเดช็องที่ชะอำ-หัวหินใช่ไหม”นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ผมหนักใจ แน่นอนว่าผมไม่แปลกใจที่เดช็องจะมีความสนใจในตัวผม เพราะมันคงถูกกำหนดให้เราต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกันอยู่แล้ว แต่ผมก็เป็นคนที่ตัดสินใจได้ว่าจะให้เรื่องราวมันเดินไปทางไหน ยิ่งมีเที่ยงหรือคุณทีเข้ามาเกี่ยวข้องมันก็ยิ่งสร้างความหนักใจให้กับผมมากขึ้นไปอีก

“ครับ แต่ว่าจะแวะไปกราบหลวงตาที่กุฏิก่อน ยังไงพ่อกับแม่กลับกันก่อนได้เลยนะครับ”ด้วยเพราะจะเดินทางต่อนี่แหละครับทำให้ผมมารถคนละคันกับพ่อแม่ หลังช่วยเก็บของต่างๆ ขึ้นรถให้ทั้งสองคนเสร็จ ผมก็เดินตรงไปยังกุฏิของหลวงตาตามที่บอกไว้กับแม่ ที่จริงนี่ต่างหากที่เป็นความตั้งใจหลักของผมในการมาในครั้งนี้

“มาแล้วสินะ อาตมากำลังรออยู่เลย”ผมยกมือไหว้พร้อมกับรับเสื่อที่หลวงตายื่นมาให้ผม ผมปูเสื่อห่างจากแคร่ที่หลวงตานั่งออกมาเล็กน้อย ก่อนจะนั่งพับเพียบลง

“ผมควรทำยังไงครับหลวงตา”แม้จะฟังดูไม่มีที่มาที่ไป ไม่มีการเกริ่นนำ แต่ผมเชื่อว่าหลวงตาเข้าใจในสิ่งที่ผมถาม

“ครั้งนั้นโยมควรเฝ้ามองทุกอย่างให้มันเป็นไป ตามอย่างที่มันควรจะเป็น เพราะโยมได้รู้ได้เห็นสิ่งที่มันกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว แต่ในเมื่อโยมเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงมัน ดึงคนอื่นเข้ามามีกรรมร่วมกับโยม คนเหล่านั้นกขาก็มีสิทธิ์เข้ามาเป็นผู้กำหนด หรือมีสิทธิ์เลือกในการให้เรื่องราวมันเดินไป โดยที่เราเองก็คาดเดาไม่ได้เลย”ผมค่อยๆ คิดตามในสิ่งที่หลวงตาบอก ก็พอจะตีความได้ว่าผมคงต้องเจออะไรอีกหลายอย่างโดยที่ไม่คาดคิด

“ต่อให้ผมพยายามเลี่ยง ก็ใช่ว่าจะทำให้อะไรมันดีขึ้นถูกไหมครับ”หลวงตาตอบยืนยันอีกครั้งว่าผมเข้าใจถูกต้องแล้ว

“อาตมาก็คงช่วยได้เท่านี้ ที่จริงนี่ก็อาจจะมากไปเสียด้วยซ้ำ แต่ก็ได้รับปากยายของโยมเอาไว้แล้วก็คงช่วยแนะนำได้เท่าที่ช่วยได้นะโยม”ยายผมอย่างงั้นเหรอ ผมค่อยๆ คิดย้อนไปถึงสิ่งที่ยายเคยบอกกับผม ใช่สินะยายมักบอกกับผมเสมอว่าสักวันนึงผมจะเข้าใจ แต่ท้ายที่สุดเมื่อผมเริ่มได้คำตอบ มันกลับไม่ได้ทำให้ผมหลุดพ้นจากคำถามนั้นเลย

ผมพูดคุยกับหลวงตาอีกเล็กน้อย ก่อนจะกราบลาเพื่อเดินทางต่อ จากที่ได้พูดคุยกับหลวงตาทำให้ผมรู้ว่าเรื่องระหว่างผม เดช็อง แล้วก็ทีปกา ผมคงเลี่ยงอะไรไม่ได้อีก แต่ครั้งนี้ผมคงเลือกที่จะเป็นคนมองดูความเปลี่ยนแปลง ผมจะไม่เป็นคนเริ่ม แต่ผมจะตั้งรับในสิ่งที่จะเกิดต่อจากนี้

“คุณปอนด์ออกเดินทางหรือยังคะ”เสียงใสส่งมาตามสายโทรศัพท์ วันนี้ผมมีนัดกับเดช็อง และเลขาส่วนตัวของผมก็ติดตามไปด้วย แต่ด้วยความที่ไม่อยากจะกระอักกระอ่วนมากไปกว่านี้ ผมเลยเลือกที่จะไปรถส่วนตัว แล้วให้คถณทีนั่งรถตู้บริษัทไปกับแฟนหนุ่มของเค้า

“เพิ่งเสร็จจากทำบุญ กำลังออกครับ”ผมตอบออกไปตามตรง ตอนนี้ผมกำลังพยายามตั้งสติอย่างมากเพื่อทำตัวให้ปกติ ที่สุด เพราะไอ้เหตุการณ์ครั้งล่าสุดที่ผมเจอกับเดช็อง ที่สถานะคือแฟนหนุ่ม ของลูกน้องผมตอนนี้ มันสร้างความลำบากใจอยู่ไม่น้อยทีเดียว ความจริงการรับมือกับเดช็องสำหรับผมมันอาจจะไม่ยากสักเท่าไหร่ แต่มันมายากตรงที่ กลายเป็นผมมาพัวพันกับแฟนของลูกน้องตัวเอง

“งั้นก็คงถึงพร้อมๆ กันนี่ทีก็อยู่กับเดช็องแล้ว ไว้เจอกันที่ชะอำ ขับรถดีๆ นะคะ”ผมกดวางสาย ผ่อนลมหายใจยาวๆ นี่ชีวิตผมต้องดำเนินไปแบบนี้อีกนานแค่ไหนกันนะ บางคืนก่อนนอนผมก็เคยคิดนะครับว่าถ้าผมหมดลมหายใจลงไปตอนนี้ ผมจะไปตื่นขึ้นที่ไหน ผมจะกลับไปตื่นขึ้นในร่างของปราชอีกไหม หรือผมจะไปตื่นขึ้นมาในร่างที่แท้จริงอย่างโจรที่แสนโหดเหี้ยมนั่น

ผมสลัดความคิดเอื้อมมือกดปุ่ม เลือกเพลง เปิดเสียงให้ดังเพื่อหวังให้เสียงมันกลบ ความวุ่นวายในหัวของผมตอนนี้ พยายามที่จะโฟกัสอยู่ที่เสียงเพลง สมาธิอยู่แค่ถนนตรงหน้า จนเวลาล่วงเลยมาเกือบถึงที่หมาย เสียงโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้นแทนที่เสียงเพลงที่ผมเปิดทิ้งไว้

“ครับคุณที”ผมรับสายพร้อมคาดเดาว่าอีกฝ่ายก็คงใกล้ถึงที่หมายแล้วเช่นกัน

“คุณปอนด์ถึงไหนแล้วคะ ทีว่าจะชวนแวะหาร้านทานข้าวกันก่อนค่อยเข้าที่พัก”ผมมองเวลา ดูแล้วก็คงจะพอดีสำหรับมื้อกลางวัน กว่าจะถึงร้าน กว่าจะสั่ง รออาหาร ผมตอบตกลงและสอบถามจุดที่เราจะทานมื้อเที่ยงกัน ซึ่งดูเหมือนคุณทีจะทำการบ้านมาแล้ว โดยร้านนี้อาจเข้ามาเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่จะใส่ลงในเส้นทางของทริปนี้

ไม่นานนักผมก็ถึงที่หมาย จากการประเมินภายนอกร้านจัดว่าดูดีทีเดียว ร้านมีการตกแต่งด้วยไม้เลื้อย และต้นไม้ที่ดูร่มรื่น ช่วยลดเรื่องอุณหภูมิที่ค่อนข้างร้อนได้ดีทีเดียว แต่ก็ยังมีส่วนด้านในที่เป็นห้องแอร์ จากภาพลักษณ์ภายนอกสำหรับผม ผมว่าให้ผ่านครับ ที่เหลือก็คงเป็นรสชาดของอาหาร

“ทางนี้ค่ะคุณปอนด์”พอลงรถมาไม่เท่าไหร่ เสียงใสของเลขาสาวของผมก็ส่งมาพร้อมโบกไม้โบกมือ ผมเดินตรงไปยังซุ้มที่ทั้งคู่เลือกนั่ง วันนี้ทั้งคู่ดูแต่งตัวสบายๆ เหมาะกับการมาทะเล ผิดกับผมที่ดูจะแต่งตัวไม่เข้าพวกขึ้นมาทันที แต่ผมก็ไม่ได้ซีเรียสหรอกนะครับ ก็เมื่อเช้าไปทำบุญที่วัดมา ไม่ทันได้เปลี่ยนชุดอะไร

“ถึงกันนานหรือยัง”ผมนั่งลงยิ้มทักทายกับทั้งคู่ แต่พยายามที่จะมองไปที่เดช็องให้น้อยที่สุด เพราะถึงจะข่มความรู้สึกมาแล้วว่าจะไม่คิดอะไร แต่พอเจอหน้าเค้าแบบนี้ ภาพเก่าๆ มันก็ผุดขึ้นมาในหัวเหมือนเดิม ทั้งภาพระหว่างผมกับเดวี่ในอดีต หรือภาพล่าสุดที่ผมจูบกับเดช็องก็ด้วย

“เพิ่งถึงเหมือนกันค่ะ ยังไม่ทันสั่งอาหารเลย คุณปอนด์ดูเมนูก่อนค่ะ”ผมเอื้อมมือรับเมนูที่อีกฝ่ายส่งมาให้ แต่สายตากลับประสานกับคนที่นั่งอยู่เคียงข้าง สายตาเค้าจ้องมาที่ผม แล้วขยับเข้าหาแฟนสาวกดจมูกลงที่ศีรษะของแฟนสาว มันอาจจะเป็นการหยอกล้อกันของคู่รักปกติ และผมก็คงรู้สึกเช่นนั้นถ้าไม่เห็นสายตาที่เค้ามองมาที่ผม

ผมแกล้งทำเหมือนว่าไม่เห็นสายตานั้นและเบนสายตามาที่รายการอาหารแทน ตอนนี้พนักงานมารอรับออเดอร์แล้ว ผมกวาดสายตามองรายการอาหาร ดูแล้วถ้าเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ไม่ได้ชื่นชอบอาหารไทย อาจจะไม่ถูกปากสักเท่าไหร่ เว้นเสียแต่ว่าร้านจะปรับรสชาดให้อ่อนลง

“คุณทีทานเผ็ดได้ใช่ไหมครับ”ผมเงยหน้าขึ้นและจงใจที่จะใช้ภาษาไทยเพื่อไม่ให้อีกคนเข้าใจ ผมรู้นะครับว่าไม่ควร แต่ยิ่งมาเผชิญหน้ากับเค้าแบบนี้ผมกลับยิ่งหงุดหงิด อย่างบอกไม่ถูก

“ได้ค่ะ แต่รายนี้ไม่น่าจะได้”คนที่ถูกกล่าวถึงหันมาทำหน้างง พร้อมถามว่ามีความลับอะไรกันถึงต้องพูดคุยในภาษาที่เค้าไม่เข้าใจ แต่ทั้งผมและคุณทีก็ไม่ได้ตอบคำถามนั้น เพียงแค่มองหน้ากันและหัวเราะออกมา

“งั้นผมสั่งแค่ไก่ผัดเผ็ดใบยี่หร่าละกันครับ ที่เหลือคุณทีกะแฟนเลือกเลย ผมทานได้หมด”เมนูนี้เป็นเมนูที่ยายผมชอบทาน ผมเลยติดมาด้วย จะว่าชอบก็ไม่เชิงหรอกครับ แต่เวลาเจอที่ไหนก็มักจะสั่งเพราะมันทำให้นึกถึงยายเสมอ

หลังพูดจบผมลุกขึ้นขอตัวไปเข้าห้องน้ำ พนักงานก็ชี้บอกทางว่าต้องไปทางไหน ผมเดินไปตามทางจนถึงห้องน้ำก็เข้าไปยืนทำธุระที่หน้าโถฉี่ ยืนทำธุระได้สักพักก็มีคนเข้ามายืนถัดไปจากผม ในทีแรกก็กะว่าจะไม่สนใจถ้าไม่มีเสียงจากคนที่เพิ่งมาใหม่

“คุณเมินผม”ผมต้องหันไปมองโดยอัตโนมัติเพราะเสียงนี้ไม่ใช่ใครทีไหน หันไปก็เจอใบหน้าคมที่ส่งยิ้มมาให้ผมอยู่แล้ว แต่รอยยิ้มที่ส่งมามันไม่ใช่แค่ยิ้มธรรมดานี่สิครับ ผมรู้สึกว่ามันเป็นยิ้มที่กำลังท้าทายผม แถมพอผมหันไปเค้าก็เหมือนจงใจถอยออกจากโถฉี่และลดมือที่อยู่ฝั่งผมลง ผมรู้สึกหน้าร้อนผ่าวจนต้องเบือนหน้าหนี

“ไม่ต่าง”ผมพึมพำกับตัวเอง ว่าสิ่งที่ได้เห็นเหมือนช่วยยืนยันกับผมว่ารูปลักษณ์ทุกส่วนของเค้าไม่ต่างจากเดวี่เลย มันแทบจะถอดมาจากพิมพ์เดียวกัน แต่ลักษณะนิสัยกลับให้ความรู้สึกว่าต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ว่าแต่นี่ผมจะมาคิดถึงเรื่องนี้ทำไมกัน ผมรีบสลัดความรู้สึกออกไป และรีบทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินมาล้างมือที่หน้ากระจก

“หรือคุณยังกังวลเรื่องที่เราจูบกัน”เค้าตามผมมาที่กระจก และจ้องสบตาผมในกระจก

“เราไม่ควรพูดถึงเรื่องนั้นอีก แล้วคุณก็ไม่ควรหลบมาคุยกับผมแบบนี้ ลับหลังแฟนของคุณเช่นกัน”ผมมองลึกเข้าไปในแววตาของเค้า เค้าเองก็ดูมีความสับสนอยู่ไม่น้อยทีเดียว

“ผมรู้ว่ามันผิด แต่คุณไม่รู้สึกเหรอว่าระหว่างเรามันมีบางอย่าง”นี่สินะที่ผมต้องเผชิญ มันเป็นความรู้สึกที่ไม่ว่าจะตัดสินใจเดินไปทางไหนมันก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักทาง

“บางอย่างที่...”เค้ายกมือขึ้นมาแล้วยื่นมาแตะที่แก้มของผม หลังมือแตะลากลงมาที่ปลายคาง ผมไม่ได้ทักท้วงการกระทำนั้นในทีแรก แต่ความรู้สึกผิดต่ออีกคนที่นั่งรออยู่ข้างนอกนั่น ทำให้ผมต้องขยับถอยห่างออกจากเค้าให้อยู่ในระยะที่เอื้อมไม่ถึง

“เราออกไปข้างนอกกันเถอะ”โดยไม่รอคำตอบรับ ผมก็เดินนำออกจากห้องน้ำมา ยิ่งพอออกมาเจอหน้าอีกคนที่ยิ้มให้ผมอย่างจริงใจ อย่างนี้ผมจะกล้าหักหลังผู้หญิงคนนี้ได้ยังไงกัน ถ้าแฟนของเดช็องเป็นคนอื่นผมอาจจะกล้าทำตัวเลวมากกว่านี้ แต่นี่มจะทำลงไปได้ยังไงกันละ

อาหารหน้าตาน่าทานทยอยมาวางที่โต๊ะ เดช็องเองก็กลับมานั่งที่โต๊ะแล้ว เค้ายังคงพูดคุยกับคุณทีด้วยอาการปกติเช่นเดิม แต่ก็มีหันมามองผมบ้างเป็นครั้งคราว ส่วนผมเองก็พยายามหยุดความคิดฟุ้งซ่านของตัวเองแล้วทำตัวให้ปกติที่สุด

“ไม่คิดว่าคุณปอนด์จะทานอาหารรสจัดขนาดนี้นะคะเนี่ย เห็นแล้วทีขอยอมแพ้ นี่แค่กินไปไม่กี่คำยังแสบตั้งแต่กระเพาะย้อนมาหลอดลมแล้วค่ะ”คำบอกเล่าเป็นภาษาไทยตามด้วยเสียงหัวเราะ ทำให้เดช็อง มองหน้าผมกับคุณทีสลับกันไปมา ผมเลยแกล้งบอกคุณทีว่าตักไก่ผัดเผ็ดใบยี่หร่าให้เค้าชิมสักคำ

“วู้ๆ”และเพียงแค่คำเดียวก็เห็นผล พ่อฝรั่งตาน้ำข้าว เป่าปากด้วยความเผ็ดร้อน มือรีบยกแก้วน้ำดื่มแล้วดื่มอีก เม็ดเหงื่อเริ่มผุดขึ้นตามใบหน้าของเค้า แถมตอนนี้ใบหูเริ่มมีสีแดงจัดขึ้นมาแล้วก็ลามเป็นแดงทั่วทั้งใบหน้า จากตอนแรกผมกับคุณทีก็ขำๆ กัน ไม่นึกว่าเค้าจะกินเผ็ดไม่ได้เลยขนาดนี้ แถมไอ้ที่กินไปนั่นมันก็ไม่ใช่เผ็ดธรรมดาเสียด้วยสิ

“สั่งพวกขนมหวานมาให้เค้าแก้เผ็ดไหมคุณที”ผมออกความเห็นเพราะตอนนี้น้ำเปล่าไ ม่น่าจะช่วยได้แล้ว คุณทีรีบหันไปเรียกพนักงาน พร้อมบอกให้รีบเอาขนมหวานอะไรก็ได้ที่เร็วที่สุดออกมาให้ และไม่นานขนมหม้อแกงก็ถูกนำมาเสิร์ฟตรงหน้าเดช็อง แม้เจ้าตัวจะไม่รู้จักขนมตรงหน้าแต่พอตักชิมไปหนึ่งคำ ก็รีบจัดการขนมตรงหน้าเหมือนกับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์สำหรับเค้า ก็แน่ละความหวานเลี่ยนของขนมหม้อแกงขนาดนั้นก็ต้องไปช่วยตัดความเผ็ดร้อนที่เค้ามีอยู่แล้ว

“โม่...แกง”เค้าพยายามพูดตามแฟนสาวที่บอกชื่อภาษาไทยของขนมตรงหน้า

“หม้อแกง ไม่ใช่ โม่แกง”ดูเหมือนการออกเสียงให้ตรงตามชื่อไทยจริงๆ จะเป็นเรื่องยากสำหรับเดช็อง เพราะจะกี่ครั้งเค้าก็ยังออกเสียงเช่นเดิม

“ขอบคุณโม่แกงที่ช่วยชีวิตผมไว้”เค้าทำท่าพนมมือไหว้อย่างโอเวอร์ จนทั้งผมและคุณทีอดจะหัวเราะกับท่าทีของเค้าไม่ได้ เค้าเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้กับผม แล้วอยู่ๆ ภาพอีกคนก็ค่อยๆ ซ้อนทับเข้ามา

“โม่แกง ของโปรดเด็กน้อย”คำพูดของเดวี่ที่ผมเองก็เกือบลืมไปแล้ว ผุดขึ้นมาในหัว รอยยิ้มที่อ่อนโยน สัมผัสที่ผมเคยได้รับจากเค้า ผมค่อยๆ หุบยิ้มลง มันคงไม่มีอีกแล้วสินะ ไม่มีเด็กน้อยของเดวี่ ไม่มีเดวี่ของผมอีกแล้ว

“คุณปอนด์ คุณปอนด์คะ”ผมหันไปมองตามเสียงและหยุดความคิดตัวเองไว้แค่นั้น

“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมสีหน้าไม่ค่อยดี แล้วยังเหม่อๆ อีก”คุณทีถามผมด้วยความห่วงใย

“เปล่าครับ แค่เห็นขนมหม้อแกงนี่แล้วทำให้นึกถึงใครคนนึง”พูดไปแล้วก็อยากจะตบปากตัวเอง ที่จริงผมควรปฏิเสธเฉยๆ ว่าไม่มีอะไร เพราะพอผมกว่าวออกไปแบบนั้น คนที่เพิ่งตักขนมหม้อแกงคำสุดท้ายเข้าปากก็หันมามองผมทันที

“คุณนึกถึงเดวี่อีกแล้วสินะ”เหมือนเป็นเพียงความคิดในหัวของเค้า แล้วพึมพำออกมา แต่มันก็ดังพอที่จะทำให้ทั้งผมและทีปกาได้ยิน สายตาของหญิงสาวฉายแววสงสัยออกมาอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะมองหน้าเดช็องและผมสลับกันไปมา ก่อนจะเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงปกติ

“เดวี่คือใครเหรอคะ”





TBC





ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 17
ผิด




“ไม่ไปหาหมอแน่นะครับคุณที”ผมเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง จากตอนแรกนึกว่าจะเป็นเดช็องที่จะมีปัญหากับอาหารมื้อกลางวันของพวกเรา แต่พอตกเย็นกลับกลายเป็นว่าเลขาสาวของผมกลับกลายเป็นคนที่ได้รับผลกระทบจากอาหารมื้อนั้น อาจไม่ใช่เรื่องความสะอาดของอาหาร เพราะผมเองก็กินทุกอย่างแต่ไม่เป็นอะไร นี่คงเป็นที่ความไม่คุ้นชินของร่างกายมากกว่า

“นิดหน่อยเองค่ะ นอนพักเดี๋ยวก็ดีขึ้น”ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ผมก็ยังกังวลอยู่แหละครับ แม้จะไม่ได้เป็นอะไรรุนแรงก็จริง

“งั้นเรื่องไปดูถนนคนเดินคงเอาไว้ก่อนก็แล้วกันนะครับ วันนี้ก็ให้เดช็องเค้าอยู่ดูแลคุณทีก่อน”จากแพลนเดิมตกลงกันไว้ว่าวันนี้ช่วงเย็นกะพากันลองไปดูถนนคนเดินแถวนี้ว่าน่าสนใจขนาดไหน แต่สภาพลูกน้องผมเป็นแบบนี้จะให้ผมใจร้ายทำงานต่อก็จะดูใจดำไปหน่อย

