ตอนที่ 13
รวมพล
ยามราตรีเหนือแดนพยัคฆ์เกินประมาณ บนท้องฟ้าที่มืดครึ้มดวงจันทร์กลมโตสีแดงเลือดลอยเด่นอย่างเฉิดฉาย ค่ำคืนนี้เมฆหมอกปกคลุมหนาแน่นกว่าทุกคืนจนคนเบื้องล่างไม่อาจมองเห็นสิ่งที่อยู่เหนือขึ้นไปบนก้อนเมฆเหล่านั้นได้ บัดนี้ปรากฏเงาร่างครึ่งคนครึ่งนกที่มีปีกใหญ่โตบินฉวัดเฉวียนไล่ล่ารุกไล่กันอย่างไม่ลดละ
ปีศาจเผ่าวิหกชายหญิงคู่หนึ่งกำลังหนีจากปีศาจเผ่าวิหกอีกกลุ่มหนึ่ง ทั้งสองสวมชุดสีทองแถบเขียวเหมือนพวกชนเผ่าแต่ผ้านั้นกลับเป็นผ้าเนื้อดีที่โบกพลิ้วอย่างนิ่มนวล บนเส้นผมสีเขียวเข้มนั้นก็สวมใส่ที่คาดศีรษะประดับด้วยขนนกสีทองอร่าม
ปีศาจหญิงสาวเผ่าวิหกหอบอุ้มประคองกอดตะกร้าสานจากไม้ไผ่ใบเล็กเอาไว้อย่างหวงแหน ส่วนปีศาจหนุ่มถือดาบคอยประกบด้านหลังเพื่อระวังภัยร้ายที่กำลังมาเยือน
ปีศาจเผ่าวิหกที่ไล่ตามมามีจำนวนกว่า 10 ตน พวกมันสวมใส่เสื้อผ้าสีดำมิดชิด ปกปิดใบหน้าตั้งแต่จมูกจนถึงลำคอ บนเส้นผมสีเขียวนั้นก็สวมใส่ที่คาดศีรษะประดับขนของกาดำ สองมือถือหอกดาบอันเป็นอาวุธประจำกายฟาดฟันใส่เป้าหมายของตนอย่างไร้ปราณี
พวกมันตนหนึ่งเร่งความเร็วจากปีกที่ใหญ่โตนั้นเข้าประชิดร่างที่กำลังหนีอย่างสุดชีวิต ปีศาจคู่ชายหญิงต้องบนหนีอย่างสุดกำลัง ต่างจากพวกมันที่ผลัดกันเร่งผลัดกันถอยจึงมีแรงเหลืออยู่มากกว่าอีกฝ่าย และเมื่อไล่ตามมาไกลมากพอเกินกว่าที่ใครจะรับรู้ พวกมันจึงเร่งลงมืออย่างไม่ลังเล
ปีศาจหนุ่มเห็นว่าตนคงหนีไม่พ้นเสียแล้ว จึงหันหน้ามาเผชิญกับปีศาจร้ายที่ไล่ฆ่าตน เขาใช้ดาบในมือข้างหนึ่งรับดาบที่ฟาดฟันลงมา เพียงชั่วพริบตาหอกจากปีศาจร้ายอีกตนก็พุ่งเข้าใส่ ดาบในมือด้านที่ว่างอยู่ก็ตะหวัดรับหอกนั้นไว้อย่างทันท่วงที แต่แล้วดาบอีกด้ามก็ฟาดฟันลงมาอีก เขาจึงจำต้องใช้พลังควบคุมสายลมที่ตนถนัดอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพียงลมที่พ่นออกจากปากก็พาให้ปีศาจตนที่สามกระเด็นไปไกล
แต่พลังที่มากจนเกินไปทำให้ท้องฟ้าปั่นป่วนเกิดลมหมุนดังคล้ายจะมีพายุลูกใหญ่พัดมา ไม่อาจรู้ได้ว่าเพราะพลังนั้นไปกระตุ้นสภาพอากาศหรืออย่างไร จึงเกิดฟ้าร้อง ฟ้าผ่า อื้ออึงไปทั่วบริเวณ
ปีศาจหนุ่มสะบัดดาบทั้งสองอีกครั้งจนหอกดาบกระเด็นออกไปตามแรงเหวี่ยง พวกมันถอยกลับไปตั้งหลักก่อนจะเริ่มใช้พลังที่ตนทีบ้าง
“จานีย์! เจ้าหนีไปก่อนข้าจะต้านพวกมันไว้เอง” ปีศาจหนุ่มเห็นว่าตนต้องรับศึกหนักเสียแล้วจึงร้องตะโกนก้องบอกให้ปีศาจหญิงสาวที่บินคอยสังเกตการณ์อยู่ไม่ไกลให้หนีไปก่อน
“โคเน็น! ท่านต้องตามมา...ห้ามตายเด็ดขาด” ปีศาจหญิงสาวนามว่าจานีย์รับคำอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ แม้จะห่วงปีศาจหนุ่มนามโคเน็นมากมายเพียงใด แต่เมื่อก้มมองลงไปในตะกร้าใบนั้นสายตาเธอก็ปราศจากความลังเล ตะโกนก้องตอบรับก่อนจะหันหลังให้ภาพที่เห็นตรงหน้าแล้วเร่งบินหนีไปอย่างไม่หันหลังกลับ
จานีย์รู้เพียงว่าเธอต้องหนีไปเบื้องหน้า แม้ไร้จุดหมายแต่เธอก็ต้องบินต่อไป เพื่อที่จะอยู่รอด เพื่อที่จะกลับไป...เธอต้องหนีเพียงเท่านั้น
แต่แล้วเธอต้องหยุดชะงักเมื่อเบื้องหน้าเป็นเส้นตัดของขอบฟ้าที่มาบรรจบกันของแดนมนุษย์และแดนปีศาจ หากเธอข้ามไป มนุษย์ต้องไม่ยอมรับเธอเป็นแน่
“อ้ากกกกกก” เสียงร้องของโคเน็นยิ่งทำให้เธอกลั้นความตกใจไว้ไม่อยู่ ข้างหน้าก็เป็นทางตัน ข้างหลังก็ไม่อาจหันกลับ จานีย์จ้องมองไข่ใบใหญ่กว่ากำมือเล็กน้อยที่มีลวดลายประหลาดใบนั้นที่อยู่ภายในตะกร้า ซึ่งถูกห่อรอบด้านด้วยผ้าผืนหนาเพื่อกันไม่ให้กระทบกระแทกจนแตกไป
สายตาที่มีแต่ความลังเลหยุดนิ่ง แปรเปลี่ยนเป็นสายตาที่แน่วแน่ เธอเลือกที่จะใช้ทางเลือกสุดท้าย หากโคเน็นไม่รอด เธอไม่รอด อย่างน้อยลูกของเธอต้องรอด
จานีย์หอบอุ้มตะกร้าใบนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว ก่อนจะใช้มือที่ว่างอยู่ดึงสร้อยสีทองเส้นเล็กที่ร้อยเรียงเหมือนสายโซ่ และตรงกลางมีจี้ที่ห่อหุ้มด้วยกรอบสีทองเรียวรี ใส่ไว้ด้วยอัญมณีสีเดียวกับดวงตาของเธอ แล้ววางมันลงไว้ในผ้าข้างๆไข่ใบเล็ก ตามด้วยล้วงมือเข้าไปยังอกเสื้อหยิบจดหมายสองฉบับออกมาแล้ววางมันไว้ใต้ผ้าเหล่านั้นเพื่อไม่ให้มันปลิวหายไป
“แม่รักลูก...เจ้าต้องปลอดภัย และกลับไปยังบ้านของเรา” หยาดน้ำตารินไหล เมื่อเธอต้องลาจากโดยไม่แม้แต่จะเห็นใบหน้าแรกเกิดของลูกน้อยเสียด้วยซ้ำ โชคชะตาช่างโหดร้าย พรากลูกพรากแม่ไม่พอ ยังพรากเด็กน้อยจากแผ่นดินเกิดอีก
จานีย์สร้างลมห่อหุ้มตะกร้าใบนั้นให้เป็นวงเหมือนไข่ แล้วปล่อยมือออกจนตะกร้า ตะกร้าสานจากไม้ไผ่ค่อยๆลอยลงสู่เบื้องล่าง แม้โชคชะตาจะโหดร้าย แต่เธอยังคงภาวนาต่อพระเจ้า...ขอพระองค์วิหกสายฟ้าจงช่วยคุ้มครองให้ลูกของเราได้ไปอยู่ในมือของผู้ที่คู่ควร และจงหวนกลับไปยังแดนวิหกอันเป็นแผ่นดินเกิดด้วยเทอญ...
“เจอแล้ว จับตัวเธอให้ได้!” ปีศาจชั่วช้าสองตนตรงมายังที่ๆเธออยู่ จานีย์จึงหนีไปอีกทางเพื่อเลี่ยงสายตาไม่ให้พวกมันพบเจอตะกร้าใบเล็กที่เป็นดังแสงแห่งความหวังของชนเผ่า
เมื่อพ้นระยะที่ปลอดภัยเธอจึงหยุดแล้วหันมาต่อสู้ เธอไม่มีภาระใดๆแล้ว หากสู้อาจจะยังมีทางรอดอยู่บ้าง สองมือรวบรวมลมจนกลายเป็นดาบยาว แล้วพุ่งเข้าใส่ศัตรูหมายเอาชีวิตของมัน
ท้องฟ้าค่ำคืนนี้ช่างปั่นป่วนดังเช่นเทพกำลังพิโรธ ฟ้าผ่า ฟ้าร้อง เกิดคลื่นลมปั่นป่วนแม้ไร้ฝนโปรยปราย กลุ่มปีศาจวิหกชุดดำ และปีศาจชายหญิงต่างเข้าห้ำหั่นกันอย่างไม่มีใครยอมใคร เลือดสีแดงฉานอาบทั่วร่าง หยดลงสู่เบื้องล่างหยดแล้วหยดเล่า อย่างไม่อาจคาดเดาว่าใครจะรอดจากการต่อสู่เอาชีวิตในครั้งนี้...
.
.
.
ร่างเล็กบิดกายไล่ความเมื่อยขบหลังจากลืมตาตื่น เมื่อแสงของดวงอาทิตย์ส่องผ่านช่องเล็กๆด้านหนึ่งของกรงขังเข้ามา บ่งบอกว่ายามได้มาเยือนแล้ว
“ตื่นแล้วหรือแร็กนาร์” เสียงติดแหบเนื่องจากยังไม่หายดี แต่กลับเต็มไปด้วยความสดใจถูกส่งมาจากคนที่อยู่บนเตียงฝั่งตรงข้าม
“อรุณสวัสดิ์ครับพี่รูร์กัส” แร็กนาร์ลุกขึ้นนั่งแล้วทักทายรูร์กัสพร้อมรอยยิ้ม จากวันนั้นแร็กนาร์ยิ้มให้รูร์กัสมากขึ้นจนตนเองยังแปลกใจ แต่ก็ปล่อยให้เป็นไปอย่างที่ควร แร็กนาร์บิดตัวไปมาเพื่อไล่ความเมื่อยขบอีกครั้งแล้วจึงกระโดดลงจากเตียงเดินไปหารูร์กัส
“อรุณสวัสดิ์” รูร์กัสตอบกลับยิ้มๆก่อนจะลงจากเตียงตามแรงพยุงของแร็กนาร์ แล้วเดินตามไปล้างหน้ายังถังใส่น้ำที่ถูกตั้งไว้ในมุมหนึ่งของห้องขัง จัดแจงล้างหน้าล้างตาอันเป็นกิจวัตรประจำวันจนเรียบร้อย ก็ถูกพากลับไปนั่งที่เตียงตามเดิม
หลังจากวันนั้นที่พวกเขาพูดคุยกันก็ผ่านมา 2 วันแล้ว รูร์กัสอาการดีขึ้นค่อนข้างมากทีเดียว แร็กนาร์จึงให้รูร์กัสเดิน และลุกนั่งได้โดยมีเขาคอยพยุงเมื่อต้องการขยับร่างกาย ความจริงรูร์กัสเดินเองได้แล้วเพราะร่างกายไม่ได้บาดเจ็บมากนักแม้จะกระเด็นไปกระแทกกำแพงบ้านก็ตาม แต่แร็กนาร์ก็ดื้นร้นเกินกว่าที่จะฟังแม้รูร์กัสห้ามปราม
ส่วนแร็กนาร์ได้รับความช่วยเหลือจากหมอชราหลายเรื่องทีเดียว เขานำอุปกรณ์มาให้จริงๆตามที่รับปาก แต่ก็นั่งคอยจับตามองแร็กนาร์ตลอดเวลาที่ตรวจสอบเลือดของหัวหน้ายาฉะ ทดลองเสร็จก็จะถามคำถามที่ตนไม่เข้าใจทุกครั้ง ช่างเป็นคนชราที่ไม่หยิ่งจองหองได้อย่างน่าชื่นชมทีเดียว
แร็กนาร์ไม่ได้รำคาญ เพราะยังเห็นประโยชน์ของหมอชรา ไม่เพียงรับฟังหมอชราจะแสดงความเห็นทุกครั้งที่เห็นต่าง ทำให้เขาคิดถึงช่วงเวลาเช่นนี้เมื่อครั้งที่อยู่ในโลกเดิม
หมอชราเองก็ตอบคำถามของแร็กนาร์ทุกอย่างทั้งเรื่องพลังธาตุของมนุษย์ และพลังแฝงของปีศาจ ทำให้แร็กนาร์พอจะคาดเดาสาเหตุของการปลดปล่อยพลังนั้นได้บ้างแล้ว แม้จะไม่ชัดเจนนักก็ตาม
หลายวันมานี้ตั้งแต่เหตุการณ์ลอบเข้ามาในบ้านใหญ่คืนนั้นพวกเขายังไม่พบหน้าของเด็กปีศาจฝาแฝดทั้งสองตนเลย รูร์กัสรู้สึกกังวลจึงได้ถามหมอชรา คำตอบที่ได้ก็ทำให้เขากังวลเพิ่มขึ้นไปอีก
แม้เด็กทั้งสองจะช่วยกันเฝ้าดูอาการของพ่อตน และไปอ้อนวอนขอร้องซาดาโอะให้ปล่อยแร็กนาร์ทุกวัน แต่ที่น่าวิตกคือ จิตใจที่บอบช้ำ และความกดดันที่ได้รับ ทำให้เด็กทั้งสองไม่ยอมหลับยอมนอน รวมทั้งไม่อยากอาหารอีกด้วย
แร็กนาร์ที่ทำเป็นไม่สนใจยังรู้สึกห่วงหา กระวนกระวายใจอย่างที่ตนไม่ควรจะเป็น ความรู้สึกหวั่นไหวกลับมาอีกครั้ง หลังจากที่เขาเก็บมันไว้...เด็กน้อยที่ทานอาหารที่เขาทำอย่างมีความสุขน่ะหรือ จะไม่อยากทานสิ่งใดเลย แร็กนาร์ไม่อาจอยู่เฉยได้อีกจึงฝากข้อความผ่านหมอชราไปให้เด็กทั้งสองตามที่รูร์กัสกำลังทำ รูร์กัสฝากให้หมอชรากำชับให้พวกเขาเลิกฝืนตนเอง ทานข้าว และรักษาสุขภาพ
‘ห้ามตาย’
คำสั่งสั้นๆนี้เป็นข้อความจากแร็กนาร์ เขาไม่อาจปลอบโยนใครได้อย่างรูร์กัส จึงทำได้แต่กล่าวคำหยาบโลนที่ออกมาตรงๆเช่นนี้เท่านั้น
ร้อยคำปลอบโยน...หนึ่งคำหยาบโลน... ถูกส่งต่อไปยังเด็กน้อยทั้งสอง หัวใจพวกเขากลับมามีพลังเพราะคำปลอบโยนของรูร์กัส และชุ่มฉ่ำด้วยคำเพียงสองคำของแร็กนาร์ พวกเขาดีใจจนแทบเก็บอาการไม่อยู่ที่ได้รับรู้ว่าแร็กนาร์ห่วงพวกเขาไม่ต่างกัน
หลังจากวันนั้นเด็กทั้งสองก็กลับมาร่าเริงอีกครั้ง ทำหน้าที่ของตนอย่างขยันขันแข็ง และไม่ลืมที่จะไปกล่าวคำขอร้องซาดาโอะเช่นเดิม และเมื่อวันก่อนแร็กนาร์ก็มีคำสั่งไปยังเด็กน้อยทั้งสองอีกครั้ง นั่นคือ...จงไปนำตำราสมุนไพรเล่มนั้นมาให้ข้า
พวกเขาตื่นเต้นจนแทบจะวิ่งออกไปเสียเดี๋ยวนั้น แต่ถูกหมอชราห้ามเอาไว้ก่อน การออกไปครั้งนี้นับว่าง่ายดายกว่าครั้งก่อนๆ เพราะได้รับความช่วยเหลือจากหมอชรา และหมอคนอื่นๆที่หมอชรายืนยันว่าเชื่อใจได้
แม้ว่าก่อนหน้านั้นหมอชรากับแร็กนาร์ถกเถียงกันอยู่พักใหญ่เพราะเรื่องของตำราเล่มนี้ แต่สุดท้ายแร็กนาร์ก็ชนะอย่างที่คาดไว้ เมื่อหมอชรายืนยันว่าจะให้คนของตนเข้าไปเอามาให้ แต่แร็กนาร์ก็ยืนกรานว่าจะไม่ยอมให้คนที่ตนไม่ยอมรับบุกรุกเข้าไปยังพื้นที่ส่วนตัวเป็นแน่ หมอชราต้องยอมแพ้ต่อความหัวแข็งของแร็กนาร์ เพราะเกลี้ยกล่อมกว่าชั่วยามแร็กนาร์ก็ไม่ยอมบอกข้อมูลใดๆและยังยืนยันตามเดิม
ดังนั้นเช้านี้แร็กนาร์จึงรู้สึกสบายใจกว่าวันไหนๆที่ทุกสิ่งกำลังเป็นไปตามที่ตนต้องการ
“แร็กนาร์ เจ้าอยากเจอพวกเขาหรือไม่” เสียงของรูร์กัสทำให้แร็กนาร์ตื่นจากภวังค์ความคิด แล้วหันมาสนใจคนตรงหน้าแทน พวกเขาที่รูร์กัสหมายถึงคงไม่พ้นฮิเดโอะกับฮิโรกิ สองแฝดปีศาจจอมป่วนนั่นแน่นอน
“ไม่” แร็กนาร์ตอบนิ่งๆแล้วจ้องมองไปยังลูกกรงไม่ยอมมองหน้าของรูร์กัสที่ตอนนี้นั่งพิงกำแพงจ้องมองแร็กนาร์อยู่
“เจ้าช่างปากไม่ตรงกับใจเสียจริงๆ เฮ้ออออ เป็นห่วงขนาดนั้นจะไม่อยากเจอได้อย่างไรเล่า หึหึ” รูร์กัสกล่าวอย่างหยอกเย้าเมื่อน้องชายของตนปากไม่ตรงกับใจเสียเหลือเกิน ทั้งจะปล่อยผ่านให้เขาฝากข้อความเพียงคนเดียวก็ได้ ยังอดใจที่จะออกปากกล่าวเช่นนั้นไม่ได้ แล้วยังรวมถึงภารกิจครั้งนี้ ความจริงจะยอมให้หมอชราทำตามความต้องการก็ไม่เสียหาย แต่แร็กนาร์เลือกที่จะให้เด็กๆทำ ทั้งยังยืนยันอีกว่าจะไม่ยอมให้คนที่ตนไม่ยอมรับเข้าไปยังพื้นที่ส่วนตัว มันไม่ต่างกับการบอกหมอชราให้ไปบอกเด็กๆหรอกหรือว่าแร็กนาร์ยอมรับเด็กทั้งสองแล้ว
“ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น” แร็กนาร์ตอบกลับด้วยเสียงนิ่งเรียบแม้ในใจว้าวุ่น เข้ายังไม่กล้าพอที่จะเชื่อใจใคร แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้เด็กทั้งสองเป็นเช่นนั้นต่อไปได้...เขายังไม่อาจเข้าใจตนเองเสียด้วยซ้ำ
“แล้วเจ้าคิดเช่นใดเล่า” รูร์กัสยังคงไล่ต้อนแร็กนาร์ให้จนมุม เขาชอบสีหน้าลุกลี้ลุกลนที่แสดงออกมาอย่างไม่รู้ตัวของแร็กนาร์ตอนนี้เป็นที่สุด จึงไม่อาจห้ามใจไม่ให้แกล้งแร็กนาร์ได้
สายตาที่ไม่ยอมสบมอง มือที่ปัดป่ายเหมือนรื้นค้นหาของสำคัญ หยิบนั่นหยิบนี่ ยังไม่วายทำล่วงหล่นจากมือนั่นอีก มันช่างสร้างความหรรษาให้รูร์กัสเสียนี่กระไร
“ข้า ข้า ข้า...” แร็กนาร์จนปัญญาที่จะหาคำแก้ตัว เขาไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เพราะไม่ได้สัมผัสกับโลกที่เหมือนกับเด็กทั่วไป จึงทำให้ไม่เข้าใจ และยากที่จะหาวิธีรับมือ
แกร็ก
เสียงประตูเปิดออกดังจะช่วยให้แร็กนาร์รอดพ้นจากเหตุการณ์วิกฤตในครั้งนี้ หมอชราเปิดประตูด้วยรอยยิ้ม ครั้งนี้แร็กนาร์รู้สึกว่ารอยยิ้มกวนประสาทนั้นช่างน่ามองกว่าครั้งไหนๆ
‘เฮ้อออออ รอดแล้ว’“ท่านมาเช้าไปหรือไม่” แร็กนาร์รีบเปลี่ยนเรื่องให้ทันที พร้อมกับแสดงสีหน้าโล่งใจอย่างปิดไม่มิด ทำให้รูร์กัสยิ้มพรางส่วยศีรษะน้อยๆให้กับความน่ารักอีกอย่างหนึ่งของแร็กนาร์ที่เขาพึ่งจะค้นพบ...เอาไว้หลังจากนี้แกล้งอีกก็คงไม่สาย หึหึ...
“อ่า พอดีมีคนอยากพบพวกเจ้า แล้วยังใจร้อนไปปลุกข้าแต่เช้าเสียด้วย หึหึ” หมอชรากล่าวอยากหยอกเย้าผู้ที่ตนกล่าวถึงก่อนจะเบี่ยงตัวหลบให้พวกแร็กนาร์สังเกตคนที่ยืนยิ้มอยู่ด้านหลัง พร้อมกับตะกร้าสานจากไม่ไผ่ที่อยู่ในมือของฮิโรกิ
“แร็กนาร์!!” สองเสียงสอดประสานกันดังก้องก่อนจะวิ่งเข้ามาในห้องคุมขัง
“ไง...กลับมาร่าเริงแล้วหรือ” แร็กนาร์ตอบกลับเสียงตะโกนนั้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ใบหน้านั้นกลับปรากฏรอยยิ้มแห่งความยินดีอย่างปิดไม่มิด
“คะ...ครับ ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง” ฮิเดโอะตอบกลับพร้อมรอยยิ้มที่แทบจะฉีกถึงใบหู ได้เห็นใบหน้าที่งดงาม ได้ฟังเสียงที่หวานละมุนของคนตรงหน้าที่ไม่ได้มาเห็นหลายวันมันทำให้เขามีความสุขเกินประมาณ เขาแทบอยากจะวิ่งร้องตะโกนอย่างดีใจไปทั่วหมู่บ้านเลยทีเดียว
“พวกข้าไม่ตายแล้วนะ” ฮิโรกิก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้มไม่ต่างกันหัวใจของเขาพองโตจนแทบจะระเบิดออกมาจากออกอยู่แล้ว
“ใครห่วงพวกเจ้า...ข้าแค่ไม่อยากให้เด็กตัวกระเปี๊ยกอย่างพวกเจ้าตายก่อนวัยอันควรก็เท่านั้น” แร็กนาร์ตอบเสียงนิ่งแล้วหันหน้าหนีเด็กทั้งสองกลับมามองตรงๆไปอีกฝั่งของเตียง แต่ดูเหมือนจะเป็นการตัดสินใจที่พลาดมากทีเดียว เพราะเขาหันไปสบตากับรูร์กัสพอดี รูร์กัสก็ยิ้มมุมปากอย่างรู้ทันดังจะบอกว่า...ข้ารู้นะว่าเจ้าคิดสิ่งใดอยู่
“ตะ...ตำรา พวกเจ้านำมาแล้วใช่หรือไม่” แร็กนาร์รีบหันกลับไปมองพวกเด็กๆตามเดิม แล้วรีบเปลี่ยนเรื่องทันที เขาไม่ชอบจริงๆรอยยิ้มเช่นนั้นของรูร์กัสมันทำให้เขาทำสิ่งใดไม่ถูก
‘อะ...อะไรเนี่ย ทำไมเราไม่เป็นตัวของตัวเองแบบนี้นะ ตั้งแต่วันนั้นแน่ๆ เพราะเราเปิดใจมากไปรึเปล่านะ ความรู้สึกแปลกๆที่เราไม่เคยมีถึงออกมามายมายแบบนี้
แย่แน่...เพราะไม่เคยเจออะไรแบบนี้ ทำให้ไม่รู้ว่าจะตอบโต้ออกไปยังไงดี ทั้งร่างกาย ทั้งความรู้สึก มันประหลาดสุดๆไปเลย คิดสิคิด คิดให้ออกกรณีศึกษาไม่มีเลยรึไงกัน...มันต้องมีทางออกสิน่า’แร็กนาร์เข้าสู่ภวังค์ความคิดของตนในขณะที่ทุกคนกำลงพูดคุยกัน และเรียกผู้คุมคุกเข้ามาเปิดประตูห้องขัง ทั้งยังเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ตัวยาวซึ่งผู้คุมคุกนำมาวางเอาไว้ เมื่อเห็นว่าหมอชราเข้ามาในนี้บ่อยเหลือเกิน จึงต้องอำนวยความสะดวกให้
ปีศาจทั้งสามตนนั่งลงบนเก้าอี้ ผู้คุมคุกล็อคกุญแจกรงขัง แล้วเดินออกไป แร็กนาร์ก็ยังจมอยู่ในห้วงความคิดเช่นนั้น หาได้สนใจสิ่งรอบตัวใดๆอีก
“...นาร์...แร็กนาร์...แร็กนาร์!!”
“อ๊ะ...เหตุใดต้องเรียกข้าเสียงดังเช่นนั้นเล่า” แร็กนาร์หลุดออกจากภวังค์ความคิดด้วยความตกใจ เมื่อฮิโรกิเรียกเข้าด้วยเสียงอันดังก้อง
“ข้าเรียกเจ้าตั้งหลายครั้ง...แต่เจ้าไม่ตอบข้านี่นา” ฮิโรกิตอบกลับด้วยเสียงหงอยๆ พร้อมทำแก้มพองลมอย่างน่ารักน่าเอ็นดู จนทำให้แร็กนาร์มีความรู้สึกแปลกประหลาดเกิดขึ้นมาอีกครั้ง จึงรีบหันหนีไปอีกทาง
“เจ้า...เจ้ามีสิ่งใดเล่า” แร็กนาร์ตอบกลับเสียงตะกุกตะกัก เมื่อเริ่มตั้งสติได้แล้ว พร้อมกับหันกลับมามองยังปีศาจทั้งสามที่นั่งอยู่บนเก้าอีกยาวตั้งติดกับลูกกรงอีกครั้ง
“ตำราที่เจ้าต้องการใช่เล่มนี้หรือไม่” ฮิโรกิถามพร้อมกับยกตำราเล่มดังกล่าวขึ้นมาให้แร็กนาร์ดู ซึ่งนำออกมาจากกระเป๋าคล้ายถุงย่ามที่เจ้าตัวสะพายอยู่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ
“ข้าไม่แน่ใจนัก เพราะเจอมันบนตู้หนังสือในห้องนอนของเจ้า...แล้วเล่มที่ลักษณะคล้ายกันก็มีอยู่หลายเล่ม” ฮิเดโอะช่วยเสริม เพราะตอนที่เขาเห็นตำราเล่มนี้ครั้งแรก เขาสนใจเพียงหน้าที่แร็กนาร์เปิดให้ดู ไม่ได้สนใจลักษณะของมันเท่าไหร่นัก จึงจดจำได้คร่าวๆเท่านั้น
“อืม...ถูกแล้ว” แร็กนาร์มองอย่างพิจารณาชั่วครู่ ก็ตอบกลับไป จึงทำให้เด็กปีศาจทั้งสองยิ้มออกมาอีกครั้ง
ตำราเล่มนี้ไม่ต่างจากตำราเล่มอื่นๆ แต่ด้านในกลับเป็นราบชื่อสมุนไพรของแดนปีศาจเพียงเล่มเดียวที่เจออยู่ในบ้านหลังนั้น มันกลมกลืนกับตำราเล่มอื่นๆแร็กนาร์จึงนำมันไปไว้ในตู้หนังสือ ซึ่งเป็นที่ซ่อนที่ไม่เลวเลยทีเดียว จุดสังเกตนั้นไม่ยากนัก ตำราเล่มนี้จะมีเชือกเส้นสีแดงโยงจากสันปกด้านบนทำเป็นที่คั่นหนังสือ สำหรับใช้คั่นหน้าที่อ่านค้าง
“ดีแล้วๆ เจ้าจะให้ข้าทำสิ่งใดต่อก็บอกได้เลย” หมอชรากล่าวแทรกขึ้น เมื่อเห็นว่าเวลาผ่านมาพอควรแล้ว ต้องเข้าสู่หัวข้อสำคัญเสียที
“มีสมุนไพรหลายชนิดที่ข้าอยากลองนำมาปรุงยา...ข้ายังไม่มั่นใจในสรรพคุณมันมากนักจึงอยากทดลองดูทุกชนิดที่คิดไว้...คงต้องรบกวนท่านหมอแล้ว” แร็กนาร์กล่าวอย่างเป็นทางการ เขาไม่เคยใช้มันกับหมอชรามาก่อน แต่ครั้งนี้เขาต้องรบกวนหมอชรามากมายจริงๆจึงอดที่จะกล่าวเช่นนั้นไม่ได้
“มิได้ๆ มันไม่ได้รบกวนข้าเลย ข้าเต็มใจ...ถ้าสิ่งนั้นมันทำให้ท่านหัวหน้าใหญ่ปลอดภัยข้าก็ยินดี” หมอชรากล่าวอย่างจริงจัง ไม่ได้ใช้น้ำเสียงหยอกเย้าเช่นก่อนหน้านี้
“ขอบใจท่านมาก” คำขอบคุณของแร็กนาร์พาให้หมอชราตะลึงเล็กน้อย เข้าไม่คิดว่าเด็กน้อยที่หยิ่งจองหอง ไม่ค่อยพูดจาเช่นนั้น จะยอมออกปากกล่าวคำพูดเช่นนี้กับตนง่ายๆ ทำให้เขายิ้มอย่างจริงใจออกมา
แร็กนาร์ไม่เลิกสนใจหมอชราแล้วกระโดดลงจากเตียงนอนเดินเข้าไปหาฮิเดโอะกับฮิโรกิ แล้วใช้มือยีผมของเด็กทั้งสองอย่างเอ็นดู
“พวกเจ้าเก่งมาก” แร็กนาร์เอ่ยชม แม้กระดากอายอยู่บ้างแต่เขาคิดว่าคงต้องให้รางวัลเด็กทั้งสองบ้างที่ทำภารกิจครั้งนี้สำเร็จไปได้
ฮิเดโอะกับฮิโรกิยิ้มกว้าง พร้อมทั้งหลับตาพริ้มรับสัมผัสที่มือผ่านเส้นผมของตนอย่างมีความสุข แร็กนาร์เองก็กลั้นขำเอาไว้แทบจะไม่อยู่เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเด็กทั้งสอง มันช่างน่าเอ็ดดูเหมือนน้องหมาตัวเล็กๆเสียจริงเชียว
“หึหึ เอาล่ะๆ เอาตำรามาให้ข้าได้แล้ว” แร็กนาร์ละมือจากผมของทั้งสอง แล้วเปลี่ยนเรื่องในทันที แม้อยากจะทำต่ออีกนิด แต่กลัวตัวเองจะมีความสุขมากจนเดินไป จึงต้องหยุดแต่เท่านั้น
ฮิโรกิก็ว่าง่ายส่งตำราในมือของตนให้แร็กนาร์ในทันที แร็กนาร์เดินไปยังที่นอนของตนแล้ววางตำราลงเปิดหาสมุนไพรที่ตนหมายตาไว้แล้วพับมุมเล็กๆไว้ที่มุมบนของหนังสือ เพื่อง่ายต่อการหาของหมอชรา
ตำราเล่มนี้ไม่เพียงมีชื่อสมุนไพร มันยังมีรูปวาด สรรพคุณ และสถานที่ที่มันงอกงามเอาไว้อย่างละเอียด แต่เพราะตำราเล่มนี้เก่ามากแล้ว ความคาดเคลื่อนของสถานที่จึงมีอยู่มากทีเดียว เช่นในคราวก่อนที่หาดอกไม้ดอกนั้น เขาไปยังสถานที่ๆเขียนเอาไว้แต่ไม่พบมันงอกงามอยู่เลย
เมื่อเลือกสมุนไพรบนหน้าหนังสือจนเสร็จ แร็กนาร์ก็ค้นกระเป๋าของตนหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา ในนั้นมีรายชื่อสมุนไพรที่หาได้ทั่วไปอยู่ เข้าต้องนำพวกมันมาใช้เป็นส่วนผสมในการปรุงยาเช่นกัน
“รบกวนท่านด้วย” แร็กนาร์นำตำราสมุนไพร และกระดาษแผ่นดังกล่าวเดินไปส่งให้หมอชราพร้อมกับกล่าวฝากฝังอีกครั้ง
“ได้ๆ” หมอชรารับของจากมือของแร็กนาร์แล้วเปิดมันออกดู เพียงชั่วครู่สายตาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นความตื่นตะลึง และความสงสัยปะปนกัน แต่ก็เพียงเท่านั้น เขาปรับอารมณ์เพียงแค่หลับตาลงแล้วเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง มันก็กลับเป็นดังเดิม
หมอชรายอมรับ และทึ่งในความสามารถของแร็กนาร์ ยิ่งเวลาที่ผ่านมาพวกเขาได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ก็ก็ยิ่งทำให้ระยะห่างของอายุนั้นสั้นลง มันไม่ต่างจากเวลาที่เขาพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กับสหายวัยเดียวกันเลย นั่นทำให้เขาเริ่มเอ็นดูและรักใคร่แร็กนาร์เช่นศิษย์คนอื่นๆของตน...แต่เหตุใดเจ้าจึงมีตำราเล่มนี้ได้เล่า
“เท่านี้ก็เรียบร้อยแล้วสินะ” รูร์กัสกล่าวขึ้นเพื่อทำลายความเงียบเมื่อหมอชรารับตำราเล่มนั้นไป ห้องขังนี้ก็เงียบลงอย่างน่าตกใจ
“อ๊ะ...พี่รูร์กัส! พี่หายดีแล้วหรือครับ” ดังเช่นพึ่งสังเกตเห็น ฮิเดโอะมองรูร์กัสอย่างทึ่งๆ ที่ตอนนี้รูร์กัสลุกขึ้นมานั่งได้แล้ว ทั้งที่ในคืนนั้นรูร์กัสบาดเจ็บอย่างหนักมากเสียจนเข้าคิดว่าจะไม่รอดเสียแล้ว
“ฮ่าๆข้าได้ยาดีน่ะ” รูร์กัสตอบกลับอย่างอารมณ์ดี เขาไม่ได้โกรธที่พวกเด็กๆแทบจะลืมเขาไปเสียแล้ว เขารู้สึกดีใจเสียด้วยซ้ำที่ได้มองน้องๆของเขายิ้มอย่างมีความสุขเช่นนั้น
“ครับๆท่านหมอเก่งมากเลยล่ะ พวกที่บาดเจ็บหายเร็วมากหากได้ยาของท่านหมอ...ยกเว้นพ่อของข้า” ฮิโรกิแปรเปลี่ยนอารมณ์อย่างรวดเร็ว จากร่าเริงเป็นหดหู่ตามแบบนิสัยของเจ้าตัว จนทำให้คนอื่นๆตกใจไปตามๆกัน
“เอาเถอะๆ เดี๋ยวพ่อเจ้าก็หายแล้ว...ว่าแต่ตะกร้าใบนั้นมันอะไรกัน” รูร์กัสรู้สึกผิดที่ไปจี้จุดของอิโรกิจึงรีบเปลี่ยนเรื่องในทันทีเมื่อสายตาสบมองตะกร้าสานจากไม้ไผ่ข้างๆตัวของฮิโรกิเข้า
“อ๊ะ จริงด้วยๆแร็กนาร์เจ้าดูสิ สิ่งนี้” ฮิโรกิเปลี่ยนอารมณ์อีกครั้งเมื่อได้ฟังสิ่งที่รูร์กัสถาม และนึกขึ้นได้ว่าตนมีของสำคัญอีกอย่างหนึ่งมาให้กับแร็กนาร์
“หือ สิ่งใดกัน...ไข่?” แร็กนาร์รับตะกร้าไปแล้วจ้องมองอย่างงงงวย ในตะกร้าใบนั้นมีไข่ประหลาดสีเหลืองทอง บนเปือกไข่ก็มีจุดวงกลมสีเขียวเรียงรายเต็มไปหมด มันเป็นไข่ที่ใหญ่กว่ากำมือของผู้ใหญ่เล็กน้อย และมีผ้าผืนหนารองด้านล่าง และด้านข้างอยู่หลายชั้นเพื่อกันไม่ให้แตกไปเสียก่อน
“แล้วสร้อยนี่มันอะไรกัน” แร็กนาร์สะดุดตากับแสงสีทองที่กระทบกับแสงที่ส่องมาจากช่องเล็กๆบนผนังจนเกิดความวาววับ เขาจึงหยิบมันขึ้นมาพบสร้อยสีทองซึ่งมีจี้สีเขียวมรกตประดับอยู่
“โห อะไรกันน่ะ ข้าไม่ทันสังเกต เพียงเก็บตะกร้าไปนั้นมาเพราะคิดว่าเจ้าคงสนใจสิ่งแปลกๆเท่านั้นเอง” ฮิโรกิตกใจจนอ้าปากค้าง สร้อยเส้นนั้นงดงามจนไม่อาจละสายตาได้แต่เมื่อตั้งสติได้จึงตอบแร็กนาร์ออกไป
“เจ้าไปพบมันที่ไหน” แร็กนาร์ถามอย่างนึกสงสัยแล้ววางสร้อยเส้นนั้นลงไว้ที่เดิม พร้อมกับล้วงมือหาสิ่งของเพิ่มเติมในตะกร้าใบนั้น
“เราพบมันในป่าก่อนที่จะออกจากแดนปีศาจ ไม่ไกลจากบ้านของเจ้ามากนัก” ฮิเดโอะตอบออกไปแทนฮิโรกิ เพราะฮิโรกิคำลังคิดอย่างหนักว่าตนควรจะตอบว่าเจอที่ใดในเมื่อรอบด้านนั้นมีแต่ต้นไม่ใบหญ้า แล้วเขาควรตอบว่าเป็นที่ใดเล่า
“เข้าใจแล้ว” แร็กนาร์ตอบเพียงแค่นั้น เมื่อมือของเขาไปสะดุดกับกระดาษซึ่งอยู่ที่ก้นของตะกร้า จึงดึงมันขึ้นมาก็พบว่าเป็นจดหมาย 2 ฉบับ
บนซองแรกจรดหมึกเขียนเขาไว้ว่า ‘ถึงลูกรัก’ และฉบับที่สองเขียนไว้ว่า ‘ถึงผู้มีพระคุณ’ แร็กนาร์จึงนำซองแรกวางไว้ในตะกร้าตามเดิม แล้วเปิดซองที่สองอย่างสนใจ แม้เขาจะลังเลอยู่บ้าง แต่ความตื่นเต้น และความอยากรู้อยากเห็นมันมีมากเกินไปจนไม่อาจห้ามใจได้
แร็กนาร์นำกระดาษสีขาวที่อยู่ด้านในออกมา และคลี่เปิดอ่านอย่างพิจารณา
ขอวิงวอนต่อโชคชะตา และท่านผู้มีพระคุณ โปรดปกป้องดูแลลูกของเรา แล้วพาหวนคืนสู่ฟากฟ้า เพื่อเติมเต็มความหวังที่รอคอย...
ซาคาจาเวีย
ป.ล. เด็กคนนี้มีนามว่า “โกยาตเลย์”
To Be Continued...