Just you and I : Part Sun & Jom [1]
[JOM]
‘ผมไม่เชื่อในความรัก’ ทำไมน่ะเหรอ เพราะความรักไม่มีอยู่จริงบนโลก มีเพียงแค่ความสัมพันธ์ที่ผูกกันไว้ก็แค่นั้น แบบนั้นผมไม่เรียกว่ามันคือความรัก ใครหลายคนอาจอิจฉาชีวิตความเป็นอยู่ที่แสนจะสุขสบาย แต่ไม่มีใครรู้ว่าเบื้องหลังมันเป็นยังไง และผมไม่เคยเล่าให้ใครฟัง
“จอม เป็นเด็กดีนะลูก ห้ามดื้อ ห้ามซน เชื่อฟังพี่แอนนะ รู้มั้ย” คำสั่งของแม่ก่อนจะเดินทางไปต่างประเทศกับพ่อ ทั้งคู่ทิ้งให้ผมกับน้องอยู่กับพี่เลี้ยงที่แสนใจดี เธอยิ้มแย้มอย่างเป็นมิตร
ยืนมองแม่กับพ่อนั่งรถตู้ออกไปจากบ้าน น้ำตาผมไหลออกมาและกอดกับน้องชายไว้แน่น จีน น้องชายของผม น้องยังเด็ก และผมก็ยังเด็ก ตอนนั้นอายุผมราวๆ เจ็ดขวบ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อกับแม่ต้องทำงานหนัก แม่มักจะบอกว่าจะหาเงินให้ผมใช้เยอะๆ แต่ทำไมไม่ถามผมก่อนว่าผมอยากได้อะไร
ผมกับจีนอยู่กับพี่แอน พี่เลี้ยงที่พ่อจ้างมาจากกรมจัดหางาน เธอดูเป็นคนใจดี แต่ได้ไม่นานเธอก็รีบตีผม และขู่ไม่ให้ผมบอกใคร ผมกลัวจีนจะกลัว เลยยอมอดทน แล้วที่ผมเป็นคนกินไม่ยั้ง นั่นก็เพราะตอนที่อยู่กับพี่เลี้ยง เธอมักจะสั่งให้ผมไปบอกแม่ครัวให้ทำกับข้าวที่เธออยากกิน โดยแต่ละอย่างจะทำมาเยอะจนกินแทบไม่หมด และผมต้องกินต่อจนหมด หากไม่หมดเธอขู่จะให้จีนกิน ผมเลยต้องยัดมันลงท้องจนหมด
สาเหตุที่ผมกินไม่หยุด
พอนานวันเข้า จากเดือนเป็นปี ผมต้องทำแบบนั้นอยู่ตลอด พอวันหยุดแม่กลับมาและตกใจที่ผมกินจุเกินเด็กธรรมดา แม่พาผมไปหาหมอเพื่อรักษา แต่คุณหมอบอกเป็นเรื่องเกี่ยวกับจิตใต้สำนึก และมันจะหายเองเมื่อผมโตขึ้น
พี่เลี้ยงมักจะกรอกหูผมเสมอว่า พ่อกับแม่ไม่เคยรักผม และเธอก็ไม่ได้รักผม แต่ที่ทนอยู่ก็เพราะอยากได้เงิน ทุกคนในบ้านก็ไม่มีใครรักผม ทุกคนต้องการเพียงแค่เงินเท่านั้น
ความรักมันจึงไม่มีอยู่จริง
ผมไปโรงเรียนและกินอาหารเยอะจนอาเจียนออกมา คุณครูพาผมไปหาหมอและหมอก็เจอรอยช้ำที่ด้านหลัง เพราะแบบนั้นแม่ผมจึงบินกลับมาเพื่อจัดการกับพี่เลี้ยง และได้รู้สาเหตุที่แท้จริงเกี่ยวกับการกินของผม แต่ตอนนี้มันสายไปที่ผมจะกลับมากินแบบคนปกติ นั่นเพราะจิตใต้สำนึกมันสั่งแบบนั้นออกมาตลอดเมื่อถึงเวลาต้องกินข้าว
ผมเห็นแม่นั่งร้องอยู่ในห้องก็อยากจะร้องไห้ตาม ผมรู้ว่าแม่ห่วงใย และรู้สึกผิดที่ปล่อยผมไว้ ผมรู้ดีว่าถ้าแม่เลือกได้ แม่คงไม่ปล่อยให้ผมต้องเจอเรื่องราวแย่ๆ แบบนั้น
เวลาผ่านไปจนผมเข้าโรงเรียนมัธยม ผมมักจะไม่มีเพื่อนสนิท เพราะพวกนั้นมองผมเป็นตัวประหลาด แค่ผมไม่ชอบยุ่งกับใครถึงกับมองว่าเป็นตัวประหลาด ตรรกะของคนพวกนี้ช่างไม่น่าคบเอาเสียเลย
ผมอยู่ตัวคนเดียวภายในโรงเรียนที่แสนกว้าง มองไปทางไหนก็แสนจะน่าเบื่อ จนวันหนึ่ง มีเด็กเข้าใหม่ที่เข้ามาเรียนกลางเทอม เด็กคนนั้นหน้าตานิ่งจนผมแปลกใจ รอบๆ ตัวมันดูไม่น่ามีใครคบแบบผม ก่อนมันจะเดินตรงเข้ามาหาและขอยืมดินสอที่ผมเพิ่งจะเหลาไปเมื่อกี้
“ขอยืมดินสอหน่อย ลืมเอามา” มันว่า ผมเงยหน้ามองนิ่งๆ ก่อนยิ้ม
“มึงเป็นเพื่อนกูมั้ย” ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมถามมันออกไป มันเลิกคิ้วมองพร้อมจุดรอยยิ้มที่มุมปาก
“ไม่ขัดข้อง”
“กูชื่อจอม”
“กูโช ยินดีที่ได้รู้จัก”
และนั่นคือเพื่อนคนแรกในชีวิตของผม พอได้รู้จักมันจริงๆ มันก็เป็นเด็กที่ครอบครัวอบอุ่น แต่ชอบทำตัวเป็นปัญหาเอง คงเพราะถูกตามใจมากเกินไป มันเป็นพวกอยากได้อะไรต้องได้เดี๋ยวนี้ อยากกินเค้กต้องได้กินเดี๋ยวนี้ ไอ้บ้านี่แปลกดี
พวกเราสองคนสนิทกันมากขึ้น อาจเพราะนิสัยบางอย่างที่คล้ายกัน ไอ้โชเป็นเด็กที่ง่ายๆ ทำตัวติดดินไม่เหมือนลูกคุณหนูที่กินข้าวข้างทางไม่เป็น แต่มันกลับรู้จักร้านอร่อยๆ แทบทุกร้าน หลายครั้งที่มันถามเรื่องการกินจุ ผมก็บอกไปตามตรง มันก็ทำหน้าธรรมดาๆ และบอกให้ผมอยากกินก็กิน ไม่อยากกินก็หยุดแค่นั้น
จนวันที่เราขึ้นมอปลาย และได้เรียนห้องเดียวกัน ไอ้โชเป็นเด็กหัวดีเข้าขั้นอัจฉริยะย่อมๆ คนหนึ่ง แต่มันไม่ค่อยแสดงออก บางครั้งมันไม่ตั้งใจเรียน แต่ผลสอบกลับเป็นที่หนึ่ง มันไม่ชอบคนเยอะเพราะวุ่นวาย แต่ก็มีสาวๆ เข้ามามันมาก ทีเรื่องนี้มันไม่เห็นบ่น
เพื่อนในห้องส่วนใหญ่ก็มาจากที่เดิมเหมือนพวกผม จะมีอยู่ไม่กี่คนที่เข้ามา อย่างเช่นไอ้คนที่ตัวสูงๆ หน้าตายิ้มแย้ม แต่ผมมองออกว่าภายใต้รอยยิ้มนั่นมันมีอะไรแอบแฝง
“ไอ้นี่ไม่ธรรมดา” แม้แต่ไอ้โชยังพูดออกมาจนผมพยักหน้าเห็นด้วย
สาวๆ เข้าหามันมากจนพวกผมเวียนหัว สลับเช้ากลางวัน แถมสับรางเก่งจนอยากจะยกนิ้วให้
วิชาเรียนบางวิชาต้องทำงานเป็นกลุ่ม และไอ้นั่นก็เดินเข้ามาหาพวกผมแล้วออกปากขออยู่ด้วยพร้อมรอยยิ้มเป็นมิตร
“ขออยู่กลุ่มด้วยคนสิ” มันยิ้ม แต่ผมมองดูแบบไม่ค่อยไว้วางใจจนมันสังเกต “มองทำไม มีอะไรติดหน้าเราหรือเปล่า”
“พูดธรรมดาเถอะ แบบนี้กูจะอ้วก” ไอ้โชมันขัดขึ้นจนไอ้คนพูดดีหัวเราะ
“กะแล้วว่าอยู่กลุ่มนี้ต้องสนุก กูซัน ยินดีที่ได้รู้จัก”
นั่นคือครั้งแรกที่มันแนะนำตัวกับพวกผม รอยยิ้มแสนใจดีซ่อนความร้ายกาจไว้อย่างมิดชิด หากใครได้ลองหลงติดกับดักนั่น ยากจะถอนตัวขึ้น
“ทำไมมึงกินเยอะวะ” ไอ้ซันมันถามหลังจากผมกินข้าวจานที่สาม มองหน้ามันก่อนจะบอกว่าหิว แต่มันก็ไม่ยอมหยุดถาม “หิวเชี่ยไร กินเยอะเดี๋ยวก็จุกพอดี แล้วเดี๋ยวมึงก็ไปอ้วกอีก” ผมมองมันตาโต มันรู้ได้ไงว่าผมกินเสร็จแล้วมักจะอ้วก
“มึงรู้ได้ไง” ไอ้โชมันถามแทนครับ
“ก็กูเห็น” ไอ้ซันมันจ้องหน้าผมแต่ตอบไอ้โช
“เห็นที่ไหน” คราวนี้เป็นผมที่ถาม มันก็เปลี่ยนไปจ้องหน้าไอ้โช
“กูตามมันตอนไปเข้าห้องน้ำ เห็นมันอ้วกทุกอย่างออกมาหมด” มันตอบเรียบๆ “กูสังเกตมาสักพักละ ทุกครั้งหลังกินข้าว มึงเป็นแบบนี้ตลอด ไปหาหมอบ้างเถอะ” น้ำเสียงคล้ายกับเป็นห่วง ผมเลยตบบ่ามันไปที
“กูไม่เป็นไร”
“ไม่เป็นไรได้ยังไง แบบนี้เป็นโรคแล้วนะ น่าจะไปหาจิตแพทย์สักหน่อย” ว่าแล้วมันก็หยิบมือถือเครื่องแพงออกมาจากกระเป๋าแล้วมันก็กดๆ แล้วโทรออกจนผมมองหน้ากับไอ้โชแบบงงๆ
(ว่าไง) เสียงปลายสายที่ลอดออกมา
“ป้าครับ พวกที่กินแล้วอ้วกเป็นโรคหรือเปล่า” ผมตาโตมองไอ้ซันมันโทรถามป้าตัวเอง
(อาจเป็นโรคบูลิเมีย อนอเร็กเซีย เป็นโรคเกี่ยวกับการกลัวความอ้วน เวลาเห็นตัวเองแล้วจะคิดว่าอ้วนจึงมักจะหาวิธีทำให้ตัวเองผอม ไม่อดอาหาร ก็กินอาหารแล้วก็ล้วงคออ้วกทีหลัง) คำอธิบายยาวเหยียดดังผ่านลำโพงโทรศัพท์ที่ไอ้ซันเปิดให้ผมฟัง
“แล้วเป็นยังไงต่อครับ” เหล่ตามองผมขณะถามต่อ
(คนกลุ่มนี้มักจะกินอาหารแบบที่บังคับตัวเองไม่ได้ ทำให้กินมากเกินไปแล้วจึงอาเจียนออกมา ถ้าไม่รักษาอาจมีผลกระทบที่ไต กระเพาะปัสสาวะ จากอาการขาดน้ำ)
“แล้วมีแบบอื่นอีกมั้ยครับ”
(ก็มีนะ กลุ่มผู้ป่วยที่เป็นโรค อนอเร็กเซีย เนอร์โวซ่า กลุ่มนี้จะเป็นเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพจิต อาจเกิดจากการถูกกระทบกระเทือนทางจิตใจทำให้เป็น ก็ประมาณนี้ ว่าแต่ ถามป้าทำไม หรือเพื่อนเราเป็น)
“ครับ พอจะรักษาหายมั้ยครับ”
(ก็หายอยู่ แต่ต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง และต้องดูแลฟื้นฟูสุขภาพจิตให้เข้มแข็ง)
“ขอบคุณครับ”
หลังจากวางสาย ไอ้ซันก็จ้องหน้าผมอย่างกับผมเป็นนักโทษ
“มองทำไม”
“กูจะช่วยมึงเอง”
ผมหัวเราะเสียงดังหลังจากได้ยิน และไม่คิดเอามาใส่หัวสมอง แต่หลังจากนั้นมันทำจริงครับ ทุกครั้งที่ผมกินมากกว่าสองจาน ผมจะถูกไอ้ซันเทข้าวทิ้งจนหมด ไม่ก็บังคับให้ดื่มน้ำขวดสองลิตรจนหมด เป็นแบบนั้นอยู่พักใหญ่ๆ ไอ้โชมันยังอึ้งที่ผมเริ่มลดปริมาณการกินลงได้ แม้จะหักดิบไปสักหน่อย
แต่มันก็ไม่ได้หายไปหมดซะทีเดียว หลายครั้งที่คนบังคับไปเดท ผมมักจะเผลอกินแบบเดิม แม้จะถูกไอ้เพื่อนหน้าดุสั่งห้ามกิน แต่แปลก ผมไม่เชื่อเลยสักนิด
พอเริ่มเข้ามหาวิทยาลัย พวกผมสามคนก็ติดคณะเดียวกันหมด ซึ่งจะว่าเบื่อหน้าพวกมันก็ใช่ แต่พอคิดอีกทีมันก็ดี ไอ้โชถูกเลือกเป็นเดือนคณะแต่หน้าตานิ่งเกินไปไม่มีรอยยิ้มเลยไม่ได้เป็นเดือนมหาลัย ตอนนั้นโคตรจะขำ และมันก็บ่นว่าไม่ได้อยากเป็น
วันประกวดพวกผมเจอกับแฟนไอ้ซันครั้งแรก เด็กนั้นใส่ชุดมัธยมปลาย ยิ้มกว้างให้พวกผม ดูก็รู้ว่าเด็กคนนี้คงเป็นเพล์เกิร์ลตัวแม่ ที่รู้เพราะกำลังทำตาเล็กตาน้อยใส่ไอ้เดือนคณะข้างผมนี่แหละ ดูเหมือนคนที่กอดไหล่ก็รู้แต่ดูมันไม่เดือดร้อนอะไร แปลว่าเด็กคนนี้คบเล่นๆ ตามเคยสินะ ผมละสงสารพวกที่เข้าหาไอ้ซันจริงๆ มันเป็นพวกกะล่อนตัวพ่อ
การรับน้องที่หนักหน่วงเหนื่อยสายตัวแทบขาดกว่าจะผ่านมาได้ แต่ก็ได้มิตรภาพดีๆ จากเพื่อนๆ ร่วมชั้นและพี่ร่วมสถาบัน แม้ผมแทบจะว้ากกลับไปอยู่บ่อยครั้งแต่ก็ต้องทำหูทวนลม ตอนนี้ได้เพื่อนใหม่มาอีกสาม ไอ้แทม ไอ้เบ แล้วก็ไอ้ติน พวกมันดูเฮฮาบ้าบอเข้ากันได้ดีเหมือนปาท่องโก๋แฝดสาม
“ทำไมมึงไม่มีแฟนวะ หล่อ รวย เพอร์เฟกขนาดนี้” ไอ้แทมมันถามผมขณะเรากำลังคุยเรื่องกิ๊กของไอ้ซันคนใหม่เป็นดาวคณะนิเทศ มองหน้าไอ้คนถามและคนรอบวง
“กูหาสเป็กไม่ได้ว่ะ” ผมตอบ
“แล้วมึงชอบแบบไหน กูรู้จักโคตรเยอะ” ไอ้ตินมันบอก ก่อนจะโดนฝ่ามือของไอ้คนมีกิ๊กเยอะตบเข้าเต็มหัว “ตบหัวกูทำเชี่ยไรวะไอ้ซัน”
“ไม่ต้องไปแนะนำมันเลย” ได้ยินเสียงไอ้โชหัวเราะเบาๆ ผมก็ไม่ได้ใส่ใจ หรือผมจะลองคบใครดู เผื่อจะได้คลายเหงา
“ก็ดีนะมึง หาให้กูสักคน เอาน่ารักๆ ตัวเล็กๆ นะ” ผมคิดถึงหน้าน้องชายตัวเองแล้วยิ้มออกมา จีนเป็นเด็กตัวเล็ก สูงแค่ร้อยหกสิบกว่า ตัวขาว ปากแดง เป็นเด็กน่ารักและเป็นมิตรกับทุกคน
“ได้เลยเพื่อน ไอ้เบ จัดไป” ไอ้ตินมันหลบฝ่ามือที่จะฟาดอีกรอบ “ไม่ได้กินกูหรอก”
“มึงไม่ต้องไปบ้าตามไอ้พวกนี้” ไอ้ซันมันชี้นิ้วสั่งผมครับ แล้วทำไมต้องฟัง
“เรื่องของกู มึงไม่เกี่ยว” ตอบไป
“เยี่ยมมากเพื่อนกู”
หลังจากนั้นผมก็ได้เบอร์ผู้หญิงมาคนหนึ่ง เธอชื่ออุ้ม เป็นเด็กปีหนึ่งเหมือนกันแต่เรียนคนละที่ หน้าตาน่ารัก ตัวเล็ก นิสัยขี้อ้อนแบบที่ผมชอบ
“จอมคะ อุ้มว่า เรากินสเต็กดีกว่าเนอะ” นิ้วเรียวชี้ไปที่ร้านสีเขียวด้านขวามือหลังจากผมไปรับอุ้มมาจากหอพัก
“แต่จอมว่ากินชาบูดีกว่า อิ่มกว่าด้วย” ใบหน้าน่ารักง้ำงอ
“แต่อุ้มอยากกินสเต็กนี่นา” เอาแต่ใจ
“งั้นอุ้มไปกินสเต็ก จอมไปกินชาบู โอเคมั้ย” ตอบแบบหัวเสีย
“ก็ได้” แล้วอุ้มก็สะบัดหน้าหนีพร้อมกับเดินเข้าร้านสเต็กไป ผมได้แต่ถอนหายใจ การมีแฟนมันลำบากจริงๆ
ผมนั่งกินชาบูไปเรื่อยๆ หยิบจานนั้นมาใส่หม้อจนเต็มแล้วยัดเข้าปาก พนักงานเดินมาเก็บจานของผมที่แทบจะล้นโต๊ะ แต่พอจะยื่นมือหยิบเนื้อมาอีก จานนั้นกลับถูกแย่งไป
“ใครวะ” เหวี่ยงใส่ อารมณ์เสียเวลาจะกินแต่ถูกขัด ไอ้คนหยิบไปจ้องนิ่ง ดวงตาที่เคยอ่อนโยนดุจนผมต้องก้มหน้ากินของในหม้อต่อ
“กูบอกให้มึงกินน้ำเปล่าก่อนกินข้าว” เสียงดุจนคนนั่งข้างๆ หันมามอง “แล้วนี่อะไร มึงกินขนาดนี้จะอิ่มยันชาติหน้าหรือไง”
“เรื่องของกู” ผมตอบกลับ ไอ้ซันไม่โวยวายต่อ แต่มันดึงแขนผมแล้วจ่ายเงินทันที พอผมโวยวายมันก็ด่าด้วยสายตาจนต้องหุบปาก “จะพากูไปไหน กูมากับแฟนกู ไอ้เชี่ยซัน” ผมงับเข้าที่แขนคนลากเต็มปาก ดูหน้ามันก็รู้ว่าเจ็บแต่ก็ยังไม่ยอมปล่อย
“พอใจหรือยัง” มันถามเสียงนิ่ง
“กูมากับแฟนกู” ยังยืนยันคำเดิม
“เมียมึงไปกับคนอื่นแล้ว” ไอ้ซันมันว่า แต่ผมไม่เชื่อ มันเลยลากผมออกมา
“พากูไปไหน ไอ้ซันเว้ย” โวยวายเสียงดังจนคนมองทั้งห้าง แต่มันก็ไม่สำนึกเอาแต่ลากๆ จนถึงโซนโรงหนัง พอผมจะโวยวายอีก มันก็ยกมือปิดปาก เอาออกก็ไม่ได้
“มึงดู นั่นเมียมึงหรือเปล่า” มันชี้ด้วยสายตาไปยังสาวสวยคนที่ผมเลือกซื้อชุดให้ เธอกำลังหัวเราะต่อกระซิกกับผู้ชายหน้าตาเหมือนปลาบู่ชนเขื่อน แต่ทรัพย์สมบัติที่ตัวน่าจะแพงอยู่ “มึงมันโง่ ให้ผู้หญิงหลอก”
ผมตวัดสายตาใส่ไอ้คนด่า “กูไม่ได้เจ้าชู้ทันคนเหมือนมึงนี่ ไอ้เอาไม่เลือก” ด่ามันแต่มันกลับหัวเราะ
“ยังไงมึงจะคบใครก็ดูดีๆ เจอแบบนี้จะเสียเงินเปล่า”
“ยุ่ง”
“ก็มึงเป็นเพื่อนกู ไม่ให้ยุ่งได้ยังไง” ผมเหลือบตามองไอ้คนพูด แล้วพยักหน้าเบาๆ ส่วนผู้หญิงคนนั้น เธอคือแฟนคนแรกของผม คิดดีๆ ก็มีความสุขบ้าง เบื่อบ้าง อยากเหวี่ยงบ้าง มันก็แปลกดี น่าลอง น่าค้นหาไปเรื่อยๆ
“ไว้กูจะหาคนดีๆ สักคน” ผมตบหน้าอกเพื่อนตัวเองเบาๆ แล้วเดินจากไป ไม่รู้หรอกว่าไอ้ซันมาได้ยังไง หรือมากับกิ๊กที่ไหน แต่มันก็เป็นเพื่อนที่ดี แต่ถ้าให้เลือกสนิทที่สุดก็ยังคงเป็นไอ้โชหน้านิ่งอยู่ดี เพราะมันไม่ขี้บ่นจนทำผมหูชาและไม่เป็นจอมบงการชีวิตของผม
หาแฟนนิสัยแบบไอ้โชดูท่าจะดี
....TBCพี่จอมพาร์ทแรกค่าา ค่อยๆ ไปเนาะ พี่จอมไม่รีบ อิอิ
เจอกันพาร์ทหน้าค่าา