“ไม่เป็นไรค่ะ ทีไม่ได้เป็นอะไรมากไม่อยากให้มาเสียงานกัน คุณปอนด์ ไปกัน 2 คนตามแผนเดิมก็ได้ค่ะ ทีไม่เป็นไรจริงๆ นะคะคุณปอนด์ สัญญาว่าถ้าเป็นอะไรมากจะรีบโทรรายงานเลย”ดูเหมือนลูกน้องผมจะดื้อเอาเรื่องเหมือนกันนะครับเนี่ย

“เอางั้นเหรอครับ”ผมถามย้ำก่อนจะหันไปขอความเห็นจากเดช็อง ว่าเค้าอยากอยู่ดูแลแฟนสาวเค้าหรือเปล่า เพราะจริงๆ งานเราก็ไม่ได้รีบเร่งกันขนาดนั้น

“งั้นเราก็รีบไปแล้วรีบกลับดีไหม”ผมเริ่มลังเลเมื่อทั้งคู่จะเลือกตรงข้ามกับข้อเสนอผม

“ไปเถอะค่ะคุณปอนด์ ทีไหว”หญิงสาวย้ำกับผมอีกครั้ง จนผมยากที่ผมจะปฏิเสธ

“งั้นถ้ามีอะไรให้รีบโทรเลยนะครับ”ผมกำชับ

“คุณปอนด์ห่วงทีมากกว่าแฟนตัวจริงอีกนะคะเนี่ย”คำพูดที่กลั้วเสียงหัวเราะ แม้จะเป็นการพูดเล่น แต่ก็ทำเอาผมชะงักไปเหมือนกัน แต่ยังดีที่ทีปกาพูดเล่นกับผมเป็นภาษาไทย ทำให้เดช็องไม่เข้าใจในสิ่งที่เราพูดเล่นกัน แต่บางทีอาจมีแค่ผมที่คิดมากไปเองก็ได้

เมื่อตกลงว่าผมและเดช็องจะยังไปดูถนนคนเดิน รอบนี้ผมเลือกที่จะให้รถตู้มาส่งแทนที่จะเอารถมาเอง เพราะรู้สึกว่าอย่างน้อยก็จะได้ไม่ปล่อยให้ตัวเองนอกลู่นอกทาง บอกตามตรงว่าผมก็ไม่ไว้ใจตัวเองนักหรอกครับ กับการที่ไปกันแค่สองคนกับเดช็อง แม้จะพยายามแล้วที่จะคุมสติตัวเอง แต่เรื่องไม่คาดคิดมันก็มักจะมาแบบไม่ตั้งตัวเสมอ

“เราจะเดินไปเรื่อยๆ โดยไม่พูดอะไรกันเลยอย่างนั้นหรือ”หลังลงจากรถผมก็มัวแต่คิดอะไรเพลินไปหน่อย จนลืมที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับคนข้างๆ ที่เดินมาด้วยกัน

“ก็มันยังไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่ถ้าคุณสงสัยหรือสนใจตรงไหนก็ถามผมได้”ผมตอบกึ่งๆ ไม่จริงจังนักเพราะจริงๆ กลับไปเราก็ต้องไปลงรายละเอียดนำเสนออีกครั้งอยู่แล้ว การมาครั้งนี้ก็แค่ดูสถานที่จริง ให้เห็นแค่นั้นว่ามันตรงกับที่ทีมงานของผมเคยมาสำรวจล่วงหน้าแล้วหรือเปล่า

“คุณเล่าเรื่องเดวี่ให้ผมฟังเพิ่มได้ไหม ผมอยากรู้”ผมขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินคำถามของเค้า นี่เรื่องนี้มันยังไม่จบอีกอย่างนั้นหรือ แค่ตอนกลางวันที่ต้องอธิบายให้ทีปกาฟังนั่นผมก็ว่าเราควรหยุดคุยเรื่องนี้ได้แล้ว

เมื่อกลางวันเดช็องเล่าไปว่าเคยได้ยินผมพูดถึงชื่อเดวี่ในตอนที่เจอกันครั้งแรก พอผมพูดถึงใครบางคนเลยเดาว่าน่าจะหมายถึงเดวี้ คุณทีเองก็ไม่ได้ซักอะไรต่อ ผมเองก็เลยไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธอะไร แต่ผมมั่นใจว่าคุณทีเองก็คงมีความสงสัยเหลืออยู่ เพียงแค่เธอยังมีความเกรงใจเลยไม่ซักไซร้อะไรอีก

“ผมไม่อยากพูดถึง”ผมบอกออกไปตามตรง

“คุณเคยบอกว่าคุณไม่ได้รักเค้า แต่ผมกลับคิดว่าที่จริงคุณรักเค้า เพียงแค่คุณไม่อยากยอมรับกับตัวเอง”ผมเองก็ไม่รู้หรอกนะครับว่าที่จริงผมเป๋นอย่างที่อีกคนบอกหรือเปล่า หรือถ้าจะให้พูดชัดๆ คือผมไม่เคยรู้จักคำว่ารักในแบบคนรักเลย มันทำให้ผมเองตอบไม่ได้ว่าความรู้สึกที่เคยมีต่อเดวี่มันคืออะไรกันแน่

“คุณจะมารู้ดีกว่าตัวผมเองได้ยังไง”ผมตอบผ่านๆ เหมือนไม่ได้ใส่ใจนักแต่ในใจก็ยังคงคิดทบทวนกับตัวเองในเรื่องนี้อยู่

“เค้ากับคุณเคยอยู่ในสถานะอะไรกัน”เค้ายังคงส่งคำถามตามหลังผมมาโดยไม่สนใจว่าผมจะอยากคุยเรื่องนี้หรือเปล่า


“ผมขอย้ำอีกครั้งว่าผมไม่อยากพูดถึง”ผมกลับไปบอกก่อนจะเดินนำเค้าไปเช่นเดิม

“ผมก็แค่อยากรู้ว่าเค้ายังมีอิทธิพลกับใจคุณอยู่หรือเปล่า”เค้าคว้าข้อมือผมไว้ให้ผมหยุดเดิน ผมหันมองหน้าใช่ว่าจะไม่รู้ว่าเค้าพยายามจะทำอะไร แค่สิ่งที่ผมไม่เข้าใจคือ ถ้าผมเข้าใจถูกในสิ่งที่เค้าพยายาม แล้วเค้าวางแฟนสาวของเค้าเอาไว้ที่ตรงไหน

“2 แท่งครับ”ผมแกะมือเค้าออกแล้วเดินต่อก่อนจะ หยุดสั่งไอติมหลอด จากร้านข้างๆ ที่เราเดินมาถึง ก่อนจะรับมาและส่งให้เค้า 1 แท่ง หวังให้เค้าปากไม่ว่างจะได้เลิกถามคำถามพวกนี้กับผมเสียที

เค้าเงียบไปไม่ได้ถามอะไรผมอีกจนเราเดินพ้นจากโซนของกินมานิดหน่อย สายตาผมก็ถูกดึงดูดด้วยกล่องใบเล็กเก่าๆ กล่องนึงที่ถูกวางอยู่ตรงกลาง รายล้อมไปด้วยเครื่อง เงิน ทองเหลืองเก่าๆ อีกหลายชิ้น ผมเข้าไปย่อตัวลงหยิบกล่องใบนั้นราวกับต้องมนต์ ก่อนจะค่อยๆ เปิดมันออก

“คุณเป็นคนแรกเลยรู้ไหมที่เปิดมันออกดู”ผมเงยหน้าขึ้นยิ้มให้กับพ่อค้า ก่อนจะเบนสายตากลับมาที่กล่องใบจิ๋ว

“ของเก่าน่าจะอายุกว่าร้อยปีแล้วละมั้ง ถ้าคนชอบก็คงมองว่ามันมีค่า แต่ถ้าคนทั่วไปก็อาจะมองว่าของไร้ราคาที่ควรทิ้งๆ ไปเสีย”ผมไม่ได้สนใจคำพูดของพ่อค้าเท่าไรนัก ผมเพียงสนใจในเข็มกลัดใบโคลเวอร์ 4 แฉกที่อยู่ในกล่องนี่ต่างหาก

“สุขสันต์วันเกิดนะเด็กน้อย”ราวกับเจ้ากล่องใบจิ๋วนั้นส่งเสียงให้ผมได้ยิน คำอวยพรที่เดวี่เคยให้กับปราช

“เท่าไหร่ครับ”ผมถามพร้อมกับหยิบเข็มกลัดออกมาจากกล่อง แต่เพียงแค่สัมผัสกับเข็มกลัดนั้นผมก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างรุนแรง จนต้องยกมือขึ้นมากุมศีรษะ

“โอ้ย”ผมร้องขึ้นมาอย่างเจ็บปวด ปวดเหลือเกิน ปวดจนผมเริ่มจะทนไม่ไหว สติผมเริ่มจะหลุดลอย

“คุณ คุณเป็นอะไร”เสียงที่เรียกผมเต็มไปด้วยความตกใจ แต่ภาพต่างๆ กลับค่อยๆ จางหายไปเหมือนทุกอย่างดับลงชั่วขณะ ผมสัมผัสได้แค่ความมืด

“เด็กน้อย ตื่นได้แล้ว”เสียงแว่วดังเข้ามาเหมือนเรียกให้ผมลืมตาขึ้น

“ตื่นสิเด็กน้อย”ผมพยายามลืมตาขึ้นอย่างอยากลำบากเหมือนเปลือกตามันหนักเสียเหลือเกิน สิ่งแรกที่เห็นเมื่อผมลืมตาขึ้นมา มันคือกล่องไม้ใบเล็กวางอยู่ตรงหน้า แต่รอบๆ กลับเต็มไปด้วยน้ำสีแดงฉาน สายตาผมเริ่มกวาดมองไปรอบๆ นี่มันวันที่ทุกคนต้องจบชีวิตลงนี่นา

“ข้าจะตามติดเจ้าไปทุกที่ ฮ่าๆ ฮ่าๆ”ร่างของปรางที่อยู่ๆ ก็หล่นลงมานอนตะแคงเผชิญหน้ากับผม เธอพูดเสียงเย็นก่อนจะหัวเราะ ออกมาด้วยความอาฆาตแค้น ผมปิดเปลือกตาลงเพื่อที่จะไม่รับรู้อะไรอีก

“คุณปอนด์ คุณปอนด์คะ ตื่นค่ะคุณปอนด์”เสียงที่แว่วมาอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ผมมั่นใจว่าไม่ใช่เสียงของปรางแล้ว ผมจึงลืมตาขึ้นอีกครั้ง ทีปกาและเดช็อง ยืนมองผมอยู่ด้วยสีหน้าไม่สู้จะดีนัก

“ผมวูบไปใช่ไหม”เมื่อมองดูรอบๆ แล้วเห็นว่านี่คือโรงพยาบาล ทั้งที่ครั้งสุดท้ายที่ผมรู้สึกตัวผมยังอยู่ที่ถนนคนเดิน แม้ในความรู้สึกผมทุกอย่างเหมือนจะเกิดขึ้นในเวลาสั้นๆ แค่ผมหลับและฟื้น แต่ในความเป็นจริงมันคงกินเวลาไปไม่น้อยเลยทีเดียว

“ตอนแรกทีตกใจแทบแย่ แต่พอได้คุยกับพี่เพ็ญ ถึงได้รู้ว่าเป็นอาการที่คุณปอนด์เคยเป็นมาก่อน”จริงสินะ ช่วงที่ผมเพิ่งตื่นขึ้นมาในปัจจุบันแรกๆ ผมก็มีอาการนี้ เพียงแต่ช่วงนั้น ปรางอาจจะยังไม่เข้ามาปรากฏให้ผมเห็นสักเท่าไหร่ จนกระทั่งทั้งสองคนตรงหน้านี่เข้ามาในชีวิตผม

“เรียกคุณหมอให้ผมที”ผมไม่ได้อธิบายอะไรอีก เพราะคิดว่าถ้าทีปกาคุยกับพี่เพ็ญแล้ว ก็น่าจะพอรู้รายละเอียดคร่าวๆ ของผมแล้ว ผมรอคุณหมอเงียบๆ จนคุณหมอเข้ามาดูอาการผม และก็บอกจะให้ผมอยู่ดูอาการที่โรงพยาบาลสักคืน แต่ผมรู้ตัวเองดีว่าไม่ได้เป็นอะไร พร้อมให้คุณหมอประสานไปที่โรงพยาบาลเดิมที่ผมเคยรักษาด้วยว่าอาการนี้ของผมมันไม่ได้น่าเป็นห่วงขนาดนั้น สุดท้ายก็ต้องรอพักใหญ่เลยทีเดียวกว่าผมจะได้รับอนุญาตให้กลับได้

“ไปพักกันเถอะครับ ผมไม่เป็นไรจริงๆ อีกอย่างคุณทีเองก็ไม่สบายอยู่เหมือนกันนี่ครับ”ผมบอกเมื่อกลับมาถึงที่พัก แต่เหมือนทั้งทีปกาและเดช็องก็ยังจะยืนยันว่าไปส่งผมก่อนน่าจะดีกว่า สุดท้ายเพื่อไม่ให้เสียเวลาไปมากกว่านี้ผมเลยยอมให้ทั้งคู่ตามมาส่งถึงห้อง พร้อมการกำชับให้ผมพักผ่อน

“คุณปอนด์จะไม่เป็นอะไรแน่นะคะ ให้เดช็องมานอนเป็นเพื่อนดีไหมคะ เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยคุณปอนด์ได้”ดูเหมือนทีปกาเองจะยังไม่วางใจในอาการผม แถมข้อเสนอที่ยื่นมานั่นผมยิ่งคิดว่าไม่ควรอย่างมาก

“คุณทีผมไม่เป็นไรจริงๆ ไม่เชื่อโทรไปถามพี่เพ็ญดูได้อาการนี่ผมเป็นมากี่รอบแล้ว อีกอย่างคุณหมอเองยังยอมให้ผมกลับไม่ต้องดูอาการ แสดงว่าผมไม่เป็นไรจริงๆ”ผมยืนยันหนักแน่นอีกครั้ง แม้ทั้งทีปกาและเดช็องจะยังไม่ยอมเห็นด้วย แต่ก็ยอมกลับห้องไปด้วยความไม่เต็มใจนัก

ผมเดินตรงไปที่เตียงล้มตัวลงนอนหลังจากที่ทั้งคู่กลับไปแล้ว ถอนหายใจยาวๆ ไปหลายครั้งหวังให้ตัวผมเองรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง ผมรู้สึกว่าเรื่องยุ่งยากระหว่างผม เดช็อง และทีปกา มันใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว ผมเริ่มกลัวตัวผมเองนี่แหละว่าจะยับยั้งชั่งใจตัวเองได้อีกขนาดไหน ดูเหตุการณ์ทุกอย่างมันบีบบังคับเหลือเกิน

“ครับแม่”เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นหยุดความคิดของผมไว้ นี่ผมเองก็ลืมไปเลยว่าต้องแจ้งพ่อกับแม่ว่าไม่เป็นอะไรแล้ว เพราะช่วงที่ผมหมดสติไปทั้งทีปกาและเดช็องต่างก็ตกใจ แน่นอนว่าทั้งคู่ไม่ลืมที่จะแจ้งข่าวให้พ่อกับแม่ผมรู้ ผมคุยกับแม่อีกนิดหน่อยเมื่อแน่ใจแล้วว่าผมไม่เป็นอะไรมากก็ยอมวางสายไป

ผมผุดลุกขึ้นนั่ง ในหัวคิดทบทวนกับสิ่งที่ผมได้รับฟังจากปรางในครั้งล่าสุดนี้ ปรางบอกจะตามติดผมไปทุกที่อย่างนั้นหรือ นี่ผมต้องทำยังไงเธอถึงจะพอใจกันนะ แม้จะพยายามคิดแต่ก็คิดไม่ตกเสียที ผมตัดสินใจคว้าคีย์การ์ดก่อนจะเดินออกจากห้อง ไม่นานผมก็ย้ายตัวเองมาอยู่ที่บาร์ของโรงแรม

“Scotch on the rocks”ผมบอกกับบาร์เทนเดอร์ที่อยู่หน้าเค้าท์เตอร์ เพียงครู่เดียวแก้วน้ำสีอำพันที่มีน้ำแข็งทรงลูกเต๋าชวนหลงไหลก็มาวางอยู่ตรงหน้าผม

“ชาร์ทรวมไปกับค่าห้องเลยนะครับ”ผมบอกก่อนจะยกแก้วขึ้นลิ้มรสของเหลวสีสวย หวังให้ฤทธิ์ของมันบรรเทาความวุ่นวายในหัวของผมแม้ช่วงเวลาไม่นานก็ตามที แก้วที่หนึ่งหมดไป แก้วที่สองก็ตามมา

“มันน่าจะมีความหมายกับคุณ”กล่องไม้เล็กๆ ถูกยื่นมาวางตรงข้างๆ แก้วของผม ไม่ต้องเดาให้เสียเวลาว่าใครคือเจ้าของมือและเจ้าของเสียง ผมหัวเราะในลำคอเหมือนเป็นการเย้ยหยันตัวเองอยู่ในที นี่สินะความจริงที่ตอนนี้ผมไม่ใช่คนเดียวที่จะควบคุมเกมนี้อีกต่อไป ต่อให้ผมพยายามเลี่ยงยังไง แต่อีกฝ่ายก็ยังวนเข้ามาหาผมอยู่ดี

ผมหยิบกล่องไม้เล็กๆ นั่นขึ้นมาเปิดดูอีกครั้ง เข็มกลัดรูปใบโคลเวอร์ 4 แฉกนั้นขึ้นมาดู ครั้งนึงเดวี่เคยให้มันกับผม ไม่สิเค้าตั้งใจให้ปราช ส่วนครั้งนี้เดช็องนำมันมาให้ผม

“ข้าจะตามติดเจ้าไปทุกที่”เสียงลอยแว่วมาจากด้านหลังจนผมต้องหันไปมอง ซึ่งก็มีเพียงความว่างเปล่า ปรางสินะ อาจจะเพราะผมเตรียมตัวมาแล้วระดับนึงทำให้ไม่ได้ตกใจอะไรมาก ผมหันกลับมามองที่เดช็อง ที่กำลังสั่งเครื่องดื่มให้ตัวเอง

“เดวี่เคยให้ของแบบนี้กับคุณเหรอ”เค้าหันมาถามผมหลังจากสั่งเครื่องดื่มเรียบร้อย ผมไม่ได้ตอบคำถามเค้า แต่เลือกที่จะยกแก้วขึ้นดื่ม ก่อนจะหันไปมองหน้าเค้านิ่งๆ ไม่ได้พูดอะไรออกมา พยายามจะสื่อว่าผมไม่อยากคุยเรื่องนี้กับเค้า เอาจริงๆ เรียกว่าไม่รู้จะพูดยังไงมากกว่าครับ เพราะเรื่องระหว่างผมกับเดวี่มันคงอยากที่จะมีใครเชื่อว่าเราเจอกันได้ยังไง

“โอเคๆ ผมรู้แล้วว่าคุณไม่อยากพูดถึง แต่คุณรู้ไหมว่าเค้ายังมีอิทธิพลกับความรู้สึกของคุณอยู่”ผมจ้องมองใบหน้าเค้าอยู่เหมือนเดิม พิจารณาทุกส่วน ก็เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วขนาดนี้มันจะไม่ให้ผมรู้สึกอะไรเลยมันก็คงเป็นไปไม่ได้

“คุณทำให้ผมนึกถึงเค้า แต่คุณไม่ใช่เค้าและเค้าก็ไม่ใช่คุณ เพราะงั้นอย่าพยายามที่จะให้ผมเปรียบเทียบระหว่างคุณกับเค้า”เอาจริงๆ บางเสี้ยวความรู้สึกผมก็อยากถลำลึกกับผู้ชายตรงหน้านี่ให้มันรู้แล้วรู้รอดไป จะได้ไม่ต้องมากังวลอะไรอีก แต่ผมก็รู้แหละครับว่ามันคงไม่จบแค่นั้น

“หึ”เค้าหัวเราะในลำคอ ก่อนค่อยๆ ยกแก้วในมือขึ้นกระดก

“ผมรู้ ผมรู้ และผมก็ไม่ได้อยากเป็นตัวแทนของใคร”เค้าพูดเหมือนกำลังตัดพ้อ แต่เค้าลืมไปหรือเปล่าว่าเราสองคนก็แค่เพื่อนร่วมงาน แถมเค้ามีแฟนเป็นตัวเป็นตนอยู่ขนาดนั้น แม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่าระหว่างเรามันมีแรงดึงดูดเข้าหากันซึ่งเรื่องนั้นผมทราบดีว่ามันเกิดจากอะไร

“ผมว่าเราแยกย้ายกันกลับห้องดีไหม เราต่างก็รู้ว่าไม่ควรมาพูดคุยกันในทำนองนี้”แม้จะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่เราทั้งคู่ต่างก็รู้ดีว่าที่มานั่งพูดคุยอยู่ตอนนี้มันไม่ได้มีความบริสุทธิ์ใจในแบบเพื่อน ผมดื่มแก้วตัวเองจนหมดแล้วลุกขึ้นเดินตรงไปยังลิฟท์ เค้าตามหลังผมมาเงียบๆ ผมกดชั้นที่ผมอยู่และกดเผื่อเค้าที่อยู่ถัดจากผมขึ้นไปอีกชั้น

“คุณตามผมมาทำไม”พอก้าวออกจากลิฟท์แล้วเค้าตามผมออกมาทำให้ผมหยุดเดิน หันกลับมาเผชิญหน้ากับเค้า

“ก็แค่จะเดินไปส่งคุณให้ถึงห้อง”ผมพยายามมองเค้าอย่างไม่ไว้ใจ ส่วนเค้าก็ทำเป็นยิ้มแย้มแบบไม่รู้ไม่ชี้ เอาน่ามันก็คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง ผมบอกกับตัวเอง เค้าเดินตามมาจนถึงหน้าประตูห้อง แล้วในจังหวะที่ผมจะหันมาบอกลา เค้าก็เดินเข้ามาประชิดที่ตัวผม

“ผมรู้ว่ามันผิด แต่ผมควบคุมมันไม่ได้”ใบหน้าเค้าโน้มลงมาหาผม ผมแทบไม่ทันได้ตั้งตัวในขณะที่ริมฝีปากเราสัมผัสกัน






TBC

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด