คำตอบที่ว่างเปล่า บทที่ 22 บทสรุป [ตอนจบ-END] 23-06-17
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: คำตอบที่ว่างเปล่า บทที่ 22 บทสรุป [ตอนจบ-END] 23-06-17  (อ่าน 24610 ครั้ง)

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 18
สับสน




ไม่รู้ว่าผมเผลอปล่อยอารมณ์ให้พาไป หรือเพราะกลัวใครมาเห็น แต่ผลที่ตามมาคือผมเปิดประตูห้องให้เดช็องเข้ามา แถมเป็นการเข้ามาทั้งที่ริมฝีปากเราแทบไม่แยกจากกันเลย ผมรู้สึกว่าแรงดึงดูดระหว่างผมกับเค้าดูมันจะมากมายเหลือเกิน รสจูบที่ร้อนแรง สองมือของผมสอดเข้าไปดึงรั้งศีรษะเค้าไว้แน่น

ผมแทบจะต่อต้านเค้าไม่ได้แล้ว แถมเราทั้งคู่เพิ่งจะดื่มกันมาด้วย ทุกสัมผัสที่เค้ามอบมา มันยิ่งตอกย้ำว่าผมโหยหาเดวี่ และคนตรงหน้านี้ก็ไม่ต่างจากเดวี่ที่ผมกำลังโหยหาเลยสักนิด เสื้อผมถูกถอดออกทั้งที่ตอนนี้เรายังเข้ามาถึงแค่โซฟา ในส่วนที่เป็นห้องดูทีวี ไม่นานนักเสื้อเชิ้ตที่เค้าสวมอยู่ก็ถูกถอดออกเช่นกัน ผมลากมือสัมผัสแผ่นอกที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแกร่งของเค้าอย่างลืมตัว

ริมฝีปากเค้าเริ่มเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นซอกคอของผม เค้ากัดเบาๆ ลงไปก่อนช้อนตาขึ้นมามองผมพร้อมยิ้มอย่างยั่วยวน ตอนนี้ผมเริ่มสัมผัสได้แล้วว่ามือของเค้ากำลังเริ่มคลืบคลานเข้าไปภายใต้กางเกงของผม แต่แล้วแวบนึงในหัวผมภาพของทีปกาก็ผุดขึ้นมา ผมรีบคว้ามือของเค้าไว้ไม่ให้ทำอะไรมากกว่านั้น แม้ความจริง เค้าจะกอบกุมส่วนนั้นของผมไปแล้วก็ตาม ผมรีบขืนตัวออกทันทีที่ได้สติ

“ผมทำไม่ได้”ผมบอกกับเค้าที่ดูมีสีหน้าไม่เข้าใจ ก่อนจะถอยห่างออกมาทรุดลงที่โซฟา ผมยกมือขึ้นกุมขมับตัวเอง นี่ทำไมผมไม่หยุดให้เร็วกว่านี้ ผมปล่อยให้มันเกือบจะเลยเถิดมาขนาดนี้ได้ยังไง

“ทำไมละ”เค้าจ้องมองมาที่ผมด้วยสายตาเว้าวอน เต็มไปด้วยความปรารถนา ผมต้องรีบหลบสายตาเบือนหน้าหนี เพราะกลัวจะยับยั้งตัวเองไม่ไหว

“คุณก็รู้คำตอบอยู่แล้ว”ผมตอบออกไปเสียงแผ่ว โดยไม่ได้หันไปมองเค้าอีก

“ ใส่เสื้อผ้าแล้วกลับห้องไปเถอะ ก่อนที่อะไรมันจะเกินเลยไปมากกว่านี้”ผมย้ำอีกครั้ง ไม่ใช่แค่กับตัวเค้า หากแต่ย้ำกับตัวเองด้วยว่าอย่าให้ทุกอย่างมันเกินเลยไปกว่านี้อีกเลย แม้ผมจะไม่ได้เป็นคนดีมากนัก แม้จะเคยมีอะไรกับคนที่รู้จักเพียงข้ามคืน แต่กรณีนี้มันไม่เหมือนทุกครั้ง ครั้งนี้ถ้าผมทำลงไปมันก็คือการแทงข้างหลังคนใกล้ตัว

“ผมแค่...”

“กลับไปเถอะ ผมขอร้อง”ผมรีบขัดจังหวะที่เค้าเดินเข้ามาหาและเหมือนกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ยิ่งเราอยู่ลำพังด้วยกันนานเท่าไหร่ ความยับยั้งชั่งใจของเราทั้งคู่มันมีแต่จะลดลง เค้าหยิบเสื้อของตัวเองมาใส่อย่างลวกๆ สายตายังคงจับจ้องมาที่ผม ไม่มีคำพูดใดๆ ระหว่างเราอีก

เสียงปิดประตูดังขึ้นให้ผมแน่ใจว่าเค้ากลับออกไปแล้ว ผมล้มตัวลงนอนที่โซฟายาว พยายามสงบสติอารมณ์ ไม่ให้เตลิดไปมากกว่านี้ แต่ความตึงเขม็งที่กางเกงก็ยิ่งทำให้ผมอึดอัด ผมล้วงมือเข้าไปภายใต้กางเกงของตัวเอง ก็สัมผัสได้ถึงความร้อนที่เต็มไปด้วยความต้องการของผมเอง

“ฟู่”ผมพ่นลมหายใจยาว ลุกขึ้นก้าวเดินเข้าห้องน้ำ เพื่อจัดการปลดเปลื้องอารมณ์ของตัวเอง และยอมรับอย่างไม่อายเลยว่าในจินตนาการของผมเต็มไปด้วยภาพร่างเปลือยเปล่าของคนที่เพิ่งออกจากห้องผมไป เพียงไม่นานผมก็ปล่อยน้ำสีขาวขุ่นออกมาเปรอะไปทั่วพื้น หอบหายใจจนต้องใช้มือยันผนังเอาไว้

ผมชำระล้างร่างกาย เปิดน้ำที่เย็นเฉียบ หวังให้สายน้ำดับความร้อนรุ่มทั้งกายและใจของผมในตอนนี้ ผมใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำกว่าชั่วโมง จนเริ่มรู้สึกหนาวจึงออกจากห้องน้ำมา ผมพยายามไม่คิดอะไรอีก ตอนนี้ผมล้าเกินกว่าจะครุ่นคิดอะไรอีกแล้ว หลังเช็ดตัว สวมเสื้อคลุม ล้มตัวลงนอน ไม่นานนักผมก็ผล็อยหลับไป

“ตี 4”ผมงัวเงียหยิบโทรศัพท์มือถือมาจ้องดู สายตาพยายามปรับให้ชินกับแสงจ้าที่หน้าจอ แล้วจึงค่อยๆ ควานหาสวิตซ์ไฟที่หัวเตียง ผมขยับตัวขึ้นกึ่งนั่งกึ่งนอนเอนหลังพิงกับหัวเตียง ตื่นมาตอนนี้ให้นอนอีกก็คงไม่หลับแล้ว ผมตัดสินใจลุกอาบน้ำแต่งตัว เก็บกระเป๋า กะว่ากลับกรุงเทพฯ ตั้งแต่ตอนนี้เลย

“ฝากโน้ตไว้หน่อยนะครับ”หลังจากเตรียมตัวพร้อมผมก็ทิ้งข้อความไว้กับรีเซปชั่นฝากถึงทีปกาว่าผมจะกลับเข้ากรุงเทพฯ ก่อน ผมกดปิดปิดเครื่องโทรศัพท์ เพราะไม่อยากติดต่อใครสักพัก วันนี้ยังเป็นวันหยุดของผมอยู่ เอาเข้าจริงคนที่ผมยังไม่พร้อมคุยก็คือสองคนที่มาพร้อมกันกับผมนี่แหละครับ ราวๆ 2 ชั่วโมงกว่าผมก็ถึงที่หมาย

“ผมควรทำยังไงดีครับยาย”ผมนั่งลงข้างๆ ที่เก็บอัฐิของยาย ผมล้าเกินกว่าที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา ผมรู้ รู้ว่าวันนึงไอ้ที่ผมพยายามเลี่ยงมันจะต้องเกิดขึ้น เพียงแต่ผมไม่รู้ว่ามันมีผลอะไรตามมาบ้าง ผมชันเข่าขึ้นฟุบหน้าลงไป ผมหลับตาลง รู้สึกอยากให้การลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วผมไปโผล่ที่อื่น ผมยังคงนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาผมจึงเงยหน้าขึ้นมอง

“เจริญพรเถอะโยม”เป็นหลวงตาที่เดินเข้า และกล่าวรับการไหว้ของผม

“โยมต้องเข้าใจ ว่าจิตที่อาฆาตโยมไม่ได้มีเพียงหญิงสาวคนนั้นคนเดียว แต่ยังมีอีกหลายดวงจิตที่โยมได้เคยทำร้ายเขา ทุกอย่างมันกำลังปรับสมดุลในตัวของมันอยู่ โยมเคยเข่นฆ่าชิงทรัพย์ โยมก็ได้รู้แล้วว่าหากโยมถูกกระทำเสียเองโยมจะรู้สึกอย่างไร หรือโยมเคยพรากคนที่เขารักกัน โยมก็คงทราบดีว่าการสูญเสียมันเป็นเช่นไร”ผมค่อยๆ คิดตามที่หลวงตากล่าว

เหตุการณ์ที่ทำให้ผมได้รับรู้เรื่องราว ผมโดนแทกซี่ปล้น เกือบเอาชีวิตไม่รอด ผมสูญเสียคนที่รักผมที่สุดอย่างยายไป ผมไม่เคยรู้สึกว่าได้รับความรักจากพ่อและแม่ รวมไปถึงผมไม่สามารถมีคนรักที่จะมาเป็นคู่ชีวิตของผมได้เลย

“แล้วผมต้องอยู่แบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนครับหลวงตา”ผมเอ่ยถามอย่างเลื่อนลอย

“ตอนนี้โยมรู้สึกยังไง เป็นทุกข์ใช่ไหม”ผมตอบรับในสิ่งที่หลวงตาเอ่ยถาม เพราะตอนนี้ชีวิตผมมันก็เหมือนจะเต็มไปด้วยความทุกข์เสียหมดทุกอย่าง

“ทุกข์ คือสิ่งทุกดวงจิตที่อาฆาตโยมอยู่ ต่างต้องการให้โยมประสพพบเจอ แต่เวรมันไม่ได้ถูกระงับด้วยการจองเวร นั่นหมายความว่าเมื่อใดที่ดวงจิตเหล่านั้นยอมอโหสิกรรมให้โยม วันนั้นยอมก็จะหลุดพ้นจากความทุกข์ แต่หากโยมไม่สามารถทำให้ดวงจิตเหล่านั้นลดแรงอาฆาดลงได้จนชั่วชีวิตของโยม โยมก็จะต้องทนทุกข์ใจเช่นนี้ไปตลอดชีวิต”ผมเข้าใจในสิ่งที่หลวงตาพูดนะครับ เพียงแต่ผมเองยังมองไม่เห็นหนทางไหนเลยที่ผมจะแก้ไขอะไรได้

“โยมอยากบวชไหม”คำถามของหลวงตาทำให้ผมแปลกใจ หรือนี่คือวิธีที่จะช่วยไขปัญหานี้ให้กับผม

“แต่ถ้าโยมจะบวช จงอย่าคิดที่จะใช้การบวชเพื่อบรรเทาสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับโยม อาตมาอยากให้โยมมาบวชด้วยจิตศรัทธา มาด้วยดวงจิตที่บริสุทธิ์ ไม่ใช่จิตที่เต็มไปด้วยความไม่สงบ”หลวงตาบอกเท่านั้นก็เดินจากผมไป ทุกครั้งหลวงตามักจะบอกใบ้ผมเป็นนัยๆ เสมอ แต่ครั้งนี้ผมว่าหลวงตาบอกกับผมตรงๆ เป็นครั้งแรก ซึ่งคงเพราะหลวงตาก็ทราบว่ามันแทบเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับผม ที่ทำผิดศีลแทบจะทุกอย่าง แล้วจะให้มาอยู่ในศีล อีกอย่างหากผมมาโดยไม่ได้มีจิตศรัทธาอย่างที่หลวงตาบอก มันก็คงเป็นแค่การมาบวชที่สูญเปล่า

“คุณมาได้ไง”ทันทีที่ผมเดินกลับมาที่จอดรถ ก็พบว่าอีกคนมายืนรอผมอยู่แล้ว ใบหน้าเค้าดูอิดโรยเหมือนคนไม่ได้นอน แววตาดูมีแต่ความสับสน

“คุณทำอะไรกับตัวผม”เค้าไม่ได้ตอบคำถามผม แต่ตั้งคำถามกับผม ซึ่งก็เหมือนเป็นคำถามที่เค้าเองก็ไม่ได้ต้องการคำตอบ เหมือนแค่ถามออกมาลอยๆ และกลายเป็นผมเองที่ข้องใจกับคำถามนั้น เพราะผมเองก็คิดว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรเค้า นอกจากที่ผมปฏิเสธเค้าเมื่อคืน และมันก็ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เค้ากำลังถาม ผมไม่ได้ตอบอะไร ทำเพียงเดินเข้าไปยืนพิงกับรถข้างๆ เค้า

“ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกเสน่ห์มนต์ดำ หรืออะไรพวกนั้น”เค้าเริ่มเล่าโดยที่สายตายังมองตรงไปข้างหน้า ไม่ได้หันมามองผม รอยยิ้มจางๆ ของเค้าผุดขึ้นอย่างฝืนๆ

“ทั้งที่เราเพิ่งรู้จักกันไม่นาน ผมรู้จักคุณแค่ผิวเผิน แม้จะลองหาข้อมูลเกี่ยวกับตัวคุณมากเท่าไหร่ ผมก็ยังไม่รู้สึกว่ามันคือตัวคุณเลย แต่ยิ่งได้เจอ ได้พูดคุยกับคุณ ผมกลับยิ่งควบคุมตัวเองไม่ได้ ความรู้อยากครอบครอง อยากเป็นเจ้าของ อยากให้คุณต้องการผม มันโถมกระหน่ำเข้ามาจนผมแทบจะลืมทุกเหตุผล หรือความถูกต้องไปเสียหมด”ยิ่งฟังผมก็ยิ่งรู้สึกผิด แม้ผมจะไม่แน่ใจนักว่าสาเหตุที่เค้ามีความรู้สึกเช่นนี้มันมีสาเหตุมาจากเรื่องไหนกันแน่

แต่ผมก็พอจะเดาได้ว่ามันคงจะมาจากอย่างใดอย่างหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับผมนี่แหละ อย่างแรกคือผมเป็นคนเป็นคนดึงเดวี่ ซึ่งก็คือเดช็องนี่แหละเข้ามามีบ่วงกรรมร่วมกับผม หรือไม่นี่ก็อาจเกิดจากแรงอาฆาตของปราง ที่อยากให้เรื่องนี้มันเกิดขึ้น

“รู้ไหมว่าทำไมผมถึงคบกับทีปกา”เค้าหันมามองผม ผมก็ได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธ แม้พอเดาได้ว่าเค้าคงรู้จักกันตอนที่ทีปกาไปเรียน ที่ฝรั่งเศสนั่นแหละครับ

“ตอนเด็กๆ ผมมักจะฝันถึงเรื่องราวแปลกๆ เสมอ ผมฝันเห็นสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ผู้คนที่แตกต่าง ในฝันผมมักจะเล่นอยู่กับเด็กคนนึง เล่นด้วยทั้งๆ ที่ในฝันนั้น_ภาพใบหน้าของเค้าจะไม่ชัด จนวันนึงในฝันของผมก็ มีผู้หญิงอีกคนนึงที่เข้ามา”ผมแทบไม่ต้องคาดเดาความฝันของเค้าเลยว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง หรือเด็กผู้หญิงคนนั้นหมายถึงใคร

“ทั้งสองคนเติบโตในความฝันไปพร้อมๆ กับผม จนวันนึงผมได้เจอกับทีปกา และเธอเหมือนกับผู้หญิงที่อยู่ในฝันของผม แถมพอได้พบเธอผมก็ไม่ฝันถึงเรื่องราวนั้นอีกเลย”ผมยังคงรับฟังเงียบๆ ไม่ได้แสดงความเห็นใดๆ ออกไป แต่ผมเริ่มคิดว่าแล้วในฝันของเค้า ชื่อของเค้าจะคือเดวี่หรือเปล่า

“แล้วความทรงจำเกี่ยวกับความฝันของผมมันก็ค่อยๆ เลือนหายไป แต่สิ่งที่ติดค้างในใจผมกับเป็นคนๆ นึง คนที่ผมก็ไม่รู้ว่าเค้าคือใคร รู้เพียงแต่ว่า ผมต้องหาเค้าให้เจอ”ถ้าผมต้องเป็นทุกข์ มันก็ควรจะเป็นผมคนเดียวหรือเปล่าที่รู้สึกเช่นนั้น แล้วทำไมคนข้างๆ ผมนี้ต้องมาเป็นทุกข์ด้วย ทั้งที่เค้าไม่ได้ผิดอะไร

“จนในที่สุด คุณก็เข้ามา”เค้าหันมามองที่ผม แต่ผมก็ยังคงยื่นนิ่ง ไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา

“ผมพยายามปฏิเสธที่จะยอมรับเรื่องนี้หลายต่อหลายครั้ง สุดท้ายผมก็ทำไม่ได้”มือผมถูกกุมไว้ด้วยมือหนาของเค้า ผมไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด แต่ในใจของผมตอนนี้มันก็สับสนเหลือเกิน ผมรู้ว่าไม่ว่าผมจะเลือกไปทางไหน เรื่องราวมันก็คงยังไม่จบลงอยู่ดี

“ผมขอโทษ”ขอโทษที่ทำให้เค้าเข้ามาเกี่ยวข้องกับวังวนนี้ ผมว่าถ้าผมไม่ปล่อยให้ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งเกิดขึ้นกับเดวี่ เดช็องในตอนนี้อาจจะไม่ต้องมาทุกข์ใจแบบนี้ก็เป็นได้

“ไม่ต้องขอโทษ แค่คุณบอกกับผมทีว่าคุณก็รู้สึกเช่นเดียวกับผม”รู้สึกอย่างนั้นเหรอ ผมจะตอบเค้าได้ยังไงในเมื่อผมเอง ยังตอบตัวเองไม่ได้เลย อีกอย่าง ถ้าผมตอบรับเค้าไปตอนนี้ ทุกอย่างมันจะดีขึ้นเหรอ ผมว่ามันน่าจะยิ่งแย่ลงทุกฝ่าย ทั้งผมและเขา หรือแม้แต่ทีปกาก็ด้วย

“ผมทำไม่ได้ ผมขอโทษแต่ผมทำไม่ได้จริงๆ เราควรเป็นแค่เพื่อน หรือแค่คนที่ทำธุรกิจร่วมกัน”ผมถอนหายใจยาว หลังบอกออกไป ผมค่อยๆ แกะมือของเค้าออก

“คุณเข้าใจที่ผมพูดใช่ไหม”ผมย้ำกับเค้าอีกครั้ง แม้จะมั่นใจว่าเค้าก็รู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้ปัญหามันอยู่ที่ตรงไหน

“แล้วถ้าผมเลิกกับทีปกาละ”






TBC

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 19
บทบาทใหม่




“แม่ก็บอกแล้ว ว่าให้พักผ่อนไม่ต้องรีบไปทำงานก็ไม่เชื่อ”วันนี้ผมกลับมาทานข้าวที่บ้าน และตัดสินใจเอาอาการวูบของผมมาใช้เป็นเหตุผล ที่จะหยุดพักการทำงานชั่วคราว แม้ผมจะเริ่มรู้แล้วว่าอาการที่เกิดกับผมอาจมีสาเหตุมาจากปราง ซึ่งแน่นอนว่ามันคงไม่มีอันตรายอะไรมากนัก แต่ผมก็ไม่ทราบนะครับว่าปรางจะสามารถทำอะไรได้อีกบ้าง หากผมเลือกที่จะไม่เล่นไปตามเกมของเธอ ใช่แล้วครับ ผมตั้งใจที่จะตัดทีปกาและเดช็องออกจากชีวิต การที่ผมไม่ต้องทำงานร่วมกับทั้งคู่อีก มันก็ไม่น่าจะมีความจำเป็นอะไรที่ผมต้องพบเจอกับทั้งสองคนอีก

“แต่ถ้ามีอะไรที่อยากให้ผมช่วย ก็บอกนะครับ”ผมหันมองผู้เป็นพ่อที่ดูไม่ได้ยินดียินร้ายใดๆ กับสิ่งที่ผมพูดมากนัก อาการเฉยชาที่ผมรู้สึกว่ามันกลับมาฉายชัดอีกครั้ง ต่างจากช่วงแรกๆ ที่ผมฟื้นขึ้นมา

“แล้วนี่หลักๆ จะอยู่ที่บ้านนี่หรืออยู่คอนโดล่ะ”ผู้เป็นพ่อถามเสียงเรียบโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองผมแต่อย่างใด

“ผมว่าจะไปปฏิบัติธรรมสักพักนะครับ”ทั้งสองเงยหน้าขึ้นมามองผมอย่างไม่ค่อยเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน แต่นี่คือสิ่งที่ผมตัดสินใจแล้ว ผมอาจจะใจยังไม่สงบพอขนาดจะบวชพระ แต่ผมว่าผมพอจะไปนุ่งขาวห่มขาวรักษาศีลได้บ้าง

“แล้วจะไปที่ไหนยังไงละลูก”แม่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง และส่งยิ้มมาให้ผม แม้มันจะยังไม่เท่ารอยยิ้มที่ตอนผมอยู่ในร่างปราชได้รับตอนนั้น แต่แค่นี้มันก็ดีมากแล้ว

“คงเป็นที่วัดที่ยายอยู่แหละครับ ส่วนจะไปเมื่อไหร่ ยังไงผมคงไปปรึกษาหลวงตาที่วัดอีกครั้งครับ”ผมบอกไปคร่าวๆ เพราะผมก็เพิ่งตัดสินใจ ยังไม่ได้มีการเตรียมอะไรที่เป็นทางการ

“แล้วทำไมไม่บวชให้เป็นเรื่องเป็นราวไปเลยละ อายุอานามก็ไม่น้อยแล้วหรือติดขัดตรงไหน”ใจนึงผมก็อยากทำอย่างที่พ่อถามมานะครับ แต่การบวชผมว่าถ้าจะให้ได้ผลบุญหรือกุศลจริงๆ จิตใจผมควรจะพร้อมมากกว่านี้

“เอาไว้ให้สุขภาพผมปกติมากกว่านี้อีกหน่อยจะดีกว่าครับพ่อ แล้วการบวชมันก็คงเป็นเรื่องใหญ่ ยังไม่อยากให้วุ่นวายกันมากนะครับ”

บ่ายวันต่อมาผมตั้งใจจะออกมาหาซื้อชุดขาว สำหรับใส่ไปปฏิบัติธรรมตามที่ตั้งใจเอาไว้ ผมขับรถมาเรื่อยๆ สมองก็คิดอะไรไปตามเรื่องราว จนสุดท้ายผมก็ขับรถเลยห้างสรรพสินค้าที่ตั้งใจไว้ แล้วสายตาผมก็พลันเห็นตลาดหรือชุมชนอะไรสักอย่าง ที่มีแรงดึงดูดแปลกๆ บางอย่าง ผมเลี้ยวรถเข้าไปจอดโดยที่ไม่เข้าใจตัวเอง

“หาอะไรคะ สอบถามได้ค่ะ”เสียงแม่ค้าต่างส่งเสียงเชื้อเชิญผม เมื่อผมเดินผ่าน แต่ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมกำลังหาอะไรอยู่ ขาผมก้าวเดินเหมือนมีคำสั่งอัตโนมัติ ผมเดินเหมือนมีจุดหมายทั้งที่ความจริงไม่ได้มีจุดหมายอะไรเลย ผมเดินไปเรื่อยๆ จนพ้นจากแผงร้านค้าต่างๆ สายตามองเข้าไปในตรอกแคบๆ ที่มันดูไม่มีอะไร แต่กลับดึงดูดความสนใจสายตาของผม

“คิดว่าหักหลังพวกกูแล้วทุกอย่างจะจบลงง่ายๆ เหรอ”เสียงตะคอกที่ดังออกมาจากในตรอกนั้น ทำให้ขาผมหยุดชะงัก แต่เพียงไม่นานก็เหมือนกับว่าคนที่มีปัญหากันอยู่ในตรอกนั้นกำลังจะออกมาด้านนอก เพราะเหมือนจะมีเสียงฝีเท้ากำลังวิ่งและเสียงนั้นใกล้ผมเข้ามาทุกที

“จับมัน อย่าให้มันหนีไปได้”โดยที่ผมไม่ทันจะตั้งตัวผมถูกคนที่วิ่งออกมานั้นชนอย่างแรงจนล้มกระแทกเข้ากับกำแพง ส่วนคนที่ชนผม เค้าหันกลับมามองผม ซึ่งนั่นทำให้ผมตกใจไม่น้อย เพราะคนๆ นี้ใบหน้าของเค้ามันแทบไม่ได้ผิดเพี้ยนจากโจรที่ฆ่าครอบครัวของปรางและปราช ซึ่งในตอนนั้นมันคือผม แล้วคนตรงหน้าผมตอนนี้คือใครกันละ ในเมื่อผมเองก็ไม่ได้อยู่ในร่างนั้น

“คุณหลบไปเซ่”เสียงตะโกนก่อนที่เค้าจะพุ่งเข้ามาหาผม ด้วยความที่มัวแต่มองเค้าอยู่จนลืมดูว่าเหตุการณ์รอบๆ ตอนนี้เกิดอะไรขึ้น

“ปัง ปัง ปัง”นั่นคือเสียงที่ผมได้ยินก่อนที่ทุกๆ อย่างจะค่อยๆ ดับลงไป หลงเหลือเพียงความมืดมิดและเงียบจนน่ากลัว ผมยังคงรู้สึกตัวอยู่ เพียงแต่ตอนนี้รอบๆ ตัวผมเหมือนจะมีแค่ความว่างเปล่า

“เจ้าจะได้ไปอยู่ในที่ที่เจ้าควรอยู่”เสียงเย็นยะเยือกกระซิบที่ข้างหูของผม ผมหันไปตามเสียงนั้น แต่แล้วก็เหมือนกับว่าผมโดนกระชากอย่างแรง

“ชีพจรกลับมาแล้วค่ะ”เสียงที่ไม่คุ้นเคยส่งเสียงมาให้ผมได้ยิน จากนั้นอยู่ๆ ผมก็ขยับไม่ได้ พยายามลืมตาขึ้น แต่ยิ่งพยายามก็ยิ่งทำไม่ได้ ผมว่าตอนนี้มันเริ่มจะคล้ายกับตอนที่ผมจะฟื้นกลับมาในร่างของผมเองหรือเปล่านะ แต่ทำไมผมสัมผัสไม่ได้เลยว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกับผม เมื่อฝืนต่อไปไม่ไหว ผมจึงค่อยๆ หลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า

ผมไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานแค่ไหน หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวผม ผมจำได้แค่ว่าตัวเองไปอยู่ในตรอกเล็กๆ ที่คงมีกลุ่มคนซึ่งกำลังมีปัญหากัน และผมก็พบคนๆ นึง ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก พยายามปรับสายตาให้คุ้นชินกับแสงสว่างที่แยงตา พยายามจะขยับตัว แต่เหมือนตอนนี้ผมจะไม่อยู่ในสภาพที่เคลื่อนไหวได้ถนัดนัก จากความรู้สึกตอนนี้ ร่างกายผมน่าจะได้รับบาดเจ็บบางอย่าง

“หมวดฟื้นแล้วเหรอครับ”ผู้ชายในชุดเครื่องแบบตำรวจเดินมาทางผม แล้วพูดขึ้น

“คุณเรียกผมว่าอะไรนะครับ”ผมถามกลับอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก มันคงไม่ใช่อย่างที่ผมเคยเจอครั้งไปตื่นในร่างของปราชหรอกนะ ไม่น่าใช่เพราะสภาพที่เห็นรอบๆ มันยังไม่ได้หลุดไปในยุคอดีตหรืออะไรแบบนั้น

“อย่าเพิ่งพูดเลยครับหมวด เดี๋ยวผมเรียกพยาบาลก่อน”สรรพนามที่เค้าใช้เรียกผม ทำให้ผมยิ่งแปลกใจ แต่ด้วยความที่ขยับตัวได้ไม่มากนักผมจึงทำได้เพียงเก็บความสงสัยนั้นไว้ต่อไป ไม่นานนัก ไม่ใช่แค่พยาบาลที่คุณตำรวจไปตามเข้ามา แต่ยังมีคุณหมอตามเข้ามาดูอีกด้วย คุณหมอพูดคุยสอบถามอาการของผม และนั่นทำให้ผมมั่นใจแล้วว่า ผมคงโดนโชคชะตาเล่นงานอีกแล้ว นี่คงไม่ใช่ร่างของผมสินะ

“เจ้าจะได้อยู่ในที่ที่เจ้าควรอยู่”ประโยคที่จำได้ว่าผมได้ยินก่อนสติของผมจะดับไป หรือว่านี่คือสิ่งที่ปรางต้องการให้ผมได้มาสัมผัสอีกแล้วอย่างนั้นหรือ

“ผมชื่ออะไรครับ”คำถามของผมทำให้ทุกคนในห้องต่างหันมาจ้องผมเป็นตาเดียวกัน แน่นอนว่าทั้งคุณหมอและคุณตำรวจที่อยู่ตรงนี้ต่างตั้งคำถามกับผม แน่นอนว่าผมตอบอะไรไม่ได้อยู่แล้วเพราะนี่ผมกำลังจะต้องสวมบทบาทเป็นคนอื่นอีกครั้ง เหมือนเช่นที่ผมเคยต้องเป็นปราช

“หมวดป้องไม่ได้แกล้งใช่ไหมครับ”นายตำรวจที่ยังเหลืออยู่เอ่ยถามผมอีกครั้งอย่างไม่ค่อยเชื่อ เพราะตอนนี้คุณหมอเองก็มืดแปดด้านว่าผู้หมวดคนนี้ ที่โดนยิง และอาการหลังจากผ่าตัดแล้วก็ดูปกติดี จะกลายเป็นมีปัญหาด้านความทรงจำแทน

“ขอกระจกผมหน่อย”ผมไม่ได้ตอบคำถามของเค้า หากแต่กำลังจะคลายความสงสัยให้กับตัวเอง ว่าสิ่งที่ผมกำลังคิดมันถูกต้องหรือไม่

“หึ”ผมนึกสมเพชกับตัวเอง ภาพใบหน้าที่ผมเห็นในกระจกก็คือคนที่ผมคิดไว้ไม่มีผิด คนที่ครั้งนึงในอดีตคือโจร ปล้น ฆ่า คนอื่น แต่ตอนนี้กลับกลายมาเป็นนายตำรวจ หรือนี่จะเป็นชีวิตจริงๆ ที่ผมควรจะได้รับ แล้วคนๆ นี้คือใครกันละ ตอนนี้เค้าอยู่ที่ไหน หรือเค้าได้สลับไปอยู่ในร่างของผมแล้ว คำถามต่างๆ ผุดตามขึ้นมาอย่างมากมายในหัวผม

“คุณรู้จักผมดีแค่ไหน”ผมคืนกระจกให้กับนายตำรวจที่นั่งอยู่ ผมไม่แน่ใจว่าเค้าแนะนำตัวเองหรือยัง รวมไปถึงทำไมเค้าต้องมาอยู่ตรงนี้ ผมว่าอาจไม่ต้องรีบตั้งคำถาม เพราะอีกไม่นาน คำตอบต่างๆ คงค่อยทยอยออกมาให้ผมรับรู้ ผมคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ว่าหากผมเผลอตัวไปกับเดช็อง เรื่องมันยังจะกลายมาเป็นแบบนี้ไหม หรือที่ผมต้องมาอยู่ในร่างนี้เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว

“หมวดเคยบอกว่าผมก็เหมือนน้องชายหมวดคะนึงครับ”นายตำรวจหนุ่มบอกกับผม ประเมินแล้วก็คงอายุไม่น่าจะเกิน 25 ส่วนร่างกายที่นอนอยู่นี่ก็คงราวๆ 30 ต้นๆ

“เล่าเรื่องผมให้ฟังที เอาแบบละเอียดเท่าที่พอจะเล่าได้”นี่ผมต้องใช้ชีวิตในร่างนี้ไปอีกนานเท่าไหร่นะ แล้วร่างจริงๆ ของผมตอนนี้จะยังอยู่ดีหรือเปล่า

ผมฟังเค้าเล่าชีวิตเจ้าของร่างนี้เงียบ ผู้ชายคนนี้คือร้อยตำรวจตรี ปกป้อง สังกัดสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ซึ่งได้แฝงตัวเข้าไปเป็นพวกค้ายาเสพติดมาหลายปีแล้ว จนในที่สุดกลุ่มพ่อค้ายาก็เริ่มไหวตัวทัน แสดงว่าเหตุการณ์นั้นที่ผมบังเอิญเข้าไปเจอก็คงเกี่ยวกับเรื่องของขั้นตอนการทำงานสินะ

ในเรื่องของชีวิตส่วนตัว ผู้ชายคนนี้เป็นเด็กกำพร้าที่เติบโตมาในสถานเลี้ยงเด็กกพร้า ไม่ทราบแม้กระทั่งว่าใครเป็นผู้กำเนิด ชีวิตทั้งหมดตอนนี้ก็ทุ่มให้กับงานจนมองข้ามการมีคนรักหรือคู่ครองไปเลย

“คนที่คุณบอกว่าผมเอาตัวเข้าไปบังคับจนบาดเจ็บนั่น ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง”หลังจากที่เค้ากล่าวถึงอีกคน ซึ่งนั่นคือผมเอง ผมเลยถือโอกาสถามรายละเอียดเพิ่ม

“เห็นว่ายังไม่ฟื้นนะครับ ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้มีบาดแผลตรงไหน จะว่าศีรษะโดนกระแทกก็ไม่ใช่ แต่ผมบังเอิญได้ยินมานิดหน่อยว่า เหมือนเค้าสุขภาพไม่ค่อยดีนัก”ผมไม่ได้ถามอะไรอีกเพราะ เริ่มรู้ข้อมูลแล้ว รอให้ตัวผมที่อยู่ในร่างนี้ฟื้นตัวอีกสักหน่อยค่อยไปเยี่ยมตัวเองแล้วกันครับ เห็นว่าร่างของผมก็รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนี้เช่นเดียวกัน

“ก๊อกๆ”ทั้งผมและนายตำรวจอีกคนที่ผมยังจำชื่อเค้าไม่ได้ ต่างหันไปมองประตู เมื่อประตูเปิดออก ทำให้ผมรู้ว่าคนที่เฝ้าผม ไม่ได้มีแค่นายตำรวจที่อยู่ในห้องกับผม แต่ยังมีอีก 2 คนที่เฝ้าอยู่ตรงประตู แต่นั่นก็ไม่สร้างความประหลาดใจให้กับผม เท่ากับกลุ่มคนที่เดินเข้าห้องมา

“ไม่ต้องลุกหรอกครับ”ผมมองคนที่รีบบอกผม ไม่ให้ขยับตัว กลุ่มคนที่ผมกำลังพูดถึง ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกครับ พ่อแม่ผมเอง ตามด้วยทีปกา และเดช็อง ทุกคนดูมีสีหน้าเป็นทุกข์ไม่น้อยเลยทีเดียว ทำไมนะ ทำไมทั้งที่ความแค้นและผลกรรมมันควรมาลงที่ผมเพียงคนเดียว แต่นี่มันเหมือนทุกอย่างมันกระจายเป็นวงกว้างขนาดนี้

“พวกเราแค่เอากระเช้ามาเยี่ยม แล้วก็อยากจะมาขอบคุณผู้หมวดด้วยที่ช่วยชีวิตลูกชายพวกเราไว้”ผมไม่รู้ว่าควรจะตอบพวกท่านว่ายังไงดี คนที่ช่วยไว้จริงๆ ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน แล้วถ้าผมบอกความจริงออกไป จะมีใครเชื่อไหม

“แล้วอาการเค้าเป็นยังไงบ้างครับ”ตลกดีนะครับ ที่ต้องถามถึงอาการของตัวเอง แล้วยิ่งเห็นทั้งพ่อทั้งแม่เป็นทุกแบบนี้ ผมเองก็ยิ่งทุกข์ใจตามไปด้วย

“คุณหมอก็ว่าไม่มีอะไรน่าห่วงแล้ว เพียงแต่บอกไม่ได้ว่าจะฟื้นเมื่อไหร่”ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ ผมอยากจะปลอบ อยากบอกทุกคนว่าผมไม่เป็นอะไร แต่จะให้ผมพูดยังไงละ

“คุณพอจะทราบไหม ว่าวันนั้นเค้าไปทำอะไรที่นั่น”

“ไม่ทราบสิครับ”ผมตอบไปโดยไม่ได้คิด ตามความคุ้นชินที่เวลามีคนถามผมเป็นภาษาต่างประเทศ แล้วถ้าผมเองสื่อสารภาษานั้นได้ ผมก็จะตอบกลับไปด้วยภาษาเดียวกัน แล้วคนที่ตั้งคำถามเมื่อสักครู่ก็มองมาที่ผมด้วยแววตาที่มีความสงสัย เดช็องคือคนที่ถามผม ผมเองไม่รู้ว่าผู้หมวดคนนี้มีความสามารถอะไรบ้าง แต่คนอื่นๆ ก็ดูไม่ได้มีท่าทีสงสัยอะไร

“คุณพูดฝรั่งเศสได้”เดช็องตั้งคำถามเพิ่ม แต่ทีปกาเป็นฝ่ายดึงแขนปรามแฟนหนุ่ม จากนั้นไม่นานทั้งหมดก็ขอตัวกลับ เพื่อให้ผมได้พักผ่อน ผมว่าจากนี้ผมคงต้องมีอีกหลายเรื่องที่จัดการเสียแล้ว และคนเดียวที่จะให้คำแนะนำผมได้ก็คือ “หลวงตา”



TBC



ไม่รู้ยังมีใครอ่านเรื่องนี้ไหม
แต่ลงไว้แล้ว เดี๋ยวมาลงให้จบละกันนะคร๊าบ

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 20
เตือน





“ทำไมต้องคอยมีคนคอยเฝ้าผมตลอดเวลาขนาดนี้”แม้จะพอเดาออกว่าเป็นการรักษาความปลอดภัยให้ผม แต่ก็ไม่เคยมีใครพูดถึงรายละเอียด รวมทั้งหมู่กล้า นายสิบตำรวจที่อยู่กับผมมาตลอด 1 สัปดาห์นี้ ตอนนี้ร่างกายผมฟื้นตัวพอที่จะออกจากโรงพยาบาลแล้ว แต่ผมยังไม่ต้องกลับไปทำงานหรือผมอาจไม่สามารถกลับไปทำงานได้อีกเลยก็เป็นได้ เพราะผมไม่ใช่ผู้หมวดปกป้องตัวจริง

“ไม่ได้จะขู่ให้หมวดกลัวนะครับ แต่ตอนนี้หมวดกำลังเป็นที่ต้องการตัวของบรรดาบิ๊กๆ ในวงการค้ายา ค่าหัวหมวดตอนนี้ มันพุ่งไปจะ 8 หลักแล้วครับ”สิ่งที่ได้รับฟังแม้จะสร้างความประหลาดใจอยู่บ้าง แต่จะให้กลัว คงไม่กลัวแล้วละครับ อะไรจะเกิดก็คงต้องให้มันเกิด

“ผมไปเยี่ยมคุณปอนด์นะ”ผมตัดบท และบอกแบบเดิม จริงๆ ตั้งแต่ผมเริ่มฟื้นตัว ก็ไปห้องนั้นทุกวันแต่ผมจะพยายามไปช่วงกลางวัน หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับใครหลายๆ คน ผมเดินออกจากห้องบอกกับอีก 2 คนที่เฝ้าอยู่หน้าประตู ทั้งสองเดินตามผมเหมือนเป็นเรื่องปกติ ที่คนในโรงพยาบาลเริ่มคุ้นชิน

“อ้าวน้องป้อง นึกว่าวันนี้จะไม่มาแล้ว เห็นว่าจะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้วใช่ไหมคะ”เสียงทักทายของพี่พยาบาล เธอไม่ใช่ใครหรอกครับ เธอคือพี่เพ็ญที่เคยดูแลผม และครั้งนี้ที่บ้านผมก็จ้างเธอมาเป็นพยาบาลพิเศษเช่นเคย ทีผมมาที่นี่ทุกวันก็เพราะมาคุยเล่นกับพี่เพ็ญนี่แหละครับ

“แวะมาลาแหละครับ แต่ยังไงผมก็คงแวะมาเยี่ยมบ่อยๆ  เพราะงานก็ยังทำไม่ได้”ผมบอกออกไปติดตลก พี่เพ็ญหยุดหันมามองผมพร้อมเหมือนจะคิดอะไรบางอย่าง

“น้องป้องรู้ไหม ว่ายิ่งได้พูดคุยกับน้องป้อง พี่ยิ่งรู้สึกว่าน้องป้องเหมือนน้องปอนด์”ผมยิ้มแห้งๆ ส่งกลับไป พี่เพ็ญพูดกับผมแบบนี้หลายครั้งแล้ว แถมลามไปถึงพูดเรื่องนี้ให้คนอื่นๆ ฟังอีก แต่คนที่ดูจะสนใจแระเด็นนี้เป็นพิเศษ ก็คือเดช็อง นั่นทำให้ผมเลี่ยงที่จะต้องมาเผชิญหน้าเค้าที่นี่

“นี่พี่ก็หวังว่าน้องปอนด์จะไม่หลับยาวมากกว่าครั้งก่อนนะคะเนี่ย”ผมเองก็อยากตื่นมาในร่างของตัวเองเหมือนกันแหละครับ แต่ผมไม่รู้ว่าต้องทำยังไงถึงจะเป็นแบบนั้นได้

“เดี๋ยวก็คงฟื้นแหละครับ”ผมบอกออกไปแม้ไม่รู้ว่าจะยังมีวันนั้นจริงๆ อยู่ไหม ผมคุยกับพี่เพ็ญอีกสักพักก่อนจะขอตัวกลับ เพราะวันนี้ผมมีอีกหลายอย่างที่ต้องไปทำ

“ผมขอแวะที่นึงก่อนนะครับ”ผมแจ้งความต้องการกับนายตำรวจที่กำลัง จะพาผมไปส่งยังที่ปลอดภัย โชคดีที่จุดที่ผมต้องการจะแวะ มันเป็นทางผ่านของจุดหมายที่จะไปส่งผมอยู่แล้ว ไม่นานนักรถก็วิ่งเข้ามาจอดที่บริเวณวัด

“มาแล้วหรือโยม”คำทักทายที่ผมเองก็ไม่ได้ตกใจอะไร แม้ผมจะไม่ได้มาในรูปลักษณ์เดิม แต่หลวงตาก็ยังรู้ว่าผมคือใครแต่ตัวผมเองละ ตอนนี้จริงๆ แล้วผมคือใครกันแน่ หรือแท้จริงแล้วผมควรเป็นใคร

“ผมต้องทำยังไงครับหลวงตา เรื่องนี้ถึงจะจบเสียที”ผมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า ตอนนี้ผมเหมือนเริ่มรู้สึกเคว้งคว้างอีกครั้ง ตอนที่ยังไม่ได้มาเจอหลวงตา ผมก็ยังไม่รู้สึกอะไรมากนะครับ แต่พอมีคนที่รับรู้เรื่องนี้กับผมมันก็เหมือนความเข้มแข็งที่เคยพยายามจะสร้างไว้มันก็พังลง ผมแค่อยากมีใครสักคนที่เป็นหลักให้ผมยึดเหนี่ยว

