ตอนที่ 22
เค้าลางของอตีต
บ้านชั้นเดียวสร้างด้วยอิฐและปูนซึ่งเน้นความมั่นคงแข็งแรงมากกว่าความสวยสดงดงาม มันตั้งอยู่ห่างจากหมู่บ้านอันคึกคักไปในทิศทางตรงข้ามกับป้อมปราการ บริเวณข้างทางเต็มไปด้วยความเขียวขจีของไร่นา ตั้งอยู่สุดปลายทางอันขรุขระซึ่งลัดเลี้ยวจากถนนสายหลักเข้าสู้พื้นที่ของเกษตรกรรม
“ท่านพี่กลับมาแล้วหรือคะ” ปีศาจวัย 20 ต้นๆ ที่กำลังยืนรดน้ำผักในสวนสวยกล่าวทักทายปีศาจชราที่อายุน่าจะเกินกว่าความเป็นพี่ชายไปมากแล้ว ซึ่งเดินมาพร้อมกับปีศาจอีกตนหนึ่งที่สวมชุดคลุมสีดำตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าด้วยน้ำเสียงอนเจื้อยแจ้ว
“ข้ากลับมาแล้ว...ข้ามีเรื่องสำคัญต้องพูดคุย ช่วยอย่าให้ใครเข้ามารบกวน” ปีศาจชราตอบกลับและบอกจุดประสงค์ของตนในทันที จนรอยยิ้มของปีศาจสาวจากหายแล้วแทนที่ด้วยสีหน้าจริงจัง
“พบแล้วหรือค่ะ...ข้าเข้าใจแล้ว” จากนั้นรอยยิ้มแห่งความปรีติก็เข้ามาแทนที่ แล้วจึงหันกลับไปรดน้ำผักต่อ ดังว่าไม่มีสิ่งใดน่าสงสัย เพียงเท่านั้นปีศาจชราก็ก็เดินเข้าไปในบ้านพร้อมกับชายในชุดคลุมสีดำ
ปึก แกร็ก
หน้าต่างบานสุดท้ายถูกปิดลง หลังจากที่เข้ามาด้านในแล้ว ปีศาจชราก็เดินปิดประตู หน้าต่าง อย่างมิดชิด ส่วนชายในชุดคลุมก็ค่อยๆเปิดผ้าคลุมออก
เรย์จ้องมองการกระทำทุกอย่างด้วยความหวาดระแวง แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีออกไปมากนัก แม้ดวงตาจะจับจ้องที่ร่างแก่ชรานั้นอยู่ก็ตาม
ร่างกายที่แก่ชรานั้นไม่ได้แตกต่างจากมนุษย์เลย มีเพียงขนาดร่างกายเท่านั้นที่ต่างออกไป ไม่ว่าจะเป็นสีผมที่มีสีแดงแซมด้วยสีขาว ร่างกายที่เหี่ยวย่น ไหล่และหลังที่โค้งงอลงเล็กน้อย ตามแบบของคนทีอายุที่มากแล้ว
แต่แล้วร่างกายนั้นก็ค่อยๆเปลี่ยนแปลง จากไหล่ที่ลู่ตกก็ตั้งขึ้น หลังที่โค้งงอเล็กน้อยก็เปลี่ยนเป็นยืดตรง ร่องรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า และร่างกายก็ค่อยๆเรียบตึง กระทั่งสีผมดอกเลาก็ค่อยๆกลับเป็นสีแดงเลือด มันน่าฉงนเสียจนเขาไม่อาจขยับตัวได้ บรรยากาศเรียบง่ายในคราแรก ก็แปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียดและดุดัน
จากร่างของปีศาจชราอายุเกือบ 60 ปี กลับกลายเป็นปีศาจผู้มีรูปร่างสันทัดที่หากคาดเดาอายุมีคงไม่เกิน 40 ปีอย่างแน่นอน ส่วนสูงที่เพิ่มขึ้นหลังจากร่างกายที่โค้งงอยืดตรงทำให้ร่างนั้นใหญ่โตกว่าปีศาจปกติเสียด้วยซ้ำ
“นั่งตามสบาย” ปีศาจที่ไม่เหลือเค้าความแก่ชราผายมือเชื้อเชิญให้ชายหนุ่มลูกครึ่งผมสีฟ้าปลายสีเทานั่งลงบริเวณโต๊ะสำหรับนั่งทานอาหารที่อยู่กลางตัวบ้าน
หลังจากแขกแปลกหน้าแต่คุ้นเคยในความรู้สึกนั่งลง เจ้าของบ้านก็เดินไปด้านหลังของบ้านซึ่งเป็นบริเวณห้องครัว ผ่านไปไม่นานก็ออกมาพร้อมชาหอมกรุ่นซึ่งใช้สำหรับรับแขก
ชาหอมกรุ่นถูกวางลงบนโต๊ะด้านหน้าของเรย์ด้วยฝีมือของเจ้าของบ้านร่างใหญ่ ซึ่งนั่งจิบชาอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะอาหาร แต่กระนั้นเขาก็ไม่คิดที่จะหยิบมันขึ้นมาลิ้มลอง เพราะยังคงหวาดระแวงต่อพฤติกรรมของปีศาจตรงหน้า มันน่าแปลกมากเกินไปที่บุรุษปีศาจตนนี้ไม่ตกใจเลยที่เห็นเขาเป็นลูกครึ่ง ทั้งยังท่าทีสบายๆนั่นอีก มันทำให้เขาจับสัมผัสโกหกผ่านน้ำเสียงนั้นไม่ได้เลย
“เจ้ารู้จักข้าหรือไม่” คำถามราบเรียบเอื้อนเอ่ยออกจากปากของปีศาจตนนั้น โดยไม่สนใจท่าทางของอีกฝ่ายที่หวาดระแวงตนแม้แต่น้อย เรย์ที่เห็นว่าอีกฝ่ายมิได้มีท่าทางน่าสงสัยจึงค่อยๆคิดทบทวนถึงเรื่องราวที่ผ่านมา หวังให้ตนสามารถคาดเดาได้ว่าปีศาจตนนี้มีความเกี่ยวข้องอันใดกับตนบ้าง
แรกเริ่มเขาได้พบกับปีศาจตนนี้บนเกวียนบรรทุกข้าวของจำพวกพืชผักสวนครัวจำนวนมากมาย ใช่แล้วมันคือปีศาจที่เขาสอบถามข้อมูลก่อนเข้ามาทางประตูหน้าด่านนั่นเอง ในครานั้นเขาเห็นรูปลักษณ์ของปีศาจตนนี้เป็นปีศาจที่แก่ชราผู้น่าเห็นใจ จนไม่คิดติดใจสิ่งใดปล่อยผ่านความคิดต่อชายตรงหน้าจนหมดสิ้น
คราที่สองคือตอนที่เขากำลังหาข้อมูลจากส่วนบาร์ในที่พักนักเดินทาง...
.
.
.
ร่างกายแข็งทื่อที่พยายามปรับอารมณ์ของตนให้สงบนิ่งปราศจากความกระวนกระวายใดๆค่อยๆหันหน้ากลับไปมองด้านหลัง
“อึก” แต่มือนั้นกลับบีบแน่นแล้วผลักไปด้านหน้าเล็กน้อยดังต้องการบอกความในว่าไม่ให้หันกลับไปมอง เรย์ที่อยากเห็นใบหน้าของเจ้าของมือจึงได้แต่หันกลับมามองตรงๆดังเดิม เพราะเขาเกรงว่าหากทำสิ่งใดขัดความประสงค์ของมัน เป็นเขาเองที่จะเดือดร้อน เมื่อเห็นว่าเรย์ยอมนั่งนิ่งๆมองตรงไปด้านหน้าอย่างที่ต้องการแล้ว แรงบีบนั้นก็ค่อยๆคลายลง
“นับ 1- 10 ช้าๆ จากนั้นเดินตามข้าออกไปด้านนอก” เสียงทุ้มใหญ่แต่แหบพร่าตามอายุกระซิบบอกจากด้านบนอย่างแผ่วเบาดังรู้ถึงความสามารถของเรย์เป็นอย่างดี จากนั้นมือเหี่ยวย่นก็ผละออกไป เงาร่างนั้นเดินผ่านเรย์ไปที่ประตูทางเข้าเช่นว่าพวกเขาต่างคนต่างกลับออกไปนอกร้านไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกันเลย
เรย์จะไม่ตามไปหรือหาทางหนีก็สามารถทำได้ แต่ด้วยสัญชาตญาณบางอย่างบอกให้เขาตามเจ้าของแผ่นหลังที่งองุ้มด้วยความแก่ชรานั้นออกไป เมื่อขาก้าวพ้นประตูหน้าร้านเขาก็เห็นปีศาจชราที่คุ้นแสนคุ้นหน้า และจดจำได้ทันทีว่าปีศาจตนนี้คือปีศาจที่ตนสอบถามข้อมูลก่อนเข้าประตูหน้าด่าน ทำให้เขาตกใจอยู่ไม่น้อยเลย เพราะไม่คาดคิดว่าปีศาจที่ดูไร้พิษสงค์นั้นจะสามารถรับรู้ถึงเรื่องที่เขาใช้พลังได้
ไม่รอให้เรย์คิดมากไปกว่านี้ ปีศาจชราที่รู้ทันความคิดของเรย์ก็ยิ้มออกมาน้อยๆแล้วเดินไปตามซอกซอยข้างที่พักของพวกเขาทันที เห็นดังนั้นเรย์ก็หยุดความสงสัยทั้งหมดแล้วก้าวตามไป แต่แล้วความแปลกใจใหม่ก็เข้ามาในหัว เมื่อปีศาจหลังงองุ้มก้าวเดินได้อย่างรวดเร็ว จนเขาต้องเร่งฝีเท้าตามไป ไม่นานพวกเขาก็พ้นจากตรอกซอกซอยในหมู่บ้าน แล้วมาหยุดยังถนนที่ทอดยาวโดยสองข้างทางมีเพียงไร่นาสำหรับเพาะปลูก ชายชราจึงหยุดเร่งฝีเท้าแล้วก้าวเดินอย่างบายๆโดยปราศจากความเหน็ดเหนื่อยอย่างสิ้นเชิง
“แฮ่ก แฮ่ก” ต่างจากเรย์ที่เหนื่อยจนต้องก้มหน้าวางมือลงบนหน้าขาที่งอลงเล็กน้อยเพื่อพยุงตัว พร้อมกอบโกยหายใจเอาอากาศเข้าปอด ระบายความเหน็ดเหนื่อยที่ได้พบเจอเมื่อครู่
แต่เขาก็ไม่ได้ถามสิ่งใดออกไป ทำเพียงก้าวเดินตามปีศาจชราต่อไปเท่านั้น แม้ในใจจะมีความหวาดระแวง และความสงสัยมากมายก็ตาม จนตอนนี้เขาจึงอยู่ต่อหน้าปีศาจที่ปลดเปลื้องความชราจนเหลือไว้เพียงความแข็งแกร่งน่าเกรงขามแบบนักรบเท่านั้น
คำถามนั้นทำให้เรย์คิดไม่ตก เพราะแม้คิดย้อนกลับไปก็ไม่อาจหาข้อมูลใดๆได้ แม้เก่งกาจ แต่ปิดซ่อน ทั้งรูปลักษณ์และความสามารถ ทั้งยังไม่มีท่าทีเป็นศัตรู เพราะหากเปิดเผยข้อมูลของเขาต่อกลุ่มโนบุคงได้รางวัลอย่างงาม แต่กลับเก็บเงียบและพาเขามายังบ้านหลังนี้ดังต้องการพูดคุยเรื่องลับอันสำคัญ
“ไม่ ข้าพบท่านครั้งแรกที่ทางเข้าประตูหน้าด้าน แต่ข้าก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าท่านเป็นใคร” เรย์ตอบอย่างจำยอม แล้วนั่งเงียบรอคอยการสนทนารอบใหม่จากปีศาจตรงหน้า
“ทาคุ...ปีศาจที่ข้ารู้จักเรียกข้าเช่นนั้น แล้วนามของเจ้าเล่าเจ้าหนุ่ม” น้ำเสียงแหบพร่าตามอายุจางหายเหลือไว้เพียงน้ำเสียงทุ้มใหญ่ที่ทรงพลังเท่านั้น
“เรย์...คือชื่อของข้า” เมื่อได้คำตอบปีศาจนามทาคุจึงยกชาขึ้นจิบอีกครั้งอย่างใจเย็น ดังต้องการเรียบเรียงที่ตนจะกล่าวต่อไป
“ข้าต้องเคยพบเจ้าเมื่อนานมาแล้วอย่างแน่นอน...ความรู้สึกข้าบอกเช่นนั้น...เรย์” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหนักแน่นดังตอกย้ำความรู้สึกของตนกล่าวออกมา พร้อมทั้งยังพยักหน้าดังตกลงกับตนเองให้แน่ใจ
“ท่านกำลังจะบอกอะไร” แม้จะลังเลอยู่บ้าง แต่เรย์ก็เลือกที่จะถามข้อสงสัยของตนออกไป เขามั่นใจว่าไม่เคยพบเจอปีศาจตนนี้มาก่อนอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะในรูปลักษณ์ใดก็ตาม แม้ว่าจะเดินทางท่องเที่ยวไปกับนาฟหลายต่อหลายครั้งในแดนปีศาจ แต่เขาก็สามารถจดจำว่าตนเคยพบเจอ หรือพูดคุยกับใครไปบ้างได้อย่างแม่นยำ
“ข้าไม่ได้สัมผัสมันมาเนิ่นนาน ความรู้สึกคุ้นเคยจากใครบางคน...แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นข้าก็เชื่อในความรู้สึกของตนเอง” ทาคุยังคงไม่ตอบ เขาทำเพียงรำพึงรำพันดังระลึกให้แน่ใจในความรู้สึกของตนเท่านั้น เรย์ก็มองสถานการณ์อย่างใจเย็นจึงไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาอีก ทำเพียงรออยู่เงียบๆเท่านั้น
“ข้าไม่รู้ว่าตนเองเป็นใคร คำแรกที่ปรากฏในหัวของข้าคือ ‘ทาคุ’ ซึ่งคาดว่าจะเป็นชื่อของข้า...”
“ท่านความจำเสื่อมเช่นนั้นรึ”
“ใช่...ความทรงจำก่อนที่ข้าจะลืมตาตื่นขึ้นที่หมู่บ้านแห่งนี้หายไป น้องสาว ไม่สิ ผู้มีพระคุณที่ข้าเห็นเป็นน้องสาว...หรือก็คือผู้หญิงที่เจ้าเจอที่สวนก่อนหน้านี้ได้ช่วยชีวิตข้าเอาไว้” ทาคุกล่าวด้วยสีหน้าอันอบอุ่น เขาระลึกความหลังถึงหญิงสาวที่ช่วยชีวิตเขาไว้ โดยไม่ฟังคำคัดค้านของคนในหมู่บ้าน และจนถึงบัดนี้นางก็ยังคงเชื่อใจและคอยช่วยเหลือเขา แล้วเขาจะไม่ยอมสละชีวิตมาอยู่เคียงข้างนางในยามที่มีอันตรายถึงชีวิตเช่นนี้ได้อย่างไร
หลังจากนั้นก็ไม่มีเสียงซักถามจากเรย์อีก เขาเพียงตั้งใจฟังอย่างเงียบๆเพื่อพิจารณาเรื่องราวเหล่านั้นอย่างถี่ถ้วน และตัดสินใจว่าควรเชื่อหรือไม่เท่านั้น
ส่วนทาคุเองก็เล่าเรื่องราวอย่างไม่ปิดบัง เพราะเขาเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของเรย์มาได้สักพักจึงพอคาดเดาได้ว่าเรย์มีทักษะในการแยกแยะเสียงขั้นสูง การกล่าวโป้ปดอันเป็นการกระทำที่จะทำให้เรย์ยิ่งหวาดระแวงจึงไม่ควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง และเขาเองก็เชื่อในสัญชาตญาณของตนเองว่าเขารู้จักกับเรย์ ทั้งยังรู้สึกว่าเรย์เชื่อใจได้ เขาจึงตัดสินใจลองเสี่ยงพนันกับโชคชะตาครั้งนี้อีกครั้ง
**************************************50%*************************************
เรื่องราวเริ่มต้นตั้งแต่ข้าลืมตาตื่น ภาพแรกที่ได้เห็นคือปีศาจสาวที่มีรอยยิ้มอันหมองเศร้า แต่กระนั้นแววตาและริมฝีปากก็เผยรอยยิ้มดีใจออกมาเพราะความตื่นเต้น
คำถามแรกจากริมฝีปากสีหวานไม่ใช่
‘เจ้าเป็นใคร’ แต่กลับเป็น
‘ร่างกายท่านเป็นเช่นไรบ้าง’ แล้วตรวจดูร่างกายของข้าอีกครั้งจนมั่นใจว่าอาการดีขึ้น จึงได้ชวนไปทานอาหารฝีมือของนาง
หลังทานอาหารเรียบร้อย พวกเขาทั้งสองจึงนั่งเหม่อมองสวนผักเล็กๆข้างชานบ้าน ที่เต็มไปด้วยพืชผักนานาพันธุ์ ถัดไปเป็นถนนทอดยามจนถึงบ้านหลังอื่นที่ตั้งเรียงรายเอาไว้มากมาย และมีฉากหลังเป็นภูเขาเขียวขจีเนื่องจากอยู่ในช่วงฤดูใบไม่ผลิ ทิวทัศน์ที่งดงามช่วยผ่อนคลายบรรยากาศจนเหลือไว้เพียงความสบายใจ รอยยิ้มบางๆจึงปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากของปีศาจเผ่าพยัคฆ์ทั้งสอง
ปีศาจสาวเริ่มเปิดบางเล่าเรื่องของตนก่อน เพื่อให้อีกฝ่ายผ่อนคลาย และพร้อมจะเปิดใจกับนางมากขึ้น
นางเล่าว่า ตนชื่อ ‘อาโอย’ เป็นปีศาจที่มีอาชีพเกษตรกรอันเป็นอาชีพที่สืบทอดมาในครอบครัว ตอนนี้อาศัยอยู่เพียงตนเดียว เพราะพ่อแม่เสียไปเมื่อหลายปีก่อนด้วยโรคระบาด และพี่ชายเพียงคนเดียวที่คอยดูแลอาโอยตั้งแต่นั้นมาก็จากไปด้วยเหตุน้ำป่าไหลหลากเมื่อหลายคืนก่อน...และในเช้าวันต่อมาก็ได้พบข้าในจุดที่พี่ชายของนางหายไป
รอยยิ้มเศร้าสร้อยแต่แฝงความอบอุ่นยิ้มออกมาให้ใจเต้น พร้อมน้ำเสียงเชื่อมั่นในบางสิ่งที่เลือกจะเชื่อ
‘สวรรค์คงเห็นใจข้า...จึงช่วยประทานพี่ชายคนใหม่มาให้’ จากนั้นรอยยิ้มที่สดใส แม้เจือด้วยความเศร้าไปบ้าง แต่ไม่หม่นหมองเท่าเมื่อครู่ก็เผยออกมา มันช่วยยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าแผลในใจของอาโอยดีขึ้นมากแล้ว
หลังจากนั้นอาโอยก็บอกถึงสภาพร่างกายที่ได้พบกับข้าครั้งแรก วันนั้นร่างกายของข้าเต็มไปด้วยบาดแผลสาหัสจากการถูกทำร้าย มองแล้วน่าจะตายมากกว่ามีชีวิตอยู่เสียด้วยซ้ำ แต่เลือดกลับหยุดไหลไปเอง เป็นการฟื้นตัวที่มีมากกว่าปีศาจทั่วๆไป มันน่าตกใจสำหรับพวกชาวบ้านเป็นอย่างยิ่ง แต่อาโอยกลับประทับใจในความเหลือเชื่อนั้น
เมื่อได้ฟังข้าจึงพยายามคิดทบทวนครั้งแล้วครั้งเล่าในหัว เพื่อหาสาเหตุของบาดแผลเหล่านั้น รวมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับตัวของข้าเอง แต่ยิ่งคิดทบทวน ภายในหัวยิ่งพร่ามัว และปวดหนึบไปหมด สิ่งเดียวที่ชัดเจนคือเสียงๆหนึ่งเท่านั้น
‘ทาคุ ทาคุ...ทาคุถ้าข้าไม่รอดฝากเจ้าปกป้องลูกเมียข้าด้วย’หลังจบเสียงอันน่าเกรงขามนั้น ภายในหัวก็เต็มไปด้วยภาพสีแดงฉานของเลือดที่หลั่งไหลเปรอะเปื้อนอย่างไม่ขาดสาย และสติก็มืดดับลง
ข้าหลับไปนานเท่าใดไม่อาจทราบ จึงได้ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง แต่อาโอยกลับไม่ถามสิ่งใด เพียงบอกด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วงเป็นใยว่า
‘อย่าได้รีบร้อน ความทรงจำอันสำคัญไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจลืมเลือนไปได้...ไม่นานมันต้องกลับมาอย่างแน่นอน ส่วนในระหว่างที่รอความทรงจำกลับมา ท่านจะเป็นพี่ชายของข้าไปก่อนได้หรือไม่’ อาโอยกล่าวอย่างร้องขอ ข้าที่รู้สึกขอบพระคุณอย่างเหลือล้นอยู่ก่อนแล้วก็ไม่คิดที่จะผลักไสใดๆเช่นเดียวกัน
ข้าจึงบอกเล่าทุกสิ่งที่ได้เห็นภายในหัวให้นางฟัง อาโอยคิดว่านั่นคือชื่อของข้า ข้าจึงมีชื่อว่า ‘ทาคุ’ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ผ่านไปหลายเดือนความสงบสุขก็จบลง เมื่อมีปีศาจหลายตนบุกเข้ามาในบ้านและหมายจะสังหารข้า มันทำให้ข้าตระหนักถึงอันตรายและความสามารถที่เกินคาดเดาของตนเอง...ข้าแข็งแกร่ง!!
ข้าลงมือสังหารพวกมันจนหมด แต่กระนั้นข้ากลับยังคงใจสงบนิ่งดังว่าข้าได้ผ่านเหตุการณ์เช่นนี้มามากมายเสียจนเฉยชากับมันเสียแล้ว
ในเหตุการณ์นั้นทำให้อาโอยได้รับบาดเจ็บเนื่องจากถูกจับเป็นตัวประกันในการต่อรองกับข้า ข้าจึงจะรับผิดชอบโดยออกไปจากหมู่บ้าน แต่อาโอยกลับตามมาอย่างไม่เกรงกลับอันตราย
พวกเราทั้งสองเดินทางย้ายไปหมูบ้านอื่นที่ไกลออกไป ในระหว่างทางข้าก็พยายามคิดค้นวิธีแปลงโฉม แต่มันคงไปกระตุ้นความทรงจำในกาย ในเวลากลางคืนที่เข้าสู่ห้วงแห่งความฝัน ความทรงจำของข้าจึงปรากฏออกมาทีละเล็กละน้อย ส่วนใหญ่จะเป็นความสามารถของตนเอง แต่อาจมีบางครั้งที่เห็นปีศาจตนอื่น แต่กลับเห็นหน้าไม่ชัดเอาเสียเลย
วันนั้นข้าได้เห็นความทรงจำเกี่ยวกับการแปลงโฉมที่เป็นความสามารถเฉพาะตัวของตระกูลข้า แม้มันเป็นเพียงความฝันข้าก็เลือกที่จะเชื่อ และทดลองใช้มัน แล้วมันก็ได้ผล...ได้ผลเกินกว่าที่ข้าคาดไว้เสียอีก
จากวันนั้นความสงบสุขจึงกลับมาอีกครั้ง พร้อมข้าที่พยายามหาเศษเสี้ยวความทรงจำ และอาโอยที่คอยสอนงานของเกษตรกรให้กับข้า จนเวลาล่วงเลยผ่านไปถึง 8 ปี อาโอยจึงตัดสินใจแต่งงาน แล้วต้องย้ายตามสามีเข้าไปยังเขตตะวันตก อาโอยชวนข้าไปด้วย แต่ข้าปฏิเสธเพราะในเศษเสี้ยวความทรงจำที่สะสมมาตลอด 8 ปี แม้จะไม่ชัดเจนและไม่สามารถประติดประต่อได้
มันมีจุดเชื่อมโยงที่ชัดเจนเพียงจุดเดียวนั่นคือ ความทรงจำเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับ เขตเหนือ!!
ข้าเฝ้าสืบเสาะได้อีกเพียงไม่นานหลังจากนั้น ก็เกิดสงครามระหว่างทั้ง 2 เขต ขึ้น และลางสังหรณ์ของข้าก็บอกว่า มันต้องเกี่ยวข้องกับความทรงจำของข้าอย่างแน่นอน...วงล้อแห่งโชคชะตาของข้าเริ่มหมุนอีกครั้งแล้ว
************************************80%*******************************************
.
.
.
กลับมายังเขตเหนือ ณ ห้องๆหนึ่งในบ้านใหญ่กลุ่มยาฉะ มีเงาร่างตะคุ่มๆ เล็กกระจิดลิดของเด็กน้อยคนหนึ่งกำลังรื้อค้นชั้นหนังสือที่บริเวณมุมในสุดของห้องหนังสือขนาดเล็ก ซึ่งมีทางลับเชื่อมต่อกับห้องหนังสือขนาดใหญ่ด้านนอก
ห้องสี่เหลี่ยมขนาดเล็กซึ่งมีเพียงแสงสว่างจากตะเกียงไฟเพียงดวงเดียวซึ่งวางอยู่บนโต๊ะหนังสือ ห้องนี้ไม่ต่างจากห้องลับในบ้านของเขามากนัก จะต่างก็เพียงบรรยากาศและจุดประสงค์ที่ใช้เท่านั้น
การค้นพบห้องลับโดยบังเอิญเป็นเรื่องที่แร็กนาร์คาดหวัง เขาจึงพยายามค้นหารายละเอียดให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
วันนี้แร็กนาร์ขอใช้ห้องสมุดของบ้านเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับโลกนี้จากเจ้าของบ้าน ด้วยเหตุผลของความอยากรู้อยากเห็นเจ้าบ้านจึงได้อนุญาตอย่างไม่ขัดสิ่งใด แต่จุดประสงค์หลักที่เจ้าตัวเล็กต้องการกลับเป็นการค้นหาห้องลับที่อยู่ภายในบ้านหลังนี้
ยาฉะ เบียกโกะ ไม่ใช่ปีศาจที่โง่งม แม้เขาจะอนุญาตแต่โดยดี แต่ก็สั่งให้ยาจิตามมาด้วย เพื่อดูแลความปลอดภัยให้แร็กนาร์...ซึ่งเป็นเรื่องน่าหงุดหงิดใจให้คนร่างเล็กเสียมากกว่า ส่วนทางฝั่งรูร์กัสก็ติดตามเอจิออกไปทำธุระสำคัญที่นอกหมู่บ้านเช่นเดียวกัน
ส่วนเด็กแฝด ฮิเดโอะ กับ ฮิโรกิ นั้นคนเป็นพ่อเรียกให้เข้าไปพบเสียตั้งแต่เช้า เช่นนั้นและพวกเด็กน้อยทั้งหลายจึงได้แยกย้ายกันไปคนละทิศทางเช่นนี้เอง
แร็กนาร์อยู่ในห้องหนังสือตั้งแต่เช้าจรดเย็นโดยมีเจ้าโกยาตเลย์นกน้อยของเขาเกาะไหล่มองมาอย่างเงียบๆเป็นเด็กดีเสียจนแร็กนาร์ถูกใจมากขึ้นๆไปอีก เวลาพักสายตาก็จะนำขนมที่ติดมาป้อนมันเสียทุกครั้งไป
และมียาจินั่งง่วงเหงาหาวนอนเป็นเพื่อนอยู่ด้านตรงข้ามของโต๊ะอ่านหนังสือ แต่จนแล้วจนรอดยาจิที่ไม่ถูกโรคกับการอ่านหนังสืออย่างรุนแรงจึงลุกออกไป แล้วทิ้งเขาเอาไว้อย่างไม่ใยดี ช่างเป็นลูกน้องที่น่าเขี่ยทิ้งเสียจริงๆ ก่อนไปก็ไม่ลืมที่จะกำชับให้แร็กนาร์เก็บเป็นความลับ มันเข้าทางเขาพอดีจึงรับปากอย่างไม่อิดออดใดๆ
เขาอ่านหนังสือเกี่ยวกับแดนพยัคฆ์ต่อได้สักพักจนมั่นใจว่ายาจิจะไม่ย้อนกลับมาแล้วจึงปิดหนังสือ แล้วเริ่มเดินสำรวจจนทั่วห้องสมุด แต่จนแล้วจนรอดเขากลับไม่พบสิ่งใดเลย
แร็กนาร์นั่งลงพิงชั้นหนังสือย่างเหนื่อยหน่ายที่การคาดเดาของตนผิดพลาดในมุมด้านในสุดของห้องสมุด เขาเอนตัวพิงร่างกายลงไปทั้งร่าง แล้วใช้มือท้าวลงไปบนพื้นจนมือเล็กๆนั้นวางเข้าไปในช่องเล็กๆซึ่งเป็นช่องว่างระหว่างผนังกับชั้นวางหนังสือ ช่องเล็กๆที่ซ่อนอยู่ในสุดของห้องสมุดหากไม่ทันสังเกตให้ดีก็จะมองข้ามไปได้ง่ายๆหากคนทั่วไปพบเจอคงไม่ใส่ใจใดๆแต่ในหัวของแร็กนาร์กลับโลดแล่นอย่างลิงโลด พร้อมขอสันนิษฐานมากมายที่ใช้เปิดห้องลับด้านหลังช่องนี้
ช่องเล็กแคบที่ห่างจากผนังเพียง 1 เซนติเมตร ไม่เพียงพอให้ใช้มือวางลงไปเสียงด้ายซ้ำ และหากสังเกตบริเวณใกล้เคียงก็จะพบเจอหนังสือเล่มมุมล่างสุดที่ชิดกับผนังของชั้นวางซึ่งติดกับช่องเล็กๆนั้นที่มีขนาดพอดีกับช่องอันเล็กแคบ
แร็กนาร์หยิบหนังสือเล่มนั้นออกมาอย่างไม่ลังเล แล้วจึงพบว่าปกหนังสือของเล่มนี้ไม่ธรรมดาเอาเสียเลย ที่ขอบปกหนังสือทุกด้านทั้งปกหน้าและปกหลังมีแผ่นเหล็กบางๆที่ถูกทำให้พับงอติดเอาไว้ให้มันหนาและหนักขึ้น รวมทั้งโผล่พ้นจากตัวหนังสือเล็กน้อย มันอาจจะดูธรรมดาหากไม่พบช่องลับ แต่เมื่อมันอยู่คู่กันจึงคาดเดาได้ไม่ยากเช่นนี้เอง
มือเล็กดุนดันหนังสือเข้าไปในช่องว่างโดยคว่ำด้านยาวที่มีแผนเหล็กลง จากนั้นดันมันลงไปด้านล่างจนติดพื้นด้วยแรงที่มากขึ้น
กริ๊ก!
เสียงแผ่นเหล็กลงล็อกในจุดที่มีช่องสี่เหลี่ยมซึ่งอยู่ที่พื้นอย่างพอดี รอเพียงชั่วอึดใจชั้นวางหนังสือก็ค่อยๆเลื่อนมาข้างหน้า แล้วห้องหนังสือขนาดเล็กก็ปรากฏแก่สายตาของแร็กนาร์ ช่องเล็กๆนั้นไม่อาจส่องผ่านเข้ามาดูด้านในได้ เพราะมีแผ่นเหล็กสีคล้ายคลึงผนังปิดซ้อนทับหลังชั้นหนังสือปิดจนถึงช่องว่างนั้นพอดี
แร็กนาร์เงียบฟังเสียงโดยรอบจนมั่นใจว่าไม่มีใครแอบมอง หรืออยู่ใกล้ๆบริเวณนี้แล้วจึงได้เดินเข้าไป จากนั้นชั้นหนังสือก็เลื่อนปิดลงด้วยตัวของมันเอง พร้อมๆกับตะเกียงบนโต๊ะหนังสือที่สว่างขึ้น กลไกลที่แร็กนาร์เคยพบ เขาจึงไม่รู้สึกตื่นเต้นแต่อย่างใด
เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาต้องการเจ้าของร่างเล็กก็เริ่มค้นหาหนังสือที่น่าสนใจเหล่านั้นทันที และตอนนี้เองแร็กนาร์ก็เจอกับหนังสือเล่มหนึ่งที่สะดุดตาเสียจนมือสั่น
‘4 องครักษ์เงาแห่งเขตใต้’เพียงชื่อที่ปรากฏบนปกหนังสือก็ทำให้หัวใจของแร็กนาร์เต้นเร็วเสียจนแทบทะลุออกมา ดังคราวที่ได้ฟังเรื่องราวของริเรน่า แต่ครั้งนี้...มันเต้นเร็วกว่าครั้งนั้นมากมายทีเดียว
To Be Continued...
______________________________________________________________
กลับมาแล้วค่าาาาา คิดถึงกันไหมเอ่ย
ก่อนหน้านี้เราแจ้งในเพจไปบ้างแล้ว แต่จะแจ้งอีกครั้งนะคะ
ช่วงที่หายไปเราวุ่นๆกับการหางานใหม่ พอกลับมาเขียน ตัดใจจากงานใหม่ได้
ก็โดนย้ายสาขาที่ทำงาน เพราะเราเขียนใบลาออกแล้ว พอยกเลิกก็เลยต้องย้ายสาขา
สาขาใหม่ก็ต้องปรับตัวใหม่ เวลาทำงาน หรือเพื่อนร่วมงาน วิธีการทำงานก็ปรับใหม่
จนเราแบ่งเวลามานั่งพิมพ์ไม่ได้ กลับถึงห้องก็หลับ ตื่นก็ถึงเวลาไปทำงาน
พอเริ่มปรับตัวได้ก็มีมหากรรมสอบที่วิทยาลัย
เราก็วุ่นกับการเคลียร์งานส่ง และอ่านหนังสือสอบอีก
จนตอนนี้สอบเสร็จแล้ว แต่วันที่ 10 เราจะกลับต่างจังหวัด(ลูกพี่ลูกน้องบวช)
จากที่จะกลับมาอัพที่เดียว 2 ตอน หลังพิมพ์เสร็จ ก็ต้องเลื่อนออกไป เปลี่ยนเป็น
ทยายลงเท่าที่ทำเสร็จก่อน
แล้วเจอกันจ้า