Just you and I : 20
ทำไมมันหนาวขนาดนี้ ตอนนี้นาฬิกาบอกเวลาตีห้าครับ ผมตื่นมาหนาวสั่นพับๆ เสื้อกันหนาวสองชั้นยังเอาไม่ค่อยจะอยู่ ที่ผมเคยหัวเราะเยาะพี่ตินกับพี่แทมไว้ผมขอคืนคำ เพราะพี่สองคนดูชิวๆ กับบรรยากาศมาก นั่งละเลียดจิบกาแฟหอมๆ ที่แม่ไอ้ม่านชงมาให้ ส่วนพวกผมเนี่ย ต้องเอาผ้าห่มมาคลุมตัวอีกชั้น
หลังจากกินกาแฟยามเช้าเรียบร้อยก็ถึงเวลาออกเดินทางขึ้นดอยอินทนนท์ครับ พี่โชเป็นคนขับผมนั่งอยู่ข้างๆ ส่วนคนอื่นๆ ก็นั่งข้างหลัง ทางขึ้นดอยก็ลาดชันเป็นระยะ แต่ถนนดีเลยขับได้อย่างสบาย แม้เราจะไปเช้าแบบนี้ก็ยังมีรถวิ่งขึ้นก่อนหน้า อาจจะคิดไปสัมผัสอากาศเหมือนพวกผม
ทางขึ้นติดกับเหวลึกมันดูน่ากลัวแต่ก็สวยเมื่อมีหมอกเรียงรายบังต้นไม้ด้านล่าง ผมเป่าไส้กรอกร้อนๆ จากร้านสะดวกซื้อที่แวะก่อนจะขึ้นมายื่นป้อนพี่โช จนพวกข้างหลังอ้าปากตาม
“แม่งหวานโชว์แต่เช้า” พี่จอมเปิดก่อนเพื่อน
“เอาซาลาเปากูเลี่ยนเลยสัด” พี่ตินตามมาติดๆ
“พวกมึงกินๆ ไปแต่กูจะอ้วก เชี่ยซันขอยาแก้เมาดิ๊ กูจะไม่ไหวแล้วสัด” พี่แทมสูดยาดมมาตลอดทาง หน้าซีดๆ บ่งบอกว่าไม่ไหวจริงๆ
พี่ซันเปิดกล่องยาตัวเองแล้วยื่นยาเม็ดสีเหลืองให้พี่แทมกิน พี่จอมยื่นถุงให้ด้วยบอกเอาไว้เผื่ออ้วก ผมก็ไม่ชอบนะการเมารถเนี่ย มันไม่สนุกเอาซะเลย ดีที่มานั่งข้างหน้าเลยลดอาการไปได้บ้าง
เส้นทางขึ้นดอยถ้ามาช่วงต้นปีก็คงได้เห็นดอกพญาเสือโคร่งบาน แต่นี่สิ้นปีมันยังไม่มี เลยได้แต่ถ่ายรูปวิวข้างทางกับหมอกหนาๆ แทน พี่โชขับรถช้าๆ เพราะยิ่งขึ้นมาสูงหมอกยิ่งหนา ผ่านมาหลายต่อหลายโค้งจนถึงพระมหาธาตุดอยอินทนนท์ พี่โชเลี้ยวเข้าไปจอดที่ลานตรงหน้า พอรถจอดนิ่งพี่ซันก็เขย่าปลุกเพื่อนที่นอนหลับสนิทเพราะฤทธิ์ยา
ทันทีที่เปิดประตูลงไปเหมือนคนเอาน้ำแข็งปาใส่หน้า คือหน้าผมชามากถึงมากที่สุด มันหนาวตัดขั้วหัวใจมาก คืออยากกลับเข้าไปอยู่ในรถเหมือนเดิม ไอ้ม่านรีบแจกถุงมือที่ซื้อมาให้กับคนที่ไม่มี ส่วนของผมพี่โชปลดเป้ที่สะพายก่อนเอาถุงมือออกมาให้ผมใส่ รวมถึงที่ครอบหู
“พี่โชไม่ใส่ถุงมืออ่ะ” ผมมองคนที่เอาเป้สะพายบนบ่าเหมือนเดิม “หรือไม่ได้เอามาผมจะได้ไปขอไอ้ม่าน”
“ไม่เป็นไร” พี่โชว่าแต่ผมเห็นปากสั่นๆ คงจะหนาวเหมือนกัน ผมเลยเอาผ้าพันคอตัวเองให้ ดูเหมือนพี่โชจะไม่เอา ผมเลยพันคอให้เลย ที่จริงผมก็พันมาแล้วผืนหนึ่งแต่ก็เอามาพันอีกชั้น
เวลาเกือบจะแปดโมงเช้าหมอกยังหนายิ่งมีลมพัดยิ่งเพิ่มความสั่นให้กับคนที่มาเที่ยวและอยากสัมผัสอากาศ ขาผมแทบจะก้าวไม่ออกมันหนาวเกินบรรยายอยากให้ทุกคนมาลอง พี่แทมที่ดูมึนๆ แต่ก็เดินยกกล้องถ่ายรูปถ่ายนั่นถ่ายนี่
ทุกคนที่มาก็มีกล้องประจำตัว ยกเว้นผมนี่แหละครับ ก็ใครจะไปมีเงินซื้อกล้องแพงๆ แบบนั้น กล้องพี่ตินหลักหมื่นแต่กระบอกเลนส์หลักแสน ผมขอบายเลยแบบนั้น เอาเงินนั่นมาใช้ได้เป็นเดือนๆ
“ไอ้เชี่ยกลอยยิ้มดิ๊” ไอ้ทูตะโกนบอกผมขณะเดินขึ้นเนินด้านหน้า ผมที่ยืนข้างพี่โชก็ฉีกยิ้มเท่าที่หน้าแข็งๆ เหมือนโดนโบท็อกจะยิ้มได้ ส่วนพี่โชก็ทำหน้านิ่งตามสไตล์
ผมเดินสั่นๆ ขึ้นเนินอย่างยากลำบาก ถ้ารู้ว่าหนาวขนาดนี้ผมจะขนเอาเสื้อกันหนาวมาเยอะๆ เอาผ้าห่มหนาๆ มาคลุม
“หนาวเหรอ” พี่โชถามขณะเราเดินเคียงข้างกัน เพราะคนอื่นๆ ขึ้นไปถึงด้านบนหมดแล้ว
“มาก” ผมพูดน้ำเสียงสั่นๆ ปากขยับก็ยาก ฟันขบกันกึกๆ
“แล้วก็บ่นอยากมา เป็นไงล่ะ” ผมค้อนขวับใส่คนซ้ำเติม แต่ก็หันไปมองเมื่อพี่โชยื่นมือมาจับมือผมไปสอดที่กระเป๋าเสื้อโค้ทตัวเอง มือพี่โชที่ไม่ได้สวมถุงมือเย็นมากขนาดผมที่มีถุงมือสวมอยู่ยังรู้สึกได้
“มือพี่โคตรเย็น”
“จับมือแบบนี้ก็ไม่หนาวแล้ว”
ฉีกยิ้มแบบนี้หล่อได้อีกนะ เหอะ แอบอิจฉานิดๆ ยิ่งมีสวยสวยหุ่นดีเดินผ่านลงมามองเหลียวหลังผมยิ่งจ้องหน้าพี่โชเพราะอยากรู้ว่าจะมองตามหรือเปล่า แต่พี่โชกลับมองตรง แต่พอรู้ว่าผมมองก็ก้มลงมามองอย่างงๆ
“มีอะไร”
“พี่เห็นผู้หญิงคนเมื่อกี้หรือเปล่า”
“เห็น”
“สวยป่ะ”
“ก็ดี”
“พี่ชอบป่ะ” แล้วผมก็ได้มือเย็นๆ มาดีดหน้าผากแทนคำตอบ “เจ็บนะเออ”
“ทำไมชอบถามแบบนี้ตลอดวะ” หน้าพี่โชโคตรดุ แถมยังปล่อยมือผมออกแล้วเดินนำหน้าไปลิ่วๆ
“พี่โช รอด้วย” ผมรีบวิ่งตามพอใกล้ถึงก็รีบคว้ามือใหญ่ๆ หมับ จนคนถูกจับหันมามอง ใบหน้าหล่อมองนิ่งๆ จนใจไม่ดี “พี่โกรธผมเหรอ ผมขอโทษ” คำขอโทษดูไม่ได้ผลเพราะพี่โชยังเดินหน้าต่อไป “พี่โชอ่า อย่าโกรธดิ่ นะๆ”
“...”
“พี่โชอ่า”
“...”
พอขึ้นมาด้านบน พี่โชก็แยกตัวไปอยู่กับพี่ซัน ผมได้แต่มองตามตาละห้อย
“เป็นไรวะไอ้กลอย ทะเลาะกับพี่เขาล่ะสิมึงอ่ะ” ผมยู่ปากหันมองไอ้อัธที่เดินมาแตะบ่าผม “หึ มึงคงหาเรื่องเองสินะ”
“จะซ้ำกูทำไมไอ้เชี่ย”
“กูไม่ได้ซ้ำ แต่มึงต้องเปลี่ยนนิสัยเสียๆ ของมึงบ้าง ให้พี่เขาเปลี่ยนคนเดียวแต่มึงยังเหมือนเดิม เห็นแก่ตัวว่ะ”
“กูเพื่อนมึงนะ”
“ก็เพราะมึงเป็นเพื่อนกูไง” ไอ้อัธส่ายหน้าให้ผมก่อนเดินหนีไปถ่ายรูปน้ำตกข้างๆ ทางขึ้น
ผมยืนอยู่กับที่มองพี่โชที่ถ่ายรูปให้เพื่อน กับมองพวกไอ้อัธที่ดี๊ด๊าถ่ายรูปดอกไม้กับป้ายชื่อพระมหาธาตุ ผมผิดผมก็รู้ แล้วผมต้องทำยังไง ไม่รู้จะต้องง้อยังไงด้วย เมื่อทำอะไรไม่ได้ผมเลยเลือกจะเดินไปหามุมดอกไม้ถ่ายรูปคนเดียว ดอกไม้หลากสีสวยจนผมอดที่จะควักมือถือออกมาเก็บรูปไม่ได้
ผมเดินขึ้นพระมหามหาธาตุด้านซ้ายคนเดียวเพราะคนอื่นขึ้นไปพระมหาธาตุอีกด้าน แม้จะมีบันไดเลื่อนแต่ผมก็เลือกที่จะเดินขึ้นบันได เดินมาครึ่งทางก็รู้ว่าคิดผิด รู้แบบนี้ขึ้นบันไดเลื่อนดีกว่า แม่งโคตรเหนื่อย จากหนาวๆ อยู่นี่เริ่มมีเหงื่อเลย สุดท้ายก็ถึงครับ พระมหาธาตุนภเมทนีดล
ความสวยด้านบนทำเอาลืมความเหนื่อยในพริบตา ทั้งตัวพระธาตุเองและสวนดอกไม้ด้านข้าง ผมรัวกล้องมือถือเก็บภาพสวยๆ ไปอวดแม่กับพี่กิ่งครับ และไม่ลืมเซลฟี่ภาพตัวเองลงโซเชียล ในระหว่างที่ถ่ายๆ อยู่ ขาผมก็มีอะไรมาสะกิดๆ จนต้องก้มมอง ดวงตาใสแป๋วจ้องมองผมอย่างสนใจ เด็กผู้ชายแก้มยุ้ยน่ารักมากจนผมต้องย่อลงไปนั่ง
“มีอะไรกับพี่ครับ” แม้ผมจะไม่ถูกกับเด็ก แต่ก็ไม่ได้ใจร้ายนะครับ
“จ๋วย” เสียงที่ออกจากปากเล็กๆ ทำให้ผมกระพริบตาปริบๆ อะไรคือจ๋วย หรือปวดฉี่วะ
“ปวดฉี่เหรอครับ” ผมรีบมองหาแม่หรือญาติของเด็ก เพราะถ้าให้ผมพาไปอาจโดนแจ้งจับได้ข้อหาลักพาตัว “แม่อยู่ไหนครับบอกพี่ซิ” ผมหันไปหันมา เด็กแก้มยุ้ยจับแขนเสื้อผมแน่น
“จ๋วย” ยังพูดคำเดิมและผมก็ยังฟังไม่ออกเหมือนเดิม ก่อนจะมีผู้ชายคนหนึ่งก้าวเท้ายาวๆ เข้ามาหา ใบหน้าโคตรหน้าเรื่อง
“คุณทำอะไรน่ะ จะลักพาตัวเด็กงั้นเหรอ” พูดเสียงดังจนคนหันมามองผมกันหมด เชี่ย เด็กจับผมเองนะเห้ย
“เปล่านะ ผมเห็นเด็กอยู่คนเดียว แล้วแกก็มาจับผมเองเนี่ยเห็นป่ะ” ผมรีบชี้มือเล็กๆ ที่ดึงผมให้ไอ้คนกล่าวหาดู พอมันเห็นก็มองหน้าผมนิ่งๆ “ผมไม่ได้ลักพาตัวลูกคุณเลยนะ”
“ลูกของพี่สาวต่างหาก”
“เออๆ นั่นแหละ เหมือนเด็กจะปวดฉี่ด้วยนะ คุณรีบพาแกไปสิ” ผมบอก พอได้ยินไอ้คนแปลกหน้าก็รีบอุ้มตัวเด็กไป แต่ติดตรงที่เด็กร้องไห้จ้าจนคนมองเยอะกว่าเดิม
“ม่ายอาว แงๆ” ทั้งผมทั้งไอ้คนหน้าดุต่างทำหน้าเลิกลัก
“รีบทำให้ลูกพี่สาวคุณหยุดร้องดิ่ เร็วๆ”
“รู้แล้วน่า”
“รู้แล้วก็รีบๆ ดิ่ คนมองกันใหญ่แล้ว” คือกลัวตำรวจจับเพราะจะเข้าใจผิดนั่นแหละครับ
น้าของเด็กมันอุ้มเขย่าๆ แต่เด็กก็ยังร้องแถมยื่นมือจะมาหาผม พอดีกับแม่ของเด็กเห็นก็รีบวิ่งเข้ามาแล้วช้อนตัวไปอุ้มปลอบเอง ไม่นานเสียงก็เงียบลง ผมถอนหายใจยาวๆ ออกมา เกือบโดนมองว่าขโมยเด็กซะแล้ว
พอเด็กเงียบลง แม่ของแกก็พาเดินไป ผมโบกมือบ๊ายบายเจ้าตัวเล็ก แต่คนตัวใหญ่มันยังยืนอยู่แถมมองหน้าผมด้วย
“มีอะไรเหรอครับ” มองจนผมต้องก้มมองตัวเอง
“มาคนเดียวเหรอ” คำถามถูกตอบกลับมาด้วยคำถามจนผมทำหน้างง
“มากับเพื่อน” แต่ถึงจะงงก็ยังตอบออกไป “มีอะไรกับผมหรือเปล่า”
“เปล่า” ไม่มีแล้วมองหน้าผมทำไมวะ
“งั้นผมขอตัวนะครับ” พอจะเดินหนีมันกลับดึงแขนผมไว้ซะงั้น “ครับ?”
“เอ่อ ชื่ออะไรเหรอ”
“ขอโทษนะครับ พอดีผมมากับแฟน ขอตัวก่อน” พอบอกปัดผมก็รีบดึงแขนตัวเองออกและรีบหนีลงบันไดทันที คือผมก็ไม่เข้าใจทำไมถึงมีแต่ผู้ชายถามชื่อ หรือหน้าผมมันกวนตีนเขา พวกเขาเลยอยากรู้ชื่อ
เดินลงจากบันไดผมก็เจอกับพี่ตินกับพี่แทมที่แวะถ่ายรูปตลอดทาง พี่สองคนเห็นผมก็กวักมือเรียกให้ไปถ่ายรูปให้ พอถ่ายให้เสร็จก็ถูกเฉดหัวส่ง นี่ไม่คิดจะถ่ายรูปผมบ้างเหรอวะ
ผมย้ายไปขึ้นพระมหาธาตุอีกฝั่งป้ายด้านล่างบอกชื่อพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ ด้านบนก็คล้ายๆ กับอีกฝั่ง ผมเดินวนรอบพระธาตุสีเทาและแวะถ่ายดอกไม้สวยๆ ที่ปลูกเป็นขั้นบันได ที่นั่นผมเจอไอ้ทูกับพี่เบกำลังเซลฟี่กันสนุกสนาน เหอะ ยิ้มมีความสุขจริงนะ ทีเมื่อก่อนทะเลาะกันแทบตาย
พอเห็นคนอื่นมีความสุขไอ้กลอยก็เริ่มพาลไม่อยากถ่ายรูปอะไรสักอย่าง ผมเลยเดินลงไปนั่งที่หน้าร้านขายของฝากข้างๆ ทางขึ้นเนิน เฮ้อ นี่ผมมาคนเดียวหรือเปล่า แล้วพี่โชก็หายไปไหนไม่รู้ กะจะงอนไปถึงเมื่อไหร่ ไอ้กลอยคนนี้ก็ง้อไม่ค่อยจะเป็น พอคิดก็ได้แต่ถอนหายใจเลยฟุบหน้ากับม้าหินอ่อน
นั่งรออยู่นานไอ้ม่านก็เดินมาเรียกผมไปที่รถ ผมเดินตามเพื่อนตัวเองอย่างเซ็งๆ เห็นพี่โชคุยกับพี่ซันอยู่ไกลๆ พอเห็นผมเดินมาก็รีบเดินไปที่รถโดยไม่รอ
“มึงทะเลาะกับพี่โชเหรอวะ” ไอ้ม่านใช้ข้อศอกสะกิดผมแล้วถาม
“เออ” ผมตอบก่อนไม่สนใจไอ้ม่านที่เบิกตามอง
“เชี่ย กูก็ว่าทำไมพี่โชถึงเดินกับพวกพี่ซัน” ผมไม่ตอบอะไรไอ้ม่านอีก จนเดินมาถึงรถ พี่โชเปลี่ยนมานั่งที่แทนผมโดยมีพี่ซันเป็นคนขับ ผมถูกดันเข้าไปนั่งข้างไอ้อัธและมีไอ้ม่านปิดท้าย จากนั้นรถก็เริ่มเคลื่อนออกเดินทางเพื่อไปจุดสูงสุดของแดนสยาม
ผมนั่งหลับตาเอนหัวพิงไหล่ไอ้อัธทำเหมือนว่านอนหลับ แท้ที่จริงหูได้ยินคนข้างหน้าคุยตลอด แม้จะเสียงเบาเหมือนกระซิบแต่เพราะมันใกล้กันทำให้ได้ยิน
“มึงไม่ทำอะไรหรือวะ” เสียงพี่ซันครับ
“กูไม่ได้ทำอะไรผิด” เสียงพี่โชโคตรนิ่ง เหมือนย้อนกลับไปเป็นเหมือนตอนแรกๆ “ชอบทำเหมือนกูรักคนอื่นง่ายๆ”
“ก็มึงเคยเจ้าชู้มาก่อนนี่หว่า เด็กมันเลยไม่มั่นใจ”
“แล้วที่ผ่านมานี่กูทำให้ไม่มั่นใจอีกเหรอวะ”
“มึงก็ต้องให้เวลาหน่อย”
แล้วผมก็ไม่ได้ยินพี่โชตอบอะไร ไม่นานรถก็จอดนิ่งที่ลานจอดยอดดอยอินทนนท์ ทุกคนบนรถทยอยลง ผมยืนสั่นเพราะยังหนาวเหมือนเดิม คนอื่นๆ เริ่มเดินเข้าไปยังด้านใน ทางเดินเป็นสะพานไม้ที่ทอดยาว ต้นไม้ที่ขึ้นระหว่างทางมีมอสสีเขียวคลุมรอบดูสวยแปลกตา ผมเดินอยู่หลังสุดกอดอกเดินมองนั่นมองนี่ บ่อยครั้งที่ไอ้ม่านจะเรียกให้ผมมองกล้องของมัน บรรยากาศดีชะมัด ถ้ามีกระดาษสักใบผมจะนั่งวาดรูปอยู่ตรงนี้คงจะได้รูปสวยๆ
พอคิดแบบนั้นผมก็หยิบมือถือมาถ่ายรูปและยืนมองอยู่นาน หันมาอีกทีเพื่อนตัวเองก็หายหมด คงจะรีบไปถ่ายรูปกับป้ายด้านในล่ะสิ ผมรีบก้าวเดินยาวๆ เพื่อตามไปแต่ต้องล้มลงเมื่อมีใครที่วิ่งเล่นกันอยู่ข้างหลังวิ่งมาชนเต็มๆ เจ็บเชี่ยๆ
ไอ้เด็กสองคนที่วิ่งมาชนมองหน้าผมอย่างลนลานคงกลัวความผิด แต่ก็ยังอุตส่าห์ช่วยดึงผมให้ลุกขึ้น
“ระวังด้วยดิ่ ทางแบบนี้ใครให้วิ่งเล่นกัน” พอยืนผมก็เริ่มบ่นครับ ไอ้เด็กสองคนก้มหัวขอโทษผมหลายๆ รอบก่อนจะเดินตัวลีบนำหน้าไป เจ็บก้นยังไม่พอ ยังเจ็บมืออีก อาจเพราะเป็นรอยต่อระหว่างแผ่นไม้ทำให้มีปลายแหลมๆ โผล่ขึ้น มือผมก็ดันซวยไปโดน เลือด (ชั่ว) เลยออก นี่ถ้าไม่ถอดถุงมือออก มือก็คงไม่ถูกเศษไม้เกี่ยว
เหมือนไม่มีใจอยากจะเที่ยว ผมเลยเดินย้อนกลับไปด้านนอก เบื่อตัวเท่าควาย นั่งเซ็งๆ อยู่ด้านหน้ารอพวกที่เข้าไปเที่ยวก็ไม่ยอมออกมาสักที ผมเลยอัพรูปบาดแผลตัวเองลงไอจี ลงข้อความว่า เลือดชั่ว เพียงแปบเดียวอีเข็มก็มาเม้นตอบว่าสมน้ำหน้า
เลือดถูกความเย็นเริ่มแห้งติดมือ พอดีกับพวกไอ้ม่านที่เดินเฮฮาออกมาพอพวกมันเห็นผมก็รีบปรี่มาหา ถามอะไรผมก็ตอบว่าขี้เกียจเดิน ผมเห็นพี่โชเหล่ตามองมานิดๆ แต่ก็เดินไปขึ้นรถต่อ
ผมต้องง้อจริงๆ ใช่มั้ยเนี่ย
รถตู้สีขาวเริ่มออกเดินทาง ครั้งนี้ก็ยังเป็นพี่ซันขับมีพี่โชนั่งข้างเหมือนเดิม แต่ผมเลือกไปนั่งด้านหลังข้างๆ พี่แทมแทน คงเห็นผมเงียบๆ พี่แทมเลยแกล้งดึงแก้มจนผมโวยวายลั่นรถ
“เป็นไรของมึงเนี่ย กูเห็นเงียบตั้งแต่เมื่อกี้นะ” ผมส่ายหน้าตอบ พี่แทมเลยจะดึงแก้มผมอีก แต่ผมยกมือขึ้นขวาง “เชี่ย มือมึง” มือผมถูกพี่แทมจับแล้วเบิกตาโคตรกว้าง ผมรีบดึงกลับแต่แม่งยึดไว้โคตรแน่น
“อะไรพี่” ไอ้ทูยื่นหน้ามาดูเหมือนได้ยินเสียงพี่แทม พอมันเห็นคราบเลือดที่มือผมมันก็ตกใจเรียกหากล่องพยาบาล แต่มันแห้งไปแล้วไง
“ไม่เป็นไรพี่ มันหายแล้ว”
“หายเชี่ยไร” มันจะไม่หายกับพี่บีบมันนี่แหละ ไอ้พี่แทมมันบีบมือผมจนเลือดเริ่มปริออกมาอีกรอบ
“ก็พี่บีบเลือดมันก็ออกดิ่วะ” ผมบ่น มองพี่แทมทำแผลให้ “ขอบคุณครับ”
“เออๆ ถ้ามึงไม่ใช่เมียเพื่อนกู กูไม่แลมึงหรอกจำไว้”
ไม่ได้เป็นแล้วมั้งพี่ ผมได้แต่คิดในใจ ก่อนมองมือตัวเองที่ถูกผ้าพันซะเว่อร์ แผลผมมันไม่ได้ร้ายแรงขนาดต้องพันทั้งฝ่ามือมาถึงแขนมั้ย
พี่ซันขับรถมาจอดที่ตลาดม้งที่ส่วนใหญ่จะเป็นของป่าและผลไม้ที่สดกว่าในตัวเมือง ผมเดินตามไอ้ม่านไปซื้อผลไม้อย่างลูกพลับกลับบ้านและซื้อของฝากอีกนิดหน่อย
“มึงๆ อร่อยอ่ะ” ไอ้ม่านเช็ดลูกพลับสีเหลืองส้มผลใหญ่กับเสื้อแล้วกัดคำใหญ่กินอย่างอร่อย คือมันต้องปอกเปลือกก่อนไม่ใช่เหรอวะ
“มึงไม่ปอกเปลือก?”
“เออว่ะ”
ผมส่ายหน้าให้กับความโง่ของเพื่อนแล้วเดินกลับไปรอที่รถ พี่โชเปิดประตูข้างคนขับและตัวเองก็นั่งหย่อนขาลงมา ดวงตาดุมองหน้าผมนิดๆ ก่อนเลื่อนสายตามองมือที่ถูกพันเป็นมัมมี่เหมือนจะพูดอะไรแต่เลือกจะเงียบ ผมพยายามรวบรวมความกล้าจะเดินเข้าไปหา แต่ไอ้พี่จอมกลับเดินตัดหน้าเอาลูกพลับที่ปอกเปลือกแล้วไปให้พี่โชกิน ไอ้กลอยหรือจะสู้ลูกพลับ คนไม่อร่อยก็ต้องเดินขึ้นรถไปตามเดิม
ฮัดชิ้ว ผมจามเหมือนถูกนินทาแต่เริ่มจามบ่อยๆ มันเริ่มเปลี่ยนเป็นหวัดกินแล้วล่ะ คันจมูกด้วย ผมพยายามเอาผ้าพันคอคลุมหน้าตัวเองเพราะกลัวจะเอาเชื้อหวัดมาปล่อย ก่อนขอยาจากไอ้ทูที่ถือกล่องพยาบาล
“มึงไหวหรือเปล่าวะ” ไอ้ทูมันถาม ผมเลยพยักหน้ากลับไป
“มึงเป็นเชี่ยอะไรอีก” พี่แทมถามอย่างเป็นห่วง (หรือเปล่าวะ)
“ไอ้นี่มันขี้โรคพี่” ไอ้ทูตอบแทนผมที่กลืนยาอยู่
“ขี้โรคเสือกยังจะอยากมาที่หนาวๆ ไม่ดูสังขารเลยนะมึง”
“เรื่องของผมน่า”
“เอ่อ เรื่องของมึง”
ผมเบ้ปากใส่พี่แทมก่อนเอนหัวพิงกับกระจกรถตู้ ไม่สนุกเลยว่ะ อยากกลับบ้านแล้ว
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ ผมถูกปลุกให้ตื่นเมื่อรถจอดที่บ้านไอ้ม่านแล้ว อ่าว มาถึงเมื่อไหร่ นี่ผมหลับนานขนาดนั้นเลยเหรอวะ ลงรถได้เหมือนโลกเอียงๆ จนหัวจะทิ่มเลยต้องยันมือกับรถไว้ ทะเลาะกับพี่โชแล้วยังจะเป็นหวัดอีก ไม่มีอะไรดีเลยไอ้กลอย
“เป็นอะไรลูก หน้าแดงๆ” แม่ไอ้ม่านเดินมาถามผมขณะที่ผมยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
“เปล่าครับ เอ่อแม่พอจะมีเหล้าหมักอีกหรือเปล่าฮะ พอดีผมคงเมารถ ถ้าได้สักนิดก็คงหาย”
“แหม มีสิจ๊ะ มาๆ”
แล้วผมก็เดินเซๆ ตามแม่เข้าไปในบ้าน แม่เปิดตู้เตี้ยๆ ข้างตู้เย็นก่อนหยิบขวดเหล้าออกมาพร้อมกับเทให้ผมครึ่งแก้ว กลิ่นหอมเหมือนเดิม ผมยกซดจนหมดแก้วความร้อนแผ่ซ่านจนขนลุกไปหมด
“ขออีกหน่อยได้มั้ยครับ” ยื่นแก้วไปให้แม่อีกจนถูกหัวเราะ พอได้อีกแก้วผมก็รีบยกหมด มันอร่อยจริงๆ เมื่อวานกินไปนิดเดียวมันไม่รู้รสชาติ พอยื่นแก้วไปอีก ทีนี้แม่ยกขวดให้ผม
“เอาไปเลยจ้ะ แม่ให้”
“ขอบคุณคร้าบ”
ผมหนีบขวดเหล้ามานั่งหน้าทีวี ก็ในบ้านนั่นแหละครับ ได้ถั่วทอดเป็นกับแกล้ม พอยิ่งกินก็เริ่มรู้สึกร้อนไปทั้งตัว ฤทธิ์มันแรงจริงๆ กินแล้วโคตรมึนหัว ก่อนจะหัวทิ่มเมื่อถูกไอ้ม่านตบ ไอ้เชี่ยนี่
“ดอดมาแดกเหล้าคนเดียวนะมึง คนอื่นเขาเป็นห่วง”
“เอามั้ยมึง”
“ไม่” ไอ้ม่านตอบผมก่อนเดินไปโวยวายแม่มันครับ ได้ยินแว่วๆ ว่าให้เหล้าผมกินทำไม ก่อนมันจะออกมาหิ้วผมกลับไปที่บ้านหลังเล็ก “เชี่ย มึงตัวร้อนนะ”
“ก็กูกินเหล้า มันร้อนไปทั้งตัวเลยว่ะ”
“มึงไม่สบายเว้ยไม่ใช่กินเหล้า ขึ้นดอยแปบเดียวแม่งไข้แดกอีก” ไอ้ม่านมันบ่นๆ จนผมนึกย้อนตอนมาบ้านไอ้ม่านครั้งแรกผมก็ขึ้นดอยเหมือนกันฮะ ตอนนั้นไม่หนาวขนาดนี้แต่ลงมาก็เป็นไข้เหมือนกัน ผมถูกหิ้วกลับมาพอหัวถึงหมอนผมก็โวยวายบ้าบอก่อนจะร้องไห้เป็นเผาเต่า ไม่รู้ร้องเพราะอะไร ในหัวมันมึนไปหมด คิดถึงแม่ คิดถึงพี่กิ่ง คิดถึงบ้าน
“กลอย ร้องไห้ทำไม กลอย” ได้ยินเหมือนเสียงพี่โชเรียกครับ แต่เป็นไปไม่ได้ก็พี่โชโกรธจนไม่ยอมพูดกับผม พอคิดแบบนั้นผมก็ร้องไห้ออกมาอีก “ไม่เอา ไม่ร้องนะ ชู่วๆ” ผมรู้สึกเหมือนถูกกอด กลิ่นหอมเหมือนพี่โชเลย ฮึก คิดถึงพี่โชด้วย
“ฮึก พี่โช” ผมสะอื้นหนัก มองเห็นหน้าพี่โชลางๆ
“ครับ”
“ขอโทษ ฮึก ผมขอโทษ”
“ครับ ไม่เป็นไร อย่าร้องนะ ชู่วๆ”
“พี่ไม่คุยกับผม ฮึก ไม่มองหน้า ไม่ยอมให้เข้าใกล้ ฮึก พี่ ฮึก เกลียดผมแล้วใช่มั้ย ฮืออ”
“ไม่ครับ พี่ไม่ได้เกลียดเลย อย่าร้องนะ โอ๋”
“เกลียด ฮึก พี่โชเกลียดผม ขนาดผมเจ็บพี่ยังไม่สนใจ”
“ใครว่าไม่สนใจ” พี่โชยกมือผมที่ถูกพันเป็นมัมมี่ขึ้นเป่าเบาๆ “เดี๋ยวก็หาย”
“เจ็บ ฮึก ฮือ” สะอื้นจนตัวโยนอยู่ในอ้อมกอดของพี่โช ผมกอดเอวหนาแน่น ไม่รู้ว่าฝันอยู่หรือเปล่า แต่รู้แค่ว่าผมปวดหัวหนัก เหมือนมีคนเอาลูกตุ้มมาพันรอบหัว
“กินยานะ จะได้หาย อ้าปาก” ยาเม็ดเล็กๆ ถูกส่งเข้ามาในปากพร้อมกับน้ำ ผมกลืนโดยไม่รู้ตัวก่อนจะถูกอ้อมกอดอุ่นกอดแน่นแล้วนอนหลับไป แม้แต่ในความฝันอ้อมกอดของพี่โชก็ยังอุ่น ผมไม่ยอมเสียอ้อมกอดนี้ให้ใครแน่ นางงามจักรวาลไอ้กลอยก็ไม่ให้!
“แม่ง งอแงเป็นเด็กเลยว่ะ เพื่อนมึงอ่ะ” แทมมองเพื่อนตัวเองที่โอบกอดร่างที่ร้อนด้วยพิษไข้นอนบนฟูกอย่างเหนื่อยใจ เพราะตั้งแต่ถูกพาเข้ามา หน้าไอ้เด็กนี่ก็แดงเถือกคงเพราะไข้ขึ้น ที่จริงก็เห็นตั้งแต่ในรถแต่ก็ทำเป็นไม่สนใจ
“มันก็งี้แหละพี่ ป่วยแล้วงอแง” อัธตอบรุ่นพี่มหาลัย
“คงเพราะทะเลาะกับพี่โชด้วยแหละ ผมเห็นมันซึมไปเลย โคตรสงสาร” ม่านบอก ตั้งแต่ที่พระมหาธาตุแล้ว เขาเห็นเพื่อนตัวเองทำหน้างอเดินคนเดียว ก็คิดว่าจะไปขอโทษพี่โช แต่กลับทำเป็นเงียบ ปล่อยให้รุ่นพี่งอนอยู่ได้เป็นนานสองนาน
“เพื่อนมึงโง่ไง” จอมเดินมาสมทบ
“กวนตีนด้วย” ตินว่า
“แต่ไอ้โชก็รักมันอยู่ดี” ซันเดินมาปิดท้ายก่อนทุกคนจะพยักหน้าเห็นด้วย และพากันเดินออกไปเมื่อเบกับทูเรียกให้ไปกินข้าว
“แล้วไม่เรียกไอ้โชเหรอวะ” จอมถามซัน คนถูกถามส่ายหน้า
“ไม่ต้องหรอก ถ้ามันหิว เดี๋ยวก็ออกไปกินเอง ปล่อยไว้แบบนี้แหละ” จอมกับซันเหลียวมองเพื่อนตัวเองที่นอนหลับพร้อมกับคนเป็นไข้อีกที ก่อนพากันเดินตามคนอื่นไป
ความรัก กว่าจะเข้าใจมันก็ต้องใช้เวลา ยิ่งนานก็จะยิ่งรู้จักกันมากขึ้น
..................TBCวั๊ยๆ ทำไมขึ้นดอยมีดราม่าเฉย ไม่หวานเลยโน๊ะ แต่ตอนหน้านี่หวานแน่นอน (รึเปล่า หุหุ)
ขอบคุณสำหรับการติดตามและกำลังใจค่า
LOVE LOVE