บทที่ 22
บทสรุป
ผมมองภาพขาวดำที่ตั้งอยู่ตรงหน้าอยู่ครู่นึง ก่อนจะ ก้าวผ่านไปวางดอกไม้จันทน์ในมือลงรวมกับของคนอื่นๆ ผมเพิ่งสังเกตว่าวันเดือนปีเกิดของเค้าที่ระบุอยู่ใต้รูปของเค้า มันคือวันเดียวกันกับวันเกิดของผม แต่ทุกอย่างมันคงจบลงแล้วสินะ ผมหันหลังกลับเดินออกจากตรงนั้น น้อยคนนักมนที่นี้ที่จะรู้จักผม เพราะคนส่วนใหญ่ที่มางานในวันนี้ก็มีแต่บรรดาข้ารรชการตำรวจทั้งสิ้น ส่วนผมก็มาในฐานะคนที่เค้าได้เคยช่วยชีวิตไว้ นั่นคือสิ่งที่บางคนรับรู้มา แต่ใครจะรู้ว่า แท้จริงแล้วเรื่องราวมันมีมากกว่านั้น
ผมเดินมาจนเจอกับนายตำรวจคนนึงที่คุ้นตา เค้ายืนสูบบุหรี่ด้วยท่าทางตึงเครียดอยู่เพียงคนเดียว ผมเดินตรงเข้าไปหยุดที่ตรงหน้าเค้า “หมู่กล้า” หันมามองผมด้วยความไม่เข้าใจ แน่ละว่าเค้าและผมไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว เค้าอาจรู้จักผมแค่เพียงว่า คือคนที่หมวดปกป้อง ช่วยชีวิตไว้ และไปเยี่ยมที่ห้องบ่อยๆ ตอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล
“คุณแข็งแรงดีแล้วใช่ไหมครับ นี่ถ้าหมวดยังอยู่ คงดีใจที่เห็นคนที่หมวดช่วยไว้ ปลอดภัยดีแล้ว”เค้าเป็นคนเปิดบทสนทนา แม้มันจะดูขัดๆ แต่เค้าก็คงพยายามรักษามารยาทเต็มที่แล้ว ตอนนี้สภาพจิตใจของเค้าคงไม่ได้พร้อมจะคุยกับผมสักเท่าไหร่
“คุณไม่ต้องโทษตัวเองหรอกครับ ที่ช่วยเค้าไว้ไม่ได้”เค้ามีแววตาประหลาดใจกับสิ่งที่ผมพูดไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะเรื่องที่เค้าอยู่ในเหตุการณ์วันที่หมวดปกป้องตาย คงแทบนับหัวคนที่รู้ได้ไม่กิน 10 นิ้วแน่ๆ อันนี้ผมคาดเดาจากหน้าที่การงานของทั้งคู่ ที่ดูน่าจะต้องคัดกรองข้อมูลภายในที่จะออกสู่สาธารณะอย่างเป็นพิเศษ
“ทำไมคุณถึงได้...”
“คนเรามีกรรมเป็นของตัวเองทั้งนั้นแหละครับ ไม่มีใครฝืนมันไปได้”ผมไม่เปิดโอกาสให้เค้าซักในคำพูดของผม เพราะมันคงง่ายกว่า หากเค้าจะนำไปคิดต่อด้วยตัวเอง ว่าแต่นี่ผมกำลังทำตัวเหมือนหลวงตาเข้าไปทุกทีหรือเปล่านะ ผมหยุดบทสนทนากับเค้าไว้เพียงเท่านั้น ก่อนจะเดินห่างออกมา
“ถ้าอยากเอาความรู้สึกผิดของตัวเองออกไป คุณก็แค่ทำตามความต้องการของหมวดเค้า ในเรื่องอะไรก็ตามที่มันยังค้างคาอยู่ หรือยังไม่สำเร็จ การที่คุณได้ทำอะไรแทนเค้า ผมว่าเค้าน่าจะดีใจนะครับ”ผมคัดสินใจหันหลังกลับไปบอกกับเค้าหลังเดินออกมาได้ไม่กี่ก้าว
“เด็กน้อยอยากไปไหนต่อหรือเปล่า”ทันทีที่ผมเดินมาถึงรถ คนขับรถส่วนตัวของผมก็เอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง แต่ผมไม่ค่อยมีอารมณ์จะเล่นกับเค้าสักเท่าไหร่ เพราะไอ้คำที่เค้าเรียกผม หรือการกระทำของเค้าช่วงนี้ มันส่งผลกระทบกับชีวิตของผมเหลือเกิน
“เลิกเรียกผมแบบนี้ได้แล้ว”ผมบอกกลับไปอย่างเคืองๆ ก็จะไม่ให้เคืองได้ยังไงละครับ เค้าเล่นเลิกกับแฟน และบอกจะมาจริงจังกับผม โดยไม่ได้ถามความเห็นใดๆ จากผมแม้แต่น้อย แถมยิ่งเค้าเข้าหาผม ความรู้สึกผิดที่ผมมีต่อทีปกาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
“มันยากจริงไหมคะ ที่จะให้ทำใจยอมรับว่าคนรักของเรามีใจให้กับคนอื่น”คำพูดของทีปกาผุดขึ้นมาในหัวผม และมักจะดังติดต่อกันทุกครั้ง เวลาผมต้องอยู่กับเดช็องแบบนี้
“แล้วมันก็คงยากขึ้นไปอีกถ้าได้รู้ว่า คนที่เค้าไปมีใจให้กลายเป็นผู้ชายด้วยกัน”ทีปกาพูดกลั้วหัวเราะ เหมือนเย้ยหยันตัวเองอยู่ในที
“แต่ตรงที่มันยากที่สุดก็คือต้องมารับรู้ว่าคนๆ นั้นก็คือคุณ”ในวันที่เธอพูดประโยคนี้กับผมคือวันที่เธอมายื่นใบลาออก แม้ผมจะยังไม่ได้ทำอะไรเกินเลยกับเดช็องไปมากนัก แต่ผมก็ละอายเกินกว่าจะรั้งเธอไว้ หรืออยากรู้ว่าเธอจะเอายังไงกับชีวิตต่อ เพราะผมก็คงปฏิเสธความรู้สึกที่มีต่อเดช็องได้ไม่เต็มปาก
ผมไม่ได้เจอทีปกาอีกเลย หลังจากวันนั้นทราบข่าวอีกทีจากพี่เพ็ญก็เห็นว่าเธอ กำลังเตรียมตัวไปเรียนต่อที่ต่างประเทศอีกครั้ง และวางแผนอยากไปใช้ชีวิตในต่างแดนหลังจากเรียนจบ
“คุณไม่ถามเหรอว่าทำไมผมถึงเรียกคุณว่าเด็กน้อย”เค้ายังคงมีท่าทีสนุกกับการหยอกล้อผม ด้วยการเรียกผมแบบนี้ แต่สำหรับผม ผมก็มีเหตุผลของผมแหละครับที่ไม่อยากให้เค้าทำแบบนี้
“ผมไม่ได้อยากรู้นิ ผมแค่ไม่ชอบให้คุณเรียก”ผมบอกปัด เพราะเหมือนถึงผมไม่ถาม ตอนนี้เค้าก็อยากจะเล่าเต็มทีแล้ว เค้าเริ่มมีสีหน้าไม่ค่อยจะพอใจผมหน่อยๆ แล้ว ที่ผมพยายามขัดเค้า
“แต่ผมว่าคุณรู้อยู่แล้ว จริงไหมว่าทำไมผมเรียกคุณแบบนั้น”เค้าบอกเหมือนรู้ทันผมความคิดของผม ซึ่งก็จริงว่าผมเองก็คาดเดาไว้บ้างเหมือนกันนั่นแหละว่าเค้าคงเจอเหตุการณ์คล้ายๆ ผมบ้าง แต่คงไม่ถึงขนาดหลุดไปในร่างคนอื่นแบบผม
“เอาเป็นว่าคุณจะคิดยังไงก็ได้ แต่เลิกเรียกผมแบบนั้นเสียที”ผมยังย้ำคำเดิม ในเมื่อเรื่องราวทุกอย่างมันเหมือนจะจบลงไปแล้ว ผมก็ไม่อยากจะพูดถึงมันอีก ถ้าเป็นไปได้ผมไม่อยากมีภาพจำของชีวิตคนอื่น ที่ไม่ใช่ตัวผมเองเลย
“แล้วผมต่างจากเค้าตรงไหน ทำไมถึงเรียกคุณแบบเดียวกับเค้าไม่ได้”ดูเหมือนเค้าจะไม่ละความพยายามที่จะอยากเทียบเท่าอีกคนสินะ ผมก็พอจะสัมผัสได้แหละว่า เค้าอยากเป็นที่ยอมรับของผมมากกว่าเดวี่ แต่นั่นมันก็คือเค้าไม่ใช่รึไง ถ้าเค้าได้รับรู้ว่าแล้ว
“คุณก็คือคุณ ผมก็คือผม เราคือเราที่อยู่ตรงนี้ ตอนนี้ เพราะฉะนั้นอย่าพูดหรือทำอะไร หรืออยากเหมือนใครเลย”ผมย้ำกับเค้าอีกครั้ง เหมือนเพื่อเตือนตัวของผมเองด้วยว่าจากนี้ไป จะไม่มีเดวี่ ไม่มีปราช หรือใครอื่นอีกแล้ว
“ผมไม่รู้หรอกนะว่าความฝันต่างๆ ที่ผมฝันถึงในระยะหลังมันมาได้ยังไง แต่ตั้งแต่คุณฟื้นขึ้นมาผมก็ไม่ฝันอีกเลย ผมไม่รู้ว่าเดวี่ที่คุณเคยหลุดปากออกมา คือคนเดียวกับที่ผมเห็นในฝันไหม ไม่รู้ว่าอีกคนที่ผมเห็นมันคือคุณไหม ไม่รู้ว่าตำรวจคนที่คุณมางานศพเค้าวันนี้ เกี่ยวข้องกับคุณบ้างหรือเปล่า ผมไม่รู้อะไรเลยจริงๆ”ผมยืนนิ่งฟังสิ่งที่เค้าพูดออกมายืดยาว แววตาเค้าที่มองมา อ่อนลง เค้าเดินเข้ามาใกล้ๆ ผม
“รู้แค่ว่า ผมรักคุณ”เค้าบอกพร้อมโน้มตัว จรดริมฝีปากลงมาที่หน้าผากของผม แต่เป็นผมที่ขืนตัวออก เพราะนี่มันในวัด เค้าอาจจะไม่ถือ แต่สำหรับผมมันก็คงไม่เหมาะสักเท่าไหร่
“คุณแน่ใจได้ยังไงว่าคุณรักผม เราเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานเท่านั้นเอง”อย่างที่ผมเคยบอกว่า สำหรับผม มันแทบไม่รู้จักเลยว่าความรักมันคืออะไร ความรู้สึกที่เค้ามีต่อผม หรือผมมีต่อเค้ามันจะยืนยาวไปได้อีกนานแค่ไหน วันนึงถ้าผมทุ่มทั้งหมดไปที่เค้า แล้วเค้าไม่รู้สึกกับผมแบบเดิมแล้ว ผมจะรับความรู้สึกนั้นได้ไหม
“งั้นคุณบอกผมสิ ว่าคุณไม่ได้รู้สึกเหมือนผม ว่าเราคือคนที่ต่างคนต่างตามหา”รู้สึกสิ แม้ผมจะไม่รู้ว่านี่มันเรียกว่ารักจริงๆ หรือเปล่า แต่เค้าก็ไม่เหมือนใครทุกคนที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตผม
“ผมยังทำไม่ได้”มันไม่ใช่แค่การเปิดใจยอมรับเค้า ไม่ใช่แค่ผมจะรู้สึกไม่ถูกไม่ควรกับทีปกา แต่มันยังมีอย่างอื่นที่ผมกำลังคิดวางแผนจะทำ เพียงแต่ผมยังไม่ได้พูดเรื่องนี้กับใคร
“ผมรอได้”เค้าขยับเดินเข้ามาหาผมอีกครั้ง เอื้อมมือมากุมมือผมไว้ มองผมด้วยสายตาเว้าวอน แต่ผมไม่รู้ว่าจะผูกมัดเค้าไว้ทำไม มันจะเป็นการเห็นแก่ตัวเกินไปไหม หากผมจะให้เค้ารอโดยที่ไม่มีจุดหมาย
“อย่าเลย เพราะผมมีบางอย่างที่ต้องทำ และไม่รู้ว่ามันต้องใช้เวลาอีกนาน ขนาดไหน”ผมบอกออกไปตามตรง
“ผมบอกแล้วไงว่าผมรอได้”เค้าก็ยังคงยืนยันหนักแน่นตามเดิม
“แต่ผมทำมันไม่ได้ ถ้ายังเจอคุณอยู่”ผมคงต้องบอกความจริงเค้าสินะว่า ผมกำลังตัดสินใจจะทำอะไร ที่จริงเรื่องนี้ผมเองก็ยังไม่ได้บอกกับใครเลย แม้กระทั่งพ่อกับแม่ของผมเอง
“คุณจะคบกับคนอื่น”เหมือนเค้าจะยิ่งเข้าใจผิดไปจากสิ่งที่ผมต้องการจะบอก ผมยิ้มจางๆ ให้เค้า ส่ายหน้าปฏิเสธความคิดนั้นของเค้า ก่อนจะบอกความจริงออกไป
“ไม่ใช่แบบนั้น ผมแค่จะบวช และก็คิดว่าจะทำให้ได้นานที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้”การที่ผมจะบวชผมก็อยากที่จะตัดความห่วง พะวง หรือความรู้สึกกังวลใจ ค้างคาอะไรออกไปให้หมด อยากที่บอกว่าถ้าเค้ายังอยู่ ยังไปเจอผม ผมจะทำใจให้สงบได้อย่างไร เพราะผมก็ยังไม่สามารถที่จะละทางโลกได้หมดจดอะไรขนาดนั้น ผมเพียงแค่อยากเจริญศีล ภาวนา และบำเพ็ญกุศล ให้กับทุกคนที่ผมเคยได้ล่วงเกินไป แม้สิ่งที่คิดจะทำตอนนี้ มันไม่สามารถจะไปลบล้างหรือแก้ไขอดีตได้ แต่มันก็คงดีกว่าที่ผมจะไม่ทำอะไรเลย
“คุณบ้าไปแล้ว คุณจะไปเป็นพระตลอดชีวิตเลยหรือยังไง”เค้าทำท่าตกใจและตีความสิ่งที่ผมพูดผิดไปอีกแล้ว เค้าหันหลังไปเตะลม เหมือนเป็นการระบายอารมณ์ คงเพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมกำลังจะทำ
“ผมไม่ได้บอกว่ามันคือตลอดชีวิต แต่มันคือช่วงระยะเวลานึง ที่อาจจะนานจนผมไม่อยากให้คุณมาเสียเวลารอ”พูดไปเค้าอาจจะไม่เข้าใจในการกระทำของผม แต่บางทีตอนนี้ผมอาจจะยังไม่ได้รับโอกาสให้ได้มีความสุขส่วนตัว
“แล้วมันนานแค่ไหนกัน”เค้าเอ่ยถามผมอย่างมีความหวัง ความหวังที่ผมจะไม่ปล่อยให้เค้ารอนานจนเกินไป
“ผมไม่รู้ มันอาจจะแค่ปีสองปี หรือห้าปีสิบปี ขึ้นอยู่กับว่าผมจะทำตัวเองให้สงบได้นานขนาดไหน”ผมไม่อยากจะให้ความหวังเค้า แต่ผมก็ไม่อยากโกหกเค้าเช่นกัน ผมไม่รู้จริงๆ ว่าผมจะทำอย่างที่ตั้งใจได้นานขนาดไหน
“ผมขอโทษที่เลือกแบบนี้ และถือว่าผมขอร้องในช่วงเวลาที่ผมเป็นพระอยู่ คุณอย่ามาเจอผมเลย”ผมว่านี่น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ผมว่าการที่เราไม่ต้องข้องเกี่ยวกันอีกตั้งแต่ตอนนี้มันน่าจะดีที่สุดแล้ว
“ทำไมคุณใจร้ายกับผมแบบนี้”เค้าตัดพ้อ ด้วยใบหน้าที่แสดงออกถึงความผิดหวังอย่างชัดเจน ผมต้องเบือนหน้าไปทางอื่นเพราะไม่กล้าสู้กับแววตาที่มองมา กลัวว่าผมอาจจะเผลอเปลี่ยนใจ
“ผมถึงบอกไงว่าคุณอย่ารอผมเลย แล้วก็อยากให้คุณเคารพการตัดสินใจของผมด้วย”ผมบอกทั้งที่ไม่ได้หันไปสบตาเค้า
“คุณเชื่อเรื่องโชคชะตาไหม”เค้าถอนหายใจยาว ก่อนจะถามออกมาลอยๆ เหมือนไม่ได้ต้องการคำตอบอย่างจริงจังนัก
“จากสิ่งที่ถาโถมเข้ามาในชีวิตผมทั้งหมด ก็คงยากถ้าจะบอกว่าไม่เชื่อ”ทุกสิ่งที่ผมได้พบ ทุกคนที่ผมได้เจอ มันคงไม่ใช่เพียงแค่เรื่องบังเอิญ ทุกอย่างมันคงถูกขีดไว้แต่ต้นแล้ว
“แต่ผมเชื่อหมดใจเลย ตั้งแต่วันที่ได้มาเจอกับคุณ เพราะงั้นผมจะยอมทำตามสิ่งที่คุณขอ ผมจะไม่มาเจอ แต่คุณเองก็อย่าห้ามไม่ให้ผมรอเลย เราเคยอยู่กันคนละซีกโลก เรายังได้มาเจอกัน แล้วทำไมวันนึงเราจะกลับมาเจอกันอีกไม่ได้”และนั่นคือบทสนทนาสุดท้ายที่เราได้พูดคุยกัน สิ่งที่ผมรับรู้ต่อจากนั้นก็แค่เพียง เค้ายกเลิกธุรกิจที่จะร่วมหุ้นกับทางโรงแรมของผม ผมไม่ทราบว่าเค้ากลับไปฝรั่งเศสหรือเค้าไปอยู่ที่ไหน ส่วนผมเองหลังจากนั้นไม่นานก็เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์
ราวๆ 4 ปี ต่อมา
“ผมอยู่ได้ครับแม่ เที่ยวให้สนุกนะครับ”ผมกดวางสายจากผู้เป็นแม่ที่ตอนนี้กำลังจะไปเที่ยวพักผ่อนกับพ่อของผมนั่นแหละครับ หลังจากที่ผมสึกออกมา นี่ก็หลายเดือนแล้วเหมือนกัน ก็ยังต้องมีหลายๆ อย่างที่ต้องปรับตัวอยู่บ้าง เพราะในช่วง 4 ปีที่ผมอยู่ภายใต้ผ้าเหลืองนั้น ผมก็แทบทิ้งตัวตนที่ผมเคยเป็นไปจนหมดสิ้น ผมต้องใช้ชีวิตที่ไม่มีสีสัน ไม่มีการใช้โซเชียลต่างๆ ไม่ได้สนใจความเป็นไปของใครเท่าไหร่
ตลอด 3 ปีมันทำให้ผมสงบขึ้น รู้จักปล่อยวาง มีสติ คิดหรือทำอะไรให้เป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น และอีกอย่างที่เปลี่ยนไปคือพ่อกับแม่ผมก็หันไปเข้าวัดทำบุญมากขึ้น ผมสึกออกมาเราก็มีกิจกรรมร่วมกันมากขึ้น ผมสัมผัสได้ของคำว่าครอบครัวที่เพิ่มขึ้น ส่วนเรื่องที่พ่อกับแม่ไปเที่ยวพักผ่อนนี่ พักหลังๆ ผมก็ไปกับทั้งสองคนนะครับ แต่ครั้งนี้ที่ทั้ง 2 คนจะไปฝรั่งเศส ผมกลับเลือกที่จะไม่ไป เพราะความกลัว ถึงผมจะผ่านการฝึกสมาธิ รู้จักการปล่อยวาง แต่ว่าผมก็ยังไม่ถึงขั้นจะนิพพาน เพราะงั้นผมก็ยังเป็นคนธรรมที่ ยังมี รัก โลภ โกรธ หลง เหลืออยู่นั่นแหละครับ
สิ่งที่ผมกลับที่ฝรั่งเศสนะเหรอครับ ไม่ใช่กลัวการจะได้เจอกับใครคนนั้นหรอกนะครับ ผมกลัวสิ่งที่จะได้รับรู้มากกว่า ถ้าการได้พบเจอแล้วรับรู้ว่าอีกฝ่ายไม่เหมือนเดิมแล้ว สู้ไม่เจอแล้วเก็บความทรงจำสุดท้ายไว้น่าจะดีกว่า ผมหยุดเดินมองผู้คนรอบๆ ตอนนี้ผมอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าใจกลางเมืองหลวง ผู้คนมากมายที่ต่างก็มรที่นี่ด้วยเหตุผลของเค้า ผมเองก็เช่นกัน ผมก็แค่ไม่อยากอยู่ในบ้านเพียงลำพัง ในวันที่อยู่ๆ ผมก็นึกถึงเค้าขึ้นมาแบบนี้ คนเรามันก็ต้องมีวันอ่อนแอจริงไหมครับ
“โอ๊ะโอ”เสียงที่มาพร้อมกับความรู้สึกว่าอะไรมาปะทะที่แข้งขาด้านหลังของผม พอหันกลับมามองก็พบ เด็กชายตัวป้อมที่น่าจะวิ่งมาชนผม เด็กชายที่หน้าตาออกไปทางตะวันตกแต่ก็มีความเป็นเอเชียอยู่บ้าง นี่คงเป็นลูกครึ่งสินะ ดูๆแล้วน่าจะสัก3 ขวบได้ เค้าเงยหน้ามองผมที่ยื่นมือจะช่วยเค้าให้ลุกขึ้น
“โขโทษคับ”สำเนียงภาษาไทยแปร่งๆ ทำให้ผมยิ้มให้เค้าอย่างเอ็นดูมือน้อยๆ ดึงมือผมเพื่อพยุงตัวเองลูกขึ้น พร้อมกับขอบคุณผมที่ช่วยเค้า
“มากับใครครับ”เมื่อประเมินแล้วว่าเด็กน้อยตัวป้อมนี่น่าจะพอเข้าใจภาษาไทยผมเลย นั่งลงถามกับเค้าเป็นภาษาไทย แต่ไม่ทันที่เค้าจะได้ตอบอะไร ก็มีเสียงเรียกแทรกเข้ามาเสียก่อน
“แอชตั้น ทำไมซนแบบนี้”แอชตั้นคงเป็นชื่อของเด็กน้อยลูกครึ่งคนนี้ แต่ที่ผมต้องใจเต้นรัว คงเพราะคนที่วิ่งมาตามเจ้าหนูแอชตั้นมากกว่า
“เดช็อง”ผมหลุดชื่อเค้าออกมา แต่เหมือนเค้าจะยังไม่ทันสังเกตเห็นว่าผมอยู่ตรงนี้
“ต้องขอ...โทษด้วย”น้ำเสียงเค้าขาดหายและแผ่วลงเมื่อเห็นว่าผมเป็นใคร ผมมองเด็กน้อยที่ปล่อยมือผมเดินกลับไปหาเค้า ประเมินดูแล้วแอชตั้นก็อายุพอๆ กับช่วงเวลาที่ผมและเค้าไม่เจอกัน หรือว่าแอชตั้นจะเป็น
“คุณเป็นไงบ้าง สบายดีไหม”เป็นผมที่เปิดบทสนทนาก่อน และส่งยิ้มบางๆ ให้กับเค้า เค้าเองดูจะเป็นคนตกใจมากกว่าผมที่เราได้เจอกันครั้งนี้ความรู้สึกที่ได้เจอกันโดยบังเอิญแบบนี้มันก็ตั้งตัวไม่ทันเหมือนกันแหละครับ แต่ผมคงปรับอารมณ์ได้ดีกว่าแต่ก่อน นอกจากที่ต้องตั้งสติที่ได้เจอกับเค้าแล้ว ตอนนี้ผมยังต้องตั้งสติสำหรับการพบกันครั้งแรกของผมกับหนุ่มน้อยแอชตั้นด้วย เด็กหนุ่มร่างป้อมจ้องมองผมอย่างสนใจ เค้าคงกำลังงงว่าผมรู้จักกับเดช็องได้ยังไง
“ไม่นึกว่าจะได้เจอคุณที่นี่ แล้วนั่นสกินเฮดก็เข้ากับคุณดีนะ”เค้าดูเกร็งๆ อยู่ไม่น้อย แต่ผมเองพอถูกเค้าทักเรื่องผมก็เขินๆ อยู่เหมือนกันแหละครับ แม้จะสึกมาหลายเดือนแต่ผมก็เพิ่งไปตัดผมมาอีกรอบเพราะมันโล่งดี แต่อีกสักพักคงจะไว้ทรงปกติแล้ว เหมือนเราทั้งคู่ต่างฝ่ายต่างเกร็งๆ ด้วยกันทั้งคู่
“แล้วนี่คุณจะไม่แนะนำหนุ่มน้อยนี่ให้ผมรู้จักหน่อยเหรอ”ผมย่อตัวลงให้ตัวเองอยู่ระดับเดียวกับพ่อหนุ่มน้อย
“สุดหล่อชื่ออะไรเอ่ย”ผมเอ่ยถามทั้งๆ ที่ก็รู้จักชื่อของเค้าแล้ว พร้อมดึงแก้มยุ้ยๆ ของเค้าเบาๆ ดูเหมือนเจ้าตัวก็จะไม่ได้ต่อต้านคนที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกอย่างผม
“แด๊ดดี้”แทนที่เจ้าตัวเล็กจะตอบคำถามผม เค้ากลับมองผ่านผมไปแล้วตะโกนอย่างดีใจออกนอกหน้า จากนั้นก็วิ่งผ่านผมไปอย่างไม่สนใจ ผมมองตามเจ้าตัวเล็กที่วิ่งไปหาผู้ชายคนนึงที่ดูๆ แล้วน่าจะคือคนไทยแท้ แต่แอชตั้นเรียกว่าพ่อนี่นา
“คุณคงไม่ได้คิดว่าแอชตั้นเป็นลูกผมใช่ไหม”คนที่ยังอยู่ถามผมขึ้นมา ผมหันไปยิ้มแห้งๆ ให้เค้าเพราะตอนแรกก็คิดไปแล้ว
“รอผมตรงนี้สักครู่”เค้าบอกก่อนจะเดินตามแอชตั้นไปหาผู้ชายอีกคนนั่น เค้าพูดคุยอะไรกันสักอย่าง ก่อนจะหันมาโบกมือให้ผม ครู่เดียวแอชตั้นกับพ่อของเค้าก็หันมาโบกมือลาผมเดินห่างไปอีกทาง ส่วนเดช็องก็เดินกลับมาที่ผม
“อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย”โดยที่ผมไม่ทันตั้งตัวร่างผมถูกเค้าดึงเข้าไปกอดอย่างแรงจนผมตกใจ
“คิดถึง คุณรู้ไหมว่าผมคิดถึงคุณมากขนาดนั้น”น้ำเสียงของเค้าเริ่มสั่นและแรงที่กอดผมก็มากขึ้นจนผมเริ่มจะเจ็บ หากแต่เพียงครู่เดียวผมก็รู้ตัวว่าแท้จริงแล้วผมเองก็โหยหาอ้อมกอดนี้แค่ไหน มันไม่ใช่แค่เค้าที่คิดถึงผม ผมเองก็คิดถึงเค้ามากเช่นกัน
“คิดถึงทำไมไม่มาหา ที่ทำงานผมคุณก็รู้นิว่ามันอยู่ที่ไหน”ผมบอกอู้อี้เพราะหน้าผมยังแนบอยู่กับแผ่นอกของเค้า นี่เรากอดกันกลมจนลืมไปแล้วว่านี่อยู่กลางห้างสรรพสินค้า กว่าจะรู้ตัวเราทั้งคู่ก็กลายเป็นเป้าสายตาเข้าแล้ว เราทั้งคู่ต่างมองหน้ากันก่อนจะหัวเราะออกมา
เราออกจากห้างมาที่ร้านเล็กๆ ร้านนึงเพื่อพูดคุย สอบถามช่วงเวลาที่หายไปของกันและกัน แม้เราจะไม่ได้เจอกันหลายปีแต่พอได้มานั่งด้วยกันสักพัก ทุกอย่างก็เหมือนจูนติด เราต่างสลับกันเล่าเรื่องราวต่างๆ จนลืมเวลา
“ผมเคยต้องอยู่กับแอชตั้นทั้งวันมาแล้ว เรียกว่าเหนื่อยกว่าไปออกรบอีกมั้ง”เค้าเล่าไปถึงวีรกรรมของลูกชายตัวน้อยของเพื่อนเค้า พร้อมหัวเราะอย่างสนุกสนาน เดช็องกับพ่อของแอชตั้น เป็นเพื่อนที่เรียนปริญญาโทด้วยกันที่อเมริกา แต่พอผมถามถึงแม่ของแอชตั้นเค้ากลับบอกเพียงว่าตอนนี้แอชตั้นอยู่กับพ่อแค่สองคนเหมือนไม่อยากเล่าอะไรมากกว่านั้น ผมเองก็เลยไม่ได้ซักไซ้อะไรอีก
“ไปดื่มต่อที่คอนโดผมไหม”เค้าเอ่ยปากชวน ทันทีที่เรากำลังจะออกจากร้าน ผมหยุดครุ่นคิดสักพักเพราะผมว่าคำถาม หรือคำเชิญชวนที่เค้าพูดออกมา มันคงมีความหมายอื่นแฝงอยู่แน่นอน
“หรือคุณจะปิดโอกาสคนที่รอคุณมาจนถึงวันนี้”คราวนี้ผมคงไม่ต้องเดาความหมายอีกแล้ว เพราะเค้าบอกออกมาตรงๆ แล้ว ผมเดินเข้าไปหยุดตรงหน้าเค้าก่อนจะเอื้อมแขนคล้องคอเค้าให้โน้มลงมา ผมประกบริมฝีปากลงไปที่ริมฝีปากของเค้าแทนคำตอบ
“โชคชะตาก็พาเรากลับมาเจอกันแล้วนี่ไง”ผมบอกยิ้มๆ ทันทีที่ถอนริมฝีปากออก เรื่องระหว่างเรามันอาจจะแค่เพิ่งเริ่มต้น ต่อจากนี้ไปเราก็คงต้องช่วยสร้างโชคชะตาของเราทั้งคู่ให้มันเดินไปพร้อมกัน
“คืนนี้คุณอาจจะต้องรับโทษที่ปล่อยให้ผมรอนานขนาดนี้”
END
จบแล้วคร๊าบบบบ
หลายๆ คนอาจจะงงๆ เพิ่งมาอ่าน จบแล้วเหรอ 555
พอดีคิดว่าเรื่องราวมันก็มีบทสรุปของมันแล้ว ก็จบไว้ตรงนี้ดีกว่าเนอะ
แต่ถ้าว่างๆ อาจจะมาลงตอนพิเศษอะไรเพิ่มอีกนิดหน่อย
ยังไงก็ขอบคุณทุกคนมากๆ นะครับที่อ่านเรื่องนี้ แล้วชอบ
จริงๆ เป็นเรื่องแรกเลยที่แต่งอะไรที่ฉีกออกมาอะไรแบบนี้ แล้วก็ยังรู้สึกว่า
ต้องมีอะไรที่ต้องปรับปรุงอีกเยอะ ยังไงก็ฝากเป็นกำลังใจให้ในเรื่องต่อๆ ไป ด้วยนะครับ
ตอนนี้ก็กำลังทยอยลงอีก 1 เรื่อง
ว่างๆ กะลองอ่านดูได้นะครับ
แอบขายของ ซะเลย 555
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60703.0
High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน
เรื่องราวของหนุ่มวัยทำงานที่ต้องมาอยู่ข้างบ้านกับเด็กมัธยมสุดกวน ยังไงลองไปให้กำลังใจได้นะครับ มีสต็อคไว้ประมาณนึงแล้ว ก็จะทยอยลงให้ทุกวัน