“แบบไหนที่เรียกว่าจบกันละโยม”หลวงตาตอบกลับผมมาด้วยเสียงราบเรียบ ผมค่อยๆ คิดตามสิ่งที่หลวงตาบอก คำว่าจบมันคืออะไร หรือผมต้องจบชีวิตของตัวเอง แล้วชีวิตนั้นควรจบที่ร่างไหนกันละ

“ความจริงแล้วผมควรเป็นใครครับหลวงตา เป็นโจรบาป เป็นปราช เป็นปอนด์ หรือเป็นหมวดปกป้องคนนี้”ตอนนี้ผมเหมือนต้องมารับรู้ชีวิตของทั้ง 4 ชีวิต จนเริ่มจะสับสนไปหมดแล้วว่าแท้จริงแล้วผมควรเป็นใครกันแน่

“โยมก็คือโยมนั่นแหละ ดวงจิตของโยมมีเพียงดวงเดียว โยมก็น่าจะรู้คำตอบนิว่าโยมคือใคร เพียงแต่ความอาฆาตที่เขามีต่อโยมมันนำพาให้โยมต้องเจอวังวนเช่นนี้”วังวนอย่างนั้นหรือ นี่มันยังต้องวนเวียนอีกแค่ไหนกันนะ ผมยังต้องไปเผชิญกับอะไรอีก

“แล้วมันต้องเป็นแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่กันครับ”แม้พอจะรู้ว่าหลวงตาเองก็คงไม่ระบุอะไรที่ชัดเจนให้กับผม แต่อย่างน้อยหลวงตาก็คงมีคำตอบให้ผมไปคิดต่อได้

“ก็จนกว่าความอาฆาตนั้นจะหมดไป”คำตอบที่ได้มันช่างกว้างเหลือเกิน กว้างจนผมอดคิดไม่ได้ว่ามันอาจนานเทียบเท่ากับชีวิตผมเลยก็เป็นได้

“ผมยังจะได้กลับเข้าร่างเดิมของผมใช่ไหมครับ”ผมถามต่อในสิ่งที่ยังข้องใจ แต่ก็คิดว่าสักวันผมก็คงต้องไปตื่นขึ้นในร่างของตัวเองสักวัน แม้ไม่รู้มันจะเมื่อไหร่ก็ตามที

“โยมเป็นใคร ท้ายที่สุดโยมก็ต้องเป็นคนนั้น”คำพูดของหลวงตาทำให้ผมคลายกังวลไปได้บ้าง ว่าอย่างน้อยๆ ยังไงผมก็ยังจะได้กลับไปเป็นตัวเอง

“แสดงว่าผมยังจะได้กลับเข้าไปใช้ชีวิตเดิมของผม แล้วผมจะเปลี่ยนไปมาได้ยังไงกันละครับ”

“โยมเคยผ่านจุดนั้นมาแล้ว โยมน่าจะตอบตัวเองได้”จุดที่ผมผ่านมาแล้วอย่างงั้นเหรอ แรกเริ่มผมถูกทำร้ายจนเกือบจะเสียชีวิต ตื่นมาในร่างปราช พอปราชตาย “ตาย” งั้นเหรอ แสดงว่าผู้หมวดคนนี้ต้องตายอย่างนั้นหรือ

“เวลาของร่างกายนี้เหลือเยอะไหมครับ”ถ้าผู้หมวดคนนี้ต้องตาย หรือที่จริงเค้าอาจตายไปแล้ว เพียงแต่ผมเป็นคนมายื้อร่างกายนี้ไว้

“โยมยังอยากมาปฏิบัติธรรมอยู่ไหม”ผมไม่ทันได้ตอบคำถามของหลวงตา นายตำรวจที่มากับผมก็มาเรียกว่าถึงเวลาที่ต้องไปแล้ว แม้ผมจะขอเวลาอีกสักหน่อย แต่ก็เหมือนว่าผมจะไม่ได้อยู่ในสถานะที่ต่อรองอะไรได้

“หมวดต้องรีบไปที่เซฟเฮ้าส์แล้วนะครับ ตอนนี้สายรายงานว่าพวกมันเริ่มรู้การเคลื่อนไหวของเราแล้ว”นายตำรวจที่พาผมมา เรียกว่าคอยคุมตัวผมอาจจะเหมาะกว่า เข้ามาย้ำกับผม

“ครับ”ผมรับคำอย่างเสียไม่ได้ก่อนจะบอกลาหลวงตา แต่พอผมเดินออกมายังไม่ถึงรถ ชายหนุ่มที่ผมพยายามเลี่ยง หลบหน้าเค้าก็มุ่งตรงมาที่ผม นายตำรวจสองนายเดินเข้ามาขวางด้านหน้าผม

“ไม่เป็นไร เค้าน่าจะมีอะไรอยากคุยกับผม”ผมบอกทั้งสองคนก่อนจะเดินหน้าขึ้นมาเผชิญกับเค้า

“พอจะมีเวลาคุยสักนิดไหม”เค้าเริ่มบทสนทนากับผมด้วยภาษาฝรั่งเศส เหมือนหยั่งเชิงผมอยู่ในที เพราะดูเค้าเองก็มีความสงสัยในทักษะทางด้านภาษาของผมตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันในร่างนี้แล้ว

“น่าจะได้สัก 5 นาที”ผมบอกทั้งเค้าและหันไปบอกนายตำรวจที่ตามมาดูแลผมด้วย ผมผายมือให้กับเดช็องผู้ที่เข้ามาเจอผมให้เดินเลี่ยงออกมานิดหน่อย เผื่อว่าเค้ามีอะไรที่ไม่สะดวกจะคุยต่อหน้านายตำรวจอีก 2 คน

“ผมควรจะแปลกใจเรื่องที่คุณพูดฝรั่งเศสได้ หรือเรื่องที่คุณมาหาหลวงตาคนเดียวกับที่เค้าเคยมาดี”ผมว่าผมเข้าใจนะครับว่าเค้ากำลังหมายความว่ายังไง แต่ผมก็ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วแค่ลองหยั่งเชิงดูหรือปักใจในบางอย่างไปแล้วกันแน่

“ผมไม่เข้าใจที่คุณกำลังถาม”ผมตอบกลับไปเหมือนไม่รู้อะไร

“ตามประวัติคุณไม่ได้นับถือพุทธ ประวัติการศึกษาแม้คุณจะพูดได้หลายภาษา แต่ฝรั่งเศสไม่มีระบุว่าคุณพูดได้”นี่เค้าถึงขั้นสืบประวัติของคนๆ นี้เลยอย่างนั้นหรือ แล้วเค้าทำไปเพื่ออะไรกัน

“คุณทราบใช่ไหมว่าผมยังมีปัญหาด้านความทรงจำ”เค้าพยักหน้าว่านั่นเค้ารับรู้มาแล้ว

“ถึงผมจะตอบคุณไม่ได้ในสิ่งที่คุณสงสัย แต่ผมมั่นใจได้อย่างนึงว่า ประวัติผมที่คุณได้มามันอาจไม่ได้เป็นความจริงทั้งหมด อย่าลืมสิครับว่างานของผมคืออะไร”ผมยังตอบกลับไปด้วยท่าทีสบายๆ ผิดกับเค้าที่ดูเหมือนกำลังประเมินปฏิกิยาของผมอย่างละเอียด

“แล้วคุณมาที่นี่ทำไม”ตอนนี้เค้าเหมือนกำลังจะสอบปากคำผมซึ่งดูขัดกับสภานะของเราทั้งสองคนไม่น้อย ผมอยู่ในร่างตำรวจแต่กลับต้องมาโดนเค้าซัก

“ผมก็แค่ต้องการที่สงบๆ”ผมยังคงไม่ได้แสดงอาการใดๆ แต่ในใจลึกๆ ก็คิดนะครับว่าหรือผมควรลองคุยกับเค้าตรงๆ กับสิ่งที่ผมเผชิญอยู่ดี แต่ก็นั่นแหละครับ ผมเองก็ไม่รู้ว่าจริงๆ เค้าคิดยังไงกันแน่เค้าอาจจะแค่สงสัยอะไรบางอย่างแต่ถ้าผมพูดออกไปทั้งหมดเค้าก็อาจจะหาว่าผมบ้าก็เป็นได้

“แล้วทำไมคุณต้องเลือกวัดนี้”คำถามที่ดูเหมือนยังพยายามจับผิดผมอยู่

“ก็แค่ทางผ่าน”ผมยังคงตีหน้ามึนตอบแบบเดิมอย่างไม่สะทกสะท้านอะไร ทำให้อีกฝ่ายต้องถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย และเหมือนกำลังจะยอมแพ้กับสิ่งที่พยายามทำอยู่

“ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองนะว่าทำไมต้องมาหาคุณที่นี่ แต่ผมก็คงคิดถูกที่มาเพราะก็เจอคุณจริงๆ”ท่าทีเค้าเปลี่ยนไป เป็นการพูดสบายๆ แต่สิ่งที่เค้าพูดตอนนี้กลับทำให้ผมเริ่มแปลกใจขึ้นบ้างแล้ว ที่จริงทีแรกผมคิดว่าเค้าตามผมมาจากโรงพยาบาลด้วยซ้ำ แต่ถ้าเค้าไม่ได้โกหก เค้าเลือกจะมาเพราะได้รับรู้อะไรบางอย่าง

“คุณอยากจะบอกอะไรก็พูดมาตรงๆ เถอะครับ ผมมีเวลาไม่มากนัก”ผมรีบบอกกับเค้าเมื่อเห็นแล้วว่านายตำรวจอีกสองคนที่รออยู่ส่งสัญญานมาแล้วว่า ผมต้องไปแล้ว

“คุณไม่ต้องเชื่อผมก็ได้ แต่อยากให้คุณระวังตัวให้มากๆ”มือหนาของเค้าวางลงมาที่ไหล่ของผมพร้อมบอกด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

“ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาผมก็แทบจะเหมือนถูกเฝ้าตลอดเวลาขนาดนี้ อะไรมันยังจะเกิดอีกก็คงต้องให้มันเกิดแหละครับ แต่ยังไงก็ขอบคุณนะครับที่อุตส่าห์มาบอก ทั้งๆที่เราแทบไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ”ผมบอกเค้าก่อนจะส่งยิ้มจางๆให้และแกะมือเค้าออกจากไหล่ ผมหันหลังกลับจะเดินไปหานายตำรวจอีกสองคนที่รออยู่

“คุณเหมือนเค้า”เสียงพูดของเค้าทำให้ผมชะงักและหันกลับไปมอง

“ใครเหรอครับ”ผมถามย้ำ แม้จะพอคาดเดาได้ว่าเค้าก็คงหมายถึงผมหรือปอนด์นั่นแหละครับ แต่อะไรละที่ทำให้เค้าคิดว่าคนสองคนเหมือนกันทั้งๆ ที่หน้าตาไม่เหมือนกันเลย

“ผมคิดว่าคุณรู้ว่าผมหมายถึงใคร”เค้าจ้องมอง สบตามาที่ผมอย่างแน่วแน่จนผมต้องหลบสายตานั้น

“ผมก็คือผมแหละครับ และผมคงต้องไปแล้ว ขอบคุณอีกครั้งนะครับที่มาเตือน”ผมหันหลังกลับ แต่แล้วเค้าก็คว้าข้อมือผมไว้

“ผมอยากให้มันเป็นแค่ความฝัน แต่การที่ผมมาเจอคุณที่นี่แสดงว่ามันอาจจะไม่ใช่แค่ฝัน”ร่างผมขยับเข้าหาเค้าตามแรงที่ดึง จนกลายเป็นผมกลับไปยืนเผชิญหน้าเค้าห่างกันแค่ไม่กี่เซนต์ เค้าค่อยๆ โน้มหน้าลงมากระซิบที่ข้างหูผม

“ระวังคนที่อยู่ใกล้มากที่สุดนะ เด็กน้อย”




TBC

ออฟไลน์ cher7343

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1686
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-4
ตามอยู่ค่า ยิ่งอ่านยิ่งสนุก มาลงอีกนะคะ เอาเยอะๆด้วย ลุ้นใจจะขาด

ออฟไลน์ j123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 699
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-1
พึ่งเข้ามาอ่านรวดเดียว รีบมาอ่านตอนหน้านะคะ กำลังค้างเลย  :katai1: :pig4:

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 21
ใครกันที่เจ็บปวด




“เด็กน้อย” อย่างนั้นหรือ ทำไมเดช็องถึงใช้คำนี้ แม้จะพอคาดเดาจากสิ่งที่เค้าพูดหรือที่เค้าเคยพูดกับผมในฐานะปอนด์ก่อนหน้านี้ ก็คงหมายความว่าเค้าคงฝันเห็นบางอย่าง แต่นี่ในฝันของเค้ามันมีหมวดป้องคนนี้เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยอย่างนั้นหรือ

“ถึงแล้วครับหมวด หมู่กล้ามารออยู่ด้านในแล้ว หมวดเข้าไปได้เลยครับ”ผมกวาดสายตามอง ตึกเก่าๆ ที่อยู่ตรงหน้า นี่เรียกว่าเซฟเฮ้าส์เหรอ ผมว่านี่เหมือนอพาร์ทเม้นต์เก่าๆ เสียมากกว่า ผมลงจากรถเปิดประตูเข้าไปอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก

“ทางนี้ครับหมวด”หมู่กล้าเป็นคนเดินมารับผม ผมพยายามมองรอบๆ นี่ผมว่าที่นี่เหมาะจะเป็นแหล่งกบดานของพวกหนีคดีเสียมากกว่าจะมาเป็นที่หลบภัยให้ตำรวจนะครับเนี่ย แต่อย่างว่าถ้าหมวดปกป้องคนนี้เป็นสายลับอะไรพวกนั้นก็คงพอจะเข้าใจได้แหละครับ ผมเดินตามอีกคนไปเงียบๆ เพราะตอนนี้กำลังสนใจในคำพูดของเดช็องมากกว่า เค้ารู้อะไรมา หรือเค้าฝันแบบที่ผมเคยฝันตอนอยู่ในร่างปราช

“ขอโทษนะครับหมวด”ทันทีผมก้าวเข้าห้องและประตูถูกปิดลง ปากกระบอกปืนก็ถูกหันมาจ่อที่หน้าผากของผม ผมไม่ได้ตกใจสักเท่าไหร่ เพราะที่จริงเรื่องทักษะการป้องกันตัวหรือการควบคุมสติ ผมก็ผ่านการเรียนรู้มาบ้าง แต่นี่ไม่คิดว่าสิ่งที่เดช็องบอกกับผมมันจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้ ผมไม่ได้แสดงอาการใดๆ ออกไป ผิดกับคนที่หันปืนมาหาผมที่แสดงออกชัดเจนว่ามีความประหม่า

แม้ผมจะไม่รู้ระดับความสัมพันธ์ของคนตรงหน้ากับหมวดปกป้องว่าสนิทสนมกันขนาดไหน แต่ประเมินแล้วผมว่าคนตรงหน้านี่คงไม่ได้เต็มใจทำในสิ่งที่กำลังทำอยู่สักเท่าไหร่ แต่การที่เค้าเข้าใกล้ผู้หมวดคนนี้ได้มากที่สุด แน่นอนว่าคนที่ต้องการหัวของหมวดคนนี้คงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้นายตำรวจคนนี้ยอมร่วมมือด้วย

“ลงมือเลยสิ ผมรู้ว่าคุณไม่มีทางเลือก”ผมลองหยั่งเชิงดูว่าเค้าจำเป็นต้องทำเพราะถูกบังคับอย่างที่ผมคิดหรือเปล่า ที่ผมไม่ขัดขืนมันไม่ใช่เพราะว่าผมมั่นใจว่าเค้าจะไม่ลงมือจริงๆ หรอกนะครับ แต่ถ้าเค้าลงมือจริงๆ ผมว่าผมมั่นใจที่จะได้ไปตื่นขึ้นในร่างของตัวเอง

หมู่กล้าดูเหมือนว่าจะกำลังต่อสู้กับความรู้สึกภายในใจของตัวเองว่าจะตัดสินใจยังไง คาดว่าสิ่งที่เค้าต้องเลือกมันคงเป็นเรื่องของส่วนรวมและส่วนตัว ว่าเค้าจะเลือกฝั่งไหน

“คุณรู้ใช่ไหมว่ายิ่งคุณลงมือช้า ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสหลบหนีของผมมากขึ้น”ผมย้ำให้เค้ารีบตัดสินใจ ไม่ใช่เพราะกลัวตาย หากแต่ตอนนี้ผมกลัวว่าตัวเองจะพลาดโอกาส จบเรื่องนี้มากกว่า

“ผม...ผมทำไมได้”เค้าค่อยๆ ลดปืนลงพร้อมท่าทางหมดอาลัยตายอยาก

“ผมทำกับหมวดแบบนี้ไม่ได้...แต่ผมไม่รู้จะทำยังไง พวกมันขู่จะเอาชีวิตทุกคนในครอบครัวผม”มันยังไม่จบสินะ ชีวิตของผมในร่างของร้อยตำรวจคนนี้ยังต้องดำเนินต่อไปอีกเหรอเนี่ย ผมยืนนิ่งมองเค้าโดยไม่ได้พูดหรือแสดงความคิดเห็นใดๆ อีก

“หมวดรีบไปเถอะครับ พวกมันกำลังจะมาที่นี่แล้ว”ถึงเค้าจะไม่ได้อธิบายอะไรชัดเจน แต่ผมก็พอจะเดาได้แหละครับว่าพวกมันท่เค้ากำลังพูดถึงคือใคร นี่ถ้าไอ้พวกที่กำลังต้องการตัวหมวดปกป้องรู้ว่าแท้จริงแล้ว ผมที่อยู่ในร่างหมวดปกป้องตอนนี้ไม่ได้มีข้อมูลอะไรของพวกมันอยู่ในหัวเลย พวกมันยังจะอยากได้ชีวิตผู้หมวดคนนี้อีกไหม

“ผมหนีแล้วทุกอย่างมันจะจบหรือไง”ผมเตือนสติเค้า เพราะถ้าเค้าปล่อยผมหนี คิดเหรอครับว่าพวกมันจะไม่ทำอะไรเค้า หรือรังควานครอบครัวเค้าอีก ผมให้เค้าแจ้งเรื่องราวทั้งหมดให้ผู้บังคับบัญชาทราบ และตอนนี้ทั้งผมและเค้าก็คงอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว เค้าตามรถมารับเราทั้งคู่เพื่อนย้ายแหล่งซ่อนตัวใหม่

“หมวดว่ามันเงียบๆ แปลกๆ ไหมครับ”

“ปัง”เสียงปืนและลูกกระสุนที่เฉียดเราทั้งคู่ไปทันทีที่ก้าวขาออกจากห้อง คือคำตอบว่ามันแปลกหรือไม่แปลก ทุกอย่างมันเหมือนเกิดขึ้นเร็วมาก แต่ผมกลับมองเห็นทุกอย่างเป็นภาพสโลวโมชั่น กลุ่มผู้ชายชุดดำที่มีโม่งปิดหน้า โผล่ออกมาจากที่ซ่อนส่วนหมู่กล้า ก็คว้าแขนผมเพื่อจะดึงตัวกลับเข้าไปหลบในห้อง แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล เพราะเค้าหลุดเข้าไปเพียงคนเดียวโดยที่ร่างของผมไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย

“ลิ้มรสชาติของการสิ้นใจอีกสักรอบหน่อยเป็นไร”เสียงกระซิบที่ลอยเข้ามาพร้อมกับร่างที่ผมไม่อยากจะเจอสักเท่าไหร่โผล่มาประชิดตรงหน้าผม “ปราง” ผมหลุดปากเรียกชื่อเธอเสียงแผ่ว สองเท้าของผมถูกเหยียบไว้ด้วยเท้าของเธอ สองแขนผมถูกกางออกและตรึงไว้ด้วยแขนของเธอเช่นเดียวกัน

“อึ๊ก”ความรู้สึกเจ็บปวดแล่นเข้ามาอย่างรวดเร็วเมื่อลูกกระสูนฝังเข้ามาที่ขาซ้ายของผม รอยยิ้มสะใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของปราง เมื่อมีนัดแรก กระสูนนัดที่สองที่สาม ก็ตามมา ซึ่งทุกนัดดูเหมือนจะเข้าไม่ตรงจุดสำคัญ มันเลยสร้างแต่ความเจ็บปวกและทรมานให้กับร่างกายนี้เท่านั้น แต่ยังไม่ถึงแก่ชีวิต ยิ่งผมแสดงความเจ็บปวดออกมามากเท่าไหร่ รอยยิ้มบนใบหน้าของปรางก็ยิ่งชัดมากขึ้นเท่านั้น

“อีกนิด ทนต่ออีกนิดสิ เผื่อเจ้าจะได้เข้าใจความรู้สึกของคนที่เจ้าเคยปลิดชีวิตเขามากขึ้น”น้ำเสียงที่เคยเย็นชา แปรเปลี่ยนจนกลายเป็นความเกรี้ยวกราด ตะคอกมาที่หน้าของผม แต่ตอนนี้ผมว่าผมคงฝืนต่อไปไม่ไหวแล้ว มันทรมานเหลือเกิน ดวงตาของผมค่อยๆ ปิดลง ลมหายผมเริ่มติดขัดเหมือนคนกำลังจมน้ำ ผมพยายามดิ้นรน เพื่อจะโผล่ขึ้นพ้นน้ำแต่ดูมันจะไม่เป็นผลเลย ไม่นานนักทุกอย่างรอบตัวผมก็ดับลง


“คุณ คุณครับ”เสียงเรียกพร้อมความรู้สึกชาที่หน้า ทำให้ผมค่อยๆ ขยับตัวและลืมตาขึ้น แต่แสงสว่างที่ส่องมาทำให้ผมต้องหรี่ตาลง และได้รับรู้ว่าเหมือนผมกำลังอยู่ห้องโถงขนาดใหญ่ ใหญ่จนไม่รู้ว่าผนัง ประตู อยู่ตรงไหนเพราะมันมืดไปเสียหมด  มีเพียงสปอตไลท์ ที่ฉายลงมาตรงที่ผมและอีกคนอยู่เท่านั้นที่มีแสงสว่าง

“ทำไมคุณหน้าเหมือนผม”คำพูดนั้นควรจะเป็นของผม เพราะคนตรงหน้านี้เหมือนผมทุกตารางนิ้ว แต่กลับเป็นว่าเค้าคือคนทักเรื่องนี้ก่อนผม ผมมองไปรอบๆ อีกครั้ง พยายามเรียบเรียงปะติดปะต่อเรื่องราว ว่าผมเพิ่งผ่านอะไรมา สมองผมค่อยๆ ประมวลผล และเริ่มจำได้แล้วว่า นี่ผมคงตายจากร่างของร้อยตำรวจปกป้องแล้วสินะ ผมค่อยๆ คลำใบหน้าตัวเอง ก่อนจะเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าของคนตรงหน้า

“ความจริงมันคืออย่างนี้นิเองสินะ”ผมหัวเราะในลำคอ รู้สึกสมเพชในโชคชะตาของตัวเอง ส่วนอีกคนก็มีสีหน้าสงสัยในท่าทางของผมอย่างชัดเจน แน่ละเค้าจะไปเข้าใจได้ยังไงกัน

“ผมก็คือคุณ...คุณก็คือผม ชีวิตเรามันก็แค่อยู่กันผิดที่ผิดทาง”เค้าคงไม่เข้าใจในคำตอบของผม แต่สำหรับผมนี่คงเป็นคำตอบที่ผมหามาทั้งชีวิต คำตอบของคำถาม ว่าทำไมพ่อแม่ถึงทำเหมือนไม่เคยรักผม หรือทำไมผมถึงไม่เคยเจอความรักที่แท้จริง ที่สามารถเดินเคียงข้างกันไปได้อย่างถูกต้อง เพราะที่จริงแล้วชีวิตที่ผมควรได้รับในชาตินี้มันคือชีวิตที่มีชื่อว่าปกป้อง ส่วนคนตรงหน้าผมนี่ต่างหากที่ควรได้มาใช้ชีวิตของปอนด์หรือปณต

“เจ้าคงได้คำตอบแล้วสินะ”เสียงที่ผมคาดไว้อยู่แล้วว่าคงต้องมาปรากฏ ร่างของเธอค่อยๆ ฉายชัดขึ้นต่อหน้าเราทั้งคู่

“แต่น่าเสียดาย ที่พอรู้คำตอบที่เจ้าต้องการ เจ้าคงทำอันใดมิได้อีกแล้ว เพราะเวลาของเจ้ามันหมดลงแล้ว”หมายความว่ายังไงกัน นี่ร่างเดิมผมก็ตายแล้วอย่างงั้นเหรอ หรือว่าระหว่างที่ผมอยู่ในร่างหมวดปกป้อง ตัวหมวดเองก็ไปอยู่ในร่างผม แล้วตอนนี้เราทั้งคู่ก็เสียชีวิตแล้วมาอยู่ตรงนี้พร้อมกันงั้นเหรอ

“นี่ตกลงพวกคุณเป็นใคร แล้วพูดเรื่องอะไรกัน แล้วนี่มันคือที่ไหน ทำไมผมตื่นมาที่นี่ ช่วยอธิบายให้ผมเข้าใจหน่อยได้ไหม”อีกคนที่เหมือนจะยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถามออกมาอย่างหงุดหงิด พร้อมมองหน้าผมกับปรางสลับกันไปมา

“ปราชน้องรัก เข้ามาหาพี่สิ”น้ำเสียงอ่อนโยนที่เรียกอีกคนเข้าไปหา ช่างแตกต่างกับน้ำเสียงเวลาที่สื่อสารกับผมโดยสิ้นเชิง แต่แม้ว่าจะมีความอ่อนโยนขนาดไหน ก็ดูเหมือนจะไม่ได้รับความไว้เนื้อเชื้อใจจากคนข้างๆผมเลย

“ผมไม่ได้ชื่อปราช ผมชื่อปกป้อง แล้วผมก็ไม่มีพี่น้องด้วย”เค้าบอกอย่างหนักแน่นจนผมเริ่มแปลกใจ เพราะนึกว่าการที่เค้า มาอยู่ตรงนี้ แม้ทีแรกเค้าดูเหมือนจะไม่เข้าใจอะไรเลย แต่พอปรางออกมาแบบนี้ผมนึกว่าปรางจะทำให้เค้าเข้าใจทุกอย่างเสียอีก

“เจ้าคือปราช ปราชจำพี่ปรางคนนี้ไม่ได้รึ”ปรางยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความหวัง แต่สำหรับผม ผมว่าปรางจะมัวเสียเวลาอยู่ทำไมกัน เธอกำลังต้องการอะไรกันแน่

“ทำไมไม่ทำให้เค้ารับรู้เหมือนที่ทำกับผม”ผมพลั้งปากออกไปด้วยความรำคาญ

“หากข้าทำเช่นนั้นได้ ข้ามิรอให้โจรใจบาปหยาบช้าอย่างเจ้ามาชี้แนะข้าดอก”ทำไม่ได้อย่างนั้นเหรอ หมายความว่ายังไงกันในเมื่อเธอทำทุกอย่างกับผมได้ขนาดนี้ แต่ทำแบบนี้กับคนอื่นไม่ได้อย่างนั้นเหรอ

“คุณรู้ใช่ไหมว่านี่มันคือเรื่องบ้าอะไร”คนข้างๆ ผมดูเหมือนจะต้องการให้ทั้งผมและปรางไม่ใครก็ใคร คนใดคนหนึ่งช่วยอธิบายเรื่องราวตรงหน้านี้ให้เค้าทราบเสียมากกว่า

“ปราชมาหาพี่ จากนี้ไปเจ้าจะได้ชีวิตของเจ้าคืนแล้ว มาหาพี่สิ”ปรางก็ยังพยายามที่จะเรียกให้ผู้เคยเป็นน้องชายเข้าไปหา แต่สิ่งที่สะดุดหูผมคือที่เธอบอกว่า เค้าจะได้ชีวิตคืนมันหมายความว่ายังไงกัน

“หมายความว่ายังไง”ผมเอ่ยถามตามที่สงสัย

“น้องข้ายังต้องมีชีวิตอยู่ต่อ ต่างกับเจ้าที่ต้องอยู่เยี่ยงสัมภเวสี ไร้หลักแหล่ง รอเวลาเพื่อไปชดใช้กรรมอีกครั้งในภพหน้า”นี่เธอกำลังหมายความว่าอีกคนกำลังจะได้ชีวิตของผมไปอย่างนั้นเหรอ

“พอได้แล้วโยม”ยังไม่ทันที่ผมจะได้เข้าใจอะไร หลวงตาก็มาปรากฏขึ้นเสียก่อน ซึ่งดูเหมือนว่าปรางจะไม่พอใจกับการปรากฏตัวของหลวงตามนครั้งนี้สักเท่าไหร่

“ข้าจักทำอันใด ท่านก็มิควรมาห้ามข้ามิใช่รึ”น้ำเสียงที่อ่อนลง แต่ก็ยังแฝงไปด้วยความหมายที่แข็งขืน

“อาตมาจะไม่ห้ามในสิ่งที่โยมกำลังจะทำ แต่อย่าลืมนะว่าโยมเองนั่นแหละที่พยายามเข้ามาแทรกแซงการมีชีวิตของเขาทั้งคู่ จนทำให้ต่างคนต่างไปอยู่ผิดที่ผิดทางเช่นนี้ แล้วพอพวกเขามีชีวิตของเขาแล้ว โยมก็จะมาเปลี่ยนแปลงตามอำเภอใจเช่นนี้ โยมถามคนที่โยมเรียกเขาว่าน้องสักคำหรือยังว่าเขาต้องการหรือเปล่า”ปรางมีท่าทีสงบ แต่ก็ยังดูจะไม่คล้อยตามกับคำพูดของหลวงตามากนัก

“อาตมาจะไม่ขอบิณฑบาต แต่จะช่วยให้น้องชายของโยมได้รับรู้ในอดีตชาติของเค้า หากว่าเขารับรู้แล้ว เขายังยินดีที่จะมีชีวิตในทางที่โยมเลือกให้เขา อาตมาก็จะไม่ทัดทานใดๆ โยมอีก”พูดจบหลวงตาก็เดินเข้ามาหา ตรงที่เราสองคนยืนอยู่

“หลับตาสิโยม”ผมยืนมองสิ่งที่หลวงตากำลังทำ หลวงตาเพียงแค่แตะมือลงบนกระหม่อมของเค้า ไม่นานนักเค้าก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น มองมาที่ผมก่อนจะหันไปที่ปราง เค้าเริ่มก้าวช้าๆ ไปหยุดตรงหน้าปราง แล้วดึงร่างของปรางมากอดไว้ ไม่มีคำพูดใดๆ จากปากของทั้งคู่อยู่เป็นนาที

“พี่ข้า หยุดเถิด ถึงภพชาติก่อนน้องจะเป็นใคร แต่ในชาตินี้ข้าก็มีความสุขดีกับชีวิตที่ข้าได้รับมา แล้วพี่ละ การที่พี่ผูกใจอาฆาตเช่นนี้ พี่สุขหรือทุกข์”น้ำตาของปรางไหลอาบสองแก้ม แต่แววตาที่ไม่สู้จะเป็นมิตรก็ยังคงจ้องมองมาที่ผม

“แต่มันพรากชีวิตพ่อแม่เรา พรากชีวิตเรา มันไม่ควรมีชีวิตที่ดี”ปรางบอกทั้งน้ำตา และไม่ได้ละสายตาจากผมเช่นเดิม

“พี่เองมิใช่รึที่เลือกชีวิตนั้นให้กับเขา”คำพูดของปราชทำให้ปรางหยุดชะงักไป คำพูดนั้นเหมือนเป็นชนวนให้กับการเปลี่ยนแปลงระบบความคิดแค้นภายในจิตใจของปราง

“แล้วพี่ลองทบทวนดูอีกสักที ว่าแท้จริงแล้ว ดวงจิตของเราทั้งคู่มันออกจากร่างตั้งแต่เมื่อใด มันมิใช่ตั้งแต่เราจมน้ำด้วยกันนั้นหรือ”น้ำตาของปรางเหมือนยิ่งทะลักออกมา รวมทั้งอ้อมกอดของทั้งคู่ที่แนบแน่นขึ้น เหมือนกับว่าจากนี้ไปทั้งคู่จะไม่พรากจากกันอีก

“ทุกอย่างมันมีวัฏจักรของมันนะโยม ตัวโยมเองก็อาจจะถึงเวลาเข้าไปอยู่ในวังวนของการเวียนว่ายตายเกิดได้แล้วนะโยม”แววตาของปรางค่อยๆ อ่อนลง อ่อนลงจนเหลือแค่ความว่างเปล่า ภาพของปรางค่อยๆ จางหายไป ไม่ต่างจากปราชที่หันม่ส่งยิ้มให้ผมก่อนจะค่อยๆ เลือนหายไปเช่นกัน

“โยมก็คือโยม อาตมาเคยบอกโยมแล้ว”สิ้นคำพูดของหลวงตาผมเหมือนถูกกระชากจากก้นทะเลลึกขึ้นสู่ผิวน้ำ

“เฮือก”ผมลุกขึ้นสูดหายใจเข้าเต็มปอด แต่ก็ต้องชะงักเพราะสายระโยงรยางค์ ที่ติดตามตัว มือผมถูกยกขึ้นสัมผัสใบหน้า เพื่อที่จะรับรู้ว่านี่ผมตื่นมาในร่างของใคร แต่ใบหน้าของคนที่จ้องมองผมด้วยอาการตกใจระคนดีใจตรงหน้าก็ช่วยบอกกับผมว่าตอนนี้ผมคือใคร

“ว่าไง เด็กน้อย”




TBC

ออฟไลน์ TR

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
เป็นเรื่องที่เลื่อนผ่านไปผ่านมาหลายครั้ง
พอได้อ่านเท่านั้นแหละ อ่านยาวหยุดไม่ได้เลยค่ะ
ชอบทั้งปมเรื่อง การผูกตัวละคร การดำเนินเรื่อง รวมถึงภาษา อ่านแล้วไม่สะดุดเลย ชอบมากค่ะ
เนื้อเรื่องน่าติดตามทุกตอนเลย ชอบเรื่องนี้มากๆ
รอตามอ่านนะคะ

ออฟไลน์ tonnum18

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
พึ่งเข้ามาอ่านครั้งแรก  ยอมรับค่ะว่าพลาดอย่างแรงเลย
เพราะส่วนมาก หากเราอานชื่อเรื่องเดาว่าอาจอ่านแล้วหน่วงในจิตมาก เราจะเลี่ยงค่ะ  เพราะจะอินกับตัวละครมากเกินไป   อ่านแล้วชอบค่ะ  เนื้อเรื่องเราเดาไม่ถูก แต่ก็ไม่ได้รำคาญในเนื่อหานะค่ะ  แต่ยิ่งน่าอ่านและล่นไปกับปมที่ผู้เขียน ได้ลงในเนื้อเรื่อง  อ่านตอนนี้จบก็รอลุ้นตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
เป็นนิยายที่เราอ่านแล้วเครียดมาก คือไม่รู้เลยว่าเนื้อเรื่องจะเดินไปทิศทางไหน ปอนด์ต้องเจออะไรอีกบ้าง ทั้งความนึกคิดของตัวละครทุกตัว ไหนจะตอนที่ปอนด์เปลี่ยนไปเป็นคนโน้นคนนี้ รวมถึงว่าตกลงแล้วใครเป็นใครกันแน่อีก นี่อ่านไปแล้วงงมากนะบางที แต่ก็สนุกค่ะ ชอบการดำเนินเรื่อง คือที่บอกว่าอ่านแล้วเครียดเพราะเราพยายามที่จะคิดด้วยแหละว่าปมเรื่องมันคืออะไรมันเหมือนการคลายปริศนาน่ะคะ จะรอติดตามตอนต่อไปนะคะ ว่าแต่หมวดปกป้องนี่คือสรุปก็ต้องตายเหรอแอบเสียดายนะ

ออฟไลน์ SOMCHAREE

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-2
สนุกมากๆๆๆเลยค่ะ ติดตามนะค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 22
บทสรุป







ผมมองภาพขาวดำที่ตั้งอยู่ตรงหน้าอยู่ครู่นึง ก่อนจะ ก้าวผ่านไปวางดอกไม้จันทน์ในมือลงรวมกับของคนอื่นๆ ผมเพิ่งสังเกตว่าวันเดือนปีเกิดของเค้าที่ระบุอยู่ใต้รูปของเค้า มันคือวันเดียวกันกับวันเกิดของผม แต่ทุกอย่างมันคงจบลงแล้วสินะ ผมหันหลังกลับเดินออกจากตรงนั้น น้อยคนนักมนที่นี้ที่จะรู้จักผม เพราะคนส่วนใหญ่ที่มางานในวันนี้ก็มีแต่บรรดาข้ารรชการตำรวจทั้งสิ้น ส่วนผมก็มาในฐานะคนที่เค้าได้เคยช่วยชีวิตไว้ นั่นคือสิ่งที่บางคนรับรู้มา แต่ใครจะรู้ว่า แท้จริงแล้วเรื่องราวมันมีมากกว่านั้น

ผมเดินมาจนเจอกับนายตำรวจคนนึงที่คุ้นตา เค้ายืนสูบบุหรี่ด้วยท่าทางตึงเครียดอยู่เพียงคนเดียว ผมเดินตรงเข้าไปหยุดที่ตรงหน้าเค้า “หมู่กล้า” หันมามองผมด้วยความไม่เข้าใจ แน่ละว่าเค้าและผมไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว เค้าอาจรู้จักผมแค่เพียงว่า คือคนที่หมวดปกป้อง ช่วยชีวิตไว้ และไปเยี่ยมที่ห้องบ่อยๆ ตอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล

“คุณแข็งแรงดีแล้วใช่ไหมครับ นี่ถ้าหมวดยังอยู่ คงดีใจที่เห็นคนที่หมวดช่วยไว้ ปลอดภัยดีแล้ว”เค้าเป็นคนเปิดบทสนทนา แม้มันจะดูขัดๆ แต่เค้าก็คงพยายามรักษามารยาทเต็มที่แล้ว ตอนนี้สภาพจิตใจของเค้าคงไม่ได้พร้อมจะคุยกับผมสักเท่าไหร่

“คุณไม่ต้องโทษตัวเองหรอกครับ ที่ช่วยเค้าไว้ไม่ได้”เค้ามีแววตาประหลาดใจกับสิ่งที่ผมพูดไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะเรื่องที่เค้าอยู่ในเหตุการณ์วันที่หมวดปกป้องตาย คงแทบนับหัวคนที่รู้ได้ไม่กิน 10 นิ้วแน่ๆ อันนี้ผมคาดเดาจากหน้าที่การงานของทั้งคู่ ที่ดูน่าจะต้องคัดกรองข้อมูลภายในที่จะออกสู่สาธารณะอย่างเป็นพิเศษ

“ทำไมคุณถึงได้...”

“คนเรามีกรรมเป็นของตัวเองทั้งนั้นแหละครับ ไม่มีใครฝืนมันไปได้”ผมไม่เปิดโอกาสให้เค้าซักในคำพูดของผม เพราะมันคงง่ายกว่า หากเค้าจะนำไปคิดต่อด้วยตัวเอง ว่าแต่นี่ผมกำลังทำตัวเหมือนหลวงตาเข้าไปทุกทีหรือเปล่านะ ผมหยุดบทสนทนากับเค้าไว้เพียงเท่านั้น ก่อนจะเดินห่างออกมา

“ถ้าอยากเอาความรู้สึกผิดของตัวเองออกไป คุณก็แค่ทำตามความต้องการของหมวดเค้า ในเรื่องอะไรก็ตามที่มันยังค้างคาอยู่ หรือยังไม่สำเร็จ การที่คุณได้ทำอะไรแทนเค้า ผมว่าเค้าน่าจะดีใจนะครับ”ผมคัดสินใจหันหลังกลับไปบอกกับเค้าหลังเดินออกมาได้ไม่กี่ก้าว

“เด็กน้อยอยากไปไหนต่อหรือเปล่า”ทันทีที่ผมเดินมาถึงรถ คนขับรถส่วนตัวของผมก็เอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง แต่ผมไม่ค่อยมีอารมณ์จะเล่นกับเค้าสักเท่าไหร่ เพราะไอ้คำที่เค้าเรียกผม หรือการกระทำของเค้าช่วงนี้ มันส่งผลกระทบกับชีวิตของผมเหลือเกิน

“เลิกเรียกผมแบบนี้ได้แล้ว”ผมบอกกลับไปอย่างเคืองๆ ก็จะไม่ให้เคืองได้ยังไงละครับ เค้าเล่นเลิกกับแฟน และบอกจะมาจริงจังกับผม โดยไม่ได้ถามความเห็นใดๆ จากผมแม้แต่น้อย แถมยิ่งเค้าเข้าหาผม ความรู้สึกผิดที่ผมมีต่อทีปกาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น

“มันยากจริงไหมคะ ที่จะให้ทำใจยอมรับว่าคนรักของเรามีใจให้กับคนอื่น”คำพูดของทีปกาผุดขึ้นมาในหัวผม และมักจะดังติดต่อกันทุกครั้ง เวลาผมต้องอยู่กับเดช็องแบบนี้

“แล้วมันก็คงยากขึ้นไปอีกถ้าได้รู้ว่า คนที่เค้าไปมีใจให้กลายเป็นผู้ชายด้วยกัน”ทีปกาพูดกลั้วหัวเราะ เหมือนเย้ยหยันตัวเองอยู่ในที

“แต่ตรงที่มันยากที่สุดก็คือต้องมารับรู้ว่าคนๆ นั้นก็คือคุณ”ในวันที่เธอพูดประโยคนี้กับผมคือวันที่เธอมายื่นใบลาออก แม้ผมจะยังไม่ได้ทำอะไรเกินเลยกับเดช็องไปมากนัก แต่ผมก็ละอายเกินกว่าจะรั้งเธอไว้ หรืออยากรู้ว่าเธอจะเอายังไงกับชีวิตต่อ เพราะผมก็คงปฏิเสธความรู้สึกที่มีต่อเดช็องได้ไม่เต็มปาก

ผมไม่ได้เจอทีปกาอีกเลย หลังจากวันนั้นทราบข่าวอีกทีจากพี่เพ็ญก็เห็นว่าเธอ กำลังเตรียมตัวไปเรียนต่อที่ต่างประเทศอีกครั้ง และวางแผนอยากไปใช้ชีวิตในต่างแดนหลังจากเรียนจบ

“คุณไม่ถามเหรอว่าทำไมผมถึงเรียกคุณว่าเด็กน้อย”เค้ายังคงมีท่าทีสนุกกับการหยอกล้อผม ด้วยการเรียกผมแบบนี้ แต่สำหรับผม ผมก็มีเหตุผลของผมแหละครับที่ไม่อยากให้เค้าทำแบบนี้

“ผมไม่ได้อยากรู้นิ ผมแค่ไม่ชอบให้คุณเรียก”ผมบอกปัด เพราะเหมือนถึงผมไม่ถาม ตอนนี้เค้าก็อยากจะเล่าเต็มทีแล้ว เค้าเริ่มมีสีหน้าไม่ค่อยจะพอใจผมหน่อยๆ แล้ว ที่ผมพยายามขัดเค้า

“แต่ผมว่าคุณรู้อยู่แล้ว จริงไหมว่าทำไมผมเรียกคุณแบบนั้น”เค้าบอกเหมือนรู้ทันผมความคิดของผม ซึ่งก็จริงว่าผมเองก็คาดเดาไว้บ้างเหมือนกันนั่นแหละว่าเค้าคงเจอเหตุการณ์คล้ายๆ ผมบ้าง แต่คงไม่ถึงขนาดหลุดไปในร่างคนอื่นแบบผม

“เอาเป็นว่าคุณจะคิดยังไงก็ได้ แต่เลิกเรียกผมแบบนั้นเสียที”ผมยังย้ำคำเดิม ในเมื่อเรื่องราวทุกอย่างมันเหมือนจะจบลงไปแล้ว ผมก็ไม่อยากจะพูดถึงมันอีก ถ้าเป็นไปได้ผมไม่อยากมีภาพจำของชีวิตคนอื่น ที่ไม่ใช่ตัวผมเองเลย

“แล้วผมต่างจากเค้าตรงไหน ทำไมถึงเรียกคุณแบบเดียวกับเค้าไม่ได้”ดูเหมือนเค้าจะไม่ละความพยายามที่จะอยากเทียบเท่าอีกคนสินะ ผมก็พอจะสัมผัสได้แหละว่า เค้าอยากเป็นที่ยอมรับของผมมากกว่าเดวี่ แต่นั่นมันก็คือเค้าไม่ใช่รึไง ถ้าเค้าได้รับรู้ว่าแล้ว

“คุณก็คือคุณ ผมก็คือผม เราคือเราที่อยู่ตรงนี้ ตอนนี้ เพราะฉะนั้นอย่าพูดหรือทำอะไร หรืออยากเหมือนใครเลย”ผมย้ำกับเค้าอีกครั้ง เหมือนเพื่อเตือนตัวของผมเองด้วยว่าจากนี้ไป จะไม่มีเดวี่ ไม่มีปราช หรือใครอื่นอีกแล้ว

“ผมไม่รู้หรอกนะว่าความฝันต่างๆ ที่ผมฝันถึงในระยะหลังมันมาได้ยังไง แต่ตั้งแต่คุณฟื้นขึ้นมาผมก็ไม่ฝันอีกเลย ผมไม่รู้ว่าเดวี่ที่คุณเคยหลุดปากออกมา คือคนเดียวกับที่ผมเห็นในฝันไหม ไม่รู้ว่าอีกคนที่ผมเห็นมันคือคุณไหม ไม่รู้ว่าตำรวจคนที่คุณมางานศพเค้าวันนี้ เกี่ยวข้องกับคุณบ้างหรือเปล่า ผมไม่รู้อะไรเลยจริงๆ”ผมยืนนิ่งฟังสิ่งที่เค้าพูดออกมายืดยาว แววตาเค้าที่มองมา อ่อนลง เค้าเดินเข้ามาใกล้ๆ ผม

“รู้แค่ว่า ผมรักคุณ”เค้าบอกพร้อมโน้มตัว จรดริมฝีปากลงมาที่หน้าผากของผม แต่เป็นผมที่ขืนตัวออก เพราะนี่มันในวัด เค้าอาจจะไม่ถือ แต่สำหรับผมมันก็คงไม่เหมาะสักเท่าไหร่

“คุณแน่ใจได้ยังไงว่าคุณรักผม เราเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานเท่านั้นเอง”อย่างที่ผมเคยบอกว่า สำหรับผม มันแทบไม่รู้จักเลยว่าความรักมันคืออะไร ความรู้สึกที่เค้ามีต่อผม หรือผมมีต่อเค้ามันจะยืนยาวไปได้อีกนานแค่ไหน วันนึงถ้าผมทุ่มทั้งหมดไปที่เค้า แล้วเค้าไม่รู้สึกกับผมแบบเดิมแล้ว ผมจะรับความรู้สึกนั้นได้ไหม

“งั้นคุณบอกผมสิ ว่าคุณไม่ได้รู้สึกเหมือนผม ว่าเราคือคนที่ต่างคนต่างตามหา”รู้สึกสิ แม้ผมจะไม่รู้ว่านี่มันเรียกว่ารักจริงๆ หรือเปล่า แต่เค้าก็ไม่เหมือนใครทุกคนที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตผม

“ผมยังทำไม่ได้”มันไม่ใช่แค่การเปิดใจยอมรับเค้า ไม่ใช่แค่ผมจะรู้สึกไม่ถูกไม่ควรกับทีปกา แต่มันยังมีอย่างอื่นที่ผมกำลังคิดวางแผนจะทำ เพียงแต่ผมยังไม่ได้พูดเรื่องนี้กับใคร

“ผมรอได้”เค้าขยับเดินเข้ามาหาผมอีกครั้ง เอื้อมมือมากุมมือผมไว้ มองผมด้วยสายตาเว้าวอน แต่ผมไม่รู้ว่าจะผูกมัดเค้าไว้ทำไม มันจะเป็นการเห็นแก่ตัวเกินไปไหม หากผมจะให้เค้ารอโดยที่ไม่มีจุดหมาย

“อย่าเลย เพราะผมมีบางอย่างที่ต้องทำ และไม่รู้ว่ามันต้องใช้เวลาอีกนาน ขนาดไหน”ผมบอกออกไปตามตรง

“ผมบอกแล้วไงว่าผมรอได้”เค้าก็ยังคงยืนยันหนักแน่นตามเดิม

“แต่ผมทำมันไม่ได้ ถ้ายังเจอคุณอยู่”ผมคงต้องบอกความจริงเค้าสินะว่า ผมกำลังตัดสินใจจะทำอะไร ที่จริงเรื่องนี้ผมเองก็ยังไม่ได้บอกกับใครเลย แม้กระทั่งพ่อกับแม่ของผมเอง

“คุณจะคบกับคนอื่น”เหมือนเค้าจะยิ่งเข้าใจผิดไปจากสิ่งที่ผมต้องการจะบอก ผมยิ้มจางๆ ให้เค้า ส่ายหน้าปฏิเสธความคิดนั้นของเค้า ก่อนจะบอกความจริงออกไป

“ไม่ใช่แบบนั้น ผมแค่จะบวช และก็คิดว่าจะทำให้ได้นานที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้”การที่ผมจะบวชผมก็อยากที่จะตัดความห่วง พะวง หรือความรู้สึกกังวลใจ ค้างคาอะไรออกไปให้หมด อยากที่บอกว่าถ้าเค้ายังอยู่ ยังไปเจอผม ผมจะทำใจให้สงบได้อย่างไร เพราะผมก็ยังไม่สามารถที่จะละทางโลกได้หมดจดอะไรขนาดนั้น ผมเพียงแค่อยากเจริญศีล ภาวนา และบำเพ็ญกุศล ให้กับทุกคนที่ผมเคยได้ล่วงเกินไป แม้สิ่งที่คิดจะทำตอนนี้ มันไม่สามารถจะไปลบล้างหรือแก้ไขอดีตได้ แต่มันก็คงดีกว่าที่ผมจะไม่ทำอะไรเลย

“คุณบ้าไปแล้ว คุณจะไปเป็นพระตลอดชีวิตเลยหรือยังไง”เค้าทำท่าตกใจและตีความสิ่งที่ผมพูดผิดไปอีกแล้ว เค้าหันหลังไปเตะลม เหมือนเป็นการระบายอารมณ์ คงเพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมกำลังจะทำ

“ผมไม่ได้บอกว่ามันคือตลอดชีวิต แต่มันคือช่วงระยะเวลานึง ที่อาจจะนานจนผมไม่อยากให้คุณมาเสียเวลารอ”พูดไปเค้าอาจจะไม่เข้าใจในการกระทำของผม แต่บางทีตอนนี้ผมอาจจะยังไม่ได้รับโอกาสให้ได้มีความสุขส่วนตัว

“แล้วมันนานแค่ไหนกัน”เค้าเอ่ยถามผมอย่างมีความหวัง ความหวังที่ผมจะไม่ปล่อยให้เค้ารอนานจนเกินไป

“ผมไม่รู้ มันอาจจะแค่ปีสองปี หรือห้าปีสิบปี ขึ้นอยู่กับว่าผมจะทำตัวเองให้สงบได้นานขนาดไหน”ผมไม่อยากจะให้ความหวังเค้า แต่ผมก็ไม่อยากโกหกเค้าเช่นกัน ผมไม่รู้จริงๆ ว่าผมจะทำอย่างที่ตั้งใจได้นานขนาดไหน

“ผมขอโทษที่เลือกแบบนี้ และถือว่าผมขอร้องในช่วงเวลาที่ผมเป็นพระอยู่ คุณอย่ามาเจอผมเลย”ผมว่านี่น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ผมว่าการที่เราไม่ต้องข้องเกี่ยวกันอีกตั้งแต่ตอนนี้มันน่าจะดีที่สุดแล้ว

“ทำไมคุณใจร้ายกับผมแบบนี้”เค้าตัดพ้อ ด้วยใบหน้าที่แสดงออกถึงความผิดหวังอย่างชัดเจน ผมต้องเบือนหน้าไปทางอื่นเพราะไม่กล้าสู้กับแววตาที่มองมา กลัวว่าผมอาจจะเผลอเปลี่ยนใจ

“ผมถึงบอกไงว่าคุณอย่ารอผมเลย แล้วก็อยากให้คุณเคารพการตัดสินใจของผมด้วย”ผมบอกทั้งที่ไม่ได้หันไปสบตาเค้า

“คุณเชื่อเรื่องโชคชะตาไหม”เค้าถอนหายใจยาว ก่อนจะถามออกมาลอยๆ เหมือนไม่ได้ต้องการคำตอบอย่างจริงจังนัก

“จากสิ่งที่ถาโถมเข้ามาในชีวิตผมทั้งหมด ก็คงยากถ้าจะบอกว่าไม่เชื่อ”ทุกสิ่งที่ผมได้พบ ทุกคนที่ผมได้เจอ มันคงไม่ใช่เพียงแค่เรื่องบังเอิญ ทุกอย่างมันคงถูกขีดไว้แต่ต้นแล้ว

“แต่ผมเชื่อหมดใจเลย ตั้งแต่วันที่ได้มาเจอกับคุณ เพราะงั้นผมจะยอมทำตามสิ่งที่คุณขอ ผมจะไม่มาเจอ แต่คุณเองก็อย่าห้ามไม่ให้ผมรอเลย เราเคยอยู่กันคนละซีกโลก เรายังได้มาเจอกัน แล้วทำไมวันนึงเราจะกลับมาเจอกันอีกไม่ได้”และนั่นคือบทสนทนาสุดท้ายที่เราได้พูดคุยกัน สิ่งที่ผมรับรู้ต่อจากนั้นก็แค่เพียง เค้ายกเลิกธุรกิจที่จะร่วมหุ้นกับทางโรงแรมของผม ผมไม่ทราบว่าเค้ากลับไปฝรั่งเศสหรือเค้าไปอยู่ที่ไหน ส่วนผมเองหลังจากนั้นไม่นานก็เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์













ราวๆ 4 ปี ต่อมา

“ผมอยู่ได้ครับแม่ เที่ยวให้สนุกนะครับ”ผมกดวางสายจากผู้เป็นแม่ที่ตอนนี้กำลังจะไปเที่ยวพักผ่อนกับพ่อของผมนั่นแหละครับ หลังจากที่ผมสึกออกมา นี่ก็หลายเดือนแล้วเหมือนกัน ก็ยังต้องมีหลายๆ อย่างที่ต้องปรับตัวอยู่บ้าง เพราะในช่วง 4 ปีที่ผมอยู่ภายใต้ผ้าเหลืองนั้น ผมก็แทบทิ้งตัวตนที่ผมเคยเป็นไปจนหมดสิ้น ผมต้องใช้ชีวิตที่ไม่มีสีสัน ไม่มีการใช้โซเชียลต่างๆ ไม่ได้สนใจความเป็นไปของใครเท่าไหร่

ตลอด 3 ปีมันทำให้ผมสงบขึ้น รู้จักปล่อยวาง มีสติ คิดหรือทำอะไรให้เป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น และอีกอย่างที่เปลี่ยนไปคือพ่อกับแม่ผมก็หันไปเข้าวัดทำบุญมากขึ้น ผมสึกออกมาเราก็มีกิจกรรมร่วมกันมากขึ้น ผมสัมผัสได้ของคำว่าครอบครัวที่เพิ่มขึ้น ส่วนเรื่องที่พ่อกับแม่ไปเที่ยวพักผ่อนนี่ พักหลังๆ ผมก็ไปกับทั้งสองคนนะครับ แต่ครั้งนี้ที่ทั้ง 2 คนจะไปฝรั่งเศส ผมกลับเลือกที่จะไม่ไป เพราะความกลัว ถึงผมจะผ่านการฝึกสมาธิ รู้จักการปล่อยวาง แต่ว่าผมก็ยังไม่ถึงขั้นจะนิพพาน เพราะงั้นผมก็ยังเป็นคนธรรมที่ ยังมี รัก โลภ โกรธ หลง เหลืออยู่นั่นแหละครับ

สิ่งที่ผมกลับที่ฝรั่งเศสนะเหรอครับ ไม่ใช่กลัวการจะได้เจอกับใครคนนั้นหรอกนะครับ ผมกลัวสิ่งที่จะได้รับรู้มากกว่า ถ้าการได้พบเจอแล้วรับรู้ว่าอีกฝ่ายไม่เหมือนเดิมแล้ว สู้ไม่เจอแล้วเก็บความทรงจำสุดท้ายไว้น่าจะดีกว่า ผมหยุดเดินมองผู้คนรอบๆ ตอนนี้ผมอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าใจกลางเมืองหลวง ผู้คนมากมายที่ต่างก็มรที่นี่ด้วยเหตุผลของเค้า ผมเองก็เช่นกัน ผมก็แค่ไม่อยากอยู่ในบ้านเพียงลำพัง ในวันที่อยู่ๆ ผมก็นึกถึงเค้าขึ้นมาแบบนี้ คนเรามันก็ต้องมีวันอ่อนแอจริงไหมครับ

“โอ๊ะโอ”เสียงที่มาพร้อมกับความรู้สึกว่าอะไรมาปะทะที่แข้งขาด้านหลังของผม พอหันกลับมามองก็พบ เด็กชายตัวป้อมที่น่าจะวิ่งมาชนผม เด็กชายที่หน้าตาออกไปทางตะวันตกแต่ก็มีความเป็นเอเชียอยู่บ้าง นี่คงเป็นลูกครึ่งสินะ ดูๆแล้วน่าจะสัก3 ขวบได้  เค้าเงยหน้ามองผมที่ยื่นมือจะช่วยเค้าให้ลุกขึ้น

“โขโทษคับ”สำเนียงภาษาไทยแปร่งๆ ทำให้ผมยิ้มให้เค้าอย่างเอ็นดูมือน้อยๆ ดึงมือผมเพื่อพยุงตัวเองลูกขึ้น พร้อมกับขอบคุณผมที่ช่วยเค้า

“มากับใครครับ”เมื่อประเมินแล้วว่าเด็กน้อยตัวป้อมนี่น่าจะพอเข้าใจภาษาไทยผมเลย นั่งลงถามกับเค้าเป็นภาษาไทย แต่ไม่ทันที่เค้าจะได้ตอบอะไร ก็มีเสียงเรียกแทรกเข้ามาเสียก่อน

“แอชตั้น ทำไมซนแบบนี้”แอชตั้นคงเป็นชื่อของเด็กน้อยลูกครึ่งคนนี้ แต่ที่ผมต้องใจเต้นรัว คงเพราะคนที่วิ่งมาตามเจ้าหนูแอชตั้นมากกว่า

“เดช็อง”ผมหลุดชื่อเค้าออกมา แต่เหมือนเค้าจะยังไม่ทันสังเกตเห็นว่าผมอยู่ตรงนี้

“ต้องขอ...โทษด้วย”น้ำเสียงเค้าขาดหายและแผ่วลงเมื่อเห็นว่าผมเป็นใคร ผมมองเด็กน้อยที่ปล่อยมือผมเดินกลับไปหาเค้า ประเมินดูแล้วแอชตั้นก็อายุพอๆ กับช่วงเวลาที่ผมและเค้าไม่เจอกัน หรือว่าแอชตั้นจะเป็น

“คุณเป็นไงบ้าง สบายดีไหม”เป็นผมที่เปิดบทสนทนาก่อน และส่งยิ้มบางๆ ให้กับเค้า เค้าเองดูจะเป็นคนตกใจมากกว่าผมที่เราได้เจอกันครั้งนี้ความรู้สึกที่ได้เจอกันโดยบังเอิญแบบนี้มันก็ตั้งตัวไม่ทันเหมือนกันแหละครับ แต่ผมคงปรับอารมณ์ได้ดีกว่าแต่ก่อน นอกจากที่ต้องตั้งสติที่ได้เจอกับเค้าแล้ว ตอนนี้ผมยังต้องตั้งสติสำหรับการพบกันครั้งแรกของผมกับหนุ่มน้อยแอชตั้นด้วย เด็กหนุ่มร่างป้อมจ้องมองผมอย่างสนใจ เค้าคงกำลังงงว่าผมรู้จักกับเดช็องได้ยังไง

“ไม่นึกว่าจะได้เจอคุณที่นี่ แล้วนั่นสกินเฮดก็เข้ากับคุณดีนะ”เค้าดูเกร็งๆ อยู่ไม่น้อย แต่ผมเองพอถูกเค้าทักเรื่องผมก็เขินๆ อยู่เหมือนกันแหละครับ แม้จะสึกมาหลายเดือนแต่ผมก็เพิ่งไปตัดผมมาอีกรอบเพราะมันโล่งดี แต่อีกสักพักคงจะไว้ทรงปกติแล้ว เหมือนเราทั้งคู่ต่างฝ่ายต่างเกร็งๆ ด้วยกันทั้งคู่

“แล้วนี่คุณจะไม่แนะนำหนุ่มน้อยนี่ให้ผมรู้จักหน่อยเหรอ”ผมย่อตัวลงให้ตัวเองอยู่ระดับเดียวกับพ่อหนุ่มน้อย

“สุดหล่อชื่ออะไรเอ่ย”ผมเอ่ยถามทั้งๆ ที่ก็รู้จักชื่อของเค้าแล้ว พร้อมดึงแก้มยุ้ยๆ ของเค้าเบาๆ ดูเหมือนเจ้าตัวก็จะไม่ได้ต่อต้านคนที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกอย่างผม

“แด๊ดดี้”แทนที่เจ้าตัวเล็กจะตอบคำถามผม เค้ากลับมองผ่านผมไปแล้วตะโกนอย่างดีใจออกนอกหน้า จากนั้นก็วิ่งผ่านผมไปอย่างไม่สนใจ ผมมองตามเจ้าตัวเล็กที่วิ่งไปหาผู้ชายคนนึงที่ดูๆ แล้วน่าจะคือคนไทยแท้ แต่แอชตั้นเรียกว่าพ่อนี่นา

“คุณคงไม่ได้คิดว่าแอชตั้นเป็นลูกผมใช่ไหม”คนที่ยังอยู่ถามผมขึ้นมา ผมหันไปยิ้มแห้งๆ ให้เค้าเพราะตอนแรกก็คิดไปแล้ว

“รอผมตรงนี้สักครู่”เค้าบอกก่อนจะเดินตามแอชตั้นไปหาผู้ชายอีกคนนั่น เค้าพูดคุยอะไรกันสักอย่าง ก่อนจะหันมาโบกมือให้ผม ครู่เดียวแอชตั้นกับพ่อของเค้าก็หันมาโบกมือลาผมเดินห่างไปอีกทาง ส่วนเดช็องก็เดินกลับมาที่ผม

“อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย”โดยที่ผมไม่ทันตั้งตัวร่างผมถูกเค้าดึงเข้าไปกอดอย่างแรงจนผมตกใจ

“คิดถึง คุณรู้ไหมว่าผมคิดถึงคุณมากขนาดนั้น”น้ำเสียงของเค้าเริ่มสั่นและแรงที่กอดผมก็มากขึ้นจนผมเริ่มจะเจ็บ หากแต่เพียงครู่เดียวผมก็รู้ตัวว่าแท้จริงแล้วผมเองก็โหยหาอ้อมกอดนี้แค่ไหน มันไม่ใช่แค่เค้าที่คิดถึงผม ผมเองก็คิดถึงเค้ามากเช่นกัน

“คิดถึงทำไมไม่มาหา ที่ทำงานผมคุณก็รู้นิว่ามันอยู่ที่ไหน”ผมบอกอู้อี้เพราะหน้าผมยังแนบอยู่กับแผ่นอกของเค้า นี่เรากอดกันกลมจนลืมไปแล้วว่านี่อยู่กลางห้างสรรพสินค้า กว่าจะรู้ตัวเราทั้งคู่ก็กลายเป็นเป้าสายตาเข้าแล้ว เราทั้งคู่ต่างมองหน้ากันก่อนจะหัวเราะออกมา

เราออกจากห้างมาที่ร้านเล็กๆ ร้านนึงเพื่อพูดคุย สอบถามช่วงเวลาที่หายไปของกันและกัน แม้เราจะไม่ได้เจอกันหลายปีแต่พอได้มานั่งด้วยกันสักพัก ทุกอย่างก็เหมือนจูนติด เราต่างสลับกันเล่าเรื่องราวต่างๆ จนลืมเวลา

“ผมเคยต้องอยู่กับแอชตั้นทั้งวันมาแล้ว เรียกว่าเหนื่อยกว่าไปออกรบอีกมั้ง”เค้าเล่าไปถึงวีรกรรมของลูกชายตัวน้อยของเพื่อนเค้า พร้อมหัวเราะอย่างสนุกสนาน  เดช็องกับพ่อของแอชตั้น เป็นเพื่อนที่เรียนปริญญาโทด้วยกันที่อเมริกา แต่พอผมถามถึงแม่ของแอชตั้นเค้ากลับบอกเพียงว่าตอนนี้แอชตั้นอยู่กับพ่อแค่สองคนเหมือนไม่อยากเล่าอะไรมากกว่านั้น ผมเองก็เลยไม่ได้ซักไซ้อะไรอีก

“ไปดื่มต่อที่คอนโดผมไหม”เค้าเอ่ยปากชวน ทันทีที่เรากำลังจะออกจากร้าน ผมหยุดครุ่นคิดสักพักเพราะผมว่าคำถาม หรือคำเชิญชวนที่เค้าพูดออกมา มันคงมีความหมายอื่นแฝงอยู่แน่นอน

“หรือคุณจะปิดโอกาสคนที่รอคุณมาจนถึงวันนี้”คราวนี้ผมคงไม่ต้องเดาความหมายอีกแล้ว เพราะเค้าบอกออกมาตรงๆ แล้ว ผมเดินเข้าไปหยุดตรงหน้าเค้าก่อนจะเอื้อมแขนคล้องคอเค้าให้โน้มลงมา ผมประกบริมฝีปากลงไปที่ริมฝีปากของเค้าแทนคำตอบ

“โชคชะตาก็พาเรากลับมาเจอกันแล้วนี่ไง”ผมบอกยิ้มๆ ทันทีที่ถอนริมฝีปากออก เรื่องระหว่างเรามันอาจจะแค่เพิ่งเริ่มต้น ต่อจากนี้ไปเราก็คงต้องช่วยสร้างโชคชะตาของเราทั้งคู่ให้มันเดินไปพร้อมกัน

“คืนนี้คุณอาจจะต้องรับโทษที่ปล่อยให้ผมรอนานขนาดนี้”







END






จบแล้วคร๊าบบบบ

หลายๆ คนอาจจะงงๆ เพิ่งมาอ่าน จบแล้วเหรอ 555

พอดีคิดว่าเรื่องราวมันก็มีบทสรุปของมันแล้ว ก็จบไว้ตรงนี้ดีกว่าเนอะ

แต่ถ้าว่างๆ อาจจะมาลงตอนพิเศษอะไรเพิ่มอีกนิดหน่อย

ยังไงก็ขอบคุณทุกคนมากๆ นะครับที่อ่านเรื่องนี้ แล้วชอบ

จริงๆ เป็นเรื่องแรกเลยที่แต่งอะไรที่ฉีกออกมาอะไรแบบนี้ แล้วก็ยังรู้สึกว่า

ต้องมีอะไรที่ต้องปรับปรุงอีกเยอะ ยังไงก็ฝากเป็นกำลังใจให้ในเรื่องต่อๆ ไป ด้วยนะครับ

ตอนนี้ก็กำลังทยอยลงอีก 1 เรื่อง

ว่างๆ กะลองอ่านดูได้นะครับ

แอบขายของ ซะเลย 555


http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60703.0

High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน

เรื่องราวของหนุ่มวัยทำงานที่ต้องมาอยู่ข้างบ้านกับเด็กมัธยมสุดกวน ยังไงลองไปให้กำลังใจได้นะครับ มีสต็อคไว้ประมาณนึงแล้ว ก็จะทยอยลงให้ทุกวัน


ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
อาจจะตกลงใจที่จบเร็วแต่ถ้าดูตามเนื้อเรื่องแล้วก็เหมาะที่จะจบแล้วเพราะเนื้อเรื่องมันเดินมาจนถึงการคลี่คลายปมต่างๆแล้ว ถ้าไปต่อกว่านี้อาจจะดูยืดเยื้อไปก็ได้ รอตอนพิเศษนะคะ

ออฟไลน์ j123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 699
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-1

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
((( เป็นงานเขียนที่น่าประทับใจมากครับ   )))

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

 :กอด1: :L2: :pig4: :L2: :กอด1:

ออฟไลน์ หมอตัวเปียก

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1874
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
เป็นงานเขียนที่ดีครับ

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
อ่านรวดเดียว 22 ตอน ตาแฉะกันไปข้าง แต่ยอมรับว่าหยุดอ่านไม่ได้จริงๆ

แอบคิดว่าถ้าปรางรู้ตัวว่าตัวเองตายตั้งแต่ตอนที่จมน้ำแล้ว เรื่องทั้งหลายแหล่ก็จะไม่เกิดขึ้น

ออฟไลน์ bulldog17

  • ❤GOT7
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +265/-12
เราว่าเพราะปรางถึงเกิดเรื่องแท้ๆ

ประทับใจค่ะเรื่องนี้ ❤❤❤

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0

จบด้วยดี

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ


ออฟไลน์ มะเขือม่วง

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 435
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เราว่าเพราะปรางถึงเกิดเรื่องแท้ๆ

ประทับใจค่ะเรื่องนี้ ❤❤❤

คิดเหมือน
ปอนด์ ไม่เกี่ยวเลย
ที่เกี่ยวเพราะปรางพาไป
ที่ว่าพ่อแม่ไม่รัก เพราะปรางแช่ง
ปอนด์ไปชักชวนให้โจรมาฆ่า ก็เปล่า เพราะพวกมันมาแก้แค้นพ่อปราชที่ไปจับมันต่างหาก
ปอนด์ อาจไม่ถูกตรงที่ไปทำให้เดวี่รู้ตัวว่ารักปราชเกินน้องชาย  แล้วมีสัมพันธ์กัน
ทุกอย่างที่เกิดเพราะปรางตนเดียว ตน นะ เพราะไม่อยู่ในสภาพคนเลย


เดช็อง ปอนด์  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
อดึต - ปัจจุบัน เกี่ยวพันกันไปหมด ก็เพราะปราง  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
กลัวๆว่าจะจบเหมือนชื่อเรื่อง คำตอบที่ว่างเปล่า
แต่ไรท์ใจดี จบแบบแฮปปี้ คนอ่านไม่เศร้าแล้ว
ขอบคุณไรท์ ทำให้คนอ่านมีความสุข
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ kokoro

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2
ตอนอ่านชื่อเรื่องคิดว่าจะจบแบบเศร้า

เนื้อหามีปม มีความซับซ้อนแต่อ่านเพลินดีค่ะ
ในที่สุดสองคนนี้ก็กลับมาเจอกันในเวลาที่เหมาะสม
นึกว่าปอนด์จะบวชยาวซะแล้ว 555

ออฟไลน์ changemoo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เราก็ยังงง ตกลงปอนด์ทำกรรมอะไรขนาดนั้น ตอนแรกนึกว่าปอนด์เป็นโจรฆ่าคนอื่น เห็นปรางแค้นมาก แต่สรุปแล้วเหมือนแค่เข้าใจผิด แห่ะๆ เราอ่านรวดเดียวเลย อยากรู้มาก ปนๆกลัว ขอบคุณมากค่ะ

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
เห็นมีคนชอบเยอะ ยังไงก็ขอบคุณมากๆ นะครับ

อธิบายเพิ่มอีกนิดละกันนะครับ เผื่อใครที่งง

ปอนด์ จริงๆ ในอดีต คือโจร

ปอนด์กับปราชคือคนละคน

โจรมาเกิดเป็นปอนด์

ปราชมาเกิดเป็นปกป้อง

ทั้งที่จริงๆ ถ้าปรางไม่เป็นคนทำ

โจรจะมาเป็นปกป้อง

ปราชจะมาเป็นปอนด์

555

ดูงงๆ ไหม

ออฟไลน์ Pangvivacious

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ไปหานิยายเรื่องนี้เจอมาจากในกระทู้แนะนำนิยาย

คิดไม่ผิดจริงๆที่คลิกเข้ามา อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ

ให้อารมณ์เหมือนกำลังดูหนังอยู่เลย  o13

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
ยังงงๆ อยู่บ้างครับ แต่เรื่องสนุกมาก
ขอบคุณสำหรับงานเขียนดีๆ

ออฟไลน์ route rover

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-7
เพิ่งได้มาอ่าน เป็นเรื่องราวที่ดี ขอบคุณมากนะคะ :3123:

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
ชอบอ่ะ ซับซ้อน แต่ก็พอเดาได้ ผสมงงๆ ปรางเก่งที่สุดล่ะเรื่องนี้ ตามอาฆาตปอนด์ในชาติปัจจุบันได้

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด