►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 26 The End // UP DATE 19/9/59
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 26 The End // UP DATE 19/9/59  (อ่าน 49796 ครั้ง)

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
เราว่าฟรานซิสน่าจะรู้เรื่องแล้วแต่รอให้นายเอกของเราเอ่ยปากเล่าเรื่องอยู่มั้งนะ

ออฟไลน์ ทามากิบ๊อง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-4



15




   ผมแยกกับไอบัสทันทีที่มาถึง ไอ้บัสบ่นตลอดทางว่าเมื่อคืนแทบไม่ได้นอน เรียกว่าหลับตาเฉยๆ ซะดีกว่า เพราะเมื่อคืนทันทีที่ผมกับไอ้บัสเข้าไปนอนก็ได้ยินเสียงลุงแกขับเรือหางยาวอยู่ในห้อง เสียงดังกระหึ่มป่ามาก ขอโทษเถอะครับลุงชื่น แต่ผมไม่เคยได้ยินใครกรนเสียงดังเท่านี้มาก่อน สภาพอิดโรยที่ไม่ได้นอนระหว่างผมกับไอ้บัสจึงไม่ต่างกันเท่าไหร่ ตอนนี้ก็ประมาณ 10 โมงเช้า ผมกะจะเข้าบ้านก่อนแต่ก็ขี้เกียจวกกลับมาแถวนี้อีก ผมเลยตรงดิ่งมาที่เพนท์เฮาส์ของฟรานซิสทันทีกะว่าเวลาก่อนเที่ยงจะของีบสักนิดแล้วค่อยลุกขึ้นทำงานต่อ

   กึก!

   ผมเปิดประตูลากขาเข้ามาเต็มที อาการง่วงเข้าสิงเมื่อเจออากาศเย็นๆ เลยเดินพาตัวเองมาโยนสัมภาระลงบนเคาเตอร์ในครัวที่เสมือนสถานที่สิงสถิตประจำของผมก่อนจะเดินลัดเลาะเลียบไปล้มตัวลงนอนที่โซฟากลางใจบ้านซึ่งเป็นที่ประจำของฟรานซิส

   ไม่เป็นไรวันนี้ฟรานซิสไปทำงาน ขอแอบงีบสักเดี๋ยวคงไม่เป็นไรหรอก    

   ซู้ดดด…

   ผมนอนคว่ำหน้าลงเอาหน้าซุกลงกับหมอนอิงใกล้ๆ พอหายใจเข้าปอดเต็มแรงก็ได้กลิ่นน้ำหอมกรุ่นๆ ซึ่งเป็นกลิ่นที่ฟรานซิสใช้เป็นประจำ มันทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเยอะเลย

   “อืม....สบายจัง”ผมพึมพำออกมาอย่างสุขใจ และกำลังเดินทางเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างที่ปรารถนา



ฟรานซิส Part

   เสียงกุกกักที่ดังจากด้านล่างทำผมละสายตาไปจากหน้าจออุปกรณ์ทันสมัยที่ใช้เพียงนิ้วสัมผัสก็สามารถติดตามงาน และอ่านเอกสารได้โดยไม่ต้องใช้กระดาษ ผมจัดการปิดหน้าจอก่อนจะโยนมันลงบนเตียงแล้วพาตัวเองมายังชั้นล้างของเพนท์เฮาส์

   ระหว่างที่ผมกำลังเดินลงจากบันใด สายตาก็ไปสะดุดเข้ากับชายหนุ่มใบหน้าได้รูปดวงตากลมโตจมูกเชิดรั้นรับกับเรียวปากอิ่มเดินโซซัดโซเซมีท่าทีผิดแปลกไป ผิวขาวเนียนที่ยามต้องแสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านม่านหน้าต่างแทบขาวซีดกลับถูกเจ้าของร่างกายขูดเกาตามแนวท่อนแขนจนเป็นรอยผื่นแดงอย่างไม่เสียดาย ผมส่ายหน้าเหนื่อยใจก่อนจะเดินลงไปและเห็นว่าเจ้าตัวหาวหวอดเสียจนจะกินโลกได้ทั้งใบพลันตัวล้มตัวลงนอนคว่ำตรงโซฟากลางบ้าน ที่น้อยครั้งนักที่เขาจะแตะมัน

   “อาการอดหลับอดนอนของนายนี่มันอะไรกัน”ผมเดาว่าเจ้าตัวคงยังไม่ทันจะหลับตา

   “คุณฟรานซิส!”ธันชายหนุ่มที่ผมอยากจะกุมเขาให้อยู่หมัดดีดตัวขึ้นมายืนอย่างกับติดสปริงค์ ผมใช้สายตามองเขาเพื่อให้รับรู้ว่าผมยืนอยู่ตรงนี้และเห็นทุกอย่าง ผมไม่ได้จะเอ็ดว่าเขาแอบใช้โซฟาของผม แต่ผมจะจัดการกับเด็กที่ไม่รู้จักระวังตัวนี่เสียหน่อย และผมมีวิธีของผมอยู่ในใจแล้ว

   “คุณอยู่.....ไม่ได้ไปทำงานเหรอครับ วันนี้มัน.....”ผมมองลงไปในดวงตากลมโตของธันอย่างนึกสนุก ผมไม่รู้ว่าเขากลัวอะไรนักถึงได้ลนลานขนาดนั้น ผมแค่ขยับตัว เขาก็สะดุ้งแล้ว

   “นายยังไม่ตอบคำถามฉันเลยว่าอดหลับอดนอนมาจากไหน”ผมเสียงแข็งขึ้นเมื่อคนตรงหน้าทำท่าอึกอักเลี่ยงจะตอบคำถาม และวันนี้ที่ผมยกเลิกการประชุมช่วงเช้า สาเหตุเพราะคนในปกครองที่เลี้ยงยังไม่เชื่องนี่แหละ

   “ปะเปล่า ผมก็แค่เดินทางมาเหนื่อยเลยอยากจะล้มตัวลงเพราะว่ามันเมื่อยสุดๆ”

   “มือ”ผมเอ่ยเสียงเบา บอกคนตรงหน้าให้ยื่นมือมา

   “มือ? คุณหมายถึงอะไร”คิ้วของธันขมวดแทบจะเป็นเครื่องหมายคำถามแปะหราอยู่กลางหน้าฝากของเขา ผมเดาว่าธันคงจะยังไม่เข้าใจความหมายผมเลยย้ำอีกครั้ง

   “ขอมือ”

   ฟึบ!

   “คุณเล่นอะไรเนี้ย!”ผมดึงมือที่เย็นเยียบเข้าหาตัวก่อนจะเค้นเอาคำตอบ ผมรู้ว่าทุกอย่างปกติ ผมแค่อยากทำให้แน่ใจ อะไรจะดีไปกว่าได้ยินคำตอบจากปากคนตรงหน้า ในเมื่อเขาเลือกที่จะปฏิเสธความช่วยเหลือไม่ให้ผมส่งคนไปรับ เขาควรจะทำอะไรเพื่อไถ่โทษความขุ่นมัวของผมบ้าง

   “บอกฉันมาดีๆ ว่าเมื่อคืนนายไปทำอะไรกับใครบ้าง”ผมขยับวงแขนโอบคนตรงหน้าแน่นขึ้น สีหน้าอึกอักทำให้ผมอยากจะรัดแน่นเข้าไปอีก

   “ปล่อยผมก่อน ผมอึดอัด....ก็บอกแล้วไงว่าผมอยู่กับไอ้บัส ไม่ได้ไปทำอะไรไม่ดีทั้งนั้น”ร่างเล็กขยับดิ้นอย่างต่อต้าน

   “จะแน่ใจได้ยังไง กับแค่เดินทางถึงกับทำให้นายง่วงขนาดนี้เชียว”

   “ผม....ผมไม่ได้นอนทั้งคืนทำไมผมจะง่วงไม่ได้”คนตัวเล็กตรงหน้าทำตาขึงดุใส่ผม และเหมือนตัวเขาจะรู้ว่าตัวเองพูดอะไรให้ผมสงสัยเขาจึงรีบหลบตาลงต่ำ ผมยกยิ้มข้างมุมปากไม่ให้เห็นก่อนจะตีหน้าตึงหมุนตัวให้คนหน้าบึ้งหันหลังให้แล้วรวบลงมานั่งในตักแม้ธันจะทำอารยขัดขืนต่อผมก็ตาม แต่แรงสู้เขาน้อยกว่าที่ผมคิด

   “หืม.....มัวทำอะไรถึงได้ไม่นอน”ผมกระซิบลงตรงไหล่มนผ่านลำคอขาว กรอบหน้าที่แดงเรื่อไปจนถึงใบหูทำให้ผมรู้สึกพอใจ

   “จะให้นอนหลับได้ยังไงในเมื่อลุงคนที่ผมกับไอ้บัสไปนอนด้วยกรงเสียงดังขนาดนั้น”ธันหันมาค้อนใส่ผมเสียยกใหญ่ ปากอิ่มนั่นเม้มเข้าหากันแทบเป็นเส้นตรงแสดงความไม่พอใจ แต่ใบหน้าที่แดงเรื่อบวกกับดวงตากลมโตที่หรี่ลงจนคิ้วขมวดชวนให้ผมอยากจะแกล้งคนตรงหน้าให้โกรธขึ้นไปอีก

   “แล้วจะให้ฉันเชื่อที่นายพูดได้ยังไง จริงมั้ย?”

   “หากคุณไม่เชื่อผมจะต่อสายหาไอ้บัสแล้วให้มันพูดกับคุณ”

   “ฉันจะแน่ใจได้ยังไงว่าเพื่อนของนายไม่ได้กำลังโกหกฉันอยู่”

   “คุณฟรานซิส คุณต้องการคำตอบแบบไหนกันแน่”

   “งั้น ให้นายบอกฉันสิว่านายกับเพื่อนของนายไม่ได้ทำอะไรนอกลู่นอกทาง”ผมเลื่อนมือหนาสอดเข้าใต้ชายเสื้อสัมผัสได้ถึงผิวหน้าท้องของคนในตักที่อุ่นๆ หดเกร็งอย่างรู้สึกได้

   “นี่คุณคิดว่าผมกับไอ้บัส....ผมกับมันเป็นเพื่อนกันนะ! มีแต่คุณเท่านั้นแหละที่คิดอะไรแบบนั้น คุณฟรานซิสปล่อยผมได้แล้ว”ยิ่งดิ้นร่างกายของเขาก็ยิ่งร้อนผ่าว คนตรงหน้ากระวนกระวายเท่าไหร่ผมก็ยิ่งสนุก

   “ถ้าจะให้ฉันเชื่อ ฉันก็ต้องพิสูจน์ให้เห็นกับตาสิว่า ของๆ ฉันไม่มีอะไรบุบสลาย”ผมเน้นประโยคที่ตอกย้ำให้รู้ว่าชีวิตและร่างกายของเขามันเป็นของผมไปแล้ว

   “คุณไม่ใช่ผู้ปกครองของผมนะ!”

   “ใครบอกว่าฉันเป็นผู้ปกครองนายกัน หืม?”คำถามที่ผมกระซิบบอกถึงแก้มเนียนทำให้คนในอ้อมกอดนิ่งไปราวกับกำลังครุ่นคิดก่อนจะโตตอบผมด้วยท่าทีที่ผมคาดการณ์ไม่ถึง

   “โอเค! คุณเป็นเจ้านาย ส่วนผมแค่ลูกจ้าง เพราะฉะนั้นคุณก็ไม่ควรทำกับลูกจ้างแบบนี้”มือเล็กพยายามงัดแงะแกะมือผมออก แต่เขารู้ไหมว่าการกระทำของเขาช่างไร้ประโยชน์ มันยิ่งทำให้ผมนึกสนุกเข้าไปอีก

   “ใครว่าล่ะ ฉันจะเลื่อนตำแหน่งให้นายต่างหาก”

   “ไม่เอา คุณฟรานซิส ผมเรียกชื่อคุณเป็นรอบที่ร้อยได้แล้วนะ!”

   “ก็เรียกต่อไปสิ ฉันก็ไม่ได้รำคาญอะไร”ท่าทางหงุดหงิดงุ่นง่านแต่ทำอะไรไม่ได้กำลังหาทางหนีจากวงแขนของผมอยู่

   “คุณนี่มันช่าง…..อ๊ะ!”

   “ช่างอะไรล่ะ พูดให้จบสิ”มือข้างหนึ่งของผมเลื่อนลงต่ำเข้าสัมผัสกับส่วนอ่อนไหวของคนในอ้อมแขนโดยมีผ้ายืดบางๆ กางกันไว้ และอีกมือก็เลื่อนลูบไล้ขึ้นไปภายใต้เสื้อบางเข้าสัมผัสกับคอขาวก่อนรั้งกรอบหน้าเข้าหาตัวแล้วส่งจูบที่เต็มไปด้วยความปรารถนาให้กับธัน เจ้าของร่างกายที่อยู่ภายใต้อาณัติกำลังต่อต้าน แต่ดูเหมือนเรี่ยวแรงของเขาจะอ่อนยวบลงเมื่อส่วนล่างถูกผมป่วนจนเผลอหลุดเสียงร้องออกมา ผมกระตุกยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นสีหน้าที่ช่างเร้าอารมณ์กำลังเคลิบเคลิ้มจนไม่อยากจะปล่อยให้เลือนหายไป

   ผมส่งจูบเข้าหาริมฝีปากหยักนั่นอีกครั้ง ก่อนจะใช้นิ้วรั้งริมฝีปากคนตรงหน้าให้เผยออกราวกับสอนวิธีการที่ทำให้ผมรู้สึกพอใจได้ให้แก่เขา ลิ้นอุ่นๆ ที่ถดร่นหนียิ่งทำให้ผมต้องการที่จะไล้ต้อนด้วยลิ้นอุ่นชื่นอย่างกระหายชัยชนะ

   “อ๊ะ....ผมขอร้องหยุดเถอะครับ”เสียงที่ดูกร้าวก่อนหน้านี้อ่อนยวบเสียงจนแทบไม่มีแรง

   “ให้ฉันหยุด แล้วนายจะทำยังไงปล่อยให้ค้างคาแบบนี้จะดีเหรอ”ผมใช้ดวงตาคมโลมเสียแผ่นหลังเล็กที่กำลังสั่นเกร็ง ผมพูดหยังเชิงราวกับรู้ว่าถ้าผมยังไม่หยุดคนตรงหน้าคงทำมือผมเปื้อนได้แน่นอน

   “ผมอยากจะหยุด”

   “นายกลัวอะไร”ผมดันร่างของคนตรงหน้าให้เปลี่ยนมาเป็นหันหน้าเข้าหา ก่อนจะยื่นมือใหญ่ไปโอบใบหน้าที่ดวงตาช่างหวานหยดย้อย

   “ปะเปล่า แต่ว่าผม.....”ใบหน้าของธันมีความกังวนจนมันล้นเอ่อออกมาก ผมวางมือทั้งสองข้างลงและเอ่ยกับคนตรงหน้าเสียงนุ่มไม่ให้เขารู้สึกเหมือนผมเป็นตัวอันตราย แต่เขาจะคิดเช่นนั้นหรือไม่ผมคงคิดว่าไม่

   “ถ้านายไม่อยากให้ฉันทำต่อ ก็อ้อนฉันสิ แล้วฉันจะปล่อย”

   ผมไม่ได้อยากจะกลั่นแกล้งให้คนตรงหน้ารู้สึกกดดัน แต่ผมจะทำให้เขารู้สึกตัวต่างหากว่านับจากวันนั้น ร่างกายของเขาเป็นสมบัติส่วนตัวของผมอย่างไม่มีเงื่อนไง เพราะฉะนั้นใครที่คิดจะใช้ร่างกายนี้โดนที่ผมไม่ได้รับอนุญาตคงได้เห็นหายนะในไม่ช้าแน่นอน




ธัน Part

   “จูบฉัน แล้วก็บอกกับฉันว่านายเป็นของฉัน”

   ผม ไอ้ธันคนนี้คงฟังไม่ผิดใช่มั้ยที่ฟรานซิสยื่นข้อเสนอที่แสนน่ากลัวนั่นมาให้ เขาคิดอะไรอยู่ ผมเป็นของเขางั้นเหรอ?
   ถึงจะฟังแล้วใจผมมันเต้นจนแทบบ้าคลั่งก็เถอะ แต่ว่าเล่นให้ผมทำแบบนี้เพื่อแลกกับอิสระครั้งนี้มันไม่มากไปหน่อยรึไง ผมเป็นผู้ชายนะ จะให้ทำแบบนั้นมันเกินไป

   “ทำไม....ถ้าทำไม่ได้ฉันคงปล่อยนายไปไม่ได้เหมือนกัน”มือหนาเอื้อมขึ้นมาสัมผัสกับเส้นผมเล็กๆ ของผมที่ปรกหน้าอยู่แล้วเกลี่ยมันออก ผมเห็นร้อยยิ้มละมุนของฟรานซิสเพียงครู แต่แล้วมันก็อันตรธานหายไปอย่างรวดเร็ว

   “ผมเป็นผู้ชายนะ จะให้ผมทำแบบนั้นมันก็เกินไปหน่อย ผมไม่ทำเด็ดขาด!”

   “ฉันก็หวังให้นายพูดแบบนี้เหมือนกัน”สายตาคมกริบที่กวาดมองร่างกายของผม แม้จะมีเสื้อผ้าปกปิดไว้ขนาดไหน แต่เหมือนสายตาคู่นั้นจะมองทะลุปรุโปรงได้ จากอาการกิริยาที่บอกว่าเขาพอใจแค่ไหนที่ได้ยินประโยคปฏิเสธนั้นถึงกับทำผมหัวใจวูบเหมือนหล่นเหว และที่สำคัญผมก็ไม่ได้ใจเย็นกับอารมณ์ชายหนุ่มที่กำลังค้างคานี่ได้นาน มันปวดหนึบชนิดที่อยากเอาออกให้โล่ง

   “กะก็ได้ ผมจะทำ”ผมใช้ฝ่ามือดันแผงอกว้างของคนตรงหน้าสัมผัสได้ถึงอุณภูมิร่างกายที่ร้อนผ่าวและเสียงหัวใจที่เต้นอยู่ภายใน ผมหลับตาทำสมาธิอยู่ไม่ถึงสามวินาทีก็ตัดสินใจโน้มหน้าเข้าไปจูบแลกอิสระ

   บอกตามตรงผมไม่เคยรู้สึกเสียศักดิ์ศรีของความเป็นลูกผู้ชายเท่านี้มาก่อน ผมทำสิ่งนี้ไปเพื่อ?

   และทันทีที่ริมฝีปากของผมสัมผัสริมฝีปากหยักนั่นและกะจะแค่ทำให้มันผ่านๆ ไปแต่ใครจะคิดว่า สุภาษิตโบราณที่เขาว่า ไม่มีสัจจะในหมู่โจร จะมาแทงใจผมเอาตอนนี้

   ตัวของผมดิ้นพรากเมื่อถูกมือหนากดรั้งท้ายทอยราวกับไม่ยอมให้ผมผละไปจากการจูบ ผมรู้สึกเหมือนริมฝีปากของตัวเองแทบไหม้เมื่อถูกอีกฝ่ายบดขยี้จนเห่อปวม และร่างกายผมมันก็ไม่ได้มีแรงมากพอกับการดิ้นรน ความง่วงความเหนื่อย ความต้องการ และอีกหลายๆ อย่างทำผมเบลอไปหมด

   ภายหลังจากที่ฟรานซิสยอมล่าถอยจากจูบออกไปด้วยตัวเอง เขากลับกดแผ่นหลังผมให้ฟุบติดกับร่างแกร่งนั่น มันเหมือนเป็นการกอดธรรมดาแต่ทว่าผมกลับรู้สึกใจเต้นแรงรัวไม่มีหยุด เขาเงียบจนผมไม่กล้าพูดอะไร ผมอยู่ท่านี้นานมากแทบไม่กล้าขยับจนอดสงสัยตัวเองไม่ได้ว่าผมหลับคากอดของฟรานซิสไปทั้งแบบนั้นได้ยังไงกัน

   ผมไว้ใจเขาได้เหรอ ผู้ชายที่เอาแต่ใจสูงเกินเกณฑ์มาตรฐานขนาดนี้?



   ความรู้สึกอิ่มราวกับชาร์ตพลังเต็มที่ทำให้ผมรู้สึกตัวตื่น ร่างกายผมขยับอัตโนมัติและก็พบว่าตัวเองนอนเหยีดยาวอยู่บนที่นอนคุ้นตา ผมดีดตัวลุกขึ้นนั่งก้มลงมองตัวเองสำรวจถี่ถ้วน ความกังวนใจแรกตื่นถูกสลัดทิ้งเมื่อพบว่าทุกอย่างยังดูปกติและรู้สึกปกติ ผมกวาดสายตาไปทั่วห้องของฟรานซิสอย่างมึนงงสงสัยว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง

   “ตื่นแล้วงั้นเหรอ”เสียงทุ้มฟังดูนุ่มเดินอวดสัดส่วนได้รู้ของมัดกล้ามเนื้อสุขภาพดีออกมาจากห้องแต่งตัว ท่อนล่างของเขาสวมกางเกงขายาวสีดำสำหรับออกไปทำงานเอาไว้ ดูจากเหตุการณ์เขาน่าจะกำลังแต่งตัว

   “คุณเป็นคนพาผมขึ้นมาเหรอ จริงๆ ให้ผมนอนข้างล่างก็พอแล้ว”ผมขยับตัวลุกจากที่นอน

   “ที่นี่มันสบายกว่า”ฟรานซิสตอบเสียงเรียบมีท่าทีไม่ได้สนใจผมเท่าที่ควรเพราะมัวแต่ยุ่งเรื่องแต่งตัว ผมเผลอแอบลอบมองคนตัวสูง แต่ต้องสะดุดตากับรอยขีดสีแดงที่ตัดกับสีผิวตรงท่อนแขนของเขา ก่อนที่เขาจะสวนเสื้อเชิ้ตทับและติดกระดุม

   “ตรงท่อนแขนของคุณไปโดนอะไรมา”ผมถามออกไปอย่างใครรู้ แต่ทำทีไม่สนใจพลางจัดที่นอนให้เจ้าของเตียงไว้ให้เรียบร้อย

   “ตรงนี้น่ะเหรอ”ผมหันไปมองตามที่เข้าย้ำถาม ผมพยักหน้าเบาๆ มองฟรานซิสที่ละทิ้งความสนใจในการแต่งตัวก้าวมาหาผมโดยยกยิ้มตรงมุมปากเหมือนเรื่องที่ถามทำให้เขาอารมณ์ดีนัก

   ผมไม่ชอบตอนที่ฟรานซิสยิ้มแบบนี้เท่าไหร่ ไม่ใช่ว่าเขาดูขี้แหร่ แต่มันน่ากลัวเสียมากกว่า

   “ฮึ! ลองดูที่มือของนายดีๆ ว่ามันพอดีกับรอยตรงนี้รึเปล่า”ฟรานซิสปลดเสื้อออกข้างหนึ่งแล้วเอื้อมมือมาจับมือผมให้ลองทาบดู มันพอดีกับขนาดมือของผมอย่างไม่น่าเชื่อ และพอผมมองดูใกล้ๆ รอยแดงที่เห็นกลับเหมือนรอยข่วนจิกของเล็บชัดเจน

   พลันความจำของผมก็หวนคืนมาเสียตูมใหญ่ หน้าของผมถึงกับถอดสีรีบชักมือกลับจากท่อนแขนของคนตรงหน้า ละล่ำละลักไม่เป็นคำพูด

        “จำได้รึยัง หืม?”

   “ผม.....ผมจำได้ว่ามีธุระ”

   หมับ!

   “ก่อนจะไปก็บอกมาก่อนสิว่านายจำได้หรือไม่ได้กันแน่ แบบนี้ฉันก็ค้างคาแย่”ฟรานซิสคว้าแขนผมไว้   ทำไมเขาถึงอยากรู้คำตอบขนาดนั้น ท่าทีของผมมันยังไม่ชัดเจนพอรึไงกัน!

   “โอเค ผมจำได้ รอยนั่นผมทำมันเอง พอใจรึยังครับ!”ผมตอบคำถามอย่างประชดประชัน ก่อนจะพาตัวเองออกจากห้องแทบจะทันที สีหน้าของฟรานซิสดูจะพึงพอใจกับคำตอบของผมซะเหลือเกิน

ให้ตายสิ ผมจะประสาทพร้อมกับโรงหัวใจวายเพราะฟรานซิสใช่มั้ย!





>>>>>to be continued  :bye2: :bye2:

ออฟไลน์ NuNam

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-3

ออฟไลน์ แฟนตาเซีย

  • หืมม...?
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 557
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1

ออฟไลน์ brookzaa

  • Chill out
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-6

ออฟไลน์ Soda.wine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ ทามากิบ๊อง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-4


16





   ตอนนี้เป็นเวลาประมาณ 18.50 นาที ผมเพิ่งจะลงรถและกำลังเดินเข้าซอยเพื่อกลับเข้าหอ บรรยากาศรอบๆ ก็เริ่มมืดจนมองไม่ค่อยเห็นทาง เสาไฟที่อยู่ข้างทางก็ไม่ได้ช่วยสักเท่าไหร่ บางดวงติด บางดวงดับ บางดวงก็ติดๆ ดับๆ จนเห็นแล้วรู้สึกหงุดหงิด อารมณ์เหมือนอยู่ในผับร้างที่มีไฟสีเดียว ข้างๆ ก็เป็นป่าหญ้าสูงเทียมอกถักไปอีกนิดก็เป็นพื้นที่ก่อสร้างที่หยุดชะงักกลางคัน ที่ผมเคยไปสัมผัสตอนที่พวกไอ้แก่เฉินสั่งลูกน้องให้ลากผมไปเคลียร์

   ระหว่างที่ผมเดินเข้าซอยไป มองนั่นมองนี่พลันสายตาของผมก็ชะเง้อมองเห็นอะไรบางอย่างที่มันผิดปกติไป แสงไฟสีแดงสว่างฉายขึ้นตัดกับสีท้องฟ้ามีเสียงปะทุดังเหมือนสะเก็ดไฟทำใจผมตกวูบ เพียงระยะเวลาไม่นานเสียงหวอของอาสากู้ภัยก็ดังขึ้นตามหลังผมมาพร้อมรถดับเพลิงคันใหญ่ให้สัญญาณขอทาง ผมจึงเร่งเท้าจากเดินเป็นวิ่งสุดชีวิตไปยังที่เกิดเหตุด้วยหัวใจที่เต้นระรัว

   ภาพที่ผมเห็นข้างหน้าคือหอพักที่มีเปลวไฟจากชั้นสองสว่างโรจน์พร้อมเขม่าควันสีดำพวยพุ่งออกมารุนแรง ผู้คนที่พักอยู่ด้านในกำลังวิ่งกรูกันออกมา บางคนก็ยืนขวัญหนีดีฝ่อกอดร่างกันกลมแน่น บางคนก็กดโทรศัพท์โทรหากันให้วุ่นวาย ส่วนผมที่วิ่งมาขาแทบหลุดก็ทรุดลงนั่งกับพื้นหน้าถอดสีมือไม้อ่อนจนหมดแรงยืน ผมพูดอะไรไม่ออกเลยสักคำเมื่อเห็นห้องของตัวเองถูกไฟไหม้

   ผมมองไม่ผิดหรอก ริมสุดชั้นสองนั้นเป็นห้องใครไม่ได้นอกจากห้องของผม

   “เป็นอะไรรึเปล่าคะ”ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เข้ามาถามผมอย่าเป็นห่วงและกวักมือเรียกหน่วยกู้ภัย

   “ผะผม ไม่เป็นไร”

   “แต่หน้าน้องซีดมาก ไปนั่งพักทางโน้นก่อนดีกว่า”ผู้ชายตัวโตในหน่วยกู้ภัยหิ้วปีกผมลุกขึ้นก่อนจะพาไปนั่งที่ซึ่งห่างออกมาจากที่เกิดเหตุใกล้ๆ รถพยาบาล ผมได้แอมโมเนียร์มาดม แต่มันก็ไม่สามารถทำให้ผมหยุดใจสั่นได้เลย

   คำถามเกิดขึ้นมากมายว่าเหตุการณ์แบบนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง และไม่นานขณะที่ผมนั่งอยู่ผู้หญิงวัยกลางคนหุ่นผอมแห้งหน้าตาคุ้นเคยก็เดินเบียดขาท่าทีรีบเร่งมาทางผมสีหน้าตื่นตระหนก

   “เจ๊ดวน....”เป็นชื่อเจ้าของหอพักโกโรโกโสที่ผมพักอยู่ ชื่อเต็มคือเจ๊ลำดวน แต่คนที่นี่มักเรียกกันสั้นๆ ว่าเจ๊ดวน สาเหตุที่เดินตรงรี่มาหาคงไม่ได้มาบอกให้รับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้นหรอกนะ แต่ผมไม่ได้เป็นคนทำ ผมไม่อยู่ที่นี่เลยด้วยซ้ำ เรื่องฟื้นไฟผมก็ไม่มีอยู่ในห้อง ขนาดที่วีหรือตู้เย็นผมก็ยังไม่มีเลย มีแต่เสื้อผ้ากับพัดลมตั้งโต๊ะตัวเก่าๆ ก็เท่านั้น

   “ธัน ธัน ธัน เจ๊จะหัวใจวายตายสักร้อยรอบ นี่เจ๊คิดว่าเธอติดอยู่ในห้องนั่นเสียอีก”เจ๊ดวนแกพูดเร็วรัวตบอกหย่อนๆตัวเองอย่างร้อนใจ สภาพแกคือเหมือนเพิ่งออกมาจากร้านเสริมสวยมวยดัดผมก็ติดหัวเจ๊แกอยู่นับสิบอัน

   “ผมไม่ได้อยู่ข้างใน ผมเพิ่งมาจากข้างนอก”ผมวางแอมโมเนียร์ลงแล้วพยายามยันตัวเองยืนขึ้นเพื่อคุยกับเจ๊ดวน

   “โอ๊ยโล่งอกไปที”เจ๊แกมีท่าทีแปลกๆ เหมือนจะห่วงผมแต่ก็ดูหลอกๆ“ไม่ต้องห่วงนะเค้าควบคุมเพลิงไว้ได้แล้ว นี่ถ้าไฟมันลามไปทั้งตึกเจ๊คงขอกระโดดกองไฟตายที่นี่ให้รู้แล้วรู้รอดเลย”ผมว่ามันคงจะสยองน่าดูถ้าเจ๊แกทำแบบนั้นจริง

   “มันเกิดอะไรขึ้นตอนผมไม่อยู่เจ๊”ผมวกเข้าเรื่องที่ผมอยากจะรู้อย่างร้อนใจ

   “คนอยู่ในเหตุการณ์เขาบอกว่า เหมือนได้ยินเสียงระเบิดของมิเตอร์ไฟฟ้าหน้าห้องแล้วไฟมันเลยกินฝ้าเพดาน แต่ดีนะที่เจ๊เรียกรถดับเพลิงได้ทัน เรื่องเลวร้ายมันเลยไม่เกิดขึ้น”

   “แบบนี้มันก็ไม่ใช่ความผิดผมน่ะสิครับ”

   “ก็นะ สงสัยไฟมันคงช็อต งั้นคืนนี้ก็หาที่นอนที่อื่นก่อนก็แล้วกันนะ หรืออาจจะต้องย้ายออกแล้วล่ะเจ๊ว่าธันไม่เหมาะจะอยู่ที่นี้หรอกนะ ที่นี่แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น แต่พอธันมา....อ้อ! เจ๊ไม่ได้จะว่าอะไรหรอกนะแค่คิดไปเอง เจ๊นี่ฟุ้งซ่านเนอะ”ท่าทางเหมือนเจ๊แกจะตบหัวผมจนผมหัวทิ่มแล้วมาลูบหลัง แกพูดอย่างนี้ผมไม่ได้โง่ที่จะเดาไม่ออกหรอนะว่าแกหมายถึงอะไร นี่แหละนะที่มาที่ผมเรียกแกว่าเจ๊ปากผี

   ตอนนี้เหตุการณ์เริ่มสงบ ความแตกตื่นเหมือนผึ้งแตกรังก็จบไป และที่สำคัญเจ๊แกต้องไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจ ผมเลยโดนลอยแพไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน ข้าวของในห้องอย่าว่าแต่จะเอาออกมาเลย ถามก่อนดีกว่ามั้ยว่าจะมีเหลือให้เอาออกมารึเปล่า ผมรู้สึกไม่อยากจะเหยียบขึ้นไปบนนั้นซะด้วยซ้ำ ไหนๆ เจ๊แกก็ไล่ผมทางอ้อมซะขนาดนี้ จะอยู่ทำไมอีกล่ะ!

   เห้อ....นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน ผมเกิดมามีคำว่าซวยบรมแปะอยู่ที่หน้าผากรึไง!

   และระหว่างที่ผมแตะหินกระทืบดินอยู่นั้น พลันสายตาก็เหลือไปเห็นชายคนหนึ่งที่สวมแจ็คเก็ตสีดำ กับหมวกแก็ปสีทึบปีกหมวกกดลงปิดใบหน้ากำลังเดินออกจากกลุ่มคนแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งขึ้นซ้อนมอเตอร์ไซร์ที่มีอีกคนสตาร์ทเครื่องรอก่อนจะขับออกไป หัวใจของผมมันกระตุกอย่างรุนแรกก่อนจะเต้นเร็วอย่างควบคุมไม่อยู่

   แล้วความสงสัยที่มีทางเป็นไปได้ก็จุดประกายขึ้นในหัวของผม ผมส่ายหน้าไปมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ และเป็นอีกครั้งที่ผมหมดแรงไม่อยากจะทำอะไรอีกต่อไปแล้ว

   “ไอ้แก่เฉิน.....”

   อาจเพราะความปากไวไปต่อปากต่อคำแถมใส่อารมณ์สาปแช่งมัน สิ่งนี้เลยต้องเกิดขึ้นกับผมอย่างนั้นเหรอ!
 
   “โธ่เว้ย!!!!”




   กริ้งงงงง!

   ผมยืนกดออดให้สัญญาณว่าตนเองมาถึง ก่อนที่เสียงซอนเท้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งของไอ้บัสจะปรี่เข้ามาเปิดประตูให้เหมือนรออยู่ก่อนแล้ว

   “ไอ้ธัน มึงไม่เป็นไรใช่มั้ยวะ”ไอ้บัสจับตัวผมหมุนเป็นลูกข่างสำรวจอย่างตกใจ

   “กูไม่เป็นไร โชดีที่กูไม่ได้อยู่ที่นั่น”ก่อนหน้านี้ผมโทรมาหาไอ้บัส แต่มันทำงานอยู่ที่บาร์บิโลนร้านพี่เงาะผมก็กะจะไม่กวนมันแต่พอผมบอกเหตุจำเป็นที่คืนนี้ต้องมาขอมันนอนด้วย มันก็รีบบึ่งกลับบ้านมารอผมทันที

   “กูตกใจโคตรๆ มึงเป็นอะไรก็ดีแล้ว เข้าบ้านก่อนมา”มันดันตัวผมที่หมดอาลัยตาอยากเข้าบ้านก่อนจะจัดหาที่หลับที่นอนให้

   “ขอบใจมาก มึงไปทำงานเหอะกูไม่อยากให้มึงเสียงานเดี๋ยวพี่เงาะแกก็หักเงินให้”

   “มึงอยู่ได้ใช่มั้ย”มันทำสีหน้าไม่ไว้ใจ

   “เออ กูอยู่ได้ไม่ได้ตกใจอะไรมากมาย แค่เสียดายเสื้อผ้าข้าวของนิดหน่อย นอกจากนั้นกูชิวๆ”

   “ถ้ามึงมีอะไรให้กูช่วยก็โทรมาแล้วกัน”

   “มึงไม่ต้องห่วงกูหรอก กูโตเป็นควายแล้วไม่ใช่เด็กๆ ไปทำงานไปกูจะนอนแล้วเนี้ย”ผมโบกมือไล่เจ้าของบ้าน ไอ้บัสพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะออกไปทำงาน พอมันออกไปผมก็หยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาต่อสายหาใครบางคนแทบจะทันที เสียงสัญญาณรอสายทำผมกระวนกระวายจนเหงื่อออกจนชุ่มมือ และมันก็มีคนรับสายเสียทีด้วยโทนเสียงกรุ่นโกรธ

   “[ว่าไงไอ้คนอวดดี จะให้ดีใจหรืออะไรดีที่มึงโทรหา]”

   “เรื่องวันนี้เป็นฝีมือมึงใช่มั้ย”ผมยิงเข้าประเด็นไม่อ้อมค้อม ในมือกำหมัดแน่นแต่ไม่รู้สึกเจ็บ

   “[มึงกำลังพูดถึงเรื่องอะไร กูไม่เข้าใจ]”

   “ก็เรื่องไฟไหม้ห้องพัก ถ้าไม่ใช้มึงแล้วเป็นใคร”ผมพยายามกดอารมณ์โมโหเอาไว้ถึงที่สุด ถ้าผมระเบิดออกมามีหวังเรื่องมันคงแย่ไปกว่านี้

   “[ถ้าไม่มีหลักฐานก็อย่ามาพูดซี้ซั้ว ฮึ! เอาเวลาคิดเรื่องหยุมหยิมพรรค์นั้นมาคิดหาวิธีทำงานให้กูไม่ดีกว่ารึไง เวลามึงมีไม่มาก จำไว้ว่าหนี้มึงที่ท่วมหัวมึงอยู่อาจจะทับมึงจนหายใจไม่ออกได้....แล้วที่สำคัญถ้ายังห่วงเพื่อนมึงอยู่ก็ทำงานซะ]”

   “ไอ้!.....”เสียงงวางสายใส่ของอีกฝ่ายยั่วโทสะผมได้ถึงขีดสุด แต่เพราะทำอะไรไม่ได้ผมเลยได้แต่กัดฟันแน่นแล้วต่อยกำแพงเพื่อระบายอารมณ์ให้มันทุเลาความคับแค้นลงไปบ้าง แต่เปล่าเลยมันไม่ได้หายไปไหนยังอยู่ในตัวผมไม่จาง


   
   เช้านี้ผมโทรบอกฟรานซิสว่าอาจจะเข้าไปสายเพราะมีธุระกะทันหัน เขาไม่ได้พูดอะไรนอกจากตอบรับว่าเขารับรู้ เรื่องถามซอกแซกเขาก็ไม่พูด ผมเลยเบาใจที่ไม่ต้องโกหก เท่าที่ทำอยู่ก็รู้สึกผิดบาปมากจะแย่แล้ว วันนี้ผมตั้งใจจะไปหาไอ้ต้นกับไอ้นนท์ที่เป็นรุ่นพี่ซึ่งน่าจะตามเบาะแสของไอ้โชคได้บ้าง สอนคนนั้นผมจำหน้าได้และรู้จักในฐานะรุ่นน้อง ไม่เคยพูดคุยด้วยเคยได้ยินแต่กิตติศัพท์แย่ๆ เท่านั้น

   ใครๆ ก็เตือนว่าคบพวกนั้นก็เท่ากับคบคนพาล และที่สถิตของพวกนั้นก็ไม่ใช่ที่ดีๆ สักเท่าไหร่ ผมเริ่มสืบหาว่าไอ้ต้นกับไอ้นนท์มันอยู่ที่ไหนโดยการถามจากรุ่นพี่ที่สนิทพอคุยด้วยได้ผ่านทางโทรศัพท์ ก็ได้ที่อยู่ที่เที่ยวประจำของพวกมันมา

   ผมออกมาก่อนที่ไอ้บัสมันจะตื่น ถ้ามันรู้ผมมามันคงตามมาด้วย เรื่องซวยขอแค่ผมคนเดียวก็เกินพอ

   ตอนนี้ผมคิดว่าตัวเองไม่หลง เส้นทางที่ต้องเดินเท้าในเวลากลางวันมันสว่างพอที่จะสังเกตเห็นอะไรได้หลายอย่าง ผิดไปจากกลางคืนที่ทุกอย่างมันมืดมิดแถมดูอันตราย ถนนเส้นนี้ถ้าจะให้พูดก็คือถนนแหล่งมัวสุม ทั้งเหล้าบาร์ ไนต์คลับ โต๊ะสนุกและแหล่งการพนันสารพัด ชนิดที่ปิดตาจิ้มเลยก็ได้ว่าจะหลงเหวไปแบบไหน

   ตอนนี้ผมยืนอยู่หน้าป้ายอะคริลิคสีซีดจางๆ มีลูกศรชีเข้าด้านใน บอกเส้นทางที่เป็นทางเข้าของร้านโต๊ะสนุกเกอร์ ที่ลงไปยังชั้นใต้ดิน ผมเดินลงบันใดไปเรื่อยๆ ก็เจอกับป้ายแขวนหน้าร้านว่า‘Open’ผมเลยผลักประตูเข้าไปกลิ่นควันบุหรี่ข้างในอัดหน้าผมเต็มๆ ถึงผมจะดื่มเหล้า กินเบียร์แต่ผมก็ไม่เคยคิดเสียปอดให้กับบุหรี่

   สภาพด้านในเมื่อผมเข้าไปถึง ก็เห็นเคาเตอร์ระดับอกที่มีผู้ชายตัวดำๆ เจาะจมูกและระเบิดหูมองมาที่ผมอย่างสงสัยแล้วตะโกนถาม

   “มึงมาใหม่เหรอวะ ไม่เคยเห็นหน้า”

   “อื้ม กูมาหารุ่นพี่น่ะ”

   “ใครวะ”มันสอบผมอย่างกับเจ้าหน้าที่ แต่ดูจากรูปการแล้วมันคงเป็นคนเฝ้าหน้าร้าน เพราะทางซ้ายมือของมันมีประตูประจกทึบเขียนแปะไว้ว่า‘เฉพาะสมาชิก’ผมเหลือบมองด้านในผ่านซอกประตูที่แง้มเอาไว้เล็กน้อยก็เห็นว่าด้านในเปิดไฟสว่างและมีโต๊ะสนุกเกอร์วางเรียงกันเป็นสิบสีเขียวบนโต๊ะตัดกับพื้นพรมสีแดงจนดูเด่น

   “รู้จักมั้ยพี่ต้นกับพี่นนท์”ผมแสร้งพูดเหมือนสนิท และพยายามเก็บความประหม่าเอาไว้

   “ไอ้ต้น ไอ้นนท์”มันเลิกคิ้วทวนชื่อที่ผมตอบ

   “ใช่ น่าจะใช่คนเดียวกัน พอดีมีธุระนิดหน่อย อยู่มั้ย? รอที่นี่ก็ได้แค่เรียกออกมาให้ก็พอ”

   “รอเดี๋ยวแล้วกัน”ผมแอบปาดเหงื่อหลังจากผู้ชายคนนั้นเดินเข้าไปด้านใน ไม่ถึงห้านาทีมันก็กลับออกมา

   “เจอมั้ย?”ผมถามย้ำ

   “ตามมาข้างใน”มันบุ้ยหน้าให้ผมเดินตามเข้าไป พอผมเข้าไปข้างในก็ไม่ได้มีใครสนใจอะไรผมนัก เพราะมัวใจจดใจจ่อกับลูกสีขาวข้างหน้า แต่ผมกลับตื่นตาเสียมากกว่ากับการตกแต่งบรรยากาศด้านในที่ดูเรียบหรูดูดีกว่าที่คิด ด้านในสุดที่ผมเพิ่งเดินผ่านมาด้านหลังก็มีบาร์เครื่องดื่มบริการโดยมีบาเทนเดอร์ประจำการทำงานอยู่ ผมเดินตามลึกเข้าไปด้านในจนมาถึงห้องสนุกเกอร์อีกห้องที่ดูเป็นส่วนตัวกว่าด้านหน้า เพราะมีโต๊ะสนุกแค่สองตัวแถมยังมีโต๊ะกว้างพอตัวและโซฟาชุดใหญ่สำหรับนั่งพักผ่อนหย่อนใจ ต่างจากด้านนอกที่เป็นเพียงเก้าอี้เบาะหนังตัวยาวธรรมดากับโต๊ะเล็กๆ วางแค่เครื่องดื่มได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

   “ไง มาหาพวกเรากูเหรอ”เสียงที่ทักทายขึ้นทำให้ผมหยุดสำรวจและจับจ้องไปยังที่มาของเสียง คนที่เอ่ยทักผมวางมือจากไม้สนุกเกอร์แล้วเดินมาสีหน้ายิ้มแย้ม คนๆ นี่ชื่อต้นหน้าตาก็ไม่ได้จัดว่าแย่แต่จะออกไปทางตี๋ๆ เสียมากกว่า ส่วนอีกคนที่ยืนกอดอกพิงผนังอยู่ใกล้ๆ ก็คือไอ้นนท์หน้าตาก็จัดว่าดูดี แถมยังมีลักยิ้มข้างเดียว หน้าตาดูไม่มีพิศมีภัยแต่ไว้ใจไม่ได้สุดๆ

   “ใช่ผมมาหาพวกพี่นั่นแหละ”

   “หืม หน้าตาคุ้นนะมึงเหมือนเคยเห็นที่ไหน”ไอ้พี่นนท์พูดทักขึ้นมา

   “ผมเป็นรุ่นน้องในคณะ เคยเจอตอนรับน้องกับกิจกรรมของคณะบ้าง”ผมตอบตามจริง

   “แล้วมีธุระอะไรกับพวกกู ถ้าไม่รีบก็นั่งก่อน”ผมคิดว่าสองคนนี้จะอันตรายอย่างที่ได้ยินมา แต่ทว่ากลับรู้สึกเป็นกันเอง แต่บรรยากาศมันก็ยังรู้แปลกๆ อยู่ดี

   “ไม่เป็นไร ผมรีบแค่อยากจะมาถามอะไรพวกพี่หน่อย”

   “ถาม? อะไรล่ะ ถ้าตอบได้ก็จะตอบ”ไอ้พี่ต้นมันเดินไปหยิบเบียร์ขึ้นมาจิบแล้วหันมาสนใจผมต่อ ส่วนไอ้พี่นนท์ก็เดินอ้อมหลังผมไปยืนแถวๆ ประตูแล้วล็อคประตูอย่างเร็ว ผมหันขวับไปมองหน้าถอดสี

   “ล๊อคไว้เผื่อเรื่องที่พูดมันสำคัญ กันไว้ก่อนดีกว่าไม่ใช่เหรอ”ร้อยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นบนหน้าไอ้พี่นนท์ ผมรู้สึกลางสังหรไม่ชอบมาพากล

   “ผมแค่อยากจะถามว่า รู้จักคนที่ชื่อโชครึเปล่ามันเป็นเพื่อนผม แล้วรู้มั้ยว่าตอนนี้มันอยู่ที่ไหน?”

   “อา.....กูลืมบอกไปว่า กฎของพวกกูคือถ้าอยากได้ข้อมูลก็ต้องเอาอะไรมาแลก ยื่นหมูยื่นแมว”ไอ้พี่ต้นยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ ผมรับรู้ได้ทันทีว่ามันไม่ง่ายซะแล้ว ภาพลักษณ์ที่พวกมันสองคนแสดงออกก็แค่หลอกตาจริงๆ

   “ผมไม่มีเงินมากพอมาซื้อข้อมูลหรอก ถ้าพวกพี่สงสารก็แค่บอกผมอย่างเดียวก็ได้ว่ารู้จักมันรึเปล่า”

   “ฮ่าๆ ยังไม่เข้าใจอีกเหรอว่าพวกกูตอบให้ไม่ได้ กฎก็ต้องเป็นกฎสิวะ”ไอ้พี่ต้นพูดพร้อมกับหัวเราะในลำคอ

   “แล้วถ้าไม่ใช่เงินพวกพี่จะเอาอะไร”

   “ส่วนใหญ่ก็เป็นเงิน ขึ้นอยู่กับข้อมูลว่าสำคัญมากน้อยแค่ไหน แต่ในกรณีที่ไม่มีเงิน หากเป็นผู้หญิงก็ใช้ร่างกายให้เป็นประโยชน์ แต่ว่า.....”ไอ้พี่นนท์เดินวนรอบผมแล้วมองผมหัวจรดเท้าก่อนจะพูดต่อ“ถ้าเป็นผู้ชาย.....กูก็ไม่เคยคิดเหมือนกัน”

   ผมกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอรู้สึกอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก

   “แต่สำหรับมึง.....ก็น่าสน”ไอ้พี่นนท์เดินมาประชิดตัวผมจนผมต้องถอยหลังกรู

   “มันไม่ตลกเลย ผมไม่อยากได้ข้อมูลอะไรนั่นแล้ว ผมจะกลับ”ผมหันหลังเตรียมเดินไปเปิดประตูแต่ไอ้ต้นกลับมายืนขวางประตูเอาไว้ แล้วยกโทรศัพท์ขึ้นระดับสายตา พูดในสิ่งที่ผมไม่อยากเชื่อหู

   “กูให้มึงเป็นพระเอกนะงานนี้ไอ้นนท์ เดี๋ยวเบอลหน้าให้ ขอท่าสวยๆ กับโต๊ะสนุก งานนี้อาจได้เงินมาใช้เล่นๆ สักก้อน”

   “จัดไป”

   แล้วใครคิดว่างานนี้ผมจะยอม แม่งเล่นสกปรกกันขนาดนี้ผมขอสู้จนขาดใจตายเสียดีกว่า คิดว่าผมจะกลัวไอ้เชี่ยนนท์นี่นักรึไง ถึงเป็นรุ่นพี่แล้วมาทำเลวๆ แบบนี้ผมไม่นับถือมันหรอก เรื่องนับถือผมไม่นับถือมันตั้งแต่แรกแล้วมากกว่า

   “ก็ลองเขามาดู กูต่อยมึงฟันร่วงแน่ไอ้เชี่ยนนท์!”

   “โหยๆ แม่งท่าทางจะเดือดแล้วว่ะ”ไอ้คนเชียร์ที่ยืนถ่ายวิดีโอผ่านโทรศัพท์มือถือพากย์เหตุการณ์สนุกปากจนผมโมโหถอดรองเท้าแขวี้ยงเข้าให้แต่มันกลับหลบทัน

   “เอาอย่างนี้ ถ้ายอมร่วมมือกูจะให้มึงรู้ในสิ่งที่อยากรู้ แถมยังได้เงินกลับไปด้วยเอามั้ย”ไอ้เชี่ยนนท์เสนอข้อแลกเปลี่ยน มีเหรอผมจะยอม

   “กูไม่เอา ถอยไปให้ห่างไม่งั้นกูซัดไม่เลี้ยงแน่”

   “ก็ถ้าคิดว่าหนีออกไปได้ก็ลองดู”

   ไอ้เชี่ยนนท์พูดเสร็จก็โถมตัวพุ่งมาทางผมเหมือนนักอเมริกันฟุตบอล ผมต้านแรงมันไม่ไหวเลยเสียหลังหงายหลังล้มลงไปกึ่งนั่งกึ่งนอนบนโต๊ะสนุก ก่อนที่ร่างของไอ้นนท์จะมากดผมแล้วยิ้มเหมือนได้ชัยชนะ มือของมันข้างหนึ่งบีบคอผมไว้ผมจมหายใจติดขัด

   “แฮ่กๆ ปล่อยกูนะเว้ย”

   ผั๊วะ!

   ผมสลัดมืออีกข้างได้ก็จัดการซัดหมัดใส่หน้าไอ้นนท์เข้าที่สันกรามเต็มๆ แต่มันกับไม่ยอมถอยห่างจากผม คลายแต่มือที่บีบคอรั้งเอาไว้แล้ว แถมมันยังต่อยผมเข้าที่หน้าท้อง ผมจุกเจ็บจนพูดไม่ออก แต่ก็ยังไม่ยอมคนตรงหน้าซะทีเดียว

   “รีบๆ หน่อยดิวะ แม่งเดี๋ยวเมมเต็ม”ไอ้ต้นที่ยืนเก็บภาพอยู่ใกล้เร่งจนผมอยากจะปราดเข้าไปกระทืบ แต่ติดอยู่ที่ไอ้นนท์ที่ไม่รู้เอาแรงมาจากไหนมากมาย

   “อย่าเร่งกู เห็นมั้ยว่ามันแรงเยอะขนาดไหน”

   “พวกมึงสองตัวแม่งเลวว่ะ กูไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงไม่มีใครอยากคบ!”

   “ปากดีแบบนี้กูชอบว่ะ!”แล้วไอ้นนท์ก็โน้มหน้าเข้ามาจะจูบผม ผมไม่ปฏิเสธ และทันทีที่มันแหย่ลิ้นเข้ามาในปากสิ่งที่ผมทำก็คือใช้ฟันคมกริบกัดลงไปเต็มแรงจนไอ้นนท์ร้องเสียงลั่นห้องผลักออกจากผมโดยไม่ต้องออกแรง ส่วนไอ้ต้นก็ตกใจวิ่งเข้ามาดูเพื่อนมันอย่างตื่นตะลึง กลิ่นคาวเลือดยังติดอยู่ในปากผม ผมเลยถ่มของสกปรกลงกับพื้นแล้วปาดมุมปากก่อนจะยิ้มแสยะออกมา

   “ฮึ! ขอให้อร่อยกับเลือดชั่วๆ ของมึงก็แล้วกัน”ผมพูดเสร็จก็รีบพุ่งตัวออกจากห้องนั้นทันที และไม่ได้เหลียวหลังไปมองอะไรทั้งนั้น ก่อนจะรู้ตัวอีกทีตัวเองก็มาหยุดอยู่ริมถนนใหญ่เอาความเหนื่อยหอบก้อนใหญ่มาวางลงตรงนี้

   แค่คิดก็พลันหงุดหงิด สะอิดสะเอียนรอยจูบของไอ้นนท์จนผมอยากจะอ้วก และสิ่งนี้มันกลับทำให้ผมคิดถึงใครบางคน ทั้งๆ ที่เป็นจูบจากผู้ชายเหมือนกันแต่กลับให้ความรู้สึกที่ต่างกันจนผมตกใจ

   สิ่งนี้มันทำให้ผมประหลาดใจและสับสนว่าฟรานซิสสำหรับผมเขาเป็นอะไรกันแน่ เหยื่อหรือผู้ล่า




>>>>> to be continued  :bye2: :bye2:

ออฟไลน์ NuNam

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-3
บอกตรงๆ ค่ะ ขัดใจกับนิสัยนายเอกมากค่ะ โง๊...โง่
(ขออภัยนักเขียนด้วยนะคะ อินมากไปหน่อย)

ออฟไลน์ tiew93

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เอ้อออ คุยกันไปตรงๆเลยดีมั้ยทั้งคู่ ลุ้นทุกตอนเมื่อไหร่จะบอกความจริง แต่ก็พอเข้าใจธันอยู่นะ เอาเป็นว่าสู้ๆนะ ทั้งคนเขียนทั้งธัน  :katai2-1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
โง่หรือว่าแกล้งโง่ค่ะ ถามหน่อยโง่ใช่มั้ยที่เข้าไปในที่แบบนั้นตัวคนเดียวนะ เป็นไงเกือบไม่รอดแล้วไง
เกือบกลายเป็นดารา GV แล้วมั้ยล่ะ คิดบ้างก่อนทำอะไรลงไป รู้ว่าอยากรู้เรื่องของโชคแต่มันเสี่ยงเกินไปมั้ย
ที่เข้าไปในที่แบบนั้นตัวคนเดียวอ่ะ เฮ้อออออ ดีนะที่ยังรอดออกมาได้ แต่พวกแม่งต้องแค้นแน่ๆ ที่ทำมันเอาไว้นะ

ออฟไลน์ brookzaa

  • Chill out
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-6
เหลืออดกับะัญแล้วนะ  ฟรานซิสจัดการด่วน

ออฟไลน์ ทามากิบ๊อง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-4



17




   กึก กึก กึก!

   เสียงคมมีดที่กระทบกับเขียงไม้เสียงดังเมื่อบรรยากาศภายในห้องมันเงียบ วันนี้ผมเข้ามาหลังจากที่ฟรานซิสออกไปทำงานแล้ว เป็นเรื่องโล่งใจเพราะผมไม่อยากตอบคำถามถึงรอยช้ำตรงลำคอที่ไอ้นนท์มันฝากรอยมือเอาไว้ ผ้ากันเปื้อนถูกผมถอดออกหลังจากจัดการหั่นผักที่ใช้สำหรับใส่ไว้ในไข่ตุ๋นเสร็จ และตอนนี้ไข่ตุ๋นทั้ง 3 ถ้วยก็อยู่บนเตาเรียบร้อยแล้ว ผมทำเผื่อเอาไว้เพราะมันสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้ และหากจะกินก็เอามาอุ่น ตอนนี้ในตู้เย็นก็มีกับข้าวที่แช่เย็นไว้เช่นพวกพะโล้กับมัสมั่น หากเจ้าของบ้านหิวเขาก็สามารถอุ่นกินได้เลย

   ผมรู้สึกชินกับการทำอาหารและทิ้งไว้ในตู้เย็น และหลังจากผมกลับมาทำงานอีกวันก็พบว่าอาหารที่ผมทำขึ้นถูกกินไปบ้าง ถึงแม้จะไม่บ่อยนักผมก็รู้สึกดีใจอยู่ไม่น้อย การทำงานที่ดูเรียบง่ายหากไม่ไปเกี่ยวพันกับเรื่องปวดหัวผมคงจะมีความสุขมากกว่านี้ แต่เมื่อโชคชะตาให้ผมกับฟรานซิสต้องมาเจอกันในเหตุการณ์เช่นนี้ผมก็หลีกเลี่ยงไม่ได้

   ครืดดดดด!

    และคนที่ผมจะนึกถึงก็โทรเข้าจนทำผมสะดุ้ง ผมมองหน้าจอเพียงครูก่อนกดรับและกรอกเสียงลงในสายอย่างสุภาพ

   “สวัสดีครับ”

   “[นายอยู่ที่บ้านรึเปล่า]”

   “ครับ ว่าแต่คุณมีอะไรรึเปล่า”ผมขมวดคิ้วอย่างสงสัย เมื่อปกติเวลาทำงานฟรานซิสไม่เคยโทรหาผม

   “[ฉันมีเรื่องอยากให้นายช่วย เข้าไปในห้องนอนแล้วเปิดลิ้นชักตรงโต๊ะทำงานด้านขวาชั้นบนสุดแล้วหยิบแฟ้มสีดำลงมาข้างล่างหน่อย ฉันจะให้อาเธอร์ขับรถไปเอาอีก 20 นาทีคงจะถึง]”

   “เอ่อ.....ถ้าหากคุณรีบ ผมคิดว่าน่าจะเอาไปให้คุณได้ที่บริษัทถ้าหากคุณไม่ว่า”ผมเสนอความคิดเห็นอย่างฉับไว เมื่อเห็นช่องทางบางอย่างผุดขึ้นในสมอง โอกาสที่จะหาเหตุผลเข้าไปในบริษัทของฟรานซิสไม่ได้มีบ่อย ผมควรจะอาสาเรื่องนี้

   “ผมทำได้ หากให้อาเธอร์มาเอาไหนจะบวกเวลากลับอีก ถ้าคุณรีบจริงๆ คงจะไม่ทัน”

   “[ได้.....งั้นเอามาให้ฉันก็แล้วกัน]”ฟรานซิสพูดจบก็รีบวางสายไป ผมรีบปิดไฟที่เตาแก๊สทันทีแล้ววิ่งขึ้นห้องไปหยิบของที่ฟรานซิสต้องการมาอย่างรวดเร็ว และไม่ลืมที่จะเปิดดูแล้วแอบถ่ายภาพเอาไว้ เพราะข้างในล้วนเต็มไปด้วยภาษาอังกฤษ ผมต้องใช้เวลาในการแปลความหมายว่ามันคืออะไร ภาษามันเป็นปัญหาระดับชาติจริงๆ



   ผมลงมาจากเพนท์เฮาส์ก่อนจะให้ รปภ. เรียกแท็กซี่ให้เข้ามารับ ผมคงไม่ลงทุนเดินออกไปเพื่อไปโบกแท็กซี่แน่ๆ ผมใช้เวลาไปประมาณ 35 นาทีในการมาถึงบริษัทฺที่มีตึกสูงเทียมฟ้า นี่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกของการมาที่แห่งนี้ ผมเปิดประตูเข้ามาด้านใน รปภ.ที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูมองผมด้วยสายตาสงสัย ก่อนเข้ามาประชิดตัวผมอย่างไว

   “มาทำอะไรที่นี่ เป็นพนักงานแผนกไหน ชั้นไหน มีบัตรรึเปล่า?”เอาจริงเว้ยเฮ้ย! แต่สภาพผมที่ดูแต่งตัวได้ชิวเอาท์ผมไม่คาดโทษเขาหรอกที่จะสงสัย เสื้อฮู๊ดกับกางเกงขาสั้นรองเท้าผ้าใบมอมๆ มองยังไงก็ไม่ใช่พนักงานหรือลูกค้าที่นี่แน่นอน

   “ผมมาหาคุณฟรานซิสครับ ไม่ทราบว่าเขาอยู่ที่ไหน?”รปภ.ทำหน้าตาขบขัน

   “นี่น้อง คนที่พูดถึงไม่ใช่ใครจะมาขอพบได้ง่ายๆ นะ อย่ามาเล่นแถวนี้ไปเล่นที่อื่นไป”เสียงกลั้วหัวเราะในลำคอกันตัวผมให้เดินผ่านประตูกลับออกไป

   “ผมไม่ได้มาเล่นนะ ผมเอาของมาให้.....”ผมเริ่มรู้สึกอายเมื่อมีสายตาหลายคู่จ้องมองมาราวกับผมเป็นผู้บุกรุก และในวินาทีนั้น เหมือนสวรรค์ทรงโปรดเสียงๆ หนึ่งทำให้ผมยังคงยืนหยัดอยู่ภายในตึกแห่งนี้ได้

   “ปล่อยเขาไป เขาเป็นแขกของบอส”อาเธอร์เดินตัวตรงดิ่งมาที่ผม มองกี่ทีเขาก็ยังดูดีในสูทสีดำสนิทไม่เปลี่ยนแปลง และ รปภ. คนที่พยายามจะกันผมล่ะ เขาก็ดูงงๆ ไปชั่ววิก่อนจะทำความเคารพอาเธอร์โดยการตะเบ๊ะ แล้วก็กลับไปยืนทำหน้าที่ตามเดิม โดยที่สายตายังคงมองมายังผมด้วยความสงสัยใคร่รู้ ใครไม่สงสัยก็บ้าแล้ว

   “ผมเกือบโดนโยนออกจากที่นี่ซะแล้ว”ผมแอบบ่นให้อาเธอร์ฟัง

   “ขอโทษที่ไม่ได้แจ้ง รปภ. ไว้ก่อน”

   “ไม่เป็นไรครับ แต่ผมมันก็แต่งตัวน่าสงสัยเอง เกือบลืม นี่เป็นของที่บอสของคุณต้องการครับ”ผมล้วงแฟ้มบางๆ ออกจากกระเป๋าเป้ก่อนจะส่งมันให้กับอาเธอร์ เข้ารับมันไปแล้วเอ่ยขอบคุณผม

   “ถ้ายังไงขึ้นไปรอด้านบนก่อนแล้วกัน”

   “.....เอ่อ มันจะดีเหรอครับ คงไม่เหมาะ”ผมพูดออกไปอย่างมีมารยาท แต่แท้จริงผมอยากจะตะโกนตอบรับทันทีเสียด้วยซ้ำ สิ่งนี้แหละที่ผมต้องการ

   สงบใจไว้ไอ้ธัน ต้องเป็นน้ำนิ่งที่ไหลลึกให้ได้!

   “ไม่เป็นไร ฉันแค่ทำตามคำสั่งบอส”

   “ก็ได้ครับ”อะไรจะสุขใจเท่าการเดินตามอาเธอร์เข้าไปยังถ้ำเสืออย่างไม่มีอันตราย แต่ผมว่าจะอันตรายก็กับสายตาที่มองมาทางผมประหลาดๆ นี่แหละ บ้างสงสัย บ้างเหมือนอยากจะถามว่าไอ้เด็กเหลือขอนี่ใคร ผมอ่านสายตาพวกนั้นออกเพราะมันดูง่ายแทบไม่ต้องคิด ตลอดทางผมใช้สายตากวาดมอง ที่นี่เป็นออฟฟิตขนาดใหญ่มีหลายแผนก ทั้งตึกนี้ล้วนเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ทั้งสิ้น

   ลิฟท์ที่อาเธอร์นำทางผมข้นมาหยุดอยู่บนชั้นสูงสุดของตึก ที่ดูเงียบสนิทมีความเป็นส่วนตัวสุดๆ ริมทางที่ผมเดินผ่านล้วนแล้วแต่เป็นห้องประชุมเล็กใหญ่ตามป้ายที่แปะบอก ผมเดินมาจนสุดทางก่อนจะเลี้ยวขวาเดินไปประมาณยี่สิบเมตรก็มีโต๊ะเลขาหน้าห้องสองโต๊ะซ้ายกับขวา คนที่นั่งอยู่ด้ายซ้ายคุ้นตาผมนัก

   “ถ้ารับปากนายก็น่าจะมาให้เร็วกว่านี้นะ”ใช่ใครอื่นที่เอ่ยทักทายผมด้วยสีหน้าหงุดหงิด

   “ผมไม่ได้อยากจะมาช้า แต่บังเอิญว่า.....”ผมกำลังจะโต้กลับนาวีด้วยอารมณ์กรุ่นๆ แต่อาเธอร์ก็พูดออกหน้าแทนให้เสียก่อน

   “มีปัญหากับ รปภ. น่าจะเป็นความผิดพลาดของนายนะที่ไม่ได้แจ้งด้านล่างตามที่บอกไว้”

   “แจ้งไปแล้ว แต่สงสัยจะเกิดการเข้าใจผิด”ผมว่านาวีคงเกลียดขี้หน้าผมพอๆ กับที่ผมไม่ชอบเขานั่นแหละ

   “ช่างเถอะ ไปข้างในได้แล้ว”

   “.....เขาอยู่ด้านใน?”ผมชี้นิ้วไปที่ประตูไม้บานใหญ่สีดำวาว

   “ตามฉันมาบอสรออยู่”อาเธอร์เดินนำพร้อมเปิดประตูเข้าไป ผมเดินตามอาเธอร์ด้วยหัวใจที่เต้นแรง ผมคุ้นเคยที่จะเจอกับฟรานซิสตอนเขาอยู่บ้าน แต่พอมาเจอเขาในเวลาทำงานแบบนี้มันรู้สึกประหม่า ความคุ้นเคยมันไม่ทำให้รู้สึกสงบใจ

   เมื่อเดินเข้ามาในห้องผมก็อดไม่ได้ที่จะกวาดตามองบรรยากาศรอบๆ ห้อง ที่นี่ต่างกับบรรยากาศที่บ้านสิ้นเชิง การกแต่งดูเป็นทางการและให้ความรู้สึกสุขุม โทนสีขาวดำช่างเหมาะสมกับผู้เป็นใหญ่ในห้อง

   “มาแล้ว?”นั่นเป็นเสียงทักทายของฟรานซิส เขานั่งอยู่บนเก้าอี้หนังตัวใหญ่หลังโต๊ะทำงาน มือที่ประสานกันใช้ศอกค้ำโต๊ะจดจ้องมายังผมที่เดินเข้ามาตัวลีบ ฟรานซิสขยับข้อมือเป็นเชิงให้อาเธอร์ออกจากห้องหลังจากที่เขาวางแฟ้มเจ้าปัญหานั่นลงบนโต๊ะต่อหน้าฟรานซิสแล้ว ผมมองตามแผ่นหลังพยายามส่งสายตาให้เขาอยู่ต่อแต่พอประตูบานใหญ่นั่นปิดลงผมถึงกับขยับตัวไปไหนไม่ได้

   “เข้ามาใกล้ๆ สิ ให้ฉันได้เห็นหน้านายชัดๆ”

   “ไม่เป็นไร ผมยืนตรงนี้ได้ครับ”

   “ธัน”เสียงทุ้มเป็นเชิงดุ ผมเลยเลี่ยงไม่ได้ที่จะเดินไปยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะของฟรานซิส และไม่ลืมที่จะกระชับเสื้อให้ปิดถึงคอ

   “คุณบอกว่ารีบ นาวีคงกำลังคอยคุณอยู่”

   “บังเอิญฉันเลื่อนประชุมไปครึ่งชั่วโมง เพราะมีปัญหานิดหน่อย”

   “อ้าว! แล้วทำไมคุณไม่โทรบอกผม”

   “ก็ฉันอยากเห็นนายรีบร้อนมาหาฉันที่นี่”รอยยิ้มบางๆ กระตุกตรงมุมปาก ใบหน้าคมสายตาพราวเสน่ห์ทำให้ผมเลิกโต้เถียง แต่รู้สึกหน้าร้อนผ่าวเสียแทน

   “แล้วคุณจะให้ผมขึ้นมาที่นี่ทำไม”

   “ฉันแค่อยากพานายไปกินมื้อเที่ยงด้วยกัน”

   “อย่าดีกว่าครับ วันนี้ผมไม่สะดวกจริงๆ”ผมก้มลงมองตัวเอง แล้วส่ายหน้ารัว

   “ธัน มาตรงนี้สิ”ฟรานซิสไม่ได้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เขาเพียงหมุนตัวไปด้านข้างรอให้ผมไปยืนอยู่เบื้องหลังโต๊ะข้างๆ เขา ผมไม่เข้าใจว่าเพื่ออะไรแต่ก็ยอมเดินไปแต่โดยดี

   “คุณมีอะไร?”

   หมับ!

   “คุณฟรานซิสคุณจะทำอะไร นี่มันที่ทำงานนะ!”ผมตาโตเท่าไข่ห่านวุ่นวายกับการดันตัวเองให้ลุกขึ้นยืนจากการถูกกระชากอย่าไม่ทันตั้งตัวให้นั่งลงบนท่อนขาแข็งแรง

   “ฉันแค่กลัวนายลืมสัมผัสของฉัน”

   “คุณพูดอะไรของคุณ ผมขอเตือนด้วยความหวังดีถ้ามีใครเข้ามาเห็น.....”แค่คิดผมไม่อยากจะนึกภาพนั้นเลยจริงๆ

   “ไม่มีใครกล้าเข้ามาหากไม่มีคำสั่ง”

   “ถึงอยากนั้นก็เถอะ!”ผมพยายามดิ้นสุดแรงแต่ยิ่งดิ้นคนด้านหลังก็ยิ่งรัดแน่น ก่อนจะมีเสียงแผ่วออกมาจากปากของฟรานซิสถึงกับหยุดการกระทำของผมทันที

   “รูดซิปลง แล้วเปิดออก”ร่างกายผมถึงกับชาวาบเมื่อฟรานซิสออกคำสั่ง ผมเอื้อมมือขึ้นกระชับขอบเสื้อขึ้นอีก ผมรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร ในน้ำเสียงไม่มีความหยอกล้อแม้แต่น้อย รางกับเขารู้เขาเห็นอะไรบางอย่างในสิ่งที่ผมกำลังปกปิด ผมรู้สึกจนตรอกจนลนลานไปหมด

   “ผมทำแบบนั้นไม่ได้ ขอร้องล่ะครับ ปล่อยผมก่อน”ผมพยายามใช้ลูกอ้อนกล่อมเขา

   “หากนายไม่ทำฉันทำเอง”ทันทีฟรานซิสลุกพรวดจับผมกดลงกับโต๊ะด้วยเรี้ยวแรงมหาศาส ดวงตาที่เขามองผมดูเกรี้ยวกราดเสียจนผมรู้สึกกลัว แม้จะเห็นฟรานซิสในตอนที่ดูขึงขัง แต่อารมณ์กรุ่นที่รอปะทุเช่นนี้ผมไม่เคยเห็นมาก่อน สองแขนแกร่งกดไหล่ผมไม่ให้ขยับ ผมได้แต่ขยุ้มแขนเสื้อเขาราวกับอ้อนวอน

   “นายอยากจะบอกฉันด้วยตัวเอง หรือให้ฉันเห็นกับตา”แววตาดุดันจ้องมองเข้ามาในดวงตาของผม มันไม่ใช่แววตาที่พร้อมจะบีบผมให้ตายคามือแต่กลับเป็นแววตาขึงขังอารมณ์ร้ายราวกับใครมาทำลายของรักของหวง

   “ผมไม่มีอะไรจะบอก ปะปล่อยผมเถอะผมอยากจะกลับแล้ว”สีหน้าของผมซีดเผือกมือชุ่มไปด้วยเหงื่อ หากเป็นหญิงสาวคงร้องไห้เพราะความตกใจไปแล้ว

   “ยังกลับไม่ได้ ธันนายกำลังปิดบังอะไรบางอย่างอยู่ใช่มั้ย หากนายไม่ยอมพูด ฉันจะให้นายพูดออกมาเอง!”

   ผมยังไม่ทันจะได้โต้ตอบเขา ฟรานซิสก็จัดการถอดเสื้อผมเสียจนท่อนบนเปลือยเปล่าแขนเสื้อยังคงไม่หลุดออกแต่กลับพันธนาการผมไว้ราวกับโซ่ตรวนไว้เหนือหัว ผมอ้าปากเหวอหาเสียงตัวเองไม่เจอ ได้แต่จ้องมองใบหน้าของฟรานซิสที่กวาดไล่มองร่างกายของผมจนไปหยุดอยู่ที่ลำคอขาวเนียน ซึ่งบันนี้กลับมีร่องรอยการบีบรัดปรากฏเสียชัดเจนจนคนตรงหน้าถึงกับขบฟันแน่นขมวดคิ้วหน้าได้รูปเข้าหากันจนยุ่งเหยิง ดวงตาสีฟ้ามรกตฉายแว่วกรุ่นโกรธจนผมหวาดกลัว

   “ปะปล่อยผมได้แล้ว!”ผมร้องเตือนสติฟรานซิส เขาผละมือจากผมทำให้ผมผุดลุกขึ้นนั่งแล้วกระโดดลงจากโต๊ะทำงานของเขาก่อนจะสวมเสื้อกลับสู่สภาพเดิมด้วยท่าทีลุกลี้ลุกลนมือสั่นราวกับหนาวเหน็บ ส่วนฟรานซิสเขาได้แต่เงียบไม่มีคำพูดใดออกมาจากปากของเขา

   “……….”

   ผมสังเกตได้เพียงแววตากับท่าทางที่ราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่างด้วยความร้อนร้น จากท่าทีที่เขาเดินไปมาแล้วตะปบมือหนาลงบนขอบพนักพิงหนังสีดำเสียงดังจนผมสะดุ้ง

   ผมปิดเขาไม่ได้แล้ว เขาเห็นมันเพียงแต่ผมไม่สามารถพูดอธิบายให้เขาฟังได้จริงๆ

   “รอฉันที่นี่ห้ามไปไหน จนกว่าฉันจะเลิกประชุม หากฉันกลับมาแล้วไม่เห็นนายคงรู้ใช่มั้ยว่าจะเกิดอะไร”เขาไม่ได้ของร้องหรือวิงวอน มันคือคำสั่งเฉียบขาดในคราบบอสใหญ่ของที่นี่ ผมได้แต่ยืนนิ่งราวกับหุ่นมองแผ่นหลังกว้างที่ดูหงุดหงิดคว้าแฟ้มสีดำเดินออกไป

   และวินาทีที่ฟรานซิสออกจากห้องไปแล้ว เข่าผมถึงกับอ่อนแรงทรุดลงนั่งกับพื้นจนแทบไม่อยากหยัดยืนขึ้นมาอีก หลังจากนี้ผมคงหาคำอธิบายดีๆ ไปบอกกับเขาอย่างแน่นอน

   ไอ้เชี่ยนนท์ไอ้เชี่ยต้น! เพราะพวกมึงสองตัวแท้ๆ เลย โธ้เว้ย!

   และระหว่างที่ผมทำใจกับเหตุการณ์นั้นได้ ยอมว่านอนสอนง่ายรออยู่ในห้องทำงานแล้ว เมื่อกำลังใจกลับคืนมาร่างกายผมมันก็ขยับและเดินสำรวจไปทั่วห้องอย่างระมัดระวัง ไหนๆ โอกาสนี้ผมไม่สามารถปล่อยผ่านไปได้ สิ่งที่ต้องทำอย่างอาจหาญคือเวลานี้เท่านั้น

   ล้วงข้อมูลที่ไอ้แก่เฉินต้องการให้ได้ แล้วทุกอย่างมันก็จะจบ! ผมกับฟรานซิสก็จะได้จบลงด้วยเช่นกัน! ในเมื่อหนทางการหาตัวไอ้โชคทำผมจนปัญญา ผมก็ต้องคว้าสิ่งที่เป็นไปได้มาต่อชีวิตผมก่อน และถ้าผมทำสำเร็จผมก็จะหลุดจากวงจรเลวทรามนี้เสียที

   “ขอโทษ ผมจำเป็นต้องทำ!”แม้ประโยคนี้ผมจะเคยได้ยินจากคนที่ทรยศหักหลังผมให้ผมถึงกับมีชีวิตที่ไร้ศักดิ์ศรี แต่ผมกลับเอาประโยคเห็นแก่ตัวแบบนั้นมาพูดพร่ำให้ตัวเองสบายใจ ตอนนี้ผมมันก็ไม่ได้ต่างไปจากไอ้โชคเลยสักนิด



   
   ตึกตัก ตึกตัก!

   หัวใจของผมเต้นเร็วเท่าไหร่ ความดันเลือดสูงแค่ไหนผมก็ไม่อาจประเมินได้ ในเวลานี้ผมมีเพียงแค่ความหวาดกลัวและความกังวนเท่านั้นที่ทำให้ผมรู้ถึงขีดสุดของมัน

   มือของผมสั่นเทาควบคุมเท่าไหร่ก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะหยุดสั่น ขนาดจับทัพพีตักข้าวยังกระทบกับขอบจานจนน่าหงุดหงิด ทั้งที่ความกังวลของผมควรจะถูกส่งให้กับไอ้แก่เฉินไปหมดแล้ว แต่กลับตกค้างอยู่ที่ใจผมจนน่าหวั่น ก่อนหน้านี้ผมขัดคำสั่งฟรานซิส ผมกลับออกมาก่อนที่เขาจะเลิกประชุม และผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะเลิกเมื่อไหร่ แต่สิ่งที่ติดตัวผมกลับออกมาจากห้องทำงานของเขานั้นมันทำให้หัวสมองของผมหนักอึ้ง สิ่งที่ผมได้มาน่าจะเป็นเรื่องที่ชวนดีใจ แต่ทำไมผมถึงได้รู้สึกหวาดกลัวขนาดนี้ ความไม่สบายใจเกาะกินหัวใจผมแทบจะหมดสิ้น

   ข้อมูลทั้งหมดที่ผมได้ มันมาจากคอมพิวเตอร์ของฟรานซิส รหัสถูกใส่ค้างไว้ราวกับกำลังจะใช้งานแต่กลับชะงัดหยุดไปเสียก่อน นั่นจึงเหมือนเป็นโอกาสของผมที่เป็นช่องทางทำการอุกอาจก๊อปปี้ข้อมูลใส่แฟลชไดร์ที่ผมพกติดตัวอยู่ และแจ้นกลับมาเสียก่อน ตอนนี้ผมรอเพียงการกลับมาของฟรานซิส และทำตัวให้ปกติเข้าไว้

   ผมรู้ว่าเขาต้องกลับมาตรงเวลามื้อเย็น ดังนั้นผมจึงตั้งโต๊ะรอทั้งที่อยากหลบหน้า เพราะไม่รู้ตัวเองจะสามารถมองหน้าฟรานซิสได้ยังไง

   ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้สึกอะไร ข้างในผมมันเจ็บจนชาเสียมากกว่า

   ไม่รู้ว่าตอนที่ผมกุมของสำคัญผมคิดอะไร แต่ผมกลับใช้วิธีส่งไปรษณีย์ไปยังที่อยู่ของไอ้แก่เฉิน หรือในใจลึกๆ ผมแค่อยากจะยื้อเวลากันแน่ และถ้าหากข้อมูลพวกนั้นถึงมือไอ้แก่เฉินแล้ว ผมจะทำยังไงต่อไป ลาออกจากที่นี่แล้วกลับไปใช้ชีวิตปกติอย่างที่ฝันไว้อย่างนั้นเหรอ

   “นายไม่ได้ทำตามที่ฉันบอก”เสียงทุ้มเจือความโกรธเอ่ยขึ้นขณะที่ผมยืนคิดฟุ้งซ่าน ทำเอาผมสะดุ้งหันไปมองยังที่มาของเสียงสีหน้าถอดสีหลุบตาลงต่ำกำผ้ากันเปื้อนที่สวมอยู่จนแน่น

   กึก กึก กึก!

   เสียงส้นรองเท้าหนังกระทบกับพื้นกังวานไปทั้งบ้าน ผมเงยหน้าทำใจดีสู้เสื้อ รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองเป็นวัวสันหลังหวะ

   “เอ่อ ผมไม่รู้ว่าคุณจะเลิกประชุมกี่โมง แล้วผมก็หิวแล้วด้วยขอโทษที่ผมรอไม่ได้ และผมก็คิดว่าคุณน่าจะหิวเลยกลับมาตั้งโต๊ะรอ”ดวงตาสีฟ้ามรกตจ้องมองผมด้วยสีหน้าเรียบเฉย คิ้วหนาไม่สั่นไหวทำให้ผมเดาความคิดเขาไม่ออก

   “นายกับฉันมีเรื่องสำคัญที่ต้องคุยกัน”

   “แต่ว่า.....”ผมมองไปที่โต๊ะและเขารู้ว่าผมหมายถึงอะไร

   “ฉันคิดว่านายคงจะไม่ได้หิวจริงๆ”ฟรานซิสเดินนำออกไปได้สามก้าว เข้าหันมามองผม และยังเห็นว่าผมไม่ขยับไปไหน ฟรานซิสจึงตัดสินใจเดินกลับมาแล้วใช้วิธีลากมือผมไปแทนแม้ผมจะไม่เต็มใจแต่ก็ไม่สามารถคัดค้านอะไรได้





>>>>>to be continued

อย่าเพิ่งอารมณ์เสียกับความโงของนายเอกนะคะ ฮ่าๆๆ
เข้าใจค่ะว่าบางครั้งก็รู้สึกอย่าจะกระโดดถีบ :z6: และขัดใจมากกกก :angry2:
แต่ยังไงก็มารอดูจุดสิ้นสุดของเรื่องขัดใจเหล่านี้ไปด้วยกันนะคะ :bye2: :bye2: :bye2:

 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
   

ออฟไลน์ Roman chibi

  • Death is not the end. Death can never be the end. Death is the road. Life is the traveller. The soul is the guide.
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-3
น่าสนุกมาก รอติดตามตอนต่อไป :katai4:

ออฟไลน์ tiew93

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เค้าจะคุยอะไรกันคะ ลุ้นนนน  :sad4:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ brookzaa

  • Chill out
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-6
อารมณ์เสีย  ไม่ทนแล้วขอกระโดดถีบยอดอกสักทีเถอะ  :z6: กระชากผมขึ้นมาตบซ้ำ  :beat: นี่แน่ะๆ ฮึ่ย

นี่ตรูอินหรือว่าอะไร

พรานซิสจัดการเอาให้ลุกไม่ขึ้นไป 3 วัน 3 คืน เลย เซ็นอนุมัติเรียบร้อยแล้ว :m16:

ออฟไลน์ poppyhigh

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ลุ้นเหลือเกิน หนูธันจะรอดไหมเนี่ย ดูยังไงฟรานซิสก็น่าจะวางแผนดักไว้หมดแล้ว

รอตอนต่อไป  :ling1:

ออฟไลน์ cheyp

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1536
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-0
ลุ้นมาก
จะคุยเรื่องอะไร

ออฟไลน์ ทามากิบ๊อง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-4



18



   ตุบ!

   แรงเหวี่ยงเท่าพลังช้างสารหอบร่างผมกระแทกลงกับเตียง แม้คนตรงหน้าจะไม่ได้ทำการอุกอาจอะไรแต่จากดวงตาที่แข็งกร้าวผมรู้ว่าเขากำลังฉุนขาดแค่ไหน เวลานี้ผมจึงควรสงบให้ได้มากที่สุด ผมยังตัดสินใจเองไม่ได้ว่าเขาโกรธผมเรื่องอะไรกันแน่ เพราะไม่ใช่แค่เรื่องเดียวแน่นอน

   ผมค่อยๆ คลานลงจากเตียงอย่างหมาแต่ทว่ากลับถูกร่างสูงยืนขวางไม่ให้ลงไปจากเตียงเสียก่อน แต่เขาก็ไม่ได้แตะต้องผม แค่ท่าทางที่ยืนกอดอกนั่นก็ทำผมผวาพอแล้ว ผมจึงนั่งพับเก็บขาคุกเข่าเรียบกับเตียงอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวสุดๆ ราวกับซามูไรหลงยุครอการฮาราคีรีคว้านท้อง

   “นายรู้ใช่มั้ยว่าฉันกำลังรู้สึกยังไง”

   “ผมรู้.....”รู้ดีเสียด้วย

   “แล้วทำไมนายถึงยังขัดคำสั่งฉัน แล้วจะยังเรื่องนั้นอีก...”สายตาเขาปราดมองไปยังต้นคอของผม

   “ขอโทษที่ผมขัดคำสั่งคุณ แต่ผมก็ไม่ได้หนีไปไหน และเรื่อง.....”ผมเอื้อมมือเย็นๆ ขึ้นไปจับลำคอของตัวเองแล้วหยุดพูดไป“ผมบอกคุณไม่ได้จริงๆ ให้คุณรู้แค่ว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของผม”

   “แล้วฉันต้องทำยังไง เรื่องส่วนตัวของนายถึงจะกลายมาเป็นเรื่องส่วนตัวฉัน”เสียงทุ้มโน้มหน้าลงมาแทบใกล้ หน้าเขายังคงปั้นตึงเช่นเคย ฟรานซิสไม่ใช่คนที่อดทนอะไรได้นาน หากเขาอยากรู้เขาก็ต้องรู้ให้ได้ แม้จะต้องเอาคีมง้างปากผมเขาอาจจะทำ

   “เรื่องนี้ผมบอกไม่ได้จริงๆ คุณแค่ทำเป็นไม่สนใจก็ได้มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ และที่สำคัญร่างกายของผมมันไม่ใช่ของคุณ....”ผมพลั้งปากไปโดยไม่ทันคิดเพราะอารมณ์หงุดหงิดจากคำถามของฟรานซิสที่ผมไม่ต้องการจะตอบ

   “ฮึ! นายคิดดีแล้วรึไงที่พูดว่าร่างกายนี้เป็นของนายจริงๆ ธัญ”เตียงยวบลงไปตามน้ำหนักของผู้ที่นั่งลง ฟรานซิสนั่งไขว่ห้างข้างๆ ผม เขาดูราวกับกำลังโกรธจัดแต่พยายามเก็บกดอารมณ์ ผมไม่ควรทำให้เขาปะทุไปมากกว่านี้

   “ผมพูดไปตามความจริง มันเหมือนกับตัวของคุณที่ผมจะมาทึกทักว่ามันเป็นของผมก็ใช่ว่าจะได้ ผมรู้ว่าผมกำลังทำอะไร”

   “ทำไมจะไม่ได้หากฉันบอกนายว่ามันเป็นของนาย”ประโยคนั้นถึงกับทำให้ผมชะงักค้างมองคนข้างๆ ด้วยความไม่เข้าใจ

   “คุณแค่พยายามพูดเรื่องที่ทำให้ผมคล้อยตาม เอาเป็นว่าผมบอกเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ ”ผมเตรียมจะลุกหนี แต่ฟรานซิสกลับคว้าต้นแขนผมไว้แน่นไม่ให้ผมขยับ เขาไม่ได้หันมามองผมแต่กลับพูดบางอย่างออกมาแทนจนผมหนาวสั่นไปถึงขั้วกระดูก จากน้ำเสียงที่เขาเอ่ยออกมาก็บอกให้ผมรู้ได้ว่าเขาเหลือทนกับผมจริงๆ

   “หากนายไม่อยากพูดถึงมัน อย่างนั้น....ฉันจะลบรอยนั่นแล้วแทนที่ด้วยรอยของฉันแทน”

   แรงกดหมาศาลกดผมลงแทบจมกับเตียง ฟรานซิสเพียงนั่งอยู่ในท่าเดิมที่เขาเคยนั่งแต่เขากลับใช้กำลังเพียงวงแขนล้มผมลงได้ ผมมัวตื่นตระหนกจึงไม่ได้ทันขัดขืน ก่อนที่จะรู้ตัวอีกทีตัวเองก็ถูกฟรานซิสปลดเนคไทของเขาเข้ามัดข้อมือของผมเสียแน่นจนเลือดแทบไม่เดิน

   “คุณคงไม่คิดจะทำอะไรบ้าๆ !”ผมรู้ดีสถานการณ์แบบนี้คงไม่ใช่แค่การหยอกล้อ แต่มันเต็มไปด้วยโทสะของผู้กระทำ

   “ฉันจะทำให้นายตาสว่างเสียทีว่าใครคือเจ้าของร่างกายนี้กันแน่ ฉันรู้นะว่านายมั้นรั้น แต่ไม่คิดว่าจะเป็นถึงขนาดนี้ ไอ้นิสัยชอบเก็บอะไรไว้คนเดียว ฝังกลบความลับไปกับตัวจนวันตาย มันทำให้ฉันต้องอดทนกับเรื่องแบบนี้มากี่ครั้งแล้ว ฉันพูดไปนายคงจะไม่เข้าใจสินะ!”อากาศรอบตัวถึงกับทำผมสะท้าน ฟรานซิสเอื้อมมือใหญ่ขึ้นมากุมรอบลำคอของผมก่อนจะออกแรงบีบจนผมหายใจแทบไม่ออก ผมพยายามดิ้นขัดขืนแต่เหมือนเขาจะจงใจให้ผมเหยียบใกล้ถึงความตาย แล้วกระชากผมกลับออกมา

   น้ำตาของผมมันไหลเอ่อออกทางหางตา แต่ไม่มีเสียงสะอื้นใดๆ ฟรานซิสไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนั้น

   “แฮ่กๆ ทำไมคุณไม่ลงมือจริงๆ ซะเลยล่ะ ถ้าคุณไม่ทำตอนนี้คุณเองที่อาจจะเสียใจ”ผมมองฟรานซิสที่ชั่ววูบแปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าเจ็บปวดซึ่งผมแทบสังเกตไม่เห็น ก่อนจะแสร้งกลั้วหัวเราะออกมาในลำคอ

   “ก็บอกแล้วไงฉันแค่อยากบอกนายให้รู้ว่าใครคือคนที่จะควบคุมร่างกายนี้ได้ คนที่จะทำนายเจ็บมีแค่ฉันคนเดียวเท่านั้น”
 
   “......”

   “และมันยังมีอีกหลายวิธีที่เตือนนายให้รู้ซึ้งถึงข้อนี้ได้”พลันร่างกายที่ใหญ่โตก็ขึ้นมานั่งคร่อมร่างของผม คนเบื้องหน้าปลดเสื้อออกทีละชั้นอย่างย่ามใจแต่สายตากลับจ้องมาที่ผมเขม้น หลังจากเสื้อเชิ้ตสีขาวถูกสลัดออก แผงอกกว้างที่มองกี้ครั้งก็ยังทำให้ผมใจเต้นถี่ไม่เปลี่ยนแปลงก็ปรากฏอยู่ต่อหน้า แต่ใบหน้าของฟรานซิสตอนนี้ไม่ได้กรุ้มกริ่มไปด้วยอารมณ์หยอกล้อ แต่กลับเป็นใบหน้าที่ขึงขังเสียจนคิ้วหน้าได้รูปขมวดย่น

   “คุณคิดจะทำอะไร?”ไม่ใช่ผมไม่รู้ แต่สิ่งที่ผมถามกำลังเตือนสติคนตรงหน้าเสียมากกว่า แม้ผมจะส่งสายตามอ้อนวอนเป็นนัยๆ แต่เขาก็ไม่ได้สังเกตมันเลย

   “ฮึ!”เสียงหัวเราะหงึกในลำคอของเขาราวกับฟ้าผ้า ผมร้องเสียงหลงและพยายามดิ้นหนีเมื่อคนตรงหน้าถลกเสื้อของผมร่นขึ้นเหนือหัวอย่างง่ายดาย ผิวสีขาวซีดด้านในกลับแดงระเรื่อเป็นผื่นเมื่อถูกมือหนารุกราน ผมสติแทบกระเจิงเมื่อฟรานซิสโน้มหน้าลงต่ำก่อนจะซุกใบหน้าของเขาฝังลงกับซอกคอของผมอย่างรุนแรง

   ลมหายใจอุ่นๆ ของฟรานซิสรินรดลำคอของผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ริมฝีปากอุ่นร้อน บดเบียดต้นคอขาวของผมซ้ายขวาจนแดงซ่าน ก่อนใบหน้าคมจะถอยออกมาแล้วก้มลงมองผมในระยะใกล้จนสันจมูกโด่งรั้นของเขาสัมผัสกับปลายจมูกของผมพร้อมลมหายใจถอบถี่

   แววตาดุดันราวกับไล่ต้อนให้ผมศิโรราบมองผมไม่วางตา ผมได้เพียงแต่จ้องมองเขากลับด้วยแววตาแข็งกร้าวอย่างไร้เหตุผล แม้จะเต็มไปด้วยความสั่นเครือก็ตาม

   ในใจผมเต็มไปด้วยความหวั่นไหว สับสนไปหมดว่าทำไมถึงได้ยอมคนตรงหน้าขนาดนี้ เพียงเพราะทำผิดต่อเขาหรือเพราะตัวผมหัวใจผมมันยอมเขาเอง

   “.....ทำไม?”น้ำเสียงที่ฟรานซิสเอ่อยออกมาแม้จะขาดห้วงแต่ผมก็ได้ยินชัดเจน ดวงตาที่แข็งกร้าวบัดนี้กลับแทนที่ด้วยความรู้สึกบอบช้ำ ผมเห็นความสั่นไหวในดวงตาสีฟ้ามรกตคู่นั้น แต่เขาก็ไม่ให้ผมได้เห็นมันนาน ราวกับความลับที่ไม่ควรมีใครรู้เห็นทั้งนั้น ฟรานซิสจึงหลับตาลงชั่วครู่ก่อนจะเลื่อนริมฝีปากหนักได้รูปของเขามาสัมผัสริมฝีปากของผมเพียงผิวเผินจนแทบไม่ไม่ได้แตะกันและเปลี่ยนไปเป็นกดริมฝีปากของเขาลงกับไหล่มนของผมแทน แขนข้างหนึ่งของเขาเอื้อมไปคลายเนคไทที่มัดข้อมือผมออก แต่ยังไม่วางใจปล่อยมือผมจากการรวมกุมไว้ในกำมือเขา

   ไม่รู้ว่าทำไม หัวใจของผมรู้สึกปวดร้าวราวกับถูกบีบเมื่อถูกคนตรงหน้าปฏิเสธที่จะจูบ มันไม่ใช่สิ่งที่ผมคาดหวัง แต่ทำไมผมถึงรู้สึกผิดหวังนัก.....ผมอยากจะถามแต่เหตุผลของผมล่ะคืออะไร? นั่นจึงทำให้ผมปิดปากเงียบ

   “หากนายเป็นของฉันนายไม่มีวันเปลี่ยนแปลงมันได้อีก”และเป็นอีกครั้งที่เขาพูดขึ้น ผมนิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่กับสิ่งที่เขาเอ่ยก่อนจะหาคำพูดตัวเองเจอ

   “เหตุผลแค่ไหน ที่คุณทึกทักเอาเองแบบนั้น คุณไม่กลัวเสียใจหรือไงคนระดับอย่างคุณหาได้ดีกว่าผมแน่ หรือผมเป็นแค่ 1 ในสต๊อค แต่ถ้าหากความหมายของคุณคือที่ระบาย.....”ผมหรี่ตาลงเมื่อนึกถึงสิ่งที่ตัวเองจะพูดออกไปเต็มไปด้วยอารมณ์ตัดพ้ออย่างไม่เข้าใจตัวเอง แต่กลับโดนคนตรงหน้าตัดบท

   “ธัน! พูดยังไงนายคงไม่เข้าใจฉันคงต้องทำให้นายเห็นจริงๆ สินะ”เขาฉุนขาดขึ้นมาอีกครั้งเพราะผมพูดสิ่งที่ไม่ระรื่นหูเข้าให้ แรงกดตรงข้อมือที่ถูกกุมไว้เป็นตัววัดระดับอารมณ์ของเขาได้ดี

   ฟรานซิสเริ่มขยับตัวอีกครั้ง คราวนี้เขาไม่ปล่อยให้ผมพูดจาพล่อยๆ ออกมาอีก เขาใช้วิธีให้ผมส่งเสียงประหลาดออกมาแทนจนน่าอาย เมื่อมือหนาเลื่อนต่ำลงมากอบกุมส่วนอ่อนไหวแล้วขยับเล้าโลมจนผมสะดุ้งเฮือกเผลอร้องเสียงหลงออกมา อีกครั้งที่เขาไม่ปล่อยให้ผมหยุดพักหายใจเมื่อลิ้นอุ่นสากสัมผัสกับยอดอกของผมและถูกริมฝีปากหนักครอบครองราวกับปรารถนาอย่างแรงกล้า ทั้งดุดันร้อนแรง จนร่างกายของผมมันสั่นไหวขัดขืนต่อการรุกเร้าแทบไม่ไหว

   “อื้อ....”

   ริมฝีปากอุ่นก้มลงพรมจูบไปทั่วร่างกาย ผมสัมผัสได้ถึงการปลุกเร้าที่ไม่มีวันสิ้นสุดจากมือหนาที่ไม่มีท่าทีว่าจะร้างลาแม้ร่างกายผมจะบิดเร้าถอยร่นถดหนีแล้วก็ตาม

   เสียงหายใจของผมหอบถี่ประสานกับคนบนร่างราวกับจงใจ ฟรานซิสจงใจปลุกเร้าอารมณ์ผมถึงขีดสุด ก่อนที่ผมจะรู้ตัวอีกทีก็ถูกร่างสง่าตรงหน้าพลิกตัวให้คว่ำลงพร้อมรั้งสะโพกผมให้แอ่นขึ้นแล้วเบียดกายเข้ามาก่อนจะปลดกระชากกางเกงผมให้ร่นลงมาถึงโค่นขา ใบหน้าของผมทาบทับอยู่กับเตียงนุ่มอีกมือก็ถูกรวบกุมไขว้หลังไว้อย่างขืนบังคับ

   ตัวเขาเองก็โน้มกายลงทาบทับลงบนแผ่นหลังของผมก่อนจะพรมจูบไล่ไปจนถึงใบหู ผมหดตัวเกร็งรับรู้ถึงสัมผัสที่เสียวซ่านทางด้านหลังเมื่อมีบางอย่างที่แข็งขืนกำลังเสียดสีเนิบช้าไปมาอยู่บนสะโพกผ่านเนื้อผ้า เพียงไม่นานร่างแกร่งที่ตื่นตัวเต็มที่ก็หยิบยื่นความปรารถนาที่เขามีให้แก่ผมจนหมดสิ้น ผมอ้าปากค้างราวกับเสียงถูกกลืนหายเมื่อรับรู้ได้ถึงสัมผัสที่รุกล้ำเข้ามาอย่างกะทันหัน

   “ฮึก! ผม....เจ็บ”ผมร้องออกมาเมื่อร่างสูงเริ่มเคลื่อนไหวและคับแน่นจนแทบจุก แต่ราวกับแค่เสียงลมแผ่ว เมื่อฟรานซิสกลับเคลื่อนไหวขยับถี่กระชั้นสอดเชื่อมประสานร่างกายกับผมราวกับดำดิ่งลึกลงไปไม่สามารถหยุดเขาได้ เสียงแหบพร่าทุ้มต่ำของฟรานซิสทำให้ความคิดของผมกระเจิง แม้สิ่งที่เขามอบให้จะเต็มไปด้วยความเจ็บปวดแต่ก็นำพาความสุขให้ผมไม่น้อย ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เขาโอบกอดผมไว้ในอ้อมแขนแสดงออกถึงความต้องการที่ไม่มีที่สิ้นสุด บ้างเร่งเร้าจังหวะร้อนแรงจนร่างกายผมแทบมอดไหม้และหมดสิ้นเรี่ยวแรง
 
   และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ผมปล่อยตัวเองให้อีกคนนำพาไปเตะถึงขอบความปรารถนา แต่ครั้งนี้กลับรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปเสียจนหัวใจผมมันเบาหวิว ผมชักจะไม่แน่ใจเสียแล้วว่าตัวเองต้องการอะไรกันแน่




   ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว ผมขยับตัวขึ้นเมื่อรู้สึกเหมือนลำคอของตัวเองแห้งผาดต้องการน้ำ ผมพยายามจะลุกขึ้นแต่กลับต้องแปลกใจที่ตนเองเห็นใบหน้าของฟรานซิสชิดใกล้ ใกล้เสียจนลมหายใจสอดประสานกัน และผมยังแปลกใจกับลำแขนแกร่งที่ข้างหนึ่งสละให้ผมหนุนต่างหมอนและอีกข้างก็โอบกอดร่างกายของผมราวกับถนอม

   เป็นครั้งแรกที่ไม่คุ้นนักเมื่อตื่นมามีใครมานอนอยู่ใกล้ขนาดนี้ และมันยิ่งทำผมใจเต้นรัวเข้าไปอีกเมื่ออีกฝ่ายคือฟรานซิสที่นอนนิ่งสงบอยู่ข้างๆ ผมเผลอลอบมองใบหน้าคมที่หลับตาพริ้มเผยขนตาสีน้ำตาลหน้าเป็นแพ จมูกโด่งรั้นได้รูปตามแบบฉบับลูกครึ่งฝรั่ง

    ไม่รู้เพราะผมขยับตัวแรงเกินไปหรือพยายามยกท่อนแขนหนักๆ ของเขาออก จึงทำให้คนตรงหน้าลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วจ้องมองผมนิ่ง ผมเห็นใบหน้าตัวเองสะท้อนอยู่ภายในดวงตาของฟรานซิส ผมถึงกับชะงักค้างมีสีหน้านิ่งเครียดและเป็นกังวนอยู่ไม่น้อย

   “ผมต้อง.....กลับแล้ว”สายตาของผมเฉไฉมองอย่างอื่นทั้งๆ ที่พูดกับคนตรงหน้า ไม่รู้สิผมว่าผมยังไม่กล้ามองหน้าเขาตรงๆ ตอนนี้ เราเพิ่งทะเลาะกันแล้วจู่ๆ สถานการณ์มันเป็นแบบนี้ผมไม่รู้จะชักสีหน้ายังไงดี และผมก็ไม่แน่ใจในอารมณ์ของฟรานซิสอีก

   ส่วนความรู้สึกของผมตอนนี้.....จะให้โกรธเรื่องที่เขากระทำรุนแรงกับผมอย่างนั้นเหรอ? มันก็มีส่วนแต่แทบจะเลือนหาย แต่ผมจะเป็นกังวนเรื่องความกระดากอายหลังจากตื่นมาแทนเสียมากกว่า  มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมานอนมองตากับคนที่เพิ่ง.....จะให้ผมพูดง่ายๆ คือผมกับฟรานซิสอยู่ในสถานะอะไรผมเองยังสับสน แล้วจะให้มองหน้ากันแล้วยิ้มหลังมีอะไรกันเสร็จมันก็ไม่ใช่

   “จะรีบไปไหน”แขนแกร่งกดผมให้นอนต่อ

   “กลับบ้าน”ผมพูดตอบกลับและใช้มือสองข้างดันอกคนตรงหน้าให้ถอยห่าง เมื่อเขาพยายามดึงผมเข้ามาใกล้ ภายใต้สัมผัสในผ้าห่ม ผมพอจะเดาออกว่าอีกฝ่ายก็เปล่าเปลือยอยู่เช่นกัน ผมจึงทำตัวเองออกห่างให้มากที่สุด

   “กลับบ้านที่ไหนในเมื่อที่พักนายไฟไหม้”ฟรานซิสใช้ดวงตาคมกริบถามคำถามผม แน่ล่ะผมต้องตอบแต่มีบางอย่างทำให้ผมเอะใจ

   “คุณรู้ได้ยังไงว่าไฟไหม้”

   “..........”ฟรานซิสนิ่งเงียบไปก่อนกระตุกยิ้มเบาๆ ตรงมุมปากราวกับเป็นเรื่องตลก แต่ผมกลับชื่นใจขึ้นมาเมื่อเห็นยิ้มแบบนั้น“มีอะไรที่สื่อโทรทัศน์จะบอกฉันไม่ได้กับเรื่องเล็กน้อยพวกนั้น....ตอบฉันมาสิว่านายจะกลับบ้านที่ไหน”

   “ผมจำเป็นต้องตอบคุณ?”

   “ไม่จำเป็นถ้านายคิดว่าไม่สำคัญ”แรงกอดค่อยๆ ดึงกระชากร่างผมเข้าหาตัวเขาไม่ได้ต่างไปจากคำขู่เลยสักนิด แม้จะแตกต่างจากคำพูดที่เขาดูไม่แยแส

   “ก็ได้ๆ ผมจะบอกแต่คุณเลิกกอดผมได้แล้ว”

   “ว่ามา คำตอบของนายคือ?”

   “ผมไปพักบ้านไอ้บัสชั่วคราว แล้วกำลังหาที่อยู่ใหม่เพราะเจ้าของหอออกปากไล่”ผมก้มหน้างุดเล่าความจริงให้ฟรานซิสฟัง เขาหัวเราะหงึกๆ ในลำคอเหมือนพึงพอใจ “คุณหัวเราะผมเหรอ?”ผมเงยหน้าขึ้นมองเขาแบบฉุนๆ

   “เปล่า ฉันคิดว่านายควรจะย้ายมาอยู่ที่นี่ ถึงเพื่อนของนายจะไม่พูดแต่นายกำลังรบกวนเขา”

   “ไม่หรอก.....ไอ้บัสมันรักผมจะตายเราเป็นเพื่อนกันมาหลายปี เรื่องแค่นี้ผมไม่ทำมันเดือดร้อนหรอก”ผมปฏิเสธเสียงแข็ง แต่ดูเหมือนบาอย่างในประโยกจะทำให้ฟรานซิสไม่พึงพอใจสักเท่าไหร่ เขาถึงเล่นพลิกตัวมากดร่างผมไว้ภายใต้ร่างกายกำยำนั่นอีกครั้ง

   “เก็บข้าวของมาอยู่ที่นี่ซะ ฉันไม่สนหรอกว่าหมอนั่นจะรักนายเหมือนเพื่อนแค่ไหน”

   “ผมไม่อยากรบกวนคุณ ผมหาที่อยู่ใหม่ได้”

   “นายมันรั้น”

   “ก็คุณบอกเองว่าการพึ่งพาใครมันเป็นการรบกวน”

   “แต่ไม่ใช่กับฉัน”

   “ผมจะถือว่ารวมคุณด้วย”

   “ธัน!”

   “ปล่อยผมเถอะครับ ผมหนัก”ผมพูดหน้าตาย

   “เมื่อไหร่นายจะฟังที่ฉันพูดเสียที”

   “ก็ตอนที่ผมไม่มีความคิดเป็นของตัวเองล่ะมั้งครับ”ผมพยายามดันคนตรงหน้าให้ออกไปอย่างมานะ

   “ก็ได้.....ฉันจะรอจนกว่านายจะเอ่ยปากมาที่นี่เอง”ฟรานซิสกระตุกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์แต่แอบซ่อนไปด้วยแผนการ ผมไม่รู้ว่าเขากำลังคิดทำอะไรกันแน่

   “คุณคงไม่ใช้แผนการไม่ซื่อ”

   “ไม่หรอก ทุกอย่างจะเป็นไปตามลำดับ”พูดจบฟรานซิสก็ก้มลงจรดริมฝีปากหนาได้รูปลงกับริมฝีปากฉ่ำของผมขณะที่ผมกำลังจะโต้ตอบพอดี ทำให้ผมรู้สึกถึงเรียวลิ้นอุ่นชื่นที่รุกล้ำเขามาภายในอย่างวิสาสะ ดวงตาผมเปิกโผล่งราวกับเห็นสิ่งมหัศจรรย์ เพียงไม่นานฟรานซิสก็ถอนจูบที่ดูดดื่มราวกับดื่มกินน้ำผึ้งพระจันทร์แย้มยิ้มตรงมุมปากอย่างพออกพอใจ ก่อนเอื้อมมือหน้ามาปาดไล่น้ำฉ่ำวาวที่อาบเคลือบริมฝีปากของผมอย่างอ้อยอิ่ง ผมมองคนตรงหน้าด้วยสีหน้าที่แดงเรื่อราวกับเขินอายจนพูดอะไรไม่ออก

   และเรื่องที่ผมจะมาอยู่ที่นี่ก็เลิกคิดไปได้เลย ไม่มีทางแน่นอนเพราะยังไงซะผมก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาปรารถนาหากรู้ความจริงเข้าสักวัน ไม่แน่เขาอาจจะไล่ต้อนผมแล้วปิดปากฆ่าก็เป็นไปได้

   ผมนั่งมองฟรานซิสที่ลุกเดินออกไป และต้องรีบเบี่ยงหน้ามองไปทางอื่นแทนเมื่อสายตาปะทะเข้ากับสะโพกและแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ถึงอย่างไรมันก็รู้สึกอดไม่ได้ที่จะไม่กล้ามองมันตรงๆ อยู่ดี

   “โทรศัพท์ของนายใช่มั้ย ดูเหมือนมีคนโทรเข้ามาตอนที่นายไม่ว่าง”แล้วฟรานซิสก็เอื้อมหยิบโทรศัพท์ที่หล่นอยู่บนพื้นยืนมาทางผม เลยทำให้ผมเผลอหันไปมองเข้าให้ ครั้งนี้หนักกว่าเก่าเมื่อเขาหันหน้ามา

   ให้ตายเถอะ! เขารู้จักอาบบ้างมั้ย ถึงจะรู้ว่านิสัยใจคอเขาครึ่งหนึ่งไม่ใช่คนไทยก็เถอะ

   ผมรีบเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์มาจากฟรานซิสก่อนจะไล่ให้คนตรงหน้าเดินเข้าห้องน้ำไป

   “ขะขอบคุณ.....คุณไปห้องน้ำได้แล้ว”ไม่ทันที่ฟรานซิสจะหันหลังไป ระบบสั่นที่แสดงชื่อผู้โทรเข้าก็ปรากฏตรงหน้าจอ มันทำให้ผมรู้เวลาที่เห็นอยู่ตรงหน้าจอโทรศัพท์ด้วยว่านี่มันจะ 4 ทุ่มเข้าไปแล้ว ผมรีบกดรับอย่างไว

   “ฮัลโหลว่าไง ขอโทษที่ไม่ได้รับสายมึง ว่าแต่มีอะไรรึเปล่าวะ.....อะไรนะ! มึงอยู่โรงพยาบาลไหนเดี๋ยวกูจะไปเดี๋ยวนี้ โอเคได้ๆ”ผมลุกขึ้นพรวดไปคว้าเก็บเสื้อผ้าตามพื้นมาใส่โดยไม่ได้สนใจเข้าห้องน้ำก่อนเลยสักนิด ฟรานซิสยืนมองสถานการณ์ที่ลุกลี้ลุกลนของผมก่อนจะคว้าแขนผมไว้ทัน ไม่งั้นผมได้ล้มลงไปทั้งยืนแน่ๆ เมื่อสภาพร่างกายไม่ได้พร้อมใช้งานขนาดนั้น

   “รีบร้อนมีเรื่องอะไร”

   “ผะผมต้องไปโรงพยาบาล ไอ้บัสกับไอ้ปอนถูกรถเฉี่ยว”ผมบอกฟรานซิสทั้งๆ ที่ตัวเองมือไม้สั่นทำอะไรแทบไม่ถูก แม้ไอ้บัสจะบอกว่าไม่เป็นไรแต่หัวใจผมมันไม่เชื่อจนกว่าจะไปเห็นด้วยตาตัวเอง

   “รอเดี๋ยว ฉันจะไปส่ง นายไปในสภาพนี้มีหวังได้เป็นอะไรไปอีกคน”

    ผมพยักหน้าหงึกๆ รับความช่วยเหลือจากฟรานซิส เขาใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีแทบจะเร็วกว่าผมด้วยซ้ำในการเข้าห้องน้ำแล้วแต่งตัว แล้วพาผมมาส่งผมถึงโรงพยาบาล





>>>>> to be continued  :bye2:

ขอบคุณนักอ่านที่ติดตาม ขอบคุณที่ชอบ ขอบคุณสำหรับกำลังใจค่ะ  :กอด1: :กอด1:



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ tiew93

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ฟรานซิสรู้ใช่มั้ย... ธันเอ๊ยยย แกมันน่าสงสาร
เพื่อนโดนรถเฉี่ยว มีคนจงใจหรือเรื่องบังเอิญอ่ะ  :katai1:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ธันแกมันน่าสงสารว่ะ เราว่าไอ้เสี่ยอะไรนั้นเริ่มจะบีบแกแล้วนะ บอกฟรานซิสเหอะดีไม่ดีได้ตลบหลังไอ้เสี่ยที่บีบบังคับแกเป็นการแก้แค้นคืนด้วยนะเออ

ออฟไลน์ brookzaa

  • Chill out
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-6

ออฟไลน์ cheyp

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1536
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-0
ปากแข็งอยู่ได้
ถ้าบอกความจริงไปซะ เรื่องก็คลี่คลายแล้ว

ออฟไลน์ ทามากิบ๊อง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-4


19





   “คุณไม่จำเป็นต้องตามผมมาก็ได้”

   “ไม่เป็นไร ฉันให้นายเดินมาคนเดียวมันก็ออกจะเกินไป”และแน่นอนว่าเมื่อไหร่ที่ฟรานซิสออกจากบ้านเขาไม่ได้มาแค่คนเดียวอย่างแน่นอน เขามีบอดี้การ์ดอย่างน้อย 2 คนตามเขามาด้วย แต่โชคดีที่ฟรานซิสสั่งให้ทั้งสองคนรออยู่ที่รถด้านนอกแทน ไม่อย่างนั้นคงสะดุดตาพิลึก แค่ฟรานซิสคนเดียวเดินเข้ามาในโรงพยาบาลก็เด่นมากพอจนเป็นเป้าสายตาของคนทั้งโรงพยาบาลอยู่แล้ว ระหว่างเดินไม่รู้ว่าเพราะผมใจลอยหรือขามันอ่อนแรงกันแน่ถึงได้สะดุดขาตัวเองแทบล้มหน้าทิ่ม แต่ดีที่ฟรานซิสรั้งผมไว้ทัน

   ผมต่อสายหาไอ้บัส และในที่สุดก็เจอมันจนได้ ไอ้บัสนั่งอยู่บนเตียงผู้ป่วยใน แขนข้างหนึ่งดูเหมือนจะเข้าเฝือกแล้วแขวนห้อยกับคอเอาไว้ และข้างๆ ก็เป็นไอ้ปอนที่นอนกดโทรศัพท์อยู่ แต่ขามันดันพันผ้าก๊อซตรงหัวเขาเสียหนาทึบจนผมใจหาย

   “ไอ้บัสไอ้ปอน!”ผมร้องทักก่อนจะวิ่งเข้าไปหาพวกมัน ไอ้ปอนวางโทรศัพท์สีหน้ายังคงสดใสพยายามลุกขึ้นมาทักทายผมกับแขกไม่ได้รับเชิญ

   “มาเร็วชิบ เอ่อ สวัสดีครับ”ไอ้ปอนกับไอ้บัสยกมือขึ้นสวัสดีฟรานซิส เขาพยักหน้ารับไว้แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ไอ้บัสใช้แขนข้างหนึ่งดึงตัวผมเขาไปใกล้แล้วกระซิบกระซาบ

   “เอามาได้ไงวะ”

   “ถ้าหมายถึงคนข้างหลัง เขามาส่งกูน่ะเลยตามมาเยี่ยมมึงสองคนด้วย”

   “แน่ใจว่ามาเยี่ยม ไม่ได้จะมาคุมเหรอวะ”

   “ไอ้บัส!”ผมด่ามันลอดผ่านไรฟัน แต่มันก็ดันหันไปทำคุยโว้กับฟรานซิสแทน

   “ขอบคุณมากครับที่อุตส่าห์มาเยี่ยมจริงๆ ไม่ต้องลำบากก็ได้ครับ”

   “พวกนายสองคนไม่เป็นไรแน่นะ หากมีอะไรให้ฉันช่วยก็บอกได้”ฟรานซิสล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าก่อนหยิบนามบัตรส่งให้ไอ้บัส เพราะในนั้นมีเบอร์โทรศัพท์เขาอยู่

   “ไม่เป็นอะไรมากครับ โชคดีที่แขนผมมันแค่เดาะ กับเข่าไอ้บัสที่กระแทกกับถนนพอถลอก หมอเลยให้นอนดูอาการสักคืน ถ้าไม่อักเสบหรือมีอาการอะไรแทรกซ้อนพรุ่งนี้ก็กลับได้เลย”   

   “แล้วตกลงพวกมึงสองคนทำไงถึงได้เกิดเรื่องวะ”

   “กูเองแหละที่โทรชวนไอ้บัสไปบ้านน้องเนยเพราะเห็นว่าวันนี้หยุดงาน กะว่าจะไปส่องสาวแต่แม่งความซวยไม่ปราณี จู่ๆ มีรถที่ไหนก็ไม่รู้ขับมาอย่างเร็วทั้งที่ถนนแม่งก็กว้างเบียดกูกับไอ้บัสล้มแล้วก็เปิดตูดหนีไปเลย กูยังเจ็บใจไม่หายเพิ่งโพสด่าลงเฟสเนี้ย”ไอ้ปอนเล่าเป็นฉากๆ แต่ไอ้ที่โพสด่ามันมีสาระไหม มึงเดี้ยงอยู่นะไอ้ปอน!

   “โทษตัวเองทำไมวะ ต้องโทษไอ้คนขับรถนั่นมากกว่า มึงผิดที่ไหนกูคนขับถ้ามึงผิดที่ชวน กูก็ผิดที่ขับไม่ดีสิวะ”

   “มึงจะผิดได้ไง กูบอกแล้วว่ากูผิด”

   “เออๆ พอเลยทั้งสองคนจะเถียงให้ได้ถ้วยรึไงวะ เอาเป็นว่านอนพักผ่อนได้แล้ว สงสารเตียงข้างๆ มึงเอะอะโวยวายพยาบาลจะมาฉีดยามึงสองตัวแน่”ผมหรี่ตาเป็นเชิงขู่

   “กูสองคนไม่ใช่เด็กแล้วนะเว้ย ถึงเอาเรื่องแบบนั้นมาขู่”

   “เออๆ แล้วพี่เงาะเอาไง มึงได้ลายาวเป็นอาทิตย์แน่”

   “โทรบอกแล้ว เจ๊แกบอกไม่ต้องห่วงจะหาคนแก้ขัดไปก่อน ไม่ได้โดนไล่ออกแน่”ไอ้ปอนบอก

   “งั้นคืนนี้ให้กูอยู่เฝ้า”

   “ไม่ต้องๆ กลับไปเลย กูกับไอ้ปอนไม่ได้โคม่า”ไอ้บัสโบกมือไล่

   “ก็ถ้าเกิดเอายงเอายากูจะเดินไปเอาให้”

   “กูบอกว่าไม่ต้องไง คุณเจ้านายของไอ้ธันครับ ช่วยพามันกลับทีนะครับ”

   “พากลับไปเลยครับ ไอ้นี่มันดื้อด้าน มึงจะมาเฝ้าให้ยุงแดกเลือดทำไมวะ กลับไปนอนไป”ไอ้ปอนเอ่ยปากไล่อีกคน

   “แต่ว่ากู”

   “ถ้านายอยู่ เพื่อนนายจะลำบากใจเปล่าๆ”ฟรานซิสเอื้อมมือมาแตะบ่าผม

   “รบกวนด้วยนะครับ แล้วก็เอ่อ....เดี๋ยวนะกุญแจบ้านมันอยู่ในกระเป๋ากางเกง ถ้ามึงเข้าบ้านก็ไปหยิบเอาในนั้นได้เลย”ไอ้บัสชี้ไปทางตู้วางของข้างเตียง

   “ไม่เป็นไร คืนนี้ฉันจะให้เพื่อนของพวกนายพักกับฉันสักคืนก็แล้วกัน”

   “ผมไม่ไป”ผมหันไปค้อนใส่ฟรานซิส   

   “ไอ้ธันมึงจะดื้ออะไรนักหนา ไปได้แล้วเขาจะปิดไม่ให้เข้าเยี่ยมแล้วมึงไม่ได้ยินประกาศรึไง ไปๆ”ไอ้บัสเอ่ยปากไล่ผมอีกครั้ง คราวนี้ฟรานซิสเลยเป็นฝ่ายดึงผมออกมาเอง ผมเดินหน้างุ้มตามหลังร่างสูงอย่างไม่พอใจ

   “โกรธฉันเรื่องอะไร?”

   “ก็คุณดึงผมออกมา ผมอยากจะอยู่ที่นี่คุณกลับไปเถอะผมขอร้อง”

   “ฉันรู้ว่านายเป็นห่วงเพื่อน แต่เป็นห่วงตัวเองก่อนจะดีกว่า”คนเบื้องหน้าหมุนตัวมาทางผมแล้วก้มลงมาพูดกับผมอย่างตำหนิ

   “ผมจะกลับมาที่นี่หลังจากเช้าทันที”

   “ได้ ฉันจะให้อาเธอร์มาส่ง”

   “ไม่เป็นไร ผมออกมาเอง”

   “......ตามใจ”บทสนทนาสิ้นสุดเมื่อหาจุดจบได้ และเพียงไม่นาน เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้นอีกครั้ง ผมแง้มมันออกดูจากกระเป๋ากางเกงก่อนจะเห็นเลขหมายและชื่อคนโทรมาถึงกับสะดุ้งเฮือก

   “คือว่า พอดีพี่เงาะโทรมา ผมขอไปคุยธุระหน่อยคุณรอผมตรงนี้ก็แล้วกัน”ผมไม่รอให้ฟรานซิสตัดสินใจ รีบเดินออกมาจากตรงนั้นแล้วหาที่ลับตาคนก่อนจะกดรับสาย

   จริงๆ ไม่ใช่พี่เงาะหรอกนะที่โทรมา แต่กลับเป็นอากงของผมเอง

   “มีอะไร”

   “[เล่นทักทายกันแบบไม่มีไมตรีจิตเลย]”เสียงอารมณ์ดีของอีกฝ่ายทำผมหงุดหงิด

   “อย่ามานอกเรื่อง ที่โทรมามีอะไร รีบๆ พูดก่อนที่กูจะวางสาย”

   “[ใจร้อนไปได้ แค่จะโทรมาถามอาการของเพื่อนมึงซะหน่อย]”ผมนิ่งไปชั่วครู่ก่อนที่จะย้อนคำถามออกไปอย่างใจร้อน

   “มึงรู้ได้ไงว่าเกิดอะไรกับเพื่อนกู”ผมเริ่มใจไม่ดี และไม่อยากคิดไปเองในสิ่งที่เป็นไปได้

   “[มันเป็นอุบัติเหตุ พอดีลูกน้องกูขับรถเร็วไปหน่อย ฮ่าๆ]”มือของผมกำหมัดแน่นจนร่างกายสั่นไปทั้งตัว ในหัวของผมมันปวดขึ้นมาจนคิดอะไรไม่ออก คนอย่างไอ้แก่เฉินเหรอจะทำเรื่องเลวๆ แบบนี้ไม่ได้

   “มึงจะทำอะไรกูกูไม่ว่าแต่อย่างเอาเพื่อนกูไปเกี่ยวข้อง!”เสียงของผมสั่นเครือระคนโกรธแค้น แต่กลับทำอะไรไม่ได้สักอย่าง แล้วยังมาทำให้ไอ้บัสกับไอ้ปอนพานเดือดร้อนอย่างไม่รู้ตัวไปด้วย

   “[ฮึ! ก็มันช่วยไม่ได้ กูก็แค่หาแรงจูงใจอะไรสักอย่างให้มึงเร่งทำงาน เป็นไงรู้สึกมีกำลังใจทำงานให้กูขึ้นมาบ้างรึยัง]”
   ผมกัดฟันกรอดนัยน์ตาร้อนผ่าวและเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำใสๆ ที่ปริ่มออกมาไม่ใช่เพราะรู้สึกเศร้าเสียใจ แต่เพราะรู้สึกจุกในอกราวกับความคับแค้นไม่สามารถระเบิดออกมาได้

   “มึงมันเลว รู้อย่างนี้กูไม่มีทางส่งสิ่งที่มึงอยากได้ไปให้มึงเด็ดขาดไอ้ชั่ว!”

   “[มึงพูดว่าอะไร ส่งสิ่งที่กูอยากได้ เมื่อไหร่!]”อีกฝ่ายดูกระตือรือร้นขึ้นมาผ่านน้ำเสียง

   “กูทำงานให้มึงเสร็จตามสัญญา…..”น้ำเสียงของผมมันเริ่มขาดห้วงพยายามกลืนก้อนแข็งๆ ที่ติดอยู่ในคอด้วยความยากลำบาก“ข้อมูลที่มึงอยากได้นักอยากได้หนา กูส่งทางไปรษณีย์ไปแล้วและอีกไม่นานมันคงจะถึงมือมึงในไม่ช้า”

   “[ไปรษณีย์? เหอะ! ข้อมูลสำคัญของกูมึงใช่ส่งวิธีนั้นเหรอวะ ทำไมมึงไม่ส่งให้กูกับมือทันทีที่ได้!]”ฟังน้ำเสียงมันดูก็รู้ว่าไอ้แก่เฉินหงุดหงิดกับวิธีการของผมแค่ไหน มันคงมองว่าผมโง่ดักดานที่เลือกใช้วิธีที่ชักช้าไม่ทันใจแบบนั้น มันก็เหมือนการอ้อมโลกเพื่อกลับมาที่เดิม

   แต่นั่นเป็นสิ่งที่ผมจงใจ แค่อยากจะยื้อเวลาที่ผมจะทำให้ใครคนหนึ่งเดือดร้อนช้าลงก็เท่านั้น แต่แบบนี้จะมีประโยชน์อะไร ถ้าหากทำให้คนรอบตัวผมเดือดร้อนไปด้วยแบบนี้

   “มึงจะรู้สึกยังไงก็ช่าง! สัญญาของกูกับมึงถือเป็นอันสิ้นสุดเลิกยุ่งเลิกวุ่นวายกับพวกกูซะ”

   “[จบง่ายๆ ได้ไง ในเมื่อกูยังไม่เห็นของที่มึงส่งมา จนกว่ากูจะเช็คว่ามันเรียบร้อยดีแล้วก็จะเป็นฝ่ายบอกมึงเอง]”

   “ก็ได้ ถึงตอนนั้นเมื่อไหร่ก็ถือเป็นการจบสิ้น”

   “[อ้อ! กูลืมบอกมึงไปอีกเรื่องหนึ่ง บังเอิญว่าคืนนี้ลูกน้องกูสองคนจะไปเดินเล่นแถวๆ บ้านเพื่อนมึงอีกคน ถ้ากูจำไม่ผิดชื่อจง ชื่อจูนอะไรสักอย่าง ถ้ามึงไม่รีบกูก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ.....]”

   “มึง!!!”หัวใจผมถึงกับหล่นวูบลงไปทันทีก่อนจะตัดสายไอ้เลวนั่นทิ้งแล้วออกตัววิ่งออกไปสุดกำลัง

   ยิ่งวิ่งร่างกายผมแทบจะไม่มีแรง ผมเห็นร่างสูงเลือนๆ ผ่านคราบน้ำตาบางๆ ที่ยืนรอผมไม่ไปไหน ผมวิ่งไปหยุดต่อหน้าฟรานซิสแล้วใช้สองมือขยุ้มเสื้อของเขาแล้วก้มหน้างุดลมหายใจหอบถี่พลันทำให้ร่างสูงประหลาดใจ

   “เกิดอะไรขึ้น?”

   “ฮึก! ชะช่วยผมด้วย ผมขอร้องแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น”ผมเขย่าฟรานซิสด้วยกำลังอันน้อยนิดที่ไม่ทำให้คนตรงหน้าสะทกสะท้าน ผมยอมเป็นคนหน้าไม่อาย เพราะเพียงลำพังในตอนนี้มือสองมือของผมมันไม่สามารถจะทำอะไรได้ คนที่ผมพอจะพึ่งพิงตอนนี้ก็มีแต่เขาก็เท่านั้น

   ผมมันเลวใช่มั้ยล่ะ ที่เอาความลับของเขาไปขายแล้วยังจะขอความช่วยเหลือจากเขาอีก



   สถานการณ์ตอนนี้ทำผมร้อนใจนัก แม้คนของฟรานซิสจะเหยียบคันเร่งจนทิวทัศน์รอบๆ แทบมองไม่ถนัดตา แต่มันยังเร็วไม่พอในความรู้สึก
 
   หลังจากที่ผมเอ่ยคำพูดขอร้องฟรานซิสไป เขาไม่เอ่ยถามสาระสำคัญจากผมสักคำ มีแต่ผมที่พร่ำบอกสิ่งที่จะเกิดขึ้นหากผมไปช่วยไอ้จูนไม่ทัน ผมบอกเขาไปเพียงว่า ไอ้จูนกำลังโดนคนบางคนเล่นงาน จากนั้นก็ไม่มีคำถามใดๆ จากปากฟรานซิสอีก

   “คุณบอกให้เขาขับเร็วกว่านี้ได้มั้ย ผมขอร้อง!”ฟรานซิสหันไปพูดบางอย่างกับบอดี้การ์ดที่ความเร็วของรถก็ทะยานพุ่งออกไปราวกับจรวด เพียงไม่นานผมก็มาถึงหน้าบ้านของไอ้จูน ซึ่งมันอาศัยอยู่กับพ่อแล้วก็แม่ ซึ่งทั้งสองไม่ได้อยู่บ้านในตอนนี้ เพราะทั้งคู่ไปเข้าอบรมในหน้าที่การงานทางอาชีพของเขาที่ต่างจังหวัด

   ทันทีที่รถจอด ผมไม่รั้งรอรีบเปิดประตูพุ่งพราวกำลังจะออกไปเมื่อเห็นว่าชั้นสองของบ้านไฟสว่าง แต่ฟรานซิสกลับคว้าแขนผมไว้

   “คุณจะจับผมไว้ทำไม ปล่อยนะ!”

   “หากนายบุ่มป่ามเข้าไปอาจเป็นเรื่อง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนของฉันเข้าไปดูจะดีกว่า”ไม่ทันไรเสียงบางอย่างที่ดูครึกโครมก็ดังเล็ดลอดออกมาถึงกับทำให้ผมใจหาย ไม่ทันที่ผมจะสังเกต ปรากฏว่าบอดี้การ์ดของฟรานซิสกลับหายออกไปจากรถเรียบร้อยแล้ว

   ฟรานซิสมองมายังผมราวกับจะให้รั้งรอต่อไป แต่ทว่าผมไม่สามารถทนอยู่เฉยๆ ได้

   นั่นมันไอ้จูนเพื่อนผมนะ!

   ผมสะบัดท่อนแขนวิ่งออกไป และขุ่นเคืองในความคิดของฟรานซิสไม่น้อยที่จะให้ผมเฝ้ารออยู่เฉยๆ

   ผมวิ่งไปทางบันใดเพื่อขึ้นไปยังชั้นสองขอบ้านข้างของระหว่างทางดูกระจุยกระจาย มีเสียงเอะอะโวยวายและเสียงกรีดร้องของไอ้จูนถัดไปอีกห้อง ผมพุ่งพรวดเข้าไปก็พบกับคนของฟรานซิสที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อย ไม่ผิดไปจากที่คิด คนที่ดูยังไงก็ไม่ใช่คนดีกำลังดิ้นพล่านอยู่บนพื้นต้านแรงกดของสองร่างใหญ่จนหน้าซับเลือด เพียงไม่นานฟรานซิสก็ตามขึ้นมา ผมรีบเดินไปหาไอ้จูนที่ยืนตัวสั่นเทาอยู่มุมห้องกุมบ่าสองข้างของมันที่สั่นไหวด้วยแรงหอบถี่

   “มึงเป็นอะไรรึเปล่า มึงเจ็บตรงไหนมั้ย!”ผมถามมันเร็วรัวเขย่าตัวมันเรียกสติเล็กน้อย

   “กะกูโอเค ไม่เป็นไร”

   “ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับมึงกูจะไม่ให้อภัยตัวเองเลยว่ะ”ผมกระชากตัวไอ้จูนเข้ามากอดความตกใจระคนปวดร้าวแทรกเข้ามากลางอก

   “ขอบใจมากเลยนะเว้ย ถ้ามึงไม่มา.....กะกูแย่แน่ๆ”ไอ้จูนเริ่มสะอื้นขึ้นก่อนที่น้ำตามันจะนองหน้ากุมแขนผมไว้แน่น ผมส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธว่าไม่เป็นไร ก่อนจะหันไปดูเหตุการณ์เบื้องหลัง จากนั้นไม่นานผมก็จัดการส่งไอ้เลวที่มาก่อเหตุให้ตำรวจไป ถึงยังไงมันก็จบคดีอยู่ที่ขึ้นบ้านเพื่อลักขโมย ไอ้แก่เฉินคงไม่ยอมให้เรื่องบานปลายแน่นอน คืนนี้ผมบอกฟรานซิสว่าผมจะอยู่เป็นเพื่อนไอ้จูน ผมกลับแปลกใจที่เขายอมกลับไปดีๆ โดยไม่พูดอะไร แต่สีหน้าของฟรานซิสดูตึงเครียดราวกับมีบางอย่างที่ผมไม่สามารถเดาได้

   ไอ้จูนเล่าเหตุการณ์ให้ผมฟังว่า มันอยู่ชั้นบนของบ้านกำลังนั่งดูโทรทัศน์ แต่มันก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนเดินอยู่ข้างล่าง มันเลยลงไป และก็เห็นไอ้เวรนั่นเดินอยู่อย่างเปิดเผย พอเห็นไอ้จูนเข้ามันเลยไล่ตามไอ้จูนขึ้นไปด้านบน เกิดการต่อสู้กันเล็กน้อยเพราะไอ้จูนขว้างปาสิ่งของใส่มัน แต่ก็เหมือนยื้อเวลาให้ผมมา ถึงทุกอย่างจบอย่างทันท่วงทีเมื่อมีบอดี้การ์ดของฟรานซิสขึ้นมาช่วย

   และอีกอย่างที่ได้จูนขอร้องผม คืออย่าบอกเรื่องนี้กับพ่อแม่มัน มันไม่อยากให้ท่านสองคนเป็นห่วงและเครียดกับเรื่องนี้ ผมรับปากแต่ยื่นข้อเสนอให้มันว่าถ้ามีเหตุการณ์ไม่ดีแบบนี้อีกมันต้องรีบบอกผมทันที ผมไม่ได้พูดเรื่องไอ้บัสกับไอ้ปอนที่นอนอยู่โรงพยาบาลให้ไอ้จูนฟังเพราะกลัวมันกังวลและเครียดหนักเข้าไปอีก ผมยินดีอยู่เป็นเพื่อนมันโดยผมนอนเฝ้ามันอยู่ด้านล่าง ส่วนไอ้จูนก็นอนในห้องมันด้านบนและย้ำให้มันปิดหน้าต่างล็อคห้องใครเรียกก็ห้ามเปิดออกมาแม้กระทั่งตัวผมจนกว่าจะเช้า

   ตลอดทั้งคืน ผมแทบจะข่มตาให้หลับไม่ได้ เรื่องราวต่างๆ ประเดประดังเข้ามาจนทำให้ผมกลุ้มจนหัวแทบระเบิด พาลให้ความเครียดลงท้องปวดเนืองเป็นๆ หายๆ อยู่ตลอดเวลา

   ผมย้อนคิดไปว่าหากผมไม่รู้จักกับพวกไอ้บัสไอ้ปอนและไอ้จูนตั้งแต่แรก พวกมันคงไม่ต้องเดือดร้อนแบบนี้ มีแต่ผมเท่านั่นที่ต้องยืนดูเหตุการณ์พวกนี้โดยที่ไม่กล้าปริปากพูดอะไรออกไปได้ ไม่สามารถบอกพวกมันว่าทั้งหมดนี้สาเหตุเป็นเพราะผม ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้สึกอะไรแต่มันคับแค้นอยู่ในอกเหมือนคนน้ำท่วมปากที่ไม่สามารถอธิบายหรือพูดอะไรออกไปได้ ตัวผมตอนนี้ไม่ได้ต่างกับเนื้อเน่าที่ไปอยู่กับใครก็พาคนนั้นมีกลิ่นเหม็นคลุ้งติดตัวไปด้วย

   ผมควรจะทำยังไงดี!



   หลังจากที่ผมบอกลาไอ้จูนออกมาแต่เช้าเพราะอีกไม่กี่ชั่วโมงพ่อกับแม่มันก็จะกลับมาแล้ว พอได้เห็นว่าสีหน้ามันดูสดชื่นขึ้นผมก็รู้สึกเบาใจแต่ความรู้สึกผิดก็ไม่ได้เลือนหายไปด้วย ผมเดินกลับมายังโรงพยาบาลที่ไอ้บัสกับไอ้ปอนพักอยู่ เมื่อผมมาถึงก็เห็นมันสองคนแต่งตัวด้วยชุดไปรเวทกำลังเก็บข้างเก็บของกันอยู่

   “ไอ้ปอนไอ้บัส หมอขึ้นตรวจแล้วเหรอวะ”ผมร้องทักและรีบเข้าไปหา

   “ขึ้นตรวจแล้ว ตอนนี้หมอบอกพวกกูกลับบ้านได้ เห็นมั้ยว่ามึงไม่ต้องกังวลเกินเหตุ”ไอ้บัสหันมาทางผมยังคงเก็บของต่อ ผมเลยบอกให้ทั้งสองคนไปนั่งและอาสาทำแทน

   “แล้วนี่มึงได้หลับได้นอนบ้างมั้ยเนี้ย หน้าตามึงดูไม่ได้เลยว่ะ ฮ๊ะๆ หรือว่า.....เจ้านายมึง”ไอ้ปอนชี้นิ้วมาทางผมทำหน้าตาล้อเลียน

   “มึงคิดอะไรกูรู้ แต่ไม่ใช่อย่างที่มึงคิด ขายังจะเอาอีกมั้ยห๊ะไอ้ปอน”ผมตบลงไปที่ท่อนขาของมันแต่แค่ให้เฉี่ยวๆ แผล

   “โอ๊ย! กูแค่ล้อเล่น”

   “ปากดีไปเหอะมึง”ผมค้อนตาคว่ำให้ไอ้ปอนก่อนจะยัดสัมภาระใส่ถุงที่มีอยู่ไม่กี่อย่าง แต่ผมกลับสงสัยว่าไอ้พวกของกินเล่นนี่มันมาจากไหน ทั้งที่เมื่อคืนผมยังเห็นว่าไม่มีอะไรอยู่เลย

   “ของพวกนี้มาจากไหนวะ?”

   “เมื่อคืนหลังจากมึงกลับ พอดีน้องเนยมาเยี่ยมกูวะ”ไอ้ปอนเล่าไปเกาหัวแก้เขินไป

   “มาได้ไงวะ ผมถามอย่างอยากรู้”

   “ก็รู้จากโพสในเฟสของกูนั่นแหละ”

   “ร้ายนะมึง ที่แท้ก็หวังผล”ผมมองหน้าไอ้ปอนและแบะปากใส่มันอย่างหมั่นไส้

   “กูเปล่านะเว้ย มันเป็นเรื่องบังเอิญกูก็ไม่ได้คิดว่าน้องเนยเขาจะมา”

   “กูว่าน้องเนยมึงมีใจให้มึงแน่นอน”ไอ้บัสพูดขึ้นพลางเอามือลูบสันกรามตัวเองอย่างใช้ความคิด

   “แบบนั้นก็ดีสิวะ กูจะได้ไม่ต้องตามจีบ 11 ขั้นตอนให้เหนื่อย”

   “ระวังเถอะ อะไรที่ได้มาง่ายๆ มันก็จะเสียไปง่ายๆ ได้เหมือนกัน”

   “มึงให้กำลังใจกูหน่อยก็ได้ไอ้ธัน ก็ใชสิ! มึงสบายไปแล้วนี่มีเจ้านายหล่อเหลา หน้าตาดี มีเงินถุงเงินถังคอยรับคอยส่ง จนกูงงว่าตกลงใครเจ้านายใครลูกน้อง”

   “ไอ้ปอน! ยังอยากนอนโรงพยาบาลต่ออีกสักคืนมั้ย ฮึ!”

   “โอ๋เอ๋ กูล้อเล่นอย่างอนดิวะ”

   “ไม่ต้องมาง้อกูเลยกูโกรธ”

   “ไอ้บัสช่วยกูหน่อยสิวะ แม่งไอ้ธันงอนกูแล้ว”

   “ใครทำใครก็ง้อมันเองดิวะ อย่าเอากูไปเสือกด้วยกูไม่เกี่ยว”

   “พวกมึงสองคนจะไปไม่ไป”ผมออกตัวเดินนำไอ้คนเจ็บสองตัวที่ยังหยอกยังล้อกัน ก่อนที่พวกมันจะเดินตามมา ไอ้บัสเดินได้ปกติไม่เป็นไร แต่ไอ้ปอนที่เดินกะแผกๆ กวักมือหยอยๆ ให้พวกผมรอมันเป็นภาพที่น่าสังเวทยิ่ง แล้วก็ไม่ไม่อีกที่ผมต้องเดินย้อนไปลากมันมาเดินไปด้วยกัน ผมลอบมองเพื่อนที่อยู่ข้างๆ ผมพลางยิ้มบางๆ ความรู้สึกของผมมันเต็มไปด้วยความหวาดกลัวที่จะทำให้พวกมันเดือดร้อนอีก ถ้าหากเกิดเรื่องแบบนี้อีกครั้งผมจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองเลย

   “ไอ้บัส ไอ้ปอน.....”ระหว่างที่นั่งแท็กซี่ไปส่งพวกมันสองคน เสียงแผ่วๆ ของผมก็เอ่ยเรียกพวกมันขณะนั่งคุยเรื่องสัพเพเห่ระทั่วไปอย่างครื้นแครงไม่เหมือนคนป่วยใดๆ พวกมันสองคนหันมามองผมด้วยความสงสัย เมื่อสีหน้าของผมมันบ่งบอกว่าผิดเพี้ยนไปจากปกติ

   “เป็นอะไรวะ จู่ๆ ก็ทำหน้าเครียดขึ้นมาหรือยังไม่หายโกรธกูอีก”ไอ้ปอนเอามือมากุมไหล่ผมหน้าหงอ

   “กูโกรธมึงจริงจังเป็นที่ไหน กูแค่มีเรื่องอยากจะพูดกับพวกมึงก็เท่านั้น”

   “ฟู่.....แล้วไป”

   “อะไรวะ? ขอให้เป็นเรื่องดีๆ นะเว้ย”ไอ้บัสแทรกขึ้นมาสีหน้ากังวลฉายขึ้น

   “กูขอบใจแล้วก็ขอโทษพวกมึงจริงๆ ”

   “ขอบใจ ขอโทษ เรื่องอะไรวะ อย่ามาพูดให้พวกกูงงดิ”

   “ขอบใจที่พวกมึงเป็นเพื่อนที่ดีกับกูมากๆ.....”ผมพูดได้แค่นั้นก็รู้สึกว่าเสียงของตัวเองมันกลับสั่นขึ้นมา แล้วพยายามพูดต่อตามความตั้งใจ“ขอโทษ....กับการที่ช่วยอะไรพวกมึงไม่ได้เลยสักอย่าง กูเห็นพวกมึงเจ็บทั้งๆ ที่กูยังอยู่ดีแล้ว....กูรู้สึก....”ไม่ทันที่ผมจะพูดจบน้ำตาของผมมันก็ไหลออกมา แม้พยายามอดกลั้นเอาไว้แล้วก็ตามที ผมรีบยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาก้มหน้างุดไม่กล้าสู้หน้าพวกมัน ไอ้ปอนกับไอ้บัสได้แต่เอื้อมมือมาตบไหล่ผมเบาๆ

   “ไอ้ธันแม่งอย่าคิดมาก ถ้าเรื่องอุบัติเหตุมันเกี่ยวกับมึงที่ไหนอย่าร้องดิว่ะ แม่งไม่แมนเลย เดี๋ยวกูก็ร้องตามอีกหรอก เชี่ย!”ไอ้ปอนตาแดงๆ พูดปลอบผม ผมพยายามส่ายหน้า เพราะความหมายที่ผมพูดถึงพวกมันไม่สามารถรู้ได้

   “ถ้าเรื่องนี้มันใช่เรื่องที่มึงต้องมาขอโทษพวกกูมั้ย ไอ้บ้าเอ้ยทำตัวให้มันร่าเริงหน่อยดิวะ ถ้าไอ้ปอนมันตายก็ว่าไปอย่าง”

   “เชี่ย! แล้วทำไมต้องกูวะ”ไอ้ปอนหน้าเหวอมองไอ้บัสงงๆ

   “ก็อย่างที่สุภาษิตโบราณเขากล่าวไว้ว่า เพื่อนกินหาง่าย แต่ถ้าเพื่อนตายก็ได้ไปกินงานศพไงวะ”

   “ไอ้เชี่ยบัส!”แล้วเหตุการณ์ชุลมุนเล็กน้อยภายในรถก็เกิดขึ้น ผมที่อยู่ระหว่างกลางก็ต้องทำหน้าที่ห้ามทัพทั้งสองตัวที่เริ่มตีกันให้วุ่น บรรยากาศอึมครึมเมื่อครูเริ่มมลายหายไปบ้างแล้ว ผมเริ่มยิ้มได้ขึ้นมากับเรื่องเรียบง่ายแบบนี้ที่ไม่มีที่ไหนให้ผมได้เท่ากับคำว่าเพื่อนอีกแล้ว

   นี่รึเปล่าที่เขาเรียกว่าเพื่อนคือคนที่จะทำให้เรายิ้มและหัวเราะได้ทั้งน้ำตา

   กูรักพวกมึงจริงๆ เพราะฉะนั้นกูจะไม่ยอมให้พวกมึงมาเจอเรื่องเลวๆ แบบนี้อีกแล้ว กูสัญญา!
   




>>>> to be continued :bye2: o13
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-09-2016 19:51:20 โดย ทามากิบ๊อง »

ออฟไลน์ tiew93

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
โอ้ยหนอชีวิต ใจจะขาดแทนธัน ขนาดเราเป็นคนอ่านยังรับไม่ไหวเลย  :sad4:

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
สงสารธันจัง หนี้ก็ไม่ใช่ของตัวเองยังต้องมาชดใช้แถมโดนขู่แบบนี้อีก ชีวิตจะอาภัพไปถึงไหนเนี่ย

ออฟไลน์ brookzaa

  • Chill out
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-6

ออฟไลน์ ทามากิบ๊อง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-4



20




   พรึบ!

   เสียงสะบัดปลายผ้าปูที่นอนผืนใหญ่พลิ้วไหวไปกับแรงลม ก่อนจะถูกพับเก็บลงตะกร้าอย่างดี รวมถึงปลอกหมอนผ้าห่มที่ถูกอาบแสงแดดจนส่งกลิ่นหอมอุ่นเคล้ากับกลิ่นกรุ่นของน้ำยาปรับผ้า ผมยกตะกร้าที่จัดการเก็บผ้าเรียบร้อยแล้วเดินเข้ามายังภายในบ้าน ที่สะอาดสะอ้านถูกปัดกวาดเช็ดถูอย่างดี ไม่มีที่ให้ฝุ่นได้เกาะจับแม้แต่น้อย ข้าวข้องต่างๆ ที่เป็นข้าวสารอาหารแห้งไล่ไปจนถึงของใช้ภายในห้องน้ำก็ถูกผมจัดเตรียมไม่ให้ขาดตกบกพร่อง

   แม้บางอย่างเจ้าของบ้านจะเห็นว่ามันไม่สำคัญ หรือไม่ใส่ใจผมก็จัดการหามาไว้ให้ไม่ขาด เมื่อยามจำเป็นขึ้นมาก็สามารถหยิบใช้ได้ไม่ขาดมือ

   ผมพับปลอดหมอนผืนสุดท้ายที่ถูกรีดจนเรียบเข้าเก็บในตู้ ก่อนจะได้กลิ่นข้ามฟุ้งของข้าวหุงสุกใหม่อบอวนลอยมาเตะจมูก ผมใช้มือปัดผ้ากันเปื้อนสองสามครั้งก่อนจะเดินตรงรี่ไปยังห้องครัวเปิดฝาหม้อขึ้นดูผลงานพานให้ยิ้มออก ก่อนจะหมุนตัวเดินไปยังโทรศัพท์บ้านเมื่อเห็นว่าถึงเวลาสมควรแล้ว

   “เอ่อ ผมเองครับ”ผมต่อสายถึงเจ้าของบ้านเมื่อสายตาเหลือบมองนาฬิกาเห็นว่าเวลาล่วงเลยไปเล็กน้อย

   “[น่าแปลกใจนะที่นายโทรมา มีอะไรรึเปล่า]”เสียงทุ้มที่ฟังดูนุ่มถามไถ่ผมอย่างเป็นห่วง สองสามวันมานี้ฟรานซิสดูจะอ่อนโยนกับผมเป็นพิเศษ ทั้งการกระทำและคำพูด ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แม้กระทั่งการหยอกล้อให้ผมขุ่นโกรธหรือบังคับให้ผมทำอะไรหลายๆ อย่างสองสามวันนี้กลับไม่มีให้เห็น กลับบ้านมาเขาก็แค่พูดคุยกับผมไม่กี่คำก็ขึ้นห้องตัวเองไป ผมนั่งรอเวลาที่เขาจะขอให้ผมช่วยอะไร วูบหนึ่งในบางครั้งผมรู้สึกเหงาจนคิดว่าตัวเองคงเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ เลยต้องกลับไปทั้งๆ ที่ไม่ได้เอ่ยลาฟรานซิสสักคำ อ้อ.....ผมคงลืมบอกไปว่าผมไม่ได้ไปไหนแต่ยังพักอยู่กับไอ้บัส เพราะมันของร้องไว้ แต่อีกไม่นานผมคงไม่รบกวนมันแล้วล่ะ

   แต่ทว่า.....สิ่งที่สะท้อนกลับมายังตัวผมจากการกระทำของเขานั้นผมไม่สบายใจสักเท่าไหร่

   “เปล่า ผมแค่จะโทรมาถามว่าคุณมีธุระต่อรึเปล่าเพราะมันเอ่อ.....เลยเวลากลับบ้าน”มันไม่ใช่เป็นการจับผิด อาจจะดูเจ้ากี้เจ้าการไปบ้างแต่วันนี้ผมอยากให้เขากลับมาทันทานข้าวมื้อเย็นจริงๆ ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าฟรานซิสจะกลับมาทันหรือไม่ หรือติดธุระอะไรผมกลับทำอาหารรอเขาไปซะเรียบร้อยแล้ว

   สองวันมานี้ผมทำตัวดีจนอาจดูผิดปกติ ผมแค่ทำไปเพื่อความสบายใจของตัวเอง หาข้อดีกลบเกลือนความสกปรกของตัวเอง ทั้งๆ ที่จริงแล้วมันไม่ได้ช่วยเลย ข้อนั้นผมรู้ดี แต่ก็อยากจะทำ ทำให้ดีที่สุดแม้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้พูดคุยกับฟรานซิสในช่วงเวลาที่เขายังเห็นว่าผมยังดีอยู่

   “[หืม.....นี่ไม่ใช่ว่านายกำลังโทรตามให้ฉันกลับบ้านหรอกนะ]”

   “ไม่ใช่ครับ!”ผมปฏิเสธทันควันก่อนจะพูดต่อ“เอ่อ ก็อาจจะใช่”ผมก้มหน้าลงต่ำมือกำสาบผ้ากันเปื้อนไว้แน่น หัวใจเต้นลุ่มๆ ดอนๆ เหมือนคนกำลังตื่นเต้น

   “[อีกสักพักฉันถึงจะกลับ นายมีเรื่องเร่งด่วนก็บอกฉันได้เลย หรืออยากไปไหนฉันจะให้อาเธอร์ไปส่ง]”ผมคิดเอาเองได้มั้ยว่าผมรู้สึกเหมือนฟรานซิสกำลังหลบหน้าผมอย่างแนบเนียน การเห็นหน้าเขาเพียงไม่กี่นาทีมันทำให้ผมรู้สึกโดดเดียวอย่างบอกไม่ถูก

   “เปล่าครับ.....”น้ำเสียงของผมมันเจือไปด้วยความผิดหวัง แต่ผมจะทำอะไรได้นอกเสียจากยอมรับมัน

   “[ธัน]”แล้วจู่ๆ คนปลายสายก็เรียกชื่อผมขึ้น ทั้งที่ผมกำลังจะวาสาย

   “ครับ”

   “[ฉันเปลี่ยนใจแล้ว รอฉันอยู่ที่บ้านฉันกำลังจะกลับ]”หัวใจผมเต้นระรัวขึ้นมาเมื่อได้ยินในสิ่งที่ฟรานซิสพูด และผมได้ยินเสียงสนทนาของฟรานซิสกับอาเธอร์ดังแว่วๆ ก่อนสายจะตัดไป และแน่นอน ผมอดใจรอที่จะเตรียมมื้อเย็นรอเขาไม่ไหว

   50 นาทีผ่านไป เสียงประตูเปิดออกผมถอดผ้ากันเปื้อนขึ้นแขวนก่อนจะตรงไปยังที่มาของเสียง ฟรานซิสเดินสง่าและดูดีในชุดสูทเข้ามาด้านใน ผมเดินเข้าไปช่วยถือกระเป๋าของเขาและนำมันไปเก็บ ก่อนลงมาและเห็นว่าฟรานซิสยืนอยู่ตรงโต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นมองผมราวกับมีคำถาม

   “ของพวกนี้นายเตรียมไว้?”

   “ความจริงผมเตรียมมันไว้ทุกวันแต่ดูเหมือนคุณจะทานมาจากข้างนอก”ฟรานซิสเลื่อนเก้าอี้ตรงหน้าก่อนจะนั่งลง ผมเลยยกจานของเขาไปตักข้าวร้อนๆ มาวางตรงหน้าหนึ่งที่

   “กินด้วยกันสิ”

   “ไม่เป็นไร ไว้ผมจะกินหลังจากนี้ดีกว่า”ผมถอยห่างออกไปหมายจะให้ฟรานซิสมีความเป็นส่วนตัว แต่กลับถูกมือหนาคว้าเอาไว้ สัมผัสจากมือของฟรานซิสทำให้ส่วนที่เขาจับอยู่ร้อนผ่าวขึ้น ผมยกมือขึ้นกุมอกซ้ายของตัวเองและราวกับว่าหัวใจของผมมันจะเต้นแรงผิดปกติไป ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้มันไม่ได้เป็นถึงขั้นนี้ แค่เรื่องสัมผัสกันผมกับฟรานซิสเลยขั้นจับมือถือแขนไปมากแล้วแม้จะเป็นความสัมพันธ์ที่เอาสถานะใดๆ มาเรียกไม่ได้

   แต่ทว่า.....ทำไมผมถึงได้ใจเต้นกับไอ้เรื่องขี้ประติ๋วขนาดนี้

   “ฉันให้นายนั่งกินด้วยกันก็นั่งสิ”ผมเลี้ยงไม่ได้ที่จะไปตักข้าวของตัวเองมาเพิ่มอีกจานแล้วนั่งลงใกล้ๆ กับฟรานซิส บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเวลานี้รู้สึกเย็นเยือกจนผิดปกติ ผมเกร็งต่อหน้าเขาราวกับเพิ่งรู้จักกัน

   ทันทีที่ผมนั่งลง ฟรานซิสก็ผุดลุกขึ้น เขาเดินไปที่ตู้เก็บไวน์ก่อนจะดึงเอาไวน์แดงขวดหนึ่งออกมาพร้อมเกี่ยวเอาแก้วทรงสูงกลับมาอีกสองใบ ผมมองฟรานซิสที่เดินไปมา เขาวางแก้วใบหนึ่งตรงหน้าผมก่อนจะรินไวน์แดงที่ส่งกลิ่นหอมหวานละมุนบ่งบอกถึงรสชาติให้ผมในปริมาณพอดี แล้วกลับไปนั่งยังที่ของตัวเอง ผมส่งสายตามองฟรานซิสด้วยความไม่เข้าใจ เขาอยากจะกินไวน์กับข้าวสวยมันเขากันรึไง

   “หากคุณอยากกินผมลุกไปหยิบให้ได้”

   “ไม่เป็นไร เรื่องแค่นี้นายไม่ได้บกพร่องหรอก แต่นายทำให้ฉันประหลาดใจที่โทรหา”ผมวางช้อนที่กำลังเขี่ยข้าวลง รู้ว่าตัวเองต้องตอบคำถาม

   “เอาเป็นว่า ผมแค่อยากให้คุณกลับมากินข้าว”ผมถือวิสาสะเอื้อมมือไปตักผัดเปรี้ยวหวานใส่จานของฟรานซิส เจ้าตัวกระตุกมุมปากยิ้นขึ้นมาเล็กน้อย แล้วผมก็จัดการข้าวตรงหน้าของตัวเอง

   ไปๆ มาๆ ก็มีแต่ผมเท่านั้นแหละที่กินแหลก ฟรานซิสกินไปได้แค่สองสามคำก็วางช้อนแล้วนั่งจิบไวน์นั่งมองผมกินข้าวซะแทนจนผมต้องย้อนถามเขาอย่างไม่เข้าใจ

   “คุณนั่งมองผมอย่างเดียวมันอิ่มได้ด้วยรึไง หรือว่ากับข้าวที่ผมทำมันไม่อร่อย”ผมขมวดคิ้วจ้วงกับข้าวเปล่าๆ เข้าปากเพื่อพิสูจน์รสชาติทุกอย่าง แต่มันก็ไม่ได้แน่สักหน่อย

   “เปล่า เพียงแต่ฉันแค่อยากนั่งมองนายกินมันเพลินดี”

   “สุดท้ายผมก็กินข้าวคนเดียวอยู่ดี”

   “ที่นายรอฉันทุกวันเพราะอยากให้ฉันกินข้าวเป็นเพื่อน?”ผมเพิ่งจะได้สติว่าตัวเองพูดอะไรออกไป จึงคว้าไวน์ที่เขารินให้มาดื่มกินแก้จุกแทนน้ำ

   “แฮ่กๆ เปล่า ผมก็แค่ทำหน้าที่ตามปกติ แต่คุณไม่สังเกตเองต่างหาก”

   “ฮึๆ ฉันคงเป็นเจ้านายที่แย่ในสายตานาย”

   “ผมไม่ได้จะว่าคุณแบบนั้นสักหน่อย เอาเป็นว่าถ้าคุณอิ่มแล้วผมจะเก็บล่ะนะ”

   “อืม”เขาพยักหน้าผมเลยจัดการเก็บจนเกลี้ยง ส่วนฟรานซิสก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม นั่งมองผมทุกอิริยาบถแม้กระทั่งผมยืนล้างจานเขาก็ยังไม่วางตาผมสัมผัสได้

   ไม่ใช่ว่าผมรังเกียจ แต่กลับประหลาดที่ผมรู้สึกอุ่นใจเสียมากกว่าที่มีเขานั่งอยู่ตรงนี้ ผมคิดเพลินจนกระทั่งเผลอยิ้มให้กับความคิดโง่ๆ ของตัวเองว่าหากเป็นแบบนี้ตลอดไปก็คงจะดี

   จานใบสุดท้ายถูกผมล้างคราบมันจนเกลี้ยงสะอาด ก่อนจะหยิบไปคว่ำรวมกับใบอื่นๆ แล้วหมุนตัวกลับแต่ทว่ากับต้องสะดุ้งตกใจเมื่อเจอเข้ากับร่างสูงสง่าที่มายืนซะแทบชิดอยู่ด้านหลังของผม ที่ตกใจไปกว่าคือผมไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าเขาลุกมาจากเก้าอี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ จากยิ้มกริ่มอยู่ลำพังผมถึงกับต้องหุบมันแทบทันที

   “ทำไมไม่ยิ้มต่อล่ะ ดูนายมีความสุขดี”ฟรานซิสเอื้อมมือมาเกลี่ยปอยผมที่ปรกหน้าผมออกอย่างอ้อนอิ่งราวกับจงใจก่อนจะยิ้มบางๆ ใช้ดวงตาคู่คมจ้องมามายังใบหน้าของผมราวกับพินิจพิเคาระห์ซะถี่ยิบ

   “คุณทำตัวแปลกไป หลายวันมานี้คุณแทบจะไม่เข้าใกล้ผม”หลายครั้งที่ผมกังวลแทบบ้า ว่าเขาอาจจะรู้เรื่องอะไรบางอย่างหรือระแคะระคายบ้างเลยปฏิบัติต่อผมแบบนั้น แต่ทว่าผมคงคิดผิดอาจมีเหตุผลอื่น

   “หรือว่านายตั้งตารอฉัน”

   “มันก็ใช่ แต่สำหรับวันนี้เท่านั้น ผมแค่มีเรื่องจะพูดกับคุณ”ผมเงยหน้าขึ้นสบตากับร่างสูง พลันต้องหลุบตาต่ำเมื่อความมั่นใจจะพูดมันหดหายไปทันที่เข้าจ้องมองกลับมา

   “เรื่องสำคัญรึเปล่า”

   “มันก็สำคัญ หรือไม่ก็ดูไม่สำคัญ เอ่อ....คุณกำลังเบียดจนผมไม่มีที่จะยืนแล้ว”ผมใช้มือที่ยังเปียกชุ่มผลักอกคนตรงหน้าที่ไล่บี้เสียจนสะโพกผมชนขอบอ่างล้างจาน

   “ฉันจะฟังหลังจากนี้”ฟรานซิสเอื้อมมือหนาเข้ามารังเอวของผมเอาไว้ก่อนจะก้มหน้าลงมา ผมรู้ว่าเขาจะทำอะไรนั่นถึงกับทำให้ผมเอี้ยวตัวหลบพัลวัน

   “คุณฟรานซิส ผมจริงจังนะ”ผมเน้นย้ำเรื่องที่ตัวเองจะพูดว่ามันจริงจัง แต่เขากลับไม่เห็นว่ามันสำคัญ แต่เบี่ยงประเด็นไปทำเรื่องอื่น

   “ฉันก็จริงจัง หลายวันมานี่ฉันอยู่ห่างจากนายพอแล้ว”

   “คุณ หมายถึงอะไร?”ผมขมวดคิ้วจนแทบเป็นเครื่องหมายคำถาม

   “ฉันให้เวลานาย เพราะคิดว่านายคงกำลังไม่สบายใจเรื่องเพื่อนของนาย แต่ว่า วันนี้นายกลับโทรหาฉันแล้วทำน้ำเสียงเหมือนผิดหวังที่ฉันจะไม่กลับมา ความอดทนของฉันมันถึงขีดจำกัดแล้ว”
 
   “อดทน ถึงยังไงผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ผมคิดว่าคุณกำลังหลบหน้าผมซะอีกก็คุณเล่นพูดกับผมไม่กี่คำแล้วก็เข้าห้องตัวเองไป แบบนั้นผมก็ลำบากใจน่ะสิ”ผมพลั้งปากพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดออกมาอย่างต่อว่า ถ้ารู้ว่าเขาไม่ได้โกรธเคืองผมเรื่องไหนผมคงจะมีความสุขมากกว่านี้

   ไม่ ไม่ ไม่! แล้วทำไมผมต้องมาแคร์ความรู้สึกฟรานซิสให้วุ่นวายด้วย ผมกำลังเป็นอะไรไปเนี้ย!

   “นายโกรธ?”

   “ก็แน่สิ คุณทำให้ผมทิ้งกับข้าวไปตั้งหลายมื้อ มันไม่คุ้มกับค่าแก๊สค่าไฟเลย”จู่ๆ ฟรานซิสก็หัวเราะออกมา เขามองผมราวกับตัวตลกที่พูดได้ไม่หยุดปาก

   “แค่นั่นมันเงินฉันไม่ใช่รึไง”

   “อ้อ ผมลืมไปว่าคุณมันรวยจะทิ้งกับข้าวไปสักกี่มื้อก็ได้สินะ”ผมทำตาดุใส่ฟรานซิสที่อ้มยิ้มไม่หุบ แล้วพยายามแกะมือเขาออก แต่มันกลับเหนียวแน่นราวกับเงื่อนตายไม่มีผิด

   “เวลานายโกรธฉันเพิ่งสังเกตว่าหูของนายมันแดง”

   “หู?”ผมยกมือขึ้นปกป้องหูตัวเองอย่างไว เริ่มรู้สึกถึงความกระดากอายขึ้นมาเมื่อถูกคนตรงหน้าลอบสังเกตจนแทบไม่มีความลับอะไรให้ปกปิด“คุณคิดจะล้อผมรึไง ทีคุณเถอะชอบเดินเปลือยโชว์คนอื่นหน้าไม่อาย”

   “หืม.....นั่นเพราะฉันไม่มีอะไรต้องปกปิดในเมื่อนายก็เห็นอยู่แล้ว”หน้าของผมถึงกับร้อนผ่าว ฟรานซิสเอ่ยสิ่งที่เขาคิดออกมาราวกับมันเป็นเรื่องปกติ คนที่เขินอายกลับเป็นผมแทน“หรือว่าที่ฉันพูดมันไม่จริง ส่วนร่างกายนายฉันก็สัมผัสมาทุกส่วนแล้วเหมือนกัน”

   แค่พูดอะไรที่มันดูสองแง่สองงามผมก็อายจะแย่อยู่แล้ว แต่เขากลับแทรกขาเข้ามาระหว่างลำตัวของผมแล้วแกล้งขยับเสียดสีจนผมเผลอสะดุ้ง คนตรงหน้ายิ้มย่องอย่างพอใจไม่ปิดบัง

   “คุณฟรานซิส ถอยออกไปครับ”

   “แน่ใจเหรอว่าให้ฉันถอยไปตอนนี้ ในเมื่อ.....”เขาก้มลงมองต่ำผมรู้ว่าเขาจงใจยั่วโมโหผม ให้ผมรู้สึกอับอายเป็นใครก็ต้องรู้สึกหากโดนกระทำแบบนี้ ผมไม่ใช่พระอิฐพระปูน

   “มันก็เพราะคุณไม่ใช่รึไง”

   “งั้น.....ฉันจะรับผิดชอบก็แล้วกัน”

   ไม่ทันไรฟรานซิสก็ยกสะโพกผมขึ้นวางบนขอบเคาเตอร์พลันทำผมตกใจตาเปิกโพล่ง เหมือนฟรานซิสจะรู้ทันว่าผมไม่ยินดีด้วยจึงรีบหยุดการเคลื่อนไหวของผมโดนการเบียดกายเข้ามาระหว่างท่อนขาของผมก่อนจะส่งจูบที่ดูร้อนแรงราวจะมอดไหม้ให้กับผมเพื่อเป็นการปิดปาก มือของฟรานซิสเลื่อนขึ้นเชยคางผมขึ้นให้รับกับองศาของเขาก่อนกดริมฝีปากผมให้เผยอพลันสอดลิ้นอุ่นร้อนที่ดูชำนาญเข้ามาสำรวจภายในปากของผมอย่างตื่นตัว ผมส่งเสียงไม่เป็นภาษาเผลอตอบรับจูบอันเร่าร้อนเสียจนถอนตัวไม่ขึ้น พละกำลังหลังกินข้าวช่างไร้ประโยชน์ในเมื่อถูกร่างสูงฉกฉวยไปแทบหมดสิ้น

   ผมจะชอบคุณเขาดีหรือไม่ที่ปล่อยให้ผมได้หายใจเข้าปอดอย่างเต็มที แต่ทว่าเรียวลิ้นที่ซุกซนกลับไม่อยู่นิ่งเล่นตวัดไล่เลียไปจนถึงใบหูขาวจนผมครวญครางออกมาด้วยความเสียวซ่าน รูขุมขนบนร่างกายของผมมันหดตัวอย่างรวดเร็วเมื่อถูกปลุกปั่นอารมณ์ได้อย่างง่ายดาย

   “วันนี้ฉันจะกินนายแทนอาหารพวกนั้นก็แล้วกัน”เสียงทุ้มต้ำแกล้งกระซิบใกล้ลำคอพ่นรดลมหายใจอุ่มจนผมสั่นไหว ก่อนริมฝีปากหยักจะเข้ามาครอบครองริมฝีปากของผมอีกครั้ง ไม่ทันที่ผมจะรู้สึกตัว ฟรานซิสที่รู้วิธีที่จะทำให้ผมเคลิบเคลิ้มค่อยๆ ถอดเสื้อผมออกจนท่อนบนเปลือยเปล่า ตัวเขาเองก็ไม่ต่างจากผมที่สลัดเครื่องสูทราคาหลักแสนโยนลงพื้นอย่างไม่แยแส

   ภาพที่มองผ่านดวงตาของผมเริ่มลางเลือนจนแทบมองไม่ชัด แต่สัมผัสที่ได้รับจากคนตรงหน้ากับชัดเจนเสียยิ่งกว่า อีกครั้งที่ร่างกายผมสะดุ้งเฮือกเมื่อมือหน้าปัดป่ายไปทั่วเรือนร่างก่อนเลื่อนลงต่ำปลุกปั่นส่วนล่างของผมจนรู้สึกได้ หน้าท้องของผมหดเกร็งตามแรงขยับของมือฟรานซิส ผมหอบหายใจถี่ ปลายนิ้วเท้างองุ้มราวกับอดทนกับความเจ็บปวด ใบหน้าที่พร่างพราวไปด้วยหยาดเหงื่อซุกลงกับอกกว้างที่หายใจหอบถี่ด้วยแรงปรารถนา

   “นายรู้ใช่มั้ยว่าฉันต้องการนายมากแค่ไหน”เสียงที่ทรงเสน่ห์ยามนี้ทำผมหัวใจแทบระเบิด เมื่อร่างกำยำนำมือของผมลงสัมผัสกับส่วนแกร่งที่กำลังแข็งขืนดูดุดันภายใต้กางเกงสีดำ ผมชักมือกลับอย่างรวดเร็วแต่กลับถูกรั้งมือไว้ไม่ให้หนีห่าง ความเป็นชายของเขาผมไม่สามารถเทียบได้ และนานเข้ามันกลับยิ่งทำให้ผมตื่นตะลึง เมื่อเขาเห็นว่าผมตระหนักดีแล้วกับควมต้องการนั้น ฟรานซิสจึงไม่รอรีสอดนิ้วเข้าสาละวนตระเตรียมช่องทางให้อย่างดี

   “อื้อ......ฟรานซิส”ผมครางชื่อเขาออกมาราวกับจะบอกว่าผมไม่ไหว สองมือของผมประคองกอดลำคอของเขาดึงเอาไหล่กว้างเป็นที่พึ่งพิง

   วูบเดียวที่ผมรู้สึกถึงความเจ็บปวดเมื่อสะโพกถูกคนตรงหน้าโอบลอยแล้วปล่อยให้ความรู้สึกของเขาทั้งหมดจมลึกเข้าไปในร่างกายผม ท่อนขาขาวเนียนเกี้ยวกระหวัดกับร่างสูงอย่างไม่รู้ตัวเมื่อคนตรงหน้าเริ่มขยับอย่างเชื่องช้าก่อนจะเปลี่ยนเป็นรุกเร้าจมผมหายใจไม่ทั่วท้องแม้พยายามกลั้นเสียงร้องแต่ก็ทำไม่ได้นาน เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังก้องไปทั่วฟังดูหยาบโลนแต่คนที่สนคงมีแต่ผมคนเดียว

   ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ฟรานซิสโถมกายเข้าหาผมอย่างรั้งไม่อยู่ แม้จะไม่ใช่เตียงนุ่มแต่เขากลับจัดการหาวิธีที่ผมได้แต่เป็นผู้คล้อยตามจนนับครั้งไม่ถ้วน 

   “คุณฟรานซิส ผม.....ไม่ไหว”นั่นเป็นคำร้องขอจากใจจริงของผม ร่างกายทั้งร่างถึงกับหมดเรี่ยวหมดแรงจนยากจะเคลื่อนไหว คนร่างสูงจึงเป็นธุระให้ช้อนตัวผมขึ้นก่อนจะพาขึ้นให้ได้สัมผัสกับเตียงนุ่ม แต่เหมือนกลับเว้นระยะให้เขาได้ฟื้นตัวฟรานซิสยังคงมีความปรารถนา ขัดเสียแต่ว่าผมสนองเขาไม่ได้แล้วเท่านั้น ฟรานซิสจึงยื่นข้อเสนอให้ผมเพื่อเป็นการยุติความต้องการของเขาในคืนนี้

   “หากนายจูบ ฉันจะให้นายหลับอย่างสบาย”ผมไม่มีทางเลือกพลันยันกายขึ้นก่อนจะส่งมือบางที่ยังคงสั่นเข้าโอบแก้มสากก่อนจะส่งจูบให้จนคนตรงหน้าจนพึงพอใจ“นายทำได้ดีแล้ว นอนเถอะ”รอยยิ้มบางๆ ตะแคงกายค้ำยันศีรษะด้วยฝ่ามือลูบใบหน้าของผมอย่างแผ่วเบาและปล่อยให้ผมได้ชาร์ตพลังโดยการเดินทางเข้าสู่ห้วงนิทรา

   พลันผมนอนหลับสนิท ร่างสูงสง่าก็พลันลุกออกจากเตียงเดินไปหยิบเสื้อคลุมเข้าคลุมร่างก่อนจะคว้าโทรศัพท์ต่อสายเข้าหาคนสนิท เริมบทสนทนาด้วยใบหน้าตึงเครียดแทบจะทันที




>>>>> to be continued  :bye2: o13


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด