The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 44 ซาซากิ ฮาจิเมะ (29/08/2018)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 44 ซาซากิ ฮาจิเมะ (29/08/2018)  (อ่าน 41849 ครั้ง)

ออฟไลน์ GreenHead(หัวเขียว)

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
    • Green Head - หัวเขียว

ตอนที่ 9
เหตุการณ์ไม่คาดฝัน

          ก่อนหน้านั้นไม่กี่นาที

          “ใครอย่างนั้นหรือแร็กนาร์ พี่ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย”   รูร์กัสเอ่ยถามขึ้นอย่างแผ่วเบาหลังจากที่ทั้ง 4 คน เดินเข้าไปชิดผนังข้างประตูตามที่แร็กนาร์สั่ง   เขาเงี่ยหูฟังแต่ก็ไม่ได้ยินเสียงสิ่งใดเลย   และอาจจะเป็นเพราะเสียงฝีเท้านั้นเบามาก   อีกทั้งยังไม่พ้นหัวมุมทางเดินที่หักเลี้ยวมาทางห้องนี้ด้วยซ้ำ  ทำให้ไม่มีใครได้ยินนอกจากแร็กนาร์

          “ใช่    ข้าก็ไม่ได้ยิน”   ฮิโรกิกล่าวเสริม  เมื่อลองเงี่ยหูฟังบ้างก็ไม่ได้ยินเสียงใดๆเช่นกัน แม้เขาจะเป็นปีศาจที่ประสาทการรับรู้ดีกว่ารูร์กัสที่เป็นมนุษย์ก็ตาม

          “มีแน่...เงียบก่อน  และถ้าหากคนผู้นี้มีท่าทีว่าจะเปิดประตูเข้ามาด้านใน  ให้พวกเจ้ากลั้นหายใจทันที”  แร็กนาร์สั่งออกมาอีกอย่างแผ่วเบา   และเร่งรีบ   เมื่อเสียงฝีเท้านั้นเริ่มใกล้เข้ามา   ผ่านหัวมุมหักเลี้ยว แล้วตรงมายังห้องนี้

          “เหตุใดต้องกลั้นหายใจด้วยเล่า”  ฮิโรกิถามขึ้นอีกครั้ง  เมื่อไม่เข้าใจในคำสั่งนี้ของแร็กนาร์

          “เจ้านั่นเก่งมาก...แม้แต่ลมหายใจก็อาจจะสัมผัสได้  แม้ยานี้จะช่วยซ่อนร่าง  และกลิ่นของเรา  แต่เสียงนั้นปิดบังไม่ได้...อยู่นิ่งแล้วเงียบได้แล้ว”  แร็กนาร์อธิบายสั้นๆง่ายๆ  แล้วรีบสั่งให้ฮิโรกิเงียบ  เมื่อเสียงฝีเท้ามาหยุดที่หน้าประตู  ตอนนี้หมดเวลาพูดคุย ได้ได้ภาวนาเท่านั้น

          “ท่านเคียวจิ...เกิดสิ่งใดขึ้น” เสียงของชายคนนั้นดังขึ้นอย่างตกใจเมื่อเห็นเคียวจินั่งหมดสติอยู่ที่หน้าประตู

          ครืดดดด!!

          “ท่านหัวหน้า!!” เสียงเปิดประตู และเสียงตะโกนที่ดังขึ้นพาให้หัวใจของเด็กทั้ง 4  แทบหยุดเต้น

          ซาดาโอะที่ปรึกษาประจำกลุ่มยาฉะ   ร้องตะโกนออกมาด้วยความเป็นกังวล  และห่วงว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นในห้อง  เมื่อพบว่าหัวหน้าของตนยังนอนอยู่บนฟูกเช่นเดิม  ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนไป   ซาดาโอะก็กวาดสายตาไปรอบห้อง ทีละส่วน ๆ อย่างใจเย็น เมื่อความปกตินี้  ตั้งอยู่บนความไม่ปกติใดๆ

          ตึ้ง  ตึ้ง ตึ้ง

          เสียงฝีเท้าอันเร่งรีบของปีศาจหลายตน  กำลังมุ่งตรงมายังห้องนี้อีกครั้ง แร็กนาร์ยิ้มน้อยๆเมื่อดูเหมือนโชคจะเข้าข้างเขาเสียแล้ว เสียงฝีเท้านั้น ทั้งดัง  ทั้งหนัก เป็นการบ่งบอกได้อย่างดีว่า พวกที่กำลังมุ่งตรงมานั้นกำลังกระวนกระวายใจ จึงต้องเร่งรีบมาแจ้งคนสำคัญของกลุ่ม  อีกทั้งพวกมันยังเป็นแค่ลูกสมุนเล็กๆเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดหน้ากลัวเลย

          “ท่านซาดาโอะขอรับ เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว ...ขณะนี้พวกเวรยามที่เฝ้าประตูตะวันออก รายงานว่าพบนายน้อย แต่เมื่อตามไปกลับไม่พบสิ่งใด และพอกลับมาก็พบพวกที่ไม่ได้ออกไปไล่ตามนายน้อย แต่เฝ้าประตูเอาไว้เกิดอาการมึนเมา  ขาดสติ   รวมทั้งพวกเวรยามที่เฝ้าประตูทางเข้าบ้านใหญ่ด้านทิศตะวันออกด้วยขอรับ มีอาการไม่ต่างกัน” เวรยาม 5 นาย  เดินมาหยุดตรงหน้าของซาดาโอะด้วยความรีบร้อน  ก่อนก้มหัวลงเพื่อเป็นการทำความเคารพ แล้วเริ่มรายงานสถานการณ์ปัจจุบันให้ซาดาโอะ  ซึ่งเป็นคนออกคำสั่งแทนหัวหน้าใหญ่ในขณะนี้ทราบทันที

           เมื่อได้ฟังจนจบ  ซาดาโอะก็เริ่งลังเล แต่พอกวาดสายตาดูในห้องอีกครั้งก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ  จึงตัดสินใจที่จะเลิกสงสัย แล้วไปสนใจแก้ไขปัญหาที่นายน้อยของตนกำลังก่อขึ้นแทน

           แร็กนาร์เองก็ได้แต่ไล่ซาดาโอะในใจ   ด่าอย่างหยาบคาย  ทั้งยังสาปแช่ง  เพราะรูร์กัสเริ่มจะทนไม่ไหว ขณะนี้รูร์กัสกำมือของแร็กนาร์แน่น เขาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา  กลั้นหายไจได้ไม่กี่นาทีเท่านั้น   แร็กนาร์ไม่โทษสิ่งใดรูร์กัส ไม่มองว่าเป็นภาระ  เพราะสถิติสูงสุดในการกลั้นหายใจของมนุษย์นั้นคือ  22.22 นาทีแม้จะยาวนาน แต่นั้นเป็นสถิติระดับโลกของคนที่ฝึกฝนอย่างเอาเป็นเอาตายเท่านั้น ส่วนคนปกติจะกลั้นหายใจได้นานที่สุดเพียง 3-5 นาที และแร็กนาร์เองก็กลั้นหายใจได้ยาวนานที่สุดเพียง 9.13 นาที  ไม่อาจทำได้เท่ากับคนที่คลุกคลีอยู่กับน้ำแบบนั้น

           “หึ เพียงแค่ท่านหัวหน้าใหญ่ล้มป่วย ก็ทำให้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นอย่างนั้นรึ พวกเจ้าช่างไม่ได้เรื่องเสียจริง  เจ้านำข้าไป ส่วนพวกเจ้าที่เหลืออยู่เฝ้าห้องของท่านหัวหน้า...อ่า  รวมทั้งทำให้ท่านเคียวจิฟื้นคืนสติด้วย” ซาดาโอะชี้ไปยังลูกสมุนหนึ่งในนั้นให้นำทางตนไป ก่อนจะสั่งให้พวกที่เหลืออยู่เฝ้าห้องๆนี้

           “รับทราบครับ”  พวกมันตอบรับคำสั่งอย่างไม่อิดออด ก่อนลูกสมุนคนที่ถูกเลือกจะผายมือกล่าวเชิญให้ซาดาโอะตามตนไป

           “หายใจได้” แร็กนาร์สั่งด้วยเสียงแผ่วเบาให้ได้ยินเพียงแค่พวกเขา เมื่อซาดาโอะเดินออกไปในระยะที่ปลอดภัย

           ตอนนี้เด็กน้อยทั้ง 4 ไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อกัน ทำเพียงกอบอากาศหายใจเข้าปอดอย่างช้าๆและไม่เร่งรีบมาก  เพราะหากหอบหายใจอย่างที่ใจอยาก  แม้จะเป็นเพียงลูกสมุนเล็กๆก็อาจจะได้ยินสียงของพวกเขาได้

           “อืม...เรามาช่วยกันคิดก่อนเถอะ ว่าจะทำเช่นไรให้ท่านเคียวจิฟื้น หากท่านซาดาโอะกลับมาแล้วท่านเคียวจิยังไม่ฟื้น พวกเราต้องโดนลงโทษเป็นแน่” หนึ่งในลูกสมุนสี่คนกล่าวขึ้น เมื่อยืนส่งซาดาโอะจนลับสายตาไป พวกมันลืมกระทั่งปิดประตูห้อง เพราะมัวแต่สนใจคำสั่งที่สอง  อย่างเรื่องทำให้เคียวจิฟื้น...สมองของพวกมันคงจะความจำสั้นจริงๆ ช่างเข้าทางพวกเด็กๆเสียนี่กระไร

           “อืม...ลองตบหน้าดีหรือไม่” หนึ่งในนั้นเสนอความเห็นขึ้น ใช่แล้วตอนนี้พวกมันทั้งสี่ มัวแต่สนใจคำสั่งท่อนสุดท้ายของซาดาโอะ จนลืมสิ่งรอบข้างอย่างหมดสิ้น เมื่อคนหนึ่งชักนำ พวกที่เหลือก็ไหลตามอย่างง่ายดาย

           “ไม่ๆ  หากท่านเคียวจิฟื้น พวกเราโดนเชือดทิ้งแน่ หากทำเช่นนั้น”

           “แล้วจะให้ทำเช่นไรเล่า”

           “อ๊ะ  ข้ารู้แล้วๆ  ตักน้ำมาราดดีหรือไม่  แม้จะเปียกแต่ก็ไม่เจ็บตัว”

           “ดีๆข้าเห็นด้วย”

           “ถ้าเช่นนั้น เจ้าเสนอ   เจ้าก็ไปตักน้ำมา”

           “อ้าว ทำไมตัดสินใจเช่นนั้นเล่า ข้าเป็นคนคิด  เหตุใดต้องลงแรงด้วย”

           “ก็...”

           “หยุดๆอย่างเถียงกัน เดี๋ยวข้าไปเอง”

           “เออๆ รีบไปรีบกลับมาล่ะ  หากท่านซาดาโอะกลับมา  แล้วเรายังทำไม่สำเร็จต้องถูกลงโทษเป็นแน่”

           “ได้ๆข้าจะรีบไปรีบกลับ”

           เสียงสนทนาถกเถียงกันของลูกสมุนทั้ง 4  คน ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง   คนด้านในอย่างเด็กน้อยทั้ง 4 คน  ก็เริ่มผ่อนคลายเมื่อรับรู้ว่าพวกมันไม่ได้คิดที่จะเข้ามาภายในห้อง  และลืมกระทั่งปิดประตูเสียหมดสิ้น

           พวกลูกสมุนที่เหลืออยู่ 3  คน ช่วยกันพยุงร่างที่สลบไสลของเคียวจิออกจากหน้าประตูที่ร่างนั้นนั่งขวางอยู่ ก่อนที่พวกมันจะมุ่งความสนใจไปที่อาการของเคียวจิ  ไม่ได้มาสนใจที่ประตูทางเข้าอีก

           แร็กนาร์อยากรีบออกไปจากห้องนี้ แต่เขาก็ยังลังเล เพราะยังตรวจร่างกายของผู้นำกลุ่มยาฉะไม่เรียบร้อย ยังมีข้อสงสัย และสิ่งที่ต้องทำอยู่ แม้เขาจะทิ้งการรักษาชีวิตคน หันไปสังหารทำลายชีวิตผู้คนแทน  แต่ด้วยจิตสำนึกของหมอที่เขามี   เมื่อเริ่มรักษาใครแล้วก็จะทำให้เต็มที่ที่สุด  ต้องช่วยคนๆนั้นให้รอดชีวิตให้จงได้

           “ฮิเดะ ยื่นมือมา” แร็กนาร์สั่งให้ฮิเดโอะซึ่งนั่งอยู่ถัดจากรูร์กัสเล็กน้อยยื่นมือมาหาตน  เมื่อตัดสินใจบางอย่างได้

           ฮิเดโอะเองก็ไม่อิดออดยื่นมือออกไปทันที   เพราะเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ดีว่าต้องเร่งรีบมากขนาดไหน แร็กนาร์ใช้มือของตนสัมผัสฮิเดโอะ ก่อนจะใช้อีกมือหยิบห่อผ้าเล็กๆสีขาวออกมาวางไว้บนมือของฮิเดโอะ  ที่แร็กนาร์เลือกฮิเดโอะ เพราะเขาเชื่อว่าฮิเดโอะต้องพาพวกที่เหลือหลบหนีออกไปโดยไม่มีใครจับได้เป็นแน่

           “นี่คือผงมึนเมาที่ข้าใช้กับเวรยาม เจ้าเพียงโปรยมันออกไปใส่พวกนั้นในระยะประชิด มันก็จะออกฤทธิ์ในเวลาไม่กี่อึดใจ...เจ้าช่วยพาพี่รูร์กัส  กับฮิโรกิออกไปก่อน แล้วข้าจะตามไปหลังจากตรวจพ่อของเจ้าเสร็จ...ฝากเจ้าด้วย”  น้ำเสียงนั้นแน่วแน่ และเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมในตัวของฮิเดโอะแร็กนาร์เชื่อในความสามารถของเด็กตัวเล็กๆตนนี้

           “แต่แร็กนาร์  พี่ว่า...” รูร์กัสรีบห้ามปราม เมื่อแร็กนาร์กำลังตัดสินใจทำในสิ่งที่อันตราย

           “ไม่พี่รูร์กัส...ข้ารู้ว่าพี่รู้ว่าข้าแปลกไป...ได้โปรดเชื่อใจข้าแล้วตามฮิเดะออกไปก่อน...ข้าจะตามไปอย่างแน่นอน” แร็กนาร์ขัดขึ้นทันที  แม้ไม่รู้จะอธิบายเหตุการณ์นี้เช่นไร แต่แร็กนาร์ก็ขอให้รูร์กัสเชื่อใจตนเท่านั้น  เขาต้องเร่งรีบเพราะหากพวกมันเริ่มหันกลับมาสนใจห้องๆนี้ แล้วปิดประตูลง แม้พวกเข้าจะล่องหนอยู่ แต่หากเป็นเสียงเปิดประตู   หรืออยู่ดีๆประตูก็เปิดออก พวกมันต้องสงสัยเป็นแน่ ทั้งหากลูกสมุนที่ไปตักน้ำกลับมาเห็นพวกที่เหลืออยู่ไม่ได้สติ  ก็คงไปเรียกพรรคพวกมาเพิ่ม จะยิ่งเกิดเรื่องวุ่นวายเข้าไปอีก

           “ไปเถอะ”  ฮิเดโอะที่เข้าใจสถานการณ์ดี จึงเร่งให้รูร์กัส  กับฮิโรกิออกไปกับตน ฮิเดโอะรู้ดีว่าแร็กนาร์นั้นให้ความสำคัญกับผู้ป่วยของตนมากแต่ไหน แม้จะใจแข็ง   และชอบปฏิเสธ แต่เมื่อรับปากสิ่งใดไว้ ก็จะทำตามนั้นอย่างดีที่สุด แร็กนาร์รับผิดชอบชีวิตพ่อของเขา ส่วนเขารับผิดชอบชีวิตของรูร์กัส  และฮิโรกิ นั่นคือเจตนารมณ์จริงๆที่แร็กนาร์มอบให้

           ฮิเดโอะ   รูร์กัส และฮิโรกิ จับมือกันโดยมีฮิเดโอะเดินนำออกไปทางประตูด้านหน้า   พอเดินพ้นประตูออกมา ก็เห็นพวกลูกสมุนก้มๆเงยๆตรวจอาการของเคียวจิอยู่ที่ด้านข้างของประตู  ฮิเดโอะจึงใช้มือที่ว่างอยู่ ล้วงลงไปในกระเป๋าเสื้อด้านข้าง ที่บัดนี้มีห่อผ้าสีขาวใส่อยู่   เขาคลายผ้าออกเล็กน้อย   ก่อนจะกอบกำผงสีขาวขึ้นมา เดินอีกนิดให้ใกล้ลูกสมุนกลุ่มนั้น ก่อนจะโปรยผงสีขาวออกไป  รอไม่นานพวกมันก็เคลิบเคลิ้มดังเวรยามคนอื่นๆที่พวกมันเห็นเมื่อครั้งที่พวกมันเข้ามา

            แร็กนาร์เองก็เริ่มขยับตัว  เมื่อมั่นใจว่าพวกเด็กๆเดินผ่านบริเวณหน้าประตูไปแล้ว  แร็กนาร์เดินไปปิดประตูลงอีกครั้ง  เพราะเขาไม่อยากถูกรบกวน  และถึงแม้ว่าจะมีใครเข้ามา เขาก็สามารถเอาตัวรอดออกไปได้อยู่ดี  เมื่อจัดการสถานการณ์ทั้งหมดเรียบร้อย แร็กนาร์ก็เดินเข้าไปตรวจอาการของ ยาฉะ เบียกโกะ  หัวหน้ากลุ่มยาฉะอีกครั้ง

            แร็กนาร์นั่งลงข้างๆร่างของผู้ป่วยของตนตอนนี้ ก่อนจะโน้มตัวขึ้น  ใช้มือกดไปที่ร่างกายนั้น กดไล่ตั้งแต่ลำคอ  หลอดอาหาร  กระเพาะอาหาร  และลำไส้เล็ก  ก่อนจะหยุดลงที่สะดือ 

            ในแต่ละครั้งที่นิ้วของเขากดลงไปจะเกิดอาการกระตุกของกล้ามเนื้อในบริเวณนั้นๆ  โดยเฉพาะบริเวณสะดือ ที่เป็นศูนย์กลางของลำไส้  แร็กนาร์นั่งนิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนจะฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้  จึงใช้มือกดลงไปที่ร่างกายบริเวณของปอด และหัวใจ ความรู้สึกที่ได้รับนั้นบางเบา ใช่แล้วแม้ร่างกายจะกระตุกเกร็งในบางครั้ง แต่เมื่อสัมผัสดีๆจะรู้ได้ว่า  พวกมันทำงานช้าลง และในไม่นานพวกมันต้องหยุดทำงานเป็นแน่

            แร็กนาร์นำกระเป๋าสะพวกบนหลังมาเปิดออก แล้วล้วงหยิบหลอดแก้วที่เต็มไปด้วยน้ำสีดำขึ้นมา เขาเตรียมของที่จำเป็น และคาดว่าต้องใช้ พวกนี้มาก่อนที่จะออกจากบ้าน  แร็กนาร์มองมันอย่างชั่งใจ  ตอนนี้เขาไม่รู้วิธีรักษา ยังต้องตรวจให้ละเอียดกว่านี้  ทั้งยังพิษที่ร้ายแรงถึงขั้นทำให้อวัยวะภายในค่อยๆหยุดทำงานนั้น ต้องรู้ส่วนผสมของพิษจึงจะแก้พิษได้  ตอนนี้หากอยากยื้อชีวิตของหัวหน้ากลุ่มยาฉะนี้ไว้มีแต่ต้องใช้พิษต้านพิษเท่านั้น

            แร็กนาร์เลือกที่จะใช้พิษที่ตนปรุงขึ้นตามตำราที่พบในห้องลับห้องนั้น  พิษชนิดนี้เข้าสู่ร่างกายผ่านกระแสเลือด  และไปกระตุ้นการทำงานของอวัยวะต่างๆในร่างกายให้ทำงานเร็วขึ้น   หากคนปกติถูกพิษชนิดนี้  ต้องเจ็บปวด  จนแทบละเบิดออกมาเลยทีเดียว  แต่หากคนที่อวัยวะภายในแทบจะตายไปแล้วนั้น  มันคงไม่ต่างจากยากระตุ้นมากนัก แม้จะไม่รู้ว่าจะได้ผลนานเท่าใด  แต่ก็ทำเพียงยื้อชีวิต  เพื่อรอเขาปรุงยาแก้เท่านี่เป็นทางเดียวที่จะประวิงเวลาออกไปได้

            แร็กนาร์หยิบเข็มฉีดยาออกจากระเป๋า 2  หลอด  แม้มันจะไม่ใหม่อะไร  เพราะถูกใช้ในการทดลองปรุงยาก่อนหน้านี้ แต่แร็กนาร์ก็ทำความสะอาดมันอย่างดี  ใช้อย่างทะนุถนอม  เพราะทั้งบ้าน มีอยู่เพียง 2 อันเท่านั้น เข็มฉีดยานี้ใหญ่เกินมาตรฐานเล็กน้อย คงเพราะการแพทย์ยังไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร หรือเข็มนี้เป็นเข็มรุ่นเก่าเท่านั้นก็เป็นไปได้ แร็กนาร์ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะต้องใช้เข็มที่ไม่ยืนยันความปลอดภัยแบบนี้กับร่างกายของมนุษย์ เพราะเข้าใช้มันกับสัตว์ที่จับมาได้เท่านั้น...

            ‘ไม่สิ ไอ้นี่มันก็เสือไม่ใช่เราะ  ใช่แล้ว ปีศาจเสือ ก็ไม่ต่างจากเสือหรอก เราไม่ผิดๆก็มันมีให้ใช้แค่นี้นี่นา’

            แร็กนาร์หาเหตุผลให้ตนเองได้ก็เร่งรักษาต่อ เขาจัดแจงดึงเชือกเส้นเล็กออกมาจากกระเป๋า แล้วมัดมันไว้ที่เหนือข้อพับของแขนของผู้ป่วยข้างตัว จากนั้นก็บรรจงทาบเข็มลงกับผิวเนื้อกดปลายเข็มเอียงลงเพื่อมุ่งตรงไปยังเส้นเลือด แล้วดันเข้าไปช้าๆ  เมื่อถึงตำแหน่งที่ต้องการก็ดึงสลิ้งของเข็มขึ้น เลือดสีแดงก็ค่อยๆไหลเข้าสู่เข็มฉีดยา จนเต็มหลอด จากนั้นแร็กนาร์ก็ค่อยๆดึงเข็มออก นำสมุนไพรห้ามเลือดมากดทับลอยเข็มไว้ แล้วนำเข็มนั้นใส่กล่องไม้ที่เตรียมเอาไว้ในกระเป๋า

            เมื่อจัดการเก็บเลือดแล้ว ก็ถึงขั้นตอนต่อไป แร็กนาร์นำเข็มอีกอันขึ้นมา พร้อมกับหลอดบรรจุยาพิษสีดำ จากนั้นก็นำเข็มทิ่มลงไปยังหลอดของยาพิษ  ดึงสลิ้งอีกครั้งยาพิษสีดำก็ค่อยๆไหลเข้ามา แร็กนาร์หยุดมือเมื่อได้เพียงครึ่งหลอด หากใช้มากกว่านี้ เขากลัวว่าร่างกายของผู้ป่วยจะทนไม่ไหว เขาทำเช่นเดิมวางเข็มลงบนผิวเนื้อข้างรอยเดิมแล้วดันเข็มเข้าไปยังตำแหน่งที่ต้องการ แต่ครั้งนี้ไม่ได้ดึงขึ้น แต่เป็นการดันลง เขาบรรจงกดสลิ้งเข็มช้าๆจนยาไหลเข้าสู่กระแสเลือดจนหมด แล้วจึงดึงเข็มออกมาเก็บไว้ในกระเป๋าเช่นเดิม ใช้ยาห้ามเลือดกดที่รอยเข็ม พร้อมทั้งดึงเชือกที่รัดแขนออก

            แร็กนาร์นั่งลงนิ่งๆจ้องมองร่างที่กำลังกระตุกเกร็งอย่างรุนแรงตรงหน้า ตอนนี้พิษทั้งสองชนิดกำลังสู้รบขบเขี้ยวกันอยู่ภายในร่างกายใหญ่โตนี้

           

ออฟไลน์ GreenHead(หัวเขียว)

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
    • Green Head - หัวเขียว
           
            ...             

            ตึ้ง ตึ้ง

            เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา แร็กนาร์จึงรีบกดนิ้วลงไปที่ข้อมือของผู้ป่วยเพื่อวัดชีพจร เมื่อพบว่าชีพจรเต้นเร็วขึ้นแล้วแร็กนาร์ก็วางใจ เขารีบเก็บของทุกอย่างลงกระเป๋า คลุมผ้าที่พรมด้วยยาล่องหน แล้วรีบเปิดประตูออกจากห้อง ทั้งยังปิดประตูให้ด้วยก่อนจะรีบเดินตรงไปยังหัวมุมหักเลี้ยวมายังห้องนี้ เพราะห้องนี้มีทางเข้าออกเพียงทางเดียวเท่านั้น

            แร็กนาร์เร่งฝีเท้าขึ้น แต่ก็ยังคงความแผ่วเบาเอาไว้ ผ่านลูกสมุนที่เดินตรงมาอย่างง่ายดาย โดนที่อีกฝ่ายไม่รู้สึกตัว

            ปึก!

             ครืดดดดด

             เสียงถังไม้กระทบพื้น กับเสียงประตูบานเลื่อนของห้องที่ถัดไปจากบริเวณหัวมุมเล็กน้อยดังขึ้นพร้อมๆกันด้วยมือของแร็กนาร์ แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นที่สนใจของลูกสมุนที่ทำถังนำตกเลย เพราะมันกำลังยืนตะลึงตะลานกับภาพตรงหน้า

             ขณะนี้สหายของมันต่างล้มลุกคลุกคานลงไปกับพื้น พูดจาเพ้อเจ้อ พร่ำเพ้อถึงเรื่องต่างต่างนานา ไม่ต่างจากพวกที่อยู่ด้านนอกเลย

              “เวรเอ้ยย เกิดเหตุอันใดขึ้น แย่แล้วๆพวกเราต้องโดนลงโทษเป็นแน่”

              แร็กนาร์ได้ยินเสียงกระวนกระวายของมันแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจสิ่งใดอีก จัดแจงเปิดประตูอีกบานก็เจอห้องซึ่งมีสภาพไม่ต่างจากห้องนี้มากนัก แร็กนาร์จำได้จากแผนผังว่าห้องว่างเปล่าเหล่านี้มีประตูเปิดออกไปเชื่อมต่อกันเสมอ เนื่องจากบางครั้งจะเลือกเปิดออกตามขนาดที่ต้องการเมื่อมีการใช้งาน

              แร็กนาร์เดินตามเสียงฝีเท้าเล็กทั้งสามคู่ที่แสนคุ้นเคยไปอย่างไม่เร่งรีบ แต่ก็ไม่ให้ช้าจนเกินไป   เมื่อตอนที่ตรวจอาการของหัวหน้าใหญ่กลุ่มยาฉะแร็กนาร์จะแยกประสาทรับรู้คอยฟังเสียงฝีเท้าของเด็กๆเสมอ  การตามไปจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา

              ทางนี้นับว่าน่าสนใจทีเดียวในตอนแรกที่ไม่อาจใช้ได้เพราะทุกครั้งที่เปิดประตูจะมีเสียงขอบประตูด้านล่างกระทบกับพื้นจนเกิดเสียงดังซึ่งอาจทำให้พวกมันได้ยิน แต่ในขณะนี้ด้านนอกเกิดเสียงดังอึกกระทึกคึกโครมเพราะพวกมันกำลังตามหาตัวคนร้ายที่บุกเข้ามาในอาณาเขตของมัน ยิ่งด้านนอกเสียงดังเท่าใด การเปิดประตูยิ่งไม่ได้รับความสนใจมากเท่านั้น

               แร็กนาร์เร่งรีบออกจากห้องเชื่อมต่อห้องสุดท้าย  เพราะยาล่องหนใกล้จะหมดฤทธิ์แล้ว  จากการคำนวณคร่าวๆน่าจะเหลือเวลาไม่ถึง 10 นาทีด้วยซ้ำ ทางที่ฮิเดโอะเลือกใช้หลังจากออกจากห้องเชื่อมต่อก็เป็นทางเดิมที่พวกเขาใช้เข้ามา แร็กนาร์จึงเร่งฝีเท้าขึ้นอีกด้วยความคุ้นเคย

               เสียงฝีเท้าของพวกปีศาจนั้นมีแต่ความเร่งรีบและสับสน ต่างจากของพวกเด็กๆที่มีเสียงฝีเท้าราบเรียบ และระมัดระวัง การเดินตามเสียงฝีเท้านั้นจึงไม่ยากต่อการแยกแยะของแร็กนาร์เลย แร็กนาร์หยุดชะงักเล็กน้อยเมื่อวิ่งมาถึงส่วนของสวนหย่อมด้านนอกตัวบ้าน

               ทางที่ฮิเดโอะเลือกเปลี่ยนไปเมื่อออกมาด้านนอก  ทางที่พวกเขาเลือกคือฝั่งตรงข้ามกับทิศเดิมที่พวกเขาเข้ามา  แร็กนาร์ยิ้มเล็กน้อยเมื่อฮิเดโอะเริ่มกลับมาวางแผนหลบหนีอีกครั้ง    ในครั้งนี้นั้นแร็กนาร์สังเกตได้ว่าฮิเดโอะเริ่มขาดความมั่นใจ คงเพราะได้เห็นการวางแผนของเขา  ที่ใช้เวลาน้อย  แต่เด็ดขาด และรอบครอบ จึงเกิดความละอายใจไม่กล้าแสดงความคิดเห็นใดๆที่ขัดต่อแผนการของแร็กนาร์

               ในตอนนี้ฮิเดโอะคงมีความมั่นใจขึ้นมาบ้างแล้ว จึงเริ่มเลือกเส้นทางหลบหนีเองโดยไม่ถามสิ่งใดแร็กนาร์ อาจจะเพราะสถานการณ์บีบบังคับ แต่เจ้าตัวจะรู้หรือไม่ว่าทางที่ตนเลือกนั้นดีไม่น้อยทีเดียว มันเป็นถึงหนึ่งในสองเส้นทางที่แร็กนาร์ลังเล แต่หากให้เลือกแร็กนาร์คงเลือกทางนี้ไม่ต่างกัน

               หากกลับออกไปทางประตูทิศตะวันออกต้องไม่พ้นพบกับชายที่ชื่อซาดาโอะเป็นแน่ แม้ในตอนนั้นจะมืดจนมองเห็นหน้าไม่ชัดเจนแต่ก็พอมองออกว่าเป็นชีตาร์เสือที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก หากวิ่งหนีต่อให้เป็นฮิเดโอะหรือฮิโรกิที่เป็นปีศาจเผ่าพยัคฆ์เช่นกันก็คงไม่อาจหนีพ้น

               หากเลือกออกไปยังประตูทิศเหนือก็คงไม่พ้นได้พบกับหน่วยลาดตะเวนที่เจ้าเคียวจิส่งออกไป เจ้าคนที่เป็นหัวหน้ากองเองก็มีฝีมือไม่น้อย การพบเจอกับกองนั้นย่อมนับว่าเป็นการเลือกที่ไม่ฉลาดเลย แม้จะเป็นทางที่ใกล้บ้านของแร็กนาร์ที่สุดก็ตาม และประตูทิศใต้ก็เป็นหนึ่งในสองประตูที่แร็กนาร์ลังเล แต่หากเลือกไปทางด้านนั้นก็คงจะเป็นการอ้อมเกินไป

               เมื่อเริ่มเข้าใกล้พวกเด็กๆมากขึ้นแร็กนาร์ก็เร่งฝีเท้าขึ้นอีก   ไม่ต้องกังวลเรื่องเวรยามเพราะตอนนี้พวกมันคงไปรวมตัวกันที่ประตูตะวันออก หรือไม่ก็หน้าห้องของหัวหน้าใหญ่แล้ว ทางที่ผ่านมาจึงเงียบสงัดไร้ซึ่งปีศาจตนใจเดินผ่าน

               “หยุดก่อน” แร็กนาร์หยุดวิ่งก่อนจะเรียกพวกเด็กๆด้วยเสียงที่ไม่ดังมากนักเมื่อไล่ตามมาทันแล้ว

               “แร็กนาร์เจ้าปลอดภัย”   เสียงของทั้งสามประสานกันกล่าวออกมาด้วยความดีใจจนเกิดเสียงดังขึ้น แร็กนาร์จึงได้แต่พ่นลมหายใจออกมา  พร้อมกับส่วยหัวเบาๆกับปฏิกิริยาซึ่งเต็มไปด้วยความกังวลของเด็กๆ

               รอบด้านไม่มีใครแร็กนาร์จึงไม่ได้ห้ามปราม  และไม่ได้รู้สึกโกรธแต่อย่างใด  เขารู้ดีว่าทำให้ทุกคนเป็นห่วง และรู้สึกดีไม่น้อยที่ได้รับความใส่ใจเช่นนี้   มันหาไม่ได้กับโลกเดิมเลยจริงๆ หากทำพลาดคือตาย ไม่มีใครมาคอยห่วงใยหรือกังวลเช่นนี้...ไม่สิพวกที่กังวลคงเป็นนายจ้างกระมัง  หึหึ

               “เจ้าจะ เอ่อ  เลือก  เอ่อ  เส้นทาง  คือ...” หลังจากเสียงแห่งความโล่งใจจบลง  เสียงที่แสดงถึงความไม่มั่นใจ  และคำพูดที่ยังไม่ผ่านการเรียบเรียงก็ดังขึ้นอย่างตะกุกตะกัก

               “นำทางต่อ...ทางที่เจ้าเลือกดีแล้ว  มั่นใจเถอะ” แร็กนาร์รู้ดีว่าฮิเดโอะเกิดความลังเลขึ้นมาอีก เมื่อได้พบเขา จึงไม่ได้ใจร้ายปล่อยผ่าน  แต่เลือกที่จะเน้นย้ำให้อีกฝ่ายมั่นใจในตัวเองมากขึ้น

              ‘เรานี่มันตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว รู้สึกจะใจอ่อนกับพวกเด็กๆเป็นบ้า  หรือเพราะเกิดเอ็นดูเหมือนลูกเหมือนหลาน...เฮ้ยๆนี่เราแก่แล้วเรอะ?’

               ความคิดที่แล่นมาในหัวของแร็กนาร์ยากที่เจ้าตัวจะทำใจยอมรับ    เขาจึงสะบัดหัวแรงๆเพื่อเป็นการไล่ความคิดนั้นออกไปจากหัว

               “ไปเถอะ วิ่งเลยยาใกล้จะหมดฤทธิ์แล้ว อย่างน้อยเราต้องออกไปให้พ้นกำแพงบ้าน” แร็กนาร์เลิกคิดเรื่อยเปื่อยแล้วหันมากล่าวเตือนพวกเด็กๆแทน  ทุกคนจึงรีบจับมือกันเอาไว้ แล้วเร่งฝีเท้าขึ้นวิ่งตรงไปยังประตูตะวันตกทันที

               “หยุดก่อน คนจำนวนมากกำลังวิ่งมาทางนี้”   แร็กนาร์กระตุกมือ และกล่าวบอกให้ทุกคนหยุดวิ่งก่อน

               “อีกแล้ว   แย่แน่แบบนี้เราจะหนีออกไปได้จริงหรือ”  ฮิโรกิกล่าวขึ้นอย่างกระวนกระวาย  สถานการณ์บีบบังคับมากเกินไป  คนที่ทำตามสัญชาตญาณอย่างเขาจึงคิดสิ่งใดไม่ออก และเริ่มจะยอมแพ้

               “ต้องเป็นซาดาโอะซังแน่...คนๆนั้นต้องคาดเดาความคิดของข้าออก...ข้าช่างไม่ได้ความจริงๆ” ฮิเดโอะ โทษตัวเองที่ไม่ได้คำนึงถึงบุคคลที่ชาญฉลาดอย่างซาดาโอะ ซาดาโอะเป็นถึงที่ปรึกษาของกลุ่มที่ท่านพ่อไว้ใจ ย่อมต้องเก่งกาจไม่แพ้ท่านพ่อเป็นแน่  แม้จะไม่เคยเห็นฝีมือของซาดาโอะก็ตาม ทำไมกัน ทำไมเขาถึงไม่คำนึงถึงความเป็นไปได้นี้ เขาไม่ได้บอกกล่าวแก่แร็กนาร์จนเกิดเรื่องราวใหญ่โตตั้งแต่ซาดาโอะโผล่มา ถ้าเขาบอกออกไปตั้งแต่ต้น แร็กนาร์คงวางแผนรับมือไว้อย่างแน่นอน ข้าช่างโง่เง่าเสียจริง...

               “หาที่หลบก่อน...พุ่มไม้นั่น” แร็กนาร์เรียกสติของคนที่กำลังคิดมากอย่างฮิเดโอะให้หลุดจากภวังค์ แล้วจึงบอกให้ทุกคนไปหลบหลังพุ่มไม้ซึ่งติดกับกำแพงบ้าน ตอนนี้ต้องหลบก่อนแล้วจึงค่อยคุยกับฮิเดโอะ

               “อย่าโทษตัวเอง...ข้าจะให้เจ้าเลือกเส้นทางต่อ” แร็กนาร์กล่าวอย่างราบเรียบไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆเมื่อสัมผัสถึงลมหายใจที่ปั่นป่วนของฮิเดโอะหลังจากนั่งลงหลังพุ่มไม้แล้ว ตอนนี้เจ้าตัวคงเริ่มโทษตัวเองอย่างหนัก การกระตุ้นให้กลับมาเป็นเช่นเดิมจึงเป็นสิ่งจำเป็น

               “แต่ข้า...เพราะข้า” ฮิเดโอะยังคงไม่ฟัง เขายังโทษตัวเองที่ไม่บอกกล่าวแก่แร็กนาร์ให้หมด แล้วยังเลือกเส้นทางผิดอีก

               “การตัดสินใจเลือกไม่สำคัญที่ถูกหรือผิด แต่อยู่ที่เจ้าจะแก้ปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่อย่างไรต่างหากสำคัญที่สุด...ข้าปลอบใจไม่เป็น คงได้แต่บอกว่าข้าเชื่อใจเจ้า ฮิเดะ” แร็กนาร์พยายามกลั่นกรองคำพูดเท่าที่จะคิดได้ แต่สุดท้ายก็ไม่รู้จะปลอบโยนอีกฝ่ายอย่างไรจึงได้แต่กล่าวบอกออกมาตรงๆเท่านั้น

               “ข้าก็เชื่อใจเจ้า ข้าไม่โทษเจ้าหรอกนะ” ฮิโรกิช่วยเสริม เมื่อคิดว่าคำพูดของตนนั้นมีส่วนผิดอยู่บ้าง และเขาก็รู้ดีว่าฮิเดโอะนั้นแม้จะดูเฉลียวฉลาด และมั่นใจในตัวเอง แต่เมื่อเจอกับคนที่อยู่ในวัยเดียวกันแต่มีความสามารถมากกว่าก็จะหมดความมั่นใจเสมอ

               “พี่ก็เชื่อ...พี่โตกว่าพวกเจ้า แต่การตัดสินใจครั้งนี้ของพี่กลับเป็นภาระของพวกเจ้า พี่ขอโทษ” รูร์กัสตัดพ้อเบาๆเมื่อเขาต้องคอยทำให้น้องๆเป็นกังวล และยังไม่อาจช่วยสิ่งใดได้อีก

               “คนเราล้วนมีสิ่งที่ทำได้ และทำไม่ได้แตกต่างกัน...อย่าคิดให้มากนักเลย” แร็กนาร์นั้นแม้จะไม่อยากยอมรับว่าตนเองแก่แล้ว แต่ก็อดที่จะรู้สึกเห็นใจพวกเด็กๆไม่ได้ จึงเอ่ยปากพูดในสิ่งที่ตนไม่คิดจะพูดออกมาเท่าไหร่นัก

               “อุ ฮ่าๆๆ เจ้าเนี่ย คำพูดช่างเหมือนกันท่านพ่อข้าจริงๆ” เมื่อแร็กนาร์กล่าวจบ ทุกคนก็เงียบลงก่อนที่ฮิโรกิจะหัวเราะออกมา แม้จะปิดปากเอาไว้ แต่เสียงก็ยังดังออกมาให้คนอื่นๆได้ยิน

               “จริงด้วย หึ ฮ่า อุ๊บ” ฮิเดโอะเองเมื่อคิดตามคำพูดของฮิโรกิก็คลายอารมณ์เศร้าหมอง อาจจะเพราะทุกคนบอกว่าเชื่อใจจึงเลิกโทษตัวเองด้วย และเมื่อยิ่งจิตนาการว่าแร็กนาร์เหมือนพ่อของตนก็เผลอหัวเรอะออกมา จนแทบจะลืมสิ่งอื่น แต่เมื่อนึกได้ก็ยกมือขึ้นมาปิดปากเอาไว้

               “เงียบซะ...ถ้าไม่อยากถูกข้าเชือดทิ้ง” แร็กนาร์ข่มขู่ออกไป แต่ใบหน้ากลับปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ และน้ำเสียงนั้นก็ไม่ได้แสดงถึงความโกรธแต่อย่างใด เขาเพียงช่วยผสมโรงไปกับพวกเด็กๆเท่านั้น รูร์กัสเองก็คลายกังวลไปบ้าง ฟังเสียงสนทนาของน้องๆด้วยรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเช่นกัน

               “ได้ๆ หึหึ ข้าคิดอะไรดีๆออกแล้ว” ฮิเดโอะที่คลายกังวลก็หัวเราะออกมาเบาๆ และเมื่ออารมณ์ดีขึ้น ความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัวทันที

               “ว่ามา” แร็กนาร์ตอบรับทันที เมื่อเสียงของฮิเดโอะกลับมาเต็มไปด้วยความมั่นใจดังเดิม

               “มีทางออกเล็กๆสำหรับเจ้าชิบะ สัตว์เสียงของพวกข้า อยู่ไม่ไกลจากประตูตะวันตกมากนัก  มันเป็นทางเล็กๆที่ไม่ค่อยมีใครสนใจ เราสามารถใช้ทางนั้นลอดผ่านออกไปได้ แต่เราคงต้องรีบแล้วก่อนที่พวกนั้นจะกระจายตัวกันตามหาจนถึงทางออกที่ข้าบอก ก่อนอื่นเพื่อความสะดวกในการวิ่ง  เราควรปล่อยมือจากกัน แล้ววิ่งเรียบไปกับกำแพง เมื่อถึงทางก่อนจะหักเลี้ยวไปยังประตูตะวันตกให้ทุกคนหยุด และสังเกตมุมล่างของกำแพง จะพบช่องเล็กๆสำหรับลอดผ่านไปได้ทีละคนอยู่ ข้าจะออกไปคนแรกเพื่อดูต้นทาง ส่วนลำดับที่เหลือข้าอยากให้เจ้าเป็นคนเลือกแร็กนาร์” ฮิเดโอะอธิบายแผนของตนอย่างละเอียดไม่ให้มีจุดขาดตกบกพร่อง  เพราะก่อนหน้านี้มัวแต่คิดถึงประตูทางออกทั้ง 4 ด้าน จนหลงลืมช่องทางเล็กๆเหล่านี้ไป

               “ฮิโรกิ พี่รูร์กัส  และข้า...ข้าจะระวังหลังให้เอง ส่วนพี่รูร์กัสข้าอยากให้อยู่ใกล้ๆข้า” แร็กนาร์ไม่วางใจในความปลอดภัย จึงอยากให้รูร์กัสอยู่ใกล้ๆตัวจะได้ปกป้องได้สะดวกมากขึ้น เพราะมีตัวแปรอย่างซาดาโอะอยู่เหตุการณ์จึงยากจะคาดเดา และหากว่าพวกเขาออกไปจากบ้านใหญ่ได้ ก็ยังอยู่ในเขตของหมูบ้านเฮียวจินคุระอยู่ดี การระแวดระวังจนถึงที่สุดจึงเป็นสิ่งจำเป็น

               “ตกลง...ไปกันเถอะ” ฮิเดโอะรับคำก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากพุ่มไม้คนแรก

               ‘ขอให้ทันทีเถอะ ยาจะคลายอยู่แล้ว  เพราะผ้าเริ่มแห้งยาก็เลยคลายก่อนกำหนดสินะ’

 
               “เร่งฝีเท้าเร็วเข้า ยาจะหมดฤทธิ์แล้ว” แร็กนาร์ส่งเสียงเร่งพวกเด็กๆหลังจากออกวิ่งมาไม่นาน  เมื่อมองเห็นว่าผ้าที่ใช้คลุมร่างกายอยู่เริ่มปรากฏออกมาบ้างแล้ว

               “ถึงแล้ว นั่นไง” อิเดโอะส่งเสียงด้วยความดีใจ หัวใจสั่นระทึกเมื่อรู้ว่ายาล่องหนกำลังจะคลาย เสียงแห่งความดีใจนี้จึงดังไม่น้อย

               “ได้ยินเสียงจากทางนั้น ท่านซาดาโอะทางนี้ขอรับ” แล้วเสียงลูกสมุนคนหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลซึ่งได้ยินเสียงของฮิเดโอะก็ดังขึ้น  เรียกให้ซาดาโอะเดินมาทางด้านที่พวกเขาอยู่

               “ออกไปเร็ว” ฮิเดโอะยืนตะลึงเล็กน้อยที่เขาเผลอส่งเสียงดังด้วยความดีใจ  ก่อนจะได้ยินเสียงเร่งเร้าของแร็กนาร์เรียกสติให้กลับมา  เจ้าตัวจึงรีบมุดลอดผ่านไป ตามด้วยฮิโรกิ

               “พี่รูร์กัสไปเร็ว” เมื่อแร็กนาร์รับรู้ว่าเด็กปีศาจทั้งสองผ่านไปแล้ว จึงเร่งเร้าให้รูร์กัสตามออกไป แต่แล้วเขาก็ต้องชะงักเมื่อรูร์กัสไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย

               “พี่รูร์กัส” แร็กนาร์ส่งเสียงเรียกรูร์กัสอีกครั้งเมื่อรับรู้ถึงความผิดปกติ ทั้งลมหายใจที่ปั่นป่วน ทั้งร่างกายที่แข็งทื่อไม่ต่างจากรูปปั่น เขาจึงเริ่มวิตกกังวล

               ผ้าที่รูร์กัสคลุมอยู่ค่อยๆหลุดออกจากมือเจ้าตัวหล่นลงสู่เบื้องล่าง ยาที่หมดฤทธิ์ลงแล้วจึงค่อยๆคลายลง ภาพที่ปรากฏแก่สายตาของแร็กนาร์คือ ใบหน้าซีดเผือกขาวซีด และสายตาเบิกกว้างอย่างตกตะลึงของรูร์กัส แร็กนาร์ไล่ตามสายตาของรูร์กัสหันมองตามสายตานั้นไปก็เจอกับปีศาจกลุ่มใหญ่ที่จ้องมองมาทางด้านนี้เป็นตาเดียว ก่อนจะหันกลับมามองรูร์กัสที่กำลังพึมพำพูดอะไรบ้างอย่าง

                “เจ้า...เจ้า...เจ้านั่น”

 

 

 

 
To Be Continued...

 

___________________________________________________________________

 

มาแล้วจ้าาาาา

ขอบคุณคนที่ตามมาอ่านถึงในนี้นะคะ

แล้วก็ขอคอมเมนต์เพื่อเป็นกำลังใจที่จะลงต่อหน่อยน้าาา

คนแต่งจะได้มีกำลังใจ คอมเม้นต์น้อย ไม่รู้ว่ามีคนอ่านจริงๆรึเปล่าหนอ?

ตอนต่อไป...ตอนที่ 10 ค้นพบพลัง

แร็กนาร์จะโชว์เทพอีกอย่างแล้ว รออ่านกันนะคะ หุหุ

พูดคุยและทวงนิยายได้ที่>>>https://www.facebook.com/greenheadzoro/
 :hao3:
 

ออฟไลน์ rinny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 517
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
ทำไมอ่านแล้วหัวร้อน คือทำไมจะทำไรมันต้องมีเหตุให้ลุ้นทุกทีสิเนี่ย แร็กนาร์นี่นับวันยิ่งใจอ่อนจริงๆ
แล้วพี่รูกัสแกเป็นไรของแกทำไมไม่หนีต่อ? แถมตัดจบที่ว่าหนีไม่ทันอีก หัวร้อนนน ต่อด่วนเลยค่าาา

ออฟไลน์ มาม่าหมูสับ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
 ว้าว สนุกค่ะ มาติดตามด้วยคน

ออฟไลน์ GreenHead(หัวเขียว)

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
    • Green Head - หัวเขียว
ตอนที่ 10
ค้นพบพลัง


            “เจ้า...เจ้า...เจ้านั่น”  เสียงของรูร์กัสติดขัดแทบฟังไม่ออกว่ากำลังกล่าวสิ่งใด สภาพของรูร์กัสที่แร็กนาร์ไม่เคยเห็นมาก่อน  ทำให้เขาต้องจ้องมองตรงไปตามสายตาที่เบิกกว้างดวงนั้น

            “พี่รูร์กัส...ไปได้แล้ว” แม้แร็กนาร์จะรู้ว่ารูร์กัสกำลังจ้องมองไปยังชายที่ชื่อ ‘ซาดาโอะ’ และยังสงสัยในความสัมพันธ์ของบุคคลทั้งสอง แต่เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะสนใจสิ่งเหล่านี้ ตอนนี้พวกเขาต้องออกไปจากที่นี่เท่านั้น

            ตึก  ตึก  ตึก

            เสียงหัวใจที่เต้นโครมคามทำให้รูร์กัสไม่ได้ยินแม้แต่เสียงเร่งเร้าของแร็กนาร์  ตอนนี้ในหัวของเขามีแต่ภาพใบหน้า   และท่าทางของซาดาโอะ  ภาพเหตุการณ์ที่เขาพยายามทำใจยอมรับกลับย้อนคืนอย่างไม่อาจห้ามไว้ได้ 

            ก่อนหน้านี้ในห้องนั้น เขาไม่อาจเห็นหน้าซาดาโอะได้ชัด เพราะในห้องนั้นแม้จะมีแสงจันทร์ให้ความสว่าง  แต่ภาพของชายตรงหน้ากลับถูกทาบทับไปด้วยเงาสีดำทะมึน  ทั้งในตอนนั้นเขาเองมัวแต่ห่วงเรื่องกลั้นหายใจจนไม่อาจมีความตั้งใจที่จะพยายามมองคนที่เปิดประตูเข้ามามากนัก

            ชายที่ชื่อ ซาดาโอะ นั้น แม้จะทาบทับไปด้วยภาพปีศาจที่บังคับพาตัวแม่ของเขาไป แต่กลับมีส่วนที่แตกต่างอยู่ ปีศาจตนนั้นร่างกายใหญ่โตกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่รูร์กัสก็แทนที่ความคิดนั้นด้วยความคิดที่ว่า ในเวลานั้นอาจจะเพราะตนตัวเล็กมากจึงมองปีศาจตนนี้มีร่างกายใหญ่โตก็เป็นได้  ในตอนนี้เขาโตกว่าครั้งนั้นมากแล้วจึงอาจมองในมุมที่แตกต่าง และยิ่งเวลาผ่านล่วงเลยไปจึงทำให้อีกผ่ายแก่ชราลง จึงไม่อาจคงความน่าเกรมขามเช่นเดิมเอาไว้ได้

            ซาดาโอะ แม้มีร่างกายไม่กำยำเท่าในความทรงจำของรูร์กัส แต่ก็เป็นชายที่มีรูปร่างมาตรฐานของบุรษเพศเช่นปีศาจแดนพยัคฆ์ทั่วไป  ซึ่งมีร่างกายใหญ่โตกว่ามนุษย์เล็กน้อยเท่านั้น รูปร่างเพรียวกระชับตามแบบฉบับของเสือชีตาร์ มีผิวสีขาวสะอาด ท่วงท่าดังกุนซือผู้ใช้สมองมากกว่ากำลัง  นั่นคือสิ่งที่ตะขิดตะขวางใจรูร์กัสเป็นอย่างยิ่ง

            ตามลำตัวมีลายจุดเป็นสีดำประปราย แม้จะถูกคลุมทับไว้ด้วยเสื้อผ้า แต่ก็มีบางส่วนให้ได้เห็น ปลายหางหนึ่งในสามมีวงแหวนสีดำ และมีปลายสุดสีขาวมันไม่ได้พันเอาไว้รอบเอว แต่หากปล่อยตกลงไปราบกับกางเกงที่สวมอยู่ บนใบหน้านั้นมีเส้นสีดำจากใต้หัวตามาที่มุมปากทั้งสองข้าง ดูแล้วแม้จะให้ความรู้สึกใจดี อบอุ่น แต่กลับแฝงไปด้วยแววตาเจ้าเล่ห์เพทุบาย

            สภาพของรูร์กัสที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าของแร็กนาร์นั้นเปลี่ยนแววตาที่ตกตะลึงกลายเป็นโกรธขึง ชิงชัง ปากก็ยังพร่ำบอกแต่ว่า ‘เจ้านั่น’  ด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปตามแรงอารมณ์ที่ประทุขึ้นอย่างช้าๆ

            ตั้งแต่วันนั้น  เมื่อ  8  ปีก่อน  แม้รูร์กัสไม่ได้โกรธแค้นเหล่าลูกครึ่ง หรือปีศาจเต็มตัว  แต่ที่เขาโกรธที่สุดกลับเป็นตัวของเขาเองที่แสนจะอ่อนแอ ไม่สามารถปกป้องท่านแม่ของตนได้ แม้เวลาผ่านไปเพียงไม่นาน  ท่านแม่ของเขาจะกลับมาอีกครั้ง  แต่มันก็ไม่อาจลบเลือนความรู้สึกที่ฝังรากลึกลงไปในจิตใจของเขาได้

            รูร์กัสติดอยู่ในวังวนแห่งความรู้สึกผิดที่ไม่อาจปกป้อง  และตนยังเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ปีศาจตนนั้นนำท่านแม่ไปได้   รูร์กัสหมั่นฝึกฝนอย่างหนักเพียงเพื่ออยากแข็งแกร่งขึ้น และทิ้งความอ่อนแอของตนไว้เบื้องหลัง แต่ผ่านไปปีแล้วปีเล่าก็ยังไม่อาจลืมเลือนความรู้สึกเหล่านี้ไปได้ เขาอยากปกป้องท่านแม่ที่ซ่อนคราบน้ำตาไว้หลังไปหน้าที่ยิ้มแย้มนั้น เขาอยากปกป้องท่านแม่ที่กลั้นเสียงสะอื้นแล้วสั่งลาอย่างอ่อนโยน   เขาอยากปกป้องท่านแม่ที่พยายามเข้มแข็ง เพื่อปกป้องตัวเขา...เขาอยากย้อนเวลากลับไปยังเหตุการณ์นั้นอีกครั้ง  แต่หากไม่สามารถทำได้  เขาจะขอทำมันในวันนี้! จะขอลบความรู้สึกว่าตนแสนจะอ่อนแอนั้นทิ้งไป!

            รูร์กัสลืมเลือนต่อทุกสิ่ง ลืมกระทั่งว่าตนมาที่นี่ด้วยเหตุใด  และตนกำลังทำสิ่งใดอยู่ ลืมเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลที่เคยตั้งไว้เพื่อความสบายใจของตน ปล่อยให้ความรู้สึกเหล่านั้นเข้าควบคุม ความรู้สึกที่ถูกซ่อนไว้เบื้องลึกของจิตใจมานานปี ในตอนนี้ความรู้สึกเหล่านั้นทะลักออกมาในคราเดียว เขาไม่คิดจะเสียใจแม้จะต้องจบชีวิตลง...

            “แกตาย!!” ร่างกายของรูร์กัสสั่นเทาด้วยความโกรธ ฟันก็ขบกัดกระทบกันเพื่อระงับอารมณ์ที่ไหลทะลัก ตั้งมั่นสมาธิจดจ่อพร้อมจะใช้พลัง พลังนี้เขาไม่คิดจะใช้หากไม่จำเป็น เพราะเขายังไม่อยากสังหารใคร  แต่ในตอนนี้มันต่างกัน เมื่ออารมณ์ความรู้สึกอยู่เหนือความนึกคิด เขาจึงไม่สนใจสิ่งใดอีก

            หลังจากประกาศกร้าวรูร์กัสก็นั่งลงกับพื้น ชันเข่าด้านขวาขึ้น พร้อมทั้งทาบทับมือทั้งสองข้างลงไปบนพื้นด้านหน้าของตน เริ่มเพ่งสมาธิทั้งหมดลงไปที่พื้นดิน  เริ่มตรวจสอบ สัมผัส มวล คุณภาพ  และลักษณะของมันอย่างถี่ถ้วน  ก่อนจะใช้พลังควบคุมบีบอัด รวบรวมจนดินส่วนหนึ่งตรงหน้าเหล่าปีศาจเผ่าพยัคฆ์ขยับ  และมีบางส่วนลอยตัวขึ้น โดยไม่ขาดจากฐานที่เป็นดินเชื่อมต่อกับพื้น ลักษณะคล้ายงูที่ชูลำคอขึ้นหมายจะกินเหยื่อ   สายเส้นดินเหล่านั้นถูกแรงควบอัดรัดแน่นไม่ต่างจากแส้เหนียวๆฟาดเข้าใส่กลุ่มปีศาจที่อยู่ตรงหน้าทันที

             “แย่แล้ว หลบเร็ว!” หลังจากเฝ้ามองสถานการณ์อย่างระแวงระวังมาสักพัก เมื่อเจอเข้ากับสถานการณ์ตรงหน้า ก็ทำให้พวกมันตระหนักได้ว่า แม้อีกฝ่ายจะเป็นเด็ก แต่ก็ไม่อาจดูถูกได้ เสียง เสียงหนึ่งกระโกนขึ้นหลังจากที่แผ่นของดินเริ่มล่วงหล่นฟาดทับมายังพวกมัน พวกมันบางส่วนหลบออกจากบริเวณนั้น แต่บางส่วนกลับเลือกที่จะพุ่งเข้าหาผู้ที่ทำร้ายมัน

             “อ้ากก  ช่วยด้วย ช่วยด้วย” พวกที่เลือกจะวิ่งเข้าใส่พอกระโดลงจากพื้นบ้าน เพียงเท้าแตะพื้นมันก็ถูกดินบริเวณนั้นดูดลงไปทันที

             ตี้ง ตี้ง ตึ้ง

             พื้นดินคล้ายแส้หลายๆสายฟวดลงไปในบริเวณนั้นอยากหนักหน่วง และต่อเนื่องโดยไร้ซึ่งความลังเลใด พวกที่กระโดนหลบพ้นก็เว้นระยะห่างอย่างคุมเชิงเพื่อรอโต้กลับ ส่วนพวกที่หลบไม่พ้นก็ถูกดินกลบทับจนกระอักเลือด

             “ป้องกันท่านซาดาโอะ! เร็ว!” ซาดาโอะหาได้ตอบโต้สิ่งใด มันหลบพ้นอย่างง่ายดาย แต่ก็ไม่คิดจะแสดงฝีมือของตน มันทำเพียงหลบอยู่ด้านหลังของเหล่าลูกสมุนที่คอยป้องกันด้านหน้าให้ รูร์กัสเห็นเช่นนั้นก็ลุกไล่หนักหน่วงขึ้น อารมณ์ที่อยู่เหนือเหตุผลนั้นช่างน่ากลัว เขาลืมกระทั่งคำนวณพลังกายของตน จนตอนนี้หน้าเริ่มชื้นเหงื่อ เหนื่อยหอบไปไม่น้อยเลย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดจะถอยกลับ

             แร็กนาร์ได้แต่ยืนตะลึงงั้น แม้เขาจะรู้อยู่แล้วว่าโลกใบนี้นั้นเต็มไปด้วยพลังวิเศษตามคำบอกเล่าของรูร์กัส แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นมันด้วยตาของตนเอง มันช่างน่าตกตะลึงจนเขาทำสิ่งใดไม่ถูกเอาเสียเลย รูร์กัสในแบบที่เขาไม่เคยเห็น แม้แต่เจ้าของร่างนี้ก็ไม่อาจเคยเห็นนั้น ไม่ตอบสนองต่อเสียงของเขาที่ส่งไปเลย เขาจึงทำได้แค่ถอยห่างออกมาเล็กน้อยคอยดูสถานการณ์ที่ไม่อาจละสายตาได้นี้

             ตู้ม!!

             เหมือนทุกอย่างถูกหยุดชะงัก เมื่อกำปั้นอันแข็งแกร่ง ของเคียวจิทำลายดินที่ถูกบีบอัดเป็นสายแส้นั้นลง  พวกมันบางส่วนโห่ร้องอย่างยินดีเมื่อหัวหน้าของมันปรากฏตัวขึ้น ส่วนรูร์กัสที่พลังกายเริ่มถดถอย ยิ่งตกใจกับเหตุไม่คาดฝันนี้เขาจึงหลุดจากสมาธิ ปล่อยให้ดินที่ควรบีบอัดกันอยู่ตกกระจายลงไปบนพื้น

             ดินที่ถูกคลายออกล่วงหล่นลงสู่พื้นดิน เพราะขาดสมาธินั้น ทำให้ผู้มีประการณ์การต่อสู่อย่างโชกโชนกับทุกเผ่าพันธ์ุอย่างเคียวจิรับรู้ได้ในทันที มันรีบฉวยโอกาสนี้พุ่งเข้าใส่รูร์กัสอย่างรวดเร็ว

             “พี่รูร์กัส ระวัง!!” แร็กนาร์ดังคนที่ตื่นจากผวังศ์ความคิด เขารีบร้องเตือนรูร์กัสในทันที เมื่อเห็นรอยยิ้มที่มุมปากของเคียวจิ ก่อนที่มันจะพุ่งตัวมาเสียด้วยซ้ำไป

             แร็กนาร์ในตอนนี้ไม่รู้ว่าตนควรทำสิ่งใด เขารู้เพียงว่าจิตสำนึกของเขายังไม่อาจยอมรับสิ่งเหนือธรรมชาติเหล่านี้ได้  เขาได้แต่ตื่นตระหนกไม่อาจขยับเขยื้อนเข้าไปช่วยเหลือรูร์กัส จึงได้แต่ร้องเตือนรูร์กัสให้กลับมาตั้งสติเท่านั้น

             เสียงของแร็กนาร์กระตุ้นให้เคียวจิเบนการโจมดีมาตามทางของเสียงที่ได้ยิน รูร์กัสที่ตระหนักถึงเรื่องนี้จึงเร่งรวบรวมสมาธิอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เขาสร้างกำแพงดินที่ไม่ใหญ่มาก ขนาดแค่พอป้องกันพวกเขาทั้งสอง ขวางกั้นการทำลายของเคียวจิเอาไว้

             ตู้ม!!

             กำแพงดินที่สร้างอย่างฉับพลันไม่แข็งแรงดี ทำให้ไม่อาจต้านแรงทำลายมหาศาลของเคียวจิได้ มันเห็นดังนั้นจึงง้างหมัดทำท่าทางจะโจมตีไปทางเดิมอีกครั้ง รูร์กัสตัดสินใจรวมสมาธิสร้างกำแพงเล็กๆป้องกันตัวแร็กนาร์ หากสร้างฉับพลับ สิ่งที่สร้างยิ่งเล็กก็จะยิ่งแข็งแรง

             เคียวจิสะแหยะยิ้มอย่างเย้ยหยัน เมื่อแผนการของมันเข้าทางอย่างง่ายดาย แล้วชะงักเท้าเบี่ยงตัวพุ่งเข้าหารูร์กัสที่ไร้ซึ่งการป้องกันใดๆในทันที

             ผั่วะ ตุบ

             รูร์กัสที่ตั้งรับสถานการณ์ไม่ทันจึงไม่อาจหลบหมัดที่พุ่งตรงมายังปลายคางของตนพ้น หมัดอันทรงพลังเมื่อกระทบร่างของรูร์กัส ร่างทั้งร่างก็ปลิวกระเด็นไปอัดกำแพงในทันที รูร์กัสกระอักเลือดออกมาคำโต ก่อนจะทรุดลงไปกองกับพื้นเบื้องล่าง

             เคียวจิไม่รอช้าพุ่งตัวตามไปหยุดอยู่ตรงหน้าร่างที่หมดสภาพนั้นในทันที มันใช้มือที่หนาใหญ่เพียงข้างเดียวจับไปที่คอของรูร์กัสที่พอดีมือแล้วยกขึ้น ยกร่างนั้นทาบกับกำแพง ให้หันหน้ามาเผชิญหน้ากับตนเอาไว้ รูร์กัสยังไม่สิ้นสติ แต่สตินั้นก็เริ่มเลือนรางเต็มที การถูกชกไปยังปลายคางซึ่งเป็นจุดตายของร่างกายทำให้รูร์กัสไม่อาจขยับร่างกายได้อย่างใจนึก

             “ใครส่งแกมา! ตอบ...ข้า” เสียงเหี้ยมนั้นกล่าวอย่างกดดัน จ้องมองรูร์กัสอย่างคาดคั้นในคำตอบ แต่ปลายประโยคกลับชะงักงันเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันรุนแรงที่ปรากฏขึ้นด้านหลัง

             แร็กนาร์ที่คลายอาการตกตะลึงหลังจากที่ร่างของรูร์กัสปลิวกระเด็นไปอันกำแพงบ้าน เขาได้แต่จ้องมองภาพนั้นอย่างไม่วางตา ภาพของรูร์กัสพี่ชายที่เขาวางใจที่สุด พี่ชายที่เขาปฏิญาณว่าจะปกป้อง พี่ชายที่คอยยิ้มให้เขาเสมอ บัดนี้ใบหน้านั้นกลับไร้ซึ่งรอยยิ้ม ปรากฎเพียงความเจ็บปวดแสนสาหัส ยิ่งมองภาพที่รูร์กัสกระอักเลือดออกมานั้น  แล้วยิ่งเห็นอาการปฏิบัติอย่างไร้ความปราณีนั่นอีก มันทำให้แร็กนาร์รูสึกชาวาบไปสุดขั่วของหัวใจ

             เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรวดเร็วมาก แต่ก็ใช่ว่าเขาจะมองตามไม่ทัน มันแทบจะเป็นภาพการเคลื่อนไหวอย่างช้าๆด้วยซ้ำในสายตาขอแร็กนาร์ ทั้งๆที่มองเห็น แต่กลับไม่สามารถทำสิ่งใดได้ แร็กนาร์เลือกที่จะไม่ตำหนิตนเอง เขาเลือกที่จะปล่อยจิตสังหารที่กักเก็บไว้ออกมาอย่างไม่ปิดกั้นสิ่งใดอีก

             น้ำยาล่องหนหมดฤทธิ์ลง ภาพต่างๆคลายออกแต่แร็กนาร์หาได้สนใจไม่ เขาคลายมือจากผ้าคลุมปล่อยให้มันตกลงข้างตัวอย่างช้าๆ โดยไม่ละสายตาจากการสบตาครั้งนี้ของเขากับเคียวจิ บัดนี้จิตใจของแร็กนาร์กำลังปั่นป่วนไปด้วยความกลัว เขากำลังกลัวการสูญเสียที่กำลังจะเกิดขึ้น จนไม่สนใจว่าตนจะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นนี้กับรูร์กัสอย่างไร

             แร็กนาร์หยิบมีดผ่าตัดด้ามหนาหนึ่งด้ามออกจากกระเป๋าข้างของกระเป๋าเป้ที่เขาสะพายอยู่ มีดเล่มนี้เขาคิดว่าไม่อาจใช้เป็นอาวุธได้ แต่เมื่อถึงคราวจวนตัวเช่นนี้มันกลับกลายเป็นอาวุธที่ดีที่สุดสำหรับเขา

             มือจับด้ามมีด สายตาจ้องมองเหยื่ออย่างไม่วางตา แม้อารมณ์ที่ครุกรุ่นไปด้วยความกลัว และความโกรธ แต่แร็กนาร์กลับยังคงสงบเยือกเย็นลงได้ เขาวิเคราะห์สิ่งต่างๆรอบด้านอย่างรอบครอบ แล้วเล็งไปที่จุดตายต่างๆบนร่างกายใหญ่โตนั้น

             ...

ออฟไลน์ GreenHead(หัวเขียว)

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
    • Green Head - หัวเขียว
             ...

             เคียวจิสัมผัสได้ถึงจิตสังหารของแร็กนาร์ตั้งแต่ยังไม่คลายผ้าคลุมออก จนถึงตอนนี้ก็ยังสัมผัสมันได้อย่างชัดเจน เป็นที่แน่ชัดว่าผู้ที่ปล่อยจิตสังหารมากมายนี้ออกมาคือเจ้าของร่างเล็กที่อยู่ตรงหน้านี้ แม้จะตกใจระคนสงสัยว่าเหตุใดเด็กตัวเพียงเท่านี้จึงปล่อยจิตสังหารที่รุนแรงขนาดนี้ได้ แต่แล้วมันก็มองข้ามความรู้สึกเหล่านี้ไป เมื่อสังเกตเห็นว่าแร็กนาร์เป็นลูกครึ่งที่ไร้พลัง และอ่อนแอ ทั้งอาวุธที่อีกฝ่ายถืออยู่นั้นช่างเล็กน้อยหาได้น่าหวาดกลัวไม่

             มันเลือกที่จะหันกลับไปจัดการกับรูร์กัสต่อ หาได้สนใจแร็กนาร์อีก แร็กนาร์จึงไม่รอช้าวิ่งเข้าหาเคียวจิอย่างไม่ลังเล มันแสยะยิ้มอีกครั้ง เมื่อคิดว่าเด็กน้อยเหล่านี้ช่างโง่เขลา ตกหลุมพรางง่ายๆเหล่านี้ครั้งแล้วครั้งเล่า   รูร์กัสที่เห็นสีหน้ามันอย่างชัดเจน จึงพยายามจะส่งเสียงเตือนแร็กนาร์ แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล เมื่อมันรู้ว่ารูร์กัสจะทำสิ่งใด มันจึงเพิ่มแรงบีบที่คอของรูร์กัสอีก จนเขาไม่สามารถส่งเสียงใดๆได้

              ขวับ

              เคียวจิพลิกตัวกลับพร้อมร่างของรูร์กัส มันใช้ร่างเล็กๆนั้นบังจุดที่คาดว่าแร็กนาร์เล็งเอาไว้อย่างไม่ลังเล หมายให้แร็กนาร์หยุดชะงัก หรืออาจพลาดพลั้งลงมือทำร้ายรูร์กัสแทน

              แต่มันกลับคิดผิด แร็กนาร์ไม่เพียงไม่หยุดชะงักในการกระทำของเคียวจิ เขายังเปลี่ยนแผนอย่างฉับไว เพราะเขาคาดเดาการกระทำนี้ได้จากนิสัยที่เคียวจิเผยออกมา  แม้มันจะหลอกล่อให้แร็กนาร์ติดกับดัก แต่แร็กนาร์ไม่ใช่คนโง่งมที่จะมีแผนเพียงแผนเดียว ในหัวของเขาจินตนาการการบุกเข้าโจมตี และเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นไว้มากมาย มันเป็นนิสัยที่มีติดตัวมาจากโลกเดิม เพราะอาชีพของเขานั้นต้องเสี่ยงตายตลอดเวลา การระแวดระวังจนถึงที่สุดจึงเป็นเรื่องที่เขาถนัดที่สุด

              แร็กนาร์หยุดฝีเท้าลงด้านหน้าร่างของรูร์กัสที่ห่างออกไปเพียงคืบ ก่อนย่อตัวลงแล้วใช้เท้าซ้ายเป็นหลักยันพื้นถีบสะปริงตัวออกไปทางด้านขวาซึ่งอยู่ในมุมอับสายตา จากนั้นลงปลายเท้าด้านขวาเป็นหลักยึดกระโดดเข้าไปด้านในของแขนซ้ายของมันที่จับตัวของรูร์กัสอยู่ แร็กนาร์กระชับมีดในมือแล้วเฉือนลงบนข้อมือด้านในของเคียวจิ หมายตัดเส้นเอ็นของคู่ต่อสู้

              เคียวจิเสียหลักเพราะไม่ทันตั้งตัว ด้วยไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะซ้อนแผนของตน เมื่อความเจ็บแล่นไปทั่วมือและแขน มือมันก็ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงปล่อยมือจากคอรูร์กัสในทันที

              หลังจากกระโดดเฉือนข้อมือของเคียวจิที่สูงขึ้นไปเหนือหัวของตน แร็กนาร์ก็พลิกตัวกลางอากาศภายในวงแขนของเคียวจินั้น ระหว่างตัวรูร์กัสกับเคียวจิ เมื่อได้จังหวะที่ควรก็ถีบไปที่ปลายคางของเคียวจิอย่างจัง นอกจากทำร้ายเคียวจิได้แล้ว แร็กนาร์ยังใช้การถีบครั้งนี้เป็นแท่นกระโดดไปคว้าตัวของรูร์กัสที่ทำกำลังร่วงหล่นลงไปบนพื้น นั่นทำให้เคียวจิเสียหลักล้มลงไปบนพื้นอย่างไม่อาจทำสิ่งใดได้

              ผู้ที่เฝ้ามองอยู่รอบด้านไม่ได้ยื่นมือเข้ามายุ่งแต่อย่างใด ด้วยเพราะพวกมันเชื่อว่าหัวหน้าของมันนั้นเก่งกาจ ไม่มีทางที่เด็กตัวเล็กๆนี้จะล้มได้เป็นแน่ พวกมันมองภาพที่เกิดขึ้นอย่างลุ้นระทึกใจจดใจจ่อแทบหยุดหายใจ รวมทั้งเด็กน้อยอย่างฮิเดโอะกับฮิโรกิด้วยที่บัดนี้โผล่หน้าเข้ามามองจากช่องที่ใช้ลอดออกไป พวกเขาอยากเข้ามาช่วย แต่ตระหนักดีว่า การต่อสู่นี้ตนไม่อาจยื่นมือเข้ามายุ่งได้ หากอยากช่วย ต้องรอจังหวะที่เหมาะสมเท่านั้น

              ฟึบ

              เท้าเล็กเหยียบย่างลงไปบนพื้นอย่างสวยงาม ดังเช่นว่าก่อนหน้านี้ตนไม่ได้ทำเรื่องใดๆเลย  แร็กนาร์หาได้รีบร้อนหนีจากเหตุการณ์ตรงหน้า ตอนนี้แม้อยากจะหนีก็คงไม่อาจหนีพ้น และตอนนี้ความโกรธของเขาก็ยังไม่ได้รับการปลดปล่อย เขาจึงต้องหาทางระบายออก ส่วนเรื่องอื่นๆค่อยคิดทีหลัง...

              “พี่รูร์กัส ท่านนอนพักก่อน...อ้าปากแล้วกลืนยานี่ลงไป” แร็กนาร์ยังคงไม่ยี่ระต่อสิ่งใด พอออกห่างจากเคียวจิพอควรก็วางรูร์กัสลง แล้วพยุงตัวรูร์กัสขึ้นเล็กน้อยเพื่อจะได้กินยาได้อย่างถนัด แล้วจึงนำยาระงับความเจ็บปวดแบบเม็ดที่เขาเตรียมไว้ออกมาจากกระเป๋า แต่ที่นำออกมาไม่เพียงยาระงับความเจ็บปวด แร็กนาร์ยังนำห่อยาอีกหนึ่งชนิดออกมาจากกระเป๋าเป้ด้วย จากนั้นก็ยัดมันลงในกระเป๋ากางเกง เมื่อเห็นว่ารูร์กัสกลืนยาลงไปแล้วแร็กนาร์ก็วางกระเป๋าลง ปลดสัมภาระเพื่อความคล่องตัวในการต่อสู่ที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้

              เมื่อได้ยินเสียงเคียวจิที่คำรามอย่างโกรธเกรี้ยว แร็กนาร์ก็ขยับห่างออกมาจากตัวของรูร์กัสเดินมุ่งตรงไปทางเคียวจิในทันที แร็กนาร์กระชับมีดในมือ แล้วจ้องมองเคียวจิอย่างไม่วางตาเช่นเคย

              ‘ข้อมือนั่นดูแล้วคงตัดไม่ถึงเส้นเอ็นสินะ น่าจะถึงแค่เส้นเลือดใหญ่ มือนั่นถึงยังใช้การได้อยู่ กะแล้วเชียวว่ามีดมันไม่คมพอ หึ คงต้องเฉือนที่ละส่วนๆให้เลือดไหลออกมาจนหมดสินะ

              แต่ที่สำคัญคงต้องให้ทรมานสมกับที่มันทำกับรูร์กัสก่อน แล้วค่อยปิดท้ายด้วยเส้นเลือดที่คอ หึหึหึ’

 
              แร็กนาร์จ้องมองแผลบนข้อมือของเคียวจิอย่างครุ่นคิด แล้วจึงวางแผนใหม่ เพราะก่อนหน้านี้ แร็กนาร์ยังคงคิดถึงข้อตกลงที่ให้ไว้กับฮิเดโอะว่าจะไม่สังหารผู้ใด เขาจึงหลีกเลี่ยงที่จะเล็งจุดตาย หมายแต่ให้อีกฝ่ายสลบเท่านั้น  แต่ตอนนี้ต่างออกไป แร็กนาร์มีแต่ความคิดที่จะฆ่าและทรมานอีกฝ่ายเท่านั้น

              ต่างฝ่ายต่างจ้องอีกฝ่ายอย่างไม่วางตาเพื่อรอให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเผยช่องว่างให้เข้าโจมตี ถ้าเผลอเปิดช่องว่างเพียงนิด ฝ่ายตรงข้ามต้องพุ่งเข้าใส่ก่อนอย่างแน่นอน

              แร็กนาร์แกล้งเปิดช่องว่าง  ทำเป็นหลุดออกจากสมาธิเสมองไปทางอื่นเล็กน้อย เขาหลอกล่อให้ฝ่ายเคียวจิติดกับดักบ้าง และเป็นไปตามคาด เคียวจิโกรธแค้นที่ทำให้มันเสียหน้าต่อเหล่าลูกสมุนเมื่อครุ่รีบพุ่งเข้าใส่ทันทีอย่างไม่ลังเล

              แร็กนาร์เห็นดังนั้นก็ไม่รอช้าพุ่งทะยานเข้าหาเคียวจิเช่นเดียวกัน แต่เพียงชั่วพริบตาร่างแร็กนาร์ที่เล็กกว่า เข้าไปในระหว่างแขนของเคียวจิอีกครั้ง ร่างของแร็กนาร์แทบจะชนกับร่างของเคียวจิ มันเห็นดังนั้นก็โถมตัวเข้าใส่หมายจะตะปปไปที่ลำตัวของแร็กนาร์ แร็กนาร์ย่อตัวหลบพร้อมทั้งใช้เท้าเตะไปที่ขาของมัน  ด้วยร่างที่เล็กกว่ามาก การหลบหลีกจึงไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด แร็กนาร์ใช้มือทั้งสองข้างของตนล็อกแขนของเคียวจิที่พุ่งมาหมายจะทำร้ายแร็กนาร์นั้น แล้วออกแรงเหวี่ยงมันไปด้านหน้า ตามแรงที่มันโถมเข้าใส่โดยอาศัยแรงของมันเอง

              พึก!

              เคียวจิสูญเสียการทรงตัว พุ่งกระเด็นไปกระแทกกับพื้นในทันที แร็กนาร์เองก็อาศัยจังหวะที่ร่างใหญ่โตนั้นลอยอยู่กลางอากาศหลบออกมาจากใต้ร่างนั้น พร้อมทั้งถอยห่างออกมาเล็กน้อย ยืนมองผลงานของตนอย่างชื่นชม

              ร่างใหญ่โตที่ล้มกระแทกพื้น ก้มหน้าลงล้มลุกคลุกคลานเป็นที่น่าขายหน้าเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งคิดถึงสายตานับสิบคู่ที่จ้องมองมันอยู่ มันยิ่งรู้สึกเสียหน้า และโกรธเคือง จนต้องตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง

              “แก!!” สายตาเดือดดานที่ใช้มองแร็กนาร์หลังจากเงยหน้าหันกลับมามองนั้นช่างเต็มไปด้วยไฟโทสะ และจิตสังหารนั่นช่างน่ากลัว จนพวกมันบางส่วนต้องลอบกลืนน้ำลายอย่างเสียไม่ได้ จินตนาการถึงร่างเล็กๆนั้นถูกฉีกกระชากแยกชิ้นส่วนด้วยมือเปล่าอันทรงพลังของหัวหน้าพวกมัน

              แต่มีคนๆหนึ่งที่คิดว่าการจะจัดการกับแร็กนาร์นั้นไม่ใช่เรื่อง่ายเลย มันจ้องมองร่างเล็กนั้นอย่างไม่วางตา แร็กนาร์เองก็สัมผัสถึงสิ่งนี้ แต่ก็ไม่ได้นำมาใส่ใจมากนัก เขาเพียงระแวดระวังเช่นเดิมก็เพียงพอแล้ว หากคนคนนั้นไม่คิดจะสอดมือเข้ามายุ่ง

              ซาดาโอะคิดไม่ต่างจากแร็กนาร์ พวกเขาต่างพิจารณาฝ่ายตรงข้ามจากเสียงฝีเท้า การลบล่องรอย การเก็บและปล่อยจิตสังหารเมื่อยามต่อสู้ จึงไม่อาจระสายตาจากร่างเล็กๆนั้นได้

              เคียวจิพลิกตัวยันกายจะลุกขึ้นอีกครั้ง แต่แร็กนาร์เร็วกว่าเขาอาศัยจังหวะที่มันพึ่งพลิกตัวเร็จกำลังลุกขึ้นยืนยังไม่เต็มที่ ทำให้เสียการทรงตัวได้ง่ายนั้น พุ่งทะยานทั้งตัวกดทับบริเวณอกของมันแล้วนั่งลงกดเอาไว้ เพื่อตรึงไม่ให้อีกฝ่ายลุกขึ้นมาได้

              แร็กนาร์ล้วงหยิบห่อยาที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมาเปิดออกแล้วกดมันทั้งห่อลงไปที่จมูกของเคียวจิอย่างรวดเร็ว จนอีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว ไม่ทันแม้แต่จะกลั้นหายใจ

              ยาคลายกล้ามเนื้อชนิดแรงพิเศษทั้งห่อถูกกดลงไปบนจมูกแบบไม่ผ่านสิ่งใด ถึงแม้จะเป็นปีศาจเผ่าพยัคฆ์ที่เป็นถึงระดับหัวหน้าหน่วยก็มีผลอยู่บ้างในระยะสั้นๆนี้

              เคียวจิเริ่มสะลึมสะลือ มองภาพใบหน้าเล็กนั้นซ้อนทับกันไปมา ร่างกายเองก็ไร้เรี่ยวแรงจนไม่อาจขัดขืนสิ่งใดได้ ไม่ว่าจะออกคำสั่งอย่างไร ร่างกายก็ไม่ยอมขยับเลยแม้แต่น้อย

              แร็กนาร์ปล่อยมือออกเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายได้รับยาในปริมาณที่มากพอแล้ว เขายืนขึ้นมองร่างที่นอนอย่างไร้เรี่ยวแรงนั้นอย่างพอใจ สิ่งที่ร่ำร้องในใจตอนนี้คือ อยากเห็นสีหน้าที่บิดเบี้ยวไปด้วยความทรมานของร่างที่อยู่ตรงหน้านี้

              ฉั๊วะ ฉั๊วะ ฉั๊วะ

              เสียงมีดในมือของแร็กนาร์เฉือนเส้นเลือดอย่างรวดเร็ว ไล่จากขา ลำตัว ไปจนตลอดแขน แล้วเขาจึงหยุดยืนมองภาพนั้นอีกครั้ง เลือดสีแดงพุ่งกระฉูดไปทั่วร่าง ย้อมร่างใหญ่โตนั้นให้กลายเป็นสีแดงฉาน เข้ากับสีตา และสีผมที่เป็นสีแดงเลือดนั้นเสียจริงๆ แม้แผลที่เกิดขึ้นจะไม่ใหญ่มาก แต่การเฉือนแต่ละครั้งกลับตัดโดนเส้นเลือดอย่างแม่นยำ แววตาที่ทอประกายตื่นเต้น อย่างเช่นคราวที่เขาได้สังหารเหยื่อนั้นช่างยั่วยวนชวนหลงใหล จนบางครั้งอาจมีใครที่พร้อมถูกทรมานเพื่อได้รับการมองเช่นนั้น กลิ่นเลือดที่คละคลุ้งกระตุ้นในแร็กนาร์ตื่นเต้นอย่างห้ามไม่อยู่ เขาเริ่มจมสู่ห้วงของการสังหาร จิตสำนึกของค่อยๆจางหาย

              แร็กนาร์หลับตาค่อยๆดึงให้ความนึกคิดของตนกลับมา พร่ำบอกว่าตนพอใจแล้ว พอได้แล้ว มากกว่านี้ไม่ได้ จนในที่สุดเขาก็กลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง แร็กนาร์หันไปจ้องมองหน้าจองเคียวจิอีกครั้ง มันเองก็จ้องมองกลับมาด้วยสายตาโกรธแค้น แม้ไร้เรี่ยวแรงที่จะขยับตัว มันก็ยังฝืนจะลุกขึ้น หรือไม่ยาคงจะเริ่มหมดฤทธิ์แล้ว มันจึงเริ่มขยับตัวได้เช่นนี้ แร็กนาร์ผลักเคียวจิลงอีกครั้ง พร้อมขึ้นไปนั่งทับในท่าเดิม เคียวจิเองก็ไม่อาจฝืนได้จำต้องนอนลงไปเท่านั้น

              พวกลูกสมุนที่สังเกตการณ์อยู่ห่างๆเริ่มอยู่ไม่สุข พวกมันอยากวิ่งเข้าไปร่วมด้วย แต่กลับเกรงกลัวการลงโทษของหัวหน้าเคียวจิของพวกมัน เพราะเคียวจินั้นรักศักดิ์ศรียิ่งกว่าสิ่งใด ยิ่งการประลองตัวต่อตัวแล้ว มันไม่อนุญาตให้ใครยื่นมือเข้ามาสอด พวกลูกสมุนยังคงลังเล จึงได้แต่นิ่งเงียบจ้องมองภาพนั้นด้วยความหวังให้เคียวจิลุกขึ้นมาเท่านั้น

              แร็กนาร์ยกมีดขึ้นหมายจะสังหารเหยื่อของเขา จ้องมองไปที่ลำคออย่างหมายมาด พวกมันรู้ถึงสายตานั้น จึงมีบางตนรีบทะยานตัวออกไปหมายจะจัดการกับแร็กนาร์ ที่บังอาจทำร้ายหัวหน้าของตน แม้จะถูกลงโทษพวกมันก็ไม่สนใจสิ่งใดแล้ว

              “แก หยุดนะเว้ย!” เสียงนั้นไม่ได้ทำให้แร็กนาร์ชะงักมือแต่อย่างใด เขากลับเผยรอยยิ้มน้อยๆที่มุมปากด้วยซ้ำ

              ปึก! เคร้ง

              มีดที่ยกขึ้นแล้วพุ่งลงหมายจะเฉือนเส้นเลือดที่ลำคอของเคียวจิถูกพัดอันหนึ่งพุ่งเข้าใส่จนกระเด็นหลุดมือ ลอยไปกระทบกับกำแพงที่อยู่ด้านหลังทันที เสียงนี้เป็นดังสัญญาณจบการต่อสู่

              แร็กนาร์หันไปมองที่มาของพัดอันนั้น เขาจ้องมองซาดาโอะอย่างเฉยชา แม้ในใจจะร่ำร้องว่าซวยแล้ว เพราะร่างนี้ไร้เรี่ยวแรง การที่อาวุธหลุดมือจึงเป็นเรื่องเลวร้ายอย่างหาที่สุดไม่ได้

              เคียวจิดิ้นแรงขึ้นเมื่อยาใกล้หมดฤทธิ์ แร็กนาร์รีบนำยาที่ตกอยู่ใกล้ๆกดลงไปที่จมูกของมันอีกครั้ง แต่ปริมาณน้อยเกินไปจนไม่เกิดผล เขาจึงกดมือไว้เช่นนั้นเพื่อรอให้อีกฝ่ายขาดอากาศหายใจ กดไว้ทั้งมือและปาก ไม่ได้บีบที่ลำคือ เพราะร่างนี้แรงน้อยเกินไปต่อให้ทำเช่นนั้นก็ไม่อาจช่วยสิ่งใดได้มากนัก

              ‘บ้าเอ้ย! อาวุธหลุดมือ บีบคอก็แรงไม่พอ ทำไมถึงได้อับจนหนทางแบบนี้วะ ถ้าเรามีพลังแบบรูร์กัสล่ะก็คงพอทำอะไรได้บ้าง ทำไม ทำไม ทำไมกัน เราถึงได้ไรพลังแบบนี้

              แม้โลกเดิมเราจะอยู่บนหลักของวิทยาศาสตร์เสมอ แต่ครั้งนี้ แค่ครั้งนี้เท่านั้น ขอพลังวิเศษให้ผมเถอะ ผมอยากมีพลัง อยากลงโทษคนที่ทำร้ายคนสำคัญของผม ได้โปรด พระเจ้า...

              ถ้าเป็นแบบนี้ทั้งหมดที่เรียนรู้มาจะมีประโยชน์อะไร ธาตุเอย ตารางธาตุเอย ช่วยทำให้มันเกี่ยวข้องก่อนหน่อยไม่ได้รึไงเล่า! ถ้าผมไม่สามารถควบดิน น้ำ ลม หรือไฟได้ ก็ขอให้ผมที่เข้าใจในหลักการเกิดสิ่งเหล่านี้ได้มีพลังบ้าง

              อย่างถ้ามีไฮโตรเจน กับออกซิเจน ในปริมาณที่เหมาะสมจนเกิดโมเลกุล H2O ก็ขอสร้างน้ำขึ้นมาบ้างไม่ได้รึไงกัน ขอล่ะ ขอล่ะ ขอร้องนะครับ พระเจ้า...’


              อึก แค่กๆ

              เสียงไอของเคียวจิทำให้แร็กนาร์ตื่นจากภวังค์ความคิดที่พร่ำเพ้อไปไกล แร็กนาร์จ้องมองภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึง ทั้งภาพ และสัมผัสชื้นแฉะบนมือนั้น ตอนนี้มีน้ำจับตัวเป็นกลุ่มก้อนเล็กๆบนฝ่ามือของเขาที่อยู่บนใบหน้าของเคียวจิ


              ใช่แล้ว! น้ำจำนวนหนึ่งไหลออกมาจากฝ่ามือของเขา

 

 

 
To Be Continued...

 

_______________________________________________________________________


มาแล้วค่าาา ยังไม่เฉลยนะคะ เรื่องของ ซาดาโอะ เอาฉากต่อสู้ไปก่อนเนาะ หุหุหุ
สนุกไหมคะ? พอมองภาพออกไหมคะ? ฉากต่อสู้แต่งยากจัง กลัวใส่รายละเอียดไม่ครบ
ขาดตกบกพร่องตรงไหนแจ้งได้เลยน้าาาาา
ตอนนี้รู้สึกว่ามันยากกว่าทุกตอนเลย...
ยังไงก็ฝากติชมกันเข้ามาด้วยนะคะ เราจะได้นำไปปรับปรุงในตอนต่อๆไป
ขอบคุณค่าาาา
พูดคุย และทวงนิยายได้ที่ >>>https://www.facebook.com/greenheadzoro/

ออฟไลน์ GreenHead(หัวเขียว)

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
    • Green Head - หัวเขียว

ตอนที่ 11
หมอชรา


           “ปล่อยมือจากท่านเคียวจิซะ!!” เสียงลูกสมุนที่วิ่งเข้ามาจู่โจมแร็กนาร์ดังขึ้น หลังจากที่พวกมันวิ่งเข้ามาในขณะที่แร็กนาร์ยกมีดขึ้นหมายจะเฉือนไปบริเวณลำคอของเคียวจิ พวกมันก็ออกวิ่งกรูกันเข้ามาหมายจะจัดการกับแร็กนาร์ ก่อนหน้านี้พวกมันชะงักเล็กน้อยเมื่อพัดของซาดาโอะหยุดมีดของแร็กนาร์ไว้ และมื่อพวกมันตั้งสติได้ก็วิ่งเข้าใส่แร็กนาร์อีกครั้งทันที

           ต่างจากแร็กนาร์ที่ยังคงตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขานั่งอยู่อย่างนั้น พร้อมจ้องมือของตน และใบหน้าของเคียวจิที่บัดนี้เปียกโชกไปด้วยน้ำจำนวนหนึ่ง

           ‘หยุดแล้ว ทำไม อะไรไปกระตุ้นให้มันออกมา สิ่งที่เราคิด หรือแรงภาวนา เราคิดอะไรนะ ก่อนหน้านี้ ทำไมมันไม่ออกมาอีกล่ะ ออกมาสิ ได้โปรด...’

           แร็กนาร์ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง เขาตกอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง ปากพึมพำเบาๆ มือก็พลิกไปมาอย่างสำรวจ ทั้งยังพยายามคิดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น คิดกลับไปยังความคิดก่อนหน้านี้ของตน คิดถึงสาเหตุที่เขาสามารถใช้พลังนี้ได้ และเมื่อยิ่งคิด สมาธิก็จดจ่อ ทั้งสายตา ทั้งประสาทสัมผัสอันเฉียบคมอื่นๆก็หยุดทำงาน แร็กนาร์เพ่งสมาธิทุกอย่างให้คิดทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายของตนครั้งแล้วครั้งเล่า จนไม่สนใจสิ่งรอบตัว

           พวกเหล่าลูกสมุนเผ่าพยัคฆ์เห็นอีกฝ่ายไม่ตอบสนองต่อสิ่งรอบข้าง ก็รีบพุ่งเข้าใส่อย่างไม่ลังเล เมื่อมีโอกาสดีๆเช่นนี้ มีหรือพวกมันจะพลาด พวกมันตระหนักดีว่าเด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้านี้เก่งกาจเพียงใด การที่พวกมันจะเอาชนะจึงไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อมีโอกาสจึงต้องรีบคว้าเอาไว้

            พลั่ก!

            ปีศาจตนแรกที่วิ่งเข้าไปประชิดตัวของแร็กนาร์ได้ก่อนจู่โจมด้วยการต่อยกำปั่นอันใหญ่โตไปยังใบหน้าเล็กนั้น จนร่างทั้งร่างของแร็กนาร์กระเด็นไปตามแรง ปลิวจากตัวของเคียวจิออกไปเล็กน้อยจนไปนอนกับพื้นข้างๆ แม้แร็กนาร์จะยังคงมีสติอยู่ แต่เขาก็ไม่ได้ลุกขึ้นแต่อย่างใด ยังคงนอนมองมือของตนอยู่อย่างนั้น ปากก็พร่ำพึมพำสิ่งที่คนรอบข้างไม่อาจเข้าใจ ปีศาจตนนั้นพุ่งเข้าไปหมายจะจัดการต่อ เพื่อเป็นผลงานของตน ส่วนปีศาจบางส่วนเข้าไปช่วยเหลือหัวหน้าของพวกมัน

            “พวกเจ้าหยุดเดี๋ยวนี้” เสียงเล็กสองเสียงสอดประสานกันตะโกนขึ้นจนดังไปทั่วบริเวณ แล้ววิ่งออกมาจากช่องที่ตนซ่อนอยู่

            “นายน้อย!” เหล่าปีศาจเผ่าพยัคฆ์ทั้งหมดที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างหยุดชะงัก เพราะเสียงที่คุ้นเคย และหันมองตามเสียงที่ได้ยินนั้น พวกมันเบิกตากว้างเมื่อเห็นสองร่างเล็กผิวขาว และผิวคล้ำ ที่พวกมันตามหาอยู่จนวุ่นวายไปทั่ว ก่อนจะตะโกนออกมาด้วยความตกใจ

            “พวกเจ้าห้ามทำร้ายแร็กนาร์นะ!” ฮิโรกิเอ่ยขึ้นก่อนจะวิ่งเข้าไปหาแร็กนาร์ ที่ยังคงนอนนิ่งทั้งที่ยังไม่ได้สลบไป พวกเขาไม่เคยเห็นแร็กนาร์เปิดช่องว่างมากมายเช่นนี้มาก่อน

            “เหตุใดพวกเราต้องหยุด มันทำร้ายท่านเคียวจิปางตาย หากเราไม่รีบจัดการตอนนี้ โอกาสอาจจะไม่มีอีกแล้วนะขอรับ นายน้อย” ลูกสมุนหนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้น ในน้ำเสียงนั้นเจือไปด้วยความโกรธ และความกลัว...ใช่แล้ว พวกมันโกรธแค้นที่แร็กนาร์ทำร้ายหัวหน้าของมัน และกลัวในความสามารถนั้นของแร็กนาร์ด้วย พวกมันรู้ดีว่าหากไม่รีบจัดการตอนนี้ ฝ่ายที่จะถูกจัดการจะกลายเป็นพวกมันเอง ขนาดเคียวจิที่เป็นถึงหัวหน้าหน่วยของพวกมันยังไม่อาจสู่ร่างเล็กนี้ได้ แล้วอย่างพวกมันจะทำสิ่งใดได้

            “พวกเจ้าไม่ละอายใจบ้างรึที่รุมทำร้ายเด็กตัวเล็กๆที่เป็นเพียงมนุษย์แสนอ่อนแอดังเช่นที่พวกเจ้าชอบกล่าวกัน และแร็กนาร์เองก็เป็นทั้งสหาย และผู้มีพระคุณของข้ากับฮิโรกิ พวกเจ้ายังจะกล้าทำร้ายอีกหรือ” ฮิเดโอะเอ่ยขึ้นหลังจากที่เข้าไปประคองและดูอาการของรูร์กัส แม้โล่งใจที่รูร์กัสยังหายใจอยู่ แต่เขาต้องช่วยให้ทั้งรูร์กัส ทั้งแร็กนาร์รอดจากสถานการ์ที่เกิดขึ้นนี้

            “หยุดมือ แล้วไปตามท่านหมอมาซะ ไม่เช่นนั้นข้าจะฟ้องท่านพ่อให้ลงโทษพวกเจ้า” ฮิโรกิประกาศกร้าว ตอนนี้เขาไม่อาจใจเย็นได้ดังเช่นฮิเดโอะ เพราะเขาห่วงรูร์กัสและแร็กนาร์มากหลือเกิน หลายครั้งที่เขาจะออกมาช่วย แต่ก็ถูกฮิเดโอะห้ามไว้ ฮิโรกิไม่เข้าใจฮิเดโอะแม้แต่น้อย จึงดื้อรั้นเกือบเผลอหลุดปากกาว่าฮิเดโอะขี้ขลาด แต่เขาก็ก็ต้องกลืนคำนั้นลงคอไป เมื่อหันมามองหน้าฮิเดโอะที่กัดฟันกรอด และกำมือแน่น ข่มความโกรธของตนเอาไว้ ฮิเดโอะกำลังอดทนให้ถึงที่สุด แม้ไม่เข้าใจนัก แต่เขาจึงจำต้องทำตาม นิ่งเงียบอดทนอยู่อย่างนั้น

             “พวกเจ้าอย่าวู่วาม ข้าจะคุยกับนายน้อยเอง...นายน้อย ที่บอกว่าเด็กน้อยทั้งสองโจมตีพวกเรา เป็นสหายของท่านนั้นจริงหรือ” ซาดาโอะ ที่เงียบสังเกตการณ์อยู่นานเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นว่าพวกลูกสมุนต่างลังเลที่จะลงมือ

             “ใช่แล้ว แร็กนาร์เป็นทั้งสหาย และผู้ทีพระคุณของพวกเราทั้งสอง” ฮิโรกิตอบกลับแทนฮิเดโอะทันที น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความหนักแน่น แต่ก็แฝงความโกรธขึงไว้ เพราะซาดาโอะเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้แร็กนาร์ได้รับบาดเจ็บ

             “พี่รูร์กัสอาการสาหัสมาก เราต้องรีบตามท่านหมอแล้ว...พวกเราจะตอบคำถามของท่านซาดาโอะเท่าที่เราตอบได้ รีบตามท่านหมอเถอะ และทางท่านเองก็คงต้องรีบรักษาท่านเคียวจิด้วยเช่นกัน ดูแล้วอาการก็สาหัสไม่น้อย ไม่กลัวเลือดหมดตัวก่อนหรือไร หรือพวกเจ้าว่าไม่ใช่” ฮิเดโอะเริ่มต่อรองกับซาดาโอะ เมื่อเห็นว่ารูร์กัสอาการย่ำแย่ลง มีเลือดไหลออกมาจากปาก  ใบหน้านั้นก็เริ่มขาวซีดไร้เลือดฝาด เขาหันไปมองยังกลุ่มลูกสมุนที่ดูอาการของเคียวจิอยู่ในประโยคคำถามสุดท้ายนั้น   เพื่อช่วยยืนยันสิ่งที่ตนกล่าวออกมา

             “ใช่แล้วขอรับ บาดแผลของท่านเคียวจิมีเลือดไหลออกมาไม่หยุดเลย  เราต้องรีบรักษาแล้วขอรับท่านซาดาโอะ” ลูกสมุนหนึ่งในนั้นตอบออกมาตามที่ฮิเดโอะคาดไว้   เขาจึงหันไปมองซาดาโอะเพื่อรอคำตอบ

             “หึหึ   สมกับเป็นนายน้อยฮิเดโอะ   ท่านช่างฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก...ข้อเรียกร้องของท่านนั้นข้าตกลง   แต่ข้าก็มีข้อเรียกร้องของข้าเช่นกัน...สหายของท่านต้องไม่ลงมือใดๆกับพวกเราอีก  และเมื่อการรักษาเสร็จเรียบร้อยแล้ว  พวกเขาต้องเข้าไปอยู่ในคุกของพวกเรา” ซาดาโอะยิ้มน้อยๆอย่างไม่สะทกสะท้านกับสิ่งที่เกิดขึ้น และกล่าวอย่างเนิบนาบแต่กลับเป็นการโต้กลับอย่างชาญฉลาด

             “แต่...”  ฮิเดโอะจะต่อลองกลับไปอีกครั้ง  แต่กลับถูกหยุดด้วยเสียงของอีกฝ่ายทันที

             “นายน้อยฮิเดโอะ  ท่านก็เห็นว่าฝ่ายที่เลือกจู่โจมก่อนคือสหายของท่าน พวกเราหลายตนแม้ไม่เสียชีวิต แต่ก็บาดเจ็บสาหัสไม่น้อยเลย พวกท่านจะให้ข้าเชื่อได้อย่างไรว่าสหายของท่านจะไม่เข้ามาทำร้ายพวกเราอีก” ถ้อยคำที่โต้กลับมานั้นมีเหตุผลเป็นอย่างมากจนยากที่จะหาสิ่งใดมาลบร้างได้  เพราะคนที่ลงมือก่อนคือรูร์กัสจริงๆ และเขาเองก็ไม่ทราบถึงสาเหตุที่ทำให้รูร์กัสลงมือ จึงไม่อาจรับปากได้ว่าจะสามารถเกลี่ยกล่อมรูร์กัสกับแร็กนาร์ไม่ให้ลงมืออีกได้อย่างไร  จึงได้แต่เก็บความโกรธยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น

             “ตกลง” เสียงเล็กที่กล่าวแทรกบทสนทนาที่ตึงเครียดของซาดาโอะกับฮิเดโอะนี้คือเสียงของแร็กนาร์   ที่บัดนี้ลุกขึ้นมานั่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย ซึ่งตอนนี้เขาคิดสิ่งใดไม่ออกจึงพาสติของตนเองกลับมาโลกแห่งความจริง

             นี่เป็นนิสัยเสียอีกหนึ่งอย่างของแร็กนาร์ เมื่อเขาเจอสิ่งใดที่แปลกใหม่ หรือคิดไม่ตก ก็จะพาสติของตนตัดขาดจากโลกภายนอกทันที ต่อให้ฟ้าถล่ม ดินทะลาย ก็ไม่อาจฉุดเขาออกมาจากห้วงความคิดเหล่านี้ได้ แต่ครั้งนี้ต่างออกไป  ในตอนที่เขาตัดตัวเองออกจากโลกแห่งความเป็นจริงนี้ กลับมีเสียงเล็กๆสองเสียงแทรกเข้าไปได้อย่างไรก็ไม่อาจทราบ ไม่เพียงเสียงเหล่านั้น ภาพใบหน้าของเด็กน้อยทั้งสองยังปรากฏขึ้นในห้วงความคิด ตามด้วยภาพของพี่ชายที่ใบหน้าอาบไปด้วยเลือด แร็กนาร์จึงรีบดึงสติของตนให้กลับมาสู่โลกแห่งความจริงนี้ และได้ยินบทสนทนาโต้ตอบของซาดาโอะกับฮิเดโอะพอดี

             “แร็กนาร์เจ้าได้สติแล้ว” ฮิโรกิเอ่ยขึ้นอย่างยินดีแล้วหันหลังกลับไปมองพร้อมกับเดินเข้าไปประคองแร็กนาร์ให้ลุกขึ้นยืน การจู่โจมเมื่อครู่รุนแรงเป็นอย่างมากเขาจึงรู้สึกห่วงร่างเล็กที่แสนบอบบางนี้เป็นอย่างยิ่ง ในขณะที่ประคองแร็กนาร์ให้ลุกขึ้นเขาก็มองสำรวจใบหน้างดงามนั้นไปด้วย แต่ก็ต้องฉงนสงสัยเมื่อบนใบหน้านั้นมีเพียงรอยแดงจางๆที่มุมปากเท่านั้น

             “ไม่ต้องห่วง...ข้าไม่เป็นอะไร หมัดนั่นแค่เพียงเฉียดไปเท่านั้น ร่างกายข้าหลบเองโดยสัญชาตญาณ”  แร็กนาร์ตอบกลับออกมาเองโดยไม่ต้องรอคำถามจากฮิโรกิ เพราะใบหน้าของฮิโรกิแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าสงสัยเพียงใด

             “ข้าตกลงตามข้อต่อรองของท่าน  รีบรักษาพี่รูร์กัสเถอะ...ข้าขอร้อง” แร็กนาร์หันไปสนใจซาดาโอะทันทีหลังจากลุกขึ้นยืนแล้ว  ตอนนี้เขาต้องละทิ้งทิฐิของตน เพราะชีวิตรูร์กัสสำคัญที่สุด  และยาในกระเป๋าของเขาเองก็ไม่มียาใดเลยที่สามารถรักษาอาการเลือดตกค้างภายในของรูร์กัสได้ ดังนั้นการพึ่งหมอของที่นี่จึงเป็นทางออกเดียวเท่านั้น แร็กนาร์ยอมทุกอย่าง แม้กระทั่งการขอร้องคนที่รูร์กัสหมายจะเอาชีวิต

             “แต่แร็กนาร์เจ้าต้องไปอยู่ในคุก  แล้วก็ไม่รู้ว่านานแค่ไหน เขาถึงจะยอมปล่อยตัวเจ้า” ฮิเดโอะขัดขึ้น เพราะเหตุใดไม่ทราบเขาเองก็ไม่อาจอธิบายได้  เขารู้เพียงว่าไม่อยากให้แร็กนาร์เข้าไปอยู่ในที่สกปรกอย่างคุกนั้น แม้มันจะเป็นทางออกเพียงอย่างเดียวที่รูร์กัสจะรอดชีวิตก็ตาม

             “ดีแล้ว ข้ากำลังอยากได้ที่สงบๆ” แร็กนาร์ตอบกลับอย่างไม่รู้สึกกังวลใจ สำหรับเขาแล้วไม่ว่าที่ใดก็ไม่เลวร้ายเท่ากับสถานที่ที่ใช้ขังเขาเอาไว้ในครั้งที่ถูกทดลองนั้น และแม้จะขึ้นชื่อว่าคุก มันก็ไม่อาจกักขังเขาเอาไว้ได้ แต่หากตอนนี้สถานที่นั้นก็เหมาะสมไม่น้อยในการที่เขาจะเข้าไปนั่งคิดทบทวนเกี่ยวกับพลังของตนที่มันกวนใจอยู่ตอนนี้

             .

             .

             .

             3 วันผ่านไป

             เหตุการณ์ที่เด็กน้อยทั้งสี่ลอบเข้าไปยังบ้านใหญ่กลุ่มยาฉะผ่านมา 3 วันแล้ว ในวันนั้นมีการถกเถียงกันอีกเล็กน้อย จนฮิเดโอะจำยอมเพราะรูร์กัสอาการเริ่มทรุดหนักลงอีกจนน่าตกใจ

             ส่วนซาดาโอะก็ตกลงเมื่อเห็นว่าเรื่องนี้ไม่มีสิ่งใดเสียหายไปมากนัก  ไม่มีใครเสียชีวิต  และเคียวจิเองก็เริ่มอาการทรุดหนักเช่นกัน  ทั้งเสียเลือดมากเกินไป ทั้งเกิดการอาการช็อกเพราะมีน้ำเข้าไปในร่างกายทั้งทางปากและจมูก

             หลังจากตกลงเพียงไม่นานหมอประจำกลุ่มยาฉะกลุ่มหนึ่งก็เข้ามายังบริเวณนั้น โดยมีหมอชราคนหนึ่ง ดูแล้วน่าจะเป็นหัวหน้าหน่วยแพทย์นี้  หมอชรายืนมองสถานการณ์รอบด้าน ก่อนจะสั่งให้หมอคนอื่นๆแยกย้ายกันรักษาตามหน้าที่ ทั้งรูร์กัส เคียวจิ และลูกสมุนที่บาดเจ็บเพราะฝีมือของรูร์กัส

              รูร์กัสมีเลือดตกค้างในร่างกาย และกามหักเพราะถูกแรงกระแทกที่รุนแรงของเคียวจิ จึงต้องทำการผ่าตัดโดยด่วน  แร็กนาร์สังเกตการณ์รักษาเพียงเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าหมอของที่นี่ต่างมีจรรยาบรรณของแพทย์ที่ดีไม่เลือกรักษาผู้ป่วยไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ใดเขาก็วางใจ เดินเข้าไปคุยกับฮิเดโอะและฮิโรกิห่างจากกลุ่มนั้นเล็กน้อย เรื่องอาการของพ่อของเด็กทั้งสอง รวมทั้งบอกระยะเวลาในการรักษาที่เขาได้ยื้อเอาไว้ และสั่งการให้พาเขาออกจากคุกภายใน 5 วัน หากต้องการช่วยชีวิตพ่อของเขา

              จากนั้นแร็กนาร์ก็ยอมถูกคุมตัวโดยพวกลูกสมุน และซาดาโอะที่เดินคุมตัวเขาไปด้วย พวกมันพยายามจะยึดกระเป๋าของแร็กนาร์เอาไว้ แต่แร็กนาร์ก็ต่อรองจนสามารถเอากระเป๋ามาไว้กับตัวได้

              ตอนนี้แร็กนาร์กำลังทบทวนสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น เขาทบทวนมันซ้ำๆซ้ำไปซ้ำมาแต่ก็ยังไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นอีก ส่วนรูร์กัสเองก็นอนอยู่บนเตียงในห้องขังเดียวกันนี้ รูร์กัสถูกหามเข้ามาหลังจากผ่าตัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว หรือก็คือหลังจากที่แร็กนาร์อยู่ในคุกนี้เพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น

              ในตอนแรกแร็กนาร์ตั้งใจจะต่อรองในเรื่องนี้  แต่เมื่อเข้ามาเห็นคุกแล้วก็นับว่าที่นี่ไม่เลวเลย จึงได้แต่เงียบไป ในคุกนี้เป็นห้องขนาดใหญ่ที่มีประตูทางเข้าเพียงทางเดียว ภายในห้องมีกรงขังแยกห้องไว้เพียง 4 กรง ฝั่งละ 2 ห้องหันหน้าเข้าหากัน ภายในกรงขังแต่ละด้านปิดทึบด้วยปูน มีเพียงด้านหน้าที่เป็นลูกกรงมองเห็นฝั่งตรงข้ามได้ มีเตียงห้องละ 2 เตียง โดยเตียงมีแผ่นเหล็กที่ไม่หนามากเป็นฐานรอง ลอยขึ้นจากพื้นไม่สูงมาก เพียงพอให้ขึ้นไปนั่งได้ง่ายๆ   เตียงด้านในถูกทำให้ติดกับผนัง ส่วนมุมด้านนอกทั้งสองมุมถูกยึดไว้ด้วยสายโซ่เหล็กเส้นใหญ่แข็งแรง สายโซ่ยาวโยงฝั่งหนึ่งติดกับเตียง ส่วนอีกฝั่งหนึ่งติดยึดไว้กับผนังด้านใน มีช่องว่างดูเป็นรูปสามเหลี่ยมที่มีขนาด 45 องศา และมีฟูกบางๆเก่าๆวางอยู่ด้านบน  แม้จะเก่าแต่ก็ไม่สกปรกเท่าที่ควรจะเป็น

              ซาดาโอะบอกกับแร็กนาร์ว่า ห้องขังนี้เป็นห้องขังที่สบายที่สุด เพราะใช้ขังพวกหัวหน้าหน่วยเมื่อทำภารกิจผิดพลาด หรือก็คือมันเป็นเพียงห้องสำนึกผิดเท่านั้น ที่นี่ทั้งสะอาดและสงบ เพราะใช้เป็นที่ให้พวกหัวหน้าหน่วยเข้ามาสงบสติ และเป็นการให้เกียรติแก่พวกเขา แม้จะไม่ได้ใช้มา 7-8  ปี มาแล้วนับตั้งแต่หัวหน้าใหญ่คนนี้ขึ้นเป็นหัวหน้า เพราะเขาเลือกจะขังหัวหน้าหน่วยที่ทำผิดในคุกสำหรับนักโทษ แต่ที่นี่ก็ยังถูกทำความสะอาดอยู่เสมอ

               แร็กนาร์ถามกลับไปว่า แล้วเหตุใดจึงต้องให้เกียรติพวกเขาปฏิบัติกับเขาเช่นหัวหน้าหน่วย ซาดาโอะก็ตอบด้วยเสียงนิ่งเรียบว่า

              ‘ไม่ใช่ให้เกียรติ ข้าเพียงปราณีคนป่วยที่จะตามเข้ามาในไม่ช้า และที่สำคัญพวกเจ้าเป็นสหายของนายน้อย’

              ...

ออฟไลน์ GreenHead(หัวเขียว)

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
    • Green Head - หัวเขียว
 
               ...(ต่อ)...

               กล่าวจบก็สั่งให้ลูกสมุนล็อกกุญแจกรงขังแล้วเดินออกไป และเพียงไม่นานรูร์กัสก็ตามเข้ามาจริงๆ 3 วันมานี้มีหมอเข้ามาตรวจดูอาการของรูร์กัสเรื่อยๆแร็กนาร์จึงวางใจไปได้บ้าง เขาตรวจดูรูร์กัสทุกชั่วโมงเพราะยังไม่อาจวางใจการรักษาของหมอของที่นี่ได้ และนี่ก็เป็นอีกครั้ง แร็กนารเดินเข้าไปยังเตียงของรูร์กัส แต่ก็ต้องชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของปีศาจ 3 ตน กำลังเดินเข้ามายังห้องขังของเขา

               “วันนี้ท่าจะเป็นวันดี  เจ้าคงไม่ตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองใช่หรือไม่” เสียงแหบแห้งที่แก่ชราดังขึ้น แร็กนาร์ขยับเข้าไปใกล้เตียงของรูร์กัสทันทีเพื่อระวังภัย 3 วันแล้วที่รูร์กัสยังไม่ฟื้น ดูจากอาการแล้วคงไม่เพียงบอบช้ำทางร่างกาย จิตใจก็คงจะบอบช้ำไม่น้อยเลย

               “ใช่” แร็กนาร์พิจารณาชายตรงหน้าเล็กน้อยก่อนจะตอบคำถามออกไปเพียงสั้นๆเท่านั้น เขาจ้องมองหมอชราอย่างไม่วางตา หมอชราตนนี้  คือหมอที่เป็นหัวหน้าหน่วยแพทย์ที่สั่งการหมอคนอื่นๆในวันนั้น หมอชรามีผิวหนังที่เหี่ยวแห้ง จนทำให้ลวดลายตามตัวหย่อนยานไปตามผิวหนังไม่อาจมองออกว่าเป็นเสือชนิดใด

               “เปิดประตู ข้าจะเข้าไปด้านใน” เมื่อแร็กนาร์ตอบรับ หมอชราก็สั่งให้ลูกสมุนทั้งสองที่เป็นผู้เฝ้าประตูห้องคุมขังไขกุญแจกรงขังทันที

               “ยังไม่ถึงเวลาตรวจ ท่านมีธุระอะไร” แร็กนาร์ถามขึ้นเมื่อเห็นว่าหมอชรามาก่อนเวลาตรวจ และทั้งก่อนหน้านี้หมอชราไม่ได้เป็นผู้เข้ามาตรวจรูร์กัสเองแม้แต่น้อย

               แกร็ก

               ผู้เฝ้าประตูคุกที่เปิดประตูจัดการล็อกกุญแจอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าหมอชราเข้ามาด้านในแล้ว จากนั้นมันก็เดินไปอยู่อีกมุมหนึ่งของลูกกรงฝั่งตรงข้ามกับที่เพื่อนของมันยืนอยู่ทันที

               “พวกเจ้าออกไปก่อน รออยู่ด้านนอก และอย่าเข้ามาจนกว่าข้าจะเรียก” หมอชราสั่งให้ผู้เฝ้าประตูทั้งสองออกไปรอด้านนอก พวกมันหันไปมองหน้ากัน แล้วพยักหน้าน้อยๆก่อนจะเดินออกไปตามคำสั่ง

               ปึก!

               เมื่อผู้คุมคุกทั้งสองออกไปด้านนอกแล้วหมอชราก็ขยับเดินไปนั่งลงยังเตียงฝั่งตรงข้ามซึ่งแร็กนาร์ใช้ซุกหัวนอนในสามวันมานี้ พอขยับนั่งจนได้ที่ก็มองหน้าแร็กนาร์ที่ยืนอยู่ข้างเตียงของรูร์กัสด้วยท่าทีสบายๆดังคนที่เข้ามานั่งคุยเล่นกันธรรมดาๆ

               “มีอะไรก็รีบพูดมา” แร็กนาร์กล่าวออกมาอีก เมื่อเห็นว่าหมอชราไม่เข้าเรื่องเสียที ทั้งยังท่าทีน่ารำคาญใจนั่นอีก ทั้งลองขย่มตัวดูว่าเตียงแข็งแรงดีหรือไม่ ทั้งมองรอบด้านอย่างสำรวจ แล้วพยักหน้าหงึกหงักอย่างพอใจ มันช่วงกวนโมโหแร็กนาร์เป็นอย่างยิ่ง

               “ฮ่าๆๆอย่ารีบร้อนๆเจ้าหนู  ข้าเพียงแค่สำรวจดูเท่านั้นว่าพวกเจ้าอยู่สุขสบายดีหรอไม่” ช่างเป็นคำตอบที่ชวนเพิ่มความโมโหเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาเข้ามาอยู่ในคุกที่อับชื้นเช่นนี้ แต่อีกฝ่ายกลับถามว่าอยู่สุขสบายดีหรือไม่นั้น ทำให้แร็กนาร์เริ่มคิ้วกระตุกอย่างรำคาญใจ จนอยากจะเชือดคนตรงหน้าที่ช่างกวนอารมณ์นี้ทิ้งเสียเหลือเกิน

               “ถ้าจะมากวนข้า  ก็ออกไป” แร็กนาร์ไม่ตอบกลับแต่ออกปากไล่อีกฝ่ายแทน ก่อนเจ้าตัวจะหันหลังให้หมอชรา แล้วไปสนใจรูร์กัสต่อ

               “ฮ่าๆๆเจ้านี่เหมือนจะใจเย็น แต่ก็ใจร้อนไม่น้อยเลยนะ” น้ำเสียงที่ร่าเริงยังคงตอบกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน นั่นยิ่งชวนให้แร็กนาร์รำคาญใจมากขึ้นไปอีก

               ‘ไอ้แก่นี่ จะเอายังไงของมันวะ  คนยิ่งหงุดหงิดที่คิดเรื่องพลังไม่ออกอยู่ ทั้งเรื่องรูร์กัสอีก แล้วก็เรื่องพ่อของเด็กแฝดนั่นด้วย ยังกล้ามากวนโมโหเราอีก เดี๋ยวถ้าทนไม่ไหวจะหาว่าเราไม่เตือนไม่ได้นะเว้ย หึ่ย!’

                “โอ๊ะๆ อย่าพึ่งแผ่รังสีฆ่าฟันใส่ข้าสิเจ้าหนู ข้าเพียงดีใจมากไปหน่อยเท่านั้นที่วันนี้เจ้าดูปกติดี  2 วันมาแล้วที่ข้าเข้ามาหาเจ้า เจ้าก็เอาแต่นั่งพึมพำแต่ภาษาแปลกๆที่ข้าไม่เข้าใจ พยายามเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ตอบรับ เจ้าก็ทำข้าเสียเวลาไม่น้อยเลย แค่ทนตาแก่คนนี้นิดๆหน่อยๆเจ้าก็อย่าว่ากันนักเลย  ฮ่าๆๆๆ” คำกล่าวติดเกรงใจ และเหตุผลนั้นดูจะพอรับฟังได้ หากน้ำเสียงไม่ตรงตามคำพูดเลย มีแต่ความหยอกเย้าจนแร็กนาร์แทบทนไม่ไหว

                “มีอะไรก็พูดมา ตาแก่” แร็กนาร์ที่เริ่มอารมณ์คุกรุ่นยังคงยับยั้งข่มอารมณ์ของตนเอาไว้ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีเรื่องจะพูดคุยกับตนจริงๆ และคงจะสำคัญมากจึงได้เข้ามาหาทุกวันเช่นนั้น ดูแล้วก็ไม่ใช่เรื่องโกหกเช่นกัน เพราะแร็กนาร์ปิดกั้นตนเองจากโลกภายนอกในบางเวลาจริงๆ แม้จะไม่เข้าใจนัก แต่เข้าก็สันนิษฐานว่า อาจเป็นเพราะร่างกายใหม่นี้ที่ทำให้เขากำหนดเวลาปิดกั้นตัวเองได้ หากเป็นร่างเดิมถ้าเรื่องราวที่รบกวนจิตใจไม่กระจ่างชัดเข้าก็จะไม่สามารถกลับมายังโลกแห่งความจริงได้เช่นนี้ และแร็กนาร์เคยปิดกั้นตัวเองยาวนานถึง 1 อาทิตย์เลยที่เดียว ไม่กินไม่นอน ทำเพียงนั่งนิ่งๆเมื่อเจอเหตุการณ์นั้น...

                “เอาล่ะๆ เข้าเรื่องกันเลยจะได้ไม่เสียเวลา”  หมอชรากล่าวออกมายิ้มๆด้วยท่าทีที่เป็นทางการ

                ‘เสียเวลาเพราะแกไม่ใช่เหรอ ตาแก่นี่’

                แร็กนาร์คิดเพียงแค่นั้นก่อนจะขึ้นไปนั่งบนเตียงของรูร์กัสที่เหลือที่ว่างอยู่ แล้วหันหน้ามามองประจันหน้ากับหมอชราทันที

                “ข้าขอถามคำถามเจ้าก่อนเพื่อความแน่ใจ แต่ขอเตือนไว้ก่อนว่าเจ้าควรจะตอบตามความจริงเพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเอง” หมอชราเกริ่นออกมาอย่างราบเรียบเพื่อเข้าสู่ประเด็นที่ตนต้องการสนทนากับแร็กนาร์  แร็กนาร์เองก็ไม่ตอบสิ่งใดทำเพียงพยักหน้ารับน้อยๆเท่านั้น

                “เจ้าเป็นคนที่รักษาบาดแผลของนายน้อยใช่หรือไม่” หมอชราถามขึ้นทันที่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพร้อมจะตอบคำถามของตนแล้ว โดยเริ่มถามจากเหตุการณ์ที่ฮิเดโอะกับฮิโรกิถูกคนของกลุ่มโนบุทำร้ายเมื่อครั้งก่อน

                “ใช่” แร็กนาร์ตอบกลับอย่างไม่ลังเล เพราะเขาคิดว่าไม่ใช่เรื่องที่จะมาปิดบังอะไร แล้วอีกอย่างหนึ่งฮิเดโอะก็เคยบอกกับเขาเองว่าท่านหมอรู้เรื่องนี้แล้วเมื่อครั้งที่ขอให้แร็กนาร์มาช่วยเหลือพ่อของตน และถ้าจะให้คาดเดาท่านหมอที่ฮิเดโอะหมายถึงคงเป็นหมอชราท่านนี้อย่างแน่นอน

                “หึหึ เยี่ยม ตัดสินใจได้เยี่ยมยอด...เอาล่ะเข้าสู่คำถามข้อต่อไปกันเลย เจ้าคือคนที่ฉีดพิษอีกหนึ่งชนิดเข้าไปในร่างกายของท่านหัวหน้าใหญ่ใช่หรือไม่” คำถามนี้ทำให้แร็กนาร์ชะงักก่อนจะจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความไม่ไว้วางใจ

                “ใช่” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายจ้องมองตอบกลับอย่างไม่หลบสายตา แร็กนาร์จึงตอบกลับไปตามความเป็นจริง แต่แล้วบรรยากาศสบายๆรอบตัวของหมอชราก็เปลี่ยนไปกลายเป็นบรรยากาศกดดัน คาดคั้นอย่างที่คนเป็นหมอไม่ควรจะมี  แร็กนาร์เองก็รีบคว้ามีดในกระเป๋าตนเองทันที  เมื่อรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้

                “หึหึ ไม่ต้องระแวงข้าขนาดนั้น ปล่อยมือจากมีดของเจ้าเถอะ ข้าเป็นเพียงหมอชราธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น ไฉนจะสู้เจ้าได้” หมอชราเปลี่ยนท่าทีจนบรรยากาศกดดันนั้นหายไปอย่างสิ้นเชิง แล้วกล่าวออกมาด้วยท่าทีสบายๆ หาได้เครียดเกร็งเช่นแร็กนาร์ไม่

                ‘หมอชราธรรมดาๆเหรอ หึ พูดมาได้นะ  ไม่อายปากเลยจริงๆ  ทั้งๆที่สร้างบรรยากาศกดดันแบบนั้นออกมาได้  แล้วยังรู้ว่าเราจับมีดเตรียมพร้อมอีก ความสามารถมันเกินคำว่าธรรมดาไปแล้ว ตาแก่นี่ ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ’

 
                 หลังจบคำพูดของหมอชรา แร็กนาร์ก็ยอมปล่อยมือจากมีด แล้วจ้องมองไปที่หมอชราอยู่อย่างนั้น หมอชราเองก็จ้องตอบกลับด้วยสีหน้ายิ้มๆเช่นกัน ทั้งสองหยุดสนทนา แล้วเพียงแค่นั่งเงียบอยู่อย่างนั้น

                 “ฮ่าๆๆผ่อนคลายๆเถอะ ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าทำสิ่งใดบ้าง เพราะได้ฟังจากนายน้อยบ้างแล้ว พอนำเรื่องราวต่างๆมาโยงกันมันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำความเข้าใจ ที่ข้าแสดงท่าทีเช่นนั้นเพียงต้องการตรวจสอบอีกครั้งเพื่อความแน่ใจเท่านั้นเอง อย่าได้ถือสาข้าเลย

                 แต่ก็นับว่าเจ้าเป็นเด็กที่ไม่ธรรมดาเลย ทั้งการระวังภัยเมื่อครู่ ทั้งการตัดสินใจนั่นด้วย นับว่าเกินเด็กจริงๆ ทั้งยังวิธีการรักษานายน้อยที่ถูกแทงทะลุตัวนั่น มันทำให้ข้ายิ่งสนใจเจ้ามากขึ้นไปอีก ข้านั้นแม้จะแก่ชราแต่ก็ยังอยากศึกษาวิธีรักษาของเจ้า ข้าจึงตกปากรับคำช่วยเหลือนายน้อยไป หึหึ หากเจ้ามีสิ่งใดให้ข้าช่วยก็บอกได้เลย ข้าพร้อมช่วยทุกเรื่อง...ไม่สิๆ ยกเว้นเรื่องการหนีออกจากห้องขังนี่เท่านั้นที่ข้าช่วยเจ้าไม่ได้ ข้ายังไม่อยากเดือดร้อน” หมอชรากล่าวออกมาอย่างตื่นเต้นและไม่ปิดบัง จนแร็กนาร์เองก็เริ่มผ่อนคลายไปด้วย

                  “คุกนี่ ข้าจะออกไปเมื่อไหร่ก็ได้” แร็กนาร์ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เป็นการบอกกลายๆว่าตนไม่ต้องการความช่วยเหลือในการหนีออกจากคุกนี้  แม้จะตอบกลับอย่างราบเรียบเหมือนผ่อนคลายแล้ว แต่แร็กนาร์ก็ยังไม่วางใจมากนัก ยังคงระวังภัยออยู่อย่างนั้น

                  “ฮ่าๆ นั่นสินะ เห็นเจ้าพวกนั้นเล่าให้ข้าฟัง ว่าเจ้าเป็นคนจัดการกับเจ้าหนูเคียวจิ  ข้าเป็นคนรักษาเจ้านั่นด้วยตนเองถึงได้รู้ว่าฝีมือการใช้มีดของเจ้าช่างเฉียบขาดมากทีเดียว ทั้งรวดเร็ว และแม่นยำ เฉือนแต่เส้นเลือดสำคัญๆทั้งนั้น หากได้มีดคมกริบมากกว่านี้ เจ้าหนูเคียวจิคงไม่อาจรอดได้ ข้าล่ะอดชื่นชมเจ้าไม่ได้จริงๆ”  หมอชรายังคงมีท่าทีสบายๆกล่าวถึงเรื่องราวอย่างไม่สะทกสะท้านสิ่งใด ทั้งๆที่เคียวจิเป็นพักพวกของตน เขาไม่ได้มีท่าทีเคร่งเครียดเช่นเดียวกับแร็กนาร์แม้แต่น้อย

                  “ข้าอยากจะให้เจ้ารักษาท่านหัวหน้าใหญ่ต่อ เจ้าก็เป็นความหวังเดียวสำหรับตอนนี้...เขตใต้ที่เราร้องขอไปปฏิเสธความช่วยเหลือแล้ว เฮ้อ ข้าเป็นหมอจึงทนไม่ได้ที่จะเห็นหัวหน้าใหญ่เสียชีวิตไป แล้วก็ไม่อยากให้กลุ่มยาฉะตกต่ำหากไปอยู่ในมือของท่านผู้นั้น ส่วนพวกที่เหลือคงไม่ยอมให้เจ้าเข้าไปรักษาหัวหน้าใหญ่ง่ายๆแน่ ดังนั้นเจ้ามีอะไรอยากให้ข้าช่วยก็บอกมาได้เลย” หมอชราสารภาพทุกอย่างออกมา แววตานั้นก็ฉายแววร้องขอ แม้แร็กนาร์จะไม่รู้ว่าท่านผู้นั้นที่หมอชรากล่าวถึงคือใคร แต่ก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ

                  เขารู้ดีถึงความยากลำบากในการเข้าไปรักษาตรงๆ เพราะเขาคือลูกครึ่งที่ถูกรังเกียจ เขารู้เรื่องนี้ดีจึงไม่คิดจะถกเถียงสิ่งใด และก็เป็นการดีต่อเขาเองหากพวกมันไม่รู้ว่าเขาเป็นคนรักษา แผนการหลบออกมาเงียบๆนั้นยังคงพอใช้ได้อยู่บ้าง ส่วนที่เหลือคงต้องรอสอบถามจากรูร์กัสก่อน

                  “หึ ถ้าข้าบอกว่าจะไม่รักษาแล้วล่ะ” แร็กนาร์ลองเชิงกลับไปอีกครั้ง พร้อมยกยิ้มมุมปากอย่างผู้ที่เป็นต่อในการสนทนาครั้งนี้ หมอชราเองก็ชะงัก แล้วมองแร็กนาร์ด้วยสายตาที่สื่อออกมาหลายความหมาย จนไม่อาจตีความออกมาได้...

 

 

 
To Be Continued...

 

 

_____________________________________________________________________

มาแล้วค่าาาาา นานไปไหม?5555
ตอนนี้พยายามแต่งไม่ให้ค้างมากค่ะ (น่าจะนะ55)
ยังมีคนอ่านอยู่ไหมหนอ...แต่ก็ฝากนิยายเรื่องนี้อีกครั้งจ้า

พูดคุยและทวงนิยายได้ที่>>>https://www.facebook.com/greenheadzoro/
 :impress2:

ออฟไลน์ GreenHead(หัวเขียว)

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
    • Green Head - หัวเขียว

ตอนที่  12
สับสน

“ฮ่าๆๆ  อย่าโกหกข้าเลยเด็กน้อย นายน้อยฮิเดโอะบอกข้าแล้วว่าเจ้าดึงดันที่จะรักษาท่านหัวหน้าใหญ่มากเพียงใด ยังอยู่ตรวจดูอาการต่อทั้งที่อาจถูกพบเจอได้ง่ายๆ...ข้าว่าข้อเสนอของข้าก็คงน่าสนใจไม่น้อย นี่ก็เป็นโอกาสที่ดีของเจ้ามิใช่หรือ?” หมอชรากล่าวออกมาแล้วจ้องมองใบหน้าที่เยาว์วัยนั้นของแร็กนาร์ที่บัดนี้หัวคิ้วขมวดมาจบกันที่กลางหน้าผากอย่างไม่พอใจเสียแล้ว


“หึ  ท่านก็รู้อยู่แล้ว  จะมาร้องข้าอีกไปทำไม” แร็กนาร์คลายคิ้วที่ขมวดเป็นปมออก ก่อนปรับอารมณ์ให้คงที่  เมื่อลองเชิงหมอชราเสร็จเรียบร้อยแล้ว  เขาเพียงแค่อยากลองทดสอบดูบ้างเท่านั้นว่าหมอชราตรงหน้ารู้เรื่องของเขามากน้อยเพียงใด แล้วก็ได้รู้ว่าคนตรงหน้ารู้เรื่องของเขามาไม่น้อยเลย และหากเป็นเช่นนี้ตนก็คงจะเก็บเกี่ยวความรู้จากหมอชราได้มากมายเช่นเดียวกัน


“ฮ่าๆๆ จริงของเจ้า... แล้วงานแรกที่อยากให้ข้าช่วยคือสิ่งใด” หมอชราตอบกลับด้วยท่าทางเช่นเดิม ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมในประโยคต่อมา นับว่าเป็นปีศาจที่น่าสนใจไม่น้อย เมื่อทำตัวจริงจังเช่นนี้


“แร็กนาร์กระโดดลงจากที่นอนของรูร์กัส เดินกลับไปยังที่นอนของตน   เดินไปยังกระเป๋าที่วางอยู่บนหัวเตียง รื้อค้นสักพักก็นำกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดพอเหมาะออกมาจากนั้นก็เปิดออกด้าน ในปรากฏหลอดบรรจุเลือดหนึ่งหลอด ซึ่งเป็นเลือดของยาฉะ เบียกโกะ ที่เขาเก็บเอาไว้สำหรับนำกลับไปตรวจสอบ


“ข้าต้องการอุปกรณ์สำหรับวิเคราะห์เลือดในหลอดนี้” แร็กนาร์กล่าวพร้อมกับยกกล่องที่เปิดฝาออกแล้วให้หมอชราได้ดูด้านใน


“นั่นคือเลือดของท่าหัวหน้าใหญ่อย่างนั้นรึ?” หมอชราถามออกมาเมื่อมองไปยังหลอดที่บรรจุเลือดสีแดงฉานเอาไว้ภายใน


“ใช่” แร็กนาร์กล่าวตอบอย่างไม่ปิดบัง แม้ตอนนี้เขาจะยังไม่เชื่อใจหมอชรา แต่การกระทำต่างๆที่เกิดขึ้นนั้นมีความน่าสงสัยน้อยมาก แม้จะปกปิด  แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด พวกเขาทั้งสองต่างๆเล็งเห็นประโยชน์ของอีกฝ่ายนั่นเอง และแร็กนาร์เองก็ต้องหาทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นให้ได้เร็วที่สุด มีปัญหามากมายที่ตีกันจนยุ่งเหยิง  หากได้รับการช่วยเหลือของหมอชราในเรื่องการรักษาพ่อของเด็กทั้งสอง ปัญหาก็จะเบาบางลงไปบ้าง ทั้งยังอาจช่วยแก้ปมปัญหาของการใช้พลังของตนได้ด้วย
นับว่าหมอชรานี้มีประโยชน์ไม่น้อย เพราะได้เห็นประจักษ์แก่สายตาแล้ว ถึงการรักษา และการสั่งการที่เฉียบขาด  เขารู้จุดที่เหมือนและแตกต่างของมนุษย์กับปีศาจเป็นอย่างดี  คงจะผ่านการรักษาเผ่าพันธุ์ต่างๆมาไม่น้อยเลย  ดังนั้นหมอชราจึงเป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญ  แม้จะเสียงไปบ้างแต่เขาต้องซื้อใจของหมอชราให้ได้


“ถ้าเป็นเลือดของท่านหัวหน้าใหญ่  ข้านำไปวิเคราะห์เรียบร้อยแล้ว เจ้าจะดูเลยก็ยังได้ ไม่เห็นจำต้องลำบากมาวิเคราะห์เองเลย” หมอชรากล่าวตอบอย่างราบเรียบ ตอนนี้เขาอยู่ในโหมดจริงจังในการทำงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  การปกปิดข้อมูลการรักษาจึงไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ หากต้องการฝีมือของคนตรงหน้า เขาก็ต้องเปิดใจช่วยอย่างไม่มีทิฐิต่อเผ่าพันธุ์ หรืออายุขัย


“ใช้มันก็ได้...แต่ข้าก็อยากวิเคราะห์เพิ่มให้ส่วนที่ยังสงสัยอยู่ดี นำอุปกรณ์มาด้วยได้หรือไม่ หรือไม่ได้?” แร็กนาร์ตอบกลับหมอชราอย่างราบเรียบไม่ต่างกัน พร้อมทั้งบอกเห็นผลของตน  ก่อนจะเก็บกล่องไม้เข้าไปไว้ที่เดิม  แล้วจ้องมองหมอชราเพื่อรอคำตอบ


“ได้ๆได้แน่นอน เจ้าคงยังไม่เชื่อใจข้า  ข้าคงไม่มีสิ่งใดใช้ยืนยันกับเจ้าได้  ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์อย่างที่ควรจะเป็นคงดีแล้ว...อีกอย่างวิธีรักษาของเราไม่เหมือนกัน ข้าไม่ขัดหากเจ้ามีข้อสงสัยมากกว่าที่ข้ามี  เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ข้าจะนำของทั้งหมดมาให้...นี่ก็ผ่านนานพอควร ข้าคงต้องออกไปแล้ว...พบกันพรุ่งนี้เด็กน้อย”  หมอชรากล่าวอย่างจริงจังในช่วงแรก ก่อนจะกล่าวประโยคสุดท้ายด้วยท่าทียียวนชวนโมโหเช่นเดิม แล้วตะโกนเรียกผู้เฝ้าประตูให้มาเปิดลูกกรง ก่อนจะออกไปก็ยังไม่วายหันมาส่งยิ้มช่วยหงุดหงิดนั้นให้อีกครั้ง ช่างกวนอารมณ์ซะเหลือเกิน...ไม่น่าอยู่จนแก่ได้ขนาดนี้เลย  ให้ตายเถอะ


หลังจากหมอชราออกไปแร็กนาร์ก็จมอยู่กับความคิดของตนอีกครั้ง  แต่ผ่านไปไม่นานนักก็ถูกขัดจังหวะอีก เมื่อหมอที่เป็นเจ้าของไข้ของรูร์กัสเข้ามาตรวจอาการ  เขาทำเช่นทุกวันนั่นคือเปลี่ยนผ้าพันแผล   และฉีดยาให้กับรูร์กัสหนึ่งเข็ม  เนื่องจากรูร์กัสยังรับยาทางหลอดอาหารไม่ได้ เพราะคางหัก  การขยับปากกลืนยาจึงเป็นเรื่องยาก


เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย  หมอเจ้าของไข้ของรูร์กัสก็ออกไป  ส่วนแร็กนาร์ก็เข้าไปยืนมองรูร์กัสใกล้ๆขอบเตียง   บางครั้งเขาก็คิดว่าไม่น่าพารูร์กัสมาที่นี่ด้วยเลยจริงๆ  แต่บางครั้งกลับคิดว่าดีแล้วที่พารูร์กัสมาด้วย เพราะดูเหมือนจะมีหลายเรื่องที่เชื่อมโยงเรื่องราวต่างๆไว้ด้วยกัน และรูร์กัสเองก็คงเป็นกุญแจดอกสำคัญในการไขความลับเหล่านี้


‘ตั้งแต่ที่ได้เจอกับชายที่ชื่อ ซาดาโอะ  ดูเหมือนทุกอย่างจะเริ่มต้นแล้ว ในตอนแรกเราแค่รู้สึกว่าคนๆนี้เก่งกาจ แต่ตอนที่ได้เห็นหน้านั่น หัวใจเรากลับกระตุกเกร็งเต้นอย่างรุ่นแรง ถึงจะไม่แรงเท่าตอนที่ได้ฟังเรื่องราวของริเรน่ากับปีศาจตนนั้นที่เป็นพ่อแม่ของร่างนี้ก็ตามเถอะ


แบบนี้แปลว่าซาดาโอะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องราวในอดีตแน่ๆ   ส่วนยาฉะ  เบียกโกะ  นั่นก็มีบางอย่างแปลกๆ ความรู้สึกที่ว่าต้องช่วยชีวิตของปีศาจตนนี้ได้มันเข้ามาวนเวียนอยู่ให้หัว จนสลัดทิ้งไปไม่ได้เลย ตั้งแต่เราละทิ้งความเป็นหมอ แล้วก้าวเข้าสู่เส้นทางของนักฆ่า เราก็ละทิ้งความรู้สึกที่อยากช่วยชีวิตผู้คนไปด้วย  แต่สำหรับปีศาจตนนี้เหมือนกันมีอะไรดลใจให้เรายื่นมือเข้าไปช่วยอย่างเต็มที่อย่างนั้น  มันต้องมีอะไรมากกว่าที่คิดแน่ๆ


เขตเหนือนี่ลึกลับซับซ้อนจริงๆ  แต่มีอย่างหนึ่งที่เราแน่ใจคือ  เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ตั้งแต่ต้น   ตั้งแต่ที่เราได้เจอกับเด็กแฝดนั่น ก็เหมือนไปขับเคลื่อนวงล้อของโชคชะตาเข้า  มันต้องเกี่ยวข้องกับหนึ่งปีที่หายไปของริเรน่าอย่างแน่นอน...สุดท้ายเราก็คงต้องรอให้รูร์กัสฟื้นเท่านั้น’



แร็กนาร์คิดทบทวนถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น   และจับประเด็นมาประติดประต่อกัน จนเป็นเรื่องราวที่ใหญ่โตไม่น้อยเลย ข้อสันนิษฐานที่ได้ว่า มีใครบางคนหรืออาจจะเป็นปีศาจที่พาตัวริเรน่าไปได้ผนึกความทรงจำบางส่วนลงในร่างนี้ และคนของเขตเหนือต้องมีส่วนเกี่ยวข้อง และเป็นกุญแจดอกสำคัญในการไขประตูแห่งปริศนานี้อย่างแน่นอน


แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่แน่ใจว่าควรที่จะเปิดมันออกมาหรือไม่ และเมื่อเปิดมันออกแล้วสิ่งที่อยู่ในนั้นจะเป็นเรื่องดี  หรือ เรื่องร้ายกันแน่ แล้วตัวเขาเอง  และรูร์กัสจะได้รับผลกระทบกับเรื่องราวเหล่านั้นอย่างไรบ้าง   นั่นทำให้เขาเริ่มหวาดกลัวขึ้นมา   แต่หากจะเป็นเช่นเขาจะทำสิ่งใดได้ เพราะหากนี่คือเรื่องราวแห่งโชคชะตาอันแสนเจ็บปวดที่เขาจะต้องพบเจอ  ดังที่ดวงไฟวิญญาณในห้วงมิติเวลากล่าวไว้ เขาก็คงไม่อาจเลี่ยงมันไปได้  คงทำได้แค่ยอมรับ  แล้วเปลี่ยนแปลงมันดังที่ตั้งใจไว้เท่านั้น


“แร็ก...แค่ก...นาร์  แร็กนาร์...น้ำ...หิวน้ำ แค่กๆ”


“รูร์กัส!!”  เสียงของรูร์กัสที่ฟื้นขึ้นมา เรียกความสนใจของแร็กนาร์ให้หลุดออกมาจากห้วงความคิดของตน  แร็กนาร์เรียกรูร์กัสเสียงดังด้วยความตื่นเต้นดีใจ พร้อมทั้งรีบเดินไปหยิบกระบอกไม้ไผ่ที่บรรจุน้ำไว้ภายในมาให้รูร์กัสดื่ม


“ข้าจะช่วยพยุง ค่อยๆลุกขึ้นนะพี่รูร์กัส” แร็กนาร์กล่าวด้วยน้ำเสียงห่วงใย ก่อนจะใช้มือข้างที่ว่างอยู่ช่วยพยุงให้รูร์กัสยกหัวขึ้นเล็กน้อย เพื่อจะได้ไม่สำลักหากดื่มน้ำลงไป


“แอ่ก แค่กๆ เจ็บ  ไม่ไหว...แฮ่ก  เจ็บ พี่เจ็บ...” ทันทีที่แร็กนาร์นำกระบอกน้ำไปจ่อที่ปาก เพียงรูร์กัสพยายามดื่มน้ำ  เขาก็สำลักและดูทรมานอย่างหนัก อาจจะเพราะแผลบริเวณคางจึงทำให้รูร์กัสกลืนน้ำลงไปเองไม่ได้  และสัมผัสที่แข็งกระด้างของไม้อาจจะไปกระทบบริเวณที่บาดเจ็บเข้า หากมีหลอด  อะไรๆก็คงจะสะดวกกว่านี้  แต่ที่นี่ในเวลานี้กลับไม่มีสิ่งที่คลายกันเลย หรือหากเขาจะเรียกผู้คุมคุกให้ไปตามหมอให้ ก็คงไม่อาจเป็นไปได้ พวกนั้นมีหน้าที่เฝ้าเท่านั้น คงไม่ยื่นมือมาช่วยง่ายๆเป็นแน่


แร็กนาร์มองหาสิ่งของรอบกายอีกครั้ง แต่ก็ไม่พบสิ่งใดที่พอจะใช้ประโยชน์ได้บ้างเลย เขาจึงได้แต่ถอนหายใจเบาๆเมื่อต่างใช้วิธีสุดท้ายที่คิดออก


แร็กนาร์ยกน้ำขึ้นดื่มแต่ไม่ได้กลืนมันลงไป เขาเพียงอมมันไว้ในปากจนแก้มทั้งสองข้างพองอย่างน่ารัก น่าเอ็นดู แล้วบรรจงจรดริมฝีปากบางลงไปยังริมฝีปากของรูร์กัสที่แห้งฝาดเพราะขาดน้ำ แร็กนาร์ใช้ลิ้นเล็กเลียลงไปบนริมฝีปากของรูร์กัสจนอีกฝ่ายค่อยๆอ้าปากออกน้อยๆ ริมฝีปากของทั้งสองประกบกันแต่ก็มีช่องว่างเล็กๆพอให้น้ำไหลจากด้านบนไปสู่เบื้องล่าง แร็กนาร์สัมผัสได้ว่ารูร์กัสยังกลืนน้ำลงไปไม่ได้ เขาจึงใช้ลิ้นเล็กสอดเข้าไปกวาดวนอยู่ภายในปากของพี่ชายตนครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อช่วยให้เขากลืนน้ำลงไปยังลำคอได้ง่ายขึ้น  เมื่อเห็นว่ารูร์กัสดื่มน้ำจนหมดแร็กนาร์ก็ผละออก แล้วทำแบบเดิมอีก 2-3  ครั้ง จนรูร์กัสเลิกกระหายน้ำ   


แร็กนาร์นำกระบอกน้ำไปวางไว้ที่เดิมแล้วกลับมาข้างเตียงรูร์กัสอีกครั้ง  จากนั้นก็ตรวจดูชีพจร  และบาดแผลของพี่ชายตน  เขาทำทุกอย่างอย่างใจเย็นดังเช่นก่อนหน้านี้ไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้น  ใช่แล้วสำหรับแร็กนาร์การป้อนน้ำเมื่อครู่ไม่ได้มีสิ่งใดลึกซึ้ง มันไม่ต่างจากการฝายปอดเลยแม้แต่น้อย แม้เขาเป็นนักฆ่า  และพบเห็นสิ่งโสมมมามากมาย แต่เขากลับไม่เข้าใจสิ่งนั้นอย่างลึกซึ้งแม้แต่น้อย ดังนั้นสำหรับแร็กนาร์แล้ว การกระทำเมื่อครู่ หาได้เป็นการจูบอย่างดูดดื่ม แต่เป็นการป้อนน้ำให้รูร์กัสที่หิ้วกระหายเพียงเท่านั้น  เขาจึงไม่รู้สึกกระดากอายในการกระทำของตนเลย


“แร็กนาร์”  รูร์กัสส่งเสียงเรียกแร็กนาร์ซึ่งยืนมองตนอยู่ข้างกายด้วยน้ำเสียงแหบพร่า รูร์กัสเองก็ยังมีสติไม่ครบถ้วน  จึงไม่อาจจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ได้  เหตุการณ์นั้นจึงผ่านไปราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งสอง


“มีอะไรอีกรึเปล่าพี่รูร์กัส ตอนนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง ให้ข้าตามหมอหรือไม่?”  แร็กนาร์กล่าวอย่างกังวลใจ   และเป็นห่วงพี่ชายของตน  เพราะตอนนี้เขาไม่มีเครื่องมือมากพอที่จะรักษารูร์กัสได้   เขาจึงจำต้องพึ่งหมอของที่นี่เท่านั้น


“ไม่เป็นไร  เจ้าปลอดภัยหรือไม่?” รูร์กัสถามออกมา  เมื่อจดจำได้ว่าก่อนที่ตนจะหมดสติไป  เขาเห็นแร็กนาร์เผยตนต่อหน้าปีศาจเหล่านั้น


“ข้าปลอดภัย พี่ต่างหากที่อาการแย่ นอนพักอีกหน่อยเถอะ เมื่อตื่นขึ้นมาข้ามีเรื่องอยากจะถามท่านพี่มากมายเหลือเกิน”  แร็กนาร์จ้องมองรูร์กัสอย่างจริงจังสายตานั้นไม่ได้กดดัน  แต่เต็มไปด้วยความกังวลใจมากมายจนไม่อาจเก็บไว้


“พี่เข้าใจ...ขอโทษนะแร็กนาร์”  รูร์กัสเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะหลับตาลง ผ่านไปไม่นานสมหายใจก็สม่ำเสมอ  เป็นการบอกว่าเขาจมลงสู่ห้วงนิทราเรียบร้อยแล้ว


“ฝันดีนะ...รูร์กัส”  แร็กนาร์เอ่ยเช่นนั้น  พร้อมกลับยื่นมือไปเกลี่ยผมที่บดบังใบหน้านั้นออก  แล้วจ้องมองคนสำคัญของตนด้วยความห่วงใย


.


.


.


“แร็กนาร์” เสียงที่รูร์กัสเรียกแร็กนาร์นั้นยังคงแหบพร่า  ถึงแม้จะไม่เท่าครั้งก่อนที่ฟื้นขึ้นมา แต่ก็นับว่ายังแหบพร่าไม่น้อยเลย  รูร์กัสส่งเสียงเรียกแร็กนาร์เบาๆเท่านั้น   เพราะแร็กนาร์ยืนจ้องมองเขาอยู่ข้างเตียงอยู่แล้ว


“ดื่มน้ำอีกหรือไม่ พี่รูร์กัส” แร็กนาร์ตอบกลับเมื่อเห็นว่ารูร์กัสฟื้นแล้ว   พร้อมทั้งส่งรอยยิ้มที่ชวนให้ผู้คนอบอุ่นในใจออกไป


“ไม่เป็นไร  พี่ดีขึ้นมากแล้ว   ขอบใจเจ้าที่เป็นห่วงพี่” รูร์กัสตอบกลับมาอีก  พร้อมยกมือขึ้นไปขยี้ผมบนหัวของแร็กนาร์เบาๆเพราะยังไม่มีแรงมากนัก


“พี่รูร์กัส คือว่า...”  ปากเล็กขบเม้มเล็กน้อย  ดังเช่นลังเลว่าตนควรจะถามออกไปดีหรือไม่  เพราะยังไม่อาจแน่ใจว่ารูร์กัสจะควบคุมสติของตนไม่ให้เป็นดังคราวก่อนได้หรือไม่


“พี่จะบอกเจ้าทุกอย่าง ทั้งความรู้สึกทั้งหมดนั้น ทั้งเรื่องต่างๆที่พี่ไม่แน่ใจว่าดวงตาพี่มืดบอด หรือเพียงไม่ยอมรับความจริง พี่อยากให้เจ้าช่วยตัดสิน”  รูร์กัสละมือจากเส้นผมอ่อนนุ่มของแร็กนาร์  เขาวางมือไว้ข้างกายแล้วกำมือแน่น  เพื่อข่มความรู้สึกภายในใจ แต่ยังคงไม่ละสายตาจากใบหน้าของร่างเล็ก


“ได้ ข้าจะช่วยพี่เอง” เสียงเล็กตอบกลับอย่างไร้ความลังเล  พร้อมไปหน้าแย้มยิ้มเช่นเดิม


“ปีศาจตนนั้น รู้สึกว่าจะชื่อ  ซาดาโอะ  สินะ เจ้านั่นเป็นปีศาจตนเดียวกัน  หรือว่าแค่คล้ายกับปีศาจที่พาตัวท่านแม่ไปพี่ก็ไม่แน่ใจนัก” รูร์กัสเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก  น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความสับสน  และไม่แน่ใจในสิ่งที่ตนกล่าวออกมา


“ในความรู้สึกพี่มันไม่ควรจะลังเลเลย ความรู้สึกในจิตใจตอกย้ำว่ามันต้องเป็นตนเดียวกันอย่างแน่นอน  แต่ความคิดกับขัดแย้ง มีหลายส่วนที่แตกต่าง  ทั้งรูปร่าง  ขนาดร่างกายนั้น  พี่จดจำได้ว่าปีศาจที่พาตัวท่านแม่ไป  มีรูปร่างใหญ่โตกว่านี้มาก  อาจจะเท่ากับพ่อของเด็กทั้งสองนั้นเสียด้วยซ้ำ หรือว่าตอนนั้นพี่ยังตัวเล็กจึงรู้สึกเช่นนั้นไปเอง 


แต่บรรยากาศรอบตัวนั่นเล่า  มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิง  ปีศาจตนนั้นทั้งดุดัน  ทั้งน่ากลัว พร้อมที่จะอาละวาทได้ทุกเมื่อ  แต่ปีศาจตนนี้กลับมีบรรยากาศที่สงบรอบครอบ ทั้งยังการหลบหลีกอยู่ด้านหลังพวกลูกสมุนนั่นอีก  หากเป็นปีศาจตนนั้นไม่มีทางทำเช่นนี้เป็นแน่” แร็กนาร์ที่รับรู้ถึงน้ำเสียงที่สั่นเทาของรูร์กัส ที่พยายามอดกลั้นต่อความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามาจึงได้เอื้อมมือไปจับมือของรูร์กัสที่กำแน่นเอาไว้  ทำให้เขารับรู้ว่า ไม่เพียงน้ำเสียงเท่านั้นที่สั่นเท่า   รูร์กัสสั่นเท่าไปทั่วทั้งร่างกายเลยทีเดียว   แร็กนาร์จึงกระชับมือของตนให้แน่นขึ้น เพื่อหวังจะให้รูร์กัสคลายอาการดังกล่าวลง


รูร์กัสก็รับรู้ถึงความอบอุ่นของมือเล็ก  จึงคลายมือที่กำแน่นออก  แล้วจับมือของแร็กนาร์แทน ตอนนี้พวกเขากำมือซึ่งกันและกัน  นิ้วนั้นสอดประสานเพื่อส่งต่อไออุ่นไปยังอีกคนหนึ่งเพื่อเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไป


“และนั่นทำให้พี่สับสนเป็นอย่างยิ่ง  ความคิดที่ทบทวนไตร่ตรองแล้ว บอกได้ว่าไม่ใช่ตนเดียวกัน  มันต่างกันมากจนเกินไป
แต่จิตใจกลับตะโกนก้องบอกว่าต้องใช่มันอย่างแน่นอน ใบหน้าแบบนั้น  ลวดลายแบบนั้น  ท่าทียโสโอหังเช่นนั้น  ต้องเป็นมันไม่ผิดแน่...ภาพเหตุการณ์นั้นก็ฉายซ้ำไปซ้ำมาภายในห้วงความคิด  จนพี่ไม่อาจหยุดตนเองได้  กระโจนเข้าใส่ปีศาจตนนั้นอย่างไม่ลังเล  ปล่อยให้ความแค้นครอบงำบดบังทุกสิ่ง จนลืมไปเสียทุกสิ่ง ลืมกระทั่งว่าข้าจะทำให้เจ้าได้รับอันตรายไปด้วย” เสียงที่บอกเล่าแม้สั่นเทา  แต่ก็ระบายมันออกมาทั้งหมดอย่างไม่ปิดบัง  ทั้งความคิดและจิตใจที่ขัดแย้ง  ทั้งความรู้สึกผิดที่มีต่อน้องชาย


ทุกครั้งที่ถึงจุดเจ็บปวด รูร์กัสจะบีบมือของแร็กนาร์แน่น แร็กนาร์จึงรับรู้ว่ามันบีบคั้นจิตใจเพียงใด ความทรงจำของเด็กวัย  4 ขวบ ที่ฝังรากลึกแม้จะผ่านมานานถึง  8  ปี  มันช่างหนักหนาเกินกว่าเด็กตัวเล็กๆจะรับไหว


“แร็กนาร์พี่รู้ว่าพี่ทำตัวไม่สมกับเป็นพี่ชายของเจ้าเลย ตั้งแต่แรกเริ่มพี่ก็เป็นเพียงตัวถ่วงของเจ้า ถ้าพี่ไม่ดื้อรั้นแล้วยอมกลับไปเสียแต่โดยดี เจ้าคงไม่เดือดร้อน...ไม่ถูกจับมาขังไว้ในคุกเช่นนี้  พี่ขอโทษ พี่ขอโทษ...” รูร์กัสกล่าวขอโทษแร็กนาร์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งยังใช้ฟันขบกัดริมฝีปากล่างของตนเพื่อข่มกลั้นไม่ให้ร้องไห้ออกมา  มือก็กำแน่นโดยไม่มีท่าทีจะคลายออกเลย เขารู้สึกผิดในการตัดสินใจที่ผิดพลาดของตน  จนไม่อาจให้อภัยตนเองได้


“ข้าไม่โกรธ  หรือโทษพี่...ข้าไม่เคยคิดสักครั้งว่าพี่เป็นตัวถ่วง ข้ารู้ดีที่พี่ทำเช่นนั้นเพราะเป็นห่วงข้า” แร็กนาร์กลับอย่างอ่อนโยน เขาไม่ได้โกหก  หากแต่พูดความจริง สายตาที่ส่งออกไปจึงปราศจากความกดดันต่างๆอย่างสิ้นเชิง  ทั้งยังยกมือของรูร์กัสที่กอบกุมมือของตนอยู่ ขึ้นมาแนบไว้ที่แก้มของตน


“ฮึก ฮึก   ฮืออ แร็กนาร์ๆ ของใจเจ้ามาก ขอบใจเจ้ามากจริงๆ...พี่จะไม่สนใจสิ่งใดแล้ว พี่จะหาทางรอดออกไปพร้อมเจ้า ฮึกๆ” รูร์กัสไม่อาจกลั้นน้ำตาได้อีก เขาปล่อยให้มันไหลออกมา พร้อมกล่าวของคุณจากใจส่งไปให้แร็กนาร์ เพื่อน้องชายอันเป็นที่รัก เพียงตัดใจจากสิ่งที่ยังสับสนอยู่นั้นมันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย


“พี่รูร์กัส  ข้าว่าการหลีกหนีไม่ใช่ทางออกที่ดี...ตอนนี้พี่เพียงสับสน หรือแค่ไม่ยอมรับความจริง” แร็กนาร์คิดทบทวนอยู่นานก่อนตัดสินใจเช่นนี้ เขาต้องเลือกระหว่างการเงียบสงบปากสงบคำปล่อยให้เรื่องผ่านไปเอง หรือยื่นมือเข้าไปฉุดรั้งให้รูร์กัสกล้าที่จะเผชิญโลกแห่งความเป็นจริงนี้ดี และเมื่อได้จ้องมองสภาพของรูร์กัสแล้ว  การหลีกหนีเช่นนี้จะต้องทำให้เขาเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสเป็นแน่


“พี่...พี่...”


“ข้าจะคอยอยู่ข้างๆพี่เอง  อย่าได้กลัวไปเลย”  เสียงเล็กเอ่ยขัดขึ้นเมื่อเห็นว่ารูร์กัสกำลังสับสนอย่างหนัก เขาไม่เคยปลอบใจใคร  จึงคิดถ้อยคำสวยหรูไม่ออก ได้แต่ส่งมอบความจริงใจไปให้เท่านั้น...แร็กนาร์อยากให้รูร์กัสที่เข้มแข็ง และอ่อนโยนคนนั้นกลับคืนมา


“ไม่เพียงแค่นั้น ข้าเองก็ต้องการให้พี่อยู่เคียงข้าง และช่วยเหลือข้า พี่จะช่วยข้าได้หรือไม่” แร็กนาร์ยังคงกล่าวต่อ การที่รูร์กัสคลายอาการสับสนลงไปบ้างในประโยคก่อน  การหาที่ยึดเหนี่ยวจิตใจเพิ่มเติมก็เป็นสิ่งจำเป็น และเรื่องที่แร็กนาร์ต้องการให้รูร์กัสช่วย ก็จะช่วยคลายความสับสนของรูร์กัสเป็นแน่  ใช่แล้วปัญหาของพวกเขาทั้งสองมีจุดเริ่มต้นร่วมกัน และต้องมีจุดจบร่วมกันอย่างแน่นอน


“ขอเพียงเป็นประโยชน์กับเจ้า มีหรือที่พี่จะปฏิเสธ...ขอบใจเจ้าอีกครั้งที่ยังให้ความสำคัญกับพี่ ฮึก ฮึก” เสียงตอบกลับนั้นยังสั่นเทา เพราะกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ น้ำตาที่ไหลรินอยู่ตอนนี้ไม่ใช่น้ำตาแห่งความเสียใจ แต่เป็นน้ำตาแห่งความดีใจที่ตนยังมีน้องชายคนสำคัญอยู่เคียงข้าง


“ท่านพี่สำคัญกับข้าเสมอ” แร็กนาร์ตอบพร้อมรอยยิ้มแสนอ่อนโยนนั้นอีกครั้ง เขาดีใจไม่น้อยเลยที่รูร์กัสคลายความกังวลลงไปบ้างแล้ว


“พี่...พี่ดีใจที่ได้ยินเช่นนั้น แร็กนาร์ ฮึก  แร็กนาร์  ฮืออออออ” รูร์กัสเลิกกลั้นความรู้สึกที่ถาโถม เขาปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้มอย่างไม่อายใคร  มือนั้นก็คลายออก ลูบแก้มใสของแร็กนาร์ด้วยความรูร์สึกขอบคุณ
แร็กนาร์เองก็ปล่อยให้รูร์กัสทำตามใจชอบ ทำเพียงจ้องมอง และส่งรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเอ็นดูเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่ปิดบังเท่านั้น


.


.


.


“แร็กนาร์ เอ่อ เอ่อคือ...พี่ขอโทษที่ทำให้เจ้าเสียเวลา แล้วยังเห็นสภาพน่าอายเช่นนี้อีก...จะเริ่มพูดคุยเรื่องของเจ้าเลยก็ได้นะ แหะๆ” รูร์กัสกล่าวออกมาหลังจากที่เงียบอยู่นานเมื่อร้องไห้จนพอใจแล้ว เขาคลายกังวลแล้วก็จริง แต่กลับมีความรู้สึกเก้อเขินในพฤติกรรมของตนเข้ามาแทนที่   จึงได้แต่หลบสายตาของแร็กนาร์หันไปมองผนังด้านในแทน


แร็กนาร์เห็นดังนั้นก็ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย อดขำกับท่าทีของรูร์กัสไม่ได้ แต่ก็เก็บเอาไว้ภายใน ไม่ได้หัวเราะออกมาดังๆอย่างที่ควรจะเป็น เพราะเขาไม่อยากให้รูร์กัสเก้อเขินไปมากกว่านี้ จึงได้แต่ส่ายหัวนิดๆ  แล้วกระโดดขึ้นไปนั่งบนเตียงที่ยังเหลือที่ว่างไว้ข้างๆรูร์กัสเท่านั้น


“ข้าว่าพี่เองก็คงจะสงสัยไม่น้อยเลย เรื่องที่ว่าเหตุใดปีศาจที่ชื่อซาดาโอะนั่นจึงมีใบหน้าคล้ายกับปีศาจที่พาตัวท่านแม่ไป” แร็กนาร์เริ่มต้นกล่าวอย่างราบเรียบ เมื่อจัดที่นั่งได้เหมาะสมแล้ว  ตอนนี้แร็กนาร์นั่งหันหลังให้รูร์กัส และหย่อนเท้าลงไปข้างเตียงที่ยกขึ้นมาเหนือพื้น


“หรือว่าเจ้าจะ...” รูร์กัสคิดทบทวนตามคำกล่าวของแร็กนาร์ จึงพอจะเดาจุดประสงค์ของร่างเล็กออก จึงได้กล่าวสิ่งใดไม่ออกอีก ได้แต่หันหน้ากลับมามองร่างเล็กด้วยดวงตาเบิกโพรง


“ใช่ ข้าอยากตรวจสอบให้แน่ใจว่าพวกเขามีส่วนเกี่ยวข้องกันอย่างไร ใช่แล้วพวกเขาต้องเกี่ยวข้องกันแน่ๆ  ไม่มากก็น้อย รวมทั้งผู้คนในเขตเหนือแห่งนี้ด้วย ข้าต้องรู้ให้ได้...เพราะข้าเชื่อว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มันคือโชคชะตาที่ถูกขีดไว้ต่างหาก...ท่านไม่คิดเช่นนั้นหรือ พี่รูร์กัส”  แร็กนาร์กล่าวประโยคที่ยาวที่สุดออกมาดังเช่นว่าอยากจะระบายสิ่งที่รบกวนจิตใจทั้งหมดออกมาเช่นเดียวกัน


“ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง มันจะดีแล้วจริงๆหรือแร็กนาร์...มันจะดีหรือที่เราจะก้าวเท้าเข้าไปยังพื้นที่แห่งความลับนั้น” รูร์กัสเอ่ยอย่างกังวลใจ แม้ก่อนหน้านี้การกระทำของเขาจะเป็นเรื่องไม่น่าให้อภัย แต่ก็เพราะเช่นนั้น เขาจึงไม่อยากให้แร็กนาร์เป็นดังเช่นที่เขาเป็นอยู่เช่นนี้


“ข้าไม่รู้...แต่หากมันค้างคาใจเช่นนี้ ข้าไม่ชอบใจเอาเสียเลย” แร็กนาร์กล่าวพร้อมกับหันหน้าไปจ้องมองรูร์กัส เพื่อยืนยันในสิ่งที่ตนตัดสินใจ และเพื่อยืนยันว่าตนนั้นจริงจังกับเรื่องนี้มากเพียงใด  เขาคิดทบทวนมันดีแล้ว หลายวันที่ผ่านมาเรื่องนี้ก็รบกวนจิตใจเขาไม่แพ้เรื่องอื่นๆเลย หากอยากหลุดพ้นกับสิ่งที่พบเจอ  เขาต้องลองเสี่ยงเท่านั้น


“ถ้าเจ้าต้องการเช่นนั้น พี่จะคอยช่วยเจ้าเอง...ไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใดก็ตาม” รอยยิ้มที่ตามมาจากกล่าวจบนั้นเป็นกำลังใจอย่างดีที่จะช่วยให้แร็กนาร์พร้อมก้าวเดินไปข้างหน้า  พร้อมจะเผชิญขวากหนามที่จะทิ่มแทงตนได้ทุกเมื่อเหล่านั้น ขอเพียงมีคนคนนี้อยู่เคียงข้าง ก็ไม่มีสิ่งใดต้องกลัวอีก


“ขอบคุณครับ พี่รูร์กัส” แร็กนาร์กล่าวด้วยความขอบคุณจากใจ  ก่อนจะก้มลงไปจูบซับเบาๆที่หน้าผากของรูร์กัส แล้วเงยหน้าขึ้นมายิ้มกว้างจนตาหยีอย่างที่ตนไม่เคยคิดว่าจะสามารถทำได้อีก


“หึหึ เจ้าไม่ยิ้มเช่นนี้ตั้งแต่หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น พี่นึกว่าจะไม่ได้เห็นมันอีกเสียแล้ว ดีจริงๆที่เจ้ายังคงมีความสุข” รอยยิ้มที่ปรากฏให้เห็นพาให้รูร์กัสยิ้มตามไปด้วย แม้จะยิ้มได้ไม่มากนักเพราะเจ็บที่คางอยู่บ้าง แต่เขาก็ดีใจไม่แพ้แร็กนาร์เลย หลังจากเหตุการณ์นั้น เหตุการณ์ที่แร็กนาร์เกือบเอาชีวิตไม่รอด  ด้วยน้ำมือของท่านพ่อ นี่เป็นครั้งแรกที่แร็กนาร์ยิ้มกว้างมากมายขนาดนี้
แต่รูร์กัสคงไม่อาจรู้ว่าสำหรับแร็กนาร์แล้ว การยิ้มครั้งนี้มีความหมายมากมายกว่าที่คิด เพราะผ่านมาหลายปีมากแล้วที่เขาไม่อาจยิ้มออกมาจากใจได้เช่นนี้ 


ชีวิตใหม่ที่เริ่มต้นขึ้น และการที่ต้องกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งนับว่าไม่เลวร้ายเลย เพราะมันทำให้เขาได้พบกับคนที่เชื่อใจได้ ทำให้เขาได้พบกับชีวิตที่สามารถยิ้มได้กว้างจนยาหยีเช่นนี้ เขาจะขอใช้ชีวิตให้ไม่รู้สึกเสียใจภายหลังอย่างแน่นอน


...


ในนามของ แร็กนาร์ คูฟฟ์  ข้าพร้อมแล้วที่จะเปลี่ยนแปลงมัน ต่อให้โชคชะตาที่ถูกกำหนดไว้จะเจ็บปวดเพียงใดก็ตาม...




To Be Continued...


ออฟไลน์ GreenHead(หัวเขียว)

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
    • Green Head - หัวเขียว


ตอนที่ 13
รวมพล


ยามราตรีเหนือแดนพยัคฆ์เกินประมาณ บนท้องฟ้าที่มืดครึ้มดวงจันทร์กลมโตสีแดงเลือดลอยเด่นอย่างเฉิดฉาย ค่ำคืนนี้เมฆหมอกปกคลุมหนาแน่นกว่าทุกคืนจนคนเบื้องล่างไม่อาจมองเห็นสิ่งที่อยู่เหนือขึ้นไปบนก้อนเมฆเหล่านั้นได้ บัดนี้ปรากฏเงาร่างครึ่งคนครึ่งนกที่มีปีกใหญ่โตบินฉวัดเฉวียนไล่ล่ารุกไล่กันอย่างไม่ลดละ


ปีศาจเผ่าวิหกชายหญิงคู่หนึ่งกำลังหนีจากปีศาจเผ่าวิหกอีกกลุ่มหนึ่ง  ทั้งสองสวมชุดสีทองแถบเขียวเหมือนพวกชนเผ่าแต่ผ้านั้นกลับเป็นผ้าเนื้อดีที่โบกพลิ้วอย่างนิ่มนวล  บนเส้นผมสีเขียวเข้มนั้นก็สวมใส่ที่คาดศีรษะประดับด้วยขนนกสีทองอร่าม
ปีศาจหญิงสาวเผ่าวิหกหอบอุ้มประคองกอดตะกร้าสานจากไม้ไผ่ใบเล็กเอาไว้อย่างหวงแหน  ส่วนปีศาจหนุ่มถือดาบคอยประกบด้านหลังเพื่อระวังภัยร้ายที่กำลังมาเยือน


ปีศาจเผ่าวิหกที่ไล่ตามมามีจำนวนกว่า 10 ตน พวกมันสวมใส่เสื้อผ้าสีดำมิดชิด ปกปิดใบหน้าตั้งแต่จมูกจนถึงลำคอ บนเส้นผมสีเขียวนั้นก็สวมใส่ที่คาดศีรษะประดับขนของกาดำ สองมือถือหอกดาบอันเป็นอาวุธประจำกายฟาดฟันใส่เป้าหมายของตนอย่างไร้ปราณี


พวกมันตนหนึ่งเร่งความเร็วจากปีกที่ใหญ่โตนั้นเข้าประชิดร่างที่กำลังหนีอย่างสุดชีวิต ปีศาจคู่ชายหญิงต้องบนหนีอย่างสุดกำลัง  ต่างจากพวกมันที่ผลัดกันเร่งผลัดกันถอยจึงมีแรงเหลืออยู่มากกว่าอีกฝ่าย  และเมื่อไล่ตามมาไกลมากพอเกินกว่าที่ใครจะรับรู้  พวกมันจึงเร่งลงมืออย่างไม่ลังเล


ปีศาจหนุ่มเห็นว่าตนคงหนีไม่พ้นเสียแล้ว  จึงหันหน้ามาเผชิญกับปีศาจร้ายที่ไล่ฆ่าตน เขาใช้ดาบในมือข้างหนึ่งรับดาบที่ฟาดฟันลงมา เพียงชั่วพริบตาหอกจากปีศาจร้ายอีกตนก็พุ่งเข้าใส่   ดาบในมือด้านที่ว่างอยู่ก็ตะหวัดรับหอกนั้นไว้อย่างทันท่วงที แต่แล้วดาบอีกด้ามก็ฟาดฟันลงมาอีก เขาจึงจำต้องใช้พลังควบคุมสายลมที่ตนถนัดอย่างเลี่ยงไม่ได้  เพียงลมที่พ่นออกจากปากก็พาให้ปีศาจตนที่สามกระเด็นไปไกล


แต่พลังที่มากจนเกินไปทำให้ท้องฟ้าปั่นป่วนเกิดลมหมุนดังคล้ายจะมีพายุลูกใหญ่พัดมา  ไม่อาจรู้ได้ว่าเพราะพลังนั้นไปกระตุ้นสภาพอากาศหรืออย่างไร จึงเกิดฟ้าร้อง  ฟ้าผ่า อื้ออึงไปทั่วบริเวณ 


ปีศาจหนุ่มสะบัดดาบทั้งสองอีกครั้งจนหอกดาบกระเด็นออกไปตามแรงเหวี่ยง พวกมันถอยกลับไปตั้งหลักก่อนจะเริ่มใช้พลังที่ตนทีบ้าง


“จานีย์! เจ้าหนีไปก่อนข้าจะต้านพวกมันไว้เอง” ปีศาจหนุ่มเห็นว่าตนต้องรับศึกหนักเสียแล้วจึงร้องตะโกนก้องบอกให้ปีศาจหญิงสาวที่บินคอยสังเกตการณ์อยู่ไม่ไกลให้หนีไปก่อน


“โคเน็น! ท่านต้องตามมา...ห้ามตายเด็ดขาด” ปีศาจหญิงสาวนามว่าจานีย์รับคำอย่างไม่อาจเลี่ยงได้  แม้จะห่วงปีศาจหนุ่มนามโคเน็นมากมายเพียงใด  แต่เมื่อก้มมองลงไปในตะกร้าใบนั้นสายตาเธอก็ปราศจากความลังเล  ตะโกนก้องตอบรับก่อนจะหันหลังให้ภาพที่เห็นตรงหน้าแล้วเร่งบินหนีไปอย่างไม่หันหลังกลับ


จานีย์รู้เพียงว่าเธอต้องหนีไปเบื้องหน้า   แม้ไร้จุดหมายแต่เธอก็ต้องบินต่อไป เพื่อที่จะอยู่รอด   เพื่อที่จะกลับไป...เธอต้องหนีเพียงเท่านั้น 


แต่แล้วเธอต้องหยุดชะงักเมื่อเบื้องหน้าเป็นเส้นตัดของขอบฟ้าที่มาบรรจบกันของแดนมนุษย์และแดนปีศาจ  หากเธอข้ามไป มนุษย์ต้องไม่ยอมรับเธอเป็นแน่


“อ้ากกกกกก”  เสียงร้องของโคเน็นยิ่งทำให้เธอกลั้นความตกใจไว้ไม่อยู่ ข้างหน้าก็เป็นทางตัน  ข้างหลังก็ไม่อาจหันกลับ จานีย์จ้องมองไข่ใบใหญ่กว่ากำมือเล็กน้อยที่มีลวดลายประหลาดใบนั้นที่อยู่ภายในตะกร้า ซึ่งถูกห่อรอบด้านด้วยผ้าผืนหนาเพื่อกันไม่ให้กระทบกระแทกจนแตกไป


สายตาที่มีแต่ความลังเลหยุดนิ่ง แปรเปลี่ยนเป็นสายตาที่แน่วแน่ เธอเลือกที่จะใช้ทางเลือกสุดท้าย หากโคเน็นไม่รอด  เธอไม่รอด อย่างน้อยลูกของเธอต้องรอด


จานีย์หอบอุ้มตะกร้าใบนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว ก่อนจะใช้มือที่ว่างอยู่ดึงสร้อยสีทองเส้นเล็กที่ร้อยเรียงเหมือนสายโซ่ และตรงกลางมีจี้ที่ห่อหุ้มด้วยกรอบสีทองเรียวรี  ใส่ไว้ด้วยอัญมณีสีเดียวกับดวงตาของเธอ   แล้ววางมันลงไว้ในผ้าข้างๆไข่ใบเล็ก ตามด้วยล้วงมือเข้าไปยังอกเสื้อหยิบจดหมายสองฉบับออกมาแล้ววางมันไว้ใต้ผ้าเหล่านั้นเพื่อไม่ให้มันปลิวหายไป


“แม่รักลูก...เจ้าต้องปลอดภัย  และกลับไปยังบ้านของเรา” หยาดน้ำตารินไหล เมื่อเธอต้องลาจากโดยไม่แม้แต่จะเห็นใบหน้าแรกเกิดของลูกน้อยเสียด้วยซ้ำ  โชคชะตาช่างโหดร้าย  พรากลูกพรากแม่ไม่พอ  ยังพรากเด็กน้อยจากแผ่นดินเกิดอีก


จานีย์สร้างลมห่อหุ้มตะกร้าใบนั้นให้เป็นวงเหมือนไข่ แล้วปล่อยมือออกจนตะกร้า ตะกร้าสานจากไม้ไผ่ค่อยๆลอยลงสู่เบื้องล่าง  แม้โชคชะตาจะโหดร้าย  แต่เธอยังคงภาวนาต่อพระเจ้า...ขอพระองค์วิหกสายฟ้าจงช่วยคุ้มครองให้ลูกของเราได้ไปอยู่ในมือของผู้ที่คู่ควร   และจงหวนกลับไปยังแดนวิหกอันเป็นแผ่นดินเกิดด้วยเทอญ...


“เจอแล้ว  จับตัวเธอให้ได้!” ปีศาจชั่วช้าสองตนตรงมายังที่ๆเธออยู่  จานีย์จึงหนีไปอีกทางเพื่อเลี่ยงสายตาไม่ให้พวกมันพบเจอตะกร้าใบเล็กที่เป็นดังแสงแห่งความหวังของชนเผ่า


เมื่อพ้นระยะที่ปลอดภัยเธอจึงหยุดแล้วหันมาต่อสู้  เธอไม่มีภาระใดๆแล้ว  หากสู้อาจจะยังมีทางรอดอยู่บ้าง สองมือรวบรวมลมจนกลายเป็นดาบยาว  แล้วพุ่งเข้าใส่ศัตรูหมายเอาชีวิตของมัน


ท้องฟ้าค่ำคืนนี้ช่างปั่นป่วนดังเช่นเทพกำลังพิโรธ ฟ้าผ่า ฟ้าร้อง  เกิดคลื่นลมปั่นป่วนแม้ไร้ฝนโปรยปราย กลุ่มปีศาจวิหกชุดดำ  และปีศาจชายหญิงต่างเข้าห้ำหั่นกันอย่างไม่มีใครยอมใคร เลือดสีแดงฉานอาบทั่วร่าง หยดลงสู่เบื้องล่างหยดแล้วหยดเล่า อย่างไม่อาจคาดเดาว่าใครจะรอดจากการต่อสู่เอาชีวิตในครั้งนี้...


.


.


.


ร่างเล็กบิดกายไล่ความเมื่อยขบหลังจากลืมตาตื่น เมื่อแสงของดวงอาทิตย์ส่องผ่านช่องเล็กๆด้านหนึ่งของกรงขังเข้ามา   บ่งบอกว่ายามได้มาเยือนแล้ว


“ตื่นแล้วหรือแร็กนาร์” เสียงติดแหบเนื่องจากยังไม่หายดี  แต่กลับเต็มไปด้วยความสดใจถูกส่งมาจากคนที่อยู่บนเตียงฝั่งตรงข้าม


“อรุณสวัสดิ์ครับพี่รูร์กัส”  แร็กนาร์ลุกขึ้นนั่งแล้วทักทายรูร์กัสพร้อมรอยยิ้ม จากวันนั้นแร็กนาร์ยิ้มให้รูร์กัสมากขึ้นจนตนเองยังแปลกใจ  แต่ก็ปล่อยให้เป็นไปอย่างที่ควร  แร็กนาร์บิดตัวไปมาเพื่อไล่ความเมื่อยขบอีกครั้งแล้วจึงกระโดดลงจากเตียงเดินไปหารูร์กัส


“อรุณสวัสดิ์”  รูร์กัสตอบกลับยิ้มๆก่อนจะลงจากเตียงตามแรงพยุงของแร็กนาร์  แล้วเดินตามไปล้างหน้ายังถังใส่น้ำที่ถูกตั้งไว้ในมุมหนึ่งของห้องขัง  จัดแจงล้างหน้าล้างตาอันเป็นกิจวัตรประจำวันจนเรียบร้อย ก็ถูกพากลับไปนั่งที่เตียงตามเดิม


หลังจากวันนั้นที่พวกเขาพูดคุยกันก็ผ่านมา 2 วันแล้ว  รูร์กัสอาการดีขึ้นค่อนข้างมากทีเดียว แร็กนาร์จึงให้รูร์กัสเดิน  และลุกนั่งได้โดยมีเขาคอยพยุงเมื่อต้องการขยับร่างกาย ความจริงรูร์กัสเดินเองได้แล้วเพราะร่างกายไม่ได้บาดเจ็บมากนักแม้จะกระเด็นไปกระแทกกำแพงบ้านก็ตาม แต่แร็กนาร์ก็ดื้นร้นเกินกว่าที่จะฟังแม้รูร์กัสห้ามปราม


ส่วนแร็กนาร์ได้รับความช่วยเหลือจากหมอชราหลายเรื่องทีเดียว เขานำอุปกรณ์มาให้จริงๆตามที่รับปาก แต่ก็นั่งคอยจับตามองแร็กนาร์ตลอดเวลาที่ตรวจสอบเลือดของหัวหน้ายาฉะ ทดลองเสร็จก็จะถามคำถามที่ตนไม่เข้าใจทุกครั้ง ช่างเป็นคนชราที่ไม่หยิ่งจองหองได้อย่างน่าชื่นชมทีเดียว


แร็กนาร์ไม่ได้รำคาญ เพราะยังเห็นประโยชน์ของหมอชรา ไม่เพียงรับฟังหมอชราจะแสดงความเห็นทุกครั้งที่เห็นต่าง ทำให้เขาคิดถึงช่วงเวลาเช่นนี้เมื่อครั้งที่อยู่ในโลกเดิม 


หมอชราเองก็ตอบคำถามของแร็กนาร์ทุกอย่างทั้งเรื่องพลังธาตุของมนุษย์ และพลังแฝงของปีศาจ  ทำให้แร็กนาร์พอจะคาดเดาสาเหตุของการปลดปล่อยพลังนั้นได้บ้างแล้ว แม้จะไม่ชัดเจนนักก็ตาม


หลายวันมานี้ตั้งแต่เหตุการณ์ลอบเข้ามาในบ้านใหญ่คืนนั้นพวกเขายังไม่พบหน้าของเด็กปีศาจฝาแฝดทั้งสองตนเลย  รูร์กัสรู้สึกกังวลจึงได้ถามหมอชรา  คำตอบที่ได้ก็ทำให้เขากังวลเพิ่มขึ้นไปอีก


แม้เด็กทั้งสองจะช่วยกันเฝ้าดูอาการของพ่อตน และไปอ้อนวอนขอร้องซาดาโอะให้ปล่อยแร็กนาร์ทุกวัน แต่ที่น่าวิตกคือ จิตใจที่บอบช้ำ และความกดดันที่ได้รับ ทำให้เด็กทั้งสองไม่ยอมหลับยอมนอน รวมทั้งไม่อยากอาหารอีกด้วย


แร็กนาร์ที่ทำเป็นไม่สนใจยังรู้สึกห่วงหา  กระวนกระวายใจอย่างที่ตนไม่ควรจะเป็น ความรู้สึกหวั่นไหวกลับมาอีกครั้ง หลังจากที่เขาเก็บมันไว้...เด็กน้อยที่ทานอาหารที่เขาทำอย่างมีความสุขน่ะหรือ  จะไม่อยากทานสิ่งใดเลย  แร็กนาร์ไม่อาจอยู่เฉยได้อีกจึงฝากข้อความผ่านหมอชราไปให้เด็กทั้งสองตามที่รูร์กัสกำลังทำ  รูร์กัสฝากให้หมอชรากำชับให้พวกเขาเลิกฝืนตนเอง  ทานข้าว และรักษาสุขภาพ


‘ห้ามตาย’


คำสั่งสั้นๆนี้เป็นข้อความจากแร็กนาร์  เขาไม่อาจปลอบโยนใครได้อย่างรูร์กัส จึงทำได้แต่กล่าวคำหยาบโลนที่ออกมาตรงๆเช่นนี้เท่านั้น


ร้อยคำปลอบโยน...หนึ่งคำหยาบโลน... ถูกส่งต่อไปยังเด็กน้อยทั้งสอง หัวใจพวกเขากลับมามีพลังเพราะคำปลอบโยนของรูร์กัส และชุ่มฉ่ำด้วยคำเพียงสองคำของแร็กนาร์  พวกเขาดีใจจนแทบเก็บอาการไม่อยู่ที่ได้รับรู้ว่าแร็กนาร์ห่วงพวกเขาไม่ต่างกัน


หลังจากวันนั้นเด็กทั้งสองก็กลับมาร่าเริงอีกครั้ง ทำหน้าที่ของตนอย่างขยันขันแข็ง และไม่ลืมที่จะไปกล่าวคำขอร้องซาดาโอะเช่นเดิม และเมื่อวันก่อนแร็กนาร์ก็มีคำสั่งไปยังเด็กน้อยทั้งสองอีกครั้ง  นั่นคือ...จงไปนำตำราสมุนไพรเล่มนั้นมาให้ข้า


พวกเขาตื่นเต้นจนแทบจะวิ่งออกไปเสียเดี๋ยวนั้น แต่ถูกหมอชราห้ามเอาไว้ก่อน การออกไปครั้งนี้นับว่าง่ายดายกว่าครั้งก่อนๆ  เพราะได้รับความช่วยเหลือจากหมอชรา  และหมอคนอื่นๆที่หมอชรายืนยันว่าเชื่อใจได้


แม้ว่าก่อนหน้านั้นหมอชรากับแร็กนาร์ถกเถียงกันอยู่พักใหญ่เพราะเรื่องของตำราเล่มนี้  แต่สุดท้ายแร็กนาร์ก็ชนะอย่างที่คาดไว้  เมื่อหมอชรายืนยันว่าจะให้คนของตนเข้าไปเอามาให้ แต่แร็กนาร์ก็ยืนกรานว่าจะไม่ยอมให้คนที่ตนไม่ยอมรับบุกรุกเข้าไปยังพื้นที่ส่วนตัวเป็นแน่ หมอชราต้องยอมแพ้ต่อความหัวแข็งของแร็กนาร์  เพราะเกลี้ยกล่อมกว่าชั่วยามแร็กนาร์ก็ไม่ยอมบอกข้อมูลใดๆและยังยืนยันตามเดิม


ดังนั้นเช้านี้แร็กนาร์จึงรู้สึกสบายใจกว่าวันไหนๆที่ทุกสิ่งกำลังเป็นไปตามที่ตนต้องการ


“แร็กนาร์  เจ้าอยากเจอพวกเขาหรือไม่” เสียงของรูร์กัสทำให้แร็กนาร์ตื่นจากภวังค์ความคิด   แล้วหันมาสนใจคนตรงหน้าแทน   พวกเขาที่รูร์กัสหมายถึงคงไม่พ้นฮิเดโอะกับฮิโรกิ  สองแฝดปีศาจจอมป่วนนั่นแน่นอน


“ไม่”  แร็กนาร์ตอบนิ่งๆแล้วจ้องมองไปยังลูกกรงไม่ยอมมองหน้าของรูร์กัสที่ตอนนี้นั่งพิงกำแพงจ้องมองแร็กนาร์อยู่


“เจ้าช่างปากไม่ตรงกับใจเสียจริงๆ เฮ้ออออ  เป็นห่วงขนาดนั้นจะไม่อยากเจอได้อย่างไรเล่า หึหึ” รูร์กัสกล่าวอย่างหยอกเย้าเมื่อน้องชายของตนปากไม่ตรงกับใจเสียเหลือเกิน ทั้งจะปล่อยผ่านให้เขาฝากข้อความเพียงคนเดียวก็ได้  ยังอดใจที่จะออกปากกล่าวเช่นนั้นไม่ได้  แล้วยังรวมถึงภารกิจครั้งนี้ ความจริงจะยอมให้หมอชราทำตามความต้องการก็ไม่เสียหาย แต่แร็กนาร์เลือกที่จะให้เด็กๆทำ  ทั้งยังยืนยันอีกว่าจะไม่ยอมให้คนที่ตนไม่ยอมรับเข้าไปยังพื้นที่ส่วนตัว  มันไม่ต่างกับการบอกหมอชราให้ไปบอกเด็กๆหรอกหรือว่าแร็กนาร์ยอมรับเด็กทั้งสองแล้ว


“ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น” แร็กนาร์ตอบกลับด้วยเสียงนิ่งเรียบแม้ในใจว้าวุ่น  เข้ายังไม่กล้าพอที่จะเชื่อใจใคร  แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้เด็กทั้งสองเป็นเช่นนั้นต่อไปได้...เขายังไม่อาจเข้าใจตนเองเสียด้วยซ้ำ


“แล้วเจ้าคิดเช่นใดเล่า”  รูร์กัสยังคงไล่ต้อนแร็กนาร์ให้จนมุม เขาชอบสีหน้าลุกลี้ลุกลนที่แสดงออกมาอย่างไม่รู้ตัวของแร็กนาร์ตอนนี้เป็นที่สุด  จึงไม่อาจห้ามใจไม่ให้แกล้งแร็กนาร์ได้


สายตาที่ไม่ยอมสบมอง มือที่ปัดป่ายเหมือนรื้นค้นหาของสำคัญ  หยิบนั่นหยิบนี่   ยังไม่วายทำล่วงหล่นจากมือนั่นอีก  มันช่างสร้างความหรรษาให้รูร์กัสเสียนี่กระไร


“ข้า  ข้า  ข้า...”  แร็กนาร์จนปัญญาที่จะหาคำแก้ตัว เขาไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เพราะไม่ได้สัมผัสกับโลกที่เหมือนกับเด็กทั่วไป จึงทำให้ไม่เข้าใจ และยากที่จะหาวิธีรับมือ 


แกร็ก


เสียงประตูเปิดออกดังจะช่วยให้แร็กนาร์รอดพ้นจากเหตุการณ์วิกฤตในครั้งนี้   หมอชราเปิดประตูด้วยรอยยิ้ม ครั้งนี้แร็กนาร์รู้สึกว่ารอยยิ้มกวนประสาทนั้นช่างน่ามองกว่าครั้งไหนๆ


‘เฮ้อออออ  รอดแล้ว’


“ท่านมาเช้าไปหรือไม่” แร็กนาร์รีบเปลี่ยนเรื่องให้ทันที พร้อมกับแสดงสีหน้าโล่งใจอย่างปิดไม่มิด  ทำให้รูร์กัสยิ้มพรางส่วยศีรษะน้อยๆให้กับความน่ารักอีกอย่างหนึ่งของแร็กนาร์ที่เขาพึ่งจะค้นพบ...เอาไว้หลังจากนี้แกล้งอีกก็คงไม่สาย  หึหึ...


“อ่า  พอดีมีคนอยากพบพวกเจ้า  แล้วยังใจร้อนไปปลุกข้าแต่เช้าเสียด้วย หึหึ”  หมอชรากล่าวอยากหยอกเย้าผู้ที่ตนกล่าวถึงก่อนจะเบี่ยงตัวหลบให้พวกแร็กนาร์สังเกตคนที่ยืนยิ้มอยู่ด้านหลัง  พร้อมกับตะกร้าสานจากไม่ไผ่ที่อยู่ในมือของฮิโรกิ


“แร็กนาร์!!” สองเสียงสอดประสานกันดังก้องก่อนจะวิ่งเข้ามาในห้องคุมขัง


“ไง...กลับมาร่าเริงแล้วหรือ” แร็กนาร์ตอบกลับเสียงตะโกนนั้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ  แต่ใบหน้านั้นกลับปรากฏรอยยิ้มแห่งความยินดีอย่างปิดไม่มิด


“คะ...ครับ ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง” ฮิเดโอะตอบกลับพร้อมรอยยิ้มที่แทบจะฉีกถึงใบหู ได้เห็นใบหน้าที่งดงาม ได้ฟังเสียงที่หวานละมุนของคนตรงหน้าที่ไม่ได้มาเห็นหลายวันมันทำให้เขามีความสุขเกินประมาณ  เขาแทบอยากจะวิ่งร้องตะโกนอย่างดีใจไปทั่วหมู่บ้านเลยทีเดียว


“พวกข้าไม่ตายแล้วนะ”  ฮิโรกิก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้มไม่ต่างกันหัวใจของเขาพองโตจนแทบจะระเบิดออกมาจากออกอยู่แล้ว


“ใครห่วงพวกเจ้า...ข้าแค่ไม่อยากให้เด็กตัวกระเปี๊ยกอย่างพวกเจ้าตายก่อนวัยอันควรก็เท่านั้น” แร็กนาร์ตอบเสียงนิ่งแล้วหันหน้าหนีเด็กทั้งสองกลับมามองตรงๆไปอีกฝั่งของเตียง  แต่ดูเหมือนจะเป็นการตัดสินใจที่พลาดมากทีเดียว  เพราะเขาหันไปสบตากับรูร์กัสพอดี รูร์กัสก็ยิ้มมุมปากอย่างรู้ทันดังจะบอกว่า...ข้ารู้นะว่าเจ้าคิดสิ่งใดอยู่


“ตะ...ตำรา พวกเจ้านำมาแล้วใช่หรือไม่” แร็กนาร์รีบหันกลับไปมองพวกเด็กๆตามเดิม  แล้วรีบเปลี่ยนเรื่องทันที  เขาไม่ชอบจริงๆรอยยิ้มเช่นนั้นของรูร์กัสมันทำให้เขาทำสิ่งใดไม่ถูก


‘อะ...อะไรเนี่ย  ทำไมเราไม่เป็นตัวของตัวเองแบบนี้นะ  ตั้งแต่วันนั้นแน่ๆ  เพราะเราเปิดใจมากไปรึเปล่านะ   ความรู้สึกแปลกๆที่เราไม่เคยมีถึงออกมามายมายแบบนี้


แย่แน่...เพราะไม่เคยเจออะไรแบบนี้ ทำให้ไม่รู้ว่าจะตอบโต้ออกไปยังไงดี ทั้งร่างกาย ทั้งความรู้สึก  มันประหลาดสุดๆไปเลย คิดสิคิด  คิดให้ออกกรณีศึกษาไม่มีเลยรึไงกัน...มันต้องมีทางออกสิน่า’



แร็กนาร์เข้าสู่ภวังค์ความคิดของตนในขณะที่ทุกคนกำลงพูดคุยกัน  และเรียกผู้คุมคุกเข้ามาเปิดประตูห้องขัง  ทั้งยังเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ตัวยาวซึ่งผู้คุมคุกนำมาวางเอาไว้  เมื่อเห็นว่าหมอชราเข้ามาในนี้บ่อยเหลือเกิน จึงต้องอำนวยความสะดวกให้


ปีศาจทั้งสามตนนั่งลงบนเก้าอี้ ผู้คุมคุกล็อคกุญแจกรงขัง  แล้วเดินออกไป แร็กนาร์ก็ยังจมอยู่ในห้วงความคิดเช่นนั้น หาได้สนใจสิ่งรอบตัวใดๆอีก


“...นาร์...แร็กนาร์...แร็กนาร์!!”


“อ๊ะ...เหตุใดต้องเรียกข้าเสียงดังเช่นนั้นเล่า” แร็กนาร์หลุดออกจากภวังค์ความคิดด้วยความตกใจ เมื่อฮิโรกิเรียกเข้าด้วยเสียงอันดังก้อง


“ข้าเรียกเจ้าตั้งหลายครั้ง...แต่เจ้าไม่ตอบข้านี่นา” ฮิโรกิตอบกลับด้วยเสียงหงอยๆ  พร้อมทำแก้มพองลมอย่างน่ารักน่าเอ็นดู จนทำให้แร็กนาร์มีความรู้สึกแปลกประหลาดเกิดขึ้นมาอีกครั้ง  จึงรีบหันหนีไปอีกทาง


“เจ้า...เจ้ามีสิ่งใดเล่า” แร็กนาร์ตอบกลับเสียงตะกุกตะกัก เมื่อเริ่มตั้งสติได้แล้ว พร้อมกับหันกลับมามองยังปีศาจทั้งสามที่นั่งอยู่บนเก้าอีกยาวตั้งติดกับลูกกรงอีกครั้ง


“ตำราที่เจ้าต้องการใช่เล่มนี้หรือไม่” ฮิโรกิถามพร้อมกับยกตำราเล่มดังกล่าวขึ้นมาให้แร็กนาร์ดู ซึ่งนำออกมาจากกระเป๋าคล้ายถุงย่ามที่เจ้าตัวสะพายอยู่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ


“ข้าไม่แน่ใจนัก  เพราะเจอมันบนตู้หนังสือในห้องนอนของเจ้า...แล้วเล่มที่ลักษณะคล้ายกันก็มีอยู่หลายเล่ม”  ฮิเดโอะช่วยเสริม  เพราะตอนที่เขาเห็นตำราเล่มนี้ครั้งแรก เขาสนใจเพียงหน้าที่แร็กนาร์เปิดให้ดู  ไม่ได้สนใจลักษณะของมันเท่าไหร่นัก  จึงจดจำได้คร่าวๆเท่านั้น


“อืม...ถูกแล้ว”  แร็กนาร์มองอย่างพิจารณาชั่วครู่ ก็ตอบกลับไป จึงทำให้เด็กปีศาจทั้งสองยิ้มออกมาอีกครั้ง
ตำราเล่มนี้ไม่ต่างจากตำราเล่มอื่นๆ  แต่ด้านในกลับเป็นราบชื่อสมุนไพรของแดนปีศาจเพียงเล่มเดียวที่เจออยู่ในบ้านหลังนั้น  มันกลมกลืนกับตำราเล่มอื่นๆแร็กนาร์จึงนำมันไปไว้ในตู้หนังสือ ซึ่งเป็นที่ซ่อนที่ไม่เลวเลยทีเดียว  จุดสังเกตนั้นไม่ยากนัก  ตำราเล่มนี้จะมีเชือกเส้นสีแดงโยงจากสันปกด้านบนทำเป็นที่คั่นหนังสือ สำหรับใช้คั่นหน้าที่อ่านค้าง


“ดีแล้วๆ เจ้าจะให้ข้าทำสิ่งใดต่อก็บอกได้เลย” หมอชรากล่าวแทรกขึ้น เมื่อเห็นว่าเวลาผ่านมาพอควรแล้ว  ต้องเข้าสู่หัวข้อสำคัญเสียที


“มีสมุนไพรหลายชนิดที่ข้าอยากลองนำมาปรุงยา...ข้ายังไม่มั่นใจในสรรพคุณมันมากนักจึงอยากทดลองดูทุกชนิดที่คิดไว้...คงต้องรบกวนท่านหมอแล้ว” แร็กนาร์กล่าวอย่างเป็นทางการ เขาไม่เคยใช้มันกับหมอชรามาก่อน แต่ครั้งนี้เขาต้องรบกวนหมอชรามากมายจริงๆจึงอดที่จะกล่าวเช่นนั้นไม่ได้


“มิได้ๆ มันไม่ได้รบกวนข้าเลย ข้าเต็มใจ...ถ้าสิ่งนั้นมันทำให้ท่านหัวหน้าใหญ่ปลอดภัยข้าก็ยินดี” หมอชรากล่าวอย่างจริงจัง ไม่ได้ใช้น้ำเสียงหยอกเย้าเช่นก่อนหน้านี้


“ขอบใจท่านมาก”  คำขอบคุณของแร็กนาร์พาให้หมอชราตะลึงเล็กน้อย เข้าไม่คิดว่าเด็กน้อยที่หยิ่งจองหอง ไม่ค่อยพูดจาเช่นนั้น จะยอมออกปากกล่าวคำพูดเช่นนี้กับตนง่ายๆ  ทำให้เขายิ้มอย่างจริงใจออกมา


แร็กนาร์ไม่เลิกสนใจหมอชราแล้วกระโดดลงจากเตียงนอนเดินเข้าไปหาฮิเดโอะกับฮิโรกิ  แล้วใช้มือยีผมของเด็กทั้งสองอย่างเอ็นดู


“พวกเจ้าเก่งมาก” แร็กนาร์เอ่ยชม แม้กระดากอายอยู่บ้างแต่เขาคิดว่าคงต้องให้รางวัลเด็กทั้งสองบ้างที่ทำภารกิจครั้งนี้สำเร็จไปได้


ฮิเดโอะกับฮิโรกิยิ้มกว้าง  พร้อมทั้งหลับตาพริ้มรับสัมผัสที่มือผ่านเส้นผมของตนอย่างมีความสุข แร็กนาร์เองก็กลั้นขำเอาไว้แทบจะไม่อยู่เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเด็กทั้งสอง มันช่างน่าเอ็ดดูเหมือนน้องหมาตัวเล็กๆเสียจริงเชียว


“หึหึ  เอาล่ะๆ  เอาตำรามาให้ข้าได้แล้ว” แร็กนาร์ละมือจากผมของทั้งสอง  แล้วเปลี่ยนเรื่องในทันที แม้อยากจะทำต่ออีกนิด แต่กลัวตัวเองจะมีความสุขมากจนเดินไป จึงต้องหยุดแต่เท่านั้น


ฮิโรกิก็ว่าง่ายส่งตำราในมือของตนให้แร็กนาร์ในทันที แร็กนาร์เดินไปยังที่นอนของตนแล้ววางตำราลงเปิดหาสมุนไพรที่ตนหมายตาไว้แล้วพับมุมเล็กๆไว้ที่มุมบนของหนังสือ เพื่อง่ายต่อการหาของหมอชรา


ตำราเล่มนี้ไม่เพียงมีชื่อสมุนไพร  มันยังมีรูปวาด  สรรพคุณ  และสถานที่ที่มันงอกงามเอาไว้อย่างละเอียด   แต่เพราะตำราเล่มนี้เก่ามากแล้ว ความคาดเคลื่อนของสถานที่จึงมีอยู่มากทีเดียว  เช่นในคราวก่อนที่หาดอกไม้ดอกนั้น  เขาไปยังสถานที่ๆเขียนเอาไว้แต่ไม่พบมันงอกงามอยู่เลย


เมื่อเลือกสมุนไพรบนหน้าหนังสือจนเสร็จ  แร็กนาร์ก็ค้นกระเป๋าของตนหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา ในนั้นมีรายชื่อสมุนไพรที่หาได้ทั่วไปอยู่ เข้าต้องนำพวกมันมาใช้เป็นส่วนผสมในการปรุงยาเช่นกัน


“รบกวนท่านด้วย” แร็กนาร์นำตำราสมุนไพร  และกระดาษแผ่นดังกล่าวเดินไปส่งให้หมอชราพร้อมกับกล่าวฝากฝังอีกครั้ง
“ได้ๆ” หมอชรารับของจากมือของแร็กนาร์แล้วเปิดมันออกดู เพียงชั่วครู่สายตาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นความตื่นตะลึง  และความสงสัยปะปนกัน  แต่ก็เพียงเท่านั้น  เขาปรับอารมณ์เพียงแค่หลับตาลงแล้วเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง  มันก็กลับเป็นดังเดิม
หมอชรายอมรับ และทึ่งในความสามารถของแร็กนาร์  ยิ่งเวลาที่ผ่านมาพวกเขาได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ก็ก็ยิ่งทำให้ระยะห่างของอายุนั้นสั้นลง  มันไม่ต่างจากเวลาที่เขาพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กับสหายวัยเดียวกันเลย นั่นทำให้เขาเริ่มเอ็นดูและรักใคร่แร็กนาร์เช่นศิษย์คนอื่นๆของตน...แต่เหตุใดเจ้าจึงมีตำราเล่มนี้ได้เล่า


“เท่านี้ก็เรียบร้อยแล้วสินะ” รูร์กัสกล่าวขึ้นเพื่อทำลายความเงียบเมื่อหมอชรารับตำราเล่มนั้นไป ห้องขังนี้ก็เงียบลงอย่างน่าตกใจ


“อ๊ะ...พี่รูร์กัส! พี่หายดีแล้วหรือครับ” ดังเช่นพึ่งสังเกตเห็น  ฮิเดโอะมองรูร์กัสอย่างทึ่งๆ ที่ตอนนี้รูร์กัสลุกขึ้นมานั่งได้แล้ว  ทั้งที่ในคืนนั้นรูร์กัสบาดเจ็บอย่างหนักมากเสียจนเข้าคิดว่าจะไม่รอดเสียแล้ว


“ฮ่าๆข้าได้ยาดีน่ะ” รูร์กัสตอบกลับอย่างอารมณ์ดี  เขาไม่ได้โกรธที่พวกเด็กๆแทบจะลืมเขาไปเสียแล้ว เขารู้สึกดีใจเสียด้วยซ้ำที่ได้มองน้องๆของเขายิ้มอย่างมีความสุขเช่นนั้น


“ครับๆท่านหมอเก่งมากเลยล่ะ  พวกที่บาดเจ็บหายเร็วมากหากได้ยาของท่านหมอ...ยกเว้นพ่อของข้า” ฮิโรกิแปรเปลี่ยนอารมณ์อย่างรวดเร็ว จากร่าเริงเป็นหดหู่ตามแบบนิสัยของเจ้าตัว  จนทำให้คนอื่นๆตกใจไปตามๆกัน


“เอาเถอะๆ เดี๋ยวพ่อเจ้าก็หายแล้ว...ว่าแต่ตะกร้าใบนั้นมันอะไรกัน” รูร์กัสรู้สึกผิดที่ไปจี้จุดของอิโรกิจึงรีบเปลี่ยนเรื่องในทันทีเมื่อสายตาสบมองตะกร้าสานจากไม้ไผ่ข้างๆตัวของฮิโรกิเข้า


“อ๊ะ  จริงด้วยๆแร็กนาร์เจ้าดูสิ  สิ่งนี้”  ฮิโรกิเปลี่ยนอารมณ์อีกครั้งเมื่อได้ฟังสิ่งที่รูร์กัสถาม และนึกขึ้นได้ว่าตนมีของสำคัญอีกอย่างหนึ่งมาให้กับแร็กนาร์


“หือ  สิ่งใดกัน...ไข่?” แร็กนาร์รับตะกร้าไปแล้วจ้องมองอย่างงงงวย ในตะกร้าใบนั้นมีไข่ประหลาดสีเหลืองทอง บนเปือกไข่ก็มีจุดวงกลมสีเขียวเรียงรายเต็มไปหมด มันเป็นไข่ที่ใหญ่กว่ากำมือของผู้ใหญ่เล็กน้อย  และมีผ้าผืนหนารองด้านล่าง  และด้านข้างอยู่หลายชั้นเพื่อกันไม่ให้แตกไปเสียก่อน


“แล้วสร้อยนี่มันอะไรกัน” แร็กนาร์สะดุดตากับแสงสีทองที่กระทบกับแสงที่ส่องมาจากช่องเล็กๆบนผนังจนเกิดความวาววับ เขาจึงหยิบมันขึ้นมาพบสร้อยสีทองซึ่งมีจี้สีเขียวมรกตประดับอยู่


“โห  อะไรกันน่ะ ข้าไม่ทันสังเกต  เพียงเก็บตะกร้าไปนั้นมาเพราะคิดว่าเจ้าคงสนใจสิ่งแปลกๆเท่านั้นเอง” ฮิโรกิตกใจจนอ้าปากค้าง สร้อยเส้นนั้นงดงามจนไม่อาจละสายตาได้แต่เมื่อตั้งสติได้จึงตอบแร็กนาร์ออกไป


“เจ้าไปพบมันที่ไหน” แร็กนาร์ถามอย่างนึกสงสัยแล้ววางสร้อยเส้นนั้นลงไว้ที่เดิม พร้อมกับล้วงมือหาสิ่งของเพิ่มเติมในตะกร้าใบนั้น


“เราพบมันในป่าก่อนที่จะออกจากแดนปีศาจ ไม่ไกลจากบ้านของเจ้ามากนัก” ฮิเดโอะตอบออกไปแทนฮิโรกิ  เพราะฮิโรกิคำลังคิดอย่างหนักว่าตนควรจะตอบว่าเจอที่ใดในเมื่อรอบด้านนั้นมีแต่ต้นไม่ใบหญ้า แล้วเขาควรตอบว่าเป็นที่ใดเล่า


“เข้าใจแล้ว”  แร็กนาร์ตอบเพียงแค่นั้น เมื่อมือของเขาไปสะดุดกับกระดาษซึ่งอยู่ที่ก้นของตะกร้า  จึงดึงมันขึ้นมาก็พบว่าเป็นจดหมาย  2  ฉบับ


บนซองแรกจรดหมึกเขียนเขาไว้ว่า ‘ถึงลูกรัก’ และฉบับที่สองเขียนไว้ว่า  ‘ถึงผู้มีพระคุณ’  แร็กนาร์จึงนำซองแรกวางไว้ในตะกร้าตามเดิม  แล้วเปิดซองที่สองอย่างสนใจ แม้เขาจะลังเลอยู่บ้าง  แต่ความตื่นเต้น และความอยากรู้อยากเห็นมันมีมากเกินไปจนไม่อาจห้ามใจได้


แร็กนาร์นำกระดาษสีขาวที่อยู่ด้านในออกมา  และคลี่เปิดอ่านอย่างพิจารณา


ขอวิงวอนต่อโชคชะตา  และท่านผู้มีพระคุณ  โปรดปกป้องดูแลลูกของเรา แล้วพาหวนคืนสู่ฟากฟ้า  เพื่อเติมเต็มความหวังที่รอคอย...


ซาคาจาเวีย
ป.ล. เด็กคนนี้มีนามว่า “โกยาตเลย์”


To Be Continued...

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ GreenHead(หัวเขียว)

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
    • Green Head - หัวเขียว


ตอนที่   14
ศัตรูใหม่
   

หลังจากอ่านจดหมายฉบับนั้นจบลง  ก็ไม่มีเสียงใดๆเอ่ยออกจากปากแร็กนาร์   ส่วนคนอื่นๆก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยสิ่งใด  ปล่อยในแร็กนาร์คิดและรอฟังคำตอบเท่านั้น


แร็กนาร์มองข้อความในกระดาษสลับกับไข่ใบเล็กในตะกร้าอย่างครุ่นคิด


‘จากจดหมายคงเดาได้ไม่ยากว่าไข่ใบนี้เป็นปีศาจเผ่าวิหกแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย  มีเรื่องน่าสนใจเกิดขึ้นซะแล้ว  ตั้งแต่เรามาโลกนี้ก็เจอแค่ตัวเองที่เป็นลูกครึ่ง รูร์กัสที่เป็นมนุษย์  แล้วก็เด็กแฝดที่เป็นปีศาจเผ่าพยัคฆ์  ไม่เคยเจอเผ่าอื่นเลย


ถ้าจำไม่ผิดเผ่าวิหกอาศัยอยู่บนท้องฟ้าห่างไปทางทิศใต้สุดของแดนพยัคฆ์...พูดเหมือนไม่ไกล   แค่พอนึกถึงความเป็นจริงแล้ว  มันไกลสุดเลยนี่หว่า โอกาสที่จะได้เจอตัวเป็นๆไม่ง่ายเลย  แล้วยังได้สังเกตพัฒนาการตั้งแต่ออกจากไข่อีก นี่มันสุดยอดเลย
แต่ปัญหาคือ  ไอ้ข้อความในจดหมายนี่ล่ะนะ  ถ้าเรารับเลี้ยงเอาไว้ล่ะก็ต้องมีปัญหาตามมาแน่ๆ และต้องเป็นเรื่องใหญ่สุดๆด้วย ถึงขั้นเอามาทิ้งไว้ไกลแทบจะสุดแดนปีศาจขนาดนี้ แล้วก็ยังให้พากลับไปที่แดนวิหกอีก มันต้องไม่พ้นเรื่องของพวกคนใหญ่คนโตแน่นอน


แต่ก็นะ ไม่ใช่ว่าเราไม่อยากไปแดนวิหก  ถ้ามีเจ้านี่ด้วยคงเป็นใบเบิกทางอย่างดีเลย แล้วก็ถ้าเป็นคนสำคัญคงต้องมีผลตอบแทนมากมายแน่ๆ  หึหึหึ


เอาไงดีล่ะเรา ข้อดีข้อเสียแทบจะเท่าๆกันเลย   เราไม่รู้ปัญหาที่จะตามมาซะด้วย...ไม่แน่มันอาจจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่มากก็ได้’



แร็กนาร์จ้องมองไข่ใบเล็กในตะกร้า เดี๋ยวขมวดคิดจนแทบจะจรดกัน  เดี๋ยวคลายออกดังเช่นลังเลในความคิดของตนครั้งแล้วครั้งเล่า จะทุกคนที่นั่งรอคำตอบต้องคอยลุ้นไปด้วยจนแทบจะหยุดหายใจ


ในใจของแร็กนาร์สับสน  ความคิดต่างๆขัดแย้งกันไปมา  ทั้งความอยากรู้อยากเห็น ทั้งความกลัวที่จะต้องเจอกับปัญหาที่รออยู่ เขาชั่งใจครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ดูเหมือนฝั่งที่ชนะคงเป็นสิ่งที่ใครๆก็สามารถคาดเดาได้ เพราะถ้าหากไม่ต้องการแล้ว  แร็กนาร์คงไม่มานั่งคิดอย่างหนักเช่นนี้


“ข้าจะดูแลเอง” แร็กนาร์กล่าวออกมาอย่างหมายมาด  เขาตัดสินใจแล้วว่าความรู้สำคัญกว่าทุกสิ่ง แม้จะแลกมาด้วยปัญหาที่คาดไม่ถึง แต่อย่างนั้นมันก็ยังไม่ถาโถมเข้ามาในเวลาอันใกล้นี้ ยังมีเวลามากพอที่เขาจะได้เตรียมการ เพียงเขาเลี้ยงดูปีศาจในไข่ใบนี้ให้เป็นไปตามที่ใจเขาต้องการ มันคงไม่ยากอะไรเลย


“จริงๆหรือ เช่นนั้นข้าจะช่วยเจ้าดูแลเอง” ฮิโรกิกล่าวอย่างร่าเริง  เมื่อแร็กนาร์ยอมรับของขวัญที่ตนนำมาให้


“ขอบใจเจ้ามากฮิโระ...แต่เจ้าคงช่วยข้าได้ไม่มากนัก” แร็กนาร์กล่าวออกมาพร้อมกับนำตะกร้าใบนั้นไปวางไว้บนเตียงของตน แล้วหันกลับมาพูดคุยกับคนอื่นๆต่อ


“ในเวลานี้พวกเจ้ามีสิ่งที่ต้องทำมากมาย...ทั้งเรื่องพ่อของเจ้า ทั้งเรื่องสงครามเขตชายแดนนั่นอีก” ถึงเวลาแล้วที่เขาคิดว่าต้องจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย ไม่เช่นนั้นปัญหาที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้จะต้องร้ายขึ้นอีกเป็นแน่


“เจ้ากล่าวเช่นนั้น...หมายความว่าเรื่องทั้งหมดเกี่ยวข้องกันอย่างนั้นหรือ  แต่ใครเล่าที่จะกล้าเข้ามาวางยาท่านพ่อ ท่านพ่อเป็นถึงหัวหน้ากลุ่มยาฉะ ยากนักที่พวกมันจะเข้าถึง” ฮิเดโอะกล่าวถามด้วยความสงสัย คงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเขาก็รู้สึกระแคะระคายกับเรื่องเหล่านี้อยู่บ้างเช่นเดียวกัน แต่ก็ไม่อาจกล้าที่จะตัดสินใจสิ่งต่างๆด้วยตนเอง


“เจ้ายังไม่เข้าใจอีกรึ ฮิเดะ...มันหมายความว่าในกลุ่มของเจ้ามีคนทรยศอย่างไรล่ะ” สายตาจริงจังจ้องมองไปยังเด็กน้อยตรงหน้าที่ช่างใสสะอาดบริสุทธิ์ มันเป็นเรื่องยากที่เด็กน้อยจะทำใจเชื่อ เพราะพวกเขายังเด็กจึงมีความคิดว่า ใครๆก็ต้องต่างจงรักภักดีต่อพ่อของตนซึ่งเป็นถึงหัวหน้ากลุ่มอันแข็งแกร่ง เห็นเช่นนั้นแล้วใครเล่าจะกล้าวางเฉยปล่อยให้เรื่องผ่านไปเช่นนั้นได้...ในเมื่อเขาเลือกที่จะก้าวเข้ามาตั้งแต่ต้น เขาจึงต้องเดินต่อไปให้สุดปลายทาง


.


.


.


ในเวลาเดียวกัน ณ สถานที่ที่เด็กน้อยปีศาจทั้งสองต้องมาเยือนทุกเช้าค่ำ มีร่างใหญ่โตของชายที่มีรูปร่างลักษณะคล้ายเสือเบงกอลแต่หากสังเกตดีๆจะพบว่าชายร่างใหญ่โตนี้มีลักษณะของเสือโคร่งขาว เขามีร่างกายสีขาว มีลายสีน้ำตาลเข้ม ดวงตาสีแดงวาววับ แต่กลับมีจุดสีฟ้าประกายเล็กๆอยู่กลางวงสีแดงนั้น จมูกคมสันเป็นสีชมพูระเรี่ยดังก้นเด็ก เพราะเขามีลักษณะคล้ายพวกที่เกิดผิวเผือก จึงไม่แปลกเลยที่ผิวจะเกิดร่องรอยของเลือดฝาด


ร่างใหญ่โตของชายที่มีลักษณะของปีศาจเสือโคร่งขาวยืนปักหลักอยู่หน้าประตูเลื่อนบานใหญ่ด้วยใบหน้าเรียบเฉยก่อนจะค่ายๆยกมือข้างหนึ่งขึ้นไปเปิดบานประตูออก


ครืดดดดด


หลังจากประตูบานใหญ่ถูกเลื่อนเปิดออก ด้านในห้องนั้นก็ปรากฏร่างของ ยาฉะ เบียกโกะ ชายผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มยาฉะที่นอนหลังไหลอยู่ด้วยลมหายใจที่แผ่วเบา


เท้าหนาเหยียบย่างเข้าไปใกล้ร่างนั้นอย่างไม่เร่งร้อน ปากก็ขยับยกยิ้มแฝงความพึงพอใจไว้อย่างไม่คิดปิดบัง จ้องมองร่างที่ใกล้หมดลมหายใจด้วยสายตาที่หลากความหมาย ทั้งความรัก ความชัง และความคลั่งแค้น เขาจ้องร่างนั้นอยู่นานราวกับว่าต้องการจดจำภาพวินาทีสุดท้ายนี้ให้ตราตรึงเอาไว้ให้ลึกสุดในขั้วหัวใจ


“ท่านเข้ามาให้ห้องนี้ด้วยธุระอันใด...ท่านเทโทระ” เสียงราบเรียบแต่แฝงความไม่ไว้วางใจนั้นถูกส่งออกมาจากปากของชายที่ได้ชื่อว่าที่ปรึกษาของกลุ่มยาฉะ ซึ่งมักจะถือพัดที่มีลวดลายงดงามอยู่ในมือเสมอ


“หึหึ ข้าเพียงมาเยี่ยมน้องชายข้า ใยเจ้าจ้องมีท่าทีหวาดระแวงเช่นนั้นเล่าซาดาโอะ” บุรุษนาม ยาฉะ เทโทระ ชายซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่ชายร่วมสายเลือดของ ยาฉะ เบียกโกะ เอ่ยปากตอบกลับด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า หาได้กังวลต่อผู้มาเยือนคนใหม่ไม่


“หึ ท่านมาเยี่ยม หรือมาเพื่อดูวาระสุดท้ายของท่านเบียกโกะด้วยตาของตนเองกันแน่” ซาดาโอะตอบกลับด้วยเสียงเย้ยหยัน ต่อคำกล่าวที่เต็มไปด้วยคำโกหกของบุรุษตรงหน้า


“หึหึ ใยเจ้าคิดเช่นนั้นเล่า ความจริงแล้ว...ข้าจะทำอะไร หรือคิดเช่นไร เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์มาห้ามข้า” น้ำเสียงหยอกเย้าแปรเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนที่เจ้าของเสียงนั้นจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับซาดาโอะที่ยืนอยู่หน้าประตู


“ท่านยังไม่มีสิทธิ์ทำสิ่งใด...เพราะตอนนี้ข้าเป็นผู้ถืออำนาจสูงสุดอยู่ ขอเชิญท่านออกไปได้แล้ว ท่านเทโทระ” อารมณ์ที่ครุกรุ่นพาให้ซาดาโอะไม่อาจควบคุมอารมณ์ของตนได้ เขาหมดความอดทนกับคนตรงหน้าเสียแล้ว จึงได้แต่ยกเรื่องที่ไม่ควรนี้ขึ้นมาต่อรองเท่านั้น


“หึหึ อย่าทำหน้าเช่นนั้นเลย...เจ้าควรยิ้มให้ข้าเช่นเบียกโกะไม่ใช่หรือ เพราะอีกไม่นานผู้ที่จะได้ครอบครองทุกสิ่งก็คือข้า!” เทโทระกล่าวจบก็เดินย่างเท้าไปประชิดตัวของซาดาโอะ ก่อนยกมือหนาข้างขวาขึ้นมาจับใบหน้างดงามที่กำลังโกรธขึง พร้อมทั้งลูบไล้แก้มเนียนนั้นอย่างแผ่วเบา ดังต้องการหยอกล้อปีศาจที่ไม่ยอมสยบต่อเขาง่ายๆตนนี้


“อย่ามาแตะต้องข้า ตอนนี้ท่านยังไม่มีสิทธิ์เช่นนั้น” เจ้าของใบหน้าเนียนขาวหาได้ขัดขืนชายตรงหน้า เขาเพียงส่งสายตาข่มขู่ออกไปเท่านั้น เพราะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าตนอยู่ในฐานะใด และควรปฏิบัติตัวเช่นใดต่อชายตรงหน้า สิ่งใดที่ทนได้เขาจึงจำต้องทนอยู่เช่นนี้


“หึหึ เจ้างดงามถึงเพียงนี้ ข้าจะอดใจไหวได้อย่างไรเล่า” ผู้ถูกสายตาข่มขู่หาได้หวาดกลัว และไม่เพียงเท่านั้นเขายังไล้นิ้วหัวแม่มือไปบนริมฝีปากบางนั้นอย่างไม่เกรงใจสายตาข่มขู่นั้นเลยแม้แต่น้อย


เพลียะ!


“อย่า-มา-แตะ-ต้อง-ข้า” ความอดทนขาดผึ่ง เมื่อคนตรงหน้าไม่หยุดที่จะล่วงเกินเขา ซาดาโอะปัดมือหนาออกด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะกล่าวเน้นประโยคนั้นที่ละคำด้วยเสียงเย็นชา


“ฮ่าๆๆๆ ข้าชอบเสียจริงๆใบหน้าที่บิดเบี้ยวเช่นนี้ของเจ้า...อีกไม่นานๆเจ้าเหลือเวลาอีกไม่นานแล้วซาดาโอะ...ในตอนนี้เจ้าอยากทำสิ่งใดก็จงรีบทำเสียเถอะ เพราะอีกไม่นานทุกสิ่งจะกลับมาเป็นของข้า  อย่างที่มันควรจะเป็น!!” น้ำเสียงหยอกเย้าแต่หนักแน่  แต่ดวงตากลับใบหน้าที่เหยียดยิ้มนั้นช่างร้ายกาจจนหน้าตกใจ


ความรัก ความชัง  ความคลั่งแค้น  ประทุออกมามากมายเสียจนไม่อาจปิดบังได้ ชายตรงหน้าช่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความชั่วร้าย ที่ชวนให้คนมองอดที่จะกลืนน้ำลายที่เหนี่ยวเหนอะนั้นลงคอไม่ได้


กลิ่นอายต่างๆถูกกับเก็บไว้ภายใต้ใบหน้าที่แย้มยิ้มก่อนที่เทโทะระจะก้าวเดินผ่านซาดาโอะไปอย่างไม่เร่งรีบ


“หยุดก่อน...ข้าขอเวลาสักครู่ได้หรือไม่ ข้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องถามท่าน” ซาดาโอะรีบปรับอารมณ์ของตนเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินผ่านไปแล้ว ความจริงแล้วเขาไปพบเทโทระเพื่อคุยเรื่องสำคัญ แต่พอจากผู้ดูแลบอกว่าเทโทระมาเยี่ยมท่านเบียกโกะเขาจึงเร่งฝีเท้าตามมาที่นี่ แต่ด้วยความกังวลใจ และยังถูกอีกคนหยอกเย้าอีก จึงเกือบลืมธุระของตนไปเสียหมดสิ้น


“ถ้าเช่นนั้น...ไปจิบชาที่บ้านของข้าดีหรือไม่ หรือถ้าไม่ข้าคงต้องขอตัว” เท้าหนาหยุดชะงักเมื่อเสียงของซาดาโอะกล่าวขึ้น ก่อนจะแย้มยิ้มอย่างผู้เป็นต่อในการเผชิญหน้าครั้งนี้ แล้วกล่าวประโยคที่อีกฝ่ายไม่อาจปฏิเสธได้ออกมา


.


.


.


ชาหอมกรุ่นถูกรินลงไปในถ้วยชาใบเล็กสองใบที่ตั้งอยู่บนโต๊ะสี่เหลี่ยมมุมฉากซึ่งมีความสูงพอเหมาะแก่การนั่งบนฟูกแล้วจิบน้ำชายามบ่าย


โต๊ะตัวเล็กตั้งอยู่นอกชานบ้านที่ต่อออกมาเป็นระเบียงกว้าง มุงหลังคาเอาไว้กันแดดกันฝนคล้ายศาลาที่ตั้งอยู่กลางสวน สร้างเอาไว้สำหรับพักผ่อนยามบ่ายให้รู้สึกผ่อนคลายท่ามกลางสวนสวย


บ้านหลังนี้ถูกแยกออกมาจากบ้านใหญ่ แต่หากยังคงอยู่ในบริเวณกำแพงบ้านที่สูงตระหง่านนั้น และยังมีทางเดินที่เชื่อมต่อไว้กับบ้านใหญ่กลุ่มยาฉะ


ใกล้ระเบียงกว้างมีสวนสวยตกแต่งไว้เป็นสวนทรายขนาดเล็ก ทรายเม็ดขาวที่มาจากเขตใต้ซึ่งตั้งอยู่ติดทะเล ช่างชวนให้ผู้คนที่พบเห็นได้สัมผัสบรรยายกาศกรุ่นกลิ่นน้ำทะเลจางๆที่ลอยมาตามสายลมอันเย็นสบายด้วยความร่มรื่นจากต้นไม้เล็กใหญ่ที่ถูกปลูกไว้รอบบริเวณตัวบ้าน


บรรยากาศเหล่านี้ถูกตกแต่งไว้ให้ผู้คนที่ได้สัมผัสรู้สึกผ่อนคลาย แต่มันกลับไม่ได้ผลกับที่ปรึกษากลุ่มยาฉะที่กำลังนั่งเผชิญหน้ากับเจ้าของบ้านอย่างเทโทระแม้แต่น้อย


“เจ้าไม่ชอบที่นี่รึ...ผ่อนคลายเถอะ ข้าจะทำเพียงสนทนากับเจ้าเท่านั้น” ผู้เป็นเจ้าของบ้านกล่าวอย่างแย้มยิ้ม พร้อมส่งปะกายดวงตาวาววับที่ไม่เข้ากับคำพูดของตนไปให้ซาดาโอะซึ่งนั่งอยู่อีกด้านของโต๊ะตัวเล็กที่ตั้งขวางอยู่ตรงกลางระหว่างพวกเขาทั้งสอง


ซาดาโอะชั่งใจชั่วครู่ก่อนยกชาขึ้นจิบช้าๆ เพื่อลิ้มรสชาดของชาอันอบอวนด้วยกลิ่นหอมกรุ่นในถ้วยใบเล็ก แล้วจึงวางถ้วยชาลงบนโต๊ะอีกครั้ง


“ถ้าหากท่านหัวหน้าใหญ่...ไม่รอด...ท่านจะทำเช่นไรกับกลุ่มยาฉะ” ซาดาโอะเมินเฉยต่อคำกล่าวของเทโทระ แล้วจึงเริ่มต้นกล่าวเรื่องที่ตนต้องการทันที น้ำเสียงราบเรียบนั้นแฝงความลังเลใจเอาไว้บางๆ ทั้งยังติดขัดดังไม่อยากกล่าวมันออกมา


“หือ...เจ้ากล่าวเช่นนั้น...หมายความว่าคิดเปลี่ยนใจแล้วหรือ” คนถูกถามรู้สึกแปลกใจไม่น้อย แต่สุดท้ายก็ยิ้มมุมปากอย่างพอใจ เพราะใช่ว่าเขาจะมองซาดาโอะไม่ออกเสียทีเดียว เทโทระรู้ดีว่าซาดาโอะนั้นมีทิฐิสูงกว่าใครๆ แต่ครั้งนี้กลับยอมลดทิฐิลงเพียงเพื่อเป้าหมายสำคัญที่ตนหมายตาอยู่ มันช่างถูกใจเขาไม่น้อยเลย


“ตอบข้า” จะอย่างไร ซาดาโอะ ก็คือ ซาดาโอะ เขายังคงมีทิฐิเต็มเปลี่ยม แม้มีบ้างบางครั้งเกิดความลังเล และเคลือบแครงใจ แต่เมื่อคิดย้อนกลับไปในอดีตใจของเขาก็สงบลงอย่างน่าฉงน...เพื่อจุดหมายที่ตนหวังแล้ว เขายอมทิ้งได้แม้กระทั่งหัวใจของตนเอง


“คำถามของเจ้ากว้างเกินไปไม่ใช่หรือ...ข้าควรตอบสิ่งใดดีเล่า สิ่งที่ข้าจะทำกับหลานๆที่น่ารักทั้งสอง หรือเหล่าคนที่กล้าเป็นปรปักษ์กับข้า หรือจะเป็น...กับเจ้าดีล่ะ” น้ำเสียงของคนตรงหน้าหาได้ยี่ระต่อสิ่งใด ยังคงกล่าวหยอกเย้าซาดาโอะเช่นเดิม พร้อมทั้งประโยคสุดท้ายนั้นก่อนกล่าวออกมายังไล่มองไปทั่วร่างกายของซาดาโอะอย่างสื่อความหมาย


“อย่าเล่นลิ้น...ท่านเองก็รู้ดีว่าข้ากล่าวถึงเรื่องใด” คนถูกหยอกเย้าขมวดคิ้วจนแทบจรดกัน แสดงสีหน้าไม่พอใจอีกฝ่ายออกมาอย่างไม่คิดปิดบัง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอดทนควบคุมอารมณ์ของตนไม่ให้มันประทุออกมา เพราะเขายังคงต้องสนทนากับคนน่ารังเกียจนี้ต่อ


“ฮ่าๆๆ ข้าล่ะอดแปลกใจไม่ได้จริงๆว่า เหตุใดเจ้าจึงเกิดลังเลเสียได้...หรือจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายวันที่ผ่านมานั้น...เจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่ซาดาโอะคนงาม” จะอย่างไรเทโทระก็ไม่สะท้งสะท้านแม้แต่น้อย เขายังคงกล่าวสิ่งต่างๆด้วยน้ำเสียงและใบหน้าเช่นเดิม แม้ซาดาโอะก้าวร้ามมากกว่านี้เขาก็ไม่ถือสาสิ่งใด จะพอใจมากเสียด้วยซ้ำหากได้เห็นใบหน้าที่หลากหลายของคนตรงหน้า


พรึ่บ!


“หมดธุระแล้ว ข้าขอตัว” ก่อนเส้นความอดทนจะขาดผึ่ง ซาดาโอะลุกขึ้นจนเต็มความสูง เขารู้ขีดจำกัดของตนดี เทโทระเป็นบุรุษประเภทที่เขาเกลียดเป็นที่สุด แม้จะพูดคุยเรื่องสำคัญทุกครั้งเทโทระก็จะเป็นเช่นนี้เสมอ ดังนั้นหากยังคงต้องใช้ประโยชน์จากเขา ซาดาโอะจึงจำต้องอดทน และในตอนนี้การยุติการพูดคุยเอาไว้เสียเท่านี้ก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว และเมื่อเขาหมดประโยชน์ ซาดาโอะจะต้องตอบแทนอย่างสาสมอย่างแน่นอน


“ปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปอย่างที่ควรเป็น” น้ำเสียงหยอกเย้าจางหาย เหลือไว้เพียงความราบเรียบและเย็นเฉียบจับขั้วหัวใจ


“ท่านหมายความว่าอย่างไร” เท้าเรียวสวยหยุดชะงัก และหันกลับมามาถามด้วยความไม่เข้าใจ
อีกคนไม่กล่าวสิ่งใดอีก แต่ผายมือเชื้อเชิญให้ซาดาโอะกลับมานั่งที่เดิม พร้อมแย้มยิ้มอย่างผู้มีชัย ซาดาโอะไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ต้องจำใจเดินกลับไปนั่งอย่างไม่อาจเลี่ยงได้


“หึหึ สถานการณ์ตอนนี้นับว่าไม่เลวเลย เขตตะวันตกกับเขตของเรากำลังห้ำหั่นกัน เช่นนั้นแล้วเขตของฝ่ายที่แพ้ต้องตกเป็นเขตของฝ่ายที่ชนะไม่ใช่หรือ” หลังจากที่อีกฝ่ายนั่งลงอย่างที่เขาต้องการแล้ว เทโทระก็กล่าวเสียงราบเรียบอย่างสบายอารมณ์ หาได้ยี่ระต่อสีหน้าบึ่งตึงของซาดาโอะไม่


น้ำเสียงติดหยอกย้ำนั้นกล่าวออกมาอย่างเป็นจังหวะ พร้อมหยุดเว้นวรรคให้อีกฝ่ายได้คิดตามอย่างไม่เร่งรีบ
ซาดาโอะเข้าใจคำกล่าวของอีกฝ่ายดี เรื่องนี้ไม่ได้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขาเลย เพราะปกติแล้วหากเป็นท่านเบียกโกะจะใช้วิธีเจรจาและหาวิธียุติการต่อสู้นี้อย่างสันติเพื่อไม่ให้เกิดการนองเลือด แต่ชายคนนี้ไม่ใช่ เขาต้องเติมเชื้อเพลิงจนจนเกิดการนองเลือด แล้วยึดครองเขตใต้เป็นแน่


“ส่วนหลานๆที่น่ารักของข้า  ข้าก็ได้รับรู้มาว่าสร้างเรื่องเอาไว้ไม่น้อยเลยมิใช่รึ”  เป็นอีกครั้งที่เสียงราบเรียบนั้นกล่าวออกมาแล้วหยุดลงอย่างสบายๆไม่ยี่ระต่อสิ่งใด


“พวกเขายังเด็ก” ซาดาโอะอดที่จะโต้แย้งไม่ได้ แม้การทำทุกสิ่งเพื่อจุดประสงค์อันสูงสุด ต้องแลกมาด้วยความเสียสละเสมอ แต่เขาก็ยังลังเล


“หึหึ ถ้าอยากช่วยก็ลองขวางข้าดูสิ...ได้สู้กับเจ้าคงสนุกไม่น้อย” น้ำเสียงราบเรียบแปรเปลี่ยนเป็นความท้าทาย  สนุก และตื่นเต้น จนผู้ที่ได้ฟังหนาวเย็นจับขั้วหัวใจ สายตาที่ลุ่มลึกสบจ้องมาก็เต็มไปด้วยความหยิ่งผยอง  เขาเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าตนต้องชนะซาดาโอะเป็นแน่


พรึบ ครืดดดดด


ไร้ซึ่งคำกล่าวใดๆร่างโปร่งของซาดาโอะก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปอย่างไม่คิดหันหลังกลับมาอีก เขาก้าวเท้าผ่านโถงทางเดินอย่างเร่งรีบดังเก็บกั้นสิ่งใดเอาไว้ และอยากหาที่ที่ตนเองระบายมันออกมาได้


ซาดาโอะเดินผ่านทางเชื่อมต่อบ้านหลังนั้นกับบ้านใหญ่ รีบเร่งย่างเท้าไปตามทางที่มุ่งหน้าไปยังห้องของตน อารมณ์ที่ถูกกับเก็บจนแทบไม่ไหวทำให้เขารู้สึกว่ามันอยู่ไกลเสียเหลือเกิน ดังนั้นเพียงผ่านมายังสถานที่ปลอดผู้คน เขาก็หยุดเดินแล้วกัดฟันกรอดเพื่อระงับอาการ


ปึ้ง


ดูเหมือนการทำเช่นนั้นจะไม่สามารถทำให้อารมณ์ที่คุกรุ่นเย็นลงได้ เจ้าของมือเรียวจึงยกมือนั้นขึ้นทุบเสาหลักระเบียงที่อยู่ใกล้มืออย่างไม่กลัวว่ามือของตนจะบุบสลายแม้แต่น้อย


“หนอย...ไอ้เสือน่ารังเกียจนั่น!!” ดวงตาฉายแววโกรธเกรี้ยวเบิกโพรงอย่างน่ากลัว มือกำแน่นจนเล็บจิกลงไปในเนื้อพาเลือดสีแดงไหลซึมออกมา ฟันขาวนั้นก็ขบกัดกันไว้เพื่อระบายความอัดอั้นภายในใจ


.


.


.


และอีกด้านหนึ่งในเวลาเดียวกัน  ณ เมืองรูสม่า เมืองขนาดเล็กใกล้ชายแดนระหว่างแดนมนุษย์กับแดนปีศาจ ซึ่งเมืองๆนี้มนุษย์และลูกครึ่งอาศัยอยู่ร่วมกัน มีลักษณะไม่ต่างจากเมืองอื่นๆมากนัก


จักรวรรดิโรฮันออกกฎหมายการอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์และลูกครึ่งโดยการลงทะเบียนทาส ลูกครึ่งที่ไม่ได้ลงทะเบียนเป็นทาส
จะไม่สามารถอาศัยอยู่ในเมืองที่ขึ้นตรงต่อจักรวรรดิโรฮันได้ จึงมีการตั้งหมู่บ้านอยู่นอกเมือง บ้านของครอบครัวคูฟฟ์เองก็ไม่ได้อยู่ในเขตของเมือง พวกเขาตั้งรกรากอยู่ใกล้ๆเมืองเท่านั้น เพื่อความสะดวกในการช่วยเหลือเหล่าลูกครึ่งที่อาศัยอยู่ด้านนอกของเมือง


เมืองรูสม่านั้นอาจเพราะอยู่ใกล้เขตชายแดนจึงไม่ได้เคร่งคัดในเรื่องกฎหมายนี้มากนัก พวกเขาลงทะเบียนทาส เพื่อให้เหล่าลูกครึ่งที่ไม่อาจดูแลตนเองได้ให้เข้ามาอาศัยอยู่ในเมือง แต่ไม่ได้ใช้งานให้สมเป็นทาสแม้แต่น้อย พวกเขาอาศัยอยู่ร่วมกัน และปฏิบัติต่อเหล่าลูกครึ่งอย่างเท่าเทียม เป็นเรื่องยากที่เดียวที่จะได้เห็นภาพเหล่านี้ในเมืองอื่นๆ


แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น เพื่อเลี่ยงการเพ่งเล็งจากจักรวรรดิโรฮัน ทาสที่อาศัยอยู่ในเมืองจึงจำต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ บนคอของพวกเขาปรากฏปลอกคอแบบต่างๆที่ได้รับจากเจ้านายของตน บนปอกคอนั้นจะสลักชื่อผู้เป็นนายเอาไว้ ไม่ต่างจากสัตว์เลี้ยงที่ต้องมีเจ้าของเลย


และใช่ว่าเมืองที่สงบสุขเช่นนี้จะไม่มีพวกชั่วช้าสามาน พวกผู้คนที่มีจิตใจชั่วร้ายย่อมมีอยู่ทุกหนแห่ง  บนโลกนี้ย่อมไม่มีสิ่งใดขาวสะอาดอย่างถ่องแท้


แกร๊งๆ


“ยินดีต้อนรับค่ะนายท่าน”  ทาสสาวผู้มีใบหน้างดงามสมวัย  มีผมสีเขียวบริเวณกลางศีรษะ และถูกล้อมรอบด้วยผมเส้นสีดำบริเวณปลายผม  เป็นลักษณะของลูกครึ่งระหว่างมนุษย์และปีศาจเผ่าวิหก  เธอกล่าวต้อนรับลูกค้าที่เข้ามาในร้านด้วยเสียงที่สดใสร่าเริง


ร้านอาหารกึ่งร้านนั่งดื่มถูกตกแต่งด้วยไม้ สามารถมานั่งทานอาหารและนั่งดื่มได้อย่างครบคัน  ภายในร้านตอนนี้มีผู้คนทั้งมนุษย์และลูกครึ่งมานั่งดื่มกินกันเพียงไม่กี่รายเท่านั้น เพราะเวลานี้ยังไม่ถึงเวลาพลบค่ำ


“หือ ร้านนี้ไม่เลวเลยนี่...เอาล่ะเจ้ามานั่งกับข้า” ชายร่างใหญ่โตบึกบึนผู้มีผมสีน้ำตาลอ่อนเอ่ยขึ้นหลังจากเดินเข้าไปนั่งลงบนโต๊ะที่ถูกจัดตกแต่งไว้ พร้อมกับชายร่างเก้งก้างอีกสองคน พวกมันทั้งสองมีผมสีดำสนิทแต่งกายด้วยผ้าเนื้อหยาบดูสกปรกดังเช่นพวกโจรเถื่อนที่ออกไล่ปล้นไปตามหมู่บ้านต่างๆ


“ต้องขออภัยด้วยเจ้าคะ ร้านเราไม่มีบริการเช่นนั้น แต่หากท่านจะดื่มกินสามารถสั่งได้เลยเจ้าค่ะ”  เสียงเล็กเจื้อยแจ้วยังเอ่ยอย่างสดใสแม้ดวงตาจะปรากฏแววหวาดหวั่น


“ข้าบอกให้มา!!” มันยังคงไม่ฟังต่อสิ่งใด ทั้งยังตะหวาดเสียงดังไปทั่วร้าน จนผู้คนเริ่มทยอยลุกเดินไปจ่ายเงินค่าอาหารกับเจ้าของร้านสาวชาวมนุษย์แล้วเดินออกจากร้านไป เหลือเพียงชายที่สวมชุดคลุมสีดำสนิทที่ปกปิดตั้งแต่หัวจรดเท้า ที่ยังคงนั่งทานเข้าวต่ออย่างไม่สนใจต่อสิ่งใด


“ต้องขออภัยจริงๆค่ะ” เธอยังคงปฏิเสธด้วยวาจาสุภาพ ส่วนทางเจ้าของร้านสาวเมื่อรับเงินจากลูกค้า  และขอโทษลูกค้าท่านอื่นๆเรียบร้อยแล้วก็เดินเข้ามายังบริเวณที่เกิดเรื่องหมายเข้ามาช่วยเหลือ  เมื่อเห็นว่าเหตุการณ์เริ่มบานปลาย


“นายท่านของข้าบอกให้นั่ง เจ้าก็ต้องทำตาม...มิเช่นนั้นแล้วอย่าหาว่าข้าไม่เตือน” ผู้คิดตามของมันคนหนึ่งเอ่ยขึ้นหลังจากเห็นว่าถึงเวลาที่ตนต้องเกลี่ยกล่อมให้ทาสสาวทำตามคำสั่งเพื่อเจ้านายของตนจะได้พึงพอใจ และคงตบรางวัลให้มันอย่างงาม
ทาสสาวลังเล และหวาดหวั่น เมื่อกลัวเหลือเกินว่าพวกมันจะพังร้านๆนี้  ที่ผู้มีพระคุณของตนหวงแทนกว่าสิ่งใด จึงสบตาเจ้าของร้านหมายขอความคิดเห็น


“นายท่านทั้งสามข้าคงต้องขออภัยด้วย ท่านออกไปเถิด ร้านของเราไม่มีบริการดังเช่นที่ท่านต้องการ...แม้ในสายตาของท่านเธอจะเป็นเพียงทาส แต่สำหรับข้าเธอคือน้องสาวอันเป็นที่รัก...อย่าได้มายุ่งเกี่ยวกับเธอเลย ข้าขอร้อง”  หญิงสาวเข้าไปยืนขวางด้านหน้าระหว่างทาสสาวที่เธอรักดังเช่นน้องสาวคนหนึ่ง กับชายสูงใหญ่ท่าทางบึกบึน แล้วกล่าวขอร้องด้วยน้ำเสียงแน่วแน่  หาได้เอนเอียงที่จะทำเช่นที่พวกมันต้องการไม่


ปึ้ง!!


“บัดซบ ร้านที่บริการแย่เช่นนี้ก็ไม่ควรมีอยู่อีกต่อไป...พวกแกจัดการซะ” มือหนาทุบลงบนโต๊ะจนโต๊ะไม้นั้นแทบหัก ก่อนจะออกคำสั่งอย่างโกรธเกรี้ยวที่ถูกขัดใจ
ผู้ติดตามของมันไม่รอช้าลุกขึ้นเดินปรี่เข้าหาโต๊ะที่อยู่ติดกันหมายจะพังมันให้ราบคาบ


“นายท่านได้โปรดหยุดเถอะ!!” มือเรียวเล็กของทาสสาวฉุดดึงหยุดมือของพวกมันหนึ่งในนั้นไว้  แล้วกล่าวอ้อนวอน เพื่อหวังจะให้พวกมันหยุดมือที่จะทำลายร้านของผู้มีพระคุณที่เธอรักดังพี่สาว


“อย่ามาขวาง!!” มันสะบัดมือหวังจะให้มือเล็กนั้นหลุดออกไปจากแขนของมัน แต่มือนั้นกลับเหนี่ยวหนึบเกินกว่าที่จะสะบัดทิ้งไปได้ เจ้าของร้านสาวเห็นท่าไม่ดีจึงร้องขอให้หยุด แต่เหตุการณ์ดูจะวุ่นวายกว่าที่คิด เมื่อชายทั้งสามลุกขึ้นเดินไปคนละทิศทางเพื่อพังร้านให้ราบคราบ


ชายที่ยื้อยุดอยู่กับทาสสาวหมดความอดทน มันยกมืออันเก้งก้างของมันขึ้นแล้วหวดลง ที่หมายคือใบหน้าของหญิงสาว


เพรียะ!!


ทาสสาวหลับตาลงรอรับแรงกระทำจากฝ่ามือนั้น แต่พอเสียงนั้นดังขึ้นเธอกลับไม่รู้สึกเจ็บแม้แต่น้อย  เธอชั่งใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะค่อยๆลืมสีดำสินทดวงโตขึ้นอย่างช้าๆเพื่อรับรู้สถานการณ์


เธอตกใจจนแทบผงะเมื่อพบว่าชายในชุดคลุมสีดำมายืนซ้อนด้านหลังของเธอ  แล้วใช้มือเรียวที่เต็มไปร่องรอยของแผลเป็นจางๆ ที่ดูงดงามเข้ากับสีและลักษณะของมือเรียวนั้นอย่างลงตัว  รับผ่ามือที่ตบลงมาแทนใบหน้าของเธอ


“ยืนมือเข้ามายุ่งเรื่องคนอื่น อยากตายรึ!!” มันตวาดอย่างโกรธเกรี้ยวเมื่อสิ่งที่ต้องการไม่เป็นไปตามที่ใจนึก  แล้วจ้องลึกลงไปในดวงตาของผู้ที่อยู่ในชุดคลุมสีดำนั้น


ชายในชุดคลุมสีดำไม่ได้ตอบสิ่งใด  เขาเพียงปล่อยมือของอีกฝ่ายแล้วใช้มือข้างนั้นมาจับผ้าคลุมที่คลุมบริเวณศีรษะออก


“อ๊ะ!!”  เพียงได้เห็นใบหน้าของผู้ที่อยู่ภายในชุดคลุมสีดำ มือที่กำลังนวดข้อมือของตนที่รู้สึกเจ็บจากการประทะเมื่อครู่หยุดชะงักแล้วสั่นเทา   ดวงตาเบิกกว้างอย่างตกตะลึง  หัวหน้าร่างบึกบึน  และเพื่อนร่างเก้งก้างของมันก็หันกลับมาตามเสียงร้องที่เต็มไปด้วยความตกตะลึงและหวาดกลัวนั้น 


แกร๊ง แกร๊ง  แกร๊ง!!


บานประตูกระทบกับกระดิ่งจนเกิดเสียงดังเมื่อประตูถูกเปิดออกแล้วปิดลง หลังจากที่พวกมันเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง หัวหน้าร่างบึกบึนที่ตั้งสติได้คนแรกก็เป็นผู้วิ่งออกไปอย่างไร้เสียงใดๆออกจากปากนั้น ส่วนผู้คิดตามของมันที่เห็นว่าท่าจะแย่เสียแล้วจึงวิ่งหนีตามออกไปอย่างล้มลุกคลุกคลานไม่ต่างกัน


ชายในชุดคลุมสีดำไม่ได้ตามไปหรือรั้งไว้แต่อย่างใด  ปล่อยให้พวกมันหนีไปง่ายๆอย่างนั้น  แล้วเดินกลับไปนั่งทานอาหารของตนต่อ  ดังเช่นว่าเพียงแค่ลุกขึ้นมากำจัดพวกน่ารำคาญที่บังอาจมารบกวนเวลาทานอาหารมื้อนี้ของตนเท่านั้น หลังจากนั่งลงทานอาหารต่อ  เขาก็ไม่ได้สนใจยกผ้าคลุมขึ้นปิดผมสีเงินเงางามนั้นแม้แต่น้อย


ผมสีเงินประกายเส้นหยักศกยาวปะบ่าพลิ้วไหวตามการเคลื่อนไหวของผู้เป็นเจ้าของ จนผู้พบเห็นไม่อาจละสายตาได้  ใบหน้าคมคาย  จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากหยักอย่างพอเหมาะ ดวงตาเรียวได้รูปเข้ากับประกายตาภายในที่แต่งแต้มไว้ด้วยสีน้ำตาลอ่อน  ร่างกายสูงโปร่งสมกับเป็นบุรุษเพศแม้ใบหน้านั้นจะยังคงเยาว์วัยอยู่ก็ตาม


“ขอบพระคุณนายท่าน ค่าอาหารมื้อนี้ค่าไม่คิด  และหากมีสิ่งใดที่อยากให้พวกเราตอบแทนก็บอกกล่าวได้เลย  ข้าจะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” เจ้าของร้านกล่าวหลังจากหายจากอาการงงงวยต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น   เธอเข้าไปค้อมกายก้มหัวลงพร้อมกับทาสสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ


ชายหนุ่มในชุดคลุมหันกลับมามองพวกเธอทั้งสองก่อนแสดงใบหน้าขบคิดชั่วครู่  แล้วจึงตัดสินใจกล่าวสิ่งที่ตนต้องการออกมา


“ถ้าเช่นนั้น...ข้าต้องการไปยังแดนพยัคฆ์!!



 

To Be Continued...

*เทโทระ แปลว่า เสือเหล็ก (สำหรับใครที่ไม่เข้าใจคำสบถของซาดาโอะค่ะ ฮ่าๆ)

ออฟไลน์ GreenHead(หัวเขียว)

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
    • Green Head - หัวเขียว


ตอนที่  15
ยาแก้พิษ


เสียงล้อรถลากเคลื่อนไปตามถนนที่ขรุขระดังอื้ออึง  ชายผมเงินในชุดคลุมสีดำสนิทนั่งหลับตาเพลิดเพลินอย่างไม่ยี่หระต่อแรงกระตุกเคลื่อนของรถม้ายามที่ล้อกระทบกับก้อนหินขนาดใหญ่แม้แต่น้อย


คนขับรถม้าไม่ใช่ใครที่ไหน  เธอคือหญิงสาวลูกครึ่งเผ่าวิหกที่ถูกเขาช่วยเหลือเอาไว้จากพวกคนเถื่อนในร้านที่เขาเข้าไปทานอาหารก่อนหน้านี้นั่นเอง มือบางกระตุกเชือกคุมบังเหียนม้า 2 ตัว ที่ใช้ลากรถอยู่อย่างชำนาญ   สั่งให้มันวิ่งลัดเลาะ แล้วเปลี่ยนเส้นทางไปตามถนนที่คับแคบภายในป่าลึกที่มุ่งตรงไปยังเขตชายแดน


ยิ่งเวลาผ่านไปนานขึ้นท้องฟ้าที่เคยทอประกายสีฟ้าสดใสก็ค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นสีส้ม เพราะบัดนี้ดวงอาทิตย์กลมโตแปรเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอมส้มใกล้จะลาลับขอบฟ้าเต็มทีแล้ว ทำให้ถนนที่ยิ่งคดเคี้ยวยิ่งยากต่อการเดินทางมากขึ้นไปอีก หญิงสาวมองท้องฟ้าที่แปรเปลี่ยนแล้วกระตุกบังเหียนสั่งให้ม้าเพิ่มความเร็วมากขึ้นไปอีก เธอไม่อยากเดินทางผ่านป่านี้ในเวลากลางคืนมากนักแต่เมื่อผู้มีพระคุณเร่งรีบ เธอจึงไม่คิดจะปฏิเสธแต่อย่างใด


กุบ กุบ ฮี่


เสียงเกือกม้าเร่งเร้าแล้วหยุดลงเมื่อถึงจุดหมายปลายทาง ดวงอาทิตย์กลมโตก็ลาลับขอบฟ้าไปในเวลาเดียวกัน ท้องฟ้าจึงมืดครึ้มเป็นเวลาที่ค่ำคืนมาเยือน


หมู่บ้านเล็กๆตั้งอยู่ตรงหน้า ประตูไม้บานเล็กเชื่อมต่อกับรั้วไม้ที่สูงเพียงแค่อกของชายในชุดคลุมเท่านั้น ทั้งยังดูเก่าและไม่แข็งแรงแม้แต่น้อย


“นายท่าน เราถึงที่หมายแล้ว ต่อจากนี้เราต้องเดินเข้าไปนะเจ้าคะ” หญิงสาวเปิดม่านกั้นด้านหลังแล้วบอกกล่าวต่อชายในชุดคลุมที่นั่งเงียบอยู่ภายในตัวรถ ชายในชุดคลุมทำเพียงพยักหน้าน้อยๆให้หญิงสาวรับรู้ว่าตนเข้าใจแล้วจึงได้เปิดประตูด้านหลังแล้วเดินมายืนข้างหญิงสาวที่ยืนรออยู่ด้านหน้าของประตูบานเล็กนั้น


“ที่นี่มัน...”  ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนสอดส่องเลยเขตรั้วไปด้านใน วันนี้เป็นคืนฟ้าสางเขาจึงมองเห็นหมู่บ้านนี้อย่างกระจ่างชัด จึงรู้สึกฉงนไม่น้อยที่บ้านทุกหลังไม่มีแม้แต่แสงไฟจากตะเกียง และเมื่อสัมผัสที่พิเศษกว่าคนทั่วไปทำให้เขารับรู้ได้ว่าหมู่บ้านนี้ร้างผู้คน หาใช่ไม่จุดตะเกียงไฟอย่างที่เข้าใจในตอนแรก


“นายท่านอาจจะแปลกใจเล็กน้อยเพราะหมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านร้างอย่างที่ท่านสงสัย ผู้คน...ไม่สิ เหล่าลูกครึ่งที่เคยอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ต่างพากันอพยพเข้าไปยังเมืองรูสม่ากันจนหมด หลังจากพ้นเวลาที่เลวร้าย


หมู่บ้านนี้เคยเกิดโรคระบาด และมนุษย์ที่เป็นดังแม่พระของพวกเราก็จบชีวิตลงด้วยโรคนั้นเพราะเธอพยายามรักษาพวกพ้องของเราที่ติดโรคร้าย...ข้าได้พบท่านอาจารย์เพียงไม่นาน อาจไม่ผูกพันเช่นพวกพี่ๆที่เคยอยู่มาก่อนหน้านี้ 


และข้าได้เพียงฟังจากพวกพี่ๆเท่านั้นว่าอาจารย์ช่วยเหลือหมู่บ้านมาหลายปี แต่ช่วงที่ข้าเข้ามาอาศัยอยู่นั้นท่านอาจารย์ได้ออกไปจากหมู่บ้านนานกว่า 1 ปีด้วยเหตุใดข้าก็ไม่อาจทราบได้ เพราะไม่ได้อยู่ในช่วงเวลานั้น  แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็รู้สึกถึงความสูญเสียไม่น้อยกว่าพวกท่านพี่เลย


อ่า...ข้าคงพูดมากไปเสียแล้วท่านอย่าได้ใส่ใจเลย...แค่ได้กลับมาที่นี่ความทรงจำเหล่านั้นก็หวนกลับมาจนข้าเพ้อไปเอง อย่าได้ถือสาข้าเลย”หลังจากกล่าวจบหญิงสาวก็หันกลับมายิ้มบางๆให้กับชายชุดดำ  เพียงชั่วครู่ก็กันกลับไป แล้วเร่งเดินนำไปยังที่หมายโดยไม่ปริปากกล่าวสิ่งใดๆอีก


ดวงตาเรียวภายใต้ผ้าคลุมสีดำทอประกายแปลกใจระคนสงสัยในเรื่องหญิงผู้เป็นดังแม่พระของเหล่าลูกครึ่งที่เคยอาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้เพียงชั่วครู่ แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อนางหยุดเล่าเขาก็ไม่ได้ซักไซ้ถามสิ่งใดต่อ  เพียงเดินตามไปอย่างเงียบงันเท่านั้น
หมู่บ้านแห่งนี้นับว่าผิดแปลกจากที่อื่นๆ เพราะมีศาลาขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่กลางหมู่บ้าน ช่างไม่เข้ากับหมู่บ้านเล็กๆนี้เอาเสียเลย  ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้ถามข้อสงสัยออกไป  ได้แต่สันนิษฐานว่าผู้ที่สร้างขึ้นคงเป็นมนุษย์ที่คอยช่วยเหลือลูกครึ่งที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้


“เจ้าจะพาข้าไปที่ใด” ชายในชุดคลุ่มสีดำเอ่ยขึ้นหลังจากเดินมานานจนเกือบจะถึงท้ายหมู่บ้าน แต่เจ้าของร่างบอบบางก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเดิน ทั้งบรรยากาศเงียบงันที่แสนเศร้าสร้อยของนางนั้นก็ยังไม่จางหายไป เขาจึงกล่าวถามไปเพื่อนทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัดนี้


“ข้าจะพานายท่านไปหาคนที่สามารถนำทางท่านไปยังแดนพยัคฆ์เจ้าค่ะ พวกเขาอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กซึ่งอยู่ท้ายหมู่บ้านแห่งนี้” น้ำเสียงของเธอกลับมาเจื้อยแจ้วสดใสอีกครั้ง เมื่อตระหนักได้ว่าอารมณ์อาลัยอาวรณ์ของเธอทำให้ผู้มีพระคุณอึดอัดเสียได้


“อ๊ะ  นั่นเจ้าค่ะหลังนั้น เราถึงกันแล้ว”  เมื่อมาถึงบ้านหลังเล็กเพียงหลังเดียวที่มีแสงไฟสว่างจ้าถูกจุดไว้ในบ้าน หญิงสาวจึงบอกกล่าวแก่ชายในชุดคลุมสีดำ ผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กนั้นเคลื่อนไหวอย่างระแวดระวังภัยจนเข้าเองก็รู้สึกได้   แต่ก็เดินตามหญิงสาวจนเธอไปถึงบริเวณประตูบ้าน  เขาจึงหยุดรออยู่ห่างๆเท่านั้น


ก่อนหน้านี้หลังจากที่เขากล่าวความต้องการของตนออกไป   หญิงสาวทั้งสองก็ตกลงกันจนในที่สุดก็บอกว่าจะนำเขาไปพบผู้มีฝีมือที่จะทำหน้าที่ในครั้งนี้ได้   ในตอนแรกนั้นเขาปฏิเสธพวกเธอ  แต่พวกเธอก็หว่านล้อมจนเขาต้องเอ่ยปากตกลงอย่างเลี่ยงไม่ได้   จึงได้แต่ตอบกลับไปเพียงว่าขอพบคนพวกนั้นแล้วจะตัดสินใจอีกครั้ง  เพราะเขาต้องการผู้ที่มีฝีมือและไว้ใจได้  การตัดสินใจลองตามมาครั้งนี้จึงนับว่าไม่เสียเวลามากนัก จะอย่างไรก็ดีกว่าสุ่มหาไปเรื่อยๆอย่างที่ผ่านมา


หญิงสาวลูกครึ่งเผ่าวิหกตั้งมั่นที่จะตอบแทนผู้มีพระคุณ  และเธอก็มั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าเขาต้องตอบตกลงทั้งสองฝ่ายเป็นแน่  จึงได้ไม่รอช้าเร่งพาเดินทางจนมาถึงจุดหมายโดยเร็วที่สุด ที่เหลือก็เพียงให้พวกเขาได้พบเจอกันเท่านั้น ไม่รอช้าเธอจึงยื่นมือบางนั้นไปแตะมือจับประตูแล้วดึงมันเข้าหาตัวเพื่อเปิดออก  โดยไม่เคาะ  หรือส่งเสียงเรียกคนด้านในแต่อย่างใด


แกร็ก  พรึ่บ


การเคลื่อนไหวรวดเร็วเกินกว่าใครจะคาดเดา ในชั่วลมหายใจที่บุรุษทั้งสอง เผชิญหน้ากันประจักษ์ต่อหน้าหญิงสาวอย่างไม่ทันตั้งตัว เธอไม่อาจมองการเคลื่อนไหวของพวกเขาได้ทัน รู้เพียงว่าเมื่อมีดเล่มบางในมือเจ้าของบ้านที่แอบหลบซ่อนตัวอยู่ด้านหลังประตูบานนั้นถูกยกขึ้นมาจ่อที่ลำคอของเธอ  มือของชายในชุดคลุมที่ไม่ทราบว่าเข้ามาอยู่ด้านหลังตั้งแต่เมื่อใดก็ผลักมือนั้นออก  ใบมีดเล่มบางเฉียดผ่านหน้าหญิงสาวห่างเพียงคืบเท่านั้น  เจ้าของมีดนั้นแม้ไม่ทันตั้งตัวแต่ก็ตระหนักได้ว่าตนกำลังมีภัยจึงกระโดดถอนหลังอย่างว่องไว   เพื่อหลบเท้าของอีกฝ่ายที่พุ่งเข้าใส่หมายจัดการเขา


เหตุการณ์ตรงหน้านั้นมีเพียงผู้ลุกไล่เท่านั้นที่รู้ว่าตนกำลังเผชิญหน้ากับผู้ที่แข็งแกร่งเพียงใด  และอีกฝ่ายรวดเร็วมากเพียงใด  ส่วนทางหญิงสาวที่ยืนตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเห็นเพียงภาพรุกไล่ที่ไม่มีใครหยุดลงเท่านั้น  ไม่อาจทราบได้ว่าพวกเข้าปะทะกันอย่างไรบ้าง สายตารับรู้เพียงการเริ่มต้นและหยุดลง


มีดของชายปริศนาจ่อเข้าที่ลำคอของชายในชุดคลุมดวงตานั้นแข็งกล้าไม่หวั่นไหวแม้ร่างของตนจะเสียท่า นอนราบไปกับพื้นโดยมีชายในชุดคลุมสีดำนั่งกดทับที่อกแกร่งของเขา  และมือเรียวของชายในชุดคลุ่มนั้นมีมวลสายฟ้ากลุ่มก้อนเล็กๆสานเป็นร่างแหชะงักค้างไว้โดยห่างจากใบหน้าเขาเพียงเสี้ยวลมหายใจเท่านั้น


ชายทั้งสองหยุดชะงักเมื่อผลการต่อสู้ครั้งนี้ออกมาแล้ว  การต่อสู้ครั้งนี้คือเสมอ แม้พวกเขายังไม่แสดงฝีมือที่แท้จริงออกมาก็ตาม การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ต่างจากการหยั่งเชิงของกันและกันเลย  ทั้งคู่รู้ดีว่าอีกฝ่ายมีฝีมือยากที่จะต่อกร พวกเขายังคงค้างอยู่ในท่านั้นส่วนดวงตาก็จ้องมองอย่างหาความจริงในดวงตาของฝ่าย


“ทะ...ท่านเรย์ นายท่าน” เสียงสั่นเครือด้วยความตกใจของหญิงสาวลูกครึ่งเผ่าวิหกดังขึ้น  หลังจากหยุดอาการตกใจของตนได้  แต่ถึงอย่างนั้นสมองของเธอก็ไม่อาจประมวลคำพูดใดออกมาได้  จริงได้แต่ส่งเสียงเรียกชายทั้งสองเท่านั้น


เมื่อหญิงสาวเอ่ยปากกล่าวเรียกเช่นนั้น  ก็ทำให้พวกเขาตะหนักได้ว่าคนที่ตนสู้ด้วยนั้นรู้จักกับหญิงสาว   จึงเริ่มผ่อนคลาย  แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่วางใจว่าอีกผ่านจะลงมือกับตนอีกหรือไม่ ชายชุดคลุมจึงหันละสายตาจากชายตรงหน้าแล้วหันไปมองหน้าหญิงสาวเพื่อขอคำตอบแทน


“นายท่านโปรดวางใจ  คนผู้นั้นคือ  ท่านเรย์  คนที่ข้าจะขอให้นำทางท่านไปยังแดนพยัคฆ์” สายตาที่ส่งมากระตุ้นให้หญิงสาวได้สติ  เธอจึงกล่าวตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม


สายฟ้าในมือคลายออก  มีดที่จ่อคออยู่จึงถูกลดลง  จากนั้นเจ้าของพลังสายฟ้าก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงอย่างสง่างาม  ส่วนชายเจ้าของใบมีดบางก็ลุกขึ้นมายืนข้างๆด้วยเช่นกัน


เรย์  ชายผู้เป็นเจ้าของบ้านหลังเล็กท้ายหมู่บ้าน เขาเป็นเจ้าของเรือนผมสีฟ้าน้ำทะเลที่มีผมสีเทาตรงส่วนปลาย เป็นลูกครึ่งเผ่ามังกรวารีกับผู้ใช้ธาตุน้ำ ช่างเป็นการประสมประสานที่พอเหมาะทั้งลักษณะของสีและพลังจนไม่อาจหาสิ่งใดมาเทียบได้ ผู้ใช้ธาตุน้ำ  และมังกรวารีซึ่งช่วงชีวิตของพวกเขามีเพียงสายน้ำ  หากเขาใช้พลังได้คงน่าหวั่นกลัวจนยากที่จะจินตนาการ  แต่เรย์นั้นเป็นผลผลิตที่ผิดพลาด  แม้งดงามลงตัว  แต่เขากลับไม่สามารถใช้พลังได้  เขาเป็นเพียงลูกครึ่งที่ไร้ซึ่งพลังเท่านั้น  แต่ใครเล่ากำหนดว่าผู้ไรพลังนั้นต้องอ่อนแอเสมอไป


“ข้าชื่อ  เรย์ ยินดีที่ได้พบครับ”  เรย์เอ่ยขึ้นหลังจากที่อีกฝ่ายเงียบไป  เขาพอจะคาดเดาสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้  และเมื่อได้ฟังคำกล่าวของหญิงสาวเขารู้ได้ทันทีว่าทั้งสองมาด้วยจุดประสงค์ใด  หญิงสาวลูกครึ่งเผ่าวิหกนั้นถือเป็นสหายที่มีอาจารย์ร่วมกัน  และรู้ดีว่าเธอจะไม่ขอความช่วยเหลือจากเขาแน่ หากคนที่เธอต้องการให้ช่วยนั้นไม่ได้สำคัญจริงๆ


“ท่านไม่ใช่คนของเผ่าพยัคฆ์  กระทั้งครึ่งหนึ่งนั้นยังไม่ใช่...จะสามารถนำทางได้จริงหรือ” เสียงเรียบกล่าวอย่างสงสัย เขารอบครอบเสมอ  เพราะรู้ดีว่าการรุกล้ำไปยังเผ่าพยัคฆ์อย่างเงียบๆนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เขาจึงต้องการผู้นำทางที่มีฝีมือและไว้ใจได้ทุกสถานการณ์


“ข้าจะตามเจ้าไปด้วย...แต่คนที่นำทางไม่ใช่ข้า เขาคือสหายของข้าเอง  เขามีนามว่า...”


“นาฟ...แต่ข้าไม่รับงานนี้” เจ้าของเสียงที่เอ่ยขัดเสียงของเรย์นั้นยืนพิงราวบันไดชั้นสองอยู่อย่างเงียบเชียบ เขามองดูเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่ต้น  แต่ก็ไม่ได้ยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวแต่อย่างใด  จนกระทั่งตอนนี้เมื่อรู้จุดประสงค์ของผู้บุกรุกบ้านของตนในยามค่ำคืน เขาจึงคิดจะปฏิเสธความยุ่งยากเหล่านี้


นาฟเป็นชายเจ้าของร่างกายใหญ่โตที่เต็มไปด้วยบาดแผล เขาสวมเพียงกางเกงขายาวสีดำจึงมองเห็นรูปร่างนั้นได้เป็นอย่างดี ผมกลางศีรษะเป็นสีแดงและปลายผมเป็นสีทอง  การผสมระหว่างปีศาจเผ่าพยัคฆ์กับผู้ใช้ธาตุไฟนั้นไม่เข้ากันเอาเสียเลย ช่างต่างจากเรย์ที่ผสมทุกสิ่งอย่าง จนลงตัวเป็นอย่างยิ่ง


“โถ่ ท่านนาฟ...ได้โปรดเห็นแก่น้องสาวคนนี้  นายท่านเป็นผู้มีพระคุณของข้า เขาช่วยเหลือข้าจากโจรถ่อยหยาบช้า เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนที่ดียิ่ง...ได้โปรดนำทางนายท่านไปยังแดนพยัคฆ์ด้วยเถอะ”  เสียงใสเอ่ยแทรกบรรยากาศมาคุที่ชายในชุดคลุมกับนาฟก่อขึ้นเพื่อไม่ให้สถานการณ์ย่ำแย่ลง


เมื่อได้ฟังเช่นนั้นคิ้วหนาก็ขมวดเข้าด้วยกันอย่างครุ่นคิด แล้วมองไปยังชายแปลกหน้าที่หญิงสาวพามาด้วย สายตาที่นาฟใช้มองชายในชุดคลุมนั้นเต็มไปด้วยอคติต่อชนชั้นสูง แม้จะได้พบเจอชนชั้นสูงไม่บ่อยครั้งนัก แต่เขามักจะพบว่าพวกนั้นส่วนมากจะมีท่าทียโสโอหัง จะมีเพียงอาจารย์ของเขาเท่านั้นที่โอบอ้อมอารีเหนือมนุษย์คนใด ทั้งชายผู้นี้ยังเป็นถึงราชวงศ์คงมีท่าทียโสกว่าพวกนั้นหลายเท่า


สิ่งหนึ่งที่ทำให้นาฟไม่ถูกชะตากับชายตรงหน้านั้น คงหนีไม่พ้นท่าทียโสโอหังที่เขาแสดงออกมา ทั้งๆที่มาขอให้พวกเขาช่วย กระทั่งผ้าที่ใช้คลุมศีรษะก็ยังไม่เผยออกมาให้เห็นเสียด้วยซ้ำ แม้ฝีมือเก่งกาจเพียงใด เขาก็ไม่หวั่นกลัวจนต้องยอมก้มหัวยอมรับใช้ง่ายๆเช่นคนขี้ขลาดตาขาวอย่างแน่นอน


ฝ่ายชายในชุดคลุมสีดำเจ้าของพลังสายฟ้าที่เป็นถึงชนชั้นราชวงศ์ตามลำดับขั้นพิเศษนั้น กำลังหยุดคิดไตร่ตรองถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น เขาจึงนิ่งเงียบหาได้ตอบโต้สิ่งใดออกไปไม่


เมื่อครู่เขาได้ประมือกับเรย์ก็ทำให้รู้ว่าชายผู้นี้แม้จะเป็นลูกครึ่งแต่กลับมีฝีมือเหนือล้ำกว่าลูกครึ่งคนใดที่เขาเคยพบเห็น ก่อนหน้านี้เขาสัมผัสได้ว่านาฟอยู่ที่ราวบันไดตั้งแต่ต้น แต่สัมผัสนั้นบางเบาเพราะจิตสังหารถูกลบออกไป และตอนนี้เองเขาก็ได้สัมผัสถึงแรงกดดันอันคุกคามที่ปล่อยออกของนาฟ การจะควบคุมจิตสังหารต้องเป็นผู้มีฝีมืออย่างมากเท่านั้นที่จะทำได้ จึงทำให้เขาพอจะคาดเดาได้ว่านาฟนั้นต้องมีฝีมือพอๆกับเรย์เป็นแน่...พวกเขาทั้งสองมีคุณสมบัติตามที่เขาต้องการ


“หากพวกท่านรู้จักกับนาง เหตุใดต้องใช้มีดจ่อคอเช่นนี้เล่า”  ข้อนี้เป็นเพียงข้อเดียวที่อย่างไรเขาก็คาดเดาจุดประสงค์ไม่ออก จึงได้เอ่ยปากถามออกไปโดยไม่สนใจบรรยากาศกดดันที่นาฟส่งมาแม้แต่น้อย


“มันเป็นการกระทำปกติของพวกเรา ในป่าแห่งนี้มีสัตว์มายาหลายชนิดที่ออกหากินยามค่ำคืน พวกเราจึงต้องระวังภัยตลอดเวลา ท่านคงจะเห็นแล้วว่านางไม่เคาะประตู หรือส่งเสียงเรียกใดๆเพราะนางรู้อยู่แล้วว่าพวกเราไม่เชื่อและไม่เปิดประตูออกไปเป็นแน่
ข้อตกลงที่พวกเรามีร่วมกันคือการกระทำดังกล่าว หากนอกเหนือจากนี้ พวกเราจะลงมือให้ถึงตายทันที” เรย์เป็นผู้กล่าวตอบ เขาตอบมันออกไปอย่างไม่คิดปิดบัง น้ำเสียงนั้นก็ไม่ได้แข็งกระด่างอย่างนาฟ พวกเขาทั้งสองแม้อยู่ด้วยกัน แต่นิสัยกลับต่างกันอย่างสิ้นเชิง


ผู้กล่าวถามเงียบไปหลังจากได้รับคำตอบ ทุกอย่างที่เรย์กล่าวล้วนสมเหตุสมผลในตัวของมันเองจึงไม่ต้องถามสิ่งใดต่อ หลังจากนั้นเพียงแค่ชั่วครู่เขาก็ยกมือเรียวข้างขวาขึ้นมาจับผ้าคลุมศีรษะแล้วดึงลงจนผ้านั้นไปกองรวมกันที่ไหล่กว้าง เผยผมสีเงินเงางามตามแบบผู้ใช้สายฟ้า สายตามั่นคงแน่วแน่ในการตัดสินใจของตน แล้วกล่าวสิ่งที่ตนได้ตัดสินใจออกมา


“เรียกข้าว่า เอลลูญ์...จากนี้คงต้องรบกวนพวกท่านแล้ว” หลังกล่าวจบก็ยกมือข้างขวาขึ้นมาทาบไว้ที่อกด้านซ้ายบริเวณตำแหน่งของหัวใจ ส่วนมือด้านซ้ายเหยียดตรงแนบลำตัว แล้วค้อมศีรษะลงเล็กน้อยเป็นการแสดงความเคารพอีกฝ่ายอย่างไม่ยึดถือทั้งชนชั้น และเผ่าพันธุ์


การทำเช่นนั้นอยู่ในสายตาของลูกครึ่งทั้งสาม ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นชนชั้นล่างสุดของแดนมนุษย์เลยก็ว่าได้ พวกเขาตะลึกงัน แต่ผ่านไปชั่วครู่ก็ยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกแตกต่างกัน ทั้งปลาบปลื้ม ชื่นชม และอาจจะเพียงแค่พึงพอใจ แต่กระนั้นก็ทำให้คนตีหน้าถมึงทึงเมื่อครู่เปิดใจและลดอคติลงไปได้บ้างแล้ว


“หึหึ ถ้าทำเช่นนี้ตั้งแต่แรก ข้าคงไม่มีข้อโต้แย้งใดๆแล้ว” คำกล่าวนั้นแม้ไม่ได้อ่อนน้อมต่อผู้มีชนชั้นสูงกว่าตน แต่ก็เป็นการตอบรับที่ดี


เอลลูญ์  เรย์ และหญิงสาว ทั้งสามยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ


.


.


.


วันต่อมา


ในห้องคุมขังที่เหม็นคลุ้งไปด้วยกลิ่นของความอับชื้นเพราะอากาศไม่ถ่ายเท แม้จะถูกทำความสะอาดอยู่เสมอ แต่จะอย่างไรห้องที่ปิดมิดชิดย่อมต้องชื้นแฉะเป็นธรรมดา


บุคคลที่อยู่ในห้องนี้มีเพียง แร็กนาร์ รูร์กัส และหมอชราที่ไม่ทราบชื่อเสียงเรียงนาม อาจจะเพราะวันนี้เป็นวันที่พิษซึ่งแร็กนาร์ใช้ระงับอาการของหัวหน้ากลุ่มยาฉะนั้นจะหมดฤทธิ์ลง  พวกเขาจึงจำต้องเร่งมือตระเตรียมแผนการช่วยเหลืออย่างเร่งด้วย ต่างคนจึงต่างต้องแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตน อิเดโอะกับฮิโรกิจึงไม่ได้อยู่ที่นี่


รูร์กัสที่อาการดีขึ้นจนสามารถเคลื่อนไหวเองได้แล้วนั่งจ้องมองแร็กนาร์จากบนเตียงนอนของตน  ส่วนหมอชรานั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างโต๊ะปรุงยาของแร็กนาร์ จับจ้องมือเล็กที่หยิบจับอุปกรณ์ด้วยความคล่องแคล่วนั้นอย่างไม่อาจละสายตาได้


มือเล็กขาวซีดหยิบส่วนประกอบสุดท้ายของการปรุงยาขึ้นมา มันเป็นพืชลักษณะคล้ายโสมแต่เป็นสีเขียวทั้งลำต้นตั้งแต่ยอดอ่อนจรดปลายราก สมุนไพรชนิดนี้วางอยู่บนถาดสองต้นเขาจึงหยิบมาขึ้นมาเพื่อเปรียบเทียบเลือกต้นที่มีคุณสมบัติดีกว่า การทดสอบนั้นไม่ได้ยากนักเพียงแค่สำรวจด้วยสายตา สัมผัส และดมกลิ่น เมื่อเลือกได้แล้วก็วางต้นที่ใช้ไม่ได้ลง


ส่วนที่แร็กนาร์เลือกใช้คือส่วนของรากเขาจึงใช้มีดตัดส่วนของลำต้น และปลายรากออก  แล้ววางมีดอันบางเฉียบที่ใช้ตัดสมุนไพรลง ใช้มือที่ว่างอยู่หยิบขาตั้งที่วางหลอดทดลงเอาไว้ 2  หลอดมาวางไว้ด้านหน้าของตน จากนั้นก็นวดคลึงส่วนของรากที่เขาเลือกใช้


หยดน้ำสีเขียวมรกตไหลออกมาจากปลายรากที่ถูกตัดออกเพียงเล็กน้อย แร็กนาร์ยกมันเหนือตำแหน่งของหลอดทดลองที่มียาซึ่งถูกปรุงแต่งจนเป็นสีแดงประกายทับทิมอยู่ด้านในเพียงครึ่งหลอด  เมื่อหยดน้ำของสมุนไพรสีเขียวมรกตร่วงหล่นลงสู่หลอดทดลองยาสีแดงในหลอดทดลองก็แปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลทอประกายสีแดงเลือด


เมื่อได้สมุนไพรในปริมาณที่ต้องการแล้วแร็กนาร์ก็วางสมุนไพรลงแล้วหยิบหลอดหยดสารขึ้นมาดูดยาในหลอดทดลอง เขาดูดมันขึ้นมาเพียงเล็กน้องจากนั้นก็หยดมันลงไปหนึ่งหยดในหลองทดลองที่อยู่ข้างกัน ด้านในหลอดทดลองเป็นเลือดสีแดงที่เริ่มคล้ำเพราะฤทธิ์ของพิษในกระแสเลือด และเมื่อยาถูกหยดลงไปในหลอดทดลองนั้น เลือดก็ผสมเข้ากับยาแก้พิษจนแปรเปลี่ยนเป็นเลือดสีแดงสดดังเดิม


มุมปากเล็กของผู้ผสมยายกยิ้มอย่างพึ่งพอใจในผลลัพธ์ที่ได้ ส่วนหมอชราที่นั่งมองทุกการกระทำของแร็กนาร์อย่างใจจดใจจ่อนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างยินดี  รูร์กัสที่เห็นการกระทำของทั้งสองก็ยิ้มกว้างเช่นเดียวกัน


ห้องทั้งห้องตกอยู่ภายใต้ความเงียบงัน ความรู้สึกที่พลั่งพรูออกมาไม่อาจเรียบเรียงเป็นคำพูดใดได้ สีหน้าแห่งความยินดีก็บิดเบี้ยวเพราะไม่อาจกำหนดได้ว่าตนควรจะแสดงสีหน้าออกไปเช่นไร ความสำเร็จในครั้งนี้น่ายินดีจนไม่อาจกล่าวสิ่งใดออกมาได้อีก นอกจากปล่อยตัวปล่อยใจให้มันเป็นไปอย่างที่ควร


แต่แร็กนาร์นั้นแตกต่าง เขาวางหลอดหยดสารลงแล้วหยิบกระดาษกับปากกามาจรดเขียนสรุปการทดลองด้วยสีหน้าอิ่มเอิบในผลสำเร็จครั้งนี้


‘สำเร็จแล้ว ยาแก้พิษชนิดแรกที่เราต้องทำเพื่อแก้พิษที่เราไม่รู้จัก ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่ผสมพิษเอง และผสมยาแก้เอง ความรู้สึกที่ทำสำเร็จมันแตกต่างกันมากจริงๆ


การผสมยาจากสมุนไพรยากกว่าการผสมจากสารเคมีที่เตรียมเอาไว้ให้มีคุณสมบัติครบถ้วน ความสำเร็จครั้งนี้ของเราต้องเป็นก้าวแรกที่สำคัญแน่ๆ ครั้งหลังๆมานี้เราฆ่าเหยื่อโดยใช้มีดผ่าตัดซะส่วนใหญ่ การปรุงยาจึงกลายเป็นแค่งานอดิเรก แต่ต่อไปมันต้องสำคัญกับเรามากแน่ คงต้องรื้อฟื้นอย่างเร่งด่วนซะแล้ว


แม้จะร้างลามานานแต่ก็ปรุงยาสำเร็จ...เรานี่มันยอดเยี่ยมจริงๆเลย’


มือเล็กจรดเขียนอย่างต่อเนื่องตัวอักษรที่ปรากฏบนกระดาษนั้นเป็นเรื่องของการทดลองปรุงยาเมื่อครู่ แม้ในสมองจะกำลังชื่นชมตนเองอยู่ก็ตาม เขาเองก็เป็นมนุษย์ มีรัก มีโลภ มีโกรธ มีหลง  เป็นธรรมดา มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เขาจะนั่งชื่นชมตนเองเช่นนี้


แม้แร็กนาร์จะชื่นชมตนเองมากกว่านี้คงไม่มีใครริอาจมาห้ามได้ เพราะยาแก้พิษชนิดนี้ใช่ว่าจะเป็นยาที่ใครๆก็สามารถทำได้ หมอชราเองก็ชื่นชมแร็กนาร์อยู่เช่นกัน เขาที่ผ่านโลกมามาก มีประสบการณ์มากมายจนใครๆก็ยกย่อง หลายวันมานี้ตั้งแต่ท่านหัวหน้าใหญ่ล้มป่วยลงเขาก็เพียรปรุงยาแก้พิษชนิดนี้แต่ก็ล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า เขาจึงอดที่จะชื่นชมแร็กนาร์ที่เป็นเพียงเด็กตัวเล็กๆนี้ไม่ได้...หากเทียบกันแล้วแร็กนาร์คงเปรียบได้กับอัจฉริยะคนนั้น...อัจฉริยะที่เขาทั้งชื่นชมทั้งหวาดกลัว


“ยาสำเร็จตามเวลาที่กำหนดไว้ ข้าทำหน้าที่ของข้าลุล่วงแล้ว ฮิเดะกับฮิโระก็คงพยายามทำหน้าที่ของตนให้ลุล่วงเช่นกัน...ท้ายที่สุดแล้วผู้ที่ต้องปิดฉากแผนการทั้งหมดคือท่าน  ข้าฝากเจ้าเด็กพวกนั้นด้วย” มือเล็กนำจุกไม้มาปิดฝาหลอดทดลองที่มียาอยู่ด้านใน แล้วใส่มันลงไปในกล่องไม้ จากนั้นก็กล่าวถึงเด็กน้อยปีศาจทั้ง สองและฝากฝังหน้าที่สุดท้ายกับหมอชรา พร้อมทั้งยื่นกล่องไม้ไปใส่มือที่เหี่ยวย่นนั้น


หน้าที่ของแร็กนาร์จบลงแล้ว เพราะเขายังอยู่ในห้องคุมขังจึงไม่อาจช่วยเหลือสิ่งใดได้อีก  หน้าที่สำคัญจึงต้องฝากไว้ที่ฮิเดโอะกับฮิโรกิเท่านั้น ส่วนเขาก็ทำได้แค่รออย่างคาดหวัง


.


.


.


อีกด้านหนึ่งร่างของเด็กชายเผ่าพยัคฆ์ผิวขาว และผิวคล้ำยืนอยู่หน้าประตูบานใหญ่ที่มีระเบียงทอดยาวเรียบไปกับสวนหย่อมกลางบ้าน พวกเขาสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อเป็นการเตรียมใจ และเตรียมความพร้อมสำหรับทำหน้าอันสำคัญในครั้งนี้ของตน
หน้าที่ในครั้งนี้ฮิเดโอะคัดค้านแร็กนาร์อยู่หลายครั้งเพราะกลัวว่าตนกับฮิโรกิจะไม่สามารถถ่วงเวลาซาดาโอะได้ตามเวลาที่กำหนดไว้ พวกเขาไม่ค่อยสนิทสนมกับซาดาโอะมากนักจึงไม่ทราบว่าจะพูดคุย หรือหาเรื่องใดมารบกวนซาดาโอะดี จนสุดท้ายแล้วแร็กนาร์ที่หมดความอดทนจะต่อล้อต่อเถียงด้วยก็กล่าวประโยคที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้ออกมา


‘เฮอะ! เด็กอย่างพวกเจ้า ทำหน้าที่แทนใครได้ด้วยรึ จะปรุงยาแทนข้า หรือจะฉีดยาแทนท่านหมอเล่า ตอบข้ามาสิ...นอกจากถ่วงเวลาแล้วพวกเจ้าทำสิ่งใดได้’


หลังจากนั้นนอกจากความรู้สึกอดสูที่ไม่อาจโต้แย้งสิ่งใดได้ พวกเขาก็ต้องเพิ่มรู้สึกกดดันเข้ามาอีกเนื่องจากหากพวกเขาพลาด ท่านหมอก็ต้องพลาดด้วย ไม่ต่างกับว่าหน้าที่นี้ชี้ชะตาความเป็นตายของท่านพ่อเลย


ในวันนั้นหลังจากกลับไปยังที่พักฮิเดโอะก็คิดแผนมากมายเพื่อการนี้ ทั้งยังต้องเกลี้ยกล่อมฮิโรกิที่กังวลมากกว่าตนหลายเท่า เนื่องจากฮิโรกิรู้ดีว่าตนทำสิ่งต่างๆตามสัญชาตญานทั้งสิ้น จึงกลัวเหลือเกินว่าตนจะเผลอเผยพิรุจออกมาพาลให้แผนทุกอย่างล่มอย่างไม่เป็นท่า


“ฮิเดโอะ ข้า...ข้า ข้าทำไม่ได้” น้ำเสียงเบาบางกับมือที่สั่นเท่านั้นยืนยันคำกล่าวนี้ได้เป็นอย่างดี ฮิโรกิกลัวการโกหกเป็นที่สุด เพราะบ่อยครั้งที่การโกหกของเขาถูกจับได้อย่างรวดเร็ว จนอดที่จะหวาดหวั่นอย่างเสียมิได้ ทั้งๆที่เตรียมใจมาแล้ว แต่เมื่อมาถึงจุดหมายภาพของความล้มเหลวก็ถาโถมเข้ามามากมายภายในหัว


“ทำไม่ได้ก็ต้องทำ...นี่เป็นคำสั่งของแร็กนาร์” เมื่อเห็นแฝดของตนหวั่นไหวฮิเดโอะจึงกล่าวคำพูดที่ได้ผลเสียทุกครั้งไปออกมา แม้สิ่งที่เขาแสดงออกมาจะเป็นความพร้อมอย่างเต็มเปี่ยม แต่ใครจะรู้เล่าว่าในใจของเขานั้นก็หวาดหวั่นไม่แพ้ฮิโรกิเลย คำกล่าวนี้จึงใช้ปลอบใจทั้งฮิโรกิและเขาด้วย


เด็กทั้งสองหันหน้าไปสบตาของกันและกันเพื่อขอกำลังใจ จากนั้นก็ยื่นมือที่แนบชิดติดกันมาผสานจับกันเอาไว้ เมื่อหัวใจที่เต้นแรงค่อยๆผ่อนคลาย พวกเขาพยักหน้าให้กันน้อยๆเพื่อบอกว่าตนเองพร้อมแล้ว


“แค่ทำตามที่วางแผนไว้ก็พอ” เสียงราบเรียบที่ข่มความหวาดหวั่นเอาไว้เปล่งออกมาเช่นไม่มีความกลัวใดๆปนอยู่ ทำให้ฮิเดโอะที่รับฟังใจชื้นขึ้น ทั้งสองกำมือที่ผสานกันแน่นนั้นเอาไว้อีกครั้ง และเป็นทางฮิเดโอะที่ค่อยๆยื่นมือออกไปหมายจะเคาะประตูบานใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า


ตึก ตึก ตึก


เสียงหัวใจแห่งความตื่นเต้นดังแรงขึ้นทุกขณะ ยิ่งมือนั้นเคลื่อนไปใกล้ประตูมากเพียงใด หัวใจก็ดังมากขึ้นเท่านั้น แต่แล้วหัวใจแทบจะหยุดเต้นเมื่อประตูบานนั้นค่อยๆเปิดออกด้วยมือเรียวของผู้เป็นเจ้าของห้อง


ครืดดดดดด


“นายน้อยพวกท่านมีธุระอันใด ใยยืนอยู่นานสองนานแล้วไม่เข้ามาเสียทีเล่า”



To Be Continued...


ออฟไลน์ GreenHead(หัวเขียว)

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
    • Green Head - หัวเขียว

ตอนที่  16
ถ่วงเวลา


ร่างของปีศาจเผ่าพยัคฆ์สายพันธุ์เสื้อชีตาร์ที่ดูโปร่งสูงอย่างพอเหมาะนั่งจิบชายามบ่ายอันหอมกรุ่นอย่างละเมียดละไม ด้านหน้าของเขาเป็นโต๊ะสีเหลี่ยมขนาดเล็กไม่สูงจากพื้นมากนักพอเหมาะแก่การวางถ้วยชาเป็นอย่างยิ่ง  ส่วนฟูกที่ใช้รองนั่งก็นุ่มละมุนเสียจนไม่อยากลุกออกไปไหน บรรยากาศเหล่านี้เป็นการผ่อนคลายเล็กๆสำหรับเขาที่สะสมความเครียดมายาวนาน แต่ดูเหมือนว่าเวลาพักจะหมดลง  เพราะอย่างไรเขาก็หยุดคิดเรื่องราวที่น่าปวดหัวนั้นไม่ได้เสียที


ใบหน้าที่เคยเรียบเฉยเจือไปด้วยความเศร้าที่ไม่อาจเผยให้ใครได้เห็น  มีเรื่องราวมากมายให้เขาขบคิด  ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคตอันใกล้นี้  จนบางครั้งเขาก็กลัวเสียเหลือเกินว่าตนอาจทำสิ่งใดผิดพลาดไปก็ได้   ยิ่งรับรู้เรื่องราวมากขึ้น ยิ่งใกล้ชิดกับผู้คนมากขึ้น หัวใจของเราก็ยิ่งลังเล ทั้งๆที่มันไม่ควรจะเป็นเช่นนั้นเลย ความคิดที่ผุดขึ้นมาในสมองบ่อยครั้งมักจะเป็นคำถามที่วนไปวนมาอยู่เช่นเดิม


ข้าเข้าใจทุกอย่างอย่างถูกต้องแล้วจริงหรือ


ความจริงเป็นดังเช่นที่ข้ารู้มาใช่หรือไม่


ในความเป็นจริงเหล่านั้น มีคำลวงอยู่มากมายเพียงใด


คำถามเหล่านี้เขาไม่เคยลบมันทิ้งออกไปได้ ทั้งที่เขาคิดว่าเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวที่หวังไว้จะไม่มีวันสั่นคลอน แต่เพราะเหตุใดกันเขาจึงเกิดความลังเลภายในใจมากมายถึงเพียงนี้  เรียงราวที่เขาได้รับรู้มากขึ้น มากขึ้น มันหลอมรวมให้สิ่งต่างๆขัดแย้งกันจนหาข้อเชื่อมโยงยากลำบากเสียจนไม่อาจตัดสินได้ว่าสิ่งใดคือความจริงที่เขาควรเชื่อ แต่กระนั้นเขาก็มักจะหลับหูหลับตาแล้วเลือกที่จะกลับไปเชื่อเรื่องราวแรกเริ่มเสมอ มันไม่มีค่าเลยที่จะเปลี่ยนความเชื่อ เพราะความจริงที่ค้นหา ไม่อาจหาพบได้ มันจึงเป็นทางเลือกเดียวที่เขาต้องทำอยู่ในตอนนี้


แต่เวลานี้จิตใจที่ควรสงบลงเมื่อกลับมาหลับหูหลับตาดังเช่นนั้นมันกลับไม่ยอมสงบลงเสียที่เพียงเพราะเด็กน้อยลูกครึ่งที่แสนอ่อนแอตนนั้น เหตุไฉนเพียงแค่เด็กที่ปรากฏตัวออกมาพร้อมกับนายน้อยจึงทำให้เขาหวนระลึกถึงเหตุการณ์นั้นอีกครั้งเสียได้  เหตุการณ์ที่เขาได้พบคนๆนั้นเป็นครั้งแรก ความรู้สึกแบบเดียวกันพรั่งพรูออกมา  ทั้งบรรยากาศรอบตัว และจิตสังหารที่แสนป่าเถื่อนเหล่านั้น มันคล้ายกันเสียจนเกิดเป็นภาพซ้อนทับกันเสียได้


สิ่งที่ดึงดูดที่สุดคงจะเป็นตาคู่นั้น  แม้จะคนละสีแต่กลับแฝงความรู้สึกลึกลับไม่ต่างกัน ดวงตาที่เรียวรีนั้นทำให้รู้สึกตระหนกเสียจนไม่อาจตัดสินใจทำสิ่งใดได้   กว่าจะรู้สึกตัวอีกครั้งคนของตนก็เกือบถูกสังหารไปเสียแล้ว


แม้เผ่าพันธุ์ของเราต่างกันแทบจะสิ้นเชิง  แต่ความรู้สึกที่สัมผัสได้ครั้งแรกที่ได้พบเจอ  กลับไม่ต่างกับเวลาที่ได้พบคนๆนั้นเอาเสียเลย...แม้เวลาผ่านมาเนิ่นนานหลายปี  แต่วันนั้นเขาก็ได้สัมผัสมันเป็นครั้งที่สองเสียแล้ว


ซาดาโอะเชื่อว่าทุกชีวิตที่ได้พานพบกันนั้นล้วนเกิดจากโชคชะตาที่เกี่ยวข้องกัน มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่อย่างใด...


“____”


เสียงฝีเท้าและเสียงพูดคุยที่ฟังไม่ถนัดว่ากำลังกล่าวสิ่งใดดังมาจากระเบียงด้านหน้าที่ตัดผ่านห้องนี้ห่างไปไม่ไกลหยุดความคิดในห้วงคำนึงของซาดาโอะ  ใบหน้าของชายที่ปรากฏในความคิดนั้นก็เลือนหายไป เหลือไว้เพียงความว่างเปล่า เขากลับมาทำใจให้สงบอีกครั้ง แล้วยกถ้วยชาขึ้นจิบลิ้มรสชาติที่ละมุนลิ้นของมัน พร้อมเงี่ยหูฟังบทสนทนาของคนด้านนอก


‘นายน้อยมาทำอะไรกันนะ’


เมื่อระบุตัวตนของผู้ที่มาหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องของตนได้แล้ว  เขาก็วางถ้วยชาลงแล้วลุกขึ้นย่างเท้าเข้าไปใกล้บานประตูเลื่อนที่กั้นห้องของตนกับระเบียงเอาไว้ จากนั้นเอื้อมมือหมายจะเปิดประตูบานนั้นเพื่อต้อนรับผู้ที่อยู่ด้านนอก แต่แล้วเขาก็ต้องหยุดชะงักลงเมื่อได้ยินบทสนทนาที่น่าสนใจเข้า


“ฮิเดโอะ ข้า...ข้า ข้าทำไม่ได้”


“ทำไม่ได้ก็ต้องทำ...นี่เป็นคำสั่งของแร็กนาร์”


“แค่ทำตามที่วางแผนไว้ก็พอ”


แม้ไม่อาจทราบได้ว่าเด็กทั้งสองวางแผนจะทำสิ่งใด แต่เมื่อได้ยินชื่อของแร็กนาร์  แววตาสนุกสนานแสนซุกซนที่ซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยนั้นก็เปล่งประกายด้วยความยินดีดังได้พบของเล่นชิ้นใหม่ที่ยากจะคาดเดาเข้าเสียแล้ว  ริมฝีปากนั้นก็ฉีกยิ้มอย่างปิดไม่มิดเอาเสียเลย


‘หึหึ   ข้าชักอยากรู้จนทนไม่ไหวเสียแล้วว่าพวกเจ้าวางแผนจะทำสิ่งใด แต่ถ้าต้องการข้าจะช่วยเล่นด้วยสักครั้งก็แล้วกัน’


คิดเพียงเท่านั้นซาดาโอะก็เปิดประตูออกไปพร้อมกล่าวถ้อยคำใสซื่อดังตนไม่ทราบสิ่งใดมาก่อน  จากนั้นก็ยกยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นใบหน้าซีดเผือก พร้อมเหงื่อไคลไหลย้อยด้วยความตื่นเต้นและตกใจจนทำสิ่งใดไม่ถูกของเด็กทั้งสอง


.


.


.


ฮิเดโอะกับฮิโรกิกระชับมือที่จับกันไว้แน่นขึ้นไปอีกเพื่อข่มความตกใจระคนตื่นเต้นนี้  แล้วปรับลมหายใจที่พรั่งพรูอย่างรุนแรงนั้นให้สงบลงเพื่อปิดบังความผิดปกติของตน


“ข้า...ข้า...ข้าๆๆๆ โอ๊ย!!”  ฮิโรกิที่ไม่มั่นใจในตนเองอยู่แล้วยิ่งแตกตื่นตกใจขึ้นไปอีก  เขาจึงพยายามหาข้อแก้ตัวด้วยคำพูดที่ไม่อาจเรียบเรียงออกมาเป็นประโยคได้ ก่อนจะโดนเท่าเล็กๆของฮิเดโอะเหยียบลงบนเท้าของเขาจนร้องโอดโอย


“พวกเรามีเรื่องสำคัญจะคุยกับท่าน” หลังจากจบปัญหาเรื่องฮิโรกิ ฮิเดโอะก็ปรับสีหน้าเป็นยิ้มแย้มอย่างน่ารักส่งไปให้ซาดาโอะ  โดยไม่มีแววความรู้สึกสำนึกผิดที่ทำร้ายร่างกายฮิโรกิแม้แต่น้อย ส่วนซาดาโอะนั้นก็มีสีหน้าเรียบเฉย  แม้ในใจจะกำลังขำขันกับภาพตรงหน้านั้นก็ตาม


“ด้วยความเต็มใจขอรับนายน้อย...เชิญพวกท่านเข้ามาด้านในได้เลย ข้ากำลังพักผ่านอยู่พอดี” รอยยิ้มประดับริมฝีปากบางนั้นช่างเต็มไปด้วยความรู้สึกเอ็นดูเด็กทั้งสอง เขาดีใจไม่น้อยเลยที่นายน้อยเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาเองเช่นนี้ แม้ต้องปิดซ่อนมันลงไปในส่วนลึก แต่ความรู้สึกเหล่านี้ก็ไม่อาจปฏิเสธได้เพราะมันเอ่อล้นออกมาจากภายใน ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่านายน้อยมีจุดประสงค์บางอย่างจึงเข้ามาหาตนแต่ก็สลัดความรู้สึกเหล่านี้ออกไปไม่ได้จริงๆ


พวกเขาทั้งสามไม่ได้สนิทสนมกันแม้ซาดาโอะจะคอยอยู่เคียงข้างพ่อของเด็กน้อยทั้งสองมานานแล้วก็ตาม ไม่ใช่ว่าเด็กทั้งสองเกลียดชังซาดาโอะแต่เป็นเขาเองที่พยายามไม่ใกล้ชิดเด็กน้อยทั้งสอง เพียงเพราะเป้าหมายสำคัญ เขาจึงไม่อยากผูกติดความรู้สึกกับใครๆ จนเวลาผ่านเลยมานานเช่นนี้ แม้อยากจะเริ่มต้นพูดคุยด้วยก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรดี  มันสายเกินไปเสียแล้ว


ทั้งฮิเดโอะและฮิโรกิต่างก็รักใคร่พ่อของตน แต่กับซาดาโอะนั้นมักแสดงท่าทางห่างเหิน ไม่ใช่เพราะไม่อยากใกล้ชิด แต่เด็กที่ใสซื้อบริสุทธิ์มักจำสัมผัสกำแพงที่ซาดาโอะก่อขึ้นเพื่อบิดบังตัวตนเอาไว้ได้  พวกเขาจึงไม่กล้าที่จะบุกรุกเข้าไปภายในกำแพงนั้น


ด้วยความรู้สึกที่สั่งสมมานาน แม้จะมีชื่อแร็กนาร์เข้ามาเกี่ยวข้อง หรือระแวงสงสัยในการกระทำและการสนทนาเมื่อครู่ของนายน้อย แต่ซาดาโอะก็หวั่นไหว เขาเลือกที่จะมองข้ามเพื่อเข้าใกล้นายน้อยสักครั้ง ถึงจะน่าเศร้าหากเกิดผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด  แต่เขาก็ยังอยากจะใกล้ชิดแม้ต้องเจ็บปวดจากการสุญเสียก็ตาม...หากวันหน้าต้องจากลาวันนี้ข้าก็ขอเก็บความทรงจำดีๆเอาไว้แม้เพียงน้อยนิด ก็ดีกว่าไม่มีสิ่งใดเลย


ฮิเดโอะกับฮิโรกินั่งลงบนฟูกรองนั่งฝั่งตรงข้ามกับซาดาโอะ เมื่อทั้งสามคนนั่งลงประจำที่ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบงัน มีเพียงเสียงน้ำชาที่ถูกเทลงไปในถ้วยใบเล็ก 2 ใบที่ตั้งอยู่ด้านหน้าเด็กน้อยทั้งสองด้วยฝีมือของซาดาโอะเท่านั้น  และเมื่อซาดาโอะวางกาบรรจุน้ำชาลง เด็กทั้งสองก็รับไปดื่มด้วยท่าทางแตกต่างกัน


อึก  อึก  ตุบ


“ขออีก”  ด้วยความตื่นเต้นจึงทำให้ฮิโรกิกระหายน้ำจนคอแห้งฝาด เมื่อได้ลิ้มรสชาหอมกรุ่นละมุนลิ้นจึงดื่มต่างน้ำอย่างไร้ซึ่งความเกรงใจใดๆ


ฮิเดโอะอ้าปากค้างด้วยความตกใจ   ก่อนหน้านี้เขาทำให้ฮิโรกิสงบลงแล้ว  แต่เพราะเหตุการณ์เมื่อครู่ที่ต้องเผชิญหน้ากับซาดาโอะอย่างไม่ทันตั้งตัวจึงทำให้ฮิโรกิกลับมามีอาการแตกตื่นตกใจอีกครั้ง  เขาจึงทำได้เพียงอ้าปากพะงาบๆดังอยากพูดสิ่งใดแต่กลับคิดไม่ออกอยู่เช่นนี้สุดท้ายจึงได้แต่มองไปที่ซาดาโอะอย่างคาดหวังว่าอีกฝ่ายจะไม่กล่าวถามสิ่งใด


“ขอรับ”  ชาถูกรินลงในถ้วยของฮิโรกิอีกครั้ง  จากนั้นซาดาโอะก็หันกลับมายิ้มให้ฮิเดโอะด้วยท่าทีเป็นมิตรดังมิได้ติดใจสงสัยสิ่งใด


อึก  อึก ตุบ


ก่อนที่ฮิเดโอะจะได้ตั้งข้อเคลือบแครงใจสงสัยในตัวซาดาโอะที่ชาญฉลาดแต่หาได้ติดใจสงสัยในท่าทางเช่นนี้ของพวกตนก็ต้องหันกลับไปสนใจฮิโรกิเสียแล้ว  จะอย่างไรเขาก็เป็นเด็กเมื่อมีปัญหาที่ต้องแก้อยู่เบื้องหน้า  เรื่องที่เป็นรองเช่นนั้นเขาจึงละความสนใจไปได้ง่ายๆ แล้วหันมาหาข้อแก้ตัวให้ฮิโรกิแทน


“ท่านต้องการชาเพิ่มอีกหรือไม่ขอรับ นายน้อย”   ซาดาโอะหลับหูหลับต่อต่อความผิดพลาดอันใหญ่หลวงของฮิโรกิอย่างสิ้นเชิง เขาคงไว้แต่ความสนุกสนานที่ได้ดูปฏิกิริยาของเด็กทั้งสองเท่านั้น


“ขออี...”


“พอแล้วครับ...เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า” เพียงฮิโรกิเอ่ยปากก็ถูกเสียงที่ดังกว่าของฮิเดโอะกลบไป พร้อมสีหน้าที่แสดงออกถึงการข่มขู่ของแฝดตนที่ส่งออกมาว่าให้หุบปากเท่านั้น   จากนั้นฮิเดโอะก็หันกลับไปมองซาดาโอะดังเมื่อครู่มิได้มีสิ่งใดเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย


เพราะเช่นนั้นฮิโรกิจึงจำต้องนิ่งเงียบ ไม่กล้าปริปากกล่าวสิ่งใดออกมาอีก  ได้แต่มองหน้าฮิเดโอะสลับกับถ้วยชาด้วยสายตาอาลัยอาวร...ข้ายังอยากดื่มอยู่นะ ฮือออ


แม้จะรับรู้ต่อสายตาของฮิโรกิ ฮิเดโอะก็เลือกที่จะเมินเฉยต่อสายตาเว้าวอนนั้นอย่างเย็นชา แล้วละความสนใจจากฮิโรกิมาเป็นซาดาโอะที่นั่งอยู่อีกฟากของโต๊ะแทน


ฮิเดโอะนั้นไม่ได้แสดงท่าทีแตกตื่นตกใจเช่นฮิโรกิ  แต่สายตานั้นก็เต็มไปด้วยความลังเล  กลัวเหลือเกินว่าแผนของตนจะล้มเหลว...เขาไม่รู้เลยว่ามันล้มเหลวตั้งแต่เริ่มต้น แต่กระนั้นซาดาโอะก็ยังยอมเล่นด้วยแม้ว่าพวกเขาจะผิดพลาดมากเพียงใดก็ตาม...ถ้าเช่นนั้นแล้วมันถือว่าสำเร็จอยู่กลายๆมิใช่หรือ...


“ขอรับนายน้อย  ว่ามาได้เลย”  น้ำเสียงนั้นหากฟังให้ดีจะรู้ว่าว่าเจือไปด้วยความเสียดายเล็กน้อย เขาชอบอาการแตกตื่นของฮิโรกิอยู่ไม่น้อยจึงอดที่จะรู้สึกเสียดายไม่ได้  แต่ตอนนี้ก็ต้องเล่นตามน้ำไปเท่านั้น  ต่อไปอาจจะมีเรื่องที่สนุกกว่ารออยู่ก็ได้


ดังที่หวังไว้เด็กทั้งสองทำให้ซาดาโอะประหลาดใจเสียจริงๆ  พวกเขาลุกขึ้นแล้วถอยห่างจากโต๊ะที่วางถ้วยชาเมื่อครู่ไปเล็กน้อย  เว้นช่องว่างไว้แต่พอเหมาะแล้วนั่งคุกเข่า  จากนั้นก็กล่าวคำพูดที่ตระเตรียมไว้พร้อมกันทั้งสองคน


“ได้โปรดรับพวกเราเป็นศิษย์ด้วย!!” กล่าวจบก็ก้มหัวลงคำนับจนหน้าผากจรดพื้นดังที่เคยเห็นผ่านๆมา
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงันอีกครั้งจากการกกระทำเมื่อครู่  เด็กทั้งสองหัวใจเต้นด้วยความลุ้นระทึก ส่วนซาดาโอะก็ได้แต่นั่งตกตะลึงในสิ่งที่ยากจะคาดเดานี้


...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-11-2016 11:23:29 โดย GreenHead(หัวเขียว) »

ออฟไลน์ GreenHead(หัวเขียว)

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
    • Green Head - หัวเขียว

‘นายน้อยเล่นไม้นี้เชียวรึนี่  ช่างกล้าเสียจริงๆหึหึ’


แต่ซาดาโอะไม่รู้เลยว่าสิ่งที่พวกเขาทำนั้นไม่ใช่เพราะกล้าหาญ พวกเขาเพียงเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมาเท่านั้น  เพราะทุกครั้งที่ทำเช่นนี้กับแร็กนาร์ที่แสนเย็นชา  มันมักจะได้ผลเสมอ แม้บางครั้งจะไม่ได้ผลทันทีแต่พอเวลาล่วงเลยไปแร็กนาร์ก็อ่อนข้อให้พวกเขาอยู่ดี


และเหตุผลที่ว่าเหตุใดจึงขอเป็นศิษย์นั้น เพราะมันใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด มันง่ายต่อการเล่นละครฉากนี้ ฮิโรกิเองก็จะได้ลดอาการประหม่าลงด้วย หากเรื่อองราวที่เกิดขึ้นต่อไปเป็นเรื่องจริงที่ควรจะกล่าวออกไป


“เงยหน้าขึ้นเถอะนายน้อย เราควรสนทนากันก่อน ส่วนเรื่องรับเป็นศิษย์นั้นข้าจะพิจารณาทีหลัง” เมื่อปรับสีหน้าและอารมณ์ของตนได้ ซาดาโอะจึงบอกให้เด็กทั้งสองได้อธิบายเหตุผลของคำขอนี้


‘แม้ว่าการแผนการครั้งนี้ของนายน้อยนั้นสำคัญต่อพวกเขามาก แต่ฉไนเลยถึงได้เอาอนาคตตัวเองมาเสี่ยงเช่นนี้เล่า หากข้ารับปาก พวกท่านจะถอยหลังกลับได้อย่างไรนายน้อย หากท่านรู้เรื่องทั้งหมด...พวกท่านต้องเสียใจภายหลังเป็นแน่’


ฮิเดโอะกับฮิโรกิเงยหน้าขึ้นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม แผนการสำเร็จไปอีกหนึ่งขั้นแล้ว ในการกระทำครั้งนี้เขาไม่ได้ต้องการให้ซาดาโอะตอบรับในทันทีเขาเพียงแค่ต้องการถ่วงเวลาเท่านั้น การพูดคุยต่อไปโดยไม่ตอบรับจึงเป็นเรื่องที่เขาต้องการ


ถือว่าโชคเข้าข้างเด็กทั้งสองไม่น้อย ซาดาโอะไม่รู้เลยว่ากำลังตกหลุมพรางเล็กๆที่ถูกสร้างไว้อย่างแยบยลนี้ ยิ่งระแวงเพียงใด ก็ยิ่งตกลงไปง่ายเท่านั้น หากเขาตอบรับคำ ฝ่ายที่ลำบากก็คงเป็นฮิเดโอะกับฮิโรกิเป็นแน่ เพราะมองข้ามสิ่งเล็กๆเพื่อสนองตอบความพอใจของตนเอง และหวาดระแวงในการกระทำไม่คาดคิด แม้แต่คนที่ฉลาดเฉลียวก็ล่วงหล่นได้ด้วยความประมาทของตน
ไม่ว่าจะเป็นเพราะโชคช่วย หรือวางแผนการได้ดี แต่ก็ถือว่าแผนการที่เต็มไปด้วยความผิดพลาดครั้งนี้ เดินหน้าสำเร็จอย่างงดงามไปกว่าครึ่งแล้วจริงๆ


“ข้าอยากรู้สาเหตุที่นายน้อยทั้งสองอยากให้ข้าไปเป็นอาจารย์ให้” จะอย่างไรซาดาโอะก็ไม่อาจรู้ได้ว่าตนก้าวเข้าไปหาหลุมพรางด้วยตัวเอง เขาจึงเริ่มสอบถามหลังจากที่เด็กทั้งสองลุกขึ้นมานั่งบนฟูกเช่นเดิมแล้ว


“จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาไม่นานนี้ทำใหพวกเราตระหนักได้ว่า ตนเองนั้นอ่อนแอเพียงใด” บรรยากาศถูกเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อฮิเดโอะเริ่มกล่าวประโยคนี้ แม้ว่าต้องหลอกลวงซาดาโอะ แต่สิ่งที่กล่าวออกมาล้วนเป็นความจริงที่เก็บไว้ภายในใจ


ตั้งแต่ที่เขาได้พบกับแร็กนาร์ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เหตุการณ์ที่พวกเขาไม่อาจจินตนาการได้เกิดขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า และพวกเขาเชื่อว่า มันต้องมีครั้งต่อๆไปอย่างแน่นอน หากเทียบกันแล้วทั้งฝีมือการต่อสู้ การวางแผน การตัดสินใจ แร็กนาร์ล้วนเหนือกว่าพวกเขาอย่างสิ้นเชิง ทั้งๆที่อายุห่างกันเพียงหนึ่งปีแต่มันกลับห่างไกลมากถึงเพียงนี้ ชีวิตที่ผ่านมาพวกเขามัวทำอะไรอยู่กันนะ ทั้งหลบหนี ทั้งกลั่นแกล้งเหล่าลูกสมุนของท่านพ่อไปทั่ว ถือดีว่าตนเองเก่งกาจทั้งๆที่พวกนั้นไม่แม้แต่จะอยากลงมือเสียด้วยซ้ำ พอถูกอ่อนข้อให้ก็ยิ่งได้ใจ จนละเลยหน้าที่ของตนเช่นนี้ แล้วต่อไปพวกเขาจะปกป้องแร็กนาร์ตามคำกล่าวได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าแร็กนาร์จะต้องคอยปกป้อง และช่วยเหลือพวกเขาต่อไปเช่นนี้หรือ


ไม่เอาอีกแล้ว การหลบหลังกำแพงแล้วเฝ้ามองแร็กนาร์กับรูร์กัสที่เข้าต่อสู้อย่างห้าวหาญ พวกเขาทำสิ่งใดไม่ได้นอกจากจ้องมอง มันช่างน่าละอายต่อคำกล่าวปฏิญาณในตอนนั้นจนรู้สึกสมเพทตนเอง สุดท้ายก็กลายเป็นคำพูดพล่อยๆดังเช่นที่แร็กนาร์ว่าไว้จริงๆ พวกเขาอยากเปลี่ยนแปลงตนเอง ขอเพียงใครสักคนที่ช่วยทำให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นได้ แม้จะเป็นคนที่เคยทำร้ายแร็กนาร์มาก่อนเขาก็ยินดี


“ใช่แล้ว พวกเราอ่อนแอ...อ่อนแอจนน่าสมเพท” อาจจะเพราะใจสื่อถึงกัน ฮิโรกิจึงกล่าวถ้อยคำที่อัดอั้นตันใจออกมาบ้าง ความรู้สึกนึกคิดของเขาไม่ต่างจากฮิเดโอะมากนัก เขารู้ว่าตัวดีว่าตนไร้ประโยชน์มากเพียงใด ความรู้สึกขมขื่นที่ต้องจ้องมองการต่อสู้อยู่ด้านหลังกำแพงดังคนไร้ทางสู้เช่นนั้นมันไม่อาจลบออกไปได้ง่ายๆ ความรู้สึกถึงมือที่กำจนเลือดไหลซึม ประสาทตึงเขม็งเพราะอดกลั่นโทสะหยุดร่างกายของตนเอาไว้ตรงนั้น เขาไม่อยากสัมผัสมันอีกแล้ว


ความจริงแล้วการที่พวกเขาเป็นเช่นนี้ไม่ใช่ความผิดปกติ  แต่เพราะเขาตั้งตนเองไปเทียบกับแร็กนาร์ต่างหากมันจึงผิด แม้สภาพแวดล้อมภายในครอบครัวจะบีบให้พวกเข้าเติบโตเป็นคนที่แข็งแกร่ง แต่เวลานี้มันไม่ใช่ความผิดของพวกเขาแม้แต่น้อย  พวกเขาอายุเพียง  7  ขวบเท่านั้นเด็กถึงเพียงนี้จำเป็นหรือว่าต้องเก่งกาจเช่นแร็กนาร์ ไม่เลยมันไม่จำเป็น แต่กระนั้นมันอาจจะถูกต้องแล้วก็ได้ หากความคิดเช่นนี้ช่วยให้พวกเขาขยันฝึกซ้อม  มันก็เป็นเรื่องทีสมควรแล้ว


ซาดาโอะมองเด็กน้อยทั้งสองด้วยความเอ็นดู  เด็กทั้งสองช่างเหมือนเขาเสียจริงๆในเวลานั้นเวลาที่รู้ว่าตนสูญเสียซึ่งคนสำคัญของชีวิต  สิ่งที่เขารู้สึกแค้นเคืองเป็นที่สุดคือตนเองที่อ่อนแอ  เขาฝึกอย่างเอาเป็นเอาตายจึงได้แข็งแกร่งเช่นทุกวันนี้  เด็กน้อยทั้งสองยังเด็กเกินไปที่จะฝึกฝนด้วยตนเองเช่นเขา หากเขาได้คอยชี้แนะมันคงดีไม่น้อย แต่อนาคตที่รออยู่มันช่างโหดร้าย  แม้เสียใจเมื่อนึกถึงหนทางข้างหน้า ซาดาโอะก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา  ทำเพียงเงียบฟังอยู่เช่นนั้น


“และคืนนั้น  คืนที่แสนวุ่นวายนั้นมันทำให้พวกเราคนพบว่าท่านเก่งกาจเพียงใด  เพียงแค่พัดในมือ   1 อันยังสามารถหยุดแร็กนาร์ได้...ข้าคิดว่าท่านต้องเก่งมากอย่างแน่นอน” แม้กล่าวถึงตรงนี้แล้วเจ็บใจและโกรธเคืองซาดาโอะที่ทำให้แร็กนาร์เสียท่าอยู่บ้างก็ตาม  แต่หากทิ้งความรู้สึกเหล่านี้ไปก็จะพบกว่าความจริงแล้ว การที่ซาดาโอะหยุดแร็กนาร์เอาไว้เป็นเรื่องที่ดี   เพราะหากแร็กนาร์สังหารเคียวจิเข้า   เรื่องคงบานปลายใหญ่โตอย่างไม่อาจหวนกลับมาได้


“ใช่ๆเก่งมาก มันยอดเยี่ยมที่สุดเลย พัดนั้นมันลอย  ฟิ้ว  ปึก  ปั๊ก  จนมีดกระเด็น ฟิ้วๆๆ ปึก  โดนกำแพงพอดีเลย   สุดยอดมาก”  คำอธิบายที่ไม่อาจเข้าใจได้ออกจากปากฮิโรกิ  พร้อมด้วยตาเปร่งประกายอย่างชื่นชมถูกส่งไปให้ซาดาโอะ มันช่างดูใสซื่อ   แต่ไม่เข้ากับบรรยากาศตอนนี้เอาเสียเลย มันพาให้ทั้งฮิเดโอะ  ทั้งซาดาโอะหลุดขำพรืดออกมาอย่างห้ามไม่อยู่  แม้จะอดกลั้นมันไว้เพียงใดก็ยังปิดไม่มิดอยู่ดี


บรรยากาศมาคุเมื่อครู่ถูกคลายออก  เหลือไว้เพียงใบหน้าเหยเกเพราะกั้นขำของซาดาโอะ  กับฮิเดโอะที่ไม่รู้ว่าควรจะกล่าวกับฮิโรกิอย่างไร  เพราะดูเหมือนเขาจะภาคภูมิใจกับคำอธิบายเมื่อครู่เสียเหลือเกิน


“หึหึหึ อย่างนั้นเชียวหรือนายน้อยฮิโรกิ” เสียงหัวเราะอย่างพึงพอใจในเหตุการณ์ไม่คาดคิดดังขึ้นจากปากของซาดาโอะพร้อมใบหน้าที่ยิ้มแย้มจนตาหยีอย่างที่เด็กทั้งสองหรือใครๆแทบจะไม่เคยเห็น


“อื้อ  ใช่ๆมันสุดยอดมากเลยครับ”  ฮิโรกิผงกหัวงึกงักเพื่อยื่นยันคำพูดของตน  จนถึงตอนนี้เขาก็ไม่รู้ว่าตนทำลายบรรยากาศอย่างไรไป  จึงได้แต่ยิ้มรับอย่างดีใจเท่านั้น


“อืม  ถ้าเช่นนั้นหากข้ารับปากที่จะสอนพวกท่าน พวกท่านจะแอบหลบหนีเช่นเรียนกับอาจารย์คนอื่นๆหรือไม่ขอรับ” เพราะหัวใจที่ปิดกั้นโดนกระทบจากการพูดคุยในครั้งนี้  เขาจึงแสดงด้านที่ปกปิดเอาไว้ออกมาอย่างไม่รู้สึกตัว ลืมตระหนักถึงความเศร้าที่จะตามมาหลังจากนี้  ได้แต่รับรู้สิ่งที่เป็นอยู่ ณ  ปัจจุบันเท่านั้น


หากสิ่งที่เทโทระต้องการทำคือสังหารหลานแท้ๆของตนเพื่อยึดครองอำนาจ  เมื่อถึงเวลานั้นตำแหน่งที่ปรึกษากลุ่มของเขาคงสั่นคลอนไม่น้อย   เขาจะทำอย่างไรหากตัดใจจากลาเด็กน้อยทั้งสองไม่ได้...ความคิดเหล่านั้นถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง ตอนนี้เขามีความสุขเสียจนไม่อยากคิดสิ่งใดแล้ว


“ไม่หนีแน่นอน!!” สองเสียงประสานตอบอย่างพร้อมเพียง ความดีใจพรั่งพรูของพวกเขาไม่แพ้ซาดาโอะเลย  ในเวลานี้แร็กนาร์คงจะปรุงยาสำเร็จตามที่รับปากไว้แล้วแน่ๆ   อย่างแร็กนาร์ไม่มีทางที่จะผิดพลาดอย่างพวกเขา อีกนิดพวกเขาต้องถ่วงเวลาไว้อีกนิดเท่านั้น เหลือเพียงฉีดยาแก้พิษให้ท่านพ่อ ท่านพ่อก็จะรอดแล้ว


“หึหึ  พวกท่านขยันขันแข็งเช่นนี้ท่านพ่อของท่านต้องภูมิใจเป็นแน่...ท่านเบียกโกะ” คำพูดพึมพำในตอนท้ายแฝงไว้ซึ่งความเศร้าหมอง  แต่แล้วเขาก็ตระหนังถึงบางอย่าง  ความนึกคิดอันเฉียบคมกลับมาอีกครั้ง  ละทิ้งความสุขหอมหวานที่อยู่ตรงหน้าแล้วกลับเป็นซาดาโอะผู้เฉยชาเช่นเดิม


หากทบทวนโดยตัดความรู้สึกภายในส่วนลึกของตนออกไป  สิ่งเดียวที่ทำให้นายน้อยทั้งสองกล้าที่จะเอาอนาคตของตนเองมาเสี่ยงมันก็มีสาเหตุที่สมควรอย่างเดียวมิใช่หรือ


‘เด็กพวกนี้กำลังร่วมมือกันทำอะไรบางอย่างกับท่านเบียกโกะอย่างแน่นอน’


ดังความสงสัยใคร่รู้โจมตีโรมรัน  ซาดาโอะหาได้กล่าวสิ่งใดออกมาอีก  ทำเพียงลุกเดินไปที่ประตูเท่านั้น


“ไม่ได้  ท่านห้ามไปหาท่านพ่อ อุ๊บ”  ฮิโรกิเผลอหลุดปากเสียแล้ว แม้หยุดมันไว้เมื่อตระหนักถึงด้วยมือที่ปิดปากอยู่  จะอย่างไรส่วนสำคัญก็หลุดออกไปจนได้


ที่พวกเขาต้องถ่วงเวลาซาดาโอะเอาไว้เพราะกลัวซาดาโอะจะเป็นเช่นคนอื่นๆที่รังเกียจและดูถูกลูกครึ่งอย่างแร็กนาร์ แล้วไม่ยอมรับยาที่แร็กนาร์ปรุงขึ้น  แม้ไม่รู้ว่าเหตุใดแร็กนาร์จึงเห็นด้วยที่จะกันซาดาโอะออกไป แต่พวกเขาคิดว่าเหตุผลของตนนั้นเพียงพอแล้ว  จึงต้องดึงตัวซาดาโอะไว้จนภารกิจครั้งนี้สำเร็จให้จงได้


“เหตุใดไม่ได้...เวลานี้ปกติข้าก็เข้าไปนั่งเฝ้าดูอาการของท่านเบียกโกะอยู่แล้วมิใช่หรือ” เสียงนั้นถามออกมาแม้รู้อยู่แก่ใจดีว่าเพราะเหตุใด ยิ่งเห็นท่าทางเมื่อครู่เขายิ่งมั่นใจในความคิดของตนเอง  พวกเขาต้องร่วมมือกันทำอะไรบางอย่างกับร่างที่นอนรอความตายอยู่นั่นเป็นแน่


ซาดาโอะก้าวขาเดินต่อจนถึงบานประตู   เมื่อเห็นมือเรียวนั้นค่อยๆยกขึ้นหมายจะเลื่อนประตูนั้นออก เด็กน้อยทั้งสองก็ร้องห้ามออกมาอย่างไม่อาจปิดบัง


“อย่าไปเลย ได้โปรด”


“หยุดเถอะ ข้าขอร้อง จะให้ทำสิ่งใดข้าก็ยอม”


คำอ้อนวอนหลุดออกจากปากฮิเดโอะกับฮิโรกิครั้งแล้วครั้งเล่า  แม้หวั่นไหวไม่น้อยแต่ซาดาโอะก็พยายามสลัดความรู้สึกเหล่านั้นทิ้งไป เขาเปิดประตูออกหลังจากทิ้งความลังเลนั้น  แต่แล้วก็ต้องชะงักอีกครั้งเมื่อเอวของเขาถูกกอดไว้ซึ่งเด็กตัวเล็กๆทั้งสอง


“ได้โปรดหยุดเถอะ ให้พวกเราลองเสี่ยงกับมันดูสักครั้ง” ฮิโรกิกล่าวด้วยน้ำเสียงเว้าวอน จวนเจียนจะร้องไห้เต็มที


“ข้าเสียท่านแม่ไปแล้ว  ได้โปรดให้ท่านพ่ออยู่กับพวกเราต่อไปอีกหน่อยเถอะนะ ฮึก” แรงกดดันต่างๆทำให้น้ำตาฮิเดโอะไหลทะลัก   เด็กตัวเล็กเพียงเท่านั้นต้องมาฝืนแบกรับเรื่องราวมากมาย  เขาจึงไม่อาจอดกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้อีก เพียงแค่คิดว่าหากแผนล้มเหลวท่านพ่อต้องจากไปชั่วนิรันดร์เขาก็ไม่อาจยอมรับทันได้


ฮิโรกิเห็นแฝดของตนที่เข้มแข็งมาตลอดปล่อยทุกสิ่งให้เป็นไปตามความรู้สึก  เขาจึงเลิกอดกลั้นความรู้สึกต่อสิ่งที่เกิดขึ้นบ้าง  น้ำตามากมายไหลอาบแก้มเปอะเปื้อนชุดของซาดาโอะตรงบริเวณที่ถูกน้ำตานั้นสัมผัสจนเปียกชุ่ม


“ท่านแม่  ฮึก...ท่านคล้ายท่านแม่ของพวกเรามาก เช่นนั้นแล้วก็ควรใจดีเช่นท่านแม่สิ ได้โปรดๆเถอะ  ลองเชื่อใจแร็กนาร์สักครั้ง  อย่าได้รังเกียจแร็กนาร์เลย” น้ำเสียงสั่นเครือนี้เป็นเสียงของฮิโรกิ ตอนนี้เขาเสียใจจนถึงขั้นนำความรู้สึกนึกคิดต่างๆมารวมกันจนมั่วไปหมด  เพราะในครั้งแรกที่เขาได้พบกับซาดาโอะ  ก็รู้สึกได้ว่าซาดาโอะคล้ายกับแม่ของตนอยู่หลายส่วน  จึงพยายามเข้าหาแต่กลับถูกปิดกั้นเสียอย่างนั้น จึงได้แต่ความเก็บความน้อยใจเอาไว้  พอถึงตอนนี้ความน้อยใจที่สั่งสมมานานหลายปีจึงถูกดึงออกมาพร้อมความรู้สึกเสียใจที่ตนทำผิดพลาดจนแผนการที่จะช่วยชีวิตท่านพ่อเอาไว้ล้มเหลว


ตึก  ตึก


หัวใจของซาดาโอะเต้นแรงเพราะคำกล่าวที่ไม่รู้ความของฮิโรกิอย่างง่ายๆ  กำแพงที่ก่อขึ้นปิดบังทุกสิ่งกำลังแตกร้าว  ก่อนหน้านี้หัวใจของเขาถูกเติมเต็มด้วยความสุขเพราะความใสสะอาดบริสุทธิ์ของเด็กทั้งสอง  แต่ในเวลานี้ความบริสุทธิ์เหล่านั้นกำลังบีบรัดหัวใจเขาให้เจ็บปวด


‘ไม่  มันไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ...อย่าหวั่นไหวกับคำกล่าวเพียงเท่านั้นนะซาดาโอะ  เป้าหมายที่ไขว่คว้ามานานปีจะหยุดลงแค่นี้ไม่ได้’


ซาดาโอะพร่ำบอกตัวเองเช่นนั้น  ทั้งยังกำมือแน่นจนเล็บจิกลงไปในเนื้อพาให้เลือกไหลซึมออกมาจากฝ่ามือทั้งสองข้าง  ฟันก็กัดกระทบกันไว้ด้วยความอดกลั้น  อดกลั้นต่อความสุขที่เย้ายวนอยู่ตรงหน้า


“ขอร้องล่ะท่านซาดาโอะ ท่านอยู่เคียงข้างท่านพ่อมาตลอด...ท่านเป็นครอบครัวของพวกเรามิใช่หรือ” ประโยคที่ออกมาจากปากฮิเดโอะพาให้น้ำตาที่อดกลั้นมาตลอดของซาดาโอะไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่  น้ำตานั้นแสนขมขื่นๆ...ความสุขที่ไม่อาจรับไว้ได้มันช่างเจ็บปวด


‘มันสายเกินไปแล้วนายน้อย’


“ไม่  ข้าไม่ใช่ครอบครัวของพวกท่าน” กล่าวจบซาดาโอะก็สะบัดตัวจนเด็กน้อยทั้งสองหลุดออกจากการเกาะกุม   แล้วขานั้นก็ก้าวเดินออกไปอย่างไม่เหลียวหลัง  ปล่อยให้เสียงร้องให้อ้อนวอนของเด็กทั้งสองดังต่อไปอยู่เช่นนั้น   แต่ใครจะรู้เล่าว่าคนที่ทำตัวเย็นชาอยู่นี้กำลังหลั่งน้ำตาออกมามากมาย  พาให้ร่างกายนั้นเดินซวนเซเช่นคนหมดแรง  แม้ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ดูเหมือนมันจะไม่ยอมหยุดลงง่ายๆเลย


ในวันนี้เขาเลือกที่จะละทิ้งความสุขไว้เบื้องหลัง   แล้วก้าวเดินเข้าสู่ความขมขื่นที่รออยู่เบื้องหน้า...อย่างไม่อาจถอยหลังกลับมาได้




To Be Continued...

ออฟไลน์ GreenHead(หัวเขียว)

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
    • Green Head - หัวเขียว

ตอนที่ 17
ตัดสินใจ

“มานั่งพักเถอะแร็กนาร์” รูร์กัสส่งเสียงเรียกคนที่เดินไปเดินมาภายในห้องขังอย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยให้มานั่งพักเสียบ้าง เพราะหลังจากหมอชราออกไปได้เพียงครู่แร็กนาร์ก็แสดงท่าทีเช่นนี้เสียแล้ว  ทั้งยังไม่ได้นอนตั้งแต่เมื่อคืนอีก เนื่องจากเร่งปรุงยาให้เสร็จทันกำหนด  แต่เจ้าตัวก็ไม่มีท่าทีที่จะยอมนอนพักผ่อนเลยแม้แต่น้อย


รูร์กัสรู้ดีว่าน้องของตนกระวนกระวายใจเพียงใด แม้ปากจะบอกว่าไม่สนใจสิ่งใดก็ตาม จะให้เชื่อได้อย่างไรเล่าในเมื่อท่าทางที่ชะเง้อคอมองไปที่ประตูอยู่บ่อยๆ และเดินไปเดินมาเช่นคนหวั่นวิตกเช่นนี้ ใช่ว่าแร็กนาร์จะแสดงออกมาให้เห็นได้ง่ายๆ แม้สีหน้านั้นจะยังคงเรียบนิ่งแต่เขาเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าภายในใจต้องเต้นระส่ำเป็นแน่


แร็กนาร์ชะงักเพราะเสียงของรูร์กัส แล้วจึงสำนึกได้ว่าตนกำลังทำสิ่งใดอยู่


‘บ้าเอ้ย เราทำอะไรวะเนี่ย ปกติเราไม่เคยเป็นแบบนี้นี่นา พวกเด็กบ้านั่นมันทำอะไรเรากันนะ’


ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากัน เมื่อเจ้าตัวกำลังครุ่นคิดถึงสาเหตุของการกระทำที่ไม่สมกับเป็นตัวเองเช่นนี้ แต่แล้วไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจหาสาเหตุได้ ร่างเล็กจึงเดินกลับไปนั่งที่เตียงของตนอย่างว่าง่าย


นั่งได้เพียงชั่วครู่ความรู้สึกกระวนกระวายใจที่สะกดเอาไว้ก็ถาโถมเข้ามาอย่างไม่อาจขัดขืนได้อีก ร่างกายของเขาอยู่อย่างไม่เป็นสุข มือขยับไปมาดังไม่รู้ว่าจะวางคงตรงที่ใด สายตาก็สอดส่องไปที่หน้าประตูอย่างห้ามสายตาตนเองไม่ได้


“อย่าหวั่นวิตกไปเลย พี่มั่นใจว่าทุกอย่างต้องผ่านไปได้ด้วยดี...ก็น้องพี่เป็นห่วงขนาดนี้เลยนี่นา” เสียงต้นประโยคที่เปล่งออกมานั้นจริงจังจนแร็กนาร์ต้องหันกลับมามองพี่ชายของตน แต่พอถึงประโยคหลังกลับแปรเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงหยอกล้ออย่างมีเลศไนพาให้แร็กนาร์ต้องถลึงตาใส่อย่างปรามๆเด็กตัวน้อยที่กล้าล้อเขาเล่น แต่ถึงจะอย่างนั้นใบหน้ากลับแดงระเรี่ยอย่างห้ามไม่อยู่ อย่างคนที่ถูกรู้ความลับอันน่าอับอายเข้า


“พี่รูร์กัสข้าไม่ได้เป็นห่วง...พวกนั้น” ริมฝีปากที่ขบเม้มจนเกิดรอยแดงเปิดออกแล้วกล่าวทัดทาน แต่เมื่อสบเข้ากับดวงตาที่มองดังว่าไม่ว่าเขาจะปิดบังสิ่งใดอยู่ก็ไม่อาจปิดบังคนตรงหน้าได้ แร็กนาร์จึงเลือกที่จะก้มลงจึงทำให้คำหลังๆแผ่วไป


S.P นั้นอยู่ในวังวนของการฆ่า เขาจึงปราศจากอารมณ์ความรู้สึก สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงภาระที่หนังอึ้ง เขาจึงเลือกที่จะทิ้งมันเอาไว้เท่านั้น ดังนั้นเขาจึงไม่ต่างจากเด็กน้อยไร้เดียงสาที่หวั่นไหวไปตามอารมณ์ความรู้สึกที่ก่อขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจเหล่านี้ ทั้งไม่เข้าใจ ทั้งสับสน แต่กลับห้ามเอาไว้ไม่ได้ จะทำอย่างไรตัวเขาจึงจะกลับไปเป็นเช่นเดิมก็ไม่อาจทราบได้ กำแพงที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อปิดกั้นโลกภายนอกค่อยๆปริร้าว ความรู้สึกบางอย่างจึงไหลผ่านร่องรอยเหล่านั้นเข้ามาอย่างห้ามไม่อยู่


เวลานี้ช่างน่ากลัว  ความรู้สึกที่เขาไม่รู้จักมากมายถาโถมเข้ามา ทั้งจากรูร์กัสที่อบอุ่น และจากเด็กน้อยฝาแฝดทั้งสองที่ห่วงใยเขายิ่งกว่าสิ่งใด...เขาจะทำเช่นไรต่อไปดี


รูร์กัสมองออกว่าแร็กนาร์สับสนภายในใจ แต่ก็เลือกจะทำเพียงนิ่งเงียบแล้วจ้องมองผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น แม้ก่อนหน้านี้เขาจะอยากให้แร็กนาร์คลายวิตกจึงพยายามทำให้เจ้าตัวอารมณ์ดี แต่เหมือนยิ่งทำแร็กนาร์ก็ยิ่งแย่ลง...แต่อย่างไรเขาก็คิดที่จะจับจุด และจี้ลงไปให้แร็กนาร์เปิดรับความรู้สึกต่างๆให้ได้


ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าแร็กนาร์เปลี่ยนไปมากมายเพียงใด แม้จะยิ้มแย้มให้กับเขา แต่ความรู้สึกบางอย่างกับตายด้าน ดังไม่เคยได้รับมันมาก่อน เขาจึงต้องช่วยกระตุ้นให้แร็กนาร์กลับมาเป็นดังเช่นที่ควรจะเป็น...กลับมาเป็นเด็กน้อยที่แสดงความรู้สึกออกมาได้อย่างไม่ต้องพยายาม ทั้งเป็นที่รัก และรักคนอื่นได้อย่างสุดหัวใจ


เวลานี้ทั้งห้องจึงตกอยู่ในความเงียบ ต่างฝ่ายต่างปล่อยให้เวลาผ่านเลยไปพร้อมความคิดมากมายที่ไหลเข้ามาเท่านั้น


.


.


.


ข้างกายของชายที่นอนหายใจรวยริน ปรากฏร่างของหมอชรานั่งอยู่ด้านข้าง เขาจ้องมองไปที่ร่างนั้นด้วยสายตาอ่อนโยนประดุจมองเด็กตัวเล็กที่เขาคอยเฝ้าทะนุถนามมาดังเช่นแต่ก่อน 


“เด็กน้อยตัวเล็กที่ชอบวิ่งเล่นซุกซนบัดนี้กลับตัวใหญ่โตเช่นนี้เชียวหรือ แล้วเหตุไฉนจึงได้นอนหายใจรวยรินก่อนชายชราเช่นข้าได้เล่า” คำกล่าวนั้นตัดพ้อต่อคนที่นอนแน่นิ่งอยู่อย่างไม่ปิดบัง


เปลือกตาที่เหี่ยวย่นเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งวัยค่อยๆปิดลง  เขากำลังอดกลั้นต่อความรู้สึกของตนเอง เพื่อจะได้เริ่มรักษา แม้ว่ามันจะไม่น่าเชื่อเพียงใดว่าเด็กน้อยเช่นแร็กนาร์จะปรุงยาที่เขาไม่อาจทำสำเร็จขึ้นมาได้ และยังครอบครองตำราที่ควรจะสูญหายไปเล่มนั้นอีก แต่เมื่อได้มองการกระทำทุกขั้นตอน เขาจึงมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่ายาแก้พิษครั้งนี้ต้องได้ผลอย่างแน่นอน


เมื่อทำให้ตนเองกลับเป็นหมอชราที่ใจเย็นได้ทุกสถานการณ์ดังเดิมได้แล้ว หมอชราจึงลืมตาขึ้น วางกล่องสี่เหลี่ยมที่ทำจากไม้ไว้ข้างลำตัวของผู้ป่วย แล้วหยิบสายยางรัดสำหรับเวลาฉีดยาออกมามัดไว้ที่ต้นแขนขวาของผู้ป่วยที่วางอยู่ข้างตัวของตน


เสร็จแล้วจึงเปิดกล่องหยิบเข็มฉีดยาที่บรรจุยาแก้พิษไว้ออกมา แล้วทาบมันลงบริเวณข้อพับซึ่งเป็นบริเวณที่เห็นเส้นเลือดชัดเจนที่สุด เข็มแหลมค่อยๆกดลงไปในผ่านชั้นผิวหนังกำพร้า ผ่านชั้นหนังแท้  แล้วผ่านชั้นไขมันตรงไปยังเส้นเลือดดำ เพื่อให้ยาเข้าสู่กระแสเลือดโดยตรง


แต่ยังไม่ทันได้กดด้ามเข้มเพื่อให้ยาไหลเข้าไปยังเส้นเลือด หมอชราก็ต้องหยุดชะงักการกระทำทั้งหมดของตนเพียงแค่นั้น


ครืดดดดด


“หยุดนะ!! ท่านคิดจะทำสิ่งใด” เสียงตะหวาดดังลั่นพาให้มือของหมอชราชะงักลงเพราะเสียสมาธิ  แต่ไม่ทันจะได้ตั้งตัวเจ้าของเสียงนั้นก็ใช้มีดจ่อที่คอเขาเสียแล้ว


เพียงชั่วพริบตา จากประตูมายังฟูกนอนกลางห้องกว้าง มีดเล่มแหลมก็ถูกวางทาบไปกับลำคอของหมอชราอย่างไม่ทันตั้งตัว...เพียงความคิดที่จะหลบหนียังไม่มีโอกาสได้คิด ร้ายกาจจนไม่อาจจินตนาการได้


“นั่นอะไร” เสียงเยียบเย็นเอ่ยออกมาพร้อมตะหวัดปลายมีดให้ตั้งขึ้นตนสัมผัสเข้ากับปลายคางของหมอชรา จนเขาต้องเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อหลบหลีกความเจ็บปวดที่จะเกิดขึ้นจากมีดที่คมกริบเล่มนี้


“ข้าว่าคนฉลาดเช่นเจ้าน่าจะมองออก...ไม่ใช่รึ” ผู้ที่ถูกควบคุมกลับไม่หวั่นเกรง เขากล่าวตอบกลับอย่างไม่ทุกร้อน หาได้มีสีหน้าวิตกกังวนแต่อย่างใด 


“...ยาแก้พิษอย่างนั้นรึ พวกท่านปรุงมันขึ้นมาไม่สำเร็จไม่ใช่หรืออย่างไร” เสียงนั้นโต้ตอบอย่างไม่อยากจะเชื่อ ข้อเท็จจริงที่เขาได้รับก่อนหน้านี้คือหมอทุกคนต่างปฏิเสธที่จะปรุงยาต่อ เพราะจนปัญญาต่อพิษที่ยากจะเข้าใจนี้

‘ได้โปรดๆเถอะ  ลองเชื่อใจแร็กนาร์สักครั้ง  อย่าได้รังเกียจแร็กนาร์เลย’


“แร็กนาร์...เด็กนั่นอย่างนั้นรึ เป็นไปไม่ได้ จะอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ เด็กตัวแค่นั้นจะทำมันขึ้นมาได้อย่างไร” คำกล่าวของฮิโรกิผุดขึ้นในหัวของซาดาโอะทำให้เขาพอประติดประต่อเรื่องราวต่างๆได้บ้าง เพราะสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างไม่คาดคิดในแผนการทั้งหมด คือ 2 พี่น้องมนุษย์และลูกครึ่งคู่นั้น


“หึหึ สมกับคนที่ได้รับตำแหน่งที่ปรึกษากลุ่มตั้งแต่อายุยังน้อยจริงๆ ปัญญาช่างล้ำเลิศ มีข้อมูลเพียงน้อยนิดแต่กลับคาดเดาได้มากถึงเพียงนี้” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความชื่นชมที่ไม่ควรเกิดขึ้นในเวลานี้ กลับถูกส่งออกมาจากปากของหมอชราเสียได้ มันยิ่งทำให้คนฟังรู้สึกหงุดหงิดขึ้นเป็นเท่าตัว


“เป็นไปไม่ได้” เสียงเบาหวิวหลุดออกจากปากซาดาโอะ แม้สภาพพวกเขายังคงเดิม แต่ฝ่ายที่หลบตาก่อนกลับเป็นซาดาโอะเสียได้ จะอย่างไรมันก็น่าเหลือเชื่อจนเกินไป เด็กคนนั้นแม้จะมีฝีมือการต่อสู้ล้ำเลิศ แต่มันก็ยังไม่เกินเด็กมากนัก จะบอกว่าเด็กคนนั้นทำทุกอย่างได้เช่นผู้ใหญ่คนหนึ่งมันเป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อจนเกินไป


“ถ้าเช่นนั้นเรามาลองดูพร้อมกันดีหรือไม่” ดวงตาที่ท้าทายถูกส่งมาพร้อมคำกล่าวนั้น เขามองสบใบหน้าซาดาโอะอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหลบหนี


ซาดาโฮะยืนอยู่ ส่วนชายชรานั้นนั่งอยู่ ความต่างของระดับความสูงที่ว่านี้ทำให้ซาดาโอะกับหมอชราสบตากันได้อย่างพอดี เมื่อหมอชราเงยหน้าขึ้นจนสุด แม้มือนั้นจะยังจับเข็มอยู่ก็ตาม หมอชรารู้ดีว่าตนไม่อาจแอบรอบทำให้สำเร็จได้แม้จะเหลือเพียงน้อยนิดก็ตาม เขาจึงต้องเจรจากับซาดาโอะให้ยินยอมก่อน


“ถ้ามันไม่ได้ผลเล่า” หลังจากจ้องหน้าท้าทายกันอยู่นานซาดาโอะก็ถามสิ่งที่ตนสงสัยออกมา


“แล้วมันจะเป็นอย่างไรเล่า จะอย่างไรท่านเบียกโกะก็ไม่อาจผ่านคืนนี้ไปได้อยู่แล้ว” หมอชรากล่าวอย่างไม่เกรงกลัวต่อแววตาที่พร้อมจะฆ่าเขา และแรงกดดันนั้นแม้แต่น้อย เพราะเขาสัมผัสมันได้ ความลังเลที่เกิดขึ้นภายในดวงตาของซาดาโอะ แม้จะเล็กน้อย แต่มันก็กำลังสั่นไหว...สั่นไหวเพราะร่างที่นอนรอความตายอยู่นี้อย่างแน่นอน


“ท่านมัน!!” เสียงฟันขบกัดกระทบกันดังลอดออกมาจากปากซาดาโอะเล็กน้อย เขากำลังอดกลั้นอารมณ์หงุดหงิดที่ก่อตัวขึ้นเพราะชายชราที่น่าโมโหคนนี้


เขายอมรับว่าตนลังเลอยู่ไม่น้อย ทางเลือกสองทางที่แตกต่างกันเกิดขึ้นกับเขาอีกครั้ง ทั้งๆที่เมื่อครู่เขาได้เลือกเส้นทางที่ก้าวเดินแล้วแท้ๆ มันกลับเกิดทางเลือกใหม่เปิดขึ้นมาอีกครั้งจนได้ แต่อย่างเขามีสิทธิ์ที่จะเลือกทางนั้นด้วยหรือ?


‘ท่านเบียกโกะน่ะ...สำหรับข้าแล้ว สำหรับข้า...ข้ารู้ว่าท่านสำคัญสำหรับข้า แต่เพราะเหตุใดเล่า...เพราะเหตุใด ทำไมต้องเป็นท่านด้วย!!’


เหตุการณ์ในครั้งนั้นยังบีบบังคับให้เขาต้องทำเช่นนี้ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนต้องการให้ยาแก้พิษนั้นได้ผลหรือไม่ ในความเป็นจริงนั้นเขาต้องหวังให้มันไม่ได้ผล แต่ใจกลับสั่นไหว หวังให้มันได้ผลเสียได้...


‘ข้าไม่ควรคิดเช่นนั้นเลยแท้ๆ...ทั้งๆที่ข้าพยายามตีตัวออกห่าง รักษาระยะของเราทุกครั้งที่อยู่ใกล้ แต่ท่านกลับแทรกผ่านกำแพงนั้นมา จนเข้ามาอยู่ภายในใจข้าเสียได้...แผนที่วางไว้เป็นอย่างดีถูกท่านทำลายแทบจะไม่เหลือ ท่านทำให้ข้าลังเล ครั้งแล้วครั้งเล่า ท่านไม่ยอมหยุดแม้ข้าจะหนีจากมันก็ตาม...เหตุใดท่านต้องฉุดรั้งข้า เหตุใดต้องใจร้ายกับข้าเช่นนี้ด้วย
หากต้องเลือกใหม่อีกครั้ง ข้าขอไม่เลือกมันเลยจะดีกว่า’



“หยุดมือท่าน...ข้าไม่ต้องการ” หลังจากขบคิดอยู่นานในที่สุดซาดาโอะก็ได้คำตอบของตน ถ้าหากต้องเลือกอีกครั้ง...เขาขอเลือกการตัดสินใจครั้งแรก...การตัดสินใจเลือกที่ทำให้เขาเดินทางมาจากบ้านเกิด มาอยู่ในที่แห่งนี้ และขึ้นมาถึงจุดที่อยู่ทุกวันนี้


“ทำไม ท่านกลัวอะไร  จะอย่างไรท่านเบียกโกะก็ไม่...”


“หุบปาก ไม่เช่นนั้นแม้จะเป็นท่านข้าก็ไม่คิดจะหยุดมือ” ซาดาโอะไม่รอให้หมอชรากล่าวจนจบ เขาก็กล่าวว่าจาข่มขู่นี้ขึ้นมาขัดแทน เขาไม่อยากฟังแล้ว  แม้ผลลัพธ์จะเป็นดังที่หมอชรากล่าว เขาก็ไม่อยากรับรู้มันอีก หลายวันที่ผ่านมา เขาเข้ามาเฝ้าดูร่างที่หายใจรวยรินนี้ทุกวัน ทำไมเขาจะไม่รู้เล่า ว่าอย่างไรคนคนนี้ก็ไม่รอด


“ข้าขอปฏิเสธ”


“ท่าน...”


“นายน้อยเล่า...หากเจ้าตัดใจเรื่องท่านเบียกโกะได้ แล้วนายน้อยเล่าจะเป็นเช่นไรต่อ” หมอชราไม่เข้าใจซาดาโอะนัก แต่ก็คิดว่าคงเพราะมีทิฐิเช่นปีศาจตนอื่นๆที่รังเกียจลูกครึ่ง คิดว่าการได้รับความช่วยเหลือจากมนุษย์และลูกครึ่งนั้นทำให้ศักดิ์ศรีของตนนั้นมัวหมอง ทั้งยังไม่เชื่อใจมนุษย์ หวาดเกรงต่อมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์และการหลอกลวง จึงได้กล่าวเตือนออกไปเช่นนี้
บรรยากาศรอบตัวของหมอชราแปรเปลี่ยนจากสบายๆเป็นตึงเครียดและจริงจัง จากนั้นก็กดปลายคางก้มหน้าลง จนปลายคางนั้นสัมผัสเข้ากับใบมีดแหลมคมในมือของซาดาโอะ


ซาดาโอะชะงักงันเมื่อเห็นการกระทำของหมอชราแล้วได้แต่ไล่มองเลือดที่ไหลลงมาตามใบมีดจนมาจับกลุ่มอยู่ที่มือของตนซึ่งถือมีดอยู่ เมื่อไม่มีที่ให้ไปต่อเลือดจึงค่อยๆไหลอาบมือซาดาโอะแล้วหยดลงสู่พื้นด้านล่าง


ด้วยไม่ทันตั้งตัว ทั้งยังมีเรื่องของเด็กทั้งสองให้ต้องขบคิด เมื่อมองเลือดนั้นแล้วจึงนึกถึงน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของเด็กทั้งสอง


‘ข้าเสียท่านแม่ไปแล้ว  ได้โปรดให้ท่านพ่ออยู่กับพวกเราต่อไปอีกหน่อยเถอะนะ ฮึก’


‘ท่านแม่  ฮึก...ท่านคล้ายท่านแม่ของพวกเรามาก เช่นนั้นแล้วก็ควรใจดีเช่นท่านแม่สิ ได้โปรดๆเถอะ...’



“นายน้อย...” มือที่จับมีดอยู่ค่อยๆลดลงแล้วถูกดึงกลับมาไว้ที่ข้างลำตัวอย่างคนไร้เรี่ยวแรง


หลายครั้งที่ที่เขาคิดทบทวน ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เขาติดสินใจละทิ้งทุกอย่างเพียงเพื่อจุดหมายเดียว...แต่คนที่ฉุดรั้งเขากลับมากับเป็นคนที่เขาไม่คาดคิดเช่นท่านเบียกโกะที่เขาทั้งรัก ทั้งเคียดแค้น และนายน้อยเหยื่อผู้ไร้เดียงสาที่เขาต้องเขี่ยทิ้ง


‘ครอบครัว’


‘คำที่ข้าไม่คู่ควร ข้าละทิ้งแต่ท่านกลับฉุดดึง...ข้าทิ้งทุกอย่างเพื่อมาที่แห่งนี้ มาพร้อมจุดประสงค์ที่ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับท่าน ท่านควรจะจัดการข้าให้สิ้นซาก เราควรจะเป็นศัตรู แต่เหตุใดท่านต้องทำกับข้าเช่นนี้เล่า...ทั้งๆที่ข้ารู้ตัวดีว่าหันกลับไปไม่ได้ แต่ข้าก็ยังยอมรับมันมา ข้ารู้ดีว่าข้าเห็นแก่ตัว แม้สำนึกได้ตอนนี้ มันสายเกินไป...’



“ข้าจะลืมมัน” กล่าวเพียงแค่นั้นซาดาโอะก็ก้าวเดินออกจากห้องไป ทิ้งไว้เพียงคำพูดที่สื่อได้หลากความหมายเอาไว้เท่านั้น
เขาตัดสินใจแล้วว่าจะลืมมัน ทำเช่นว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น เขาไม่เห็น และไม่ได้ยินสิ่งใด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อาจหันหลังกลับ ต้องก้าวข้ามความล้มเหลวนี้ไปข้างหน้าเท่านั้น


ความล้มเหลวนี้ไม่ใช่ครั้งแรก เขามีแผนการมากมายที่วางรอเอาไว้ เขาต้องเร่งดำเนินการด้วยความมั่นใจว่ายาแก้พิษนั่นต้องแต่ผล ตามที่เขารู้สึกสังหรณ์ใจ...


.


.


.


1  สัปดาห์ผ่านไป


แกร๊กๆ


เสียงเปิดประตูด้านหน้าของห้องขังดังขึ้น ตามด้วยผู้คุมทั้งสองที่เดินเข้ามาด้านใน พวกเขาไม่พูดไม่จาสิ่งใด ทั้งยังสีหน้าเรียบเฉย ร่างกายดูยืดหยุ่น การขยับตัวก็คล่องแคล่ว ใครได้พบเจอคงรับรู้ได้ทันทีว่าพวกเขาแข็งแกร่งมากทีเดียว จากการคาดเดาของแร็กนาร์พวกผู้คุมพิเศษที่ดูแลห้องขังสำหรับขังปีศาจระดับหัวหน้าหน่วย  ต้องมีฝีมือในระดับใกล้เคียงกันเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นหากพวกเขาอ่อนแอและหัวหน้าหน่วยคนใดคิดหลบหนีแล้ว พวกเขาคงไม่อาจจับกุมคนเหล่านั้นไว้ได้


ผู้คุมคนหนึ่งซึ่งใบหน้ามีรอยแผลเป็นที่ยาวตั้งแต่ใบหน้าด้านซ้ายยาวจนถึงปลายคาง รูปลักษณะแลดูเป็นคนห้าวหาญและอารมณ์ร้อน มีลักษณะของเสือชนิดใดไม่อาจทราบเพราะเพวกเขาใส่เสื้อคลุมแขนยาวและปิดจนถึงต้นปลายคาง พร้อมกางเกงขายาวลักษณะเดียวกันกับพวกศัตรูที่เกือบจะสังหารเด็กน้อยฝาแฝดทั้งสองใส่อยู่ เขายืนคุมเชิงอยู่ไม่ห่าง ปล่อยให้ผู้คุมอีกคนได้ไขกุญแจเปิดลูกกรงที่แร็กนาร์  กับรูร์กัสนั่งอยู่ด้านใน


ผู้คุมอีกคนแม้ใบหน้าจะเรียบเฉยแต่กลับดูท่าทางใจดี และอ่อนโยนไม่เหมาะกับลักษณะของผู้คุมแม้แต่น้อย แต่แร็กนาร์ก็สัมผัสได้ว่าผู้คุมหน้าบากนั้นเชื่อฟังคำสั่งปีศาจตนนี้มากกว่าสิ่งใด ดูแล้วเวลาต่อสู้อาจน่ากลัวจนขนหัวลุกเลยก็ได้


“ออกมาได้แล้ว มีใครคนหนึ่งอย่างพบพวกเจ้า” หลังจากประตูลูกกรงเปิดออก ผู้คุมก็บอกจุดประสงค์ให้เด็กน้อยทั้งสองฟัง พวกเขาไม่ได้กระโตกกระตากโวยวายเสียงดังอย่างยินดี ทำเพียงพยักหน้ารับรู้อย่างไม่ทุกร้อนเท่านั้น ดังว่ารู้อยู่แล้วว่าตนต้องพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้


แร็กนาร์กับรูร์กัสกระโดดลงจากเตียงของตนเอง  แล้วเดินตามผู้คุมออกไปอย่างว่าง่าย ทั้งยังไม่กล่าวสิ่งใดออกมา จนออกมาพ้นประตูบานใหญ่หน้าห้องขัง


“ข้าอยากอาบน้ำ” ร่างเล็กใช้จมูกดมตามแขน  ตามเสื้อผ้าของตน แล้วพบว่าการไม่ได้อาบน้ำกว่า 1 สัปดาห์ช่างทำให้มีกลิ่นน่ากลัวเสียจริงๆจึงได้เปิดปากกล่าวบอกความต้องการของตนแก่ผู้คุมหน้าบากที่เดินตามหลังพวกเขามา


“เดินตามไปได้แล้ว” ผู้คุมหน้าบากตอบกลับไปแบบห้วนๆหาได้มีความเกรงใจสิ่งใด ทั้งยังมองแร็กนาร์อย่างไม่พอใจโดยไม่ปิดบัง พวกเขาทั้งสองไม่ทราบแน่ว่าจะถูกชะตา หรือไม่ถูกชะตากันแน่  แม้จะไม่เคยมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งจนเป็นเรื่องใหญ่โต  แต่ก็มีปากเสียงกันเสียทุกครั้งไป


“ถ้าไม่ได้อาบน้ำ...ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น” แม้ผู้คุมจะแสดงสีหน้าเป็นยักษ์เป็นมาร พาให้ใครหลายๆคนได้หวาดกลัว แต่มันหาได้ผลกับแร็กนาร์ไม่ เขาเพียงไม่เกรงกลัว แต่กลับรู้สึกสนุกเสียด้วยซ้ำ  ในการกล่าวประโยคนี้แร็กนาร์จึงหันกลับไปมองหน้าผู้คุมหน้าบากอย่างท้าทาย


“เจ้าเด็กแก่แดด กล้าเถียงข้าเรอะ” ผู้คุมหน้าบากแยกเขี้ยวอย่างโกรธเกรี้ยว จนใบหน้าบิดเบี้ยวหน้าเกลียดน่ากลัว  น้ำเสียงนั้นก็เย็นเยียบ พาให้หัวใจคนฟังตกลงถึงตาตุ่ม แต่ก็อย่างที่บอกไปแล้ว...มันไม่เคยได้ผลกับแร็กนาร์


“ไม่ได้เถียง ข้าเพียงบอกความต้องการของตนเองเท่านั้น” ปากบางนั้นยังคงขยับเอ่ยอย่างไม่เกรงกลัว แม้มันเรียบเฉย แต่กลับกระตุ้นให้คนฟังรู้สึกโมโหมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม


“เจ้านี่มัน...”


“พอได้แล้วยาจิ...อย่าเล่นอะไรเป็นเด็กๆ” ผู้คุมอีกคนที่เดินนำอยู่หน้าสุด   หันกลับมามองแล้วเอ่ยอย่างปรามๆให้พวกเขาเลิกทะเลาะกันเสียที


“เฮ้ ข้าไม่ได้เล่นนะเอจิ เจ้าดูสิว่าเด็กนี่มันมากเรื่องเพียงใด” ผู้คุมหน้าบากนามว่า ยาจิ กล่าวโต้กลับอย่างไม่ยอมแพ้ ดังเด็กน้อยเอาแต่ใจที่พยายามหาข้อแก้ตัว


“ตามมาสิ...เดี๋ยวข้าพาไปโรงอาบน้ำ” ผู้ฟังหาได้ใส่ใจ  เขาเมินต่อสีหน้าไม่พอใจของยาจิแล้วหันมายิ้มให้แร็กนาร์อย่างอ่อนโยน


“เจ้าทำแบบนั้นไม่ได้” คนถูกเมินยังไม่ยอมแพ้ แม้ไม่พอใจอยู่ แต่น้ำเสียงนั้นกลับฟังดูออดอ้อนอย่างเห็นได้ชัด มันช่างไม่เข้ากับคนตัวโตและมีหน้าตาที่น่ากลัวเช่นเขาเลย


“ทำไมไม่ได้...เด็กทั้งสองต้องไปพบใครเจ้าก็รู้ ฉะนั้นการแต่งกายให้เรียบร้อยเป็นเรื่องสมควร เจ้าจะให้พวกเขาไปเข้าพบด้วยสภาพนี้รึไงกัน” เพียงกล่าวจบยาจิก็ไม่อาจโต้ตอบสิ่งใดได้อีกทำเพียงหันหน้านี้อย่างยอมแพ้เพราะไม่อาจหาข้อโต้แย้งได้เท่านั้น


อาจเพราะทั้งรูร์กัสกับแร็กนาร์อยู่ในห้องขังอย่างสงบเสงี่ยมไม่มีท่าทีว่าจะขัดขืนสิ่งใด จึงทำให้ได้รับความเอ็นดูจากผู้คุมทั้งสองเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าแร็กนาร์กับยาจิจะมีปากเสียงกันทุกครั้งที่พบหน้า เพราะแร็กนาร์ชอบหาเรื่องก่อกวนยาจิ เพื่อแก้เบื่อที่ต้องอยู่ในห้องขังนานๆก็ตาม เรียกได้ว่าสนิทสนมกันก็ไม่ได้มากเกินไปนัก


“รูร์กัสเจ้าเองก็ต้องอาบด้วย แล้วก็หลังจากเสร็จธุระแล้วเจ้ามาเล่าเรื่องมนุษย์กับลูกครึ่งให้ข้าฟังต่อนะ” เอจิเป็นปีศาจที่มีความสนใจเรื่องของเผ่าพันธุ์อื่น เพราะไม่เคยพบเจอเขาจึงสนใจเมื่อได้รับรู้มันจากรูร์กัส เขาจึงสนิทสนมกับรูร์กัสมากกว่าแร็กนาร์เพราะรูร์กัสนั้นช่างพูดช่างคุย  แต่แร็กนาร์กลับชอบเงียบขรึมเย็นชา แม้จะก่อกวนยาจิ แต่ก็ก่อกวนด้วยคำพูดราบเรียบดังที่ได้ยินก่อนหน้านี้


“ได้ครับ ข้าก็อยากอาบน้ำเหมือนกัน เนื้อตัวเหนี่ยวเหนอะหนะไปหมดแล้ว” รูร์กัสตอบอย่างยิ้มแย้มดังชินชากับเหตุการณ์เมื่อครู่ แร็กนาร์ที่ตอบอย่างเรียบเฉยอย่างน่าโมโห ยาจิก็ตกหลุมพรางโต้กลับอย่างเต็มไปด้วยอารมณ์ และมีเอจิคอยห้ามทัพโดยเข้าข้างแร็กนาร์ทุกครั้งไป   1  สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ภาพเหตุการณ์เช่นนี้ดังฉายซ้ำวันแล้ววันเล่าด้วยเรื่องที่แตกต่างกันไป


จากนั้นทั้งเอจิ รูร์กัส  และแร็กนาร์ก็เดินตามกันไปโดยไม่หันหลังกลับมามองยาจิอีก ส่วนคนถูกเมินเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่เดินตามไปอย่างจำยอม


หลังจากวันนั้นที่พวกเขาลงมือจัดการเรื่องของหัวหน้ากลุ่มยาฉะก็ผ่านมา 1 สัปดาห์แล้ว  หลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้นก็มีเพียงหมอในปกครองของหมอชราเท่านั้นที่เข้ามาแจ้งข่าวว่าทุกอย่างสำเร็จตามแผนที่วางเอาไว้ และให้แร็กนาร์กับรูร์กัสรอเวลาที่ทุกอย่างถูกจัดการจนเรียบร้อยมากกว่านี้อยู่ภายในห้องขังอย่างเงียบๆ


ส่วนทางฮิเดโอะกับฮิโรกินั้นก็ต้องอยู่ให้ห่างจากพวกแร็กนาร์ด้วย เพื่อความปลอดภัยของทั้งสองฝ่าย เพราะหากใครสืบค้นจนพบว่าพวกเด็กทั้งสี่มีความเกี่ยวข้องกับการทำแผนของพวกมันล้มเหลว พวกมันต้องหาทางกำจัดเป็นแน่


ศัตรูของกลุ่มยาฉะนั้นมีทั้งศัตรูภายนอกอย่างเขตตะวันตก และศัตรูภายในที่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นใคร พวกเขาจึงต้องระแวดระวังภัยเป็นเท่าตัว สิ่งใดป้องกันได้ก็ต้องทำไปก่อน รอให้ท่านหัวหน้าใหญ่ฟื้นกลับมาเป็นปกติเท่านั้น จึงจะรับประกันความปลอดภัยได้


ทางแร็กนาร์ไม่มีสิ่งใดขัดข้อง เพราะเขาก็ต้องการให้เป็นเช่นนั้น การกันตนเองออกมาจากอันตรายเป็นเรื่องที่สมควร ตัวเขาอาจจะเอาตัวรอดได้ แต่เขาก็เป็นห่วงรูร์กัส แม้พลังในการต่อสู้ของรูร์กัสจะทำให้แร็กนาร์เห็นประจักษ์แล้วว่าเก่งกาจเกินเด็กอายยุ 12 ปี  แต่สิ่งที่รูร์กัสขาดคือ ประสบการณ์ และเมื่อขาดประสบการณ์ความคิดอย่างรอบครอบ และการระวังภัยก็จะอ่อนแอ เขาจึงยังเป็นห่วงอยู่มากทีเดียว


ปัญหานั้นมีเพียงเล็กน้อยนั่นคือ เรื่องที่ฮิเดโอะกับฮิโรกิยืนยันที่จะมาพบแร็กนาร์ให้ได้ แต่ปัญหาก็จบลงอย่างง่ายๆเมื่อแร็กนาร์ฝากจดหมายไปให้พวกเขาอีกครั้ง โดยในจดหมายมีเพียงข้อความสั้นๆ  1บรรทัดเท่านั้น


‘อดทน แล้วข้าจะให้พวกเจ้าขอได้คนละ 1 ข้อ’


.


.


.


“การอาบน้ำนี่มันรู้สึกดีจริงๆ” แร็กนาร์เอ่ยออกมาอย่างพอใจ แม้จะไม่ให้ความรู้สึกดีเท่าการแช่น้ำที่ลำธารซึ่งเป็นที่ประจำของตน แต่น้ำในห้องอาบน้ำอุ่นๆก็คลายความเมื่อยล้าไปได้ไม่น้อยเลย


“ถ้าเสร็จแล้วก็ตามมา” เสียงห้วนๆของยาจิเอ่ยขึ้นเมื่อแร็กนาร์กับรูร์กัสเดินออกมาด้านหน้าโรงอาบน้ำหลังจากอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว


พวกเขาอยู่ที่โรงอาบน้ำส่วนกลางของบ้านใหญ่กลุ่มยาฉะ ซึ่งเปิดให้เหล่าคนในกลุ่มไม่ว่าจะลำดับสูงหรือต่ำเพียงใดก็สามารถเข้ามาใช้ได้โดยสะดวก


แร็กนาร์กับรูร์กัสอยู่ในชุดยุกาตะสีเทา ชุดนี้เป็นชุดที่เผ่าพยัคฆ์ชอบใส่กัน พวกเขานิยมชมชอบให้ตกแต่งอย่างสวยงามตามความชอบของแต่ละคน แม้เหล่าลูกสมุนจะไม่แต่งมันในเวลาปฏิบัติหน้าที่เพราะมันไม่สะดวกในการขยับตัว แต่เวลาพักผ่อนพวกเขาก็จะใส่มัน เพราะผ้าที่แสนสบายนี้เข้ากับอากาศอันอบอุ่นของดินแดนนี้เป็นอย่างดี


“นำไปสิ” จากยิ้มบางๆอย่างพอใจเมื่อได้อาบน้ำ ใบหน้านั้นแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาเมื่อหันมาตอบโต้กับยาจิ ทั้งยังไร้ซึ่งความเคารพใดๆเพราะสำหรับแร็กนาร์แล้วยาจิที่อายุ 20  ต้นๆก็เป็นเพียงเด็กน้อยในสายตาของเขาอยู่ดี


“แก!!  เจ้าเด็กแก่แดดนี่  ไร้มารยาทจริงเชียว” เสียงโวยวายตามมาหลังจากได้ยินคำตอบรับของแร็กนาร์ แต่ถึงอย่างนั้นเด็กตัวเล็กๆอย่างแร็กนาร์ก็ไม่รู้สึกสะดุ้งสะเทือนแม้แต่น้อย ซ้ำยังส่งสายตาท้าทายออกมาอีก


“พอๆไปกันได้แล้ว เราล่าช้ากันมากแล้วนะ” เอจิปรามทั้งสองอีกครั้ง พร้อมส่วยหัวอย่างปลงๆกับการทะเลาะกันด้วยเรื่องเล็กๆน้อยๆ ของเด็กและคนที่ทำตัวเหมือนเด็กเช่นนี้ สำหรับเขาที่มองว่าทั้งสองเป็นเด็กนั้น  ไม่ได้วิตกกังวลว่าพวกเขาจะลงมือต่อสู้กัน ยาจินั้นเอ็นดูแร็กนาร์อย่างเห็นได้ชัดจึงต่อล้อต่อเถียงด้วย เพราะหากยาจิไม่พอใจจริงๆคงคุยกันด้วยกำปั้นมากกว่าคำพูดไปแล้ว ส่วนแร็กนาร์เขาก็มองออกว่าแค่แกล้งยาจิเพราะความเบื่อ เด็กน้อยดูเป็นผู้ใหญ่กว่าที่เห็น เขาจึงห้ามปรามเพียงแค่เท่าที่จำเป็นเท่านั้น


พวกเขาทั้ง 4 คน เดินไปตามระเบียงที่อ้อมมาด้านหลังของบ้านอย่างเงียบเชียบ เส้นทางที่ไม่มีใครเดินผ่านมาชั่งวังเวงจนอดที่จะหวั่นกลัวไม่ได้


“เราจะไปพบใครกันแน่ครับพี่เอจิ” รูร์กัสถามขึ้นอย่างหวาดหวั่น บรรยากาศที่ไม่คุ้นเคยเหล่านี้พาให้สัญชาตญาณของเขาบอกว่าสิ่งที่ตนจะได้พบเจอนั้นต้องไม่ใช่ธรรมดาอย่างแน่นอน


“ไปถึงแล้วเจ้าก็จะรู้เอง” คำตอนนี้ไม่ช่วยให้คลายสงสัยเลยแม้แต่น้อย แต่พวกเขาทั้งหมดก็ไม่มีใครกล่าวสิ่งใดออกมาอีก จึงได้แต่ย่างเท้าเดินตามทางที่มืดสลัวนี้ไปเท่านั้น




To Be Continued...

ออฟไลน์ GreenHead(หัวเขียว)

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
    • Green Head - หัวเขียว
ตอนที่ 18
ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสอง


เรือนแยกฝั่งตะวันตกเป็นเรือนที่แยกออกมาจากบ้านใหญ่กลุ่มยาฉะห่างออกมาจนถึงกำแพงด้านหลังของบ้าน ด้วยอาณาเขตที่กว้างขวาง บ้านใหญ่จึงต้องอยู่ใกล้ส่วนหน้าของประตูตะวันออก ทำให้เหลือพื้นที่ด้านข้างและด้านหลังไว้สำหรับปลูกเรือนแยก  มีไว้สำหรับบุคคลสำคัญที่ต้องการความเป็นส่วนตัว  บ้านใหญ่จึงเป็นดังที่จัดงานเลี้ยงฉลอง หรือจัดประชุมสำคัญ  และเป็นดังที่หลับนอนของลูกสมุนทั่วไป ด้วยความสูงของบ้าน ทำให้มีการแบ่งสรรปันส่วนในลำดับขั้นที่เหมาะสม แม้เรียกว่าบ้านแต่สภาพไม่ต่างจากปราสาทโอซาก้าเลย


เพียงแต่ว่าเมื่อบ้านหลังนี้ตกเป็นของหัวหน้าใหญ่เบียกโกะ  สภาพการแบ่งแยกก็แปรเปลี่ยน เนื่องจากเจ้าตัวชอบที่จะอยู่ชั้นล่างของบ้าน จึงมีการแบ่งเรือนชั้นล่างออกเป็นสองส่วน นั่นคือพื้นที่ส่วนตัวของหัวหน้า ซึ่งอยู่ฝั่งทิศเหนือ  และทิศใต้สำหรับเหล่าสาวใช้ที่ทำงานภายในบ้าน  ส่วนพวกลูกสมุนชั้นล่างที่เคยอาศัยอยู่ ก็ให้ปลูกเรือนแยกขึ้นที่ด้านข้างฝั่งทิศเหนือ  เพื่อสะดวกต่อการอารักขาหัวหน้าใหญ่ 


ส่วนซาดาโอะนั้นอาศัยอยู่ไม่ไกลจากห้องของหัวหน้ายาฉะนัก อาจเพราะเป็นทั้งคงโปรด  และที่ปรึกษากลุ่ม จึงถูกข่มขู่แกมบังคับ  จนเจ้าตัวยอมลงมาอาศัยอยู่ชั้นล่างของบ้านด้วย


ด้านหลังของบ้านใหญ่นั้น มีการปลูกเรือนไว้หลายหลังตั้งแต่ครั้งแรกๆที่ก่อตั้งบ้านหลังนี้ จึงมีการแบ่งเรือนแยกแต่ละหลังให้หัวหน้าหน่วยทุกคน  รวมทั้งเรือนของพี่ชายตนอย่างเทโทระด้วย   นอกจากนี้ก็มีเรือนของผู้อาวุธโสของกลุ่ม ซึ่งมีเรือนแยกกว่า 20 หลัง  แต่เรือนที่มีชื่อเรียกว่าเรือนแยกฝั่งตะวันตกนั้น ปีศาจทุกตนต่างรู้ว่าเป็นเรือนหลังใด  เพราะเรือนหลังนั้นคือเรือนที่ใช้เพื่อการส่วนตัวของหัวหน้ากลุ่มยาฉะรุ่นก่อนๆจนถึงปัจจุบันนี้


ด้วยความที่เรือนหลังนี้ตั้งอยู่ห่างจากเรือนหลังอื่น บริเวณโดยรอบจึงปลูกไม้ยืนต้นไว้มากมาย ดูลึกลับจนน่าหวาดหวั่นเกินกว่าที่ใครจะกล้าเข้าไปหากยังไม่ได้รับอนุญาต  ทางลาดยาวที่ถูกเรียงไว้ด้วยหินประดับทำให้เดินได้สะดวก มันถูกวางเรียงมาจากบ้านหลังใหญ่จนถึงแนวป่าขนาดย่อมที่อยู่ตรงหน้า เมื่อสิ้นสุดหินประดับด้านหน้าก็มีเพียงทางที่เป็นร่องรอยของการเดินเท่านั้น


สองปีศาจ  หนึ่งมนุษย์ หนึ่งลูกครึ่ง เดินไปตามทางที่วางทอดยาวด้วยหินประดับที่ฝังลึกลงไปในพื้นดินที่สิ้นสุดเมื่อถึงหน้าสิ่งที่ไม่อาจเรียกได้ว่าสวนหย่อม มันเรียกว่าป่าไม้คงจะเหมาะควรกว่า ไม่ทราบว่าผู้ที่อาศัยอยู่ในนี้ต้องการปกปิดสิ่งใดจึงต้องมีสถานที่ลึกลับในสถานที่แจ้งเช่นในบ้านใหญ่กลุ่มยาฉะเช่นนี้ แต่ผู้คนก็ต่างคาดเดามันไปในแนวทางเดียวกัน ความชอบส่วนตัวของแต่ละคนนั้นแตกต่าง เหล่าหัวหน้านั้นก็ไม่เว้น ต้องมีความชอบที่ผิดแลกไปจากธรรมดาอยู่บ้าง แต่ใครบ้างเล่าที่อยากให้ใครๆรู้ความลับของตน...


ทุกย่างก้าวที่เดินไปยังจุดหมายพาให้หัวใจของรูร์กัสเต้นแรงจนแทบจะทะลักออกมานอกอก ความตื่นเต้นหวาดหวั่นถาโถมเข้ามาจนไม่อาจปิดบังสายตาของน้องชายได้


เพราะพวกเขาเดินตามกันมาตามลำดับ เอจิ รูร์กัส แร็กนาร์ และยาจิ แร็กนาร์จึงเป็นผู้ที่จะสังเกตรูร์กัสได้ชัดที่สุด เขาจ้องมองใบหน้าเครียดขึงของพี่ชาย  แล้วจึงเร่งฝีเท้าให้ตนเดินทันจนเดินเคียงข้างไปพร้อมกับรูร์กัส   จากนั้นยื่นมือไปจับมือที่เย็นเฉียบด้วยความตื่นเต้นนั้นไว้ให้แน่นที่พอที่จะสื่อให้อีกคนรู้ว่าตนต้องการบอกสิ่งใด  แม้ไม่ได้เอ่ยออกมาเป็นคำพูดก็ตาม


เจ้าของมือที่เย็นเฉียบนั้นกระชับมือของตนให้แน่นขึ้นเพื่อซึมซับกำลังใจที่ถูกส่งมาจากน้องชายตัวเล็กของตน จนมือนั้นค่อยๆกลับสู่อุณหภูมิปกติ  แต่เขาก็ไม่ได้คิดปล่อยมือออกแต่อย่างใด

ยาจิที่เดินตามหลังเด็กทั้งสองได้แต่มองภาพเหล่านั้นด้วยความเอ็นดูเด็กทั้งสองเพิ่มขึ้นไปอีก  ภาพของสองเผ่าพันธุ์ที่รักกันแน่นแฟ้นเช่นนี้หายาก  เขาพบเห็นมากมายที่ปีศาจจะเกลียดชังลูกครึ่งที่เป็นพี่น้องต่างพ่อ  หรือต่างแม่  หรืออาจจะไม่เกี่ยวข้องใดๆกับตนเลยก็ตาม พวกนั้นทั้งรังเกียจ ทั้งต้องการสังหารพวกลูกครึ่งทิ้งเมื่อลูกครึ่งเหล่านั้นไร้พลังในยามที่เกิดมา แต่ก็มีกฎที่ถูกสร้างขึ้นมาหลายพันปีแล้วที่ให้ส่งลูกครึ่งไปยังเขตชายแดนห้ามสังหารทิ้ง  จึงมีการสังหารลูกครึ่งที่เกิดยังแดนปีศาจน้อยลงกว่าเดิมมาก


แม้เขาไม่รู้ว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์นั้นปฏิบัติกับพวกลูกครึ่งอย่างไร  แต่เขาก็เชื่อว่าต้องต่างจากที่รูร์กัสปฏิบัติต่อแร็กนาร์เป็นแน่ ไม่ทราบว่าครอบครัวของทั้งสองเป็นเช่นไร จึงได้ปลูกฝังให้พวกเขารักกันได้มากมายเช่นนี้จนอดที่จะชื่นชมมิได้


ผ่านไปเพียงไม่นานพวกเขาก็เดินมาจนถึงเรือนชั้นเดียวที่สร้างจากไม้ เรือนหลังนี้ขนาดใหญ่กว่าบ้านที่แร็กนาร์อาศัยอยู่ถึง 3 เท่า แม้จะถูกเรียกว่าเรือนแยก ที่เล็กกว่าบ้านใหญ่ก็ตาม รอบด้านของเรือนหลังนี้ไม่ต่างจากบ้านของแร็กนาร์นัก เพราะมีต้นไม่โดยรอบดังว่าตั้งอยู่กลางป่าเช่นเดียวกัน


“ข้าเอจิ ข้าได้พาพวกเขามาถึงแล้วขอรับ” เอจิกล่าวขึ้นด้วยเสียงไม่ดังมากนัก แต่ก็เพียงขอให้ผู้ที่อยู่ด้านในได้ยิน ในตอนนพวกเขายืนอยู่หน้าประตูบานใหญ่ ที่เป็นบานเลื่อนแบบญี่ปุ่น ชานบ้านเองก็ถูกยกให้สูงขึ้นจากพื้นเล็กน้อยดังบ้านสมัยก่อน
“เข้ามาได้” เสียงกล่าวอนุญาตที่ทรงพลังถูกส่งออกมาโดยคนที่อยู่ด้านหลังบานประตู แม้ว่าจะไม่เห็นเจ้าของเสียง แต่ก็คาดเดาได้ว่าคนที่อยู่ด้านในต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน


ครืดดดดดด


หลังจากบานประตูเปิดออก ก็ปรากฏปีศาจ 5 ตนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ล้อมรอบโต๊ะตัวใหญ่สำหรับใช้ทานอาหาร แร็กนาร์กับรูร์กัสก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อเลี่ยงสายตาที่กดดันของปีศาจที่นั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ ซึ่งตรงข้ามกับพวกเขาพอดี แต่กระนั้นก็พอเห็นอยู่บ้าง แร็กนาร์เห็นว่าชายตรงหน้าดูดีกว่าครั้งก่อนมากทีเดียว ทั้งยังความน่าเกรงขามก็เอ่อล้นจนภาพชายที่นอนหายใจรวยรินนั้นเป็นดังภาพลวงตา


ร่างกายใหญ่โตแข็งแกร่งนั้นช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังสมกับเป็นปีศาจ อวัยวะภายในบอบช้ำถึงเพียงนั้น แค่ 1 สัปดาห์ก็กลับคืนสภาพเกือบเต็มร้อย ฟังจากลมหายใจที่แรงกว่าปกติอยู่บ้างเขาจึงพอจะคาดเดาได้ว่า คนตรงหน้ายังไม่หายดีจนกลับเป็นปกติเท่าทีควร เพราะร่างกายทรุดโทรมจากพิษถึงสองชนิด จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะยังอาการไม่คงที่ หากหายเป็นปกตินั่นจึงสมควรจะเรียกว่าแปลกเกินที่จะเป็นปีศาจเสียด้วยซ้ำไป


แร็กนาร์ละสายตาจากอดีตคนไข้ของตน แล้วหันไปสนใจเด็กน้อยสองตนที่นั่งอยู่ทางขวามือของคนที่อยู่หัวโต๊ะแทน เขาแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่เวลาเพียง 1  สัปดาห์ก็ทำให้เด็กทั้งสองเปลี่ยนไปได้เช่นนี้ ดังโตขึ้นมาอีกขั้น ฮิเดโอะกับฮิโรกิไม่ได้กระโดโลดเต้นเช่นคราวก่อนๆที่ได้พบแร็กนาร์ วันนี้พวกเขาเพียงยิ้มจนไม่อาจหุบปากลงมาได้เท่านั้น รอยยิ้มที่คุ้นเคยพาให้แร็กนาร์ยิ้มตามอย่างห้ามไม่อยู่


เขาไม่รู้เลยว่าเพราะเหตุใดตนจึงเป็นเช่นนั้น หัวใจดังถูกรดน้ำจนชุ่มฉ่ำ ทั้งอบอุ่น สบายใจ และโล่งใจที่พวกเขายังดูแข็งแรง ไม่ได้ทรุดโทรมเช่นที่เจอกันก่อนหน้านี้


ทุกครั้งฮิเดโอะกับฮิโรกิจะยิ้มเช่นคนโง่อยู่ฝ่ายเดียว  เพราะทุกครั้งแร็กนาร์จะไม่ยิ้มกลับ เขาจะทำหน้านิ่งๆดังไม่รู้สึกอะไรเท่านั้น ครั้งนี้ทั้งสองจึงหัวใจเต้นผิดจังหวะ หน้าก็แดงซ่านด้วยความดีใจ และเขินอายที่แร็กนาร์ยิ้มตอบกลับมาให้ตนบ้าง
แร็กนาร์เองเมื่อเห็นท่าทางของเด็กทั้งสองจึงได้สติว่าตนเผยสิ่งใดออกไป เขารีบหุบยิ้มแล้วตีหน้านิ่งเช่นเดิม แต่กระนั้นใบหน้าก็ขึ้นสีแดงระเรี่ยอย่างห้ามไม่อยู่  หน้าที่เห่อร้อนพาให้แร็กนาร์รีบหลบสายตาของเด็กทั้งสอง แล้วหันมามองรูร์กัสที่ยืนอยู่ข้างๆแทน


เมื่อสายตาสะดุดกับใบหน้าที่เคร่งเครียดของรูร์กัส ความขัดเขินเมื่อครู่จึงคลายลง แล้วมองตามสายตาของรูร์กัสไปยังที่นั่งฝั่งซ้ายมือของยาฉะที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ ใบหน้าแรกที่เขาเห็นคือหมอชราซึ่งมองมายังพวกเขาอย่างสงสัยในท่าทางของสองพี่น้องที่แตกต่างกันเมื่อครู่


แต่ถัดไปจากหมอชราก็เป็นอย่างที่แร็กนาร์คาดเดา ซาดาโอะนั่งอยู่ซ้ายมือของยาฉะ เมื่อมองจากฝั่งของแร็กนาร์  เจ้าตัวจึงนั่งอยู่ถัดจากหมอชราไปอีก  แร็กนาร์เห็นช่นนั้นจึงกระชับมือของตนที่จับมือกับรูร์กัสอยู่ให้แน่นขึ้น เพื่อดึงสติของพี่ชายตนให้กลับมาเป็นปกติ รูร์กัสที่รู้สึกได้จึงละสายตาจากซาดาโอะที่มองมา พร้อมทั้งหลับตาและหันหนีเพื่อสงบสติอารมณ์ของตนเองไม่ให้เป็นเช่นคราวก่อน  เพียงชั่วครู่รอยยิ้มนอบน้อมก็ปรากฏบนใบหน้าของรูร์กัส กลับกลายเป็นพี่ชายที่แสนใจดีดังเดิม


“มานั่งด้วยกันสิ...พวกเจ้าด้วยเอจิ ยาจิ” เสียงทรงอำนาจกล่าวขึ้นอีกครั้ง  เมื่อได้สำรวจท่าทางของทุกคนจนพอใจ   และคลายบรรยากาศที่เปลี่ยนไปมาชั่วครู่นั้น แม้น้ำเสียงนั้นดูอ่อนโยนแต่กลับเต็มไปด้วยความกดดันจนยากที่จะปฏิเสธ


“ไม่อาจหรอกขอรับท่านยาฉะ ข้าของออกไปเฝ้าด้านหน้าดีกว่า” ถึงกระนั้นมันก็ไม่มีผลกับยาจิ อาจเพราะคุ้นชินเสียแล้วเขาจึงขัดขึ้นอย่างไม่เกรงกลัวหรือเกรงใจอันใด


“ข้าบอกว่าให้เจ้ามานั่งทางอาหารด้วยกัน” น้ำเสียงนั้นไร้ซึ่งความโกรธ ฟังดูแล้วดังบังคับให้เด็กน้อยที่เขาเอ็นดูเชื่อฟังเสียมากกว่า


“แต่...”


“เดี๋ยวข้าก็บอกให้เอจิจัดการเสียนี่...มานั่งได้แล้ว” ยาจิที่กำลังจะเถียงกลับถูกขัดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ รอยยิ้มประดับบนใบหน้าของยาฉะแม้น่าหลงใหล แต่คนคุ้นเคยอย่างยาจิก็พอรู้ว่าหัวหน้าของตนกำลังสนุกที่ได้บังคับตนเช่นนี้ ทั้งยังเป็นยิ้มที่ยืนยันว่าคำกล่าวเมื่อครู่ไม่ใช่คำขู่แต่อย่างใด


เอจิที่เห็นเหตุการณ์เป็นเช่นนั้นจึงเดินไปนั่งยังเก้าอี้ที่ว่างอยู่ข้างหมอชรา  พร้อมทั้งผายมือไปยังเก้าอี้ว่างข้างตนเป็นเชิงบอกให้ยาจิมานั่ง  ไม่เช่นนั้นตนจะทำตามคำสั่งของท่านยาฉะ


ยาจิที่ถูกรุมกลั่นแกล้งจึงได้แต่บ่นอย่างไม่ออกเสียแล้วเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวนั้นด้วยสีหน้าบูดบึ่งอย่างไม่ปิดบังว่าตนกำลังไม่พอใจอยู่


หลังจากนั้นแร็กนาร์กับรูร์กัสจึงเดินเข้าไปนั่งบ้าง พวกเขานั่งลงบนเก้าอี้ที่ว่างอยู่ข้างฮิโรกิ เพราะฮิเดโอะนั่งติดกับพ่อของตน ตามด้วยฮิโรกิ แร็กนาร์จงใจนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามยาจิ รูร์กัสจึงต้องเข้าไปนั่งข้างฮิโรกิแทนอย่างเลี่ยงไม่ได้


เมื่อพวกเขาทั้งหมดนั่งลงเรียบร้อยแล้ว บรรดาสาวใช้แสนสวยที่มีรูปร่างอรชรไม่ต่างจากมนุษย์มากนักก็ทยอยยกอาหารเข้ามาวางบนโต๊ะจนแทบไม่มีที่ว่างเหลืออยู่ อาหารที่ดูหรูหรา และมากมายก่ายกองถูกวางลงบนโต๊ะ แร็กนาร์จึงได้แต่มองสำรวจอย่างตื่นตาตื่นใจ


‘ว้าว นี่มันอาหารแบบญี่ปั่นทั้งนั้นเลยนี่นา  แบบนี้ก็แสดงว่าไม่ใช่แค่ชุดที่ใส่เหมือคนญี่ปุ่นสมัยก่อน  แม้แต่อาหารการกินก็เหมือนกันด้วยสินะ 


ถึงว่าสิทำไม่ฮิเดะกับฮิโระถึงได้ตื่นเต้นขนาดนั้นตอนที่เราทำอาหารพื้นๆอย่างสเต็กให้กิน แค่นี้ก็เข้าใจแล้วล่ะนะ  เพราะว่าก่อนหน้านี้อาหารที่ได้กินในคุกมีแค่ข้าวต้ม เนื้อย่าง แล้วก็ผักดองก็เลยมองไม่ออก


แค่คิดถึงก็เอียนจนไม่อยากจะแตะมันอีกแล้ว  ซ้ำไปซ้ำมาทุกวัน ไม่คิดจะเปลี่ยนบ้างเลยรึไงกัน  ไม่สงสารลิ้นเราบ้างเลย หึย!!’



แร็กนาร์มองอาหารบนโต๊ะแล้วก็อดที่จะระลึกความหลังที่อาหารการกินเมื่อกว่า 10   วันที่ผ่านมาไม่ได้ แต่ก็นับว่ามื้อนี้สมกับเป็นการล้างท้องครั้งใหญ่จริงๆ แบบนี้เขาต้องลืมรสชาติแย่ๆเหล่านั้นไปได้แน่ แร็กนาร์คิดอย่างหมายมาดในอาหารมื้อนี้   ช่างสมกับเป็นความกระหายในรสชาติที่ไม่ได้ลิ้มลองมากว่า 10  วันแล้วจริงๆ


อาหารมือนี้มีทั้งจานเนื้อ  จานปลา  จานไก่  มากมายหลายอย่าง ที่ผู้ใดเห็นต้องน้ำลายสอ  พวกเขาละทิ้งความตึงเครียดเมื่อครู่ แล้วหันมาสนใจอาหารตรงหน้าแทน   แม้อาหารบนโต๊ะจะมากมายจนแทบไม่เหลือที่ว่าง  แต่มันก็ไม่มากเกินกว่าความสามารถในการกินของบุรุษ  9 คน ไปได้ อาหารมื้อนี้นับว่าพอเหมาะกับพวกเขาก็ว่าได้


“ทานข้าวกันก่อนเถอะ หลังจากนี้จะมีของหวานและผลไม้อีก เราค่อยมาเริ่มพูดคุยกันตอนนั้นก็ไม่สายไปหรอก” น้ำเสียงนั้นอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่อยากให้ผู้ร่วมโต๊ะอึดอัดจึงหันไปมองหน้าพร้อมยิ้มบางๆให้ทุกคน แต่แล้วเขาก็ชะงักเมื่อสบตาเข้ากับแร็กนาร์ อาจเพราะเมื่อครู่แร็กนาร์ก้มหน้าลงจึงไม่ได้สบตากับเขาตรงๆจึงยังไม่ทันได้สังเกต มาบัดนี้เขาจึงพึ่งรู้สึกถึงมันได้


แร็กนาร์ไม่เข้าใจนัก  แต่เพราะด้วยนิสัยของตนที่ไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด เขาจึงไม่คิดจะหลบสายตาที่มองมานั้นแต่อย่างใด กระทั้งยาฉะเองเผลอปล่อยจิตสังหารออกมาอย่างไม่รู้สึกตัว แร็กนาร์ที่หาได้หวาดกลัวอยู่แล้วจึงส่งจิตสังหารกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้ ดังมนต์สะกด พวกเขาทั้งสองจ้องกันอยู่เช่นนั้นอย่างไม่มีใครยอมใครจนคนบนโต๊ะต่างรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่น่ากลัวเกินคำบรรยายนี้


“ท่านยาฉะ” มือเรียวบางของซาดาโอะจับมือของยาฉะที่กำแน่นนั้นพร้อมเรียกชื่ออีกฝ่าย เพื่อให้เขารู้สึกตัว เพราะซาดาโอะรับรู้มันได้เป็นคนแรก และเข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใดจึงต้องรีบดึงสติให้ยาฉะกลับมาเป็นปกติ


“แร็กนาร์” รูร์กัสเองก็รู้สึกได้ อาจเพราะนั่งอยู่ข้างแร็กนาร์ จึงได้รับผลจากจิตสังหารนั้นก่อนใคร เขาเรียกแร็กนาร์พร้อมเขย่าไหล่เล็กนั้นเพื่อให้น้องของตนได้สติพร้อมๆกับที่ซาดาโอะเรียกยาฉะ


...

ออฟไลน์ GreenHead(หัวเขียว)

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
    • Green Head - หัวเขียว
พรึ่บ!


ทั้งคู่หลับตาลงพร้อมหันหลบดวงตาของอีกฝ่ายพร้อมๆกันเมื่อได้สติ และรู้ว่าตนกำลังทำสิ่งที่ไม่ควรอยู่ พวกเขาต่างฝ่ายๆต่างพยายามปรับอารมณ์ให้คงที่ เสียงหอบหายใจรุนแรงจึงดังออกมาให้ได้ยินอยู่ไม่ขาด


“ขอโทษด้วย...ดวงตาเจ้าคล้ายใครบางคนจนข้าตกใต  จึงเผลอตัวทำเช่นนั้น...หึหึ  แต่เจ้าก็ไม่ธรรมดาอย่างที่ข้ารู้มาจริงๆ” ยาฉะปรับอารมณ์ได้ก่อนเขาจึงกล่าวขอโทษออกมา แม้จะยังไม่หายจากอาการตกตะลึงก็ตาม ไม่น่าเชื่อว่าเด็กตัวเล็กเพียงเท่านั้นจะทนรับจิตสังหารของเขาได้ ซ้ำยังโต้กลับมาได้อีก แม้สภาพของเขาจะยังกลับมาไม่เต็มร้อย  แต่มันก็เหลือเชื่อจนเกินไป ทั้งยังดวงตานั้นก็คล้ายกับใครบางคนที่เขารู้จักอีก ดวงตาของเขานั้นจึงแสดงถึงความสนใจในตัวเด็กน้อยอย่างปิดไม่มิด


“ไม่เป็นไร” การตอบหลับของแร็กนาร์เหนือความคาดหมาย ใครต่อใครคงหวาดกลัวหัวหน้ากลุ่มยาฉะผู้ยิ่งใหญ่จนหัวหด แต่มันกลับไม่ได้ผลกับแร็กนาร์เลย เขาจึงตอบกลับอย่างสั้นและห้วนตามแบบฉบับของตนเท่านั้น


“เอ่อ...ขออภัยด้วยครับ น้องข้าไม่ค่อยได้พบเจอผู้คนจึงไม่รู้ว่าควรตอบโต้เช่นไร” รูร์กัสรีบกล่าวแก้ตัวให้แร็กนาร์ เพราะกลัวอีกฝ่ายจะไม่พอใจแล้วกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต


“ใช่แล้วๆท่านยาฉะ เจ้านี่มันเด็กแก่แดด อย่าถึงสานักเลย” เสียงต่อมาเป็นยาจิที่ไม่ทราบว่ากำลังกล่าวแก้ตัว หรือซ้ำเติมไฟความโกรธให้แร็กนาร์กันแน่ แร็กนาร์จึงจ้องมองยาจิด้วยใบหน้าเรียบเฉยดังยามปกติ แต่เมื่อมองกลับรู้สึกว่าไม่ควรถือสาหาความด้วย เพราะดูเหมือนเจ้าตัวจะทำหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าตนทำสิ่งใดผิดไป แร็กนาร์จึงได้แต่ส่ายหน้าอย่างปลงๆเท่านั้น


“ฮ่าๆๆ  ข้าไม่ถือสาหรอก ข้าว่าเรามาทานอาหารกันเถอะ มันคงใกล้จะเย็นชืดเต็มทีแล้ว” ดูเหมือนว่ายาฉะจะไม่ได้ติดใจเอาความเขาจึงให้ทุกคนเริ่มทานอาหารค่ำแสนหรูหรานี้เสียที เพราะเขาอยากจะรีบสนทนากับเด็กน้อยทั้งสองที่แปลกแยกจากพวกเขาจะแย่อยู่แล้ว


หลังสิ้นเสียงนั้นทุกคนต่างลงมือทานอาหารที่อยู่ตรงหน้าตนอย่างไมเร่งรีบ ลิ้มรสอาหารทุกจานอย่างครบถ้วน เพื่อเติมเต็มส่วนที่สึกหรอของร่างกายที่ถูกใช้งานมาทั้งวัน


แร็กนาร์ก็ก้มหน้าก้มตาทานอาหาร ทำเป็นไม่สนใจสานตาที่มองมาอยู่เป็นระยะ ทั้งจากยาฉะ และซาดาโอะ จนเวลาผ่านไปเพียงไม่นานอาหารบนโต๊ะก็หายไปจนเหลือแต่ความว่างเปล่าบนถ้วยชามเท่านั้น


หลังจากนั้นเหล่าสาวใช้ก็เดินเข้ามาเก็บจานที่ว่างเปล่าออกไป แล้วทยอยวางของหวาน  และผลไม้มาแทนที่


“ข้าขอแนะนำตัวอีกครั้ง ข้ายาฉะ เบียกโกะ หัวหน้ากลุ่มยาฉะ และเป็นพ่อของฮิเดโอะกับฮิโรกิ ยินดีที่ได้พบพวกเจ้าทั้งสอง แร็กนาร์กับรูร์กัสสินะ จะเรียกข้าว่ายาฉะก็ได้” ยาฉะกล่าวเพื่อเริ่มการสนทนาบนโต๊ะอาหารในค่ำคืนนี้


“ครับ ท่านยาฉะ ข้ารูร์กัส คูฟฟ์...ส่วนด้านนี้น้องชายของข้า แร็กนาร์ คูฟฟ์ ยินดีที่ได้พบท่านเช่นกัน” คนที่กล่าวตอบกลับเป็นรูร์กัส เขารับรู้ได้ว่าแร็กนาร์ไม่อยากพูดคุยกับคนแปลกหน้าที่ยังไม่คุยเคย ตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้นจนแร็กนาร์เปลี่ยนไป รูร์กัสที่ปรับตัวได้แล้วจึงทำหน้าที่พูดคุยเช่นนี้มาโดยตลอด สิ่งนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติไม่ต้องกล่าวคำขอใดออกจากปากเลยแม้แต่น้อย


แร็กนาร์ดีใจอยู่ไม่น้อยที่รูร์กัสรับรู้ตัวตนของเขาได้ชัดเจนขึ้น เพราะก่อนหน้านี้รูร์กัสชอบยึดติดกับตัวตนของเจ้าของร่างที่สดใสร่าเริง ทั้งช่างพูดช่างจาต่างกับเขา ในตอนนั้นต้องยอมรับว่าเขารู้สึกน้อยใจเป็นอย่างยิ่ง แม้ไม่สมเป็นความรู้สึกของคนที่อายุปาไป 30  ปีแล้วก็ตาม แต่มันก็ห้ามไม่ได้  จะทำอย่างไรได้เล่าก็รูร์กัสเป็นคนที่เขายึดติด และเป็นคนที่เป็นดังจุดยึดเหนี่ยวที่ทำให้เขาอยากมีชีวิตอยู่นี่นา


“ท่านหมอบอกข้าแล้วว่าน้องของเจ้าช่วยเหลือข้ามากทีเดียว ทั้งยังเป็นคนที่ช่วยชีวิตลูกชายของข้าไว้อีก ตอนนี้คงเป็นดังผู้มีพระคุณของครอบครัวแล้วกระมัง” คำกล่าวเมื่อครู่หากเหล่าลูกสมุนด้านนอกได้ฟังคงพากันตกใจไม่น้อย แต่หาได้เกิดกับผู้ที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ในที่นี้ไม่


แม้เอจิ กับยาจิ จะไม่ได้ให้ความร่วมมือในแผนการครั้งนี้ ทั้งยังไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์เช่นซาดาโอะแต่เขาก็พอคาดเดาได้ จากการกระทำของหมอชรา ที่เข้าไปขลุกอยู่ในห้องขังเป็นวันๆทั้งยังไล่ให้พวกเขาออกไปรอด้านนอกอีก จะอย่างไรมันก็น่าสงสัย และเมื่อได้ฟังคำกล่าวเมื่อครู่ทุกสิ่งจึงกระจ่างแจ้ง


“อย่าถือว่าเป็นบุญคุณเลยครับ พวกเราเพียงแค่ช่วยเหลือเพื่อนที่กำลังเดือดร้อนเท่านั้น” คำกล่าวของรูร์กัสแม้ไม่เป็นความจริงอยู่หลายส่วน แต่ก็เป็นคำกล่าวที่เหมาะสมในเวลานี้ ดีกว่าพวกเขารู้ว่าต้องอ้อนวอน ทั้งบังคับเพียงใดแร็กนาร์จึงยอมช่วยเหลือ ทั้งการที่ยอมช่วยเพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ที่จะได้มาภายหลังด้วยอีก มันคงไม่เป็นผลดีเป็นแน่


สิ่งที่รูร์กัสขาดแร็กนาร์ช่วยเติมเต็ม ดังนั้นเมื่อสิ่งที่แร็กนาร์ขาดรูร์กัสจึงช่วยเติมเต็มบ้างไม่ใช่เรื่องแปลก แร็กนาร์ไม่ถนัดการเลือกใช้คำพูด จึงพูดสั้นและห้วน ทั้งหากไม่พอใจก็เงียบ แม้ฉลาดเพียงใดก็ไม่อาจเจรจากับใครได้สำเร็จง่ายๆ แม้สำเร็จฝ่ายนั้นก็จะเก็บความขุ่นข้องหมองใจเอาไว้มากมายจนอยากจะสังหารเขาให้ได้ ในโลกเดิมหน้าที่ในการเจรจางานต่างๆจึงตกเป็นของคู่หูของเขา คนที่เขาไว้ใจกว่าใคร...แต่ก็หักหลังกันได้อย่างเลือดเย็น


ในตอนแรกอาจจะเสียใจจนแทบบ้า แต่เมื่อได้พบเจอกับโลกใบใหม่นี้เขาแทบจะลืมความเครียดแค้นไปจนหมดสิ้น อาจจะเพราะได้พบกับคนประเภทที่ตนไม่เคยพบมากมาย ได้พบกับโลกใบใหม่ที่กว้างใหญ่ได้เรียนรู้ความแปลกใหม่ที่ตนไม่เคยลิ้มลอง ตอนนี้เขาอาจจะสามารถกล่าวขอบคุณคู่หูของเขาได้แล้วก็ได้ แต่กระนั้นในหัวใจแร็กนาร์ก็เหลือไว้ซึ่งความกลัว กลัวที่จะเชื่อใจ กลัวที่จะถูกหักหลัง  และรูร์กัสเป็นคนแรกที่เขาเชื่อใจเมื่อมายังโลกใบนี้ เชื่อใจโดยไม่เกรงกลัวว่าจะถูกหักหลังเช่นครั้งที่ผ่านมา...


“ไม่ได้หรอก จะอย่างไรความจริงก็เป็นเช่นนั้น  ข้าอยากตอบแทนพวกเจ้า  หากปรารถนาสิ่งใดก็บอกข้าได้เลย...แต่สิ่งเดียวที่ให้ไม่ได้คือการปล่อยพวกเจ้ากลับบ้าน เพราะเหตุการณ์ยังไม่น่าไว้ใจ หวังว่าพวกเจ้าจะเข้าใจ” ประโยคหลังนั้นพาให้คำขอที่กำลังจะหลุดออกจากปากรูร์กัสชะงักลง ดังอีกฝ่ายเดาใจเขาได้ รูร์กัสจึงได้แต่เก็บคำขอนั้นเอาไว้


จะอย่างไรก็ไม่เสียหายนัก เพราะตอนนี้เขาเองก็ไม่มีที่ให้กลับไปแล้ว คงเหลือแค่บ้านหลังเล็กซึ่งยกให้กับแร็กนาร์ เขาหลบหนีออกมาจากห้องที่ถูกขัง ซึ่งถูกขังเพราะถูกจับได้ว่าแอบนำของในบ้านออกมา และท่านพ่อก็เชื่อว่าเขานำไปแจกลูกครึ่งที่เร่ร่อนอยู่ทั่วไป เวลานี้ท่านพ่อคงโกรธมาก และเมื่อกลับไปก็ไม่รู้ว่าจะถูกลงโทษอย่างไรบ้าง เขาเองก็แทบไม่อยากมองหน้าท่านพ่ออยู่แล้วตั้งแต่ที่ท่านพ่อลงมือทำร้ายแร็กนาร์มากมายขนาดนั้น รูร์กัสจึงไม่คิดที่จะกลับไปที่นั่นอีก


แต่เวลานี้เขากับแร็กนาร์ก็มีเรื่องสำคัญต้องทำ นั่นคือ สืบหาข้อมูลของซาดาโอะ การอยู่ที่นี่จึงเป็นเรื่องที่สำควร


“ถ้าเช่นนั้นแค่ให้พวกเราออกจากคุกก็พอครับ” ทุกคนต่างแปลกใจในคำขอเด็กน้อย เพราะมั่นช่างน้อยนิด และไม่ต้องขอก็ได้รับอยู่แล้ว  แต่ก็ได้แต่คิดว่าอาจเพราะพวกเขายังเด็กจึงไร้ซึ่งความโลภก็เป็นได้


แต่ใครจะรู้เล่า ว่าพวกเขาสองพี่น้องวางแผนร่วมกันแล้วว่า เพื่อสืบเรื่องซาดาโอะพวกเขาต้องการอิสระ  และคนคอยอำนวยความสะดวกให้ตน แล้วเป้าหมายเหล่านั้นก็คือทุกคนที่ร่วมโต๊ะอาหารในครั้งนี้ สิ่งแรกที่ต้องทำคือสร้างความเชื่อใจ ให้พวกเขาเชื่อว่าแร็กนาร์กับรูร์กัสเป็นเพียงเด็กน้อยไร้เดียงสาที่ทำทุกสิ่งโดยไม่ปรารถนาสิ่งใด แล้วจากนั้นก็แค่ค่อยๆล้วงข้อมูลออกมาเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว


หากสิ่งที่ต้องการนั้นยิ่งใหญ่ เราไม่จำเป็นต้องร้องขอ เพียงลงมือกระทำทุกวิถีทางเพื่อมันก็เพียงพอแล้ว...


และหากคำขอนั้นเล็กน้อยเกินไป  พวกเขาจะหยิบยื่นมาให้เราเองอย่างไม่ต้องเอ่ยปากเสียด้วยซ้ำ


ไม่จำเป็นต้องโลภ...แต่ควรจะได้รับทั้งหมด นั่นคือ คติของแร็กนาร์


“ไม่น้อยไปหน่อยรึ...อยากได้อะไรเพิ่มหรือไม่” ดังว่าหากคำขอมันเล็กน้อย ก็จะได้รับคำหยิบยื่นอย่างไม่ต้องเอ่ยปากใดๆ คนแรกที่หยิบยื่นมันให้คือหมอชรา เขามองมายังแร็กนาร์แล้วถามออกไปเพื่อสื่อความหมายแฝงในประโยคนั้น


“ขอใช้เรือนพยาบาลด้วย” แร็กนาร์ตอบรับอย่างยินดี ในตอนแรกเขากลัวว่ารูร์กัสจะไม่กล้าทำตามแผน แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะเป็นไปในทางที่ดีกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก เพราะรูร์กัสฉลาดพูด แต่เพราะความใจดีจนเกินไปนั้นทำให้เขาไม่ชอบโกหก เมื่อแร็กนาร์รู้เรื่องนี้จึงต้องดึงความสามารถของรูร์กัสออกมา แร็กนาร์รู้ดีว่ารูร์กัสแสนใจดีจะไม่หายไป


แม้ว่าตนดึงให้รูร์กัสตกต่ำเพียงใดก็ตาม แต่รูร์กัสต้องไม่ตกลงไปเป็นแน่ พี่ชายของเขาต้องเป็นฝ่ายฉุดรั้งเขาขึ้นจากโคลนตมเสียด้วยซ้ำ แร็กนาร์พิสูจน์จนมั่นใจ และเชื่อในตัวพี่ชายจึงกล้าที่จะทำเช่นนี้ แร็กนาร์รู้ดีว่า...รูร์กัสกล้าหาญ เข้มแข็ง และเด็ดเดี่ยวกว่าที่เห็นภายนอกมากมายทีเดียว


“ท่านหมอถูกใจเจ้าไม่น้อยเลย เช่นนั้นข้าคงไม่อาจขัดสิ่งใดได้ หึหึ” สุดท้ายยาฉะก็ทำตามคำขออย่างไม่ขัด แม้ติดใจสงสัยอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้ระแวงใจถึงขั้นต้องคอยให้คนติดตามเฝ้าดู


ยาฉะ เบียกโกะ ไม่ใช่คนโง่งม แม้สิ่งที่แสดงออกมาจะเปิดเผย แต่ก็แอบแฝงบางอย่างเอาไว้อย่างแนบเนียน เพราะความเป็นหัวหน้าที่หล่อหลอม เขาจึงยังเชื่อใจใครในเวลานี้ไม่ได้ ดังนั้นสำหรับเด็กน้อยทั้งสองแล้วคงต้องกันออกไปบ้างในบางสถานที่
หลังจากนั้นพวกเขาก็คุยกันเรื่องทั่วไป  ส่วนมากเป็นการพูดคุยของรูร์กัสกับทุกๆคนซึ่งเขารับมือได้เป็นอย่างดี  รอยยิ้มจริงใจ และถ้อยคำที่ถ่อมตัวทั้งยังเต็มไปด้วยมารยาทเพราะถูกสั่งสอนมาจากชนชั้นสูงอย่างริเรน่า รูร์กัสจึงเป็นที่ถูกชะตาของพวกผู้ใหญ่ที่นั่งร่วมโต๊ะเป็นอย่างยิ่ง


ส่วนทางแร็กนาร์นั้นก็เลือกตอบเฉพาะคำถามที่ถูกเจาะจงให้ตอบ หากไม่จำเป็นเขาก็เลือกที่จะนั่งทานของหวานไปเงียบๆ  แม้น่าเสียดายที่ครั้งนี้ผู้ร่วมโต๊ะกว่าครึ่งเป็นเด็ก พวกเขาจึงไม่ดื่มสุรากัน แต่ของหวานก็อร่อยจนทานได้อย่างไม่เบื่อเลยทีเดียว


.


.


.


ภายใต้ดวงจันทร์ในคืนฟ้ากระจ่าง ชายร่างใหญ่โตซึ่งมีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับหัวหน้ากลุ่มยาฉะกำลังจ้องมองดวงจันทร์กลมโตนั้นผ่านทางหน้าต่างห้องนอนของตน


ยาฉะ เทโทระ พี่ชายร่วมสายเลือดของ  ยาฉะ เบียกโกะ พวกเขาไม่เพียงมีใบหน้าที่คล้ายกัน   แม้แต่กลิ่นอาย หรือความสามารถก็คล้ายกันจนยากที่จะตัดสินว่าใครยอดเยี่ยมกว่า


สิ่งเดียวที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนคือ นิสัยใจคอของทั้งคู่ เทโทระเป็นปีศาจที่โลภมากในทุกสิ่ง เงินทอง พละกำลัง หรือหญิงงามที่ตนหมายปอง แต่แล้วน้องชายที่ลืมตาดูโลกหลังจากตนเพียงไม่กี่ปีกลับได้ทุกอย่างไปครอบครองอย่างง่ายดาย


ด้วยความอิจฉาริษยาจึงแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เขาอยากกำจัดน้องชายร่วมสายเลือดของตนให้หายไปจากโลกใบนี้ แต่ก่อนหน้านั้นเขาจะแย่งทุกอย่างคืนมาเสียก่อน ไม่มีทางแน่ที่เขาจะยอมให้มันตายอย่างสงบ มันต้องเห็นวาระสุดท้ายอันเจ็บปวด  ต้องเสียใจที่ไม่อาจปกป้องใครได้


เวลานี้เขากำลังจะได้ครอบครองทุกวิ่ง เวลาที่รอมายาวนานกำลังจะเป็นจริง เขาค่อยๆแทรกซึมจากรากฐาน จนบัดนี้เหล่าผู้อาวุโสของกลุ่มต่างเห็นด้วยที่เขาจะขึ้นเป็นหัวหน้ากลุ่มยาฉะ แต่แล้วคนที่เขาต้องการที่สุดกลับถอยห่างจากเขาไปอีกก้าวจนได้
เทโทระต้องการครอบครองซาดาโอะ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามความต้องการของเขาไม่เคยเปลี่ยน แม้ในตอนแรกจะเพียงแค่ต้องการหลอกใช้ แต่บัดนี้เขาอยากครองครองร่างกายนั้นจนตัวสั่น แต่อย่างไรซาดาโอะก็มอบหัวใจดวงนั้นให้น้องชายเขาไปแล้ว


แต่กระนั้นในตอนนี้ก็ยังพอมีโอกาสอยู่ เพราะซาดาโอะนั้นเคียดแค้นเบียกโกะอย่างไม่อาจให้อภัยได้ ดังนั้นพวกเขาไม่มีทางสมหวังกันอย่างแน่นอน


สิ่งใดที่เขาอยากได้ สิ่งใดที่เขาควรได้ครอง เขาจะแย่งมันคืนมาเสียให้หมดทุกสิ่งอย่าง ไม่ว่าจะเป็นซาดาโอะ หรือกลุ่มยาฉะ เขาก็จะแย้งมันกลับมาเป็นของตนอย่างที่ควรจะเป็น


“แผนการครั้งนี้ล้มเหลวเพราะมีบุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวข้อง  ถ้าเช่นนั้นข้าจะตามหาตัวมัน แล้วกำจัดมันให้สิ้นซาก!!” เสียงกล่าวนั้นเปี่ยมไปด้วยพลัง มันดุดันและเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว และหวังจะทำลายคนที่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับแผนของตนอย่างหมายมาด


“หึหึ  อย่าใจร้อนไป ข้ายังมีแผนการที่เตรียมไว้อยู่มากมาย” ในห้องนอนที่ควรจะมีเพียงเจ้าของห้อง บัดนี้กลับมีแขกมาเยือนอย่างไม่แจ้งล่วงหน้า แต่ก็ไม่ได้ทำให้เจ้าของห้องตกใจหรือลำบากใจแต่อย่างใด  ออกจะดีใจเสียด้วยซ้ำที่ได้พบแขกที่ไม่ได้รับเชิญผู้นี้


ผู้มาเยือนสวมเสื้อคลุมยาวคลุมทั้งร่าง ตั้งแต่หัวจรดเท้า ใบหน้าสวนหน้ากากสีขาวที่ดวงตายิ้มจนหางตาชี้ขึ้น แต่กลับมีน้ำตาสีดำไหลอาบแก้มจากดวงตาทั้งสองข้าง ปากนั้นข้างซ้ายแสยะยิ้มแต่ข้างขาวกลับคว่ำปากลงดังไม่พอใจ น่ากากช่างย้อนแย้งกันเองจนไม่อาจเข้าใจความหมายได้


เขาเข้ามาทางใดไม่อาจทราบ สำหรับเทโทระแล้วชายคนนี้เป็นได้ดังพ่อมด ที่ไม่รู้ว่าเป็นมนุษย์ ปีศาจ หรือเทวดากันแน่  รู้เพียงว่าชายคนนี้บันดานได้ทุกสิ่งอย่างดังที่เขาต้องการ


เทโทระนั่งคุกเข่าลงทั้งสองข้าง ทั้งยังก้มศีรษะลงจนหน้าผากจรดพื้นเพื่อเคารพต่อชายที่เป็นดังเทพเจ้าที่มอบความปรารถนาให้เขาทุกสิ่งอย่าง อย่างแรกที่เขาได้รับมันมาคือพลัง เขามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าพลังที่ได้รับมานี้ต้องเหนือกว่าน้องชายของตนหลายเท่า และเป้าหมายต่อไปก็ใกล้เป็นจริงแล้วในไม่ช้านี้


“เพราะมีท่าน ข้าจึงมาไกลได้ถึงเพียงนี้...หากท่านต้องการให้ข้าทำสิ่งใดโปรดสั่งมาได้เลย” ปีศาจที่หยิ่งในศักดิ์ศรีเช่นเทโทระยากนักที่จะก้มศีรษะให้ใครง่ายๆ แต่บัดนี้เพื่อสิ่งที่ตนต้องการเขากลับทำได้ทุกสิ่ง  แม้แต่ละทิ้งศักดิ์ของตน ยอมรับใช้ชายตรงหน้า ที่ไม่อาจรู้ความจริงว่าเป็นใครนี้อย่างไว้วางใจ


“ถ้าเช่นนั้นเราก็มาเริ่มแผนการจริงๆจังๆกันเลยดีกว่า หึหึหึ”







To Be Continued...

ออฟไลน์ GreenHead(หัวเขียว)

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
    • Green Head - หัวเขียว

ตอนที่ 19
ฟักไข่



เช้านี้สำหรับใครหลายๆคนอาจจะเป็นเช้าที่แสนธรรมดา แต่สำหรับคนที่ต้องอยู่ในคุกที่อับชื้นร่วม 12 คืน  ย่อมต้องรู้สึกว่ามันพิเศษกว่าทุกวันเป็นแน่


ร่างเล็กที่นอนขดตัวบนฟูกหนาบิดตัวไปมาอย่างเกียจคร้าน ฟูกนอนหนานุ่มแม้ไม่ใช่ที่นอนที่คุ้นเคยแต่ก็นับว่าทำให้เขาหลับสบายได้อย่างน่าชื่นชม ไม่ว่าจะเป็นการตัดเย็บที่ประณีต หรือปริมาณของนุ่นที่ยัดได้อย่างพอเหมาะ  ล้วนเข้ากันอย่างลงตัว แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในการทำฟูกนอนนี้เป็นอย่างดี


ชุดยูกาตะที่ใช้สวมนอนบนร่างนั้นหลุดลุ่ย แขนเสื้อข้างหนึ่งล่วงลงจนเผยให้เห็นไหล่เล็กขาวเนียนละเอียด แม้จะซีดเซียวกว่าคนปกติเล็กน้อย แต่มันก็ตัดกับชุดยูกาตะสีดำสนิทนั้นได้เป็นอย่างดี จนเผยให้เห็นไหล่ขาวเนียนนั้นได้อย่างชัดเจน ผ้าห่มถูกร่นไปอยู่ปลายเท้า เพราะเจ้าตัวนอนพลิกตัวไปมา ชายชุดยูกาตะที่ยาวจนถึงข้อเท้านั้นก็ร่นขึ้นจนเผยให้เห็นขาขาวเนียนไม่แพ้ไหล่นั้นเลยแม้แต่น้อย


ตึก ตึก ตึก


เสียงฝีเท้าที่ดังมาจากระเบียงด้านนอกพาให้เจ้าของร่างเล็กลุกขึ้นนั่งด้วยความงัวเงีย  และนั่นยิ่งทำให้แขนเสื้อที่ล่วงลงจากไหล่ตกลงไปต่ำยิ่งกว่าเดิม แขนเสื้อข้างนั้นตกลงไปกองรวมกันที่ข้อศอก  เผยให้เห็นอกขาวเนียนที่ประดับไว้ซึ่งตุ่มไตสีชมพูระเรื่อน่ามอง


ครืดดดดดดดดดดด


“แร็กนาร์ขะ...ไข่...ขาว” สองเสียงเอ่ยประสานกันหลังจากเปิดประตูออกกว้าง ในมือของฮิโรกิถือตะกร้าสานจากไม้ไผ่ไว้ในมือ พวกเขาเข้ามาด้วยความตื่นเต้น แต่แล้วเสียงสุดท้ายก็เบาหวิวซึ่งเอ่ยถึงฉากที่เย้ายวนตรงหน้า


“ไข่อะไรนะ” แร็กนาร์เอ่ยถามอย่างงัวเงีย ปากก็หาววอดจนน้ำตาซึมที่หางตา เขาใช้มือเรียวเล็กนั้นเช็ดมันออกอย่างไม่ใส่ใจ และนั่นยิ่งเพิ่มความน่าหลงใหลในภาพตรงหน้าขึ้นไปอีก


สำหรับเด็กน้อยวัย 7 ขวบ ที่ยังไร้เดียงสา เขายังคงไม่เข้าใจตนเองเช่นเดิม รู้แต่เพียงว่าภาพนี้ช่างน่ามองเป็นอย่างยิ่ง จึงไล่สำรวจร่างกายของผู้มีพระคุณอย่างถี่ถ้วน


ตั้งแต่ขาขาวที่ไร้ซึ่งการห่มกายจากผ้าใดๆ ไล่ไปยังเอวบางที่มีสายรัดชุดยูกาตะรัดเอาไว้จนเห็นเอวคอดได้อย่างชัดเจน จากนั้นมองไล่ไปยังด้านบนจากสะดือกลมจนถึงตุ่มไต่เม็ดเล็กสีชมพูระเรื่อที่แสนเย้ายวนชวนให้ลิ้มลอง แม้ในใจจะหวังลึกๆว่าอยากเห็นมันทั้งสองข้าง แต่สายตาที่จดจ่ออยู่ชั่วครู่นั้นก็มองไล่ขึ้นไปอีก จนถึงไหล่เล็กที่ดูบอบบางซึ่งเข้ากับลำคอระหงนั้นเป็นอย่างดี
ริมฝีปากได้รูปที่แต่งแต้มเป็นสีแดงจางๆนั้นดูเป็นธรรมชาติ จมูกโด่งเป็นสัน แก้มก็ขึ้นสีเล็กน้อยเพราะอากาศที่เริ่มหนาวเย็น ดวงตาเรียวเล็กสีดำทั้งสองข้างตัดกับผิวกายสีขาวได้อย่างลงตัว ผมสองสีก็สะท้อนเด่นบนศีรษะที่ยุ่งเหยิงคล้ายรักนก แต่มันก็เข้ากันกับคนที่นั่งงัวเงียอยู่บนฟูกได้เป็นอย่างดี...เขาช่างน่ารักน่าทะนุถนอม งดงาม ทั้งยังเย้ายวนเกินกว่าใครจะห้ามใจไม่ให้เก็บภาพเหล่านี้เอาไว้ได้


ฮิเดโอะกับฮิโรกิมองอย่างไร้ซึ่งความเกรงใจใดๆ พวกเขามองอย่างจาบจ้วงที่จะเก็บภาพอันตราตรึงนี้ไว้ภายในส่วนลึกของจิตใจให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ โดยไม่สนใจใบหน้าที่แดงปลั่งทั้งยังคิ้วขมวดเป็นปมของผู้ถูกมองแม้แต่น้อย    ใบหน้านั้นเหยเกเล็กน้อยเพราะไม่รู้แน่ว่าตนควรรู้สึกอย่างไร เขาควรจะโกรธ หรือเขินอายกันแน่


ในตอนนี้ ฮิเดโอะ ฮิโรกิ และแร็กนาร์ พวกเขาต่างมองกันด้วยใบหนาที่แดงซ่านจนถึงใบหู  หัวใจดวงน้อยก็เต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาเสียให้ได้ เลือดในกายก็สูบฉีดจนร้อนผ่าวไปทั่วร่าง สมองอื้ออึงจนไม่สามารถคิดสิ่งใดได้อีก ทำเพียงปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไปเช่นนั้น


“มะ...มองอะไรของพวกเจ้า”  ปากสีชมพูสดของแร็กนาร์เอ่ยถามออกมาเมื่อตั้งสติได้ มือเรียวเล็กก็ดึงแขนเสื้อที่ล่วงล่นจากไหล่นั้นใหปิดขึ้นมาจนถึงลำคอ จัดการปกปิดส่วนดึงดูดที่อยู่ใกล้มือก่อนเป็นอันดับแรก  น้ำเสียงนั้นเจือด้วยความโกรธเกรี้ยว แต่กลับไม่กล้ามองสบสายตากับเด็กทั้งสอง ทำเพียงหันหน้าหนีเพื่อปิดบังใบหน้าที่แดงซ่านจนถึงใบหูที่ยากจะปิดบังนั้น


‘บ้าเอ๊ย!! อยากมุดลงไปในผ้าห่มจริงๆเลยให้ตายสิ แต่แบบนั้นมันบทสาวน้อยที่เคยดูในทีวีชัดๆ เราเป็นผู้ชายอายุ 30 ปี จะไปทำเรื่องน่าอายแบบนั้นได้ยังไงเล่า ถ้าเทียบกับพวกเด็กบ้านี้แล้วเรามันตาแก่ชัดๆเลย แต่ทำไมเราไม่เข้าใจนะว่าอาการแบบนี้มันคืออะไร


สวยตานั่นอีก เลิกมองไปซะ มันทำให้เราเกิดอาการแปลกๆ เพราะพวกด็กบ้านี่แท้ๆเลย...ขอร้องล่ะหยุดซะที ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลยสักนิด เรากำลังเป็นอะไรกันแน่...ไม่เข้าใจเลย’



“เอ่อ ๆๆ คือว่า...มองแร็กนาร์” เสียงอ้ำๆอึ้งๆถูกเปร่งออกจากปากของฮิโรกิ เขาพยายามคิดหาคำตอบที่ดูดีที่สุด แต่มันก็ล้มเหลว เขาจึงจำยอมต้องตอบออกไปตามความจริงเท่านั้น แม้ว่าเสียงนั้นจะเบาหวิวก็ตาม


คำตอบที่เถรตรงยิ่งพาให้คนฟังหน้าแดง แร็กนาร์รับมือกับคำตอบไม่คาดฝันนี้ไม่ถูกจึงได้แต่ขมเม้มริมฝีปากพร้อมก้มหน้าลงอย่างจนใจ หวังเพียงให้ใครสักคนช่วยแก้สถานการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วนใจนี้เสียที


“พวกๆ พวกข้าขอตัวก่อน...เจ้าไปอาบน้ำเถอะ” ฮิเดโอะแม้ตั้งสติได้ช้าที่สุด แต่กลับหาทางออกได้ก่อนใคร เขาดึงมือของฮิโรกิให้เดินตามไปอย่างเร่งรีบ  เพื่อจะได้หลบไปปรับอารมณ์ความรู้สึกที่พุ่งพร่านในอกนี้ให้กลับมาเป็นปกติ และทำเพื่อคลายบรรยากาศกระอักกระอ่วนใจจนทำสิ่งใดไม่ถูกเมื่อครู่ด้วย


หลังจากเด็กน้อยทั้งสองวิ่งหายไปจนลับตา แร็กนาร์ก็พลิกไปล้มตัวลงบนหมอน ซุกหน้าลงทั้งยังบิดไปมาเพื่อหวังว่ามันจะคลายความร้อนที่อยู่ในกายนี้ให้มอดดับลง แต่ด้วยอากาศที่เริ่มหนาวเย็นเพียงเล็กน้อยนี้มันไม่ช่วยให้ความร้อนคลายลงเลยแม้แต่น้อย
แร็กนาร์จึงลุกขึ้นจากฟูกนอน เดินตรงไปยังตู้สื้อผ้า ค้นหาผ้าที่ใช้สำหรับเช็ดตัวพร้อมด้วยชุดยูกาตะใหม่เอี่ยม แล้วจึงรีบวิ่งออกจากห้องตรงไปยังโรงอาบน้ำ ด้วยหวังว่าน้ำจะช่วยชำระไฟในกายให้มอดดับลง


.


.


.


ก๊อกๆ


“พี่รูร์กัส พี่ตื่นรึยัง” แร็กนาร์เอ่ยเรียกพี่ชายซึ่งพักอยู่ห้องติดกัน หลังจากทำให้ใจเย็นลงด้วยการแช่น้ำอุ่นๆในบ่อน้ำร้อน แต่กระนั้นมันก็ยังไม่เย็นลงจนถึงที่สุด เขาจึงตัดสินใจที่จะมาพูดคุยกับรูร์กัสเพื่อคลายความกังวลที่ยังหลงเหลืออยู่ภายในใจ
แต่ในห้องกลับเงียบกริบไร้ซึ่งเสียงขยับตัวใดๆ แร็กนาร์จึงรับรู้ได้ทันที่ว่ารูร์กัสไม่ได้อยู่ในห้อง แต่ก็พอคาดเดาได้ว่ารูรกัสไปอย่ที่ใด ข้อสันนิษฐานง่ายๆคือ  รร์กัสคงถูกเอจิลากไปเล่าเรื่องแดนมนุษย์อีกแล้วเป็นแน่ เมื่อคิดได้เช่นนั้นแร็กนาร์จึงเดินมุ่งตรงไปยังบ้านพักของผู้คมขังทั้งสองทันที


แร็กนาร์กับรูร์กัสถูกจัดใหพักในบ้านพักของพวกลูกสมุน เพราะเรื่องของพวกเขายังคงเป็นความลับที่รู้ได้เพียงคนส่วนน้อย โดยบ้านหลังนี้ถูกสร้างให้อยู่ห่างจากบ้านหลังอื่นๆ เพราะอยู่ใกล้กับที่พักของเหล่าหัวหน้าหน่วยที่มีเรือนแยกอยู่ด้านหลังของบ้านใหญ่


ส่วนเรือนพักของเอจิกับยาจินั้นก็คือเรือนสำหรับหัวหน้าหน่วยเช่นกัน เรือนพักทั้งสองตั้งอยู่ใกล้กันและห่างจากเรือนหลังอื่นๆ ตอนนี้จึงกลายเป็นที่หลบซ่อนแสนสะดวกสบายของพวกเขาไปเสียแล้ว เอจิกับยาจิแม้ไม่ได้เป็นหัวหน้าหน่วย แต่เพราะเป็นผู้คุมพิเศษซึ่งสืบทอดต่อกันมาในตระกูล ทั้งยังเป็นผู้เฝ้าคุกสำหรับคุมขังเหล่าหัวหน้าหน่วย พวกเขาจึงมีศักดิ์ทัดเทียมกัน รวมทั้งฝีมือนั้นด้วยและเนื่องด้วยว่าผู้คุมทั้งสองไม่ค่อยพบปะผู้อื่นเท่าไหร่นัก จึงไม่มีใครกล้าเข้ามาพักเรือนที่อยู่ใกล้คนทั้งสองเช่นนี้ ทั้งยังไม่กล้าเข้ามาใกล้บริเวณบ้านอีกด้วยหากไม่มีธุระจำเป็น


ไม่นานแร็กนาร์ก็เดินมาถึงที่พักของผู้คุมทั้งสอง และก็เป็นดังที่คาดรูร์กัสกำลังนั่งคุยอยู่กับเอจิอย่างออกรสออกชาติ  พวกเขานั่งอยู่ที่ชานบ้านซึ่งต่อยื่นออกมาเป็นระเบียงยาว และเมื่อพวกเขาสังเกตเห็นว่ามีผู้มาเยือน จึงโบกมือทักทายแร็กนาร์อย่างไม่คิดแปลกใจสิ่งใด


“อรุณสวัสดิ์   พี่ว่าแล้วว่าเจ้าต้องรู้ว่าพี่อยู่ที่นี่” รูร์กัสกล่าวทักทายออกไปอย่างยิ้มแย้มเมื่อแร็กนาร์เดินเข้ามานั่งข้างตนซึ่งเขานั่งอยู่ทางด้านขวามือของเอจิพอดี


“มันคิดได้แบบเดียวนี่นา...แล้วนี่ยาจิไปไหน”  ประโยคที่แร็กนาร์กล่าวออกมาพาให้พวกเขาชะงัก   พอตั้งสติได้ก็ยิ้มล้อแร็กนาร์อย่างสนุกสนาน จึงถูกเจ้าตัวถลึงตาใส่หนึ่งครั้ง แต่ดูเหมือนพวกพี่ๆที่อยากจะแกล้งน้องนั่นจะไม่รู้สึกยี่ระ พอเห็นแร็กนาร์แสดงท่าทางเช่นนั้นก็ยิ้มล้อหนักขึ้นไปอีกทั้งยังหัวเราะกันอย่างไร้ซึ่งความเกรงใจใดๆ



“ฮ่าๆ เจ้ากับยาจิช่างเข้ากันได้ดีจริงๆ...รอสักพักก็คงเสร็จแล้ว   ยาจิทำอาหารอยู่น่ะ” เพราะแร็กนาร์นิ่งเงียบ ปล่อยให้พวกเขากระทำตามใจจนพอเกินพอ เมื่อพอใจแล้วเอจิจึงตอบคำถามแร็กนาร์ พร้อมทั้งชี้เข้าไปในบ้าน   และนั่นก็ยิ่งพาให้แร็กนาร์ประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม


“เจ้านั่น ทำอาหารเป็นด้วยเรอะ” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันจนแทบจะผูกเป็นปม ดังไม่เชื่อในคำกล่าวเมื่อครู่ของเอจิ


“เป็นสิ อร่อยมากจนพวกพ่อครัวของที่นี่ฝีมือเทียบไม่ติดเลยล่ะ” เสียงนั้นจริงจังเกินกว่าจะล้อเล่นยิ่งพาให้คนฟังประหลาดใจมากขึ้นไปอีก


“มันเหลือเชื่อเกินไป” คำกล่าวอันกระทบจิตใจองผู้ฟังอย่างร้ายแรงนั้นเอ่ยออกมาอย่างราบเรียบ  เพราะจังหวะเหมาะที่จะกลั่นแกล้งผู้ที่ถูกกล่าวถึงพอดี


“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ไม่ต้องกินดีหรือไม่”  ผู้ฟังกล่าวอย่างเดือดดาน    เมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้เพื่อบอกว่าอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว  ก็ได้ยินประโยคเมื่อครู่เข้าพอดี ดังว่าแร็กนาร์รอจังหวะนี้อยู่อย่างไรอย่างนั้น น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเดือดดาน ใครได้ฟังคงกลัวหัวหด แต่กระนั้นคนที่ชินชากับสถานการณ์เช่นนี้ก็รู้ได้ว่า  ยาจิไม่ได้โกรธอย่างจริงจังอย่างปากว่า เพียงต่อปากต่อคำกับแร็กนาร์เท่านั้น


“ไม่ล่ะ...ข้าต้องกินกันตาย” เสียงราบเรียบประกอบกับหน้าตาที่เรียบเฉย ตอบกลับอย่างไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งใดเช่นเคยยิ่งพาให้คนที่ตอนแรกไม่โกรธเริ่มจะโกรธขึ้นมาหน่อยๆเสียให้ได้


“ช่างเถอะยาจิ  อย่าโกรธไปเลย...ข้าหิวจะแย่แล้ว” เอจิรีบห้ามทัพ  เพราะดูเหมือนหากปล่อยไว้เช่นนี้เขาคงไม่ได้ทานอาหารเช้าเป็นแน่


ยาจิก็ยังคงเช่นเดิม แม้ไม่พอใจอยู่บ้างแต่ก็ไม่เคยขัดเอจิเลยสักครั้ง เขาไม่ตอบกลับทำเพียงเงียบแล้วเดินหันหลังกลับเข้าไปยังห้องครัวเท่านั้น จากนั้นเอจิกับรูร์กัสก็เดินตามเข้าไปด้วยเพื่อช่วยยกอาการมาวาง  มีเพียงแร็กนาร์ที่ลุกขึ้นแล้วเดินไปนั่งยังโต๊ะที่สูงถึงเข่าซึ่งวางไว้สำหรับทานอาหารบริเวณชานหน้าบ้านที่อยู่ไม่ไกล


อาหารทุกอย่างวางเสร็จสรรพบนโต๊ะ  พวกเขาก็เริ่มนั่งทานอาหารกันทันที   และถึงแม้จะถูกแร็กนาร์แกล้งอย่างไร  ยาจิก็ยังนั่งลุ้นอย่างใจจดใจจ่อ  ตั้งแต่อาหารเข้าไปในปากเล็ก  เคี้ยวแล้วกลืนลงไปในท้องอย่างไม่เร่งรีบ  เขามองอย่างลุ้นระทึกว่าแร็กนาร์รู้สึกเช่นไรเมื่อทานอาหารที่เขาทำเข้าไป


“อร่อย” คิ้วที่ขมวดอย่างไม่อยากจะเชื่อคลายออกแล้วกล่าวมันออกมาอย่างจำยอม หลังจากได้ลิ้มรสชาติอาหารแล้ว


‘อร่อยสุดๆไปเลย ถึงจะไม่อยากยอมรับก็เถอะ แต่แบบนี้เป็นเชฟในภัตตาคารห้าดาวได้สบายๆเลย...ไม่สิ บางทีอาจจะอร่อยกว่านั้นอีก’


แร็กนาร์พิจารณาอาหารตรงหน้าเทียบกับอาหารจานต่างๆที่ได้ลิ้มรสผ่านมา แม้ไม่อยากยอมรับ แต่ความจริงก็เป็นเช่นนั้น และเขาเองก็โปรดปรานการทานอาหารเลิศรสมันจึงเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เขาไม่เคยโกหกสักครั้งเดียว


“อือๆ” คนได้รับคำชมยิ้มกว้างอย่างยากที่จะได้เห็นบนใบหน้าที่แสนน่ากลัวนี้ เขาตอบรับเพียงเท่านั้นพร้อมผงกหัวอย่างยินดี  เพราะไม่อยากพูดจาทับถมจนบรรยากาศไม่ดีซึ่งจะทำให้อาหารเสียรสชาติได้


ทุกคนต่างรู้ดีว่าหากกล่าวสิ่งใดที่ไม่เข้าหูเข้า อาหารมื้อนี้คงไร้รสชาติ จึงนั่งทานนิ่งๆแล้วเริ่มพูดคุยเรื่องสัพเพเหระขณะทานอาหารไปเท่านั้น


หลังจากทานอาหารเสร็จผู้ที่ทำหน้าที่ล้างจานคือเอจิ  ซึ่งเป็นเรื่องปกติของปีศาจทั้งสองตนไปเสียแล้ว  แม้รูร์กัสเอ่ยปากจะช่วยเพื่อตอบแทนที่ได้ทานอาหารอร่อยๆในมื้อนี้    แต่ก็ถูกขัดขึ้นอย่างน่าเสียดาย  เวลานี้จึงมีเพียงแร็กนาร์ รูร์กัส   และยาจินั่งอยู่ประจำที่เช่นเดิมเท่านั้น


“แร็กนาร์!  ทุกคน!” ไม่นานเสียงเจื้อยแจ้วของผู้มาเยือนคนใหม่ดังขึ้น เด็กน้อยปีศาจทั้งสองที่ปั่นป่วนหัวใจของแร็กนาร์เมื่อเช้าก็ปรากฏตัวขึ้น พวกเขาวิ่งอย่างเหนื่อยหอบมายังที่พักหลังนี้ และเพียงแร็กนาร์คิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าอาการร้อนผ่าวที่ใบหน้าก็ปรากฏขึ้นมาอีก  เขาจึงส่วนหัวไปมาเพื่อไล่อาการที่เกิดขึ้น


ส่วนเด็กน้อยทั้งสองดูเหมือนหลังจากเวลาผ่านไปหลายชั่วยามพวกเขาก็สามารถทำตัวให้กลับมาเป็นปกติได้ อาจจะเพราะยังเด็กพวกเขาจึงปรับตัวรับกับสิ่งแปลกใหม่ได้อย่างง่ายดาย ต่างจากแร็กนาร์ที่วิญญาณนั้นผ่านโลกมามากแล้ว   เราจึงมีทิฐิที่ยากจะยอมรับต่อสิ่งที่เกิดขึ้น และเมื่อยิ่งไม่เข้าใจจึงยิ่งปิดกั้น  จนไม่อาจเผยใจให้ยอมรับมันได้


“นายน้อย มีอะไรหรือขอรับ เหตุใดจึงรีบร้อนเช่นนี้” หลังจากที่เด็กทั้งสองวิ่งมาถึง ยาจิก็เอ่ยถามอย่างเร่งเร้าด้วยความร้อนใจกลัวจะเกิดเรื่องไม่ดีอะไรขึ้นมาอีก  เพราะเขาเอ็นดูนายน้อยทั้งสองดังน้องชายแท้ๆจึงอดที่จะห่วงใยไม่ได้  พวกเขาเล่นมาด้วยกันตั้งแต่นายน้อยทั้งสองยังจำความไม่ได้ด้วยซ้ำ  จึงยิ่งผูกพันแน่นแฟ้น


“ไข่ๆกำลังจะฟักแล้ว” ฮิโรกิตอบพร้อมยื่นตะกร้าสานจากไม้ไผ่มายังด้านหน้าของยาจิ เพื่อให้อีกฝ่ายได้ดู  ในน้ำเสียงนั้นก็เจือไปด้วยความตื่นเต้น  ยาจิจึงเบาใจลง


“ไข่อะไรขอรับ” คนที่ถามรับตะกร้ามาอย่างงงๆ  แม้จะจำตะกร้าใบนั้นได้ว่านายน้อยเคยนำมันไปในห้องขัง  แต่ตอนนั้นพวกเขาอยู่ด้านนอกจึงไม่ทราบความเป็นไปของตะกร้าไปนี้


“เอ๊ะ  ข้าลืมมันไว้...พวกเจ้าเก็บมาเองหรือ” เจ้าของตะกร้าใบเล็กที่ตัดสินใจรับมาดูแลเอ่ยขึ้นดังพึ่งนึกขึ้นได้  และดูเหมือนเขาจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับมันเท่าที่ควรเพราะลืมเอาไว้ในห้องขัง  เพราะในตอนที่ออกมาเขาหยิบมาเพียงกระเป๋าใบเก่งของตนเท่านั้น


“ใช่แล้ว แร็กนาร์เจ้าดูสิมันกำลังจะฟักแล้ว พวกเรารู้สึกตื่นเต้นเมื่อเช้าจึงเร่งร้อนไม่ทันได้เคาะประตูจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น ต้องขอโทษด้วย” แฝดผู้พี่อย่างฮิเดโอะตอบแร็กนาร์พร้อมทั้งยังอธิบายถึงสาเหตุของเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าของวัน หวังจะช่วยคลายกังวลและใบหน้าที่แดงระเรื่อน้อยๆนั้นให้หายเป็นปกติ  ถึงแม้ภาพตรงหน้าจะน่ามองเพียงใด แต่การที่แร็กนาร์พูดคุยโดยไม่สบตาเช่นนี้เขาไม่ชอบมันเลย


“อืม ไม่เป็นไร” แร็กนาร์ส่วยหัวช้าๆเพราะรู้ตัวว่าตนทำให้เด็กน้อยเป็นกังวลจึงตอบออกไปเช่นนั้น  แม้ในใจจะร่ำร้องว่ามันจะไม่เป็นไรได้อย่างไรเล่า แต่กระนั้นเขาก็ยังพยายามปั่นหน้าให้นิ่งเรียบที่สุดเท่าที่จะทำได้


“เมื่อเช้า...เกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้า” พี่ชายที่ทั้งรักทั้งห่วงน้องชายอย่างรูร์กัสถามขึ้นเพราะไม่ทราบถึงเรื่องที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย  เมื่อเช้าเขาถูกเอจิลากตัวมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสว่างเสียด้วยซ้ำ   โดยอ้างว่าวันนี้พวกตนไม่มีหน้าที่ใดต้องทำแล้วจึงอยากสนทนาเรื่องของแดนมนุษย์ทั้งหมดที่รูร์กัสรู้ และไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้แล้ว เขาจึงไม่ทราบถึงเรื่องที่น้องๆคุยกัน


“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร พี่รูร์กัสอย่าใส่ใจเลย” แร็กนาร์เลี่ยงที่จะตอบคำถามของพี่ชาย  ซึ่งนั่นก็ทำให้รูร์กัสคาดเดาได้ว่าต้องเป็นเรื่องที่ทำให้หัวใจของน้องตนปั่นป่วนแน่ๆ เพราะเขาสังเกตอาการของแร็กนาร์ตั้งแต่เด็กน้อยทั้งสองปรากฏตัวไว้อย่างถี่ถ้วย ไม่ว่าจะอาการหน้าแดง หรือหลบสายตาเขาก็เห็นมันทั้งหมด   แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่คิดจะกระตุ้นสิ่งใดตอนนี้ เพราะยังไม่ถึงเวลาอันสำควร  จึงทำเป็นปล่อยผ่านไปอย่างง่ายดาย


“ถ้าเช่นนั้นเราก็มาดูไข่ใบนั้นกันเถอะ  ไม่รู้ว่ามันจะฟักออกมามีลักษณะเช่นไร” หลังจากรูร์กัสกล่าวจบ  ยาจิก็นำตะกร้าใบนั้นไปวางไว้ที่กลางโต๊ะที่ใช้ทานอาหารเมื่อครู่ ส่วนเด็กน้อยที่พึ่งมาถึงก็ขึ้นมานั่งล้อมโต๊ะเอาไว้ด้วย เอจิที่พึ่งเดินออกมาก็มานั่งข้างยาจิด้วย เพราะได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่ตั้งแต่อยู่ในครัวแล้ว


ไข่ใบใหญ่ขนาดเท่ากำมือของผู้ใหญ่วางตระหง่านอยู่ในตะกร้าสานจากไม้ไผ่ซึ่งวางอยู่ตรงกลางของโต๊ะพอดี  มันมีรอยร้าวดังจะปริแตกออกมาเล็กน้อย


เปรี๊ยะๆ


พวกเขาทั้งหกต่างจ้องมองไปยังไข่ใบนั้นเป็นตาเดียว ทั้งตื่นเต้น ทั้งคาดหวังไปตามจินตนาการของตน เมื่อรอยร้าวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆหัวใจของพวกเขาก็เต้นแรงจนแทบจะดังออกมาจากอกด้วยความตื่นเต้น


เปรี๊ยะๆ


“กรู้”  เสียงแรกจากเจ้าตัวเล็กที่มีลักษณะก่ำกึ่งไม่แน่ว่าเป็นอินทรีย์หรือเหยี่ยวดังขึ้น มันมีขนสีน้ำตาลเข้มเกือบทั่วทั้งตัว แต่บริเวณต้นคอกลับมีขนสีน้ำตาลทองที่อ่อนกว่าปกติเล็กน้อย แล้วยังมีสีขาวที่หางและปีกทั้งสองข้างอีกด้วย


มันมองตรงไปยังแร็กนาร์เป็นคนแรกแล้วก็ไม่สนใจใครอื่นอีก จากนั้นมันก็ตะเกียกตะกายออกจากเปลือกไข่ แล้วมุ่งไปปีนขอบตะกร้าต่อ ปีกเล็กที่ยังไม่แข็งแรงจนถึงขั้นบินได้นั้นค่อยๆพยุงตัวมันเกาะขอบตะกร้า แต่ด้วยความที่มันยังตัวเล็กไร้เรี่ยวแรงมันจึงตกลงไปอยู่หลายครั้ง กระนั้นมันก็ยังทำต่อไป


ยาจิที่จิตใจอ่อนโยนเกินกว่าที่จะนั่งลุ้นไปกับทุกคนได้ จึงยืนมือเขาไปจับตัวมันอย่างเบามือ มันขัดขืนเล็กน้อย แต่ก็ไม่สามารถทำสิ่งใดได้ และเมื่อเห็นว่ายาจิวางมันลงนอกตะกร้า ดูเหมือนมันจะรับรู้ได้ว่ายาจิเหลือช่วยมัน


“กรู้” นกน้อยมองไปยังยาจิอย่างพินิจแล้วก็ร้องรับดังกล่าวของคุณที่ช่วยเหลือมันเมื่อครู่ แล้วจึงหันตัวกลับไปเดินเตาะแตะเข้าไปหาแร็กนาร์ด้วยความอิ่มเอิบใจ


“เจ้าตัวเล็กนี่ฉลาดจริงๆ เลือกแร็กนาร์เป็นแม่สินะ ฮ่าๆๆ” ยาจิได้ทีเอ่ยยุแหย่แร็กนาร์เล็กน้อยเมื่อเดาจากท่าทางของเจ้านกตัวจ้อยที่กำลังเดินเข้าไปหาแร็กนาร์ ส่วนคนที่เหลือก็ส่งเสียงชื่นชมมันอยู่ไม่ขาดปากมีเพียงแร็กนาร์เท่านั้นที่นั่งเงียบมองมันด้วยสายตานิ่งๆ แต่กระนั้นเจ้านกตัวจ้อยก็ยังเดินต่อไปโดยไม่สนใจสิ่งใด จนถึงขอบโต๊ะที่ใกล้แร็กนาร์มากที่สุดจนได้


“เก่งมาก” คำชมสั้นๆออกจากปากแร็กนาร์ดูเหมือนจะทำให้มันมีความสุขมากกว่าคำชมของคนอื่น


“กรู้  กรู้ กรู้” เจ้านกน้อยส่งเสียงร้องอย่างยินดีอยู่หลายครั้ง เพราะได้รับคำชม  และยังได้รับรอยยิ้มบางๆจากแร็กนาร์อีก เขายกมันขึ้นมาไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง เพราะตัวของมันขนาดพอเหมาะที่จะประคองไว้ด้วยสองมือเล็กๆของเขา แล้วหมุนมันหันหันซ้ายหันขวานั่งมองอย่างพินิจพิจารณา


“โอ๊ะ นกกระจอกสินะ ใช่ต้องใช่แน่ๆ...ใช่ไหมเจ้าโก” แร็กนาร์ยิ้มกว้างด้วยความมั่นใจ  เมื่อพิจารณามันอย่างถี่ถ้วน


“กรู้ กรู้” เจ้านกน้อยที่ถูกแร็กนาร์เรียกว่า  โก  กระพือปีกอย่างยินดีดังตอบรับกับคำกล่าวเมื่อครู่ของแร็กนาร์


แต่สีหน้าของผู้คนรอบด้านต่างออกมาในรูปแบบเดียวกัน   เพราะชื่อและลักษณะของสัตว์ปกติในโลกใบนี้ไม่ต่างจากโลกเดิมเลย    ทุกคนจึงเข้าใจดีว่าแร็กนาร์หมายถึงนกชนิดใด  และนั่นยิ่งทำให้พวกเขาตระหนักได้ว่า


แร็กนาร์ไร้ซึ่งไหวพริบในการแยกแยะประเภทของนกอย่างสิ้นเชิง!!


แต่ภาพตรงหน้ากลับงดงามเกินกว่าที่จะขัดได้ลง   เพราะแร็กนาร์ที่แย้มยิ้มกว้างดังเด็กน้อยที่ได้ของเล่นชิ้นใหม่มันช่างหาดูได้ยากเสียจริงๆ  และดูเหมือนเจ้านกน้อยโกเองก็ไม่ได้รู้สึกแย่ต่อการตัดสินใจของแร็กนาร์  พวกเขาก็เลยตกลงกันผ่านทางสายตาว่าจะปล่อยให้พวกนั้นเข้าใจผิดกันเช่นนี้ต่อไป


สุดท้ายเจ้านกน้อยจึงกลายเป็นนกกระจอกของแร็กนาร์โดยปริยาย...




To Be Continued...

____________________________________________

สวัสดีค่ะ หายไปนานเลย  วันนี้เรามาไล่ลงใครครบทันกับที่ลงไว้ในเว็บอื่นแล้วนะคะ
เข้ามาอ่านกันแล้วช่วยคอมเม้นท์ติชมกันด้วยน้าาา

พูดคุยและทวงนิยายได้ที่>>>https://www.facebook.com/greenheadzoro/

 

   

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-11-2016 11:25:26 โดย GreenHead(หัวเขียว) »

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
ไม่น่าใช่นกกระจอกนะ

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
แรกนาร์เป็นแม่แว้ววว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ zuu_zaa

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3

ออฟไลน์ nottto

  • MaxNuzz
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ว๊าาาา!! อ่านทันแบ้ววว!! สนุกมากๆครับ มาต่อไวไวนะค้าบบบบ

ออฟไลน์ GreenHead(หัวเขียว)

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
    • Green Head - หัวเขียว
ตอนพิเศษที่ 1
ร่องรอยของความสุข
(เอจิXยาจิ) NC18+


ผู้คุมพิเศษ ตำแหน่งพิเศษดังชื่อที่เรียก  หน้าที่ของพวกเขาคือ การเฝ้าคุกพิเศษซึ่งใช้สำหรับขังผู้มีตำแหน่งระดับหัวหน้าหน่วย และหน้าที่ของพวกเขาสืบทอดมารุ่นๆต่อรุ่นโดยผ่านทางสายเลือดของ  2 ตระกูลใหญ่


ผู้สืบทอดปัจจุบันคือ  โนบุ ยาจิ  และ โนริ  เอจิ  สองผู้คุมที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งกว่าทุกรุ่นที่ผ่านมา แต่กระนั้นพวกเขาก็อายุเพียง 19 ปี  ความรู้สึกนึกคิดจึงเป็นเพียงเด็กที่กำลังจะเป็นผู้ใหญ่เท่านั้น เมื่อภาระหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่มาพร้อมกับข้อบังคับที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง พวกเขาจึงจำต้องเติบโตโดยผ่านความผิดพลาดมากมาย


หน้าที่นี้แม้ไม่ต้องการแต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้...


สองร่างเปลือยเปล่านอนคุดคู้อยู่บนฟูกนอน พวกเขาอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน เอจิขยับตัวนอนตะแคงแล้วยกหัวขึ้นพร้อมนำมือมาเท้าคาง  มองคนนอนข้างกายที่หลับตาพริ้มอย่างรักใคร่   ใบหน้าที่ใครต่างเกรงกลัวแต่สำหรับเขามันกลับน่าหลงใหลจนไม่อาจละสายตาได้ เขายื่นมือหยาบกระด้างข้างที่ว่างอยู่นั้นไปลูบไล้ร่องรอยของบาดแผลที่เกิดจากดาบของตน แผลเป็นบนใบหน้าเริ่มตั้งแต่แก้มซ้ายใต้ดวงตาจนถึงปลายคาง ใครหลายๆคนอาจจะคิดว่าแผลมีเพียงเท่านี้ แต่ในความเป็นจริงมันยาวจนถึงอกแกร่งด้านซ้ายใกล้ตำแหน่งของหัวใจ


ปากเผยยิ้มบางๆพร้อมมือที่ลูบไล้ไปทั่วบาดแผลบริเวณใบหน้าอย่างนุ่มนวล  พาความคิดมากมายหลั่งไหลให้คิดถึงอดีตที่ผ่านมา ระลึกถึงความทรงจำที่ขมขื่นแต่กลับหอมหวานเมื่อมีคนข้างกายคอยอยู่เคียงข้าง


.


.


.


6  ปีก่อน


ในวันนั้นเอจิอายุเพียง  13 ปี   เขาหันคมดาบใส่พ่อของคน เพราะความขมขื่นในการฝึกฝนอย่างหนักตั้งแต่จำความได้ สำหรับเขาแล้วความคิดนี้ก่อเกิดเพราะพ่อฝึกเขาดังเป็นแค่เครื่องมือ  ไม่ได้ให้ความรักเช่นครอบครัวอื่นๆ เวลาผ่านเลยโดยไร้ซึ่งเพื่อน ได้แต่เฝ้ามองผู้คนรอบกายที่อยู่ในช่วงวัยเดียวกันใช้ชีวิตอย่างสงบสุข


ผู้ที่คอยอยู่เคียงข้างมีเพียงยาจิที่ได้ชื่อว่าคู่หูของเขา  พวกเขาอยู่ในสถานะเดียวกัน ยาจิอาศัยอยู่ร่วมกับครอบครัวเขาตั้งแต่  1  ปีก่อน  เพราะสูญเสียครอบครัวเพียงคนเดียวอย่างพ่อของเขาไปในเหตุการณ์โจมตีกลุ่มยาฉะในเวลานั้น


ตระกูลของพวกเขาเล็กลงเมื่อเวลาผ่านเลยไป  เพราะมีหลายครอบครัวย้ายไปอยู่ที่อื่น  ไม่ก็สูญเสียในเหตุการณ์สำคัญต่างๆ  ตระกูลทั้งสองสืบทอดสายพันธุ์เสือโคร่งซึ่งเป็นเสือที่มีขนาดใหญ่ที่สุด  และไม่มีโอกาสเลยที่จะเกิดสายพันธุ์อื่น เพราะกฎเพื่อความแข็งแกร่ง และเพื่อสืบทอดเพลงดาบประจำตระกูลที่เกิดขึ้น พวกเขาจึงถูกจำกัดให้แต่งงานในสายพันธุ์เดียวกัน


แม้รูปกายภายนอกจะไม่แตกต่าง แต่สิ่งหนึ่งที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงของพวกเขาทั้งสองคือนิสัยใจคอ และปณิธานที่จะมีชีวิตอยู่ ยาจิต้องการสืบทอดตำแหน่งพิเศษนี้ตามรอยพ่อของตน


แต่เอจินั้นไม่ใช่  เขาต้องการใช้ชีวิตเช่นปีศาจตนอื่นๆที่ไร้ภาระหน้าที่ เขาต้องการอิสระ และไม่อยากรับการฝึกที่โหดร้ายดังที่ผ่านมา กระนั้นเขาก็ไม่มีความกล้ามากพอที่จะปฏิเสธมัน เพราะแม้หากเอ่ยออกไป   เขาก็กลัวเหลือเกินว่าตนจะถูกลงโทษอย่างโหดเหี้ยม


จนถึงวันนี้ดังความอดทนถึงขีดสุด และยังได้รับโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง  ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยชนะพ่อของตนด้วยดาบไม้สำหรับใช้ฝึกแม้แต่ครั้งเดียว แต่ตอนนี้ดาบที่สองประกายวาววับในมือคือดาบจริง  ด้วยความคิดว่ามันต้องแตกต่างจากทุกครั้ง   และความหน้ามืดตามัวเขาจึงพุ่งเข้าใส่พ่อของตนอย่างไม่คิดชีวิต 


เอจิออกท่วงท่าดาบประจำตระกูลที่ดุดันตามแบบฉบับของมันพุ่งทะยานเข้ามาพ่อของตนอย่างไร้ซึ่งความกลัว  พวกเขาผลัดกันรุกรับด้วยความรวดเร็ว  คนหนึ่งฟาดฟัน  อีกคนหนึ่งรับดาบของอีกฝ่ายด้วยดาบในมือตนแล้วปัดออก   ทุกท่วงท่าต้องมุ่งไปที่จุดตาย  เอจิใช้ความสามารถทั้งหมดในการประลองครั้งนี้  ความคิดที่ไม่ควรเกิดขึ้นผุดขึ้นในหัว...หากท่านพ่อตายล่ะก็  ข้าก็จะเป็นอิสระ!!


ยิ่งความคิดเช่นนั้นเข้าครอบงำเขาก็ยิ่งเพิ่มกำลังในแต่ละท่วงท่าให้หนักหน่วงขึ้น กำลังของชายหนุ่มวัยกำลังโตย่อมมีมากกว่าชายแก่ชรา ทั้งยังบาดเจ็บเรื้อรังจากเหตุการณ์เมื่อหนึ่งปีก่อนอยู่แล้ว แม้เจ้าตัวจะไม่เคยแสดงอาการบาดเจ็บนั้นต่อหน้าลูกชายของตนเลยก็ตาม เพราะไม่เคยมีการต่อสู้ครั้งใดที่ยืดเยื้อเท่าครั้งนี้มาก่อน  อาการบาดเจ็บจึงไม่อาจปิดบังได้อีก


ยาจิที่นั่งเฝ้ามองการประลองของสองพ่อลูกอยู่มุมหนึ่งของโรงฝึก เขาจดจ้องการต่อสู้ตรงหน้าอย่างจดจ่อ เพราะรับรู้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ตั้งแต่เอจิเริ่มหมายชีวิตพ่อของตน จนถึงตอนนี้ที่พ่อของเอจิเริ่มแสดงอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้า


สถานการณ์บีบบังคับ ให้คนเป็นพ่อเผลอแสดงใช้ท่าพลิกแพลงที่ตนคิดขึ้นเอง  และไม่ได้สอนเด็กน้อยเพื่อให้เขาได้เรียนรู้มันด้วยตนเองเข้า ดาบเสียดสีกันจนเป็นประกาย ดาบสองเล่มพลิกผันกันไปมา  จนปลายของดาบที่อยู่ในมือพ่อประกบติดเข้ากับดาบในมือลูกชาย เขาตรึงดาบให้ประกบติดสอดประสานดังดาบทั้งสองเป็นดาบเล่มเดียวกัน แล้วก้าวเท้าเลื่อนไปข้างหน้าโดยเบี่ยงดาบออกไปด้านข้างให้ห่างจากตัวเองเพียงคืบ ดาบในมือจึงเลื่อนไปถึงด้ามจับดาบของลูกชาย


เอจิไม่อาจขัดขืนได้เพราะไม่ทันตั้งตัว ทั้งแรงในการประชิดตัวครั้งนี้มากเกินไป จนเขาไม่อาจขยับดาบไปทางใดได้ จึงตัดสินใจทิ้งฝักดาบในมืออีกข้าง แล้วมาจับดาบด้วยมือทั้งสองข้างเพื่อออกแรงให้ได้มากกว่าเดิม นั่นทำให้มือที่ถือฝักดาบของคนเป็นพ่อหวดเข้าใส่  เป้าหมายคือคอของเอจิ แต่มันกลับหยุดชะงักเมื่ออยู่ห่างเพียงช่วงลมหายใจ...มีหรือพ่อที่ฆ่าลูกของตนได้ลงคอ หากฝักดาบหวดไปที่ลำคอนั้นอย่างเต็มแรงคอของเอจิคงหักอย่างไม่อาจเลี่ยงได้


พ่อชะงักเพียงชั่วครู่  แล้วกระโดดถอยหลังอย่างลืมตัวด้วยเพราะตกใจในการกระทำของตนเอง มันพาให้ขานั้นลงพื้นอย่างผิดวิธี แผลที่ข้อเท้าจึงเกิดการฉีดขาดจนปวดร้าว เพราะละความสนใจไปสนที่อาการบาดเจ็บรู้สึกตัวอีกครั้งเอจิก็พุ่งเข้าใส่ด้วยดาบจริงในมือพร้อมจิตสังหารที่พวยพุ่ง


กว่าเขาจะรู้สึกตัวว่าตนทำสิ่งใดกับลูกชายลงไป ก็ถึงวินาทีของความเป็นตายเสียแล้ว ภาพตรงหน้าที่ลูกชายต้องการจะสังหารตน พร้อมภาพในอดีตที่ตนปฏิบัติตนกับลูกอย่างเข้มงวดพวยพุ่งเข้ามาภายในสมองในช่วงเวลานั้น เขาจึงทำใจยอมรับชะตากรรมที่เกิดขึ้น เพียงหลับตาลงโดยไม่คิดขัดขืน รอรับความตายด้วยใจที่ผ่อนคลาย หวังเพียงการตายของตนในครั้งนี้จะช่วยชำระความโกรธแค้นของลูกชายให้เบาบางลงไปได้บ้าง แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี


ฉั๊วะ


เลือดสีแดงฉานไหลย้อมคมดาบ ทั้งยังกระเด็นเป็นวงกว้างกระจายไปทั่วห้อง ร่างเล็กที่มีรูปร่างไม่ต่างจากเขาล้มลงด้วยใบหน้า  และลำตัวที่ย้อมด้วยเลือดสีแดงฉาน  ดาบในมือของเอจิร่วงหล่น ใจหายวูบ ชั่ววินาทีที่รู้ว่าคนตรงหน้าสำคัญสำหรับตน ก็เป็นช่วงเวลาที่เขากำลังจะสูญเสียมันไปเช่นเดียวกัน


“ยาจิ!!” เอจิถลาเข้าประคองกอดร่างที่ล้มลงกับพื้นพร้อมเลือดที่รินไหลพาให้เขาตระหนกตกใจจนทำสิ่งใดไม่ถูก กอดร่างนั่นแล้วพร่ำขอโทษครั้งแล้วครั้งเล่าดังคนเสียสติ


“หึหึ ข้าไม่ได้เป็นอะไรเจ้าคนโง่...ข้าจะตาย...เพราะเจ้ากอดข้าแน่นเกินไปนี่แหละ...เอจิ” เสียงเบาหวิวเอ่ยออกจากปากคนที่อยู่ในอ้อมกอด  แม้คำกล่าวจะเป็นเช่นหยอกล้อดังปกติ  แต่เสียงกับติดขัดและเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน


“ยาจิ แผลเจ้า...เลือด ฮึกๆ”  เขาผละตัวออกเมื่อได้ยินเสียงของคนในอ้อมกอด  นั่นทำให้เขาพินิจร่างกายของยาจิได้อย่างเต็มตา แผลลากยาวจากแก้มซ้ายไปจนถึงปลายคาง แล้วมีร่องรอยต่อจนถึงอกแกร่งที่ไม่ไกลบริเวณหัวใจ ทำให้ร่างกายเขายิ่งแข็งทื่อจากภาพที่เห็น ภาพการจากลาเกิดขึ้นในใจ  เอจิกำลังโทษตัวเองที่ขลาดเขลาจนทำเรื่องที่ไม่สมควรลงไป


“เป็นชายใยร้องไห้ง่ายๆ...เช่นนี้...อึก...คนที่เจ้าควรขอโทษคือพ่อของเจ้า...ไม่ใช่...อึก ข้า” เสียงหอบหายใจที่แรงขึ้นเรื่อยๆทำให้เสียงนั้นติดขัด แต่กระนั้นยาจิก็ไม่มีทีท่าจะหยุดพูด  เขาต้องการเตือนสติของเอจิให้คิดทบทวนความผิดของตน ใบหน้าที่เริ่มซีดขาวเพราะเสียเลือดนั้นจึงยังประดับด้วยรอยยิ้มบางๆที่ริมฝีปาก


“เจ้าลูกโง่ รีบพายาจิไปหาท่านหมอเร็ว!!” พ่อของเขาตะโกนขึ้นหลังจากตั้งสติได้  หลังจากลืมตาขึ้นภาพตรงหน้าก็พาให้เขาตกใจ เพราะไม่คิดว่ายาจิจะเข้ามาขวางเอาไว้ ในมือไร้อาวุธ จึงต้องใช้ร่างกายขัดขวาง  และเมื่อมีการต่อสู้เสียงของเด็กน้อยจึงไม่อาจส่งเข้ามาถึงได้ไม่มีทางเลือกอื่นแต่เด็กน้อยก็เสียสละมันเพื่อคนสำคัญ พ่อยืนสังเกตการณ์อยู่ชั่วครู่เมื่อไม่เห็นลูกชายทำสิ่งใดจึงได้กล่าวเตือน


“ท่านพ่อ ข้า ข้า...”


“ไปได้แล้ว!!” เขาสับสนด้วยสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นภายในใจ จึงต้องการกล่าวขอโทษ แต่มันกลับยากกว่าที่คิดไว้ น้ำเสียงนั้นจึงเต็มไปด้วยความติดขัด พ่อที่รู้เรื่องนี้ดีจึงเอ่ยขัดขึ้น  เพราะหากเริ่มพูดคุยกันเรื่องของพวกเขาคงไม่จบลงง่ายๆ เมื่อรู้ตัวดีว่าตนเองกก็กระทำผิดในช่วงวินาทีแห่งความเป็นตายเมื่อครู่  เขาจึงตระหนักถึงความรู้สึกของลูกชายมากขึ้น


“ครับ”  เอจิกล่าวเพียงแค่นั้น แล้วรีบอุ้มร่างของคนที่จวนเจียนจะหมดสติเต็มทีไว้ด้วยแขนทั้งสองข้างที่แข็งแกร่ง  รีบเร่งวิ่งตรงไปยังโรงหมออย่างไม่คาดคิดว่าตนจะวิ่งได้เร็วขนาดนี้มาก่อน


.


.


.


ยาจินอนสลบไสลด้วยฤทธิ์ยานอนหลับ  และเพราะเสียเลือดไปมากเขาจึงไม่มีท่าทีว่าจะตื่นขึ้นมาในเร็วๆนี้  ผ้าสีขาวสะอาดถูกพันไปทั่วใบหน้าและลำตัวซึ่งมีรอยแผลที่เกิดจากดาบยาวเป็นทาง


เอจิมองภาพนั้นอย่างไม่วางตา อาจเพราะได้เรียนรู้ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากความขาดเขลาของตนเอง  เอจิจึงได้ใช้เวลาเหล่านี้ในการคิดทบทวนถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น


พ่อของเขาเองก็มองลูกชายอยู่ห่างๆยังไม่อยากเข้าไปก้าวก่ายปัญหาของลูกชายในตอนนี้ เขาเองก็ยังต้องคิดทบทวน   เพราะเขารู้ดีว่าเอจิไม่ต้องการสืบทอดหน้าที่นี้  แต่ก็ยังให้เอจิฝึกฝนอย่างหนัก  ทั้งยังทำตัวเย็นชาเพื่อหวังให้ลูกชายของตนเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น และแปรเปลี่ยนใจเมื่อได้ฟังคำสั่งสอนของตนทุกวัน แต่หารู้ไม่ว่าเมื่อยิ่งทำเช่นนั้น  เอจิยิ่งถอยห่าง


เหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นเครื่องยืนยันอย่างดีว่า  ความรู้สึกของเด็กน้อยถึงขีดสุดแล้ว  ตลอดหลายปีที่ผ่านมาพวกเขาสองพ่อลูกพบเจอหน้ากันเพียงยามฝึก   พูดคุยกันก็เพียงเรื่องการฝึกและตำแหน่งสำคัญที่ต้องสืบทอด ทุกวันคิดเพียงว่าจะทำเช่นไรให้ลูกชายของตนแข็งแกร่งขึ้นทั้งร่างกายและจิตใจ จนทนรับกับสถานการณ์กดดันที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าได้  ไม่มีเวลาใดเลยที่พวกเขาพูดคุยตามประสาพ่อลูกเฉกเช่นครอบครัวอื่นๆ


“พ่อทำผิดมามาก...คงต้องตัดสินใจใหม่แล้ว” เขากล่าวเพียงเท่านั้นแล้วเดินออกจากมุมมืดที่ใช้แอบมองลูกชายของคนเดินกลับไปเรือนพักด้วยสีหน้าครุ่นคิดอย่างหนัก   ปล่อยให้เด็กน้อยทั้งสองได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันตามลำพัง


.


.


.


หลังจากวันนั้นผ่านมาได้  3  วัน  ยาจิก็ฟื้น  หลังจากตื่นขึ้นมาก็ต้องโกรธเกรี้ยว  เพราะคนที่เฝ้าเขาอยู่มีท่าทีอิดโรยดังไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาหลายวัน


“เอจิ เจ้าบ้านี่จะมาล้มป่วยตามข้าไปอีกคนเรอะ”  เสียงติดแหบนิดๆเพราะไม่ได้ดื่มน้ำมาหลายวันดังขึ้น  พาให้คนที่นอนฟุบอยู่กับเตียงผู้ป่วยลืมตาตื่นขึ้นด้วยความตกใจ


“ยาจิเจ้าฟื้นแล้ว” พอตั้งสติได้แม้ยังไม่ตื่นเต็มตา  เขาก็ยังแสดงสีหน้าแห่งความยินดีออกมา


“ก็ใช่น่ะสิเจ้าบ้า  ทำไมปล่อยให้ตนมีสภาพเช่นนี้...อื้อ...ปล่อย” ยาจิยังกล่าวไม่จบ  เอจิก็กอดร่างนั้นอย่างไม่ทันตั้งตัว  มือหยาบกร้านลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลัง  ดังกำลังสัมผัสเพื่อบอกตนเองว่า คนตรงหน้ายังมีชีวิตอยู่ ยาจิขัดขืนเล็กน้อย  แต่เมื่อรับรู้ถึงการสัมผัสที่ห่วงหา ทำให้เขาหยุดขัดขืนแล้วปล่อยให้เอจิกอดตนอยู่เช่นนั้นจนพอใจ


“พอแล้ว...ข้าหิวน้ำ” เมื่อรู้ได้ว่าเอจิใจสงบลงแล้ว  ยาจิจึงกล่าวบอกเพราะตนกระหายน้ำมากจริงๆ


“ขอโทษ”  เอจิกล่าวสั้นๆแล้วจึงเดินไปเทน้ำใส่แก้วที่วางอยู่บนชั้นวางข้างเตียง แล้วนำมันมาให้ยาจิดื่ม โดยมีเขาเป็นคนป้อนไม่ยอมให้ยาจิยกดื่มเอง


ยาจิดื่มน้ำจนคอชุ่มชื้นแล้วจึงดันแก้วออกเบาๆ   เพื่อให้เอจิได้รู้ว่าตนดื่มน้ำจนพอใจแล้ว เห็นดังนั้นเอจิก็รับรู้ได้ เขาจึงนำแก้วไปวางไว้ที่เดิม    จากนั้นก็หยิบผ้าสีขาวสะอาดมาเพื่อเช็ดปากที่เพราะเปื้อนน้ำจากการดื่มน้ำเมื่อครู่ของยาจิ


มือหยาบกร้านค่อยๆบรรจงเช็ดริมฝีปากนั้นเบาๆ ตาก็จดจ้องริมฝีปากนั้นอย่างไม่วางตา แต่แล้วเขาก็ต้องหยุดการกระทำของตน เพราะริมฝีปากนั้นเม้มเข้าหากันดังกำลังไม่แน่ใจในอะไรบางอย่าง เอจิจึงเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของใบหน้าที่แดงซ่าน


ยาจิตกใจเล็กน้อยที่เอจิบรรจงเช็ดปากให้เขา ทั้งที่ยามปกติเอจิจะสนใจเพียงตนเอง ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง เขาเฝ้ามองเอจิมาตลอดหลายปี จึงคิดว่าตนเข้าใจดีว่าเอจิมีนิสัยอย่างไร เพราะอย่างนั้นแม้เขาจะไม่ได้รับความสนใจจากเอจิมากนัก แต่เขาก็คอยอยู่เคียงข้างและคอยเป็นกำลังใจให้เอจิเสมอมา...เป็นรักข้างเดียวที่ไม่หวังผลตอบแทนใดๆ เวลานี้เขาจึงตกตะลึงที่เอจิทำสิ่งที่เขาไม่คาดคิด ทำให้ไม่อาจเก็บสีหน้าและแววตาที่ปิดซ่อนเอาไว้ได้อีก


ใบหน้าที่จดจ้องริมฝีปากค่อยๆเงยขึ้น จนตอนนี้พวกเขาต้องจ้องมองสบตากัน ความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นช้าๆอย่างไม่รู้ตัวแจ่มชัดขึ้นไปอีกขั้น เอจิใช้มือที่กำลังเช็ดริมฝีปากนั้นประคองใบหน้าของยาจิที่กำลังจะเบือนหน้าหนีให้จ้องมองสบตาเขาตรงๆ จากนั้นก็ขยับเข้าใกล้จนริมฝีปากเบียดชิด แล้วค่อยๆละเมียดละไมริมฝีปากนั้น เขาจูบลงบนริมฝีปากของยาจิที่ขึ้นสีน้อยๆอย่างแผ่วเบา ดังกลัวว่าอีกคนจะเจ็บระบมไปจึนถึงบาดแผล เพียงไม่นานเขาก็ผละออกอย่างช้าๆ จากนั้นใช้ลิ้นโลมเลียริมฝีปากที่แดงปลั่งเพราะจูบเมื่อครู่ ดังอยากเข้าไปสัมผัสภายใน


ในหัวของยาจิขาวโพลน เพราะไม่ทันคาดคิดว่าเหตุการณเช่นนี้จะเกิดขึ้น อยากจะผลักใสเมื่อไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดสิ่งใดอยู่ แต่เมื่อได้มองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความต้องการนั้น เขาจึงยอมเปิดริมฝีปากออก


ไม่รอช้าลิ้นร้อนก็เข้าไปสำรวจในโพรงปากอย่างใจต้องการ เขาควานลิ้นไปทั่วโพรงปากเพื่อเก็บเกี่ยวความหวานที่อยู่ภายใน จากอ่อนโยนเป็นหนักหน่วงตามแรงปรารถนาที่เพิ่มขึ้น จนอีกฝ่ายตอบรับไม่ทันในอารมณ์ที่เปลี่ยนไปนี้ ยาจิไม่เคยถูกรุกล้ำเช่นนี้มาก่อน เขาจึงไม่รู้วิธีหายใจ ได้แต่อ้าปากใช้ลิ้นตอบรับอย่างไม่ประสีประสา น้ำลายเหนียวเหนอะจึงไหลออกมาที่มุมปากอันบวมแดง เพราะแรงปรารถนาที่โหมใส่อย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่ายๆ


มือที่จิกลงไปบนผ้าเตียงละออกแล้วทุบไหล่คนที่จาบจ้วงให้รู้ว่าตนรับมากกว่านั้นไม่ไหวแล้ว เขากำลังจะขาดอากาศหายใจ เอจิจึงยอมผละออกอย่างอ้อยอิง ความรู้สึกเสียดายทำให้เขาถอนจูบออกอย่างช้าๆ เช่นนั้นจึงได้มองใบหน้าที่แดงซ่าน และริมฝีปากบวมแดงที่อ้าออกเพื่อกอบโกยอากาศหายใจ ซึ่งมีน้ำลายไหลรดที่มุมปากอย่างเย้ายวนนั้นได้อย่างเต็มตา จนไม่อาจอดใจไหว ไม่รอช้าเขาจึงขยับเข้าไปเลียน้ำลายนั้นเข้าปากของตนอย่างไม่คิดรังเกียจ นั่นยิ่งทำให้ใบหนาที่แดงอยู่แล้วแดงขึ้นไปอีก


ทั้งสองจ้องหน้ากันอยู่เช่นนั้นไม่ได้ถอยห่าง เพื่อสื่อความรู้สึกของตนให้อีกฝ่ายได้รับรู้ จนเวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจทราบ อาการของพวกเขาจึงกลับเป็นปกติ แต่กระนั้นก็ไม่มีใครกล้าเปิดปากพูดคุยก่อน ยาจิที่ปากไม่ตรงกับใจ แต่กล้ากล่าวทุกอย่างออกมาตรงๆเมื่ออยู่ต่อหน้าเอจิ เวลานี้กลับไม่กล้ากล่าวสิ่งใดออกไป และเอจิเองที่นั่งลงบนเก้าอี้ก็มองมายังเขาอย่างไม่ละสายตาไปไหนจึงทำให้รู้สึกกดดันไปทั่งร่าง


“ข้าไปขอโทษท่านพ่อแล้ว” เอจิที่ได้มองท่าทางที่หาดูได้ยากของยาจิเมื่อครู่จนพอใจแล้ว จึงเป็นผู้ที่เปิดปากพูดคุยก่อน


“อืม ดีแล้ว” แม้จะตั้งรับสถานการณ์ไม่ถูก แต่เสียงแผ่วเบานั้นก็ยังตอบออกไป


“ท่านพ่อก็กล่าวขอโทษข้าเช่นเดียวกัน ที่ท่านทำหน้าที่พ่อไม่ดีพอ...และมีข้อเสนอให้ข้าไปเปลี่ยนตัวกับพี่ชายที่เขตชายแดนหากไม่ต้องการเป็นผู้คุมพิเศษอยู่ที่นี่” เขากล่าวต่อเมื่อเห็นว่าอีกคนตั้งใจฟังแล้ว และเฝ้าสังเกตสีหน้าของอีกฝ่ายไปด้วย จากยิ้มดีใจในตอนแรกเปลี่ยนเป็นเศร้าสลดอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินประโยคหลัง


“เจ้าจะไปอย่างนั้นรึ” อาจเพราะอาการบาดเจ็บจึงทำให้อารมณ์ของยาจิอ่อนไหวกว่าปกติ ใบหน้าที่ใครๆต่างก็บอกว่าน่ากลัวกำลังมีน้ำตาคลอดวงตาสีแดงนั้นอย่างไม่อาจห้ามมันไว้ได้


เอจิยื่นมือไปเช็ดน้ำตาที่คลอออกมาน้อยๆอย่างแผ่วเบา แล้วยิ้มออกมาอย่างยินดี...ทำไมกันนะ หากเขาสังเกตมันให้เร็วกว่านี้สักเพียงนิด เขาคงได้เห็นใบหน้าที่หลากหลายของยาจิมากกว่านี้เป็นแน่


“ข้าปฏิเสธไปแล้ว” คำตอบที่ไม่คาดคิดทำให้ยาจิเปลี่ยนสีหน้าเป็นตกใจอย่างรวดเร็ว
“ทำไม” เขาถามอย่างสงสัยเพราะค้างคาใจ...เขารู้ดีว่าเอจิไม่ต้องการสืบทอดตำแหน่งผู้คุมพิเศษ นั่นทำให้เขาต้องคอยปลอบโยนเอจิเสมอมา จึงอดที่จะรู้สึกสงสัยไม่ได้


“ข้าไม่อยากแยกจากเจ้า เพราะเจ้าคงไม่อาจละทิ้งเจตนารมณ์ของตนแล้วตามข้าไปเป็นแน่”  เอจิตอบออกไปตามตรง นั่นจึงทำให้ยาจิขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่พอใจ


“เจ้าควรทำตามใจต้องการ...ควรเลือกทางที่ตนมีความสุข” แม้จะอยากรั้งอีกคนเอาไว้มากมายเพียงใด แต่เขาก็ไม่อยากเห็นสีหน้าทนทุกข์ของคนที่ตนรักอีกแล้ว แม้ต้องเสียใจในภายหลัง...เขาก็ควรจะปล่อยมือ


“ใจข้าอยู่ที่นี่ ข้ารู้แล้วว่าเจ้าคือความสุขของข้า...ข้ารักเจ้ายาจิ ช่วยอยู่เคียงข้างขาตลอดไปได้หรือไม่” คำตอบและคำถามนั้นสื่อมาพร้อมแววตาที่จริงจัง หนักแน่นในการตัดสินใจของตัวเอง จนคนฟังไม่อาจขัดสิ่งได้ได้แต่ยิ้มรับทั้งน้ำตาที่รินไหลอาบแก้มด้วยความยินดี


“ฮึก ฮึก...ทำไมจะไม่ได้เล่า...เจ้าคนโง่...ข้าเองก็รักเจ้ามาตลอด ฮือ” คำสารภาพทั้งน้ำตานั้นล้ำค่าสำหรับพวกเขาทั้งสอง เป็นภาพอันตราตรึงใจที่ไม่มีทางลบมันออกไปได้อย่างแน่นอน


พวกเขาสวมกอดกันเพื่อซึมซับไออุ่น...การเลือกในครั้งนี้ไม่ใช่การฝืนใจ แต่เป็นการแลกเปลี่ยนเพื่อความสุขที่มากกว่าต่างหาก หากไม่มีอีกคนอยู่ข้างกาย แม้จะใช้ชีวิตได้อย่างอิสระเพียงใด...ความสุขอย่างสุดใจเช่นนี้คงไม่อาจมีได้อีก


.


.


.


ปัจจุบัน


“ทำอะไรของเจ้า” ผู้ที่นอนหลับตาพริ้มตื่นขึ้น เพราะรับรู้สัมผัสของมือที่เกลี่ยอยู่บนใบหน้าของตน


“กำลังคิดถึงเรื่องราวในอดีต ที่ทำให้เจ้าได้รอยแผลนี้” มือหยาบกร้านยังไม่หยุดลูบไล้ ราวกับว่าจะสัมผัสมันให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้


“เสียใจอยู่รึ” คำถามออกจากปากด้วยรอยยิ้ม ดังรู้คำตอบของเอจิอยู่แล้ว


“ดีใจอยู่ต่างหาก” กล่าวจบเอจิก็ละมือจากรอยแผลนั้น แล้วใช้มือพยุงตัวให้ขึ้นไปค่อมบนร่างของอีกคนไว้แทน ทำให้ผ้าห่มที่คลุมกายอยู่ร่วงหล่นจากตัวของพวกเขาไปตกอยู่ด้านข้างแทน เผยให้เห็นร่างเปลือยเปล่าของทั้งคู่อย่างเต็มตา


“ในตอนนั้น...จูบแรกของเจ้าช่างน่ารัก และไร้เดียงสา” ดวงตาของทั้งสองจดจ้องกันอย่างไม่มีใครยอมใคร มันสื่อความต้องการออกมาอย่างชัดเจน


“แล้วตอนนี้เล่า” ยาจิก็ตอบกลับทั้งยังจับจ้องดวงตานั้นอยู่ มันช่างดูเย้ายวนในสายตาของคนที่อยู่ด้านบนเป็นอย่างยิ่ง


“ช่างน่าหลงไหลและเย้ายวน...จนข้ารักมันอย่างไม่อาจถอนตัวได้” กล่าวจบริมฝีปากของทั้งสองก็บดเบียนดันอย่างไม่มีใครยอมใคร ความเร่าร้อนแผ่ขยายออกไปทั่วห้อง เสียงดูดดึงริมฝีปาก และลิ้นร้อนนั้นก็เล็ดรอดออกมาให้ได้ยินอย่างไม่ขาดสาย ต่างคนต่างรุกไล่อย่างไม่ยอมแพ้ราวกับสัตว์ที่เต็มไปด้วยความต้องการ


ลิ้นร้อนตวัดเกี่ยวกันไปมา แลกเปลี่ยนของเหลวในปากอย่างโหยหา มือหยาบกร้านก็ทำหน้าที่ของมันเป็นอย่างดี ลูบไล้ไปทั่วสะโพกกลมทั้งสองข้าง ร่างกายส่วนล่างก็บดเบียดกันไปมาจนส่วนอ่อนไหวโปร่งพอง มือของคนที่อยู่ด้านล่างก็โอบรอบคอของเอจิดังบอกว่าต้องการมากกว่านี้

...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-12-2016 20:43:54 โดย GreenHead(หัวเขียว) »

ออฟไลน์ GreenHead(หัวเขียว)

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
    • Green Head - หัวเขียว
...

เอจิละริมฝีปากที่กำลังจูบกันอย่างเร่าร้อน แล้วหันมาขบกัดใบหูที่ขึ้นสีแดงเพราะความซ่านที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้แทน


“อื้อ” ร่างนั้นกระตุกเกร็งเมื่อรับรู้ถึงลิ้นร้อน มือที่โอบรอบคอก็เปลี่ยนเป็นจิกลงไปที่เส้นผมของเขาเพื่อระบายความเสียวซ่านที่เกิดขึ้น


“จุดอ่อนของเจ้ายังอยู่ที่ใบหูไม่เปลี่ยนเลย” ท่าทางตอบรับเมื่อครู่ทำให้เอจิรู้สึกสนุกมากขึ้น จากคนขลาดเขลาและอ่อนโยน แปรเปลี่ยนเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ที่ชอบกลั่นแกล้งคู่ของตนตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่อาจทราบ ยิ่งรู้ว่าทำเช่นไรยาจิจึงจะเผยความลับของร่างกายนั้นให้ตนได้รับรู้มากขึ้นก็ยิ่งทำ


“อื้อ...พอ อ๊า” ใบหน้านั้นเหยเกด้วยความเสียวซ่าน เพราะถูกกระตุ้นจุดอ่อนไหว ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าใบหูของเขาอ่านไหวไม่แพ้กลางกายเลย


“เจ้าลองเสร็จทั้งที่ถูกกระต้นเพียงใบหูดีหรือไม่” คนขี้แกล้งยังคงเย้าแหย่ ขบเม้มใบหูทั้งสองข้างสลับไปมา หากริมฝีปากอยู่ข้างใด อีกข้างก็จะมีมือหนาคอยไล่วนจนรู้สึกดีทั้งสองข้าง


“มะ ไม่...อื้อ เอจิ...อย่าแกล้งข้า” แม้จะเอ่ยปากห้ามแต่คนขี้แกล้งก็ไม่คิดจะฟัง ยังทำอยู่เช่นนั้นดังที่กล่าวเอาไว้ ทั้งขบเม้ม ทั้งไล่เลียจนใบหูเปียกชุ่ม บางครั้งก็กระซิบกระซาบคำลามกด้วยน้ำเสียงแหบพร่า จนคนที่อยากปฏิเสธไม่อาจทำสิ่งใดได้ ปล่อยให้ร่างกายของตนถูกกระทำเช่นนั้นต่อไป


ผ่านไปไม่นานการกระทำก็สัมฤทธิ์ผล เท้าของยาจิเกร็งจนจิกลงไปกับที่นอน มือก็จิกลงไปบนแผ่นหลังของคนขี้แกล้งอย่างไม่รู้ตัว สะโพกกลมก็ส่ายไปมาอย่างเย้ายวน


“ไมไหวแล้ว เอจิ...อ๊า” น้ำสีขาวขุ่นเปรอะเปื้อนไปทั่วหน้าท้องของพวกเขาทั้งสอง ร่างที่ได้ปลดปล่อยเมื่อครู่ก็คลายอาการเกร็งลง นอนหอบหายใจภายใต้ร่างของคนที่มีขนาดตัวไม่ต่างกันนั้นอย่างจนใจ


“เก่งมาก...เจ้าทำได้จริงๆด้วยยาจิ” เอจิกล่าวพร้อมกับพรมจูบน้ำตาที่คลอเบ้านั้นเบาๆ


“เจ้า!!...เจ้ามันนิสัยเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด เอาคนโง่ของข้าคืนมานะ”  ด้วยความอับอายที่ตนปลดปล่อยเพียงเพราะถูกกระตุ้นที่ใบหู ทำให้ยาจิพาลใส่เพื่อปกปิดความอาย


“ข้าก็เป็นเช่นนี้ตั้งแต่แรก...เจ้าไม่รู้เอง” คนโดนกร่นด่ายังคงยิ้มระรื่น มือก็เริ่มทำหน้าที่ของมัน  ลูบไล้ไปที่บั้นท้ายอันแน่นมือนั้น แท่งร้อนก็บดเบียดกันอย่างเต็มไปด้วยความต้องการ


“จะ...เจ้าจะทำอีกรึ” ยาจิกล่าวอย่างตกใจ  เพราะก่อนหน้านี้พวกเขาก็มีบทรักกันไปแล้วจึงได้นอนหลับลง แต่กระนั้นคนตรงหน้ากลับยังต้องการมันอีก


“แน่สิ ข้ายังไม่พอหรอก...อีกอย่างเจ้าพึ่งถึงสวรรค์ไปคนเดียวไม่ใช่รึไง หึหึๆคราวนี้ข้าจะกินเจ้าไม่ให้เหลือเลย” มือหยาบบีบนวดสะโพกกลมอย่างเร่าร้อน เป็นการย้ำเตือนว่าตนต้องการทำสิ่งใด


ไม่รอช้าให้ยาจิขัดขืนอีก คนขี้แกล้งจึงก้มลงขบเม้มสร้างร่องรอยที่ลำคอขาวให้เกิดรอยแดงหลายจุด ดังต้องการประทับรอยความเป็นเจ้าของ เพื่อประประกาศให้ใครต่อใครได้รับรู้ว่ายาจิคือคนรักของตน


“คราวนี้ลองเสร็จด้วยการกระตุ้นเพียงตุ่มไตเม็ดเล็กของเจ้าดีหรือไม่” จะอย่างไรคนขี้แกล้งก็ยังเป็นคนขี้แกล้ง เขากล่าวพร้อมไล้นิ้วไปรอบๆตุ่มไตเม็ดเล็กที่ชูชันน่าชิมนั้นดังต้องการยั่วให้คนตรงหน้าไม่พอใจ


“มะไม่เอานะ” ยาจิหน้าแดงขึ้นอีกเมื่อคิดว่าตนต้องถูกกระทำให้อับอายอีกครั้ง  ดังเหตุการณ์เมื่อครู่ที่ผ่านมา มันน่าอายเกินไปที่จะต้องเสร็จถึงสองครั้งทั้งที่ยังไม่ถูกสัมผัสกลางกายแม้แต่น้อย


“ทำไมล่ะ” เอจิยังคงหยอกเย้า เขาไล้นิ้วสัมผัสบาดแผลที่ตนเคยทำไว้ในอดีตด้วยความหลงใหล


“คะ...แค่นั้นมันไม่พอหรอก...ข้าอยากให้เจ้าใส่เข้ามา” หากต้องขายหน้าเช่นเมื่อครู่ ยาจิยอมถูกทำมากว่านี้เสียยังดีกว่า เขาจึงยอมเอ่ยปากออกมาเช่นนั้นด้วยใบหน้าที่ขึ้นสีไปถึงใบหู และลำคอขาว ทั้งยังหันหลบหน้าไปซุกลงกับหมอนที่ตนนอนอยู่อีกด้วย


“อะ อื้อ เจ้าจะทำอะไร หยุดนะเอจิ” หลบหน้าได้เพียงชั่วครู่ก็ต้องหันกลับมามองเมื่อเขาถูกยกสะโพกขึ้น จนบั้นท้ายด้านหลังลอยเด่นอยู่ต่อหน้าเอจิ


“เจ้าน่ารักเกินไปแล้ว...จะทำให้ข้าหลงไปถึงไหน เพื่อตอบแทนข้าจะบริการให้เต็มที่อย่างที่เจ้าร้องขอเลย” น้ำเสียงที่แหบพร่ากล่าวจบ เขาก็ก้มลงลิ้มลองช่องทางด้านหลังที่บีบรัดดังรอให้เขาเข้าไปในนั้นอย่างเย้ายวน   ลิ้นร้อนค่อยๆโลมเลียช่องทางสีสดแล้วจึงสอดสิ้นเข้าไปด้านใน


“อื้อ อึก  อ๊า”  ลิ้นร้อนให้ความรู้สึกถึงความอ่อนนุ่มจึงทำให้รู้สึกดีมากกว่านิ้ว  ยาจิจึงได้แต่ทนรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นแม้อับอายเพียงใดก็ตาม เขายกมือขึ้นมาปิดบังใบหน้าที่เหยเกด้วยความเสียวซ่านของตนเอาไว้ เพราะไม่กล้ามองภาพตรงหน้า


ร่างของเขาถูกยกสูงจนหลังไม่แตะพื้นโดยถูกซ้อนไว้ด้วยเข่าทั้งสองข้างของเอจิ  มันสูงจนสะโพกนั้นลอยเด่นอยู่ในระดับสายตา เขามองเห็นกลางกายและช่องทางด้านหลัง  พร้อมทั้งการกระทำทั้งหมดของเอจิอย่างชัดเจน มีบางครั้งที่เขาใช้หางผลักดันคนตรงหน้า  แต่มันก็ไม่ได้ผลเลยแม้แต่น้อย


“อย่าปิดหน้า  ข้าอยากเห็นสีหน้าของเจ้ายาจิ” เอจิตวัดลิ้นขึ้นก่อนจะกล่าว  เขาทนไม่ได้หากไม่ได้มองใบหน้าของคนรักที่กำลังเหยเกด้วยความเสียวซ่าน


ยาจิได้ยินดังนั้นจึงยอมง่ายๆ  เพราะน้ำเสียงนั้นดูออดอ้อนอย่างเว้าวอน  ก่อนที่จะต้องตกตะลึงกับภาพที่ได้เห็น   ลิ้นที่ตวัดขึ้นถูกย้อมด้วยน้ำสีขาวขุ่น  เขาจดจำมันได้เป็นอย่างดีว่าเป็นน้ำรักของเอจิที่ปล่อยเอาไว้ก่อนหน้านี้   เมื่อเห็นเช่นนั้นยิ่งทำให้ช่องทางด้านหลังกระตุกเกร็ง น้ำสีขาวขุ่นที่อยู่ภายในจึงไหลออกมาจนร่างกายส่วนนั้นของเขาเปรอะเปื้อน


“ของข้าเองก็รสชาติไม่เลวเลย...เพราะเช่นนี้หรือไม่เจ้าจึงชอบลิ้มรสมันนัก” น้ำเสียงออดอ้อนแปรเปลี่ยน เอจิเพียงต้องการกลั่นแกล้งคนรักจึงต้องการให้คนรักได้เห็นภาพเมื่อครู่เท่านั้น เขาจึงจงใจใช้น้ำเสียงออดอ้อนเช่นนั้น


ประโยคเมื่อครู่ทำให้ยาจิหวนคิดถึงการร่วมรักหลายครั้งที่ผ่านมา   ซึ่งบ่อยครั้งที่เขากลืนกินน้ำสีขาวขุ่นของคนรัก จึงอดที่จะรู้สึกอับอายในการกระทำของตนไม่ได้


เอจิขยับเข่าของตนออกมาจากด้านหลังของยาจิ  เมื่อเห็นว่าอีกคนไม่ยอมตอบกลับแล้วยังปิดหน้าของตนด้วยมือทั้งสองข้างอีกครา  มือหยาบกร้านจับที่ข้อพับด้านหลังของเข่าแล้วกดลงเพื่อให้ร่างกายของยาจิอยู่ในตำแหน่งเดิม แล้วจึงขยับยกร่างของตนขึ้นให้อยู่ในตำแหน่งที่พอเหมาะ  จากนั้นก็กระแทกแท่งร้อนของตนเข้าไปในครั้งเดียว


“อ๊า  เจ็บ” ยาจิสะดุ้งด้วยความไม่คาดคิด มือทั้งสองที่ปิดบังใบหน้าถูกละไปจิกลงบนหมอนเพื่อระบายความเจ็บเมื่อครู่แทน


“เอจิ เอจิ มันเจ็บ...อย่าแกล้งข้า” น้ำตาใสไหลอาบแก้ม ทั้งสายตาและน้ำเสียงนั้นก็ร้องขออย่างไม่ปิดบัง  หากใครเห็นคงไม่อาจเชื่อภาพนี้ได้ ปีศาจที่หน้าตาน่ากลัวที่กำลังร้องขอด้วยใบหน้าเคล้าน้ำตา


“ อ่า มองสิยาจิ มองพวกเราที่กำลังเชื่อมต่อกัน”  สายตาที่จับจ้องมาเต็มไปด้วยความต้องการ พวกเขาสบสายตากันอย่างลึกซึ้ง ยาจิร้องขอให้เอจิหยุดแกล้งแล้วเติมเต็มความปรารถนาให้เขาเสียที เอจิจึงตอบกลับด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความต้องการจนล้นปรี่


ยาจิมองสะโพกที่ถูกยกสูงของตนซึ่งถูกสอดใส่ด้วยแท่งร้อนใหญ่โตของอีกคน ที่มองเห็นได้อย่างถนัดตา  หัวใจเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้น เพราะการร่วมรักครั้งนี้เร่าร้อนกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา


ดังยังไม่พอใจเอจิเริ่มขยับสะโพกของตนอย่างอ้อยอิง ดึงจนแทบจะหลุดออกแล้วใส่กลับไปอย่างช้าๆ


“ข้ายอมแล้วนะเอจิ...ได้โปรดหยุดแกล้งข้าเสียที ขยับเร็วกกว่านี้...ได้โปรด” รอยยิ้มแห่งความพึงพอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้านั้น เมื่อได้เห็นใบหน้าเหยเกและคำร้องขอเคล้าน้ำตาของยาจิ ทั้งครั้งนี้ยาจิยังไม่ได้เบือนใบหน้าเพื่อหลบสายตา แต่มองสบตาของเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความออดอ้อนดังที่เขาต้องการ


“ต้องแบบนี้สิเด็กดี”  มือหนาข้างหนึ่งยื่นไปประคองใบหน้านั้น พร้อมก้มลงไปกดจูบตามรอยแผลยาวบนใบหน้าแล้วผละออก


“อ๊ะ อ๊า อ๊ะ ซี๊ด อ่า” เสียงครางหวานแห่งความพึงพอใจดังขึ้นเมื่อสะโพกหนาขยับอย่างเร่าร้อน และรุนแรง ครั้งแล้วครั้งเล่า จนช่องทางสีหวานแดงปลั่ง เพราะถูกเสียดสีอย่างรุนแรง


“ซี๊ด อ่า รัดแน่นไปแล้ว” ช่องทางเย้ายวนบีบรัดทุกครั้งที่ถูกกระแทกกระทั้น  เขาพอใจทุกครั้งที่แท่งร้อนนั้นกระแทกระรัวไปที่จุดเสียวซ่านซ้ำๆ  ทำให้รู้สึกดีจนไม่อาจบรรยายได้ รู้เพียงว่าต้องการมากกว่านี้ สายตาจึงจดจ้องไปที่ส่วนเชื่อมต่อด้วยความต้องการ


“มาก...มากกว่านี้  อ๊า ซี๊ด” เห็นยาจิร้องขอ  เอจิก็ไม่รอช้าที่จะตอบรับ  เขาเพิ่มแรงกระแทกกระทั้นให้มากขึ้นไปอีก เขาหลงใหลมัน หลงใหลในใบหน้าที่ไม่เคยเผยให้ใครเห็นนอกจากเขาของยาจิ มันเป็นสิ่งที่เขาต้องการ ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เขาทำให้ยาจิไม่อาจแยกจากเขาได้  เขาผูกมัดยาจิด้วยหัวใจและร่างกาย ให้ยาจิไม่อาจถึงสวรรค์ได้หากคนที่โอบก่อนร่างกายนี้ไม่ใช่เขา  ฉะนั้นเขาจึงทิ้งร่องรอยของตนไปทั่วร่างกายนั้นทุกซอกทุกมุม


“เป็นของข้า อ่า เจ้าเป็นของข้าเท่านั้น อา ซี๊ด” เอจิโน้มตัวไปกดจูบรอยแผลเป็นตั้งแต่ใบหน้า จนถึงรอยที่เกิดขึ้นบนอกแกร่งของคนที่อยู่ใต้ร่าง แล้วยกตัวขึ้นจูบด้านในของต้นขาไล่ขบเม้มสร้างรอยไปบนเรื่อยๆบนขา ผ่านหัวเข่า จนถึงข้อเท้า จูบลงบนหลังเท้าจนถึงนิ้วเท้าที่จิกเกร็งเพราะความเสียวซ่านอย่างหลงใหลโดยไม่คิดรังเกียจ


“อ๊ะ อ่า   ข้า...ข้าไม่ไหวแล้ว   เอจิๆข้าจะไปแล้ว” ร่างที่ได้รับแรงสัมผัสอันร้อนแรงไม่นานก็ถึงจุดปลดปล่อย ร้องบอกอีกคนอย่างไร้ซึ่งความกระดากอาย


“อ่า...ซี๊ด ไปพร้อมกันยาจิ  ไปพร้อมข้า” สะโพกแกร่งเร่งความเร็วขึ้นอีกเพื่อต้องการปลดปล่อยพร้อมๆกัน เขาโน้มตัวลงไปจูบริมฝีปากที่แดงปลั่งนั้นอย่างร้อนแรงอีกครั้ง มือข้างหนึ่งก็กอบกุมจุดอ่อนไหวกลางกายของอีกคนเพื่อช่วยกระตุ้น  ยาจิถูกกระตุ้น
ทั้งสองทาง ร่างกายจึงบิดเกร็งกว่าปกติ ช่องทางสีหวานจึงตอดรัดแท่งร้อนแน่นขึ้นไปอีก


พวกเขาต่างใช้ร่างกายของตนกระตุ้นซึ่งกันและกัน ไม่นานร่างของทั้งสองก็กระตุกเกร็งพร้อมๆกัน


“อ๊า”


“อ่า ซี๊ดดดด”


น้ำสีขาวขุ่นของยาจิกระเด็นเปรอะเปื้อนจนถึงใบหน้าของตน ส่วนของเอจิไหลทะลักเพราะปะปนกับน้ำรักที่ยังหลงเหลืออยู่ภายใน จนไหลเยิ้มอาบช่องทางสีสวยให้ย้อมไปจนถึงสะโพก


“แฮ่กๆ” เสียงหอบหายใจของพวกเขาคละเคล้ากันอย่างรุนแรงดังพึ่งผ่านการออกกำลังกายมาอย่างหนัก เหงื่อก็ไหลย้อยไปทั่วตัวดังพึ่งผ่านการอาบน้ำมาหมาดๆ


เอจิจ้องมองใบหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำรักจนเพิ่มความเย้ายวนมากขึ้นไปอีกนั้นอย่างไม่วางตา มันผสมเข้ากับน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของอีกคนจนไม่อาจแยกออกได้ ว่าส่วนใดเป็นน้ำตา และส่วนใดเป็นน้ำรักกันแน่


ยาจิก็จ้องมองช่องทางรักของตนที่ยังถูกสอดใส่ไว้ด้วยแท่งร้อนของเอจิอย่างไม่วางตา  ดังต้องการบอกให้อีกคนนำมันออกไปได้แล้ว เอจิจึงค่อยๆถอนแท่งร้อนนั้นออกอย่างช้าๆจนใกล้จะหลุดออกมา


“อ๊า” แต่แล้วก็ใส่มันกลับไปรวดเดียว จนยาจิต้องร้องเสียงหลง  อย่างไม่ทันตั้งตัว


“เพียงเท่านี้ข้ายังไม่พอหรอกยาจิ...ก็เจ้าเล่นยั่วข้าขนาดนี้เลยนี่นา” เขากล่าวทั้งที่ยังจ้องมองใบหน้าที่เปรอะเปื้อนของยาจิ แม้ยาจิอยากจะเอ่ยปากเถียงเพียงใดแต่ก็ดูเหมือนจะไม่สมารถกล่าวสิ่งใดออกไป เพราะเสียงที่เปล่งออกมาได้มีเพียงเสียงครางกระเส่าที่เต็มไปด้วยความเสียวซ่านเท่านั้น


เสียงครางหวานที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อนดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่ายๆ  และมันคงเป็นเช่นนี้จนถึงเช้า...เพราะความรักที่เต็มไปด้วยความหอมหวานเย้ายวนอยู่ตรงหน้าแล้ว พวกเขาจะสามารถหยุดมันลงง่ายๆได้อย่างไร...




The End

_________________________________________________

สวัสดีค่ะ กลับมาอีกแล้ว
เป็นยังไงกันบ้างคะ การแต่ง NC  ครั้งแรกของเรา  รู้สึกยาวมากไม่รู้ว่าจะเบื่อกันรึเปล่า
ถ้ายังไงลองติชมกันได้นะคะ เราจะได้เก็บข้อคิดเห็นไปปรับปรุงการแต่งครั้งหน้า

ตอนพิเศษที่แต่งครั้งนี้  เพื่อฉลองยอด Favorite ใน Dek-D ที่ถึง 1,000  ตามที่สัญญาเอาไว้ค่ะ
ลองอ่านกันดูนะ  แต่งไปเขินไปบอกเลย  ฮ่าๆๆ

 


ออฟไลน์ nottto

  • MaxNuzz
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
รอตอนต่อไปนะครับบบบ

ออฟไลน์ GreenHead(หัวเขียว)

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
    • Green Head - หัวเขียว
ตอนที่ 20

ผ่านประตู



“พี่ยังสงสัยอยู่อีกหนึ่งข้อนะแร็กนาร์” รูร์กัสกล่าวขึ้นขัดบรรยากาศเล็กน้อยเมื่อมีข้อสงสัยในใจ แร็กนาร์จึงหยุดชะงักแล้วหันมามองเพื่อรอคำถาม



“เจ้านกน้อยตัวนี้เหตุใดจึงชื่อ ‘โก’ เล่า” คำถามที่หลุดออกจากปากทำในทุกคนได้คิดตาม พวกเขาก็พึ่งคิดขึ้นได้เพราะแร็กนาร์เรียกขึ้นมาเฉยๆอย่างไม่บอกกล่าวก่อน



“ชื่อ โก  มาจากคำว่า โกยาตเลย์ ที่อยู่ในจดหมาย แม่ของเจ้าตัวจ้อยเป็นคนตั้งไว้...มันยาวเกินไป ข้าจึงจะเรียกว่า โก เท่านั้นพอ” แร็กนาร์หันไปจดจ่อกับเจ้านกน้อยโกอีกครั้ง แล้วจึงอธิบายออกมาอย่างราบเรียบให้ทุกคนได้ฟัง พร้อมรอยยิ้มน้อยๆที่มอบให้โกยาตเลย์ซึ่งมองเขาด้วยสายตาปลาบปลื้ม



แต่มันก็ยิ่งทำให้ทุกเห็นใจเจ้านกตัวจ้อยเพิ่มขึ้นไปอีก นอกจากถูกเข้าใจผิดเรื่องสายพันธุ์แล้วยังถูกย่อชื่อเหลือเพียงคำเดียวสั้นๆอีก...หากมันโตขึ้นแล้วรู้ทีหลัง มันอาจจะเสียใจจนอยากกลับเข้าไปอยู่ในไข่อีกครั้งก็ได้ และนี่เป็นอีกครั้งที่พวกเขาคิดอะไรเหมือนๆกันว่า



โถ่ เจ้านกน้อยที่น่าสงสาร...

.

.

.

อีกด้านหนึ่งของวันนั้นเอง



“ตอนนี้พวกเราอยู่กึ่งกลางระหว่างเขตตะวันตกกับเขตเหนือ เดินอีกไม่ไกลก็จะถึงจุดที่มีค่ายประจำการตั้งอยู่ เจ้าเลือกได้หรือยังเอลลูญ์ว่าจะไปเขตใดก่อน” ชายผู้มีผมสีแดงกลางศรีษะล้อมรอบด้วยสีทองเอ่ยอย่างใจเย็นเพื่อรอคำตอบ แต่เท้านั้นก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเดินเลยแมแต่น้อย พวกเขาทั้งสามชีวิตเดินทางอย่างเรื่อยเฉื่อย ชมนกชมไม้ข้างทาง ดังว่าการเดินทางท่องเที่ยวครั้งนี้ไม่มีอันตรายใดรออยู่ก็ว่าได้



“อืม...ข้าว่าพวกเราไปยังเขตตะวันตกก่อนดีกว่า ข้าได้ยินมาว่าที่นั่นรับวัฒนธรรมของแดนมนุษย์มามากที่สุด ข้าจะได้ค่อยๆปรับตัวด้วย...จะอย่างไรข้าก็ต้องการท่องเที่ยวให้ทั่วทุกดินแดน จะเริ่มที่ใดคงจะเหมือนๆกัน...แต่ถ้าท่านเห็นต่างข้าก็ไม่ขัดข้อง” เอลลูญญ์ชายผู้งดงามตามแบบเชื้อพระวงศ์ด้วยผมสีเงินยาวประบ่า ทั้งใบหน้ายังคมคายได้รูป จนไม่ว่าหญิงหรือชายต่างก็ต้องหลงใหลรีบกล่าวตอบหลังจากครุ่นคิดมาตลอดทาง



“เจ้าแน่ใจแล้วหรือนาฟ เวลานี้ทั้งสองเขตกำลังทำสงครามห้ำหั่นกัน มันไม่อันตรายเกินไปหรือ ข้าว่าเราเลี่ยงไปเขตตะวันออกหรือเขตใต้ก่อนดีกว่า” เสียงคัดค้านดังขัดขึ้นเมื่อเห็นว่าพวกเขากำลังเดินทางเข้าสู่อันตราย ไม่เพียงรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูอ่อนโยนดังน้ำทะเล แม้แต่จิตใจของเรย์เองก็อ่อนโยนตามไปด้วย



“เหอะ เจ้าคิดว่าความขัดแย้งครั้งนี้มันเป็นเพียงเรื่องของสองเขตนี้เท่านั้นรึ การต่อสู้ที่ยืดเยื้อมามากขนาดนี้ ข้าว่าอย่างไรก็มีความเกี่ยวข้องกันของทุกเขต...ไม่มากก็น้อย



ทั้งเวลานี้เองทั้งสองเขตล้วนวุ่นวาย พวกทหารคงทำหน้าที่ได้อย่างไม่เต็มที่เท่าไหร่นัก การที่พวกเราจะปะปนไปกับชาวบ้านซึ่งกำลังเข้าไปหลบในกำแพงป้อมปราการนับว่าเป็นเรื่องง่าย” เขายังคงกล่าวโต้ตอบอย่างเรื่อยเฉื่อยเช่นเดิม แม้ภายนอกเขาจะเป็นดังเช่นคนใจร้อน แต่การวิเคราะห์สิ่งต่างๆกลับเยือกเย็นอย่างเหลือเชื่อ



“ถ้าเช่นนั้นก็เป็นแผนที่ดี” เรย์กล่าวอย่างจำยอม เมื่อได้ฟังคำกล่าวของนาฟ เขาต้องยอมรับเช่นทุกครั้งเมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับการต่อสู้นาฟจะใจเย็นกว่าเขาเสมอ



“ถ้าตกลงแล้วเราก็รีบเร่งฝีเท้ากันเถอะ เดี๋ยวจะสายเสียก่อน เราต้องไปเข้าแถวหน้าประตูทางเข้าพร้อมชาวบ้าน” ไม่รอให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ นาฟกล่าวเพียงแค่นั้นแล้วเร่งฝีเท้าทันที เพื่อนร่วมทางทั้งสองจึงรีบเดินตามอย่างรู้หน้าที่ 



ในเวลานี้พวกเขาคลุมห่มกลายด้วยผ้าคลุมสีดำสนิทดังเช่นที่เอลลูญ์เคยสวมใส่ เพียงแต่ยังไม่ได้นำมันขึ้นมาคลุมศีรษะเอาไว้เท่านั้น  แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้ขบวนชาวบ้านที่ต่อแถวเข้าไปยังประตูหน้าด่านของเขตตะวันตกพวกเขาจึงยกมันขึ้นมาคลุมศีรษะปิดมันลงเสียเกือบครึ่งไปหน้า เพื่อต้องการปิดบังตัวตนของพวกเขา   แม้จะดูน่าสงสัยไปบ้างแต่การหาข้อแก้ตัวนับว่าง่ายกว่าเดินเข้าไปแบบตรงๆ



บนหลังของพวกเขาแบกไว้ซึ่งกระเป๋าสัมภาระทำจากหนังสัตว์ใบใหญ่กว่าตัวของพวกเขาคนละหนึ่งใบ  จึงไม่ต่างจากนักเดินทางธรรมดาๆที่ออกเดินทางท่องเที่ยวเท่าไหร่นัก



เพียงไม่นานพวกเขาก็เดินมาถึงขบวนชาวบ้านที่ต่อแถวยาวจากด้านหน้าประตูหน้าด่านจนแทบไม่เห็นหัวแถว  พวกเขาไม่ได้มาสายเลยเพียงแต่ชาวบ้านเหล่านี้คงทยอยกันมาตั้งแต่เช้ามืดกระมังจึงคละคลั่งมากมายเช่นนี้



หมู่บ้านที่ตั้งอยู่เขตรอยต่อของเขตตะวันตกและเขตเหนือมีทั้งหมด 5 หมู่บ้าน โดยหมูบ้านเหล่านี้อาศัยอยู่ร่วมกันภายใต้ข้อตกลงสงบสุขของทั้งสองเขต  พวกเขาอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างไม่แบ่งแยกตะวันตกหรือเหนือ เพียงอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืนเท่านั้น



ป้อมปราการหน้าด่านของทั้งสองเขตตั้งอยู่ห่างไกลกัน  โดยมีหมู่บ้านเหล่านี้ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างป้อมของทั้งสองเขต และเมื่อเริ่มสงครามขัดแย้งชาวบ้านจึงต้องเลือกฝั่งเพื่อความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของตนเอง ย้ายครอบครัวรวมทั้งข้าวของเครื่องใช้เข้าไปด้านหลังกำแพงป้อมปราการก่อนถึงวันเปิดศึกใหญ่



นาฟเดินนำเอลลูญ์กับเรย์เข้าไปต่อท้ายขบวนที่ต่อแถวยืดยาว  แล้วจึงผายมือให้เรย์อยู่ด้านหน้าสุดเพื่อทำหน้าที่ในการเจรจาเมื่อถึงประตูหน้าด่านอย่างรู้ความ เรย์เพียงส่ายหน้าแต่ไม่ปฏิเสธที่เพื่อนรักของตนโยนภาระนี้มาให้ เขาทำเพียงเดินไปต่อแถวเงียบๆเท่านั้น เอลลูญ์เองก็เดินตามไปอย่างไม่ขัดรอให้พวกเขาจัดการตามสมควรเท่านั้น



ชาวบ้านที่เป็นปีศาจเผ่าพยัคฆ์มากมายเดินเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ แต่พวกเขาไม่ได้มาตัวเปล่าบางคนหอบหิ้วกระเป๋าใบใหญ่เช่นพวกเขา บางคนมีตะกร้าใบใหญ่ในมือ หรือบางคนมีกระทั่งเกวียนที่บรรทุกข้าวของมากมาย มองเพียงเท่านั้นก็พอคาดเดาได้ว่าหากต้องการเข้าไปด้านหลังกำแพงป้อมปราการต้องมีของบรรณาการให้พวกมันด้วยเป็นแน่ เรย์จึงเริ่มนิ่งเงียบแล้วขบคิดวางแผนสำหรับการผ่านประตูในครั้งนี้



หากคำนึงถึงช่วงเวลาสับสนวุ่นวายเช่นนี้นับว่าพวกทหารของเขตตะวันตกนั้นช่างเห็นแก่ตัวยิ่ง เพียงเพื่อต้องการเสบียงมากมายจากชาวบ้านจึงกดดันให้ชาวบ้านที่ต้องละทิ้งบ้านของตนจำต้องยกพืชพันธุ์และข้าวของเครื่องใช้ที่มีอยู่อย่างจำกัดให้พวกมันไปจนกว่ามันจะพึงพอใจ จึงจะสามารถผ่านเข้าไปด้านในได้



เพล้ง!!



“ไร้ประโยชน์สิ้นดี ของเพียงเท่านี้คิดว่าจะผ่านเข้าไปได้เช่นนั้นรึ กลับไป!! หากต้องการผ่านเข้าไปจงไปหาของมาใหม่” เสียงอึกกระทึกคึกโครมดังมาจากประตูหน้าด่าน แม้จะอยู่ห่างออกไปไกลแต่เสียงนั้นกลับดังก้องกลบเสียงเจื้อยแจ้วของชาวบ้านไปเสียหมด พาให้ผู้ที่ได้ยินพากันใจหายลุ้นระทึกว่าตนจะถูกไล่เช่นนั้นหรือไม่



สิ้นเสียงขับไล่ก็ได้ยินเสียงด่าทอสาดเสียเทเสียตามมา จากนั้นเพียงไม่นานก็ได้เห็นเจ้าของเสียงที่เดินผ่านพวกเขาไปด้วยสีหน้าฉุนเฉียวระคนท้อแท้ ปากก็ยังพึมพำบางอย่างด้วยความไม่พอใจ



“หนอย ทั้งที่เขตเหนือไม่เรียกร้องสิ่งใดเลยแท้ๆ ใยไอ้พวกเขตตะวันตกใจทรามจึงเรียกร้องมากมายนัก ถ้าลูกของข้าไม่ได้อยู่ในนั้นอย่าหวังเลยว่าข้าจะเข้าไปเหยียบเขตแดนของพวกมัน...รอพ่อก่อนนะลูก” เสียงเดือดดานนั้นแผ่วเบาและเศร้าสร้อยดูน่าเวทนา แต่พวกเขาทั้งสามก็มิได้ใจบุญจนต้องนำปัญหาของคนอื่นมาเป็นภาระให้กับตนเอง จึงได้แต่ปล่อยในเรื่องผ่านตาไปเช่นนั้น



“ท่านลุงครับ การผ่านเข้าไปยังป้อมปราการของทั้งสองเขตแตกต่างกันดังเช่นที่ชายเมื่อครู่กล่าวหรือไม่” เรย์รีบเก็บรายละเอียดสำคัญเพื่อเป็นข้อมูลสำหรับหน้าที่ของตนโดยการสอบถามชายชราที่นั่งบนเกวียนบรรทุกของซึ่งอยู่ด้านหน้า



“มันเป็นเช่นที่เจ้าได้ยินนั่นแหละเจ้าหนุ่ม ข้าเองถ้าน้องสาวไม่แต่งเข้าไปอยู่ในเขตตะวันตกมีหรือที่จะเข้าไป...อย่างน้อยหากจะต้องตายก็อยากเห็นหน้าครอบครัวอีกสักครั้ง...ปีศาจตนอื่นๆเองก็คงไม่ต่างกับข้ามากนักหรอก” ชายชราตอบด้วยน้ำเสียตัดพ้อต่อโชคชะตา เพราะแม้เข้าไปด้านหลังกำแพงป้อมปราการได้ แต่ถ้าหากเขตตะวันตกพ่ายแพ้ไม่อาจป้องกันประตูหน้าด่านไว้ได้ หมูบ้านที่อยู่ใกล้กำแพงป้อมปราการคงไม่อาจรอดพ้นความตายไปได้เช่นเดียวกัน



“ขอบคุณนะครับท่านลุง  ขอให้ท่านได้พบน้องสาวดังที่หวังไว้”  เรย์กล่าวของคุณชายชรา และอวยพรเล็กน้อยพอเป็นมารยาทแล้วกลับมายืนนิ่งคิดทบทวนต่อ



“ข้าว่าเราเปลี่ยนเป้าหมายไม่ดีกว่าหรือ”  หลังจากคิดทบทวนอยู่นานเขาจึงหันมาขอความเห็นจากเพื่อนร่วมทางทั้งสอง เพราะดูเหมือนว่าการผ่านประดูหน้าด่านของเขตตะวันตกต้องเสียค่าผ่านทางด้วยของที่มีค่าก่อนเริ่มการท่องเที่ยวเสียด้วยซ้ำ ต่างจากเขตเหนือที่ไม่ต้องเสียสิ่งใดเลย



“ไม่ เราเสียเวลาต่อแถวและเดินทางไปมากแล้ว ข้าไม่ยอมไปเริ่มต้นใหม่แน่ๆ” คนใจร้อนค้านเสียงแข็ง เขาใช้ชีวิตอย่างเรื่อยเปื่อยก็จริง แต่สิ่งที่เขาเกลียดที่สุดคือการรอ ดังนั้นนาฟจึงค้านที่ต้องไปเริ่มต่อแถวเข้าประตูหน้าด่านของเขตเหนือ เพราะเวลานี้สายมากแล้วคาดว่าแถวคงยาวกว่าที่นี่เป็นแน่



“ข้าเห็นด้วยกับท่านเรย์นะครับ เราเสียเวลามามากแล้วการจะเริ่มต้นใหม่มันค่อนข้างเสียเวลา อีกทั้งข้าก็สนใจด้านหลังประตูนั้นไม่น้อย อยากเห็นด้วยตาว่าเขตที่วุ่นวายเช่นนี้ด้านในจะเป็นอย่างไร” สองเสียงที่คัดค้าน ทำให้เรย์ต้องจำยอมพยักหน้าตอบรับ แล้วหันกลับไปคิดแผนการต่ออย่างเงียบๆคนเดียว เรื่องที่เขาหนักใจคงจะเป็นความอยากรู้อยากเห็นของเอลลูญ์เพราะมันใสซื่อเกินกว่าที่เขาจะกล่าวปฏิเสธได้ลง



หลังจากนั้นเวลาก็ผ่านไปจนดวงอาทิตย์ตั้งตรงศีรษะพวกเขาจึงมาถึงด้านหน้าประตูพอดี เรย์ยืนอยู่หน้าสุด ตามด้วยนาฟและเอลลูญ์ เพื่อทำหน้าที่เจรจาในการผ่านประตูหน้าด่านในครั้งนี้



“พวกเจ้ามีสิ่งใดมา” นายทหารนายหนึ่งกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่คิดว่าผู้ได้ฟังต่างต้องเกรงกลัวตน 



เรย์นำสิ่งที่ถืออยู่ในมือซึ่งนำออกมาจากกระเป๋าสะพายตั้งแต่เข้าแถวรอเวลาก่อนหน้านี้ยื่นให้กับทหารนายนั้น



มันรับถุงผ้าขนาดเท่าหัวคนไปเปิดดูด้วยท่าทีฉงนสงสัย เพราะปีศาจส่วนใหญ่จะมอบของที่ใหญ่โตมากกว่านี้ จำพวกข้าวปลาอาหาร พืชพันธุ์ต่างๆ รวมถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทำขึ้นเองให้กับพวกมันเป็นจำนวนมากจึงจะสามารถผ่านเข้าไปได้



หลังจากเปิดถุงผ้าใบนั้นสายตามันก็เปลี่ยนไป แววตาทอประกายเจิดจ้า ทั้งรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าอย่างพอใจ



“พวกเจ้าผ่านไปได้” สิ้นสุดคำอนุญาตประตูด้านหน้าก็ค่อยๆเปิดออก พวกเขาจึงผ่อนคลายอาการเกร็งลงไปบ้าง แล้วเดินเข้าไปอย่างสบายใจ



“เดี๋ยว” แต่แล้วก็ต้องชะงักเท้าเมื่อมีเสียงไม่พึงประสงค์ดังขัดขึ้นมา เรย์จึงหันกลับมามอง แล้วย่างเท้ามายืนบังนาฟกับเอลลูญ์เอาไว้ เพื่อออกหน้ารับมือปีศาจแปลกหน้าอีกตน



“นายท่านมีสิ่งใดกับพวกเราหรือขอรับ” ใบหน้าที่ตั้งรับสถานการณ์อย่างแย้มยิ้ม เป็นอาวุธประจำตัวของเรย์ ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร มีเพียงน้อยครั้งที่เขาจะแสดงสีหน้าแบบอื่น มันจึงอาจดูน่ากลัว และน่าสงสัยสำหรับคนที่ไม่รู้จักเขาอย่างแท้จริง



พวกเขาทั้งสามก้มหัวลงดังนอบน้อมต่อปีศาจทั้งหมดตรงหน้า แต่ความจริงเพียงก้มลงหลบซ่อนใบหน้าของตนเท่านั้น พวกนายทหารจึงไม่ได้สงสัยมากมายนัก ออกจะถูกใจเสียด้วยซ้ำที่พวกเขาก้มหัวอย่างนอบน้อมเช่นนี้  เมื่อครู่กริยาเช่นนี้กับของในถุงผ้าใบนั้นจึงทำให้พวกเขาผ่านเข้าไปได้ง่ายๆ



“เปิดผ้าคลุมออก” แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ผลกับผู้มาใหม่แม้แต่น้อย และดูจากท่าทางของพวกทหารเมื่อครู่ ผู้มาใหม่คงจะอยู่ตำแหน่งที่สูงกว่าเป็นแน่พวกมันจึงไม่กล้าขัดเช่นนี้



“อย่าเลยขอรับนายท่าน ใบหน้าของพวกเราแสนน่าเกลียดน่ากลัว มีแต่รอยแผลใหม่ หากท่านเห็นข้าเกรงว่าจะทานข้าวไม่ลงเอาได้” น้ำเสียงปฏิเสธอย่างผู้น้อยถ่ายทอดออกไปเพื่ออธิบายให้นายทหารตนนั้นเข้าใจ



“หึ มันจะน่าเกลียดเท่าใดกันเชียว เปิดออกซะ!!” มันไม่สนใจข้อแก้ตัวเมื่อครู่ ทั้งยังส่งเสียงอย่างเย้ยหยันดังรู้ว่าเรย์กำลังโกหกมันอยู่ ใบหน้าก็ดูเย้ยหยันตามน้ำเสียงอย่างผู้มีชัย



เอลลูญ์เห็นท่าไม่ดีจึงหันไปสบตากับนาฟเพื่อขอความเห็น แต่นาฟกลับส่ายหน้าไปมาน้อยๆเพื่อบอกให้เอลลูญ์อยู่เฉยๆรอให้เรย์จัดการ เจ้าตัวจึงยอมอยู่เฉยๆเพื่อรอดูสถานการณ์ต่อไป



“ถ้าเช่นนั้นข้าจะให้ท่านได้ดู คิดว่าเท่านี้น่าจะเพียงพอนะขอรับ” กล่าวจบเรย์ก็เปิดผ้าคลุมบริเวณแขนขึ้น เผยให้เห็นแผลที่ไหม้เกรียม ตั้งแต่ปลายนิ้วเรื่อยไปจนถึงส่วนที่ถูกปกปิดอยู่ ไม่รู้ว่ามีมากมายเพียงใด  แขนนั้นมีแผลเหวอะหวะทั้งที่หายแล้วและยังคงมีเลือดไหลซึมอยู่  เนื้อที่ขาดหายไปบางส่วนเผยให้เห็นกระดูกสีขาวที่อยู่ภายใต้เนื้อหนังอย่างชัดเจน จนไม่อาจเชื่อได้ว่าปีศาจตนนี้ยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้อีก



ไม่เพียงเหล่านายทหารที่ตื่นตะลึง แม้แต่เอลลูญ์เองก็ตกตะลึงไปด้วย เพราะที่เขาเห็นล่าสุดเรย์ไม่มีบาดแผลเหล่านั้น แต่กระนั้นเขาก็พยายามรักษาความสงบนิ่ง  แล้วหันไปมองนาฟที่ยืนยิ้มมุมปากน้อยๆอย่างน่าฉงนสงสัย



แม้การกระทำของเอลลูญ์จะเล็กน้อย แต่ดูเหมือนมันจะไม่สามารถหลุดรอดจากสายตาของนายทหารช่างสงสัยนายนั้นไปได้ มันข่มกลั้นความหวั่นกลัวต่อบาดแผลนั้นแล้วละความสนใจไปที่เอลลูญ์แทน มันยังไม่อยากขายหน้าจึงต้องจับผิดพวกเขาให้ได้



“ข้าเปิดให้ท่านดูแล้ว...ยังอยากดูส่วนอีกหรือไม่ บาดแผลเหล่านี้พวกเรามีอยู่ทั่วร่างกายทั้งสามตน” ไม่ว่าเปล่า เรย์ยกมือที่เต็มไปด้วยบาดแผลนั้นขึ้นไปจับผ้าคลุมเตรียมเปิดทันที



“เจ้าไม่ต้อง...ข้าอยากเห็นเจ้านั่นมากกว่า” กล่าวจบมันก็ย่างเท้าอย่างรวดเร็วผ่านเรย์ไป  หมายเข้าไปประชิดตัวของเอลลูญ์แทน



“นายท่าน อย่าเลยขอรับ น้องข้ามีบาดแผลมากกว่าข้าเสียอีก ดูของข้าแทนเถอะขอรับ” เรย์รีบร้องห้ามอย่างเร่งร้อน สมองก็พยายามหาข้อแก้ตัวที่จะสามารถแก้สถานการณ์ขณะนี้ไปได้



แต่มีหรือที่มันจะฟัง ยิ่งได้ฟังเสียงค้านมันยิ่งมั่นใจ เดินอย่างรวดเร็วไปอยู่ตรงหน้าเอลลูญ์ทันที มันยิ้มหมายมาดอย่างผู้มีชัย แล้วยื่นมือเข้าไปคว้าแขนของเอลลูญ์ทันที



“โอ๊ย!!  เจ้า...เจ้าบังอาจทำร้ายข้า”  มันร้องเสียงหลงเมื่อถูกกระแสไฟฟ้าจำนวนหนึ่งแล่นผ่านมือเข้าสู่ร่างกาย หลังจากแตะถูกแขนของเอลลูญ์  เห็นดังนั้นนายทหารตนอื่นๆก็รีบจับอาวุธเตรียมตัวรับสถานการณ์ด้วยสัญชาตญาณที่มีติดตัวมา  แล้วเข้าล้อมพวกเขาทั้งสามเอาไว้



“มิได้ๆขอรับ  น้องข้าหาได้ตั้งใจไม่...ร่างกายของน้องข้าเพียงมีกระแสของสายฟ้าหลงเหลืออยู่เท่านั้น  เพราะในบรรดาพวกเราสามพี่น้อง เขาเป็นตนที่บาดเจ็บหนักที่สุดขอรับ”  เรย์รีบแก้ต่างอย่างทันท่วงทีเมื่อสถานการณ์เข้าขั้นวิกฤติ  เขาต้องรีบจัดการก่อนที่เรื่องจะบานปลายใหญ่โตไปมากกว่านี้



“หมายความว่าอย่างไร  รีบอธิบายมาก่อนที่ข้าจะฆ่าพวกเจ้า” มันหันมาตะหวาดใส่เรย์อย่างโกรธเกรี้ยวทั้งที่ร่างกายยังเจ็บปวดอยู่



“คือเรื่องมันเกิดขึ้นตั้งแต่คืนนั้นขอรับ  คืนที่ท้องฟ้าปั่นป่วนเกิดฟ้าผ่ามากมายใกล้ๆเขตชายแดนระหว่างแดนมนุษย์กับแดนปีศาจเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ พวกท่านน่าจะจดจำมันได้” เสียงของเรย์หยุดลงเพื่อเว้นจังหวะและสังเกตดูท่าทีของทหารเหล่านั้น เมื่อเห็นพวกมันพยักหน้าตอบรับจึงได้เริ่มเล่าต่อ



“ในคืนนั้นมีสายฟ้าสายหนึ่งผ่าลงมายังจุดที่พวกเรากำลังขุดสมุนไพรอยู่...”



“เจ้าจะบอกว่ารอยไหม้บนร่างกายของเจ้าคือ รอยแผลที่เกิดจากฟ้าผ่าเช่นนั้นรึ” น้ำเสียงที่พาให้ใครๆต้องหลงเชื่อถูกขัดขึ้นด้วยเสียงของนายทหารช่างสงสัยตนเดิม มันถามด้วยความฉงนเพราะไม่เคยพบเจอกับเรื่องเช่นนั้นมาก่อน



“ใช่แล้วขอรับ แม้พวกเราจะรอดพ้นจากความตายมาได้ แต่ก็ต้องแบบรับร่างกายที่น่ารังเกียจเช่นนี้ ส่วนน้องข้าสาหัสกว่าใคร เพราะร่างกายยังเด็กนัก จึงทำให้มีสายฟ้าจำนวนหนึ่งหลงเหลืออยู่ในร่างกาย ไม่สามารถขับมันออกไปได้...พวกข้ารู้สึกผิดต่อน้องมากจริงๆที่ไม่อาจช่วยสิ่งใดได้ ทุกครั้งที่แตะต้องจะเกิดเหตุการณ์เช่นที่ท่านเจอเมื่อครู่



ไม่เพียงผู้ที่แตะต้องเท่านั้น เจ้าของร่างกายอย่างน้องข้าเองก็เจ็บปวดเช่นเดียวกัน ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืนก็ไม่อาจข่มตาหลับได้ กระแสของสายฟ้าไหลผ่านทั่วร่างสายแล้วสายเล่าอย่างไม่หยุดนิ่ง เจ็บปวดครวญครางไม่แน่ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานเพียงใด



และที่น้องของข้ายังรอดชีวิต คงเพราะการฟื้นฟูพลังอันรวดเร็วของปีศาจเช่นพวกเรา...หาไม่แล้วคงแดดิ้นอยู่ที่นั่นอย่างไม่อาจกลับมาได้ นับว่าเป็นปาฏิหาริย์อย่างแท้จริง” น้ำเสียงเศร้าสร้อยที่ถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้อย่างชัดเจนแม้ไม่เห็นสีหน้า พาให้ผู้ได้ฟังต่างใจอ่อนลงด้วยความสงสาร ภาพที่เห็นก่อนหน้านี้กับเรื่องราวที่ได้ฟังมันย้ำเตือนแม้แต่นายทหารช่างสงสัยยังโอนอ่อนตาม



“ถ้าเช่นนั้น พวกเจ้าตายไปไม่ดีกว่ารึ ใยเลือกมีชีวิตอยู่ทั้งที่มีร่างกายเช่นนี้” แม้ถ้อยคำจะหยาบกระด้าง แต่น้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความสงสารและเห็นใจ ยิ่งได้ฟังน้ำเสียงที่สั่นเทาไปบางช่วงในขณะที่เล่า มันยิ่งกัดกินหัวใจของเขาเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะใจแข็งเพียงใด แต่ก็ไม่อาจด้านทานบรรยากาศ และถ้อยคำของเรย์ไปได้ ช่างสมกับความเชื่อใจของนาฟเป็นอย่างยิ่ง



“ไม่ได้หรอกขอรับ พวกเราทำเช่นนั้นไม่ได้ หลังประตูบานนั้นยังมีแม่ที่แก่ชราของพวกข้าอาศัยอยู่เพียงลำพัง...หากพวกเราจากไปท่านคงตรอมใจเป็นแน่ ข้ายังไม่อยากได้ชื่อว่าเนรคุณบุพการีขอรับ” น้ำเสียงสั่นเทาแต่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะมีชีวิตอยู่ถูกถ่ายทอดออกไป หากเป็นคนอื่นอาจจะทำเช่นเรย์ได้ยาก เพราะเราสร้างได้ทั้งบรรยากาศรอบด้านที่ทำให้ผู้ฟังอ่อนแอ และน้ำเสียงจูงใจต่างๆที่แสดงออกมาตามสีหน้าของผู้ฟังอย่างถูกจังหวะเพื่อให้คนเหล่านั้นโอนอ่อนตาม จะเรียกมันว่าพรสวรรค์ในการโน้มน้าวใจคนคงไม่มากจนเกินไป



“พวกเจ้าผ่านไปได้ แม่ของเจ้าคงรออยู่นานแล้วรีบไปเสียเถอะ” มันผายมือเชิญมือเชื้อเชิญดังต้องมนต์ต่างจากก่อนหน้านี้มากโข พวกนายทหารที่เหลือก็ลดดาบลง แล้วเปิดทางให้ด้วยเช่นเดียวกัน



“ขอบพระคุณพวกท่านมาก”  เรย์รีบก้มหัวคำนับอย่างซาบซึ้งในพระคุณของพวกมัน นาฟกับเอลลูญ์เองก็ทำตามอย่างรู้หน้าที่เช่นเดียวกัน



พวกเขารีบเดินผ่านประตูไปอย่างรีบเร่งเล็กน้อยเพื่อความสมจริง แต่พอประตูปิดลงจึงค่อยๆผ่อนฝีเท้าแล้วหยุดยืนนิ่งอยู่ด้านในของประตู



“เรย์ เจ้าให้สิ่งใดแก่พวกมัน” นาฟรีบถามขึ้นทันที เพราะนั่นเป็นสิ่งเดียวที่เขาค้างคาใจอยากจะถามตั้งแต่อยู่ด้านนอกแล้ว เสียงนั้นดังอยู่ไม่น้อยจึงเรียกความสนใจของเหล่าปีศาจที่เดินอยู่บริเวณนั้นให้หันมามอง



“เราไปหาที่พักก่อนแล้วค่อยคุยกัน รีบไปเถอะพวกมันเริ่มสนใจเราแล้ว” ไม่รอให้ใครตอบรับ เรย์รีบเดินตรงไปตามทางที่ทอดยาวไปด้านหน้าทันที



ด้านหลังกำแพงมีค่ายทหารที่ตั้งรกรากเอาไว้มากมาย แต่กระนั้นก็ยังคงไว้ซึ่งความเป็นระเบียบเรียบร้อย แบ่งสันปันส่วนอย่างเหมาะสมดูเป็นระเบียบแบบแผนต่างจากที่คิดไว้เป็นอย่างยิ่ง



เดินผ่านค่ายทหารตรงไปไม่ไกลนักก็พบกับหมู่บ้านที่พอจะคาดเดาได้ว่าเป็นเมืองท่าแห่งการค้าขายที่หรูหราไม่น้อย ต่างจากหมู่บ้านนอกกำแพงอยู่มากโขทีเดียว



พวกเขามองหาที่พักสำหรับนักเดินทางที่ยังคงเปิดทำการอยู่ ไม่ได้ทิ้งหมู่บ้านที่ต้องถูกสงครามกลืนกินอย่างแน่นอนไปเช่นปีศาจตนอื่นๆ ที่พักที่พวกเขาเลือกได้ขนาดไม่ใหญ่มากแต่ครบครันไปด้วยสิ่งที่พวกเขาต้องการ ชั้นล่างเป็นร้านอาหารกึ่งบาร์เล็กๆที่มีให้ทั้งดื่มและกินได้จนพอใจ



พวกเขาเลือกห้องพักขนาดใหญ่ที่สามารถพักได้ทั้งสามคนในห้องเดียวซึ่งอยู่บนชั้นสองห้องด้านในสุดด้านขวาหากนับจากบันได้ซึ่งอยู่ตรงกลาง ภายในห้องประดับตกแต่งอยากเรียบๆแต่ก็แฝงความหรูหราเอาไว้เล็กน้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็มีให้ตามสมควร ทั้งเตียง ตู้เสื้อผ้า และโต๊ะสำหรับทานอาหารบนห้องหากต้องการความเป็นส่วนตัว



พวกเขานำกระเป๋าไปวางไว้ที่พื้นข้างเตียง แล้วจึงเดินไปนั่งรวมกันที่โต๊ะอาการซึ่งมีชุดน้ำชาอันหอมกรุ่นวางอยู่ เรย์จัดแจงรินน้ำชาจากกาลงไปในถ้วยแล้วยกไปวางไว้ด้านหน้าของนาฟและเอลลูญ์ แล้วจึงยกถ้วยของตนขึ้นมานั่งจิบอย่างเงียบๆ ทั้งยังมองสำรวจรอบๆห้องอย่างสนใจใคร่รู้



“เขตนี้ซึมซับวัฒนธรรมของแดนมนุษย์มามากทีเดียว หากไปยังเขตเหนือเจ้าคงได้เห็นแดนปีศาจแบบดั่งเดิม...แต่ก็ใช่ว่าจะไม่พัฒนาเลย เพียงพวกเขานำไปปรับปรุงผสมผสาน ไม่ใช่เพียงเลียนแบบดังเขตนี้เท่านั้นเอง เพราะหากไม่มีสิ่งใดก้าวหน้าเขตตะวันตกคงบุกยึดพื้นที่เขตเหนือได้ไปนานแล้ว” ชาหอมกรุ่นถูกซดจนหมดถ้วยด้วยความกระหาย เพราะพวกเขาเข้าแถวอยู่เป็นเวลานาน แต่กระนั้นเรย์ก็ยังคงรักษาท่าทางสงบเสงี่ยมของตนเอาไว้ได้ แล้วเปรียบเทียบทั้งสองเขตให้เอลลูญ์ฟังเล็กน้อย



ปึก!!



“อย่าเฉไฉเรื่องอื่นเรย์ ตกลงเจ้าให้อะไรพวกมันไป” เสียงถ้วยกระทบโต๊ะดังขัดจังหวะเรย์ที่กำลังจะสนทนากับเอลลูญ์ต่อ ลางสังหรณ์เขาบอกว่าสิ่งที่เรย์ให้พวกมันไปต้องเป็นของสำคัญแน่ๆ



“เงิน” คำตอบที่นาฟคาดเดาเอาไว้ถูกต้อง จนพาให้คิ้วกระตุกอย่างไม่พอใจ



“เจ้าบ้า!! เจ้าให้พวกมันไปมากมายเพียงใด มันจึงยอมให้เราผ่านเข้ามาได้ง่ายๆเช่นนั้น เงินนั่นเป็นทุนในการเดินทางเจ้าเองก็รู้” เสียงกัดฟันเพื่อข่มกั้นอารมณ์ของนาฟดังเล็ดรอดออกมาจากปากให้ได้ยินอยู่บ้าง แต่คนฟังดูเหมือนจะชินชาจนเมินเฉยไม่สนใจเสียแล้ว



“หน่าๆ ตอนกลับออกไปรับรองว่ามันต้องเพิ่มเป็นสองเท่า อย่าโกรธไปเลย” เขาวางมือลงไปบนไหล่ของนาฟที่นั่งอยู่ใกล้ๆแล้วเขย่าเบาๆเพื่อปรามให้อีกฝ่ายใจเย็นลง



“เจ้านี่มัน คิดจะทำสิ่งใดกันแน่” นาฟยังคงเสียงแข็ง แม้จะใจเย็นลงบ้างแล้ว แต่ก็ถูกความสงสัยและความไม่น่าไว้วางใจเข้ามาแทนที กลัวเหลือเกินว่าเพื่อนรักของตนจะเล่นจนกลายเป็นเรื่องใหญ่



“หึหึ ก็แค่แผนการน่าสนุกเล็กๆน้อยๆเท่านั้น...เจ้าอย่าใส่ใจเลย” คนหนึ่งสงสัย คนหนึ่งปากแข็งไม่ยอมบอก ตอนนี้จึงเกิดสงครามประสาทเล็กๆขึ้น นาฟมองหน้าเรย์อย่างคาดคั้น ส่วนเรย์ยังคงยิ้มจนตาแทบจะปิดเข้าหากันอย่างไม่ยี่ระ คนที่นั่งเงียบๆอยู่นานจึงเปิดปากพูดขึ้น



“พวกท่าน...เป็นใครกันแน่” ความสงสัยมากมายประเดประดังเข้ามาในหัวของเขาตั้งแต่อยู่หน้าประตูทางเข้าเขตตะวันตก เขาจึงอดกลั้นที่จะตั้งคำถามไม่ได้ว่า



‘พวกเขาทั้งสองเป็นใครกันแน่!!’

 

 

To Be Continued...

__________________________________________________________



สวัสดีค่ะ กลับมาแล้ว หายไปนานเลยรอบนี้(ฮ่าๆ)

จากที่แจ้งในเพจไปไม่นานมานี้ ที่ว่าไม่รู้ว่าโน๊ตบุ๊คพัง หรือเน็ตหอตาย

สรุปแล้วเน่าทั้งสองค่ะ เหอๆ กว่าจะกลับมาใช้ได้ก็นานโขอย่างที่เห็น

ต้องขอโทษด้วยจริงๆนะคะ เราก็หมดปัญญาที่จะหาเวลาไปร้านเน็ต(เพราะไม่รู้อยู่ตรงไหน)

เพราะต้องทำงานตลอดเลย วันหยุดช่วงนี้ก็ต้องไปเรียน

พอเกิดเรื่องแบบนี้ก็เลยทำได้แค่รอเพื่อนว่างมาซ่อมโน๊ตบุ๊คให้

แล้วก็รอให้ทางเจ้าของซ่อมเน็ตของหอพักเท่านั้น



ตอนต่อไปจะเป็นตอนพิเศษนะคะ แม้ไม่มี NC เหมือนคราวก่อน

แต่จะลองแต่งแบบฮาๆดู ซึ่งไม่รู้จะรอดหรือจะล่วง(ฮ่า)

รอติดตามตอนต่อไปกันด้วยนะคะ รอบนี้น่าจะไม่เกิน 3 วัน

(เราจะพยายามตั้งใจพิมพ์ค่ะ จะไม่วอกแวกไปอ่านนิยาย ฮ่าๆ)

แล้วเจอกันนะคะ



พูดคุยและทวงนิยายได้ที่>>>https://www.facebook.com/greenheadzoro/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-12-2016 23:07:35 โดย GreenHead(หัวเขียว) »

ออฟไลน์ sang som

  • เจ็บจิต!!
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-6
รอค่าาาา

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
สนุกมากกก เรื่องแปลก น่าสนใจ :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
พอเจอชื่อแร็กนาร์ นึกไปถึงแร็กนาร์ ร้อคกาย
มีเบี้ยกโกะ นึกถึงนารูโตะ นินจา และฮันเตอร์
แร้กน่ามีพลังน้ำเหรอถึงเรียกน้ำออกมาได้ ทั้งที่เป็นลูกครึ่ง
แต่คิดว่าแร็กนาร์ ยังมีพลังอื่นๆอีก
เรื่องมหัศจรรย์เยอะมาก ยังมีเผ่ามังกรอีก
ไรท์ สุดยอดเลย   :mew1: :mew1: :mew1:
•.★*... ...*★.•
ขอแก้คำผิดนะ
วิหก ----- วิหค
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-12-2016 10:49:04 โดย ♥►MAGNOLIA◄♥ »

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด