►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 26 The End // UP DATE 19/9/59
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ►►❖ My Boss เจ้านายครับ ❖ ➳ ตอนที่ 26 The End // UP DATE 19/9/59  (อ่าน 49820 ครั้ง)

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ tiew93

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
โอยยยยย สงสัย จะเกิดอะไรขึ้นกับธัน แล้วฟรานซิสกำลังจะทำอะไร  :katai1:

ออฟไลน์ brookzaa

  • Chill out
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-6
รอๆ ตอนต่อไป

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
โอ๊ยยยยยยยย รีบมาต่อนะคะ อยากรู้ว่าฟรานซิสพูดอะไรถึงได้เครียดซะขนาดนั้น

ออฟไลน์ tuek

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3549
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +214/-3
สนุกมากๆๆรอตอนต่อไปนะ
+1และเป็ดนะ

ออฟไลน์ nevergoodbye

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
ลุ้นมากกกกกกกกค่ะ
มารอตอนต่อไป  :z3:

ออฟไลน์ ben10

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-1
ฮือออ ขัดใจ ธันบอกความจริงทีเถอะะะะะะ คนเขียน อย่าดราท่าน่า เค้าไม่ชอบเศร้ากว่านี้แล้ว งื้ออออ :mew2:

ออฟไลน์ cheyp

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1536
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-0
อึดอัดใจจัง

ออฟไลน์ ทามากิบ๊อง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-4





21





   
   เช่าวันรุ่งขึ้นผมตื่นก่อนคนที่นอนหลับตาพริ้มอยู่ข้างๆ ผมนอนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งเพื่อเก็บภาพของคนตรงหน้า แล้วตัดสินใจพยุงตัวลุกขึ้นเบาๆ ก้าวย่างให้นุ่มราวกับปุยนุ่นเพื่อไม่ให้ฟรานซิสที่หลับอย่างสนิทตื่นขึ้นมา ผมใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งในการจัดการตัวเองให้เรียบร้อย ก่อนจะขึ้นมาด้านบนอีกครั้ง ฟรานซิสยังคงนอนท่าเดิมไม่ขยับไปไหนผมยืนอยู่ปลายเตียงจ้องมองเขาอยู่นานสองนาน ก่อนจะเดินวกไปที่โต๊ะทำงานของฟรานซิสแล้วใช้ปากกาจรดเขียนบางอย่างลงในกระดาษ เขียนในสิ่งที่ผมอยากจะพูดกับเขาแต่ไม่มีโอกาส

   วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่ผมจะอยู่ที่นี่ อาจจะมารยาทแย่ไปหน่อยที่ไม่ได้บอกเขาตรงๆ แต่แบบนี้มันคงจะดีกว่า

   ผมเดินออกจากเพนท์เฮาส์พลางก้มหน้างุดราวกับไม่อยากมองเห็นใคร พลันมีเสียงๆ หนึ่งหยุดผมไว้เสียก่อน

   “จะไปไหนแต่เช้า หรือเพิ่งจะกลับ?”

   “คุณนาวี.....”ผมพึมพำชื่อของคนที่พบเจออย่างรู้สึกประหลาดใจ หากเป็นอาเธอร์ผมคงจะไม่แปลกใจเท่านี้ แต่ทว่านาวีเขาก็เป็นเลขาคนสนิทของฟรานซิสด้วยมันคงจะไม่แปลก

   “คุณมากกว่าครับมาที่นี่ในวันหยุดมีเรื่องด่วนอะไรหรือครับ”ผมเบี่ยงประเด็นถามคำถามแล้วเผยยิ้มน้อยๆ พยายามเป็นมิตร

   “มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะตอบใครได้สุ่มสี่สุ่มห้า”

   “เหรอครับ งั้นผมก็มีสิทธิ์ไม่ตอบคำถามเหมือนกันสินะครับ เชิญคุณนาวีตามสบายนะครับ”ผมยิ้มทิ้งทายก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป ส่งเสียงเฮอะออกมาด้วยความรู้สึกไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก ผมว่าอีกฝ่ายก็คงจะรู้สึกไม่แพ้ผมเหมือนกัน




   หลังจากออกมาจากเพนท์เฮาส์ของฟรานซิสแล้ว ผมก็กลับมาที่บ้านของไอ้บัสแต่ก็ไม่ได้เข้าไปด้านในเพียงแต่ทิ้งจดหมายใส่ตู้ไปรษณีย์ไว้ก็เท่านั้นเพื่อบอกว่าผมจะกลับบ้านไปสักพัก ก่อนจะเดินหันหลังเพื่อไปในที่ที่ผมต้องสะสาง ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูและตรวจเช็คพัสดุว่าอยู่ในขั้นตอนไหนอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมายาวๆ เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าโบกแท็กซี่แล้วไปหาไอ้แก่เฉิน

   ที่ๆ ผมลงไม่ใช่ห้องของโรงแรมหรือที่พักที่นัดเจอกันอย่างครั้งก่อน ครั้งนี้ผมมายังรังของมันโดยตรง ถ้ามองผิวเผินที่นี่ก็แค่บริษัทบริการเงินด่วนทั่วไปตามกฎหมาย แต่หากรู้จักคนในรับรองว่าไม่ใช่อย่างที่ตาเห็น ผมมายืนด้อมๆ มองๆ อยู่ครู่หนึ่งก็มีผู้ชายหน้าตายิ้มแย้มเข้ามาหาก่อนจะพูดกับผมราวกับลูกค้าที่มาใช้บริการ แต่สิ่งที่เขาพูดมันต่างกับบทพูดสนทนาลูกค้าทั่วไป

   “เชิญด้านในครับ คนสำคัญกำลังรอคุณอยู่แล้วผมจะนำทางให้ครับ”และก็ตามที่เขาบอก ผมเดินตามเข้าไปด้านในอย่างว่างาย เดินเลยเข้ามาในห้องผู้จัดการสาขาก่อนประตูจะผูกผลักออกไปอีกห้องซึ่งเป็นด้านหลังของบริษัท เนื่องจากไม่มีคนจึงไม่มีใครสังเกตว่าผมเข้ามาทำอะไรที่นี่ ผู้ชายคนนั้นส่งผมเพียงแต่เท่านี้ แล้วเขาก็เดินกลับออกไป ผมมองห้องว่างๆ สีขาวสว่างที่ไม่ได้ใช้งานอะไร ก่อนจะเดินลึกเข้าไปก็เจอกับบันใดที่เป็นทางขึ้นไปชั้นสอง ประจวบเหมาะกับระหว่างทางที่ผมเจอเข้ากับลูกน้องของไอ้แก่เฉินเข้าพอดี

   “ขึ้นไปข้างบน หัวหน้ารออยู่”

   บริการการนำทางก็ไม่ได้แย่ แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ใครอยากจะมาเลย

   “มาแล้วครับหัวหน้า”ภายในห้องทำงานของไอ้แก่เฉิน มันก็ไม่ได้ต่างไปจากออฟฟิตของผู้บริการที่ดูกว้างขวางสักเท่าไหร่ ทุกอย่างไม่ได้ถูกออกแบบให้ทันสมัย แต่เป็นการรวบรวมของที่ผู้นั่งอยู่ภายในห้องนี้พึงพอใจเสียมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นไม้แกะสลักเป็นมังกร หรือภาพติดผนังที่มีตัวหนังสือภาษาจีนสีทองแปะอยู่ ถึงจะให้อารมณ์น่าแกรงขามแต่ผมกลับรู้สึกสะอิดสะเอียนในรสนิยมของมันมากกว่า

   “รู้หน้าที่โดยที่กูไม่ต้องตามแบบนี้สมเป็นคนของกูหน่อย”

   “กูไม่ใช่คนของมึง อย่าเอากูไปเหมารวมกับพวกชั่วๆ ของมึงจะดีกว่า”ผมปฏิเสธสิ่งที่ถูกกล่าวหาแทบจะทันที ทุกสิ่งที่ทำผมไม่เคยเอามาคิดในสมองเลยว่าผมเป็นคนของใคร แต่ผมทำเพื่อคนรอบตัวของผมต่างหาก หากผมเพียงลำพังผมยอมให้มันฆ่าผมซะดีกว่า

   “ฮ่าๆ ยังปากดีไม่เคยเปลี่ยนเลยนะมึง ช่างมันเถอะวันนี้กูอารมณ์ดี ยังไงก็จัดการสิ่งนี้ให้เรียบร้อยด้วย”

   ไอ้แก่เฉินโยนห่อพัสดุที่ถูกแล้วให้ผม ผมรับมันมาและเข้าใจความหมายที่มันบอก เพราะข้อมูลที่ผมให้มันมาหากไม่มีรหัสก็ไม่สามารถเปิดดูข้อมูลด้านในได้ และผมเดาว่ามันคงฉุนไม่น้อยที่ไม่สามารถเปิดดูได้เอง ไอ้แก่เฉินมันก็ไม่ได้โง่อะไรมากมายที่จะไม่เข้าใจว่าผมทำไปเพื่ออะไร เพราะหากจับได้ผมมีสิทธิ์ป้อนรหัสผิดๆ แล้วข้อมูลก็จะถูกลบไปเอง หลักฐานก็จะหายไป

   แต่ทว่าจุดประสงค์นั้นมันก็อีกเรื่อง ผมแค่อยากจะเป็นคนเปิดข้อมูลนั้นด้วยตนเองเพื่อเอามาเป็นสิ่งประกันว่าทุกอย่างจะไม่ตุกติก หากมันเล่นไม่ซื่อผมก็จะลบข้อมูลนี้ทิ้งทันที

   “กูต้องการคอมพิวเตอร์”

   “พามันไปอีกห้อง เอาคนตามไปเท่าที่จำเป็น”ไอ้แก่เฉินลุกขึ้นเดินนำออกไป ลูกน้องสี่คนเดินประกบตามหลังผมมาก่อนจะผลักประตูอีกห้องที่ต้องใส่รหัสผ่านเพื่อเปิดประตูเข้าไป ในห้องนี้ก็เป็นแค่ห้องทำงานเอกสารปกติที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะสองสามเครื่อง มีเครื่องถ่ายเอกสาร ตลอดจนปริ้นเตอร์หลายรุ่นว่างคู่คอมพิวเตอร์ไว้

   “เลือกเอาจะใช้เครื่องไหน”

   “มึงเลือกเอง เดี๋ยวจะหาว่ากูมีลูกเล่นอีก”ผมยืนเฉยรอให้คนของไอ้แก่เฉินเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใกล้ที่สุดให้ ผมลงไปนั่งก่อนจะพูดอะไรบางอย่างขึ้น

   “ก่อนที่จะเปิดดูข้อมูล น่าจะมีหลักประกันบอกกันหน่อยสิว่าเรื่องนี้มันจะจบ”ผมถีบตัวเองเลื่อนเก้าอี้ไปด้านหลังชำเลืองมองไอ้แก่เฉินอย่างมีเงื่อนไข

   “ฮึ! มึงก็ฉลาดไม่เบา ก็ได้ไม่มีปัญหา.....ใครก็ได้ไปเอาสัญญานั่นมาให้กูหน่อย”เพียงไม่นานไอ้แก้เฉินก็รับเอกสารมาจากมือลูกน้องตรวจเช็คความถูกต้องก่อนจะยื่นมันให้ผม

   ผมเปิดอ่านข้อมูลในกระดาษทีละแผ่นอย่างละเอียดไม่ยอมให้โดนโกงกันอย่างง่ายๆ จนผมมันใจว่าสิ่งที่ถืออยู่นั้นถูกต้องและยุติธรรม

   “นี่เป็นเอกสารหมดหนี้หมดสิน เลิกแล้วต่อกัน ทุกอย่างจะจบสิ้นทันทีหลังจากที่มึงเซ็นชื่อลงไป แต่ว่า”ไอ้แก่เฉินชักเอกสารกลับไปถือไว้ในมือ แล้วเยาะยิ้มออกมา ก่อนจะพูดอย่างเจ้าเล่ห์เพทุบาย

   “จะเซ็นได้ก็ต่อเมื่อกูได้เห็นข้อมูลในโฟนเดอร์แล้วเท่านั้น ยื่นหมูยื่นแมวคงไม่น่าเกลียดสักเท่าไหร่”

   ว่าแล้วว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่ผมก็เตรียมใจไว้แล้วล่ะ ในเมื่อผมเองก็มีแผนสำรองอยู่แล้วก่อนจะมาที่นี่ ถ้าทุกอย่างพังผมจะไม่ยอมพังไปด้วย

   ผมจัดการทำตามขั้นตอนอย่างรอบคอบ เมื่อเข้าถึงโฟนเดอร์ก็ใส่รหัสที่ตั้งเอาไว้สิบหลัก ก่อนจะลังเลใจอยู่ครู่หนึ่งราวกับยากเย็นนักที่จะเปิดมัน ทั้งที่แค่ปลายนิ้วคลิกทุกอย่างก็จะจบ แต่เพราะใบหน้าของใครบางคนก็เข้ามารบกวนสมาธิผมความรู้สึกอยากจะลบข้อมูลตรงหน้าทิ้งให้รู้แล้วรู้รอดไปผมรู้ว่าจะเกิดความพังพินาศกับอีกคนแค่ไหนถ้าข้อมูลตรงหน้ารั่วไหลออกมา แต่ทว่ามันก็เป็นได้แค่ความคิดก็เท่านั้น

   คลิ๊ก!

   และทันทีที่ผมเข้ารหัสไปหน้าจอของคอมพิวเตอร์ก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินทั้งหมดก่อนจะปรากฏรูปไฟล์ข้อมูลที่กำลังสลายไปเหมือนกับสายลม แล้วหน้าจอก็ดับวูบลงจนจอดำมืดปรากฏข้อความภาษาอังกฤษนับพันตัววิ่งวุ่นเป็นตัวสีขาวบนจอดำสนิทจนผมเหวอไปเล็กน้อย ก่อนจะถีบเก้าอี้ดันตัวเองออกมาอีกครั้งแล้วระเบิดเสียงหัวเราะสุดตัว

   “ฮ่าๆ ฮ่าๆ นี่มันบ้าจริงๆ ให้ตายสิ”ผมยังคงหัวเราะไม่หยุดจนน้ำตาแทบไหลพราก ไอ้แก่เฉินที่ยืนอยู่ข้างๆ รวมถึงลูกน้องของมันถึงกับแสดงสีหน้าไม่เข้าใจพฤติกรรมสติแตกของผม

   “เกิดอะไร ไหนข้อมูลวะ!”

   “ฮ่าๆ มึงยังดูไม่ออกอีกเหรอวะว่าไฟล์มันโดนไวรัสแดก ดูดิแดกซะเกลี้ยงเลยสงสัยแม่งหิว ฮ่าๆ”ผมรู้สึกผิดหวังแต่ว่าในใจลึกๆ กลับดีใจจนบอกไม่ถูก ผมมันคงบ้าไปแล้ว

   ไม่รู้ว่ามีข้อผิดพลาดอะไร แต่ผมรู้สึกสะใจสุดๆ อยู่ดี จนแทบไม่สนแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น

   “ไอ้เวร มึงตั้งใจจะหลอกกูตั้งแต่แรกแล้วใช่มั้ยห๊ะ!”

   ผั๊วะ!

   “เฮ๊อะ! หลอกอะไรวะ กูไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”ผมหัวเราะทั้งๆ ที่เพิ่งโดนหลังแหวนของไอ้แก่ตรงหน้าที่เส้นเลือดตรงขมับเต้นตุบๆ ผมเดาว่ามันคงโกรธจนควันแทบออกหู

   “ก็เห็นอยู่ว่ามึงทำไม่อย่างนั้นจะเป็นอย่างนี้รึไงวะ!”

   “กูสาบานว่ากูไม่ได้ทำ ทุกอย่างมันเป็นเพราะคอมพิวเตอร์ของมึงเองก็ได้ ไหนล่ะสัญญาเอามาสิ”ผมยืนมือไปขอมันด้านๆ
   
   “อยากได้นักใช่มั้ย ก็เอาไปสิวะ! พาตัวมันไปกูจะจัดการกับเด็กเล่นลิ้นนี่ทีหลัง”ไอ้แก่เฉินฉีกสัญญาที่ผมขอจนละเอียดยิบก่อนจะโยนใส่หน้าผมด้วยโทสะ และออกคำสั่งให้ลูกน้องมันลากตัวผมไป อีกคนหยิบเทปกาวฉีกออกแล้วปิดปากผมจนสนิท ส่วนอีกคนก็เอาผ้ามาผูกตาผมไว้ ผมดิ้นแต่สู้แรงมันไม่ได้ 4 ต่อ 1 มันก็ไม่ยุติธรรมตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

   ตอนนี้ผมอาจจะต้องคิดแล้วล่ะว่าชีวิตหลังความตายมันจะเป็นยังไง

   ผมรู้ตัวอีกทีก็ถูกโยนเข้ามาในห้องๆ หนึ่ง ก่อนจะถูกเปิดตาออก บรรยากาศรอบๆ ก็ไม่ได้ทรุดโทรมเลวร้ายเท่าไหร่นัก ยังคงเป็นห้องเก็บของเล็กๆ ที่มีกล่องลังวางเรียงกันอยู่เหมือนได้รับการดูแลบ้างบางส่วน สัมภาระของผมทั้งหมดถูกปลดออกเหลือแต่ตัวที่โดนเอามาขังไว้เหมือนหมาตัวหนึ่งก็เท่านั้น

   “อยู่ที่นี่ไปก่อนก็แล้วกัน อยู่ดีไม่ว่าดีหาเรื่องแท้ๆ”รอยยิ้มแสยะของชายสองคนที่ยังคงเข้าใจอย่างเดียวกับเจ้านายของมันว่าทั้งหมดเป็นฝีมือของผมที่เล่นไม่ซื่อ ถ้าจะให้พูดตามตรงผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นแบบนั้นได้ยังไง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ผมเพิ่งถอยเจ้าแฟลชไดร์ฟมาหมาดๆ เรียกได้ว่ายังไม่เคยไปเสียบใช้ที่ไหน แต่ทำไมถึงมีไวรัสที่รุนแรงขนาดนั้นได้

   “เดี๋ยวก่อนอย่าเพิ่งไป!”ผมพยายามรั้งไอ้สองคนนั่นให้อยู่เพื่อถามอะไรบางอย่างแต่ทว่ามันกลับปิดประตูโครมใหญ่และตามมาด้วยเสียงล็อคประตูจากด้านนอกชนิดที่รอบคอบจนผมชักกลัวขึ้นมาจริงๆ ในเมื่อเรื่องมันเป็นแบบนี้ผมจะทำอะไรได้นอกจากนั่งรอ




   “เรื่องสำคัญที่ฉันโทรบอกให้ติดตามไปถึงไหนแล้ว”

   “ครับ ตอนนี้ระบบแจ้งเตือนมาแล้วอีกฝ่ายน่าจะเปิดข้อมูลเรียบร้อยแล้ว รวมถึงสถานที่เปิดเผยชัดเจนครับหลักฐานพวกนี้ทางเราได้บันทึกไว้เรียบร้อยแล้ว แผนการสำเร็จตามที่เราวางไว้ หากจะจัดการมันก็คงดิ้นไม่หลุด”เบื้องหลังไม่ไกล คนสนิทที่ชายร่างสูงสง่าไว้ใขกำลังรายงานเรื่องที่เขาให้ติดตามและจัดการ อาเธอร์เป็นคนสนิท แต่ฟรานซิสประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ไม่เคยมองเขาว่าเป็นลูกน้องหรือบอดี้การ์ดเหล่านั้น พวกเขาทำงานร่วมกันมาเป็นสิบปี แน่นอนว่าอาเธอร์คือคนที่เขาไว้ใจ

   ฟรานซิสไม่ใช่คนที่คิดอะไรเยอะ แต่ทุกอยางมันก็ต้องเป็นไปตามลำดับขั้นตอน และแผนการที่ตระเตรียมไว้ อาจจะดูซับซ้อนทางความคิด แต่เขาก็ไม่เคยทำอะไรพลาด

   “บอสครับ เรื่องนี้ให้ผมจัดการเลยรึเปล่า”

   “รอก่อน มันยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะ แค่จับตาดูอย่าให้เกิดเรื่องผิดพลาดก็เป็นพอ”สูทสีดำถูกสวมทับก่อนจะรั้งดึงให้เรียบร้อย ร่างสูงหมุนกายหันไปมองอาเธอร์ที่ยังคงยืนอยู่เบื้องหลังอย่างให้ความเคารพภายในห้องนอนสถานที่ซึ่งเป็นส่วนตัว ก่อนจะยื่นบางอย่างให้รับไว้แล้วออกคำสั่ง

   “เอาไปตรวจสอบให้ละเอียด แล้วรายงานให้ฉันรู้เร็วที่สุด”ปากกาที่ดูอย่างไรก็เป็นปากกาธรรมดาแต่การออกแบบดีไซน์มันค่อนไปทางเรียบหรู ปากกาแท่งนี้วางทับอยู่บนกระดาษแผ่นบางที่เจ้าของเขียนข้อความทิ้งเอาไว้ มีบางสิ่งบางอย่างไม่ปกติและมันก็แปลกเกินไปที่เด็กอย่างธันจะใช้ปากกาหมึกซึมราคาแพงและพกติดตัวไว้

   “เช่นนั้นผมจะลงไปรอบอสข้างล่าง”

   “อีกสิบนาทีฉันจะลงไป เตรียมรถรอได้เลย”

   ร่างสูงยื่นหลังตรงสง่าใช้สายตาทอดมองไปยังหน้าต่างบ้านใหญ่ของห้องที่ถูกแหวกม่านเปิดออก  ปกติฟรานซิสไม่ค่อยชื่นชอบให้แสงสว่างจ้าเล็กลอดเข้ามาในห้องสักเท่าไหร่ วันนี้เขากลับรู้สึกต้องการความอบอุ่นจากแสงแดดเป็นพิเศษ ลอมหายใจยาวถูกพ่นออกมาอย่างที่ไม่เคยเป็น มีเรื่องมากมายให้เขาต้องคิด รวมทั้งเจ้าของข้อความที่ลายมือไม่เอาไหน



เรื่องสำคัญที่ผมอยากจะพูดกับคุณคือ
ผมขอโทษที่ต้องบอกกะทันหันว่าผมไม่สามารถมาทำงานให้คุณได้อีก
เมดดีๆ สักคนที่คุณไว้ใจ คุณควรจะจ้างพวกเขาแทนผมได้
ผมแค่มีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ แต่บอกคุณไม่ได้
ขอบคุณสำหรับทุกอย่างครับ
                     ธัน / ธันวา
   
   “เจ้าเด็กเลี้ยงแกะ”เสียงทุ้มในลำคอเอ่ยถึงตัวละครในนิทานเรื่องหนึ่งอย่างไม่สบายใจเท่าไหร่ สีหน้าที่ดูตึงเครียดขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างใช้ความคิด กระดาษแผ่นบางที่อยู่ในมือค่อยถูกมือหนาขยุ้มกำจนยับย่น แม้จะรู้อยู่แล้วว่ามันจะต้องเกิดขึ้น แต่กลับต้องมากลัดกลุ้มกับเรื่องนี้อยู่ดี

   พรึบ!

   ม่านหนาทึบถูกสะบัดปิด ร่างสูงหมุนกายเตรียมเดินออกจากห้องแต่ไม่วายหยุดชะงักตรงสถานที่ของความทรงจำชั่วครูพลันเดินเปิดประตูออกไปด้วยสีหน้าดุดันราวกับบ่มเพาะไปด้วยโทสะ



   
   กึก!   รถยุโรปราคาแพงสีดำมันวาวสองคันจอดลงตรงสถานที่ซึ่งไม่เหมาะนักกับผู้นิยมความเรียบหรู เมื่อเทียบกับซอยแคบๆ ที่ส่งกลิ่นอับร้านรวงก็เป็นคนระดับล่างที่ใช้แสวงหาความสุขทั้งการพนัน เหล้า ยา และสิ่งผิดกฎหมายอื่นๆ ที่ยังไม่ปรากฏ
 
   พลันประตูรถเปิดออก ร่างสูงกระชับสูทให้เข้าที่ก่อนจะมีบอดี้การ์ดสองคนนำทางเข้าไปเดินลงไปยังชั้นใต้ดินเส้นทางเข้าออกของร้านสนุกเกอร์แห่งหนึ่ง ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ผู้ที่มาก็เป็นแค่เด็กเลี้ยงแกะอย่างที่เขาสถบคำออกไปก่อนหน้านี้ ถึงแม้งานนี้เขาไม่จำเป็นต้องมาจัดการด้วยตัวเอง แต่ทว่ากลับมีเรื่องสำคัญเพียงประเด็นเดียวที่เขาอยากจะเอ่ยถามด้วยตัวเองอยู่หลายคำกับผู้ซึ่งเคยแตะต้องของสำคัญที่เขาห่วงนักหนาให้เป็นรอยกลับไป

   ราวกับคนของเขาได้เตรียมการไว้อย่างดีที่นี่จึงเงียบสงบไร้ผู้คนที่ไม่เกี่ยวข้อง มีเพียงห้องสนุกเกอร์ที่ว่างเปล่ากับสองชีวิตผู้โชคดีที่จะได้สนทนากับ CEO ใหญ่แห่งบริษัทอสังหาริมทรัพย์ระดับแนวหน้าของประเทศ ซึ่งหาตัวพบได้ยากหรือไม่ก็ไม่มีใครได้รู้จักตัวตนจริงๆ ของเขา

      พลันสายตาสองคู่ที่สบประสานเข้าหากันนั่งกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ลงคอ ราวกับไม่รู้ชะตากรรมหรือกำลังงุนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้นกันแน่ ทันทีที่ร่างสูงหน้าตาเรียบตึงแต่งกายภูมิฐานแบรนดังตั้งแต่หัวจรดเท้า ก็ปรากฏสีหน้าสะพรึงตามสัญชาตญาณ

   ร่างสูงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของทั้งสอง ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งแล้วไขว่ห้างกอดอก พลางกระตุกยิ้มเพื่อให้คนมองแล้วสบายใจ แต่ทว่ารอมยิ้มที่เขามอบให้ราวกับแอปเปิ้ลเคลือบยาพิษ

   “ฉันไม่ได้ตั้งใจจะให้พวกนายสองคนต้องลำบาก ฉันแค่มีเรื่องอยากจะถาม แค่ตอบให้หมดเปลือกเราก็จะไป”   “ถะถาม คุณอยากรู้อะไรเราก็จะบอกหมด”คนตอบคำถามกำลังหวาดกลัว สังเกตได้จากเหงื่อเม็ดเล็กใหญ่ซึ่งไหลพรากจากใบหน้าราวกับอากาศร้อนระอุ ทั้งที่แอร์เย็นระดับ 20 องศา

   “ฮึ! ไม่ใช่ว่าพวกนายขายข้อมูลรึไร ถึงอยากบอกฉันหมดโดยไม่มีข้อแลกเปลี่ยน แบบนี้ทางธุรกิจเขาเรียกล้มละลาย”

   ชายสองคนถึงกับสะดุ้งเฮือกเมื่อรู้สึกว่าคนตรงหน้ารู้รายละเอียดของพวกเขาละเอียดยิบ ซึ่งหากไม่ใช่คนวงในหรือคนที่คบค้าด้วยก็ไม่มีทางรู้เรื่องพวกนี้แน่นอน
 
   “เอาล่ะ ฉันจะเข้าเรื่องให้เร็วที่สุด นายรู้จักผู้ชายที่ชื่อธันใช่รึเปล่า”ทั้งสองหลุบตาลงต่ำมองหน้ากันราวกับครุ่นคิด ก่อนที่คนชื่อนนท์จะโพล่งพูดออกมา

   “ถ้าหมายถึงคนที่เพิ่งจะมาหาพวกเราเมื่อไม่กี่วันก่อน ผมรู้จัก มันมาที่นี่เพื่อถามหาไอ้โชค.....”

   “พอ”ฟรานซิสราวกับได้คำตอบเขาไม่อยากฟังในสิ่งที่คนตรงหน้าพร่ามพูด“ถ้าพวกนายรู้จักก็ดีแล้ว ก็แสดงว่าฉันเข้าใจไม่ผิดคน เอาล่ะกลับ”ฟรานซิสผุดลุกขึ้นและหันหลังให้ทั้งสองคนที่ดูสับสนกับสถานการณ์ แต่ทว่าร่างสูงกลับให้สัญญาณบางอย่างกับผู้ติดตามอีกสองคนให้กระทำตามหน้าที่ไป ในเมื่อความทรงจำของเขายังคงเห็นร่องรอยความบอบช้ำบนลำคอขาวระหง ยิ่งทำให้เขาไม่พอใจเท่าไหร่นัก เรื่องอื่นที่เป็นประเด็นย่อยในสิ่งที่ทั้งสองคนพูด เข้าไม่ได้อยากจะฟังเรื่องราวของคนชื่อโชค สิ่งที่ต้องการแค่ยืนยันตัวจะได้ไม่ผิดคน

   ในเมื่อเรื่องราวต่างๆ ฟรานซิสกลับรู้ดีมาตลอด แค่เดินตามทางและแผนการที่เขาวางไว้ก็เท่านั้น แต่ไม่คิดว่าจะมีใครกล้ากระทำเรื่องที่มันไม่ได้อยู่ในแผนการของเขา ความขุ่นเคืองมันจึงรบกวนสมาธิของเขามาตลอด

   เพียงฟรานซิสหันหลังและเดินจากไปราวกับว่าสถานที่แห่งนั้นคือขุมนรกของการกักขังทรมาน เสียงโอดครวญร้องขอความเมตรตาดังเล็ดลอดออกมา แต่เขากลับไม่สนใจราวกับไม่รู้สึกรู้สาหรือรับรู้เรื่องใดๆ ทั้งสิ้น ราว 5 นาทีที่เขาต้องนั่งรออยู่ในรถอย่างใจเย็น เมื่อมีคนมาแจ้งเรื่องบางอย่างว่าเสร็จสิ้นเขาจึงจากไป ทิ้งไว้เพียงความเงียบสงบที่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

   ใครจะรู้เล่าว่าความเย็นยะเยือกของฟรานซิสบัสนี้กลับสั่นคลอนไปตั้งแต่วันที่ธันกลายมาเป็นหมากตัวหนึ่งในแผนการณ์ของเขาไปตั้งนานแล้ว






>>>>to be continued



นานครั้งคุยกัน :o8:
ขอบคุณนักอ่านทุกคนที่คอยติดตามและรออ่านนิยายเรื่องนี้นะคะ :กอด1:
ถ้ามีแต่นักเขียนแต่ไม่มีนักอ่านเรื่องนี้คงเกร่วและดับกำลังใจคนเขียนไปโดยปริยาย :a6:
เรื่องราวช่วงนี้ก็อยู่ในช่วงหัวกระทิแล้ว o8 รอเป็นกำลังใจให้กับธันธันของเราด้วยนะคะ :a2:

ขอบคุณมากค่ะ ^^


ออฟไลน์ tiew93

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
โอ้ยยยยย แล้วธันจะเป็นยังไงบ้างเนี่ยยย  :katai1:

ตกลงฟรานซิสโกรธธันมั้ย แล้วโกรธเรื่องไหน เรื่องธันไม่ยอมขอให้ช่วยใช่มั้ย แล้วไม่ห่วงน้องเลยรึไงถึงไม่รีบไปจัดการน่ะห๊าาาาา  :angry2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
สรุปว่าฟรานซิสรู้อยู่แล้ว แล้วซ้อนแผนไปอีก หลอกใช้ธันเป็นหมากตัวนึงแต่ดันหลงรักธันซะเองแบบนั้นใช่มั้ย เราเข้าใจถูกเปล่า

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
ตามอ่านรวดเดียว กะแล้วว่าฟรานซิสต้องรู้ทันและคงเล่นไปตามเกม แต่หลงรักธันจริงๆสินะเลยพยายามให้ธันเอ่ยปากบอกออกมาเองน่ะ เฮ้อออ ถ้าธันยอมบอกเรื่องก็คงง่ายกว่านี้แหละ

ออฟไลน์ colorofthewind21

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-1
ฟรานซิสไปช่วยธันด้วยย

ออฟไลน์ Soda.wine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ ทามากิบ๊อง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-4



22




   กุกกัก กุกกัก!

   “ให้มันได้อย่างนี้สิ!”เสียงสบถของผมดังขึ้นเมื่อแต่ไม่มีใครได้ยิน ข้าวของที่วางอยู่รอบๆ ตัวผม ไม่ว่าจะเป็นกล่อง เป็นถุงเป็นหีบห่อล้วนแต่ผ่านการรื้อค้นโดยฝีมือผมแล้วทั้งนั้น แต่ไม่ว่าจะค้นเท่าไหร่ก็ไม่มีสิ่งของใดๆ ที่ผมพอจะใช้ประโยชน์บ้างได้เลย ผมเลยรู้สึกหัวเสียอยู่อย่างนี้น่ะสิ

   ดูเหมือนห้องนี้จะเป็นใจให้ผมซะเหลือเกิน ขนาดห้องน้ำยังไม่มีรูให้ผมลอดได้เลย นอกจากช่องลมที่เล็กอย่างกับอะไรดี ผมเดินวกไปวนมาจนรู้สึกเหนื่อย ก่อนจะนั่งเอาหลังพิงผนังอย่างหมดหนทางยีหัวตัวเองอย่างหัวเสีย มองไม่เห็นหนทางที่จะหนีรอดไปได้ เพียงไม่นานเสียงปลดล๊อคประตูก็ดังขึ้น ผมสะดุ้งนั่งตัวตรงมองประตูตาไม่กระพริบ ก่อนที่ผู้ชายร่างใหญ่สีผิวเข้นออกโทนน้ำตาลจะเดินเข้ามา ในมือถือขวดน้ำและกล่องโฟมที่ถูกจับยัดใส่ถุงพลาสติกมาอย่างลวกๆ ก่อนจะโยนทุกอย่างมาทางผม

   “กินซะถ้ายังไม่อยากหิวตาย”

   “เดี๋ยวอย่าเพิ่งไป”ผมผุดลุกขึ้นพยายามรั้งมันไว้“กูต้องอยู่ในที่แบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนวะ”

   “จนกว่าหัวหน้าจะบอกให้มึงออกไปได้ แต่ก็ว่าคงอีกนานว่ะดูเหมือนมึงอาจจะโดนลอยแพ”

   “หมายความว่าไงวะ!”

   “ก็มึงหมดประโยชน์แล้วไง หัวหน้าอาจจะเอามึงไปขายทิ้งที่ไหนสักแห่งก็ได้ใครจะไปรู้”ผมตาเบิกโพล่งตกใจกับสิ่งที่มันพูด

   “กูอยากจะคุยกับไอ้....กับหัวหน้าของมึง ไปบอกว่ากูมีเรื่องอยากจะบอก!”

   “โทษทีว่ะแต่ดูเหมือนหัวหน้าจะยังไม่ว่างตอนนี้”

   “ถือว่ากูขอร้องไปบอก.....”ผมวิ่งพุ่งเข้าไปจับแขนมัน แต่มันกลับผลักร่างผมออกอย่างไม่สนใจ

   “กูบอกว่าไม่ก็คือไม่ไงวะ! มึงอย่าเซ้าซี้ให้กูรำคาญจะได้มั้ย! อยู่เงียบๆ อย่าหาเรื่องใส่ตัวจะเป็นดีที่สุด”

   ปัง! เสียงประตูปิดลงความหวังของผมมืดสนิทอีกครั้ง ผมมองประตูเพียงหนึ่งเดียวที่จะพาผมออกไปได้อย่างสิ้นหวัง ความรู้สึกหดหู่เกาะกินหัวใจภาวนาให้ใครสักคนมาช่วย แต่ยังไงผมก็นึกไม่ออกว่าจะมีใครมาช่วยผมได้

   ฟรานซิส.....ชื่อนี้เพียงชื่อเดียวที่ผมไม่ควรจะนึกถึง




   “ตื่นได้แล้ว!”

   มือหยาบหนาปราดเข้ามาตบหน้าผมเรียกสติ ผมค่อยๆ เปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งมองรอบๆ ตัว พลันสะดุ้งเฮือกเมื่อรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่ความฝัน ผมผุดลุกนั่งร่างกายรู้สึกเหน็บชา พื้นที่เย็นยะเยือกทำให้ผมขดตัวหลับแต่ไม่สนิท ความมืดที่ไม่เคยกลัวกลับกลายเป็นฝันร้ายของผมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผมเพิ่งจะหลับลงเพราะพิษไข้ที่กดประสาทให้ผมปวดหัวหนัก

   แม้แต่ข้าวที่มันโยนให้ผมก็ไม่ได้แตะสักเม็ด มีใครที่ไหนจะกินลงในเวลาแบบนี้ มีแค่น้ำเท่านั้นที่ผมกระหาย

   “ไอ้แก่.....เฉิน....”ผมพึมพำลำคอแห้งผาด สายตาค่อยๆ ปรับภาพตรงหน้าก็เห็นคนคุ้นตาที่ผมอยากเจอมากที่สุดแต่ไม่ได้คิดถึง เกลียดชังเสียด้วยซ้ำ ภายในห้องไม่ได้มีแค่มันคนเดียว แต่กลับมีลูกน้องของมันอีกสี่ห้าคน ยืนจ้องมองผมด้วยใบหน้าเรียบเฉย ผมอยากจะยันตัวลุกขึ้นแต่แรงกลับหดหายไปเสียจนหมด

   “กูกลัวว่ามึงจะเหงา ก็เลยพาเพื่อนมึงมาเยี่ยม แต่ก็ไม่ต้องกลัวหรอกนะกูไม่ขังมึงเลี้ยงไว้เปล่าๆ หรอก เดี๋ยวก็จะได้ออกไปข้างนอกแล้ว”มันยิ้มแสยะจนผมรู้สึกอยากปราดเข้าไปต่อยมันสักหมัด แต่ติดตรงที่ว่าร่างกายผมมันไม่พร้อม คนอย่างมันผมไม่มีทางหลงเชื่อคำพูดอีก

   “คนอย่างมึงที่หลอกใช้ประโยชน์จากคนอื่นไปทั่ว ฮึ! สักวันกรรมมันจะตามสนอง”

   “จะพูดถึงคนอื่นก็ดูตัวเองก่อนดีกว่า กูว่ามึงเอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ เอ้า! เข้ามาสิเพื่อนมึงคงจะคิดถึงที่ไม่ได้เจอกันนาน”ไอ้แก่เฉินกวักมือใครคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังสุดเดินเข้ามา ผมมองหน้าไม่ชัดเพราะปีกหมวกที่กดลงต่ำปรกหน้าบังสนิท เมื่อคนๆ นั้นเดินเข้ามาใกล้ แสงสว่างเพียงพอเจ้าตัวถอดหมวกใบสีดำออก ผมก็ประจักษ์ได้ทันทีถึงสถานการณ์ที่มันเลวร้ายลง แต่ไม่สามารถเข้าใจได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น มีเพียงความคิดที่ว่างเปล่าและความสับสนที่เกิดขึ้น

   “ไอ้.....ไอ้โชคมึงมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”ผมตาค้างมองผู้ชายตรงหน้าที่เบี่ยงหน้าไม่สบตาผม

   “…..”

   “ไอ้โชค....”ผมเรียกมันอีกครั้งไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง คนที่ผมตามหากลับมาอยู่ต่อหน้าอย่างง่ายดาย แถมมาอยู่กับคนที่ผมคาดไม่ถึงอีก นี่มันเรื่องอะไรกัน

   “เอาล่ะ จะให้คุยกันเป็นการส่วนตัว ตามสบายก็แล้วกัน”

   และตอนนี้ภายในห้องสี่เหลี่ยมก็เหลือเพียงผมกับไอ้โชคสองคน ผมมองหน้ามันไม่หลบ แต่อีกคนกลับยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว ไม่พูดอะไรออกมาทั้งสิ้น ความเงียบเกิดขึ้นอยู่ชั่วครู่ผมจึงเป็นฝ่ายเริ่มพูดขึ้นมาก่อน

   “มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมมึงถึงมาอยู่ที่นี่ได้ อย่าเอาแต่เงียบสิวะ”ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเมื่อมันเอาแต่เงียบ ยิ่งเงียบผมก็ยิ่งเจ็บเพราะเหมือนควายตัวหนึ่งที่ไม่รู้อะไรเลย

   ผมราวกับคนสติฟั่นเฟือนที่เอาแต่พูดพล่ามอยู่คนเดียว จนสุดท้ายไอ้โชคเริ่มขยับและก้าวเท้าเข้ามาหาผมพร้อมกับกระชากตัวผมลากให้เดินตามมันไปยังมุมหนึ่งของห้องแล้วใช้สองมือกดไหล่กันผมให้ติดผนัง เผชิญหน้ากับผมอย่างไม่หลบสายตา ผมมองมันกลับอย่างเปิดเผยจ้องมองลึกเข้าไปในแววตาที่เคลือบแคลงไปด้วยความลับ

“มึงฟังกูให้ดีไอ้ธัน อย่าเพิ่งพูดอะไรทั้งนั้น นี่อาจเป็นโอกาสเดียวที่กูจะพูดกับมึง เพราะฉะนั้นไม่ว่ากูพูดอะไร ทั้งหมดคือความจริงจากปากกู กูจะไม่โกหกมึงอีก”ไอ้โชคไม่ได้แผดเสียงแต่กลับพูดเบาราวกระซิบ ผมมองมันยากที่จะตัดสินใจได้ว่ามันคิดจะทำอะไรกันแน่ แต่เท่าที่ผมเห็นมันต้องเป็นพวกของไอ้แก่เฉินไปแล้วแน่ๆ

“ความจริง? ความจริงอะไร กูเชื่อมึงได้อีกรึไงวะ!”เสียงผมสั่นราวกับคนที่กำลังจะร้องไห้ แต่กลับไม่มีน้ำตา
แน่ล่ะผมเจ็บจนไม่รู้จะบรรยายยังไงดี ไม่มีที่ให้ความเจ็บอื่นเข้ามาแทรกแล้วด้วยซ้ำ

“กูผิด มึงจะสาปแช่งหรือด่ากูยังไงก็ได้กูหลอกมึงเรื่องเงิน และหลอกให้มึง.....ชดใช้หนี้ให้ไอ้เสียเฉินแทนกู แต่เรื่องทั้งหมดมันเป็นข้อเสนอของไอ้เฉิน เพราะกูมันอยากเอาตัวรอดและขี้ขลาด สุดท้ายกูก็ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำกับมึงไป.....”

ผั๊วะ!

ไม่ทันที่มันจะพูดต่อ แค่สิ่งที่มันพ่นออกมาผมก็เก็บหมัดให้อยู่กับตัวไม่ไหวแล้ว นี่เป็นหมัดแรกตั้งแต่ผมคบกับมันเป็นเพื่อนมา และเป็นหมัดที่คนปล่อยเจ็บที่สุด

“มึง.....กูคิดว่ามึงเลวแล้ว แต่มึงเลวกว่าที่กูคิดกี่พันเท่าวะ กูไม่น่ามีเพื่อนอย่างมึงตั้งแต่แรกเลยด้วยซ้ำ!”

“กูรู้ว่าแค่มึงต่อยยังน้อยเกินไปกับสิ่งที่ผ่านมา ถึงมึงจะด่าจะว่ากูยังไงมันก็ไม่สาสมกับที่กูทำกับมึง...”

“ใช่! มึงที่เห็นแก่ตัวจนหลับหูหลับตาไม่รู้เลยว่าต้องมีใครกี่คนมาเดือดร้อนกับเรื่องนี้บ้าง มึงบอกกูมาซิวะว่ามึงไม่รู้ มึงไม่รู้เหี้ยอะไรเลยไอ้โชคคคคค!!!!”ผมขยุ้มคอเสื้อของมันเขย่าตะคอกเสียงใส่ด้วยความโกรธ โกรธจนหากมีมีดผมคงแทงมันตายไปแล้ว ผมทรุดลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรงรู้สึกโลกนี้มันไม่ยุติธรรมเอาซะเลย

“เพราะว่ากูมันเดินทางผิดมาแต่ต้น กูติดหนี้พนันจะเลิกมันก็สายไปแล้ว”

“ไอ้เชี่ยต้นกับไอ้นนท์ใช่มั้ยที่มึงพูดถึง”

“.....”

“ที่มึงเงียบ ไม่บอกกูหน่อยรึไงว่ามันไม่ใช่”

“กูขอโทษ....กูรู้ว่ามึงคงจะไม่ยอมรับง่ายๆ แต่เพื่อเป็นการไถ่โทษกูจะไม่ให้มึงเดือดร้อนเป็นครั้งที่สองอีกแล้ว”

“ช่วย ลำพังมึงก็อยากจะฆ่ากูทางออมอยู่แล้วมึงอย่าเอาเรื่องที่เป็นไปได้มาพูดกับกูอีก”

“ไอ้ธัน.....กูรู้ว่าผู้ชายคนที่ชื่อฟรานซิสช่วยมึงได้ มึงแค่รอ.....กูบอกมึงได้เท่านี้”คนตรงหน้ายืนขึ้นเต็มความสูงก่อนจะหันหลังให้ผม และพูดทิ้งท้ายอีกครั้ง“เก็บเรื่องที่กูพูดวันนี้เป็นความลับด้วย”แล้วคนตรงหน้าก็เดินกลับไป ทิ้งไว้เพียงสิ่งที่ผมล้วนแล้วแต่ไม่เข้าใจ

มันรู้เรื่องฟรานซิสได้ยังไง แล้วทำไมมันถึงมั่นใจนักว่าผมจะรอด ผมยังจะคิดหวังความช่วยเหลือจากเพื่อนทรยศอย่ามันได้อีกเหรอ!



“สองสามวันมานี้บอสสีหน้าไม่ค่อยดีเลยนะครับ ให้ผมตามหมอมาดู.....”

“ไม่เป็นไร ฉันแค่นอนน้อยไปหน่อย เอาเอกสารทั้งหมดนี้ให้นาวี”

“ทั้งหมด อย่าบอกนะครับว่า.....บอสทำงานทั้งหมดนี้ภายในสองวัน”อาเธอร์มองเอกสารในมือสลับกับมองหน้าผู้เป็นนาย เขาไม่เคยเห็นบอสของตัวเองโหมงานหนักเท่านี้มาก่อน ถึงแม้ว่าเขาจะทำงานอย่างหนักแต่ก็ไม่เคยบดบังเวลาพักผ่อนของตัวเอง เพราะเขาเคยพูดไว้ว่า การทำงานล่วงเวลาไม่ได้หมายความว่าจะเป็นคนเก่ง ดังนั้นน้อยมากที่คนในบริษัทจะต้องมาทำโอที

“แล้วเรื่องที่ฉันให้ไปตรวจสอบเป็นยังไงบ้าง”ร่างสูงมีสีหน้าตึงเครียดขึ้นมาทวงถามถึงสิ่งนั้น

“ครับ เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ดูเหมือนเราจะพบอะไรดีๆ จากปากกาแท่งนั้น ผมคาดไม่ถึงเหมือนกันครับว่ามันจะเป็นเครื่องอัดเสียงและวีดีโอ และที่น่าแปลกทุกอย่างที่บันทึกล้วนเกี่ยวกับเสี่ยเฉินแทบทั้งหมด บอสไปเอามันมาจากไหนครับ”พลันนึกได้ก็ยื่นสิ่งที่ดูสำคัญคืนให้กับคนตรงหน้า ฟรานซิสรับไว้แล้วพินิจพิศมอง

“เด็กเลี้ยงแกะน่ะ”รอยยิ้มเยือกฉายแววแผนการและดวงตาคมกริบจ้องมองไปเบื้องหน้า พลางเคาะนิ้วอย่างใช้ความคิดพลันเจ้าของเรือนกายกำยำก็ผุดลุกยืนขึ้นเต็มความสูงหมุนกายมองออกไปนอกหน้าต่างฉายชัดวิวของตึกสูงระฟ้าเอ่ยความต้องการให้ผู้อยู่เบื้องหลังตอบรับ

“ติดต่อไปที่เสี่ยเฉิน บอกว่าฉันขอติดต่อเรื่องธุรกิจส่วนตัว ยื่นข้อเสนอสิ่งที่เรามีแต่ไม่ต้องทั้งหมด แลกกับของของฉันคืน เร็วเท่าที่เร็วได้ฉันคิดว่าเวลานี้มันเหมาะแล้วที่จะจัดการถอนรากถอนโคนวัชพืชซะที อ้อ แล้วจัดการให้เจ้าเด็กนั่นมาพบฉันด้วย.....วันนี้”

“ครับบอส”

อาเธอร์ไม่รอช้า รีบออกไปทำหน้าที่ตามที่ได้รับคำสั่ง ห้องทั้งห้องกลับมาสู่ความเงียบงันอีกครั้ง แววตาของร่างสูงเริ่มเปลี่ยนเป็นวูบไหวอีกครั้งเมื่อนึกถึงร่างเล็กและใบหน้าดื้อรั้นที่ยามนี้กลับเลือนหาย หอบเอาอารมณ์และความว้าวุ่นเข้ามาถาโถม ทำให้ชายผู้นิ่งขรึมกลับต้องแสดงอาการอารมณ์ร้อนออกไปอย่างที่ไม่เคยเป็น ดวงตาสีมรกตที่ดูเยือกเย็นกำลังหลับตาสนิทครุ่นคิดเรื่องราวอยู่หลายอย่างจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา

แม้ทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนเพื่อที่จะล่อเสือแก่ตัวใหญ่อย่างเสี่ยเฉินออกจากถ้ำให้เพรียกพร้ำด้วยตัวมันเองจะดูเป็นเรื่องที่น่ายินดีนักในตอนนี้ แต่สิ่งที่ผิดแผนมิใช่น้อยเขาก็ต้องเผชิญมันเช่นกัน มันเป็นความลำบากใจและต้องตัดสินใจในคราเดียวเมื่อเครื่องมือที่มีชีวิตอย่างธันเข้ามาอยู่ในแผนการของเขาอย่างไม่คาดคิด และเขาเองก็ต้องทำทุกอย่างให้ไหลไปตามน้ำไม่มีสะดุดจึงเลี่ยงไม่ได้ที่เขาจะต้องข่มใจทำเมินไม่รู้ไปซะทุกเรื่อง และหลายครั้งที่ตัวเขาเองก็ต้องรับมือกับความรู้สึกยุ่งยากที่ไม่เคยเกิดขึ้น



20.35 น.
กระจกรถยุโรปสีดำทึบค่อยๆ เลื่อนลงเมื่อมือหนาแตะเบาๆ สัมผัสกับสวิซไฟฟ้าพลันลมหนาวด้านนอกวูบไหวหอบเอาความเย็นภายนอกผสมกับอากาศเย็นภายในที่อุณภูมิต่ำกว่า นาฬิกาเรือนหรูโผล่พ้นสาบเสื้อเมื่อลำแขนแกร่งขัดกอดอกกว้างของตนเอง ใบหน้าคมทอดตามองเพียงดวงไฟจากถนนด้านหน้า น้ำเสียงเรียบนิ่งอยู่ในโทนที่ฟังลื่นหูขยับริมฝีปากสนทนากับบุคคลที่ยืนไม่ขยับอยู่ด้านนอก แต่จากลมหนาวก็ทำให้เท้าของคนที่ยืนขยับไปมาบ้างในบางครั้ง แม้ร่างกายจะนิ่งเกรงกลัวคนตรงหน้าถึงจะยืนอยู่ไม่ไกลและมีประตูรถคั่นกลาง แต่รังสีความน่าเกรงขามก็ทำให้อึดอัดอยู่ดี

“เป็นยังไงบ้าง”สิ่งที่ถามไถ่ด้วยประโยคเรียบง่ายคนตอบตระหนักดีอยู่แล้วว่าหมายถึงใคร

“ผมบอกเรื่องนั้นให้ธันรู้แล้ว แต่สิ่งที่ผมพูดดูเหมือนหมอนั่นจะไม่เชื่อผมสักเท่าไหร่ แล้วพรุ่งนี้ไอ้เฉินจะเอาธันไปประมูลขายแต่ผมไม่รู้ว่าที่ไหน หากมันไม่เปลี่ยนแผนการคงจะเป็นตอนเย็นของวันพรุ่งนี้”

“เรื่องนั้นฉันจัดการแล้ว จะไม่มีการนำใครไปประมูลขายทั้งนั้น นายไปได้แล้วอย่าทำตัวให้มันสงสัย ดูแลเพื่อนของนายให้ดี เสร็จจากเรื่องนี้นายจะเป็นอิสระ ฉันพูดคำไหนคำนั้นไม่ต้องกลัวว่าฉันจะเป็นอย่างใครบางคน”

“คะครับ.....ขอบคุณครับที่ให้โอกาสผม”

“คำพูดพวกนี้เอาไปพูดกับคนที่นายหักหลังเถอะ ฉันจะไม่เข้าไปมีส่วนร่วมในเรื่องความสัมพันธ์พวกนั้น”

“ผมก็หวังว่ามันจะยอมรับสักวัน”

“ไม่มีอะไรที่แก้ไขไม่ได้ ขึ้นอยู่กับตัวนายเอง”จบประโยคกระจกหนาทึบก็เลื่อนปิดรถยุโรปคันหรูก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปจนลับสายตาคนมอง ลมหายใจอุ่นๆ ถูกพ่นออกมาช่วงใหญ่ เด็กหนุ่มอายุรุ่นต้นๆ ครุ่นคิดถึงความหวังที่จุดประกายขึ้น การเริ่มต้นใหม่เป็นความหวังของคนที่ผิดพลาด โอกาสที่ได้รับจึงสำคัญและมีค่ายิ่งกว่าเงินทอง เขาจึงเลือกประกาศตนเองว่าจะขอหลุดพ้นจากเรื่องดำมืดเหล่านี้ให้ได้

แม้ความคิดชั่ววูบที่จุดประกายความหวัง เหมือนดั่งสายธารที่รินรดหัวใจ แม้จะได้ชื่อว่าโชคแต่กลับโอบรับแต่สิ่งอัปมงคลบัดนี้ถึงกับหลั่งรินน้ำตาอย่างไม่เหลือศักดิ์ศรี พลันปฏิญาณกับตนเองต่อหน้าฟ้าและดิน

“กูจะไม่มีวันเดินกลับเข้าไปหาสิ่งเลวๆ พวกนั้นอีกแล้ว!”

เขารู้สึกไม่เสียใจ หากจะเสียใจคือเขาพลาดที่จะไม่ได้เจอคนๆ นี้เสียมากกว่า เหตุการณ์วันนั้นเขากลับไม่เคยลืมแม้มันจะยากต่อการจดจำเพราะมันทั้งน่าหวาดกลัวและโชคดี




โชค Past
1 เดือนก่อน


   “กู.....กูขอโทษว่ะ แต่กูจำเป็นจริงๆ”

   “โชค.....ไอ้โชค!”

   เสียงเรียกของไอ้ธันผมได้ยินเต็มสองหู แต่ผมทั้งช็อคทั้งตกใจ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรจึงได้แต่วิ่งหนี ไม่กล้าซะด้วยซ้ำที่จะเจอหน้ามัน ผมรู้อยู่เต็มอกว่าตัวเองทำเรื่องเลวทรามต่ำช้ากับมันอย่างเลือดเย็น แค่ผมมองแววตาของมันที่เจ็บลึกถึงขั้วหัวใจผมเองก็ยิ่งรู้สึกละอาย แต่สิ่งที่ผมทำลงไปแล้วผมถอยไม่ได้

   หนี้สินที่ผมติดไอ้นนท์ไอ้ต้นอยู่มันมากมายเกินกว่าผมจะรับผิดชอบไหวจึงต้องไปกูไอ้เฉินจนดอกมันปานปลายชนิดที่ขูดเลือดขูดเนื้อ แต่เพราะความหน้ามืดทั้งที่ได้รับความช่วยเหลือจากไอ้ธันผมกลับหักหลังมันอย่างไม่ใยดีเพราะความเห็นแก่ตัว ผมรู้ตัวว่าผมมันเหี้ยสุดๆ แม้จะรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองก่อก็ยังขี้ขลาด จึงรับข้อเสนอที่ไอ้เฉินให้ไอ้ธันมารับผิดชอบแทนและแสร้งว่าผมหนีหายไป

   มันฟังดูไม่ยุติธรรมเลยใช่มั้ย และผมก็ปลอบใจตัวเองด้วยคำว่า ไอ้ธันมันเก่งพอคงจะเอาตัวรอดได้มาตลอด

   ไอ้ธัน กูขอโทษวะกูมันขี้ขลาด!

   ผมกำหมัดแน่นแค้นเคืองตนเองอยู่หลายส่วนรู้ดีว่าตัวเองมันเลว

   “โชคมานั่งทำอะไรอยู่แถวนี้ เลิกงานแล้วยังไม่กลับอีกเหรอ กะนี้เป็นของพี่ปอเขา กลับไปพักได้แล้ว”ระหว่างที่ผมนั่งหลบมุมอยู่ในห้องพักพนักงาน พี่แก้วพนักงานหญิงของร้านที่เพิ่งรู้จักกันมา 1 สัปดาห์ก็ทักผมขึ้น จริงๆ ผมเป็นพนักงานใหม่ของที่นี่ ผมพยายามหางานเล็กๆ น้อยๆ ที่ไกลออกมาจากรัศมีที่จะเจอคนรู้จักหรือแม้แต่ไอ้ธันมาทำงานอยู่ที่นี่ แต่ไม่รู้ว่าโลกมันแคบหรือยังไงผมถึงได้เจอมัน ในสถานที่ที่เป็นไปไม่ได้ เพราะร้านหรูหรา อาหารราคาแพงคิดคาบริการหูฉี่มันไม่มีทางเข้าร้านแบบนี้ได้เหมือนเข้าร้านสะดวกซื้อแน่นอน และนั่นก็ทำให้ผมแปลกใจว่ามันมาได้ยังไง

   “ว่าไงโชค กลับได้แล้วเดี๋ยวก็โดนเรียกใช้อีกหรอก”

   “อา ครับพี่แก้ว ผมแค่นั่งพักให้หายเหนื่อยกำลังจะกลับแล้วครับ”

   ผมจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้า เก็บของจากล็อคเกอร์ก่อนจะสะพายเป้ออกมา ผมเดินออกทางหลังร้านสำหรับทางเข้าออกพนักงาน วนตรงไปยังรถมอเตอร์ไซต์ที่จอดอยู่หลังร้าน แต่ไม่ทันที่ผมจะรู้สึกตัวเงาร่างใหญ่จากด้านหลังก็คว้าตัวผมไว้ใช้มือปิดปากราวกับเตือนไม่ให้สงเสียง ผมถูกลากออกมาจนถึงที่ลับตาคนก่อนจะถูกผลักเข้าไปนั่งภายในรถยุโรปคันสีดำและกวาดมองคนภายในรถอย่างตกใจกลัว

   ผมแปลกใจที่คนที่อยู่ในรถไม่ใช่ไอ้เฉินหรือศัตรูที่ไหน แต่กลับกลายเป็นชายหน้าตาดีมีความละม้ายคลายลูกครึ่งฝรั่งแต่งตัวภูมิฐานฉายแววนักธุรกิจ ซึ่งคนข้างๆ ทำให้ผมอ้าปากค้างไม่ได้เมื่อรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตา และต้องมาสะดุ้งเฮือกเมื่อเจอคำตอบ

   ฟรานซิส.....คือผู้ชายที่ไอ้เฉินเคยให้ผมดูรูปเพื่อจะให้ทำงานให้มัน แต่หน้าที่ตรงนั้นกลับเป็นของไอ้ธันไปแล้ว แสดงว่าไอ้ธันมาที่นี่เพราะผู้ชายคนนี้สินะ

   “คุณ คุณฟรานซิส”

   “น่าแปลกที่นายรู้จักฉัน”รอยยิ้มเย็นยะเยือกราวกับจะกรีดลงกระดูกทำผมหนาวสั่นไปทั้งตัว ผมไม่กล้าจะมองหน้าเขาด้วยซ้ำ

   “คุณมีอะไร ผมไม่เคยไปทำอะไรให้คุณเดือดร้อน แล้วคุณจับผมมาทำไม”น้ำเสียงระล่ำนะลักพยายามรีดเค้นคำพูด ความประหม่าทำเอาเหงื่อผมไหลพรากไปทั่วใบหน้า

   “ฉันจะเข้าเรื่องอย่างรวดเร็ว นายรู้จักกับเสี่ยเฉินใช่ไหม”

   “คะคุณพูดอะไร ผมไม่รู้เรื่อง”

   “นายควรจะตอบตามความเป็นจริง”ความเย็นวาบของวัตถุเย็นเยียบสัมผัสกับลำคอของผม ส่งตรงมาจากคนที่นั่งเบาะด้านหน้านั่นถึงกับทำให้ผมน้ำตาไหลดวงตาเบิกโพล่งด้วยความสะพรึงกลัว พ่นสิ่งที่เขาอยากรู้แทบไม่เหลือ

   “ผะผมรู้จัก เขาเป็นเจ้าหนี้ของผม”

   “แบบนี้ถึงจะน่าคุยหน่อย”คนข้างๆ รู้สึกผ่อนคลายเขาเหยียดเท้ายาวๆ ราวกับนั่งดูภาพยนตร์ มือข้างหนึ่งค้ำศอกเข้ากับกรอบกระจกส่วนฝ่ามือก็ยกขึ้นมารองศีรษะและหันมาพูดกับผมราวกับคนสนิท ทั้งที่ผมสติแทบกระเจิง

   “คนของฉันเล่าเรื่องสนุกๆ ให้ฟังว่า อีกฝ่ายกำลังเล่นเกมเลื่อยขาเก้าอี้ และดูเหมือนเหยื่อจะเป็นฉัน แถมส่งคนเข้ามาให้ฉันลำบากใจอีกคนที่ฉันพามานายคงจะเจอแล้ว บอกฉันทีสิว่าฉันพูดตรงไหนผิดไปบ้าง”

   “..........”ผมส่ายหน้ารัวๆ เมื่อฟังที่เขาพูด ทุกอย่างไม่มีผิดเพี้ยน นั่นแสดงว่าแผนการตั้งแต่แรกเขารู้ทั้งหมด แต่แสร้งเดินตามเกมก็เท่านั้น

   แล้วไอ้ธันล่ะ มันจะรู้รึเปล่า!

   พลันหัวใจผมตกวูบ มองเห็นความมืดมิดของเพื่อนรำไร แม้มันจะไม่ได้นับผมเป็นเพื่อนแล้วก็ตาม

   “แต่ที่ฉันเอะใจและอยากจะถาม ทำไมถึงไม่ใช่นายแต่กลับเป็นหมอนั่นแทน”ดวงตาคมหรี่มองมายังผมราวกับคมมีดที่จ่อคอหอยไม่ต่างกับปากกระบอกปืนที่เพิ่งล่าถอยออกไป

   “นะนั่น......นั่นเป็นเพราะว่า”

   เพียงไม่กี่นาทีผมกลับรับสารภาพออกไปหมดเปลือก ตั้งแต่ต้นจนจบถึงที่มาที่ไปของไอ้ธัน และขั้นตอนที่มันมาแทนที่ของผมได้ คนตรงหน้าผมหัวเราะราวกับฟังมุกตลกร้ายที่กำลังเกิด

   “ฉันก็เคยเห็นคนหักหลังกันมานักต่อนักแล้ว แต่ไม่เคยเห็นกรณีนี้มาก่อน น่าสนใจดี”

   “ผมเล่าทุกอย่างหมดแล้ว คุณก็ปล่อยผมไปได้แล้วสินะ”ผมมองประตูรถที่ล็อคอัตโนมัติ และมีคนเฝ้าอยู่ด้านนอกอย่างมีความหวัง

   “ปล่อยแน่ แต่ฉันยังไม่เคยฆ่าใครตายอย่ากลัวไปเลย”ผมไม่รู้ว่ามันเป็นการหยอกล้อหรือเรื่องจริง แต่มันไม่ได้ทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาเลย

   “.....”

   “เพื่อเป็นการยุติธรรม และฉันก็เห็นว่าเรื่องของนายเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ฉันมีข้อเสนอดีๆ แค่ทำงานให้ฉันเรียบร้อย มีผลงานเป็นที่ประจักษ์พนักงานดีเด่นก็ย่อมได้รางวัลตอบแทน แต่รางวัลสำหรับนายคือความเป็นอิสระ และโอกาสดีๆ....นายไม่เคยคิดถึงมันบ้างรึไง หรือนายอยากจะจมดิ่งกับเจ้านายที่ไม่มีหลักค้ำประกันอะไรมาบอกว่ามันจะปล่อยนายไปหากเพื่อนของนายทำงานสำเร็จ แต่สำหรับฉันรางวัลนั้นฉันพร้อมจะมอบให้ หากนายคิดให้ดีแล้วรับมันไว้.....ว่ายังไงล่ะ”

   ผมไม่ต่างกับหนีเสือปะจระเข้ แต่อยู่ที่ว่าสัตว์ชนิดไหนยื้อชีวิตผมได้นานกว่ากันผมก็จะเลือกเข้าหาตัวนั้น และแน่นอนผมเทความหวังไปให้กับเขาคนนี้

   “ผม.....ผมจะทำตามที่คุณพูด แต่คุณก็ต้องไม่ลืมสัญญาของเราเหมือนกัน”

   “ฉันเป็นนักธุรกิจที่ซื่อสัตย์พอ”

   ตอนนี้ใครจะไปรู้ว่าผมกลายเป็นนกสองหัวในร่างคนไปแล้ว เดิมพันครั้งนี้อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายที่ผมจะรอด ผมจะไม่ปล่อยให้มันหลุดมือ





>>>>>>to be continued

บอกได้คำเดียวว่าต้องติดตามตอนต่อไปจริงๆ ค่ะ พลี๊สสสส :impress:

ออฟไลน์ colorofthewind21

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-1
ค้างแรงงงง แต่รอค่าาา

ออฟไลน์ tiew93

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
เดาอยู่ว่าฟรานซิสต้องรู้แต่ไม่คิดว่าจะใช้โชคด้วยนี่สิ

ออฟไลน์ brookzaa

  • Chill out
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-6

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
โหหห สงสารธันมากอะคิดว่าตัวเองโดนหักหลังแล้วแต่พอมารู้ว่าโดนตลบหลังอีกรอบนี่แบบจุกสุดๆอะ โชคแม่งเลวว่ะทำกับเพื่อนแบบนี้ได้ไงว่ะ

ออฟไลน์ Roman chibi

  • Death is not the end. Death can never be the end. Death is the road. Life is the traveller. The soul is the guide.
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-3
ธันสู้ๆ :katai4:

ออฟไลน์ cheyp

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1536
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-0
สงสารธันจัง

ออฟไลน์ lek2512

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อ่านแล้วสงสารธันอะ  เจอเพื่อนเลวๆไม่พอ ยังเจอบอสมาหลอกใช้อีก  ไม่รู้ว่าถ้าเรื่องคลี่คลายได้ธันจะทำยังไงอะเนี่ย

ออฟไลน์ ทามากิบ๊อง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-4



23





“แฮ่กๆ ช่วยเปลี่ยนจากมัดมือไว้ด้านหลังมามัดไว้ด้านหน้าได้มั้ย กูปวดแขนไปหมดแล้ว”

“อย่าเรื่องมากจะได้มั้ยวะ มึงหยุดพูดสักวินาทีมึงจะตายมั้ย!”

“ก็กู แฮ่กๆ อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมนั่นคนเดียวไม่มีใครพูดมันก็ต้องอึดอัดสิวะ แล้วนี่จะถึงรึยัง จะพากูไปไหนกันแน่”

“โอ๊ย! มึงอย่าถามให้กูรำคาญในสิ่งที่มึงไม่ต้องรู้จะได้มั้ย มึงสองตัวหาอะไรมายัดปากมัน!”

“ไม่เอากูหายใจไม่สะดวก.....อุบ…อือๆ”ปากผมถูกเทปกาวชนิดที่เหนียวเป็นพิเศษมาปิดปาดเอาไว้ก่อนมันจะเอาผ้ามารัดทับไว้อีกที ทำแบบนี้บีบจมูกผมด้วยเลยจะดีกว่า แค่นี้ผมก็หายใจไม่ออกอยู่แล้ว และต้องมาพยายามต่อสู้กับพิษไข้ที่รุมกันทำร้ายผมตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ไอ้ที่ผมยังเดินได้นั่นเพราะมีคนมาลากถูอย่างที่แทบจะไม่ได้ออกแรงเดินเอง

“พี่! มันตัวร้อนจี๋เลยว่ะ”ไอ้ตัวที่มัดตัวผมไม่ให้ดิ้นให้อีกคนเอาเทปปิดปากรายงานรุ่นพี่มัน

“ก็ช่างมันสิวะ อย่าให้มาตายในมือกูก็พอ”

ผมหรี่ตามองคนที่อยู่ในรถและอยากจะโต้ตอบ แต่ติดตรงที่มันปิดกันไม่ให้ผมได้พูด ผมดิ้นอยู่นานเพื่อประท้วงให้มันเปิดปากผมออก เพราะจะไอก็ไอ้ไม่ได้มันสุดจะทรมาน แต่ไหนเลยพวกมันจะเห็นใจกลับแสดงท่าทีเฉยเมยไม่สนใจ จนผมหมดแรงดิ้นไปเอง หากเป็นร่างกายที่มีสภาวะปกติผมคงจะออกฤทธิ์ได้เยอะกว่านี้ แค่นี้ก็เต็มที่จนเหงื่อผมไหลพรากรู้สึกเปลือกตาที่ร้อนผ่าวหนักอึ้ง บวกกับอาการปวดหัวที่ยังตื้อไม่เลิกทำให้ผมไร้ความสามารถที่จะครองสติไว้ได้ตลอดจึงเผลอหมดสติไปอย่างที่ไม่ควรจะเป็น




ราวสองถึงสามชั่วโมงกว่าที่ผมหมดสติไปรู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองนอนอยู่กับพื้นไม้ที่ดูสะอาดสะอ้าน มีกลิ่นอายของอาหารลอยคลุ้งอยู่ในอากาศ ถึงแม้ว่าจมูกผมมันจะไม่ได้ใช้งานได้ 100 เปอร์เซ็น แต่ก็ยังพอจับกลิ่นได้ ผมค่อยๆ กวาดสายตาที่ยังคงพร่าเลือนสำรวจสิ่งต่างๆ รอบตัวก็ถึงกับผงะเล็กน้องเมื่อมีใครคนหนึ่งขยุ้มเส้นผมของผมทางด้านหลังแล้วบังคับให้นั่งเชิดหน้าขึ้นพลันวางวัตถุสีเงินวาวกดคมมีดลงกับลำคอขาวของผม ผมเผลอสะดุ้งจนคมมีดฝากรอยแผลเป็นเส้นจนซึมเลือด นั่นทำให้ผมตระหนักว่าแค่ผมขยับมีดตรงหน้าฝังลงคอผมแน่นอน

 “ฮึก....ฮือๆ”

“อยู่เงียบๆ อย่าคิดส่งเสียงหรือทำเสียงดัง.....เป็นเด็กดีเข้าใจรึเปล่า ฮึๆ”ใบหน้าที่ไร้ความปราณีก้มลงต่ำกระซิบใกล้กับใบหูของผม แล้วหัวเราะในลำคอจนฟังดูสยอง ผมหลับตาปริ่มรู้สึกถึงน้ำตาที่เอ่อคลอ ราวกับได้รู้จุดจบของตัวเอง

ความเงียบที่ทิ้งระยะเวลามาเนินนานบัดนี้กลับมีเสียงฝีเท้าของใครหลายคนที่กำลังเดินผ่านยังห้องที่ผมอยู่ ผมลืมตาได้แต่มองประตูที่ปิดสนิทราวกับปิดตาย หัวใจของผมมันเหนื่อยล้าไม่คิดจะมองหาความหวังอีกต่อไป แต่แล้วเสียงๆ หนึ่งกลับฉุดรั้งให้ผมต้องการจะมีชีวิตกลับไปอีกครั้งดังมาจากห้องข้างๆ ที่มีประตูเชื่อมถึง แม้จะเป็นแค่ความหวังที่เลือนราง

“บรรยากาศแบบนี้มันทำให้ผมนึกถึงครั้งแรกที่เรานักเจอกัน ไม่คิดว่าเราจะได้มีโอกาสมาพูดคุยกันแบบนี้อีก แต่ที่น่าแปลกคือครั้งนี้คุณเป็นฝ่ายเชิญผมมา ใช่มั้ยคุณฟรานซิส”

“แน่นอน เพราะครั้งนี้คงจะพิเศษกว่าครั้งไหนคุณคงจะไม่สามารถลืมนัดครั้งนี้ของเราได้เลยตลอดชีวิต”

“ฮึ! ฉันก็หวังว่าการตกลงทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดี”

ผมลอบฟังบทสนทนาอย่างตั้งใจ บทสนทนาและน้ำเสียงทำให้ผมพอจะจิตนาการได้ว่าอารมณ์ของไอ้แก่เฉินขึ้นๆ ลงๆ ราวกับควบคุมตัวเองไม่อยู่ แต่อีกฝ่ายก็ใช้น้ำเสียงและวาจาที่ดูเรียบงายแต่แฝงไปด้วยการยั่วยุโทสะคนฟังได้ดีไม่ใช่น้อย

หลังจบบทสนทนาสั้นๆ ไม่กี่ประโยคเสียงครูดของขาเก้าอี้บ่งบอกว่าพวกเข้าเพิ่งจะได้นั่ง ก่อนทบสนทนาจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง ผมขยับตัวเล็กน้องและอดไม่ได้ที่จะหายใจแรงหอบถี่เพราะแรงกดดันพยายามขยับเขยื้อนตัวเล็กน้อยแต่กลับถูกคนคุมออกแรงขยุ้มปอยผมตักเตือนทางอ้อมจนผมรู้สึกเจ็บสีหน้าแหยเก

“เข้าเรื่องเลยดีกว่า ฉันค่อนข้างจะใจร้อน และฉันเดาว่าของที่เป็นข้อต่อรองซึ่งอยู่ในมือของฉันอย่างที่คุณฟรานซิสต้องการอาจจะช้ำไปเสียก่อน”

ไม่บอกก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังใช้คำพูดข่มขวัญ และดูเหมือนว่าสิ่งที่ไอ้แก่เฉินพูดคงไม่พ้นหมายถึงผม แล้วทำไมผมถึงได้เข้าไปอยู่ในสิ่งที่เรียกว่าข้อต่อรองนั่นด้วย นั่นทำให้ผมนึกถึงคำพูดของไอ้โชคที่บอกผมก่อนหน้านี้หรือว่าฟรานซิสมาที่นี่เพราะต้องการตัวผม

ใช่แน่ๆ เขาคงจะรู้เรื่องที่ผมทำไม่ดีเอาไว้แล้วแน่ๆ เขาคงจะอยากได้ตัวผมเอาไปส่งตำรวจหรือไม่ก็....ทำให้ผมหายไปเพื่อเป็นการแก้แค้นก็เป็นไปได้ ผมรู้นะว่าเขาไม่ได้มีแค่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างเดียว แต่ยังมีอะไรที่ผมคิดว่าผมไม่รู้อีกเยอะ
ผม....ผมควรจะทำยังไงดี

“ผมไม่ได้สนใจหรอกว่า.....จะเป็นยังไง”แค่ได้ยินประโยคนั้นจากปากของฟรานซิส หัวใจผมกลับบีบตัวเสียแรงจนรู้สึกเจ็บอย่างที่ไม่เคยเจ็บมาก่อน

ผมควรจะหวังให้ใครมาสงสารอีกรึไง ในเมื่อทำกับคนอื่นเขาเจ็บแสบขนาดนี้

“ผมแค่อยากได้คนที่คุณเฉินดูเหมือนจะไม่ต้องการแล้วก็เท่านั้น และสิ่งที่ผมขอแลกรับรองว่ามันคุ้มเสียยิ่งกว่าได้ราคาจากตลาดมืดเสียอีก”

“ให้ผมได้เห็นสิ่งที่คุณคุยก่อนดีกว่า ผมถึงจะบอกได้ว่ามันคุ้มจริงหรือไม่.....ไหนล่ะ?”

“อาเธอร์ เอาสิ่งที่คุณเฉินอยากเห็นออกมา”

“ครับบอส”ความเงียบเกินขึ้นเพียงครู ความกดดันส่งผมถึงคนที่คุมผมอยู่อย่างชัดเจน เพราะมือที่ถือมีดเริ่มขยับกุมให้ถนัดมือขึ้นอีก ผมตัวแข็งทื่อสมองเริ่มรู้สึกเบลอขึ้นอีกครั้ง ลมหายใจยังรักษาความสม่ำเสมอไม่ได้ ความกดดันและความตึงเครียดหลายๆ อย่างทำให้ผมปวดหัวหนักขึ้นไปอีก

“ปากกา? นี่แกคิดจะเล่นตลกอะไรวะ ฮ่าๆ”

   บทสนทนาสั้น ที่ผมได้ยินชัดเจนว่าฟรานซิสพูดถึงปากกา หัวใจผมมันก็เต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง ผมรู้อยู่แล้วว่าฟรานซิสไม่ใช่คนโง่ แต่ไม่นึกว่าเขาจะฉลาดเป็นกรดขนาดนี้ ผมเองที่เป็นคนจงใจวางปากกาที่ไอ้แก่เฉินให้ไว้กับผมทิ้งให้ฟรานซิส แค่หวังว่าหากเกิดอะไรผิดพลาดขึ้น นั่นอาจจะเป็นสิ่งเดียวที่จะช่วยผมได้ และมันคือแผนสำรองที่ผมแทบจะลืมมันไปแล้ว

“มันก็คงตลก ถ้าหากมันไม่ใช่ของผมแต่เป็นของคุณ จะลองฟังสิ่งนี้หน่อยมั้ย”

และเพียงไม่กี่วินาที เสียงสนทนาที่พอจะจับใจความได้ก็ดังขึ้น มันเป็นบทสนทนาระหว่างผมกับไอ้แก่เฉินตั้งแต่ตอนแรกที่มันยื่นปากกาใส่มือผม ผมกดบันทึกเสียงเอาไว้ตลอดการสนทนาเพียงเพราะแค่อยากลองของใหม่ที่ไม่เคยเห็น แต่เมื่อผมรู้วิธีใช้ หลังจากนั้นก็เป็นเสียงคุยกันผ่านโทรศัพท์ของผมกับไอ้แก่เฉินในหลายต่อหลายครั้ง รวมทั้งตอนที่มันส่งพวกมาข่มขู่ผมที่ตึกร้าง จริงๆ ก็มีตอนผมอยู่กับฟรานซิสแต่ผมกลับตัดมันทิ้งไปหมดแล้ว แค่หลักฐานเท่านี้ผมคิดว่ามันก็เพียงพอจะเอาผิดไอ้แก่เฉินให้เข้าไปอยู่ในคุกในตารางได้แล้ว และรวมไปถึงตัวผมเองด้วย

“นี่ก็เป็นแค่ของเล็กๆ น้อยๆ ที่ดูจะไม่ได้สลักสำคัญอะไรสักเท่าไหร่นัก แต่คุณอาจจะนึกไม่ถึงถ้าได้เห็นของพวกนี้ แน่นอนว่ามันเยอะเสียจนผมนั่งรอให้คุณมานั่งพิจรณาสิ่งที่คุณทำตั้งแต่ต้นไม่ไหวแน่ๆ ”

คงไม่ต้องเดาว่าไอ้แก่เฉินจะเดือดขนาดไหนฟังจากเสียงที่เริ่มอึกทึกครึกโครมนั่นได้ แต่สิ่งที่เป็นปริศนาที่ฟรานซิสเอาให้ไอ้แก่เฉินดูผมเดาไม่ออกจริงๆ ว่ามันคืออะไร ถึงทำให้ไอ้แก่เฉินเดือดเป็นน้ำมันขนาดนั้น

“ไอ้เด็กเวรนั่นมันหักหลัง! ส่งปากกานั่นมาให้กู! แล้วของพวกนั้นด้วย!!!!”

“ย่อมได้ แต่คุณคงไม่ลืมสิ่งที่เรากำลังตกลงอยู่”

“เออ! เอาไปเลยถ้าแกอยากเอางูเห่าไปแว้งกัดคออีกคน ไปเอาตัวมันออกมาเว้ย!”

สิ้นเสียงกร้าวของไอ้แก่เฉินคนที่เอามีดจ่อคอผมอยู่ก็กระชากตัวผมลุกขึ้นก่อนจะเปิดประตูที่เชื่อมอีกห้องออกแล้วโยนผมออกไป ร่างของผมกระแทกลงกับพื้นโครมใหญ่เนื่องจากผมไม่มีมือแม้กระทั่งได้พยุงตัวผมรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดและอ้อนล้า มันยากเกินไปที่ผมจะเงยหน้ามองดูสถานการณ์ได้ ผมมองเห็นแค่พื้นไม้ปาเก้กับรองเท้าหนังหลายคู่ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ดวงตาผมมันหรี่จนแทบจะปิดสนิท

“ตามที่ตกลง”ผมจำได้ว่านั่นคือเสียงฟรานซิส“แต่สิ่งที่แกเอาไปได้ก็แค่ปากกาเท่านั้น”

“มึงหมายความว่ายังไง”

“ฮึ.....ก็หมายความตามที่พูด”

ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรเมื่อจู่ๆ ในห้องก็เกิดความวุ่นวายจนคนในห้องเคลื่อนไหวกันให้ควั่ก เสียงประตูด้านหน้าเลื่อนเปิดออกรุนแรง เท้านับสิบเคลื่อนตัวเข้ามา ผมไม่รู้ว่าเหตุการณ์จากนั้นมันเกิดอะไรขึ้นผมรู้สึกได้แค่มีเสียงทุ้มที่ฟังดูคุ้นเคยจนผมเผลอน้ำตาไหลออกมากระซิบกับผมอย่างแผ่วเบา

“กลับกันเถอะ....”แล้วร่างทั้งร่างของผมก็ถูกช้อนตัวขึ้นจนรู้สึกตัวเบาหวิวราวกับขนนก หน้าผมหมุนซบเข้าหาความอุ่น ทั้งสัมผัสและกลิ่นกรุ่นทำให้ผมเบาใจอย่างที่สุด ผมรู้ตัวว่าตัวเองสะอื้นไห้แต่มันก็แค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น เพราะหลังจากลำแขนแกร่งกระชับผมแน่นขึ้นผมก็หมดสติไปซะแล้ว



“เฮือก!......”วินาทีที่ผมเหมือนถูกกดหัวลงน้ำตัดช่องทางการหายใจ ร่างกายของผมมันก็สะดุ้งเฮือกขึ้นมา ดึงสติผมให้ตื่นจากความฝัน สองมือบางของผมยกขึ้นโอบใบหน้าของตัวเองสัมผัสได้ถึงความอุ่นชื้นของหยาดเหงื่อที่เกาะพราวอยู่ทั่วใบหน้า ผมจะค่อยๆ เลื่อนมือลงต่ำสัมผัสกับหัวใจที่ยังคงเต้นอยู่ นี่คือสิ่งเดียวที่ผมมันใจว่าผมยังไม่ตาย ผมค่อยๆ กวาดสายตามองสำรวจไปยังบริเวณรอบๆ ตัวและพบว่าตัวเองอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคยสักนิด

โต๊ะ ตู้ หน้าต่าง พื้น หรือแม้กระทั่งเตียงที่ผมนอนอยู่ก็ยังบอกอะไรผมไม่ได้เลยว่าผมอยู่ที่ไหน

“ฟรานซิส.....”นั่นคือชื่อแรกที่ผมพึมพำออกมา แต่เสียงกลับเหือดแห้งราวกับเป็นใบไปแล้ว

ผมยังจำได้ วันนั้นคนที่อุ้มผมออกมาจากเหตุการณ์ชุลมุนวันนั้นเป็นเขา และตอนนี้ผมมั่นใจว่าเขาต้องอยู่ที่นี่แน่ๆ

ครั้งแรกที่ผมลุกขึ้นห้องทั้งห้องแทบหมุนคว้างให้ผมเห็น ทุกอย่างมันหมุนไปหมดผมต้องใช้เวลาสักพักจึงจะนำร่างตัวเองที่แทบจะไม่มีแรงเดินไต่ผนังห้องออกไป ผมพึ่งสังเกตว่าหลังมือข้างซ้ายของผมมีพาสเตอร์แปะอยู่ด้วยความสงสัยผมจึงแกะมันออกและพบว่าเหมือนจะเป็นร่องรอยของการสอดเข็มน้ำเกลือ ถึงจะเป็นสิบปีมาแล้วที่ผมไม่เคยต้องนอนโรงพยาบาล แต่ความรู้สึกและร่องรอยมันบอกผมได้จากประสบการณ์วัยเด็ก

บันใดวน?

คำถามผุดขึ้นเมื่อสิ่งที่ผมเห็นตรงหน้ามันยิ่งสร้างความไม่คุ้นเคย ผมใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อพาตัวเองลงมาสู่ด้านล่าง ดีเท่าไหร่แล้วที่ผมไม่โยนตัวเองลงมาจากชั้นสองเพราะสิ่งนี้

ด้านล้างก็เช่นกันมันเงียบสนิท ราวกับไม่มีคนอาศัยอยู่ บ้านออกตั้งกว้างแต่เงียบแบบนี้มันก็ไม่ต่างจากหนังสยองขวัญสักเท่าไหร่
“ขอโทษครับ.....มีใครอยู่รึเปล่า”ผมพยายามแปล่งเสียงที่แหบพร่า และรู้เลยว่าตัวเองต้องการน้ำ ผมมองไปทั่วก็แล้วแต่ก็ยังไม่เจอกับใคร ผมจึงเดินแตร่ตามหาห้องครัวและในที่สุดก็เจอ สิ่งที่ผมทำไม่ได้ต่างไปจากคนที่เพิ่งเดินออกมาจากทะเลทรายที่ร่างกายต้องการดื่มน้ำ ผมกินน้ำเข้าไปเกือบหมดเหยือก ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งพิงตู้เย็นในมือยังถือแก้วน้ำที่ยังไม่ยอมวาง
ผมยกแก้วน้ำขึ้นตรงหน้ามองเหม่อเข้าไปในแก้วใบใส พลางครุ่นคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจนหัวแทบระเบิด เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ผมกลับนึกถึงสิ่งที่ฟรานซิสพูดตอนนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“ผมไม่ได้สนใจหรอกว่า.....จะเป็นยังไง”

มันเป็นประโยคที่ทำผมรู้สึกเจ็บเป็นบ้า ทั้งๆ ที่ผมเองก็ควรจะรู้ดีอยู่แล้วว่าตัวผมสำหรับเขาไม่ได้มีความสำคัญอะไรมากมายอยู่แล้ว และยิ่งเขามารู้ว่าผมทำเรื่องแบบนั้น ผมเองก็ยังไม่รู้ว่าจะรอดไปได้สักกี่น้ำ เขาทวงผมกลับคืนจากไอ้แก่เฉินนั่นอาจจะอยากเป็นฝ่ายบีบผมเองเสียมากกว่า

ฮึ! ใครไม่แค้นก็บ้าแล้ว

“นายมาทำอะไรอยู่ตรงนี้”

“คุณ!”ผมเกือบเผลอทำแก้วหล่นจากมือเมื่อมองเห็นร่างสูงที่คุ้นเคยผ่านแก้วใบใส ผมกำลังจะดันตัวขึ้นยืน แต่ฟรานซิสกลับเดินมาหาเสียก่อน เขาย่อตัวลงให้อยู่ในระดับเดียวกันก่อนยื่นแขนสองข้างขังผมไว้ในลำแขนแกร่งนั่น ผมตาเบิกโพล่งมองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลายความกลัวเกาะกินหัวใจผมไปแล้ว 90 เปอร์เซ็น

ใบหน้าที่ที่ดูดุดันส่อประกายความโกรธผ่านแววตาคมกริบ เขามองผมอยู่นานแต่ไม่ได้พูดอะไร ก่อนมือหนาที่ยื่นคร่อมไหลผมกลับเลื่อนลงมากุมท่อนแขนผมทั้งสองข้างแล้วรั้งให้ยืนขึ้น

แก้วในมือของผมถูกฟรานซิสชิงมันไปแล้ววางไว้บนตู้เย็นใบสูงราวกับมันแกะกะขวางทางเขาเหลือเกิน และอีกครั้งที่คิ้วหน้าได้รูปขมวดเข้าหากันรับกับนัยน์ตาคมกริบจ้องมองผมไม่เลิก ในเมื่อคนที่ทนความรู้สึกอึดอัดนี้ไม่ได้คนแรกคือผม สิ่งที่ผมทำคือทำลายความเงียบตรงหน้านี้ซะ

 “คุณ คุณอยากจะพูดอะไรก็พูด อยากจะทำอะไรก็ทำเถอะ ผมรู้ว่าคุณรู้เรื่อง…..”ผมเว้นคำพูดเอาไว้ก่อนจะสูดลมหายใจรวบรวมความกล้าสบตาเขาอีกครั้ง“คุณคงรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดที่ผมทำแล้ว”ผมกำลังพยายามไม่มือสั่น ไม่ตัวสั่น และไม่เสียงสั่นเพื่อบอกคนตรงหน้าว่าผมกลัวแค่ไหน

“ใช่ ฉันรู้หมดทุกอย่างแล้ว รวมถึงเรื่องที่นายขโมยข้อมูลบริษัทส่งให้ผู้ชายคนนั้น”เสียงกร้าวไม่ได้ตะคอกดังแต่กลับแฝงไปด้วยโทสะเต็มเปี่ยม

“ก็ดีครับ ผมจะได้ไม่ต้องอธิบายอีก คุณจะทำยังไงกับผมก็เชิญผมจะไม่แก้ตัวอะไรทั้งสิ้น”

“ฉันไม่มีทางปล่อยนายแน่ธัน.....แต่ที่ฉันส่งสัย และคงมีแต่นายคนเดียวที่ตอบฉันได้นั่นก็คือ ทำไมนายถึงทิ้งปากกานั่นไว้ให้ฉัน”

“คุณก็รู้ว่าผมไม่ได้ฉลาดเท่าคุณ ผมก็แค่ลืมมันไว้”

“ลืม? ฉันจะเชื่ออย่างที่นายพูดก็ได้”ฟรานซิสเริ่มขยับตัวบ้างแล้ว เขายิ้มเยาะตรงมุมปากอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก ท่าทีของเขาดูไม่สุภาพเหมือนแต่ก่อน แต่นั่นแหละ....ผมจะหวังให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิมมันคงไม่มีทาง

และอีกครั้งที่ผมยังคงต้องผวา เมื่อเห็นฝ่ามือหนายื่นมาทางผม ไม่รู้เพราะด้วยสัญชาตญาณหรืออะไรทำให้ผมหลับตาสนิทนิ่งฝืนแกร็งทั้งใบหน้า แต่ปรากฏว่าสิ่งที่ผมคิดกลับผิดถนัด เมื่อมือหนากลับยื่นมาสัมผัสและเกลี่ยแก้มของผมราวกับเล่นเล่ห์และขยับเข้าหาผมเรื่อยๆ ทำให้ผมต้องเบี่ยงตัวหนีอย่างกังวลไม่รู้ว่าสีหน้าที่ดูไร้อารมณ์และดวงตาเฉยชาคู่นั่นกำลังคิดอะไร

“ในเมื่อยอมรับสารภาพมาขนาดนี้ แสดงว่านายคงเตรียมใจรับการลงโทษจากฉันแล้วสินะธัน?”

“จะเอาผมส่งตำรวจตอนนี้ก็ยังได้ หลักฐานทั้งหมดก็อยู่ที่คุณแล้ว ผมไม่เชื่อหรอกว่าคุณจะไม่เก็บมันไว้แล้วยื่นให้ไอ้แก่เฉินนั่นไปทั้งแบบนั้น”ผมหยุดขยับหนีได้เพียงมองฟรานซิสด้วยแววตาอิดโรย

“นายเป็นคนพูดเองนะว่าพร้อมจะให้ฉันลงโทษ”

“ครับ ในเมื่อคุณไม่ได้สนใจว่าผมจะเป็นยังไง”

ผมอยากจะตบปากตัวเองเหลือเกินที่เผลอเอาความคิดประชดประชันแบบนั้นมาพูด

“ใช่ ฉันไม่สนว่านายจะเป็นยังไง หรือคิดยังไง”ท่าทางที่ฟรานซิสแสดงออก ราวกับเขาสามารถคว้ามีดเล่มใดเล่มหนึ่งในห้องครัวแล้วใช้มันปาดคอผมได้

เอาจริงๆ ผมเผลอมองหาทางรอดเพื่อจะหนีเอาไว้ซะแล้ว การเตรียมใจมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อย่างที่ผมทึกทักเอาเองเลยสักนิด

“..........”

“ฉันโกรธสุดๆ นายคงเข้าใจความรู้สึกของคนที่ถูกหักหลังดี และที่ฉันยอมทำเรื่องที่เสียเวลาพานายกลับมา ฉันก็มีจุดประสงค์ของตัวเอง”ร้อยยิ้มแสยะยังคงรุกผมไม่ห่าง ทำให้ผมที่ไม่คิดจะหนีรู้สึกกลัวจนเท้ามันขยับไปเอง

ไหนบอกว่าเตรียมใจให้เขาฆ่าให้เขาแกงแล้วไงวะ ทำไมพอเอาเข้าจริงๆ กลับกลัวจนหัวหนขนาดนี้!

“จุดประสงค์?.....ในเมื่อคุณเป็นคนลงทุนเอาตัวผมมาจากไอ้แก่เฉิน แน่นอนว่าคุณมีสิทธิ์จะทำอะไรกับผมก็ได้ ผมมันก็แค่ตัวปัญหาที่ทำให้คุณเดือดร้อนไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง”ถึงผมจะปากดีแต่ใจผมมันกลับอยากจะวิ่งหนี ผมไม่เคยรู้สึกกลัวฟรานซิสเท่าวันนี้มาก่อน ราวกับคนที่ผมไม่รู้จัก ดวงตาคมกริบที่เคยสะท้อนเงาผมในนั้นเวลานี้กลับดูว่างเปล่าและดุดันแผ่รังสีความเย็นยะเยือกบีบคั้นจิตใจ

“ฉันจะขอรับสิทธิ์นั้นเลยแล้วกัน.....”ร่างกายผมแข็งทื่อมองมือหนาที่ยื่นเข้ามา แม้จะไม่ทันสัมผัสผมก็แทบหายใจไม่ออก สีหน้าของผมคงซีดเผือกจนมองได้ชัดร่างสูงสง่าตรงหน้าจึงกระตุกยิ้มเยาะอย่างมีเลศนัย ผมตัวสั่นแทบจะหมดแรงยืนน้ำตาเกือบไหลพรากกลั้นหายใจสุดชีวิตในใจคิดไว้แล้วว่ายังไงก็หนีไม่พ้น

แต่ทว่าเมื่อมือหนาเข้าสัมผัสกับลำคอขาวซีดที่อุ่นร้อนซึ่งกำลังเชิดรั้งรอราวกลับไม่แกรงกลัว ทุกอย่างกลับไม่เป็นไปตามที่คิด แทนที่มือใหญ่คู่นั้นจะออกแรงบีบตัดช่องทางหายใจแต่เขากลับโอบรั้งเอาไว้ราวกับทะนุถนอม แต่กลัและใช้วิธีอื่นช่วงชิงอากาศที่ผมหายใจด้วยการกดริมฝีปากหนาเข้าฮุบอากาศที่ผมเพิ่งจะสูดหาบใจเป็นครั้งสุดท้ายไปต่อหน้าต่อตา
 
หากไม่มีความรู้สึกใดๆ ผมคงจะเสียสติไปแล้ว ทว่าครั้งนี้ผมกลับสับสน มึนงง คาดเดาอะไรไม่ถูกจากการกระทำของคนตรงหน้าเลยสักนิด เมื่อครู่เขาแสดงออกว่าแทบอยากจะฉีกผมเป็นชิ้นๆ เลยด้วยซ้ำแต่ว่า ทำไมตอนนี้?

“คุณ คุณไม่ได้จะบีบคอผมรึไง”ผมถามออกไปอย่างเปิดเผย สีหน้าก็พอรู้แล้วว่าผมสับสนแค่ไหน ท่าทางของผมมันคงตลกมากสินะถึงทำให้ฟรานซิสถึงกับพ่นเสียงหัวเราะออกมาได้

“บีบคอ....นายคิดว่าฉันจะทำอย่างนั้นรึไง”แววตามันฟ้องว่าเขากำลังเล่นตลกกับผม ผมปรับอารมณ์ไม่ถูกจริงๆ เรียกได้ว่าช๊อคกลางอากาศก็ยังได้

“ก็ ก็คุณ”ผมเอื้อมมือขึ้นไปจับมือหนาที่ยังคงครอบครองลำคอขาวผมไม่ปล่อย แต่คราวนี้เข้ากลับขยับนิ้วโป้งเข้าเกลี่ยแก้มของผมทั้งสองข้างราวกับมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

“ฉันบอกนายรึไงว่าฉันจะทำแบบนั้น”

“ก็คุณดูโกรธผม แล้วคุณยัง!”

“ยัง?”

“คุณทำท่าอย่างกับจะฆ่าผม”

“แล้วอะไรอีก?”คนตรงหน้าเพียงรั้งรอให้ผมพูดทั้งหมด เขาดูตั้งใจฟังแถมยังมองผมซะชิดใกล้อีก

“คุณพูดเองว่าคุณไม่ได้สนใจว่าผมจะเป็นยังไง และคิดยังไงด้วย”ผมก้มหน้างุดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น พลันทำให้ผมฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้

“นั่นสินะฉันพูดแบบนั้น.....”

“หรือว่าคุณ แค่อยากจะแกล้งผม”

“ใครบอกฉันแกล้ง แต่ฉันโกรธนายจริงๆ ต่างหาก แต่พอเอาเข้าจริงๆ ฉันจะไปโกรธคนที่โดนหลอกใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้ยังไง ฉันเองก็มีส่วนผิด”

“คุณว่าผม! ผมเข้าใจว่าโดนหลอกคืออะไร แต่หลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่ามันหมายความว่ายังไง”ผมขยับแต่ฟรานซิสยังจับผมไม่ปล่อย ซ้ำร้ายยังรั้งใบหน้าผมให้สบตากับดวงคาคมกริบนั่นอีก ก่อนที่เขาจะเฉลยอะไรบางอย่างให้ผมเข้าใจ

“แผนการทั้งหมด ถ้านายสงสัยสักนิดน่าจะรู้ว่าใครกันที่ตามดูนายอยู่ตลอด”

“.....”ผมอ้าปากเหวอมองฟรานซิสอย่างหวาระแวงระคนงุนงง

“ไม่ขอบคุณฉันหน่อยรึไงที่ช่วยให้นายได้ข้อมูลนั่นไปให้กับคนๆ นั้น”

ผมยิ่งพูดอะไรไม่ออกเมื่อฟรานซิสพูดแบบนั้น ถึงว่าทำไมคนที่รอบคอบอย่างฟรานซิสกลับทิ้งรหัสค้างไว้ แถมข้อมูลที่ได้มาก็เป็นไวรัสที่แทบจะทำลายทั้งระบบเครือข่ายนั่งคงเป็นฝีมือใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่เขา

“คุณ.....คุณทำผมทึ่งจริงๆ ยังมีอะไรอีกมั้ยที่ผมยังไม่รู้”ผมแทบทรุดทั้งยืนครุ่นคิดในสิ่งที่ผ่านมาอย่างไม่อยากจะเชื่อหู ผมแทบอยากจะกำหมัดแน่นแล้วเหวี่ยงใส่ฟรานซิสซะเหลือเกินถ้างานนี้ผมเป็นผู้บริสุทธิ์ร้อยเปอร์เซ็น

เอาเข้าจริง ผมเริ่มชักไม่แน่ใจแล้วว่าใครกันแน่ที่ถูกหักหลังหรือหลอกใช้ ผมเริ่มมองเห็นความโง่ดักดานของตัวเองขึ้นมาชัดเจนก็วันนี้

“ยังมีอีกเยอะแต่ไม่ต้องรีบร้อนจะรู้ก็ได้”

“ไม่! ผมอยากรู้ตอนนี้ คุณเล่ามาให้หมดเลย”ผมเขย่าตัวเขาราวกับจะให้เขาคายความลับทั้งหมดออกมา

ผมขอเจ็บทีเดียวเลยจะดีกว่าในเวลาที่ผมพอจะรับได้

“ถ้าหากอยากรู้.....ฉันจะค่อยๆ เล่าให้นายฟังบนเตียงนุ่มๆ จะดีกว่า”

“ฟรานซิส!”ผมร้องเสียงหลงเรียกชื่อผู้ชายตรงหน้าราวกับฟ้าจะถลม เมื่อจู่ๆ ฟรานซิสก็ช้อนตัวผมขึ้นแล้วจัดการนำตัวผมพาดบ่าเตรียมพาออกไปจากห้องครัว แค่เขาอ้าปากผมก็รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร นี่มันใช่เวลามาทำเรื่องแบบนี้มั้ย!

“ปล่อยผมลงนะ! คุณต้องบอกเรื่องทุกอย่างให้ผมฟังสิไม่ใช่ทำกับผมแบบนี้!”ผมดิ้นพรากอยู่บนไหล่แกร่งนั่นอย่างกับจะถูกโยนขึ้นเขียง แต่ผมมันอยู่ในกรณีโยนขึ้นเตียงที่โหดร้ายกว่าเขียงเยอะเป็นไหนๆ

อาจเพราะร่างกายของผมมันรู้หน้าที่สิ่งที่ผมไม่คิดว่ามันจะมีประโยชน์ก็กลับช่วยผมไว้

“โครกกกก......”

เสียงท้องร้องที่ดังอย่างกับเสือคำราม ผมแน่ใจว่าฟรานซิสคงได้ยินเต็มสองหูเขาจึงหยุดชะงักและวางผมลงกับขอบโต๊ะมองผมด้วยสีหน้าอ่อนใจ ผมมองฟรานซิสที่ยกมือขึ้นเสยผมนุ่มละเอียดนั่นแล้วผมก็ส่งสายตาวิงวอนออกไป เขารับรู้ในทันที พร้อมกับพยักหนาเบาๆ ตอบรับความต้องการของผม

“ฉันจะให้คนทำอาหารให้นายก็แล้วกัน”

“ขอบคุณ.....”ผมเก็บร้อยยิ้มผู้ชนะไว้ลึกสุดมุมปากลอบมองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลุดโล่ง ครั้งนี้ผมอาจจะรอด แต่ครั้งหน้าผมจะใช้วิธีไหนนี่สิ แล้วเรื่องสะเทือนจิตใจที่เพิ่งจะสิ้นสุดเขาไม่คิดบ้างเหรอว่าผมควรจะได้รับความเห็นใจและเขาควรจะขอโทษผมสักคำ เพราะเขาก็หลอกผมมาตั้งแต่แรกที่ผมเหยียบเข้ามาในชีวิตเขาเหมือนกัน

แต่.....ถ้าเขาบอกว่าผมเองต่างหากที่เข้ามาหลอกเขาก่อน ซึ่งมันก็คือความจริง แล้วแบบนี้ตกลงใครผิดใครถูกกันแน่เนี้ย!!!




>>>>>to be continued :bye2:

ออฟไลน์ colorofthewind21

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-1
งือออออ o13

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
ธันโดนลงโทษหนักแน่ๆ

ออฟไลน์ matame

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 706
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-1
เป็นเนื้อหาที่น่าติดตามมากแถมยาวอีก ชอบๆๆ :-[

ออฟไลน์ brookzaa

  • Chill out
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-6
ไขคดีแล้ว เรื่องจะเป็ยังไงต่อล่ะทีนี้ :katai1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด