The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 44 ซาซากิ ฮาจิเมะ (29/08/2018)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 44 ซาซากิ ฮาจิเมะ (29/08/2018)  (อ่าน 41870 ครั้ง)

ออฟไลน์ Reminder

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ปาด.+รอจ้า

พาเคลตี้ไปทำอะไรน๊า...

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ GreenHead(หัวเขียว)

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
    • Green Head - หัวเขียว

ตอนที่ 27
การพบเจอ 61-100%


เรย์  นาฟ เอลลูญ์  และทาคุ  รีบลุกขึ้นแล้วเดินตามไปแม้ร่างกายเริ่มไร้เรี่ยวแรงเต็มที  ท้องก็ร้องประทวงเสียงดังจนห้ามไม่อยู่  เหตุการณ์เมื่อครู่ก็คงมีเพียงเรย์กับนาฟที่ไม่แปลกใจในการกระทำต่างๆของหมอชรา ทั้งเรื่องที่ว่าเขาสามารถกำจัดหน่วยลาดตระเวนของบริเวณนี้ออกไปได้อย่างไร หรือเรื่องพลังที่แปลกประหลาดเมื่อครู่ เขาเป็นปีศาจเผ่าพยัคฆ์แต่กลับใช้พลังของลมได้ จะดูอย่างไรก็ไม่อาจหาความคล้ายของปีศาจที่เป็นลูกครึ่งระหว่างเผ่าพยัคฆ์กับเผ่าวิหกได้เลยแม้แต่น้อย



ทั้งทาคุ   และเอลลูญ์ ต่างสงสัยแต่ไม่กล่าวสิ่งใดออกมา  สำหรับเอลลูญ์แล้วเมื่อเขาคิดจะเชื่อใจเรย์กับนาฟ เขาจึงใจเย็นรอให้ทั้งสองออกปากบอกด้วยตนเอง แต่ทาคุนั้นเขากลับไม่ได้รู้สึกแปลกใจในการใช้พลังของหมอชรา  เขาแปลกใจตนเองต่างหาก   แปลกใจที่ตนรู้สึกเหมือนว่าเคยชิน และไม่แปลกใจกับพลังนั้นเลย



แต่กระนั้นบริเวณดังกล่าวก็ไม่ได้มีเพียงพวกเขา  ผู้ที่ซุ่มดูอยู่หลังพุ่มไม้เพื่อดูเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบกลับสงสัย  สงสัยมากขึ้นเรื่อยๆจนแทบอยากออกไปถามให้รู้แล้วรู้รอด  แม้เขาจะคุ้นเคยกับตาแก่นั่นมากแล้ว  แต่เหตุการณ์ที่เห็นเมื่อครู่  เขาไม่รู้ว่ามันเป็นความลับหรือไม่  ทำให้เขาไม่อาจวางใจต่ออีกฝ่ายได้



   แร็กนาร์เดินตามพวกเขาไปอย่างเงียบเชียบ  รอฟังบทสนทนาที่จะเกิดขึ้น แม้เขาจะสงสัยมากมายเพียงใด แต่ความปลอดภัยต้องมาก่อนเสมอ  หากหมอชราอยู่เบื้องหลังเรื่องเลวร้าย  หรือหากสิ่งที่เขาเห็นเป็นความลับที่ไม่อาจเปิดเผย  ด้วยร่างกายของเด็กที่ฝึกพลังยังไม่คงที่ เขาไม่อาจรับมืออีกฝ่ายได้แน่  และรูร์กัสกับโกยาตเลย์เองก็ต้องได้รับเคราะห์ไปกับเขาด้วย การตัดสินใจครั้งนี้จึงต้องระวังมากกว่าที่ควร



ด้านล่างของหอสังเกตการณ์มีห้องคล้ายบ้านขนาดเล็กก่อสร้างไว้เบื้องล่าง  มันคงมีไว้สำหรับพักผ่อนเวลาพักในช่วงเปลี่ยนเวรยามในแต่ละรอบ   ด้วยความที่มันรกร้างมานานเพราะย้ายที่ตั้งใหม่  มันจึงทรุดโทรมลงไปไม่น้อย   แต่กระนั้นด้านในกลับยังสะอาดมากพอที่พวกเขาจะใช้พักชั่วคราว



เรย์  นาฟ เอลลูญ์และทาคุ  เดินตามหมอชราเข้าไปด้านใน  แล้วนั่งลงบนพื้นไม้อย่างหมดสภาพ   จากนั้นหมอชราก็เริ่มจัดเตรียมอุปกรณ์สำหรับทำแผล  โดยเลือกทำให้ทาคุเป็นรายแรก  ทาคุดูจะบาดเจ็บมากที่สุด  แขนข้างขวาที่ห้อยอยู่เหมือนไร้เรี่ยวแรง   หากรักษาช้าเกินไปอาจใช้การไม่ได้อีก  ส่วนคนอื่นๆนั้นดูแล้วไม่ร้ายแรงเท่าใดจึงยังพอรอไปก่อนได้ จะทำแผลให้พวกเขาหลังจากนี้สัก  1  หรือ 2 ชั่วโมงก็ยังไม่สาย



หลังทำแผลที่แขนของทาคุเรียบร้อยแล้ว  หมอชราก็ใช้ผ้าผูกรองที่แขนแล้วมัดปมห้อยมันไว้กับคอ แม้กระดูกจะไม่ได้หักออกจากกัน   แต่ก็ยังคงมีรอยร้าวอยู่เขาคงต้องงดใช้แขนข้างนั้นสักพักจึงจะหายดี  จากนั้นก็เริ่มทำแผลส่วนอื่นๆของร่างกายที่ไม่ร้ายแรงนักอย่างคล่องมือ  ทั้งยังเริ่มสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น



“เหตุใดพวกเจ้าจึงไปอยู่ในเขตตะวันตกได้เล่าเรย์” หมอชราเลือกถามเรย์ ที่ดูจะให้ข้อมูลแก่เข้าได้อย่างครบถ้วนที่สุด



“เอ่อ  ก่อนจะเล่าข้าขอแนะนำพวกเขาสองทั้งก่อน ทางนี้คือ  เอลลูญ์ ผู้จ้างวานให้พวกเรานำมางท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆของแดนปีศาจ แม้เขาจะเป็นมนุษย์  และยังเป็นถึงราชวงศ์  แต่ไม่ต้องห่วงเอลลูญ์สามารถเชื่อใจได้  ข้ากับนาฟขอเป็นผู้รับรองเอง” กล่าวจบหมอชราก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ จะอย่างไรทั้งชีวิตของเขาก็ได้คลุกคลีอยู่กับเผ่าพันธุ์อื่นๆมาโดยตลอด ทั้งตอนนี้เองก็ถูกใจสองพี่น้องมนุษย์  กับลูกครึ่ง เด็กน้อยที่มาอาศัยอยู่ในบ้านใหญ่กลุ่มยาฉะเป็นอย่างยิ่ง การจะทำใจยอมรับมนุษย์อีกสักคนไม่ใช่เรื่องยากเกินไป



“ส่วนทางนี้คือท่านทาคุ เราพบกับท่านทาคุที่เขตตะวันตก  อาจเพราะพวกเรามีชะตาต้องกันท่านทาคุที่ความจำเสื่อมจึงรู้สึกคุ้นเคยกับพวกข้าเป็นอย่างยิ่ง  ความทรงจำของท่านทาคุขาดหายจำความเป็นมาของตนไม่ได้ จำได้เพียงเสียงๆหนึ่งที่เรียกเขาว่า ทาคุ  แต่ก็ไม่รู้เพราะเหตุใดตลอด   8 ปีที่ผ่านมาท่านทาคุจึงถูกตามล่ามาโดยตลอด เพื่อซ่อนตัวจึงทำทุกวิถีทางจนหลบออกมาอยู่ได้อย่างสงบสุข” เรย์เล่าได้เพียงเล็กน้อยก็หยุด เพราะร่างกายเหนื่อยล้า ออกปากพูดเพียงเล็กน้อยเขาก็เหนื่อยแล้ว และเขาก็ต้องใช้สมองหนักกว่าที่ควรเพราะมันเบลอไปหมด เนื่องจากใช้พลังในการสร้างภาพลวงตามากเกินไป เขาจึงต้องใช้เวลาเรียบเรียงเหตุการณ์อยู่พอควร



“อ่อ เช่นนั้นเอง เพราะความจำเสื่อมสินะ...ทาคุมะ” หมอชราพึมพำเบาๆให้ได้ยินเพียงแค่ตน มันยากที่จะตัดใจเชื่อเรื่องทั้งหมด  จึงยังบอกไปไม่ได้ว่าเขารู้จักกับทาคุ เพราะอีกฝ่ายหายไปหลายปี ทั้งยังไม่มีข่าวคราว จึงไม่แน่ว่าจะเป็นไส้ศึกของศตรู เขายังต้องไปปรึกษากับเบียกโกะเสียก่อน



“ท่านว่าอย่างไรนะท่านหมอ” ทาคุถามขึ้นอย่างงุนงง เพราะเขาได้ยินเสียงนั้นแต่มันเบามากจนจับใจความไม่ได้ จึงถามทบทวนเพื่อความแน่ใจ จะอย่างไรเขาก็รู้สึกคุ้นเคยกับหมอชราเป็นอย่างมาก มันมากกว่ากับเรย์เสียอีก  ทั้งเขายังรู้สึกวางใจ และเชื่อใจอีกฝ่ายได้อย่างแปลกประหลาด



“ไม่มีอะไร...เล่าต่อเถอะเรย์” หมอชรายังคงท่าทีเขาตอบคำถามของทาคุอย่างเป็นธรรมชาติแล้วเปลี่ยนเรื่องอย่างแนบเนียน



“ได้...ด้วยความสงสัยเหตุผลของการตามล่า พวกเราจึงร่วมมือกับท่านทาคุเพื่อตามสืบหาต้นสายปลายเหตุ จนพวกเราตามไปถึงต้นตอของมัน เพียงแต่สิ่งที่พวกเราได้รับรู้กลับไม่ใช่เรื่องนั้น แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทำสงครามระหว่างเขตเหนือและเขตตะวันตกเสียได้ หลักจากกลับที่พักข้าก็ให้นาฟส่งจดหมายหาท่านเพื่อหาทางหนีเผื่อเอาไว้ และเป็นดังคาดวันต่อมาพวกเราก็โดนพวกมันตามล่า



ข้าและคนอื่นๆจึงอยากแจ้งความเหล่านั้นแก่หัวหน้ากลุ่มยาฉะทราบด้วยตนเอง...พวกท่านกำลังเจอศึกหนักเสียแล้ว หมากที่พวกมันวางไว้ก็มากมายทีเดียว ทั้งแผนของพวกมันก็วางเอาไว้หลายปีอย่างอดทน และที่สำคัญแผนการนั้นน่าจะเริ่มเมื่อ 8  ปีก่อน ข้าคิดว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกับท่านทาคุ จะร้ายดีอย่างไรพวกเราก็อยากรู้ความจริงที่เกิดขึ้น



ดังนั้นข้าต้องการให้ท่านพาพวกเราไปพบหัวหน้ากลุ่มยาฉะ และให้พวกเราได้สนทนากับเขาโดยตรง...ก่อนเริ่มเล่าเรื่องราวที่ได้ยินมา ข้าอยากจะต่อรองเสียหน่อย เพราะอย่างไรพวกเราก็ต้องรักษาชีวิตของตนเอง หากข้าเล่าให้ใครคนอื่น หรือเล่าให้ท่านฟังเพียงคนเดียว เกรงว่าพวกเราจะถูกฆ่าปิดปากได้โดยง่าย  ด้วยสภาพเช่นนี้แล้ว” เรย์กล่าวเพียงผิวเผินเพื่อต่อรอง และไม่ปิดบังจุดประสงค์ของตนเอง หมอชราใช่ว่าจะเชื่อใจได้อย่างหมดใจ  แม้จะรู้จักและช่วยเหลือกันมาหลายปีแต่ทุกครั้งมันเพื่อผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย หากเรื่องที่เขากล่าวทำให้หมอชราเสียประโยชน์ใดๆพวกเขาอาจจะไม่ได้รับการละเว้นชีวิตก็ได้



“หึหึ  เจ้ายังหลักแหลมไม่เปลี่ยน ข้าถูกใจเจ้าเสียจริงๆ...และข้าก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งว่าพวกเจ้าควรเข้าไปพบเบียกโกะด้วยตนเอง ถ้าหากเป็นไปตามที่ข้าคาดเดา ทางเราคงต้องขอความร่วมมือกับพวกเจ้าอย่างแน่นอน” ตัวของหมอชราเองอาจจะเปลี่ยนไปแล้วโดยที่เจ้าตัวไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปรงนี้ มันอาจจะเริ่มต้นตั้งแต่พบเจอความแปลกใจจากเด็กน้อยวัย  8 ขวบ ใจเขาที่เคยไม่ไว้ใจเผ่าพันธุ์ที่มีเศษเสี้ยวของมนุษย์เผ่าพันธุ์อันแสนเจ้าเล่ห์เพทุบายจึงได้วางทิฐินั้นลง ตอนนี้เขาจึงเชื่อใจเรย์กับนาฟมากขึ้นกว่าครั้งไหนๆ   



 แอดดดด



“ใคร!”  ประตูถูกเปิดออกเพียงเล็กน้อยจึงยังไม่เห็นผู้มาเยือน พวกเขาทั้ง  5  ต่างตื่นตัวเตรียมพร้อมรับสถานการณ์  ใจพวกเขาเต้นโครมครามเมื่อตระหนักว่าพวกเขาไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่ามีใครอยู่ด้านนอก  แม้จะเหนื่อยล้าแต่การรับรู้ไม่ได้มืดบอด  ผู้ที่เก่งกาจถึงขั้นไปมาไร้เสียง หากเป็นศัตรูก็น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง



“ข้าเอง” เวลาต่อมาประตูก็เปิดออกกว้าง ปรากฏเด็กน้อยลูกครึ่งที่หมอชราคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างยิ่งยืนอยู่ที่หน้าประตู



“เฮ้อ เจ้านี่นะจะทำให้คนแก่อย่างข้าหัวใจวายหรือย่างไร” ตามด้วยเสียงถอนหายใจอย่างโล่งใจและเหนื่อยหน่ายของหมอชรา นอกจากนี้ก็มีคำบ่นอันแสนยาวเหยียดที่เขากล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกครั้งที่แร็กนาร์มักมาปรากฏตัวเงียบๆเช่นนี้ คนอื่นๆจึงคลายอารมณ์ที่ตรึงเตรียดลง  เมื่อเห็นว่าหมอชราไม่ได้แปลกใจกับเสียงฝีเท้าที่พวกเขาไม่ได้ยิน และไม่รู้สึกถึงกระทั่งตัวตนของอีกฝ่าย ทั้งยังทำเช่นว่านี่เป็นเรื่องปกติธรรมดาสามัญทั่วไป



“ตาแก่  ข้าพอจะเข้าใจสถานการณ์แล้ว ให้พวกเขาไปพักที่เรือนข้า...ข้าเองก็จะเข้าไปพบด้วย...ข้าพร้อมให้คำตอบแก่พวกท่านแล้ว”

 

 

To Be Continued...



_________________________________________________________



มาแล้วค่าาา ในที่สุดก็ครบๆๆๆ

#ผักกาดๆ

กรีนจะรีไรท์ แร็กนาร์เด็ก(?)ซึน นะคะ  ตอนแรกจะรีแค่ก่อนลง Fictionlog แต่คิดว่าถ้ารีแล้ว ก็อัพพร้อมเว็บอื่นด้วยเลยน่าจะดีกว่าค่ะ

ดังนั้นถ้ามีแจ้งเตือนบ่อยอย่าพึ่งเบื่อนะคะ ขอทำทั้งแต่งต่อ ทั้งรีไรท์พร้อมๆกันเลย

และๆๆ ถ้าเรื่อง the scalpel จบภาคนี้แล้ว กรีนจะเปิดเรื่องใหม่ที่อยากลงมานานค่ะ

แต่เดี๋ยวจะเปิดเป็น intro ไว้ก่อน เอาไว้ยั่วน้ำลายเล่น หุหุ

สปอยนิด...เรื่องใหม่กรีนจะพากลับไปทัวร์โลกเดิมของแร็กนาร์นะเจ้าคะ ><

ออฟไลน์ Reminder

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
พบเจอนี่ แร๊กน่า กะ เอลลูญ์ ใช่ป่าว

จะรีไรท์พร้อมเขียนต่องานยากนะเนี่ย.... :katai4:
สู้ๆนะคุณกรีน

รอจ้า  :3123:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
รีบมาอีกนะๆ

ออฟไลน์ GreenHead(หัวเขียว)

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
    • Green Head - หัวเขียว
ตอนที่ 28
ความรู้สึกกลัว


“เหตุใดจึงมองข้าเช่นนั้น มีสิ่งใดสงสัยก็เอ่ยถามมา” สายตาที่จับจ้องมายังแร็กนาร์ขณะที่กำลังเดินกลับไปยังเรือนนอนทำให้เขาอึดอัดจนต้องเอ่ยปากถาม


“เอ่อ คือ...คือ” ชายหนุ่มผมสีเงินตกใจจนส่งเสียงออกมาอย่างกระอักกระอ่วนใจ เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกได้ แล้วยังกล้าถามออกมาตรงๆ และที่สำคัญเขาไม่กล้าถามออกไป เพราะคิดว่ามันเป็นคำถามที่ไม่ควรถามเป็นอย่างยิ่ง ทั้งจะพาลทำให้อีกฝ่ายโกรธเอาได้ง่ายๆ


สายตาของผู้ที่จับจ้องมองมานั้นไม่ได้มีเพียงเอลลูญ์ แต่ที่ทำให้แร็กนาร์ทนความอึดอัดไม่ไหวดูเหมือนจะมีเพียงสายตาเอลลูญ์เท่านั้น เพราะดูเหมือนว่าในบรรดาชายทั้ง 4 จะมีเพียงเอลลูญ์ที่เก็บความรู้สึกได้น้อยที่สุด ทั้งความสงสัยใคร่รู้ของเขายังเป็นเพียงความสงสัยในสิ่งแปลกใหม่แบบเด็กๆ ไม่เหมือนคนอื่นๆที่มองเขาด้วยสายตาประเมินค่า ซึ่งสายตาเช่นนั้นแร็กนาร์รู้สึกชินชาเป็นอย่างยิ่ง ออกจะชอบเสียด้วยซ้ำ เพราะมันง่ายดายต่อการล่อลวง เพียงแสดงนิสัยบิดเบือนไปเพียงเล็กน้อย พวกคนเหล่านั้นก็เข้าใจผิดได้ง่ายๆ


ส่วนเอลลูญ์นั้นดูเหมือนจะไม่ได้สนใจใคร่รู้ถึงนิสัย หรือความสามารถของเขาเท่าไหร่นัก เหมือนว่าเจ้าตัวไม่ได้ประเมินสิ่งรอบข้าง แต่กลับสนใจเพียงจุดเดียว ซึ่งเป็นดังเช่นความสงสัยใคร่รู้ที่บริสุทธิ์เหมือนสัตว์ตัวน้อยที่พึ่งถูกปล่อยออกจากกลงขังอย่างไรอย่างนั้น


“เจ้า...เอ่อ เจ้า...เจ้าเป็นหญิงหรือชาย...” เอลลูญ์เอ่ยถามออกมาในที่สุด ทั้งยังส่งสายตาขอโทษแร็กนาร์อย่างรู้สึกผิด มือก็ถูกยกขึ้นมาลูบผมด้านหน้าเล็กน้อยเพื่อแก้อาการประหม่า


“ห๊ะ” แร็กนาร์ตกใจจนเผลอคุมสติไม่อยู่ เอ่ยเพียงแค่นั้นแล้วอ้าปากค้างไว้


..


..


..


“ฮ่าๆๆ กร๊ากกก ฮ่าๆ” อึดใจต่อมาก็ตามด้วยเสียงระเบิดหัวเราะของผู้ร่วมทางทั้ง 3 และหมอชราด้วย บางคนหัวเราะจนตัวงอ แต่บางคนยังเก็บอาการปิดปากหัวเราะเบาๆอย่างไว้ที


“คือ แหะๆ ข้ามองไม่ออกจริงขอโทษนะ” เอลลูญ์ถูกคนอื่นหัวเราะเยาะ แต่เขาไม่ได้โกรธ ออกจากเขินอายเสียมากกว่า จึงเอ่ยแก้สถานการณ์กับแร็กนาร์เบาๆ มือที่ลูกผมอยู่ก็ถูกลดระดับลงจนอยู่บริเวณแก้ม แล้วใช้นิ้วชี้เกาแก้มเบาๆเพราะเขารู้สึกว่ามือไม้เก้งก้างไปหมดไม่รู้ว่าควรวางไว้ที่ตรงไหน เขาไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน การเล่นหัวที่รื่นเริงเช่นนี้เขาไม่เคยสัมผัสมันมาก่อน...ไม่สิ เขาเคยได้รับ แค่ครั้งเดียวเท่านั้น จากคนคนนั้นที่เขาอยากพบอีกสักครั้ง


ตอนใบหน้าของเอลลูญ์ขึ้นสีแดงจางๆอย่างไม่เข้ากับบุคลิกเย็นชาและสง่างามของเขาแม้แต่น้อย แต่จะให้ทำอย่างไรได้เล่า เขาถูกเลี้ยงมาภายในวังที่ถูกแบ่งแยกชายหญิงชัดเจน ชายสวนใส่กางเกง ส่วนหญิงสวมกระโปรง มีเพียงช่วงที่เขาหันหลังออกมาจากที่แห่งนั้นเท่านั้น เขาจึงได้เรียนรู้สิ่งที่ต่างออกไป หญิงชาวบ้านสวมกางเกงเพื่อความคล่องตัวในการทำงานจนกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา  ซึ่งเขาก็เริ่มปรับตัวได้มากแล้ว  มองออกด้วยรูปร่างหน้าตาและท่าทางการแสดงออก


แต่แร็กนาร์กลับต่างออกไป เขาเป็นเด็กที่มีใบหน้าหมดจดงดงามเกินชาย  แต่กิริยาท่าทางกลับกลับไม่อ้อนแอ้นเช่นหญิงสาวแม้แต่น้อย  และเหนือสิ่งอื่นใดคือความรู้สึกในใจที่เต้นตึกตักอย่างไม่ทราบสาเหตุ


หัวใจของเขาสั่นไหวตั้งแต่ที่ได้มองแร็กนาร์ครั้งแรก ความไว้วางใจที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับคนที่ได้พบหน้าเพียงครั้งแรกกลับเกิดขึ้นอย่างง่ายดาย ความรู้สึกที่ส่งผ่านทางการจ้องมองเมื่อครู่   จึงไร้ซึ่งความระแวดระวังเช่นคนอื่นๆ  ในใจมีเพียงความรู้สึกสงสัยในคำถามข้อนี้อย่างชัดเจน เขาอยากรู้ว่าคนตรงหน้าเป็นชายหรือหญิง  นั่นคือความรู้สึกเดียวที่อยู่ในใจเวลานี้


“เจ้าเด็กนี่” แร็กนาร์ขบกรามอย่างไม่พอใจ เพราะครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาถูกเข้าใจผิด ครั้งแรกคือถูกเจ้าเด็กแฝดเข้าใจผิดว่าเป็นผู้หญิง มาครั้งนี้ยังถูกถามอย่างไม่แน่ใจอีก  ทำให้เขารู้สึกกระอักกระอ่วนใจต่อรูปร่างหน้าตาของเขาเป็นอย่างยิ่ง


‘รูร์กัสเคยบอกแล้วว่าหน้าตาของร่างนี้ถอดแบบริเรน่ามาเต็มๆ ในความทรงจำก่อนที่ร่างนี้จะตายก็จำได้ว่าผู้หญิงบนภาพนั้นสวยเอามากๆ...สวยจนไม่น่าเชื่อว่าจะยอมแต่งงานกับไอ้เลวรูเฟรียสนั่น


แต่นี่มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ ครั้งแรกก็โดนเรียกว่าพี่สาว แต่ก็พอให้โอกาสได้เพราะเจ้าสองแฝดเป็นเด็กอายุแค่ 7 ขวบ ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรมากมาย


พอมาครั้งนี้เจ้าเด็กเชื้อพระวงศ์ที่ดูอย่างไรก็โตกว่ารูร์กัสด้วยซ้ำ มาถามแบบไม่มั่นใจว่าเป็นเพศไหนเนี่ยนะ บัดซบ นี่มันน่าฆ่าทิ้งกว่าเจ้าสองแฝดอีก’



“หึๆ เอ้าๆ เจ้าไม่ตอบเขาไปล่ะเด็กน้อย” เห็นแร็กนาร์ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างโกรธเคือง หมอชราก็เอ่ยขึ้นอย่างยียวนชวนโมโหทันที ในตอนแรกนั้นเขารู้สึกไม่ถูกชะตากับเอลลูญ์เพราะเกลียดคนเย่อหยิ่งจองหอง แต่พอเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ก็ทำให้เขารู้แล้วว่าสิ่งที่เอลลูญ์แสดงออกมาเป็นเพียงความไม่คุ้นชินเท่านั้น หาได้เป็นดังที่ตนคิด ทั้งตอนนี้ยังถูกใจเอลลูญ์เป็นอย่างยิ่งที่ทำให้เจ้าเด็กหน้าเดียวอย่างแร็กนาร์โกรธจนหน้านิ่วคิ้วขมวด ขบกรามกรอดๆได้ขนาดนี้


“ชาย” กล่าวจบแร็กนาร์ก็เดินกลับเรือนพักอย่างรวดเร็วโดยไม่แม้แต่หันกลับมามองด้านหลัง เพราะเขากำลังห้ามอารมณ์โกรธเกรี้ยวที่พาจะสังหารเอลลูญ์เสียให้ได้ ด้วยที่รู้สึกไม่ถูกชะตากับเอลลูญ์ตั้งแต่ต้นจึงทำให้เขายิ่งต้องใช้ความพยายามให้ความอดกลั้นมากกว่าที่ควร


เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกไม่นาน ก็เหลือเพียงเสียงฝีเท้าที่เดินตามมาอย่างไม่เร่งรีบ เป็นดังคาดคนเหล่านั้นใกล้จะหมดแรงเต็มที่แล้ว การพบเบียกโกะควรจะเริ่มในวันรุ่งขึ้นอย่างที่คิด วันนี้คงต้องพักผ่อนเอาแรงเสียก่อน


แร็กนาร์เดินไกลออกมาเพราะเร่งฝีเท้าออกห่าง จนคนที่ไร้เรี่ยวแรงเหล่านั้นตามไม่ทัน ยังดีที่หมอชราเดินมาด้วยจึงไม่ต้องห่วง
ว่าจะหลงทาง เขาจึงเดินตรงไปยังเรือนพักอย่างหมดห่วง ไม่นานนักแร็กนาร์ก็มาถึงเรือนพักที่อยู่ไม่ไกลจนเขามองเห็นได้ เวลานี้เรือนพักควรจะมืดไร้แสงไฟ แต่มันกลับมีตะเกียงดวงหนึ่งจุดอยู่ที่ชานด้านหน้า และข้างๆตะเกียงนั้นมีมนุษย์ผู้หนึ่งนั่งอยู่ รูร์กัสที่มักมีรอยยิ้มประดับริมฝีปากอยู่เสมอกลับมีสีหน้านิ่งเรียบอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แม้มือที่ลูบหัวเจ้าโกยาตเลย์จะยังแผ่วเบาดังว่าเจ้าของมือยังใจเย็นเช่นทุกครั้ง แต่บรรยายกาศรอบด้านกลับแตกต่างจนแทบหายใจไม่ออก


ความทรงจำภายในร่างร้องเตือนว่ารูร์กัสกำลังโกรธอย่างถึงที่สุด แม้ในหัวจะยังจดจำไม่ได้ แต่ร่างกายกลับจำได้ดี มือเขาเริ่มสั่น หัวใจอึดอัดจนรู้สึกหวิวไหวแปลกประหลาด สัญชาตญาณในส่วนลึกสั่งให้เขาขอโทษรูร์กัสแม้จะยังไม่รู้ว่าตนทำสิ่งใดผิดก็ตาม


‘พึ่งเคยเห็นรูร์กัสโกรธขนาดนี้เป็นครั้งแรก มันรู้สึกประหลาด รู้สึกได้เลยว่าร่างกายกำลังหวาดกลัว...บ้าน่ะ กลัวรูร์กัสเนี่ยนะ แล้วอย่างผมเนี่ยนะ ใจเย็นๆสิ S.P หายใจเข้า หายใจออก ใจเย็นๆ แล้วเดินเข้าไปซะ ไม่มีอะไรต้องกังวล’


ทำใจให้สงบลงได้แล้วแร็กนาร์ก็พาขาที่หนักอึ้งเดินเข้าไปหารูร์กัสด้วยย่างก้าวที่สม่ำเสมอ ในชีวิตเดิมเขาไม่เคยรู้สึกประหม่าเช่นนี้มาก่อน คงต้องโทษเจ้าของร่างนี้ที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของความรู้สึกจึงได้มีอิทธิพลต่อเขามากมายเช่นนี้


“พี่...พี่รูร์กัส” เสียงแหบหวานเอ่ยขึ้นอย่างออดอ้อนโดยไม่ได้ตั้งใจ เจ้าของชื่อเพียงเหลือบตาขึ้นมองเล็กน้อยแล้วกลับไปสนใจเจ้านกน้อยโกยาตเลย์ต่อ ส่วนเจ้าโกยาตเลย์ที่ตอนนี้ไม่ได้รู้สึกสบายอย่างที่ตาเห็นได้แต่ทำตัวสงบเสงี่ยมเรียบร้อย เพราะรู้สึกได้ถึงบรรยากาศมาคุจากคนทั้งสอง...ในเวลานี้ไม่ใช่เวลาอันสมควรที่เขาต้องออกโรง


“ข้า...ข้ากลับไปที่บ้านมา...ไปรับเจ้าเคลตี้” แร็กนาร์เอ่ยบอกพร้อมทั้งตบกระเป๋าเบาๆ 2 ครั้ง เจ้าเคลตี้ตัวอ้วนก็โผล่หัวออกมกจากช่องว่างของกระเป๋าที่แร็กนาร์เปิดไว้ให้มันใช้หายใจ จ้องมองรูร์กัสด้วยสายตาใสแป๋วแบบที่แร็กนาร์สั่งไว้


“มันเป็นสัตว์ในพันธะสัญญาของข้า...ข้าคิดว่ามันคงจะช่วยเราได้มากหากต้องทำตามแผนของเบียกโกะ...แล้วก็ แล้วก็...” หัวใจของแร็กนาร์กำลังเหี่ยวแห้ง เขารู้มาตลอดว่าตนแครูร์กัสอย่างมาก แต่วันนี้เองที่เขาได้รับรู้ว่าเขาแคความรู้สึกรูร์กัสมากกว่าใครๆที่เคยเกี่ยวข้อง


ไม่ใช่เพียงว่าร่างกายนี้จดจำความรู้สึก แต่เป็นตัวเขาเองที่รู้สึกกลัว...กลัวที่จะต้องสูญเสียคนสำคัญไป  กลัวว่ารูร์กัสจะหายไปจากที่ตรงนี้และไม่อาจได้พบกันอีก


“ที่ข้าไม่บอกพี่เพราะกลัวว่าจะเป็นห่วง จะอย่างไรข้าก็ตั้งใจที่จะรีบกลับมาอยู่แล้ว...อย่าโกรธข้าเลยนะพี่รูร์กัส...ได้โปรด” กล่าวจบแร็กนาร์ก็ก้มหน้าเพื่อซ่อนความรู้สึกหวาดกลัวที่อยู่ในดวงตา เขากำลังรู้สึกผิด มันนานมากแล้วที่เขาทิ้งความรู้สึกเหล่านี้ไป จนคิดไปเองว่าตนไร้ความรู้สึก แต่ตั้งแต่เข้ามายังโลกใบนี้ เขากลับอ่อนไหวง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ


อาจจะเพราะความรู้สึกที่หลอมลอมกับร่างกายของเด็ก หรืออาจจะเพราะผู้คนรอบตัวกำลังทำให้เขาค่อยๆเปิดใจออกมาก็ไม่อาจทราบ ความรู้สึกที่นักฆ่าไม่พึงมีจึงถาโถมเข้ามาอย่างไม่ขาดสายเช่นนี้


เสียงฝีเท้าที่ห่างออกไปทำให้ใจของแร็กนาร์แทบหยุดเต้น สมองหนักอึ้งจนคิดสิ่งใดไม่ออก ร่างกายไวกว่าความคิด เขารีบวิ่งขึ้นไปบนชานบ้าน ตามเข้าไปจับแขนรูร์กัสเอาไว้ ชั่วพริบตานั้นคนที่ไม่ทันตั้งตัวจึงหันมามองตามแรงดึง ทำให้ทั้งสองได้มองใบหน้าของกันและกันอย่างชัดเจน


แร็กนาร์จึงได้เห็นว่ารูร์กัสกำลังร้องไห้ ใบหน้าถูกอาบด้วยน้ำตาเปรอะเปื้อนไปหมด มันเหมือนกับครั้งนั้น ครั้งที่รูร์กัสร้องอ้อนวอนในวันที่ร่างนี้ตาย มันเป็นใบหน้าแบบที่เขาเกลียดที่สุด...ทั้งที่บอกว่าจะปกป้อง แต่ในเวลานี้กลับเป็นเขาเองที่กำลังทำลายคนตรงหน้า


“พี่...รูร์กัส” แร็กนาร์เอ่ยเรียกชื่อรูร์กัส แต่กลับไร้ซึ่งเสียงที่ส่งออกมา เขาอยากขอโทษแต่เวลานี้...คำขอโทษจะยังมีค่าอยู่หรือ


“เจ้ากลัวว่าพี่จะเป็นห่วงถ้าบอกไป...แต่ไม่คิดเลยหรือว่าถ้าพี่ตื่นขึ้นมาแล้วไม่พบแม้แต่เงาของเจ้าพี่จะรู้สึกเช่นไร แร็กนาร์...พี่ไม่อยากเสียเจ้าไปอีกเป็นครั้งที่ 2 ได้โปรดอย่าทำเช่นนี้อีก


เจ้ามีความลับกับพี่พี่ไม่ว่า พี่รู้ว่าเจ้ายังไม่พร้อมที่จะอธิบายเรื่องที่คุยกับท่านเบียกโกะให้พี่ฟังในเวลานี้ พี่ก็จะไม่ถาม ทั้งเรื่องที่เจ้ารู้วิชาแพทย์และวิชาปรุงยา ทั้งยังทำสัญญากับสัตว์มายาอีก...พี่รอได้จนกว่าเจ้าพร้อมจะอธิบาย


แต่พี่ขอแค่ข้อเดียว หากว่าจะทำสิ่งใดที่มันเสี่ยงต่อชีวิตของเจ้า...ช่วยบอกพี่สักนิดได้หรือไม่” กล่าวจบก้อนสะอื้นที่กันไว้เพื่อระบายความอัดอั้นในใจก็ถูกปล่อยออกมา รูร์กัสร้องไห้โฮยิ่งกว่าเด็กตัวเล็กๆ น้ำตาไหลออกมาหยดแล้วหยดเล่า ร่างกายก็สั่นเท่าเสียจนน่ากลัว


แร็กนาร์คือความรักทั้งหมดที่ท่านแม่ทิ้งเอาไว้ แร็กนาร์คือน้องชายที่เขารักมากที่สุด แค่เพียงปิดบังเรื่องที่เขากล่าวมาก็ทำให้เขาเสียความมั่นใจไปมากแล้ว เพราะมันคิดได้เพียงว่าแร็กนาร์ไม่ไว้ใจเขา มาตอนนี้ยังถึงขั้นเสี่ยงอันตรายโดยไม่บอกกล่าวยิ่งทำให้หัวใจของรูร์กัสแทบแหลกสลาย


พรึ่บ!


แร็กนาร์คว้าร่างที่โตกว่าตนเข้ามากอดเอาไว้ เขาสูงเพียงไหล่ของรูร์กัสจึงทำให้รูร์กัสเซถลามาซบตรงไหล่บางของแร็กนาร์พอดี แม้ท่าทางจะพิลึกอยู่บ้างแต่รูร์กัสก็ยอมอยู่ในท่านั้นซบไหล่คนตัวเล็กร้องไห้อย่างไม่รู้สึกกระดากอาย


“ข้าเข้าใจแล้วต่อไปหากจะทำสิ่งใดข้าจะบอกพี่ก่อน...ส่วนเรื่องอื่นๆข้าสัญญาว่าจะบอกพี่ทุกอย่าง...ขอเวลาข้านะ  อีกนิด อีกนิดนะพี่รูร์กัส” แร็กนาร์รับปากอย่างหนักแน่น รูร์กัสเองก็รู้สึกถึงความรู้สึกที่ต่างจากทุกครั้ง เพราะเมื่อก่อนเขาจะเป็นคนที่กอดปลอบร่างที่เล็กกว่าตนเสมอ แต่เวลานี้อ้อมกอดของคนตัวเล็กกลับทำให้เขารู้สึกอุ่นใจอย่างประหลาด ทั้งอุ่นใจ ทั้งวางใจ ทั้งรู้สึกดี มันผสมปรนเปรอไปหมดจนแยกไม่ออก เขาจึงคลายความกังวลต่างๆไปได้อย่างง่ายดาย


เขาเป็นเสาหลักที่ให้แร็กนาร์พึ่งพิงมาตลอดจึงทำตัวอ่อนแอไม่ได้ เขากดดันตัวเอง ต้องเป็นพี่ชายที่พึ่งพาได้ ต้องปกป้องน้องชาย นั่นคือสิ่งที่เขาออกคำสั่งกับตัวเองอยู่เสมอ แต่เวลานี้เขากลับเข้มแข็งขึ้นได้ เพราะคำพูดของแร็กนาร์


ต่อไปเขาคงไม่ต้องฝืนตัวเองอีกแล้ว เพราะต่อไปพวกเขาคงพึ่งพากันและกัน เป็นหลักยึดให้กันทั้งสองฝ่าย และต่อไปชีวิตของพวกเขาต้องผ่านอุปสรรคต่างๆไปได้อย่างราบรื่น และพบกับความสุขอย่างแน่นอน...หลักจากจบเรื่องนี้ เขาจะต้องเกลี่ยกล่อมแร็กนาร์ให้สืบทอดเจตนารมณ์ของท่านแม่...รูร์กัสกล่าวกับตัวเองอย่างหมายมาด



***************************************50%**************************************   
ตอนนี้เป็นตอนเบาๆค่ะ เอามาให้อ่านก่อนจะเจอพายุลูกใหญ่ ฮ่าๆๆ
ตอนแรกจะลง 100% แต่ร่างกายน็อกมาหลายวันแล้ว วันนี้พึ่งจะคงที่ สาเหตุมาจากการแพ้ฝุ่น และพักผ่อนไม่เพียงพอ จนทำให้ไม่สบายค่ะ...ขอโทษนะคะที่ทำตามที่รับปากไม่ได้
ส่วนครึ่งหลังมาต่อดึกๆน้าาาา


ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
หายไวๆน้า รออยู่

ออฟไลน์ Reminder

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ผสมปรนเปรอ--ผสมปนเป

ความประทับใจแรกก็ติดลบซะแระนะเอล...

หายไวๆพักผ่อนมากๆนะ :mew1:

ออฟไลน์ GreenHead(หัวเขียว)

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
    • Green Head - หัวเขียว

ตอนที่ 28
ความรู้สึกกลัว (ครึ่งหลัง)

“พวกเจ้าทำอะไรกันน่ะ” รูร์กัสสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมีเสียของคนแปลกหน้าเอ่ยขึ้นขัดบรรยากาศ ทั้งยังมาเห็นเขาในมุมที่น่าอายเช่นนี้อีก เพราะเก็บความรู้สึกแล้วแสดงด้านที่เข้มแข็งให้ใครๆเห็นเสมอ เขาจึงไม่อยากให้ใครเห็นเขาในมุมอ่อนแอเช่นนี้...ยกเว้นไว้ให้เพียงแร็กนาร์


“เรื่องของข้า” แต่แร็กนาร์กลับไม่สะทกสะท้าน เขาตอบกลับอย่างไม่หวาดหวั่น เพราะรู้อยู่แล้วว่าคนเหล่านั้นมาถึงแล้ว ตั้งแต่พวกนั้นอยู่ในระยะการได้ยินของแร็กนาร์


“คนเหล่านั้นเป็นใคร แร็กนาร์” รูร์กัสถามขึ้นหลังจากผละออกจากไหล่บางของน้องชาย แต่ก็ยังไม่ได้มองผู้มาใคร ยังคงยกมือขึ้นเช็ดใบหน้าที่เปรอะเปื้อนด้วยคราบน้ำตาจากเหตุการณ์เมื่อครู่


ผู้มาใหม่ยังคงอยู่ในความมืด เพราะบริเวณนั้นไม่มีแสงสว่าง แร็กนาร์จึงเดินไปจุดตะเกียงที่ตั้งอยู่บริเวณชานบ้านจนแสงสว่างสาดสองให้พวกเขาได้มองหน้ากันอย่างชัดเจน


และนั่นก็ทำให้เรย์กับนาฟตกใจเมื่อได้เห็นใบหน้าของที่คนที่ซบไหล่เจ้าเด็กหน้านิ่งเอาไว้เมื่อครู่ เวลาผ่านไปอึดใจก็ระบายยิ้มกว้างพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน


“รูร์กัส เฮ้ รูร์กัสเจ้าจริงๆด้วย” กล่าวเพียงเท่านั้นนาฟก็รีบวิ่งเข้าไปหารูร์กัสอย่างรวดเร็ว พร้อมอ้าแขนกว้างเพื่อจะกอดคนที่เขาไม่ได้พบเสียนานเอาไว้ จนแร็กนาร์ต้องรีบขยับตัวมาขวางไว้อย่างรวดเร็ว ตามสัญชาตญาณที่ต้องการปกป้องคนสำคัญ แม้จากรูปการจะพอคาดเดาได้ว่านาฟเป็นคนรู้จักของรูร์กัส แต่ก็ใช่ว่าจะเข้ามาแตะต้องตัวได้ง่ายๆ ทั้งเขายังไม่ไว้ใจจนกว่ารูร์กัสจะยืนยันว่ารู้จักกับนาฟจริงๆ


“นาฟเจ้ากำลังทำให้เด็กๆตกใจ...ไม่เจอกันเสียนาน โตขึ้นเยอะเลยนะรูร์กัส” เรย์เอ่ยดุนาฟเล็กน้อย เมื่อเจ้าตัวตื่นเต้นจนไม่สนใจสิ่งรอบข้าง แต่น้ำเสียงนั้นกลับไม่ได้มีอารมณ์โกรธเลยแม้แต่น้อย...ก็นะ รูร์กัสเป็นเด็กที่เขากับนาฟเลี้ยงมาตั้งแต่เล็กๆจะไม่ให้ดีใจได้อย่างไร พวกเขาไม่ได้พบรูร์กัสมานานมาก มากจนเปลี่ยนจากเด็กตัวเล็กๆกลายเป็นหนุ่มน้อยเสียแล้ว และที่สำคัญเขารักใคร่ ห่วงใยรูร์กัสยิ่ง พอได้เห็นว่ารูร์กัสปลอดภัย ทั้งยังเติบโตได้อย่างเข้มแข็ง จะไม่ให้เขาดีใจได้อย่างไร ดีที่เขายังเก็บอาการไว้ได้บ้าง ไม่เช่นนั้นเข้าคงกระโจนเข้าไปหาเช่นเดียวกับนาฟแล้ว


“ไม่เป็นไรแร็กนาร์” อารมณ์ของรูร์กัสถูกเปลี่ยนเพราะผู้มาใหม่ทั้งสอง เขาแย้มยิ้มขึ้นด้วยความดีใจ แล้วยกมือขึ้นแตะไหล่ของแร็กนาร์เบาๆให้น้องชายคลายกังวล เรื่องเมื่อครู่ก็ถูกเก็บเอาไว้ จะอย่างไรเขากับแร็กนาร์ก็เข้าใจกันและกันแล้ว ตอนนี้การได้พบกับคนที่ห่างหายกันมาหลายปีสำคัญกว่า


“พี่นาฟ พี่เรย์ พวกเราไม่ได้พบกันนานมาก ข้าคิดถึงพวกท่านจริงๆ” เสียงนั้นออดอ้อนเล็กๆตามแบบของเจ้าตัวที่มีไว้ใช่สำหรับอ้อนพี่ชายทั้งสอง พวกเขาผูกพันกันยิ่งแม้จะต่างเผ่าพันธุ์ แต่รูร์กัสก็นับถือเรย์กับนาฟประหนึ่งเป็นพี่ชายแท้ๆของตน


“โอ้ น้องรัก มามะ มาให้พี่กอดหน่อย” ได้ยินเสียงอ้อนที่ยังน่ารักไม่เปลี่ยนนั่นแล้วมีหรือที่นาฟจะทนไหว เขาขยับตัวหลบแร็กนาร์ แล้วพุ่งเข้าไปกอดรูร์กัสทันทีตั้งแต่ยังพูดไม่จบประโยคดี แต่กลับคว้าได้เพียงอากาศเพราะแร็กนาร์เร็วกว่า เขาดึงร่างของรูร์กัสหลบเพียงเสี้ยววินาที


“ถอยไป...พี่รูร์กัสข้าง่วงแล้วเข้าห้องเถอะ ส่วนพวกเจ้าเจอกันพรุ่งนี้” แร็กนาร์กล่าวเสียงเย็นอย่างไม่พอใจ แล้วรีบหมุนตัวรูร์กัสให้หันไปทางห้องของเจ้าตัว แล้วดุนดันด้วยสองแขนเล็ก โดยไม่ลืมที่จะหันมากล่าวลาคนที่เหลือ ทั้งยังชี้นิ้วไปทางห้องของตนเป็นสัญญาณบอกว่าให้ทั้งหมดไปพักในนั้น ส่วนเขาจะนอนกับรูร์กัส


“โถ่ เจ้าเด็กขี้หวงเอ๊ย” นาฟสบถออกมา เมื่อเขาไม่ได้ทำอย่างใจต้องการ และไม่ลืมที่จะเพิ่มความล้อเลียนเข้าไปในน้ำเสียงนั้น เมื่อเห็นว่าแร็กนาร์เจ้าเด็กหน้านิ่งแสดงนิสัยแบบเด็กๆออกมา
นาฟไม่โกรธ เพราะพอจะคาดเดาได้ว่าแร็กนาร์เป็นใคร ถึงว่าเขาจึงรู้สึกคุ้นเคยกับใบหน้านั้นจนต้องมองพิจารณาเสียนาน ในที่สุดก็กระจ่างเสียที ที่แท้ก็ลูกชายคนเล็กของท่านอาจารย์นั่นเอง


“น่าๆพวกเราไปพักผ่อนเถิด จะไปถือสาอะไรกับเด็กติดพี่ หึหึ” คล้ายจะเอ่ยปรามนาฟ แต่เรย์กลับเอ่ยล้อเลียนแร็กนาร์ไปกับนาฟด้วย ตอนนี้เขาสบายใจยิ่งที่สิ่งติดค้างในใจหายไป และความกังวลเล็กๆที่ติดใจสงสัยความสามารถของแร็กนาร์ ทั้งยังกิริยาท่าทางที่นิ่งเกินเด็กวัย 8 ขวบนั่นอีก แต่เมื่อได้เห็นการกระทำเมื่อครู่ก็ทำให้เขารู้ว่า แร็กนาร์น่ะ เด็กยิ่งกว่าเด็กเสียอีก


ส่วนคนอื่นๆก็หัวเราะตามอย่างอารมณ์ดี ที่ได้เห็นด้านเด็กๆของแร็กนาร์ มีเพียงเอลลูญ์ที่รู้สึกต่างจากคนอื่นๆ คงเรียกว่าวางใจกระมัง เพราะเขารู้หงุดหงิดในใจตั้งแต่ได้เห็นคนทั้งคู่กอดกัน และเขายังเป็นเจ้าของเสียงที่ถามในตอนแรกนั่นอีก ที่จริงเขาอยากจะเข้าไปกระชากคนทั้งคู่ออกจากกันเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็หยุดตัวเองเอาไว้แล้วส่งเสียงถามออกไปแทน พอมาตอนนี้ได้รู้ว่าคนทั้งสองเป็นพี่น้องกัน ความรู้สึกหนักอึ้งในใจจึงคลายออก กลายเป็นความสุขเล็กๆที่ได้รับรู้เช่นนั้น จนปากเผยรอยยิ้มบางๆขึ้นมาอย่างไม่รู้สึกตัว


หลังจากนั้นพวกเขาทั้งหมดก็ตามหมอชราไปยังโรงอาบน้ำ เพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สบายตัวก่อนจะพักผ่อน ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น  ด้วยเพราะดึกมากแล้วบริเวณนั้นจึงไม่มีใครเดินผ่านไปมามากนัก พวกที่มีอยู่ก็ถูกหมอชราจัดการเบี่ยงเบนความสนใจจนต้องไปจากบริเวณนั้นง่ายๆ หลังจากนี้เรื่องราวคงดำเนินไปอย่างไม่อาจถอนตัว พวกเขาต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับพรุ่งนี้ วันนี้ควรพักเอาแรงเสียก่อน


..


..


..


ทางด้านของแร็กนาร์ หลังจากเข้ามาให้ห้องนอนแล้ว เขาก็เดินไปนอนบนฟูกของรูร์กัสทันที แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะเหลือพื้นที่ไว้ให้รูร์กัสนอนข้างๆ ส่วนรูร์กัสหลังจากถูกดันจนเข้ามาในห้องก็ถูกทิ้งให้ยืนอยู่ข้างประตู เขาได้แต่ยิ้มบางๆ อย่างมีความสุขที่ได้เห็นแร็กนาร์กลับไปเป็นเด็กน้อยของเขาอีกครั้ง แม้เขาจะรู้สึกอุ่นใจที่แร็กนาร์เป็นผู้ใหญ่ขึ้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขารู้สึกเศร้าไปบ้างเมื่อมันมาถึงเร็วเกินไป เขายังอยากโอ๋น้องของเขาให้มากกว่านี้


ยืนคิดได้ชั่วครู่รูร์กัสก็เดินมาล้มตัวนอนข้างๆแร็กนาร์ แต่ก็ยังไม่ได้เอ่ยปากกล่าวสิ่งใด เพราะกลัวว่าแร็กนาร์จะอายไปมากกว่านี้ ตอนที่เดินเข้ามาใช่ว่าเขาจะไม่เห็นใบหน้าที่แดงก่ำของแร็กนาร์...น้องชายของเขาช่างน่ารักน่าเอ็นดูยิ่ง


“เจ้าคงจำไม่ได้ พี่เรย์กับพี่นาฟเลี้ยงพี่มาตั้งแต่เด็ก ทั้งสองคนไว้ใจได้ แล้วก็...ไม่มีใครแย่งพี่ไปจากเจ้าได้หลอก อย่ากังวลไปเลย พี่จะอยู่ตรงนี้ข้างๆเจ้านะ...แร็กนาร์” เวลาผ่านไปจนรูร์กัสคิดว่าอารมณ์ของแร็กนาร์กลับมาคงที่แล้วเขาจึงเอ่ยขึ้น


“อื้อ” เจ้าน้องชายโดยสภาพที่มีด้านในเป็นผู้ใหญ่ส่งเสียงตอบเบาๆพร้อมขยับตัวเข้าไปกอดเอวของรูร์กัสอย่างหวงแหน ตอนนี้เขาไม่ได้นอนบนหมอนทั้งยังซุกตัวในผ้าห่ม จึงนอนลงต่ำเสมอกับช่วงเอวของรูร์กัสพอดี เห็นดังนั้นรูร์กัสก็ยกมือขึ้นมาลูกผมของแร็กนาร์เบาๆอย่างเอ็นดู


‘อย่าหายไปนะรูร์กัส...เพราะนานคือเหตุผลของการมีชีวิตอยู่ของฉัน...ฉันจะปกป้องนายเอง’


ที่แร็กนาร์แสดงออกเช่นนั้น เพราะอารมณ์ยังตกค้างกับเหตุการณ์ก่อนหน้าที่พวกนั้นจะมาถึง ในช่วงเวลาที่เขาคิดว่ากำลังจะสูญเสียรูร์กัสไป ยิ่งพอมีคนแปลกหน้าโผล่มา ทั้งยังมีท่าทีว่าสนิทสนมกับรูร์กัสมากกว่าตน มันจึงยิ่งทำให้เขากลัว
มันทำให้เขาคิดถึงครั้งหนึ่ง ครั้งที่เขายังเป็นเด็ก ยังเป็นเด็กน้อยที่ยังอยู่ในโลกใบเดิม เขาเคยสูญเสียคนที่สำคัญที่สุด เพราะน้ำมือของคนที่ไว้ใจอีกคนอย่างไม่อาจให้อภัยได้ ในตอนนั้นเขาไร้พลัง แต่ตอนนี้ต่างกัน เขามีพลัง พลังที่จะใช้ปกป้องคนสำคัญที่สุดของเขา...และเขาจะไม่มีทางปล่อยมือ


เด็กทั้งสองสวมกอดกันเช่นนั้นจนหลับไป โดยไม่สนใจเจ้าโกยาตเลย์ที่ถูกลืมอยู่ด้านนอก...เพราะสิ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญในค่ำคืนนี้ คืออ้อมกอดของคนที่นอนอยู่ข้างๆเท่านั้นเอง


..


..


..


วันรุ่งขึ้นก็มีการรวมตัวกันอย่างคึกคัก ณ บ้านพักของเอจิกับยาจิเพื่อทานอาหารเช้า วันนี้มีสมาชิกเพิ่มขึ้นมา 4 ชีวิต ทั้งเด็กชายฝาแฝดก็เข้ามาร่วมทานด้วย ส่วนเจ้าตัวที่คึกคักกว่าคนอื่นๆคงหนีไม่พ้นเจ้าโกยาตเลย์ที่ถูกทิ้งไว้เป็นธาตุอากาศตั้งแต่เมื่อคืน เพราะเช้านี้บรรยากาศมาคุอันน่ากระอักกระอ่วนใจจางหาย มันจึงอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง


บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยความรื่นเริง แม้เอจิกับยาจิจะชะงักเล็กน้อยเมื่อได้พบกับทาคุ แต่ก็ปกปิดไปได้อย่างแนบเนียน เพราะได้หมอชรามาแจ้งข่าวตั้งแต่เมื่อคืน จึงได้เตรียมใจเอาไว้บ้างแล้ว ไม่ได้ตื่นเต้นตกใจจนออกนอกหน้า แต่มันก็มากพอที่จะทำให้แร็กนาร์สังเกตเห็น


แร็กนาร์ไม่ได้สนใจทาคุเท่าใดนัก เพราะเขาทำตัวดังว่าจะกลืนหายไปกับผู้คนและความเงียบ ทั้งยังไม่ได้กวนใจเขาเท่าเรย์กับนาฟที่หาโอกาสเย้าแหย่เขาอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อได้เห็นการแสดงของปีศาจทั้งสอง ทั้งยังเสียงที่หลุดออกมาเบาๆว่า “ทาคุมะ” นั่นยิ่งทำให้หัวใจของเขาเต้นผิดจังหวะไปชั่วครู่ แร็กนาร์จึงเริ่มสังเกตทาคุอย่างจริงจัง


หลังจากทานอาหารเรียบร้อย พวกเขาทั้งหมดก็เคลื่อนตัวไปยังเรือนรับรองของยาฉะ เบียกโกะ ซึ่งเป็นห้องเดิมที่ใช้เจรจากับแร็กนาร์นั่นเอง


การสนทนาในครั้งนี้สำคัญยิ่ง เบียกโกะจึงอนุญาตให้ฮิเดโอะกับฮิโรกิเข้าร่วมด้วย  เพื่อให้ทั้งสองได้ฝึกจากการสังเกตการณ์นั่นเอง


ก่อนเริ่มเรื่องสำคัญเรย์แนะนำเพื่อนของตนเสียก่อน แล้วเริ่มต้นด้วยการสนทนาเรื่องของทาคุ เพราะไม่ใช่เพียงแร็กนาร์ที่จับสัมผัสแปลกประหลาดของคนรอบตัวได้   เรย์เองก็มีทักษะที่ยอดเยี่ยมเช่นกัน แม้ไม่ทราบว่าหากเปิดเผยแล้วจะเป็นเช่นไร  แต่เขาก็ต้องปกป้องเพื่อนๆจากอันตรายที่แฝงอยู่


ยาฉะ  เบียกโกะยอมรับว่าตนรู้จักกับทาคุ ทั้งยาจิ เอจิ และหมอชราต่างก็ยอมรับว่าเกี่ยวข้อง เพราะอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องที่จะปิดบังไปได้ตลอด แต่ถึงเป็นเช่นนั้นพวกเขาก็ยืนกรานที่จะไม่บอกว่าเกี่ยวข้องกันอย่างไร  ขอรับรองเพียงว่าไม่ใช่พวกตนที่เป็นผู้ไล่ล่าทาคุตลอด 8 ปีที่ผ่านมา ทั้งเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทาคุยังมีชีวิตอยู่


“ถ้าเช่นนั้นท่านทาคุก็คงเกี่ยวข้องกับ 4 องครักษ์เงาใช่หรือไม่” แร็กนาร์เอ่ยแทรกบทสนทนาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ   ในน้ำเสียงนั้นไม่ใช่การถาม   แต่เขามั่นใจจึงถามออกมาเพื่อกระตุ้นให้พวกเขารู้สึกตัวว่าไม่ใช่เพียงพวกเขาที่รู้เรื่องทั้งหมด  แม้จะเป็นเพียงการคาดเดาแต่มันก็มีบางส่วนเป็นจริงอย่างแน่นอน  การถูกกุมจุดอ่อนเป็นเรื่องที่แร็กนาร์เกลียดที่สุด ดั้งนั้นเขาจึงอยากเห็นว่าหากตนกระตุ้นความทรงจำของตนเองและทาคุ  เหตุการณ์จะเป็นเช่นไร และเป็นดังคาดทาคุปวดหัวอย่างหนักเมื่อได้ยิน ส่วนตัวเขาเองก็หัวใจเต้นแรกขึ้นเหมือนตอนที่อ่านบันทึกเล่มนั้น...


เมื่อควบคุมจังหวะหายใจของตนได้แร็กนาร์ก็กล่าวต่อ   ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่าการคาดเดาของเขาเป็นความจริง 


“ท่านคือ 1 ใน  4  องครักษ์เงาแห่งเขตใต้  ฟุคุนากะ  ทาคุมะ”       





To Be Continued...

หุหุหุ มาแล้วค่ะ  ความละมุนจบแล้ว  ต่อไปก็ความเข้มขั้นของเนื้อหา ได้เวลาเผยความจริงแล้วจ้า
วันนี้ก็มาช้า แต่ก็มาแล้วนะ  เอ็นดูแร็กนาร์กันให้มากๆนะคะ  เห็นไหมล่ะว่าเขาน่ารักสุดๆ
อร๊าย  ชอบประโยค  “เด็กยิ่งกว่าเด็กเสียอีก”  โฮะๆอยากบอกเรย์เหลือเกิน  นั่นมันผู้ใหญ่อายุ  30  นะเจ้าคะ
แหม่ เราเพิ่มความเด็กลงไปนิดหน่อย คงไม่เสียมาดนักฆ่าเนาะ  ฮ่าๆ
คอมเม้นท์แสดงความคิดเห็นกันได้นะคะ กรีนชอบให้วิจารณ์เพราะมันเป็นกำลังใจของนักเขียน
และขอบคุณทุกกำลังใจนะคะ  ตอนนี้กรีนดีขึ้นมากแล้ว  เหลือปวดหัวนิดหน่อย  ใกล้หายแล้วจ้า
ขอบคุณค่ะ    :-[

ออฟไลน์ jum1201

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-5
ติดเรื่องนี้หนักมากก  ชอบแร๊กนา มาต่อบ่อยนะคะ :mew1: :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
มันจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆสินะ

ออฟไลน์ Reminder

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
คิดถึงแร็กน่าแล้ว....อย่ามาต่อนะจ๊ะ...สู้ๆ

ออฟไลน์ GreenHead(หัวเขียว)

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
    • Green Head - หัวเขียว
ตอนที่  29
ความเป็นไป


หลังจากกล่าวจบประโยคผนึกสำคัญบางส่วนของเด็กน้อยผู้กล่าวออกมาก็ถูกเปิดออก  ด้วยเงื่อนไขการพบเจอบุคคลในความทรงจำของตน  แร็กนาร์กุมอกบริเวณหัวใจแน่นด้วยมือทั้งสองข้าง มันเต้นแรงจนแทบระเบิดออกมา ในหัวมีเพียงแสงสีดำมืดมิด   แต่ในความมืดนั้นกลับมีเสียงของใครบางคนสนทนากันอยู่ในนั้น

“ท่านจะทำสิ่งใด”

“ข้าจะถ่ายทอดทุกสิ่งทุกอย่างของข้าลงไปในตัวของลูก”

“แต่พลังของท่านมันมากเกินกว่าที่ลูกจะรับไหว...และหากทำเช่นนั้นพลังของท่านจะหายไป”

“ไม่เป็นไรข้ารู้ขีดจำกัดของตนดี ตอนนี้ชีวิตของงเจ้ากับลูกสำคัญที่สุด...ส่วนเรื่องพลังและความทรงจำทั้งหมดข้าจะปิดผนึกมันไว้แล้วให้ค่อยๆเผยออกมาทีละนิดเพื่อลดภาระของร่างกายให้ลูก และที่สำคัญข้าเชื่อว่าลูกรับมันได้...เจ้าอย่าลืมว่าเด็กคนนี้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเจ้ากับข้าเชียวนะ ลูกต้องเติบโตได้อย่างเข้มแข็งแน่นอน  เจ้ากับลูกต้องมีชีวิตรอดผ่านเหตุการณ์เหล่านี้ไปให้ได้ ปฏิภาณของเจ้าต้องเป็นจริงในสักวันริเรน่า

ข้ารู้ดีว่าข้าไม่ใช่ปีศาจที่ดี การครอบครองเจ้าก็เกิดขึ้นด้วยการบังคับขืนใจ ถึงจะน่าสมเพทในสายตาเจ้า  แต่ข้าไม่รู้สึกเสียใจเลย  เพราะข้าต้องการเจ้า ต้องการมากเกินกว่าที่เจ้าจะจินตนาการได้เลยล่ะ...หากย้อนเวลากลับไปข้าก็ยังคงทำเช่นเดิม

ตอนนี้ข้ารู้สึกผิดเพียงเรื่องที่พาเจ้าเข้ามาพัวพันในเรื่องอันตรายเช่นนี้ ดังนั้นข้าจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้เจ้ากับลูกรอดชีวิต จงกลับไป  กลับไปใช้ชีวิตที่สงบสุขดังเดิมของเจ้าและจงอย่ากลับมาจนกว่าลูกจะเติบโต

จงกลับไปใช้ชีวิตอันแสนสงบสุขของเจ้าเสียเถอะ

ข้ารักเจ้าริเรน่า ข้ารักเจ้าลูกของข้า...แร็กนาร์”

“ทาคุมะฝากริเรน่ากับลูกของข้าด้วย...”

เสียงบทสนทนาที่ดังขึ้นภายในหัวของแร็กนาร์เป็นการพูดคุยของชายหญิงคู่หนึ่งซึ่งคาดว่าจะเป็นพ่อแม่ของเจ้าของร่างกายนี้ สัมผัสที่ได้รับผ่านความทรงจำนั้นอบอุ่นเสียจนไม่อยากผละออกจากอ้อมกอดที่โอบอุ้มร่ายกายอยู่นั้น สัมผัสเปียกชื้นของน้ำตาจากปีศาจตัวโตไหลลงบนแก้มของทารกตัวเล็กหยุดแล้วหยดเล่า พาให้หัวใจของเขาชาวาบด้วยคาดว่าตนกำลังจะสูญเสียสัมผัสอันอบอุ่นนั้นไป  เพียงถูกวางลงบนฟูกอ่อนนุ่มทารกน้อยก็ร้องไห้จ้าจนแทบขาดใจ

อึดใจต่อมาแสงสีแดงก็ห่อหุ้มร่างของทารกน้อยจนเกิดเป็นภาพในความทรงจำอันมืดมิด  รอบตัวของเจ้าตัวเล็กร้อนแทบลุกเป็นไฟจากนั้นก็ค่อยๆอบอุ่นขึ้นเมื่อแสงสีแดงค่อยๆหดตัวจนมีขนาดเล็กลง กลายเป็นรูปร่างของกุญแจที่ห้อยระโยงรยางค์ด้วยสายโซ่ ก่อนจะพันรอบหัวใจของร่างนั้น จากนั้นแสงทั้งหมดก็มืดดับลงเหลือไว้เพียงความมืดมิดไร้ซึ่งสรรพสิ่งใดๆ

..

..

..

ทางด้านทาคุมะเขาปวดหัวอย่างหนัก   ภาพและเสียงมากมายผุดขึ้นภายในหัวอย่างไม่อาจนำมาประติดประต่อกันได้

“ทาคุมะฝากริเรน่ากับลูกของข้าด้วย...” ภาพของชายผู้มีร่างกายกำยำกล่าวกับเขาด้วยใบหน้าอาบคราบน้ำตาอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ในอ้อมกอดของชายผู้นั้นมีเด็กทารกร่างหนึ่งกำลังมองใบหน้าของปีศาจตนนั้นด้วยสายตาใสแจ๋ว ข้างกายของชายผู้นั้นก็มีหญิงสาวใบหน้าสวยสดงดงามยืมมองอยู่ด้วยใบหน้าเศร้าหมอง

“ด้วยเกียรติของ ฟุคุนากะ ทาคุมะ 1  ใน 4  องครักษ์เงาแห่งเขตใต้  ข้อขอปฏิญาณว่าจะทำตามคำสั่งให้สำเร็จแม้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม” เสียงที่ดังขึ้นตอบรับคือเสียงของเขาเอง อาจเพราะเป็นตัวของเขาจึงทำให้มองไม่เห็นภาพร่างกายของตนที่ฉายในความทรงจำเหล่านั้น

“ไดจิ ส่วนเจ้าไปแจ้งเรื่องที่คาสึกิทรยศเรากับเบียกโกะซะ”  ข้างกายของเขามีปีศาจอีกตนนั่งคุกเข่าอยู่ด้วย และปีศาจตนนั้นก็เราคำสั่งแล้วจากไป

“ทาคุ ทาคุ...ข้าฝากท่านปีศาจด้วย”

“ทะ...ท่านอาจารย์” ภาพถูกตัดมาที่ทางเข้าหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ก่อนจากลาหลังทำภารกิจเสร็จสิ้นเขาก็ได้รับคำขอร้องจากหญิงสาวที่ตนพามาส่ง ภาพของนางฉายชัดว่าลังเลใจแต่ในส่วนลึกคือความห่วงใยต่อผู้ที่ตนกล่าวถึง และก่อนที่เขาจะรับปากก็มีเด็กหนุ่มลูกครึ่งผู้มีผมสีฟ้าเทามาพบพวกเขาเข้าเสียก่อน 

“ฆ่ามันๆ”

“อ้าก!”

“ทรมานมันอีก ให้มันสารภาพมาว่าพานังนั่นไปซ่อนไว้ที่ใด  เราต้องกำจัดเสี้ยนหนามทั้งหมด!”

ภาพถูกเปลี่ยนอีกเป็นการตามล่าภายในป่า ซึ่งตามรายทางที่เขาวิ่งผ่านแทบจะเต็มไปด้วยร่างไร้ชีวิตมากมาย  ก่อนที่เขาจะถูกบางอย่างเสียบเข้าที่ด้านหลัง จากนั้นภาพก็ตัดมาที่การทรมานแสนเจ็บปวดครั้งแล้วครั้งเล่าในห้องๆหนึ่ง  เพื่อเค้นถามในสิ่งที่เขาไม่คิดจะตอบแม้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม

“มันหนีไปแล้วขอรับ!”

“บัดซบ! ไปจับมันกลับมา ถ้าจับไม่ได้ก็ฆ่าซะ”

“ฉึก  ฉึก  ฉึก 

ตู้ม!

ภาพถูกเปลี่ยนอีกครั้ง เมื่อเขาหนีออกมาด้วยสภาพที่ไม่สู้ดีนัก การหนีจึงเป็นไปได้อย่างยากลำบาก  ร่างกายทีหนักอึ้งหลบลูกธนูไม่พ้น แต่กระนั้นเขาก็กัดฟันวิ่งต่อไปจนถึงหน้าผา ไม่ต้องคิดสิ่งใดให้มากความเขากระโดดลงไปทันที การเดิมพันครั้งสุดท้าย หากรอดหรือจบชีวิตลงเขาก็ไม่คิดจะเสียใจ

..

..

..

“ริเรน่า  เด็ก  เรย์  เบียกโกะ...หัวหน้า”
ภาพเหล่านั้นเกิดขึ้นเร็วมาก จนเขาจับใจความของคนที่เกี่ยวข้องได้เพียงน้อยนิด ส่วนผู้คนภายในห้องขณะนี้กำลังจับจ้องอาการของแร็กนาร์กับทาคุมะด้วยความตกใจ พวกเขากรูเข้ามาดูอาการของคนที่ตนสนใจ ยิ่งพอได้ยินคำกล่าวของทาคุมะพวกเขาก็มีความรู้สึกสับสนมึนงงเกิดขึ้นในใจอย่างไม่อาจหาคำอธิบายได้  ด้วยความนึกคิดที่แตกต่างกันออกไป

*********************************************30%****************************************

“หึหึ ค้นหากุญแจเจอเสียแล้ว  สมกับเป็นลูกชายของริเรน่าช่างหัวรั้นไม่ต่างกันเลย เฮ้อ ควบคุมยากเสียจริง” มีเพียง 2  ชีวิตภายในห้องที่ไม่รู้สึกตื่นตะลึงกับกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เบียกโกะรู้สึกหนักใจกับนิสัยดื้อรั้นของแร็กนาร์เสียมากกว่า ดังว่าถูกลอกแบบมาจากริเรน่าไม่ผิดเพี้ยน ส่วนหมอชราก็มองดังว่าคาดเดาสถานการณ์ได้อยู่ก่อนแล้ว เขานั่งมองเหตุการณ์อย่างพินิจรอคอยความเป็นไปที่เกิดขึ้นต่อจากนี้

แร็กนาร์เพียงหันมองเบียกโกะด้วยสายตาฉายแววเหยียบเย็นอยู่ครู่หนึ่งเมื่ออีกฝ่ายบอกว่าจะควบคุมตน เขาไม่มีทางให้ใครเข้ามาควบคุมง่ายๆอย่างแน่นอน จากนั้นก็หันกลับไป แล้วบอกให้รูร์กัสไม่ต้องห่วงตน ทั้งสองจึงกลับไปนั่งอยู่บนฟูกด้วยสภาพเรียบร้อยดังเดิม

ความสนใจของแร็กนาร์อยู่ที่ผู้มีอาการบางอย่างเกิดขึ้นเช่นเดียวกับตน เพียงแต่ทาคุมะมีอาการปวดหัวเพราะความจำเสื่อม ส่วนแร็กนาร์หัวใจเต้นแรงจนแทบระเบิดเพราะความทรงจำและพลังถูกผนึกไว้เท่านั้นเอง ขุมพลังสายหนึ่งก่อขึ้นเป็นรูปเป็นร่างในร่างกายเล็กๆนี้ เขารู้สึกถึงมันได้แต่ก็เก็บอาการตื่นเต้นเอาไว้ได้เป็นอย่างดี

“ชื่อที่ข้ากล่าวมาเมื่อครู่คือ ชื่อของคนที่เกี่ยวข้องกับข้า...เบียกโกะ ท่านก็เป็นหนึ่งในนั้น ทั้งข้ายังรู้สึกได้ว่าข้าคุ้นเคยกับท่านเป็นอย่างยิ่ง” เมื่อเห็นแววตาสงสัยใคร่รู้ของคนรอบตัว ทาคุมะก็กล่าวอธิบายเล็กน้อยแล้วมุ่งความสนใจไปที่เบียกโกะ  ปีศาจที่เข้าได้ยินเพียงชื่อในความทรงจำ  แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยกับชื่อนี้มากกว่าชื่ออื่นๆ

“ฮ่าๆๆ เอาเถอะๆข้าไม่ปกปิดเจ้าก็ได้ทาคุมะ เราเป็นสหายที่เป็นคู่ประลองกันหลายต่อหลายครั้งจะไม่ให้คุ้นเคยได้
อย่างไร...กล่าวถึงตรงนี้ก็คิดถึงเวลาเหล่านั้นจริงๆเจ้ากับข้ามักท้าประลองกันอยู่เสมอจนคนอื่นๆคร้านจะห้าม หึหึ...ว่าอย่างไรเรามาประลองกันตอนนี้เพื่อระลึกถึงวันเก่าๆดีหรือไม่ เผื่อว่าความทรงจำของเจ้าจะกลับมากขึ้น” หลังจบคำกล่าวกระแสจิตสังหารอันแข็งแกร่งของเบียกโกะก็ถูกปล่อยออกมา และเป็นดังว่ามันเป็นการตอบสนองอัตโนมัติจิตสังหารของทาคุมะก็แผ่พุ่งออกมาต้านไว้ไม่ต่างกัน

ตอนนี้เบียกโกะเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่า  ทาคุทะตนนี้คือทาคุมะจริงๆหาใช่ปีศาจตนใดใช้เล่ห์เหลี่ยมแปลงกายมาไม่ เพราะการแปลงกระทั่งจิตสังหารหรือสัมผัสรับรู้มันไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ ส่วนอาการเมื่อครู่ที่เกิดขึ้นมันก็ทำให้หมอชรายืนยันแล้วว่าทาคุมะความจำเสื่อมจริง

“อา บรรยากาศเช่นนี้ข้ารู้สึกคุ้นเคยจริงๆอย่างท่านว่า ถ้าได้ลองสู้จริงข้าคงนึกออกมากกว่านี้แน่” ปีศาจหนุ่มใหญ่ทั้งสองจดจ้องกันโดยไม่สนใจสิ่งรอบกาย  ปล่อยจิตสังหารออกมาทั้งหมดในคราวเดียว ส่งผลให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ บางคนถึงกับร่างกายสั่นเท่า แต่ก็ไม่กล้าส่งเสียใดๆออกมาด้วยกลัวว่าตนจะถูกฆ่าทันทีที่ส่งเสียงดัง

ผั่วะ!  ผั่วะ!

ฝ่ามือเหี่ยวย่นฟาดลงบนแผนหลังของปีศาจหนุ่มใหญ่ทั้งสองด้วยแรงที่มากเกินกว่าจะคิดได้ว่ามาจากปีศาจชรา พวกเขาหันขวับมองตามที่มาของมือที่พวกเขาสัมผัสไม่ได้ว่ามันเกิดขึ้นได้เช่นไร  จนทั้งสองได้สติหยุดปล่อยจิตสังหารพร่ำเพื่อ  เมื่อมองเห็นด้วงตาตำหนิติเตือนของหมอชราที่มองมา 

“พวกเจ้านี่มันจริงๆเลย  ผ่านไปกี่ปีต่อกี่ปีก็ยังทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักคิด ไม่รู้จักโต  พวกเจ้าเห็นหรือไม่ว่าพวกเจ้าทำให้คนอื่นๆหวาดกลัว  แล้วจิตสังหารอันมากล้นของพวกเจ้าก็ยังจะทำให้คนด้านนอกรู้สึกตัว แม้ว่าเราจะอยู่ภายในอาณาเขตที่ตัดขาดจากโลกภายนอกก็ตาม ทำสิ่งใดก็คิดเสียบ้างพวกเจ้าโตมากแล้วนะ” คำสั่งสอนมากมายถูกยกขึ้นมากล่าว เพื่อตำหนิผู้ใหญ่ที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็ยังทำตัวเป็นเด็กๆอยู่เสมอ

“ขอรับ” 

“โถ่ ข้าแค่ดีใจมากไปหน่อยเท่านั้นเอง”

คำตอบกลับที่แตกต่างกันไปถูกส่งออกมาหลังจากหมอชรากล่าวจบ  ทาคุมะสำนึกผิดอย่างง่ายดายโดยไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดจึงได้เชื่อฟังหมอชราง่ายๆเช่นนี้ ทั้งที่ปกติเขาไม่ยอมฟังใครง่ายๆแท้ๆ  หรือเหตุการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อนกันนะ ไม่เข้าใจเลย

ส่วนเบียกโกะแม้จะก้มหน้าดังสำนึกผิดแต่ก็ยังบ่นงึมงำเบาๆอย่างไม่ยอมรับความผิดของตนง่ายๆพวกเขามักถูกดุเช่นนี้เสมอเมื่อทำสิ่งใดไม่คิดหน้าคิดหลังเช่นนี้ แม้ใครต่อใครคร้านจะมาห้ามพวกเขา หมอชรามักจะเป็นตนเดียวที่เข้ามาข้องเกี่ยวด้วยเสมอ ด้วยความนับถือที่มีให้ และตระหนักถึงความเจ้าเล่ห์ของหมอชราที่ไม่รู้ว่าจะใช้วิธีใดจัดการกับนิสัยของพวกเขาหากไม่ยอมเชื่อฟัง พวกเขามักจะถูกลงโทษด้วยวิธีอันน่าสยดสยองเสมอจนจำฝังใจยอมสลดลงง่ายๆเช่นนี้เอง โถ่ จะทำอย่างไรได้เล่า หมอชราเป็นดังพ่ออีกคนของพวกเขาเชียวนะ

ทุกชีวิตภายในห้องถอนหายใจอย่างโล่งอก พวกเขาคิดว่าจะเกิดการต่อสู้ขึ้นเสียแล้ว ในที่สุดก็จบลงเสียที บรรยากาศกดกันเมื่อครู่จึงเหลือไว้เพียงความขำขันเมื่อได้เห็นปีศาจร่างใหญ่ทั้งสองนั่งก้มหน้าสำนึกผิดโดยมีปีศาจชราที่ตัวเล็กกว่ายืนมองกดดันอยู่เท่านั้นเอง

“เอ่อ คือว่าผมมีคำถามครับ” หลังจากที่ทั้งห้องตกอยู่ในความสงบ เอลลูญ์ก็เอ่ยขึ้นเมื่อมีสิ่งค้างคาในใจ

“ว่ามาเลยเจ้าหนู” เบียกโกะกล่าวตอบรับ ส่วนคนอื่นๆก็หันไปมองอย่างสนใจใคร่รู้

“ริเรน่าที่พวกท่านกล่าวถึงคือ ‘ริเรน่า นารอฟ’ ใช่หรือไม่” ผู้ที่ได้ฟังต่างมองหน้ากันอย่างงงงวย ด้วยเพราะไม่เคยได้ยินชื่อตระกูลนี้มาก่อน มีเพียงรูร์กัสกับแร็กนาร์เท่านั้นที่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เพราะบุคคลที่คาดว่าไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาแม้แต่น้อย เพียงบังเอิญมาเกี่ยวข้องเท่านั้น กลับดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่เสียแล้ว

“ท่านรู้จักท่านแม่ของพวกเราด้วยรึ” รูร์กัสไม่ตอบแต่ส่งคำถามออกไปแทน

“หือ ท่านอาจารย์ใช้ชื่อตระกูลว่า ‘คูฟฟ์’ มิใช่หรือรูร์กัส” นาฟถามขึ้นอย่างปลกใจ เพราะอาจารย์แนะนำตัวกับพวกเขาโดยใช้ชื่อ
‘ริเรน่า คูฟฟ์’ ตั้งแต่แรกเจอ

“นารอฟ คือต้นตระกูลของท่านแม่ในครั้งที่ยังไม่แต่งงานครับพี่นาฟ” รูร์กัสหันไปกล่าวตอบนาฟที่นั่งอยู่ข้างเอลลูญ์ แล้วจึงหันกลับมาจ้องหน้าเอลลูญ์อีกครั้ง แม้เขารู้ว่าท่านแม่เป็นชนชั้นสูงมาก่อน แต่ไม่เคยคาดคิดว่าคนที่บังเอิญพบกันจะมีส่วนเกี่ยวข้องในอดีตของท่านแม่ด้วย

“อ๋อ เป็นเช่นนี้เอง” นาฟทบทวนดูเล็กน้อยแล้วผงกหัวหงึกหงักอยู่หลายครั้งจึงได้ตอบรับว่าตนเข้าใจดี ส่วนคนอื่นๆในห้องก็ร้องอ๋อในใจไม่ต่างกัน

“จริงหรือ จริงๆสินะ แล้ว แล้วท่านริเรน่าอยู่ที่ใด ข้าขอพบนางได้หรือไม่” รอยยิ้มกว้างถูกประดับขึ้นบนใบหน้าอันหล่อเหล่า ทั้งดวงตา  น้ำเสียง กริยาอันตื่นเต้นถูกแสดงออกมาอย่างไม่ปิดบัง บ่งบอกได้ว่า เจ้าตัวดีใจมากมายจนแทบจะกระโดดโลดเต้นได้อยู่แล้ว

ในที่สุดเขาก็จะได้พบแล้ว คนที่เขาเฝ้าใฝ่ฝันมาตลอดว่าอยากพบอีกสักครั้ง


...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-08-2017 03:21:46 โดย GreenHead(หัวเขียว) »

ออฟไลน์ GreenHead(หัวเขียว)

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
    • Green Head - หัวเขียว

...

“ข้าคงทำตามคำขอของท่านไม่ได้ เพราะท่านแม่ไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว”  รูร์กัสกล่าวด้วยความรู้สึกผิดต่ออีกฝ่าย เมื่อได้เห็นท่าทางดีใจจนเนื้อเต้นของเอลลูญ์ แม้ไม่รู้ว่าคนทั้งสองเกี่ยวข้องกันอย่างไร  แต่เขามั่นใจว่าท่านแม่ของเขาต้องสำคัญต่ออีกฝ่ายอย่างมากแน่นอน

บรรยากาศแจ่มใสเมื่อครู่พลันหดหู่ รอยยิ้มบนใบหน้าของเอลลูญ์แข็งค้างแล้วค่อยๆจากหายจนหมดสิ้น ก่อนที่น้ำตาจะไหลรินจากดวงตาคู่สวยอย่างที่เจ้าตัวไม่อาจจะควบคุมได้ 

“ไม่ ไม่จริง” เสียงที่ส่งออกมาเบาหวิวจนแทบไม่ได้ยิน ภายในหัวเขาก็เฝ้าถามตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า เขามาช้าเกินไปหรือ เหตุใดท่านจึงจากไปเร็วถึงเพียงนั้นเล่า เหตุใดจึงไม่รักษาสัญญา ท่านบอกเองมิใช่หรือว่าให้มาดูโลกภายนอกด้วยตาของงตนเอง ท่านบอกเองไม่ใช่หรือว่าถ้าข้าพร้อมก็มาพบท่านได้เสมอ  แล้วเหตุใดท่านจึงจากโลกนี้ไปเสียแล้ว สัญญาระหว่างเรามันจบแล้วจริงๆหรือ

“ท่านแม่จากไปด้วยโรคระบาด” แม้ในใจจะเห็นใจเพียงใด รูร์กัสก็คิดว่าควรบอกสาเหตุของการจากไปให้กระจ่างแจ้ง

“ท่านอาจารย์พยายามรักษาเด็กๆในหมู่บ้านของข้าเอง มันทำให้นางติดโรคไปด้วย ข้าขอโทษด้วยนะเอลลูญ์” เรย์นั่งอยู่ข้างๆเอลลูญ์จึงยื่นมือไปรูปหัวอีกฝ่ายเพื่อหวังปอบประโลมให้ความเจ็บปวดของอีกฝ่ายบรรเทาลง ทั้งยังกล่าวขอโทษจากใจ  เพราะก่อนหน้านี้เอลลูญ์บอกพวกเขาเพียงว่าต้องการพบคนคนหนึ่งเท่านั้น พวกเขาจึงไม่รู้ว่าคนที่เอลลูญ์ต้องการพบคือริเรน่าอาจารย์เขาเอง ทั้งเมื่อนึกกลับไปสาเหตุการตายของอาจารย์ก็เกี่ยวข้องกับเขาไม่น้อย ทั้งๆที่พวกเขามีโอกาสห้ามปราม  แต่พวกเขากลับปล่อยให้อาจารย์รักษาคนป่วยจนจบชีวิตลงเช่นนั้นเอง น้ำเสียงที่ใช้จึงมีทั้งความรู้สึกผิด  และอบอุ่นอยู่ในที

พรึ่บ!

“ท่าน ท่านริเรน่า คือเหตุผลทั้งหมดที่ข้าเลือกจะเดินทางมายังแดนปีศาจ ข้าอยากมองโลกนี้ด้วยตาดังที่นางเคยกล่าวไว้ นางคือคนที่มอบความกล้าทั้งหมดมาให้...บอก บอกให้ข้ามาพบนางได้ทุกเมื่อที่พร้อม  อึก  แล้วทำไม  ทำไมถึงเป็นเช่นนี้” เด็กหนุ่มโถมตัวกอดเรย์เอาไว้ ซุกหน้าลงก็ไหล่บางอย่างโหยหาความอบอุ่น  เพื่อช่วยให้ตนไม่เสียสติจนควบคุมตนเองไม่ได้  แม้จะอ่อนแอเพียงใด  แต่กระนั้นก็ไร้ซึ่งเสียงร้องไห้ออกจากร่างนั้น เขายังมีศักดิ์ศรีในฐานะเชื้อพระวงศ์เหลืออยู่  จึงไม่อาจร้องให้โวยวายเสียงดังต่อหน้าใครๆได้

รูร์กัสจ้องมองภาพที่เกิดขึ้นด้วยความรู้สึกโหวงเหวง ทั้งเห็นใจ ทั้งเจ็บปวดเมื่อคิดย้อนกลับไปถึงวันที่ตนสูญเสียสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต ความรู้สึกในตอนนี้ของเอลลูญ์เขาเข้าใจดี คนที่เป็นดังหลักยึดในการใช้ชีวิตหายไป จะไม่ให้รู้สึกเศร้าเสียใจได้อย่างไรกัน

แร็กนาร์มองรูร์กัสอยู่ตลอดจึงมองเห็นสายตาที่เจ็บปวดของพี่ชาย  เขายื่นมือไปจับกุมมือที่กำแน่นของรูร์กัสเอาไว้อย่างห่วงใย เขาไม่ชอบเลยเวลาที่เห็นรูร์กัสเจ็บปวดเช่นนี้ รูร์กัสเองก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกห่วงใยที่ส่งมา จึงพลิกมือกลับไปกุมมือของแร็กนาร์เอาไว้ มือของทั้งสองกุมมือกันแน่นเพื่อช่วยให้กำลังใจซึ่งกันและกันอยู่เช่นนั้น

..

..

..

หลังผ่านช่วงเวลาบีบคั้นหัวใจเมื่อครู่ ทั้งห้องก็กลับมาตกอยู่ในความเคร่งเครียดอีกครั้ง  เมื่อพวกเขาตระหนักได้ในข้อเท็จจริงบางอย่าง ไม่ว่าจะด้วยโชคชะตาเล่นตลก หรือ ถูกกำหนดไว้ พวกเขาทั้งหมดภายในห้องนี้ก็ถูกผูกเข้าด้วยกันเพราะผู้หญิงเพียงคนเดียว

จุดเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของพวกเขาเกิดจากริเรน่า หญิงผู้มีความตั้งใจอย่างแรงกล้า ที่ต้องการให้มนุษย์ ปีศาจ และลูกครึ่งอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียม หรือว่าการพบกันของพวกเขาทั้งหมดในครั้งนี้เป็นความต้องการนาง และหากนี่คือจุดเริ่มต้นเล็กๆของการสานต่อปฏิพานนั้น โชคชะตาของพวกเขาจะเป็นไปในทิศทางใดกัน ความต้องการของนางจะกลายเป็นจริงได้จริงหรือ
แร็กนาร์เองก็คิดทบทวนถึงความเป็นมาของพวกเขาทั้งหมดเช่นเดียวกัน นอกจากเขา โกยาตเลย์ และเด็กชายฝาแฝด ฮิเดโอะกับฮิโรกิ ที่ไม่เคยพบริเรน่ามาก่อน ทุกคนต่างกล่าวถึงริเรน่าด้วยความชื่นชมนับถือ นั่นบ่งบอกว่า ผู้คนในห้องนี้ต่างมีใจเอนเอียงคาดหวังว่าความต้องการของริเรน่าจะเป็นจริง

‘สุดยอด ผู้หญิงแค่คนเดียวกลับทำให้ทั้ง มนุษย์ ปีศาจ และลูกครึ่งเชื่อมั่นได้ขนาดนี้ ถึงจะยังไม่เป็นจริง เพราะเธอจากโลกนี้ไปก่อน ถ้าสมมติว่าเธอยังมีชีวิตอยู่โลกนี้จะเป็นอย่างไรกันนะ ความหวังของเธอคงไม่ไกลเกินเอื้อมแน่ๆ’ ในความรู้สึกของเขา เขารู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ช่างยอดเยี่ยมจนไม่อาจบรรยายได้จริงๆ นางเป็นดังจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง ในใจของแร็กนาร์เกิดความนับถือเล็กๆขึ้นโดยที่เขาไม่รู้สึกตัว

ความคิดบางอย่างเกิดขึ้นภายในหัวของเขา จุดประกายความคิดที่ว่า หากเขาเปลี่ยนให้โลกนี้เป็นไปดังที่ริเรน่าต้องการ หากสืบทอดปฏิพานของแม่เจ้าของร่างกายนี้จะเป็นเช่นไร ถ้าสถานภาพของเหล่าลูกครึ่งดีขึ้น นั่นมันส่งผลดีต่อตัวเขามากที่สุดไม่ใช่หรือ

หลังจากที่เกิดความเงียบอยู่นานเรย์ก็เป็นคนแรกที่กล่าวเข้าสู่เรื่องราวอันเป็นเป้าหมายของการมารวมตัวกันครั้งนี้ การเจรจาเป็นไปอย่างราบรื่นเมื่อทุกฝ่ายมีความเห็นตรงกัน เบียกโกะยอมรับข้อเสนอของเรย์โดยไม่กล่าวทัดทานสิ่งใด เรย์จึงเริ่มต้นเล่าถึงเรื่องราวที่พวกเขาได้พบมา รวมทั้งให้ทาคุมะเล่าถึงเหตุการณ์ในวันที่ตนฟื้นขึ้นมาในหมู่บ้านหลังจากความจำเสื่อมด้วย เรย์จึงรับหน้าที่เล่าต่อจากทาคุมะ

เหตุการณ์ที่เรย์เล่าเริ่มต้นตั้งแต่เขาตกลงทำข้อตกลงร่วมมือกันกับทาคุมะ วันต่อมาเรย์พานาฟกับเอลลูญ์กลับมายังบ้านของทาคุมะอีกครั้ง เขาบอกเล่าถึงข้อความมากมายที่ได้เบาะแสจากร้านบาร์ที่เข้าไปหาข้อมูลในตอนแรกด้วย

วันนั้นในบ้านเหลือเพียงทาคุมะ น้องสาวของเขาถูกย้ายไปอาศัยอยู่ยังหมู่บ้านใกล้กับเขตใต้ เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายที่จะเกิดขึ้นในการต่อสู้ครั้งนี้ บ้านของทาคุมะจึงกลายเป็นฐานทัพของพวกเขาในเวลาต่อมา

เอลลูญ์ร่วมด้วยเพราะสนใจใคร่รู้ในเรื่องนี้ ทั้งยังถูกชะตากับทาคุมะ พวกเขาทั้งสี่จึงแยกย้ายกันหาข่าวสารทุกวิถีทาง จนกระทั่งทาคุมะได้พบกับปีศาจที่เขาเคยจัดการเมื่อครั้งที่มันเคยไล่ล่าเขา ผู้โชคดีที่หนีหลุดรอดจากเงื้อมมือของเขาไปได้ และมันเป็นหนึ่งในทหารของเขตตะวันตก พวกเขาจึงมุ่งเป้าไปที่กลุ่มโนบุมากที่สุด

และในวันที่ลอบเข้าไปยังป้อมปราการ เรย์ก็ไปได้ยินเรื่องสำคัญเข้า ในห้องๆหนึ่งมีปีศาจ 2 ตนกำลังสนทนากันอยู่ เรย์รับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งของพวกมัน แม้เขาจะอยู่ไกลจากพวกมันอยู่หลายห้องก็สามารถรับรู้ได้ น้ำเสียงหนึ่งเจ้าเล่ห์ทั้งยังทะนงตนให้ความรู้สึกแข็งแกร่งน้อยกว่าอีกฝ่ายที่มีน้ำเสียงราบเรียบจนน่าหวาดหวั่น หากเขาเข้าไปใกล้กว่านี้มันต้องรู้สึกตัวเป็นแน่

“ท่านอาซากิ ท่านเรียกข้ามาที่นี่ด้วยเรื่องอันใด” เสียงอันราบเรียบเอ่ยขัดขึ้น เมื่อคู่สนทนาไม่เริ่มต้นเข้าสู่เรื่องราวอันเป็นหัวข้อสำคัญเสียที

“เจ้า...” เสียงนั้นสื่อถึงอาการไม่พอใจ แต่ก็ไม่กล้ากล่าวคำด่าทอออกมา จากคำสนทนาก่อนหน้านี้ทำให้เรย์รู้ว่า ชายผู้มีน้ำเสียงเจ้าเล่ห์เพทุบายชื่อ อาซากิ เป็นหนึ่งในหัวหน้าหน่วยที่ขึ้นตรงกับหัวหน้ากลุ่มโนบุ ซึ่งได้รับมอบหมายให้บัญชาการอยู่ที่ป้อมปราการแห่งนี้

ส่วนอีกตนคือ หัวหน้าหน่วยโยไค มีนามว่า คิม่อน ซึ่งเป็นหน่วยสังหารพิเศษซึ่งไม่เปิดเผยต่อภายนอก เป็นหน่วยลับของกลุ่มโนบุนั่นเอง

อาซากิถูกสายตาเย็นเหยียบจับจ้อง แม้ว่าปีศาจทั้งหลายจะหวาดกลัวต่อหัวหน้าหน่วยทั้ง 9 จนมันทะนงตนเหนือผู้ใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคิม่อนพวกมันกลับแสดงความไม่พอใจใดออกไปไม่ได้ เพราะโยไคคือหน่วยพิเศษที่ไม่ถูกยกย่องจากใครๆ แต่ก็มีสิทธิ์พิเศษในตัวเองคือ พวกเขาสามารถตัดสินใจสังหารได้โดยไร้ความผิด ทั้งยังไม่ต้องรายงานก่อนสังหาร หากพบว่ามีใครทำให้กลุ่มโนบุชื่อเสียง ไม่เว้นแม้กระทั่งเหล่าหัวหน้าหน่วยทั้ง 9 เอง

“สัญญาสงบศึกระหว่างเขตตะวันตกของเรา กับเขตเหนือกำลังจะหมดลง เหลือเวลาพียงหนึ่งสัปดาห์เท่านั้น ซึ่งท่านก็คงทราบดีว่านั่นคือสัญญาณเริ่มต้นการต่อสู้ในครั้งนี้ แต่เราจะใช้กำลังทั้งหมดเข้าโจมตีพวกมันก่อน กำหนดการคืออีก 3 วันข้างหน้า ข้าต้องการให้หน่วยของท่านร่วมโจมตีในครั้งนี้ด้วย” อาซากิสลัดความไม่พอใจทิ้งไป เริ่มต้นอธิบายในทันที แม้หวาดหวั่นแต่มันก็ยังรักษาหน้าของตนไว้ กล่าวอย่างออกคำสั่งเมื่อครั้งนี้ตนได้รับตำแหน่งที่เหนือกว่า

“ข้ารู้ดีว่าครั้งนี้ท่านได้รับหน้าที่ตัดสินใจในการโจมตีทั้งหมด แต่ท่านแน่ใจได้เช่นไรว่ามันจะไม่คิดเช่นเดียวกับเรา” คิม่อนกล่าวถามอย่างใจเย็น หาได้สนใจน้ำเสียงออกคำสั่งดังคนที่เหนือกว่าของอีกฝ่าย

“หึหึ เจ้าปิดหูปิดตาอยู่หรืออย่างไร จึงไม่รู้ว่าเจ้าเบียกโกะมันไม่มีทางเปิดฉากโจมตีก่อนกำหนดแน่ เพราะหากทำเช่นนั้นคงมีชาวบ้านตายไปเป็นจำนวนมาก ดูจากจำนวนชาวบ้านที่ยังอพยพไม่เสร็จอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาอีก 5 วัน มันไม่มีทางดึงผู้บริสุทธิ์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอย่างแน่นอน” ความหลงมัวเมาในอำนาจทำให้มันลืมสิ้นว่าตนอาจถูกฆ่าจากคู่สนทนาได้ทุกเมื่อ ตอนนี้มันคิดถึงเพียงภาพที่ได้เหยียบเบียกโกะไว้ใต้ฝ่าเท้า

“ถ้าเช่นนั้นท่านคิดจะจัดการพวกชาวบ้านไปด้วยเลยรึ หัวหน้าอนุญาตให้เจ้าทำเช่นนั้นหรือไร” เสียงราบเรียบนั้นแฝงไปด้วยความแปลกใจ ผู้ที่เริ่มต้นทำสัญญาสงบศึกคือหัวหน้า แต่หัวหน้ากลับกำลังฉีกสัญญานั้นเองเสียแล้ว หรือหัวหน้าจะเปลี่ยนไปดังเช่นที่เขากังวลจริงๆ

ความรู้สึกผิดแปลกไปของหัวหน้าเริ่มต้นเมื่อปีก่อน ชายสวมหน้ากากผู้เป็นกำลังสำคัญในการเจรจาสงบศึกกลับมาปรากฏกายอีกครั้งหลังจากหายไปหลายปี ไม่มีใครรู้ว่าชายคนนั้นเป็นใคร แต่กลับได้รับความไว้วางใจจากหัวหน้าเป็นอย่างยิ่ง

หลังจากนั้นหัวหน้าก็แข็งแกร่งขึ้น เย็นชาขึ้น โหดเหี้ยมขึ้น จนเขายังหวั่นใจ เรื่องในครั้งนี้เขายอมทำตามเพราะคิดว่าสักวันในวันที่สัญญาหมดลงอย่างไรเวลานี้ต้องมาถึง แต่ไม่คิดมาก่อนว่าหัวหน้าที่เคยห่วงความเป็นอยู่ของชาวบ้าน จะทิ้งชีวิตของชาวบ้านอย่างไร้ค่าเช่นนี้

ในดวงตาคู่นั้นฉายแววลังเลอยู่วูบหนึ่งแล้วกลับมาสงบนิ่ง ไม่แสดงท่าทางน่าสงสัยให้ใครเห็นแม้แต่น้อย

“แน่นอน เรื่องนี้ผ่านความคิดเห็นของหัวหน้าแล้ว” อาซากิตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เหนือกว่าอีกครั้ง

“ถ้าเช่นนั้นก็บอกแผนของท่านมา หน่วยของข้าพร้อมเสมอ” เขาตอบดังว่าไม่ใส่ใจต่อชีวิตชาวบ้านแล้ว เรย์ที่แอบฟังอยู่ถึงกับสั่นสะท้าน เขาไม่ได้ยินความคิดภายในหัวของคิม่อน ได้ยินเพียงบทสนทนาที่เกิดขึ้น จึงรู้สึกหวั่นใจเป็นอย่างยิ่ง ในตอนแรกเขารู้สึกได้ว่าคิม่อนไม่เห็นด้วยจึงลอบดีใจอยู่บ้าง แต่เมื่อได้ยินการตัดสินใจเช่นนั้น ทั้งน้ำเสียงราบเรียบดังกล่าวเรื่องดินฟ้าอากาศ มันทำให้เขาอดที่จะหวาดกลัวไม่ได้

“สังเวยชาวบ้าน ทำให้เป็นจุดสนใจจากพวกมันให้ได้มากที่สุด หน้าที่นี้ข้าจะรับไว้เอง...ส่วนคนของท่านก็ลอบเข้าโจมจีจากภายใน ส่วนเส้นที่ ข้ารู้ว่าท่านมีความสามารถมากพอ...ใช่หรือไม่” อาซากิกล่าวอย่างท้าทาย แม้คำกล่าวจะเป็นไปดังว่าเชื่อมั่นในฝีมือของอีกฝ่าย แต่น้ำเสียกลับเย้ยหยันอย่างไม่คิดปิดบัง

“ท่านจะสังเวยชาวบ้านรึ” เสียงของคิม่อนเข้มขึ้น มีความโกรธเจื่ออยู่ในนั้นหากฟังให้ดี ที่เขารับปากในตอนแรกเพราะคิดว่าชาวบ้านเพียงโดนลูกหลง จะอย่างไรชาวบ้านก็เป็นปีศาจ ต้องหาทางหลบหนีออกไปจากการต่อสู้ได้อยู่แล้ว แต่เมื่ออาซากิคิดใช้แผนการที่ต่ำช้า เขาจึงรู้สึกโกรธเกี้ยวเป็นอย่างยิ่ง

“ใช่ ท่านเข้าใจถูกต้อง...ข้า จะ สัง เวย ชาว บ้าน” เมื่อเห็นว่าคำกล่าวนี้ทำให้คนเย็นชาอย่างคิม่อนเปลี่ยนแปลงอารมณ์ได้ อาซากิก็กล่าวเน้นอย่างท้าทาย




To Be Continued...
__________________________________

ลงครบแล้วจ้า

รู้สึกว่าตอนนี้หลายอารมณ์มาก ฮ่าๆ  ตามกันทันรึเปล่าคะ

ทุกคนล้วนเป็นตัวแปรสำคัญเหมือนจิ๊กซอที่นำมาต่อเข้าด้วยกันทีละเล็กทีละน้อยจนเป็นรูปเป็นร่าง เราก็เลยต้องให้ความสำคัญของทุกคนค่ะ เรื่องก็เลยยาวออกๆ

กว่าจะแก้ปมภาคนี้หมดคงมีอีกหลายตอน ไม่สิๆปมแก้ไม่หมดหรอนะ จะเหลือปมไว้เป็นภาคต่อๆไป ปมใหญ่สุดเฉลยภาคปลดแอกแดนมนุษย์กันเลย ส่วนปมใหญ่ก็ยังไม่เฉลยอีกแหละว่าปมอะไร ฮ่าๆ กั๊กไว้ก่อน แต่วางไว้เล็กๆน้อยๆแล้วล่ะ มีใครพอเดาออกกันมั่งคะ

ใบ้ให้ว่าวางไว้ตั้งแต่ต้นเรื่อง งุงิๆ ส่วนคนสำคัญที่เกี่ยวข้องก็มี ... กับ ... แล้วก็ริเรน่า นี่ใบ้สุดๆแล้วนะเออ ลุ้นกันไหมคะ ขนาดกรีนยังลุ้นเลย

ช่วงนี้ไม่ค่อยว่างเข้ามาตอบความคิดเห็นเลย(แต่เม้นท์เถอะค่ะอยากอ่าน) ถ้าอยากคุยกันก็ไปคุยที่แฟนเพจหรือทวิตเตอร์ได้เลยนะคะ จุ๊บ!


ออฟไลน์ jum1201

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-5

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
อื้อหื้อออ ไหวมั้ยเนี่ย

ออฟไลน์ แฟนตาเซีย

  • หืมม...?
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 557
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1

ออฟไลน์ GreenHead(หัวเขียว)

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
    • Green Head - หัวเขียว

ตอนที่ 30
สู้  และ หนี

“แอบฟังสิ่งใดอยู่หรือ”  เสียงหยอกเย้าดังขึ้นด้านหลังของเรย์อย่างไร้ซุ่มเสียงใดๆที่สามารถบ่งบอกได้ว่ามีใครเข้ามาใกล้ตัวเขา  ในขณะที่แอบฟังบทสนทนาอันแสนสำคัญในห้องนั้น  ทั้งยังเข้ามาใกล้ถึงขั้นประชิดตัวเช่นนี้อีก  มันทำให้เขาไม่ทันตั้งตัว

พรึ่บ

แต่ด้วยที่เรย์ระแวดระวังตัวอยู่ตลอดเขาจึงโจมตีอีกฝ่ายได้โดยทันที ไม่เสียเวลามาตกใจแม้แต่น้อย มือข้างขวาถูกเหวี่ยงซัดไปด้านหลัง บนมือนั้นเกาะกังไปด้วยหยดน้ำเล็กๆมากมาย ขณะเดียวกันก็กระโดดไปด้านหน้าเพื่อให้พ้นจากระยะการโจมตีของอีกฝ่าย

หยดน้ำเล็กๆมากมายที่ถูกซัดเข้าใส่ศัตรูเพิ่มความเร็วขึ้นตามแรงเหวี่ยงดั่งห่ากระสุน  ในบรรดาหยดน้ำเหล่านั้นมีหยดน้ำหยดหนึ่งที่ใหญ่กว่าหยดอื่นๆดังว่ามันคือพลังที่ใช้โจมตีเป้าหมายอย่างแท้จริง ส่วนหยดอื่นๆเป็นเพิ่มเป้าอำพรางเท่านั้น และแล้วหยดน้ำหยดนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นแท่งแหลม  เป้าหมายของมันคือหูของศัตรู!

ทุกครั้งการโจมตีของเรย์จะเน้นที่จุดตายเสมอ  เพื่อออมพลังอันน้อยนิดของเขาให้ใช้ได้นานที่สุด การโจมตีครั้งนี้จึงมุ่งไปที่ประสาทสัมผัสทั้ง 5 เพราะพลังของเขาทำให้ตายไม่ได้ จึงเน้นให้อีกฝ่ายเสียจังหวะแล้วจึงลงมืออีกครั้งหนึ่ง หรือเปิดโอกาสให้นาฟโจมตี แต่ครั้งนี้เขาใช้มันเพื่อหลบหนีเท่านั้นเอง

อีกฝ่ายก็ใช่ว่าจะไร้ฝีมือ  เขามองรูปแบบในการโจมตีของเรย์ออก ทั้งๆที่เคยเห็นเป็นครั้งแรก ทั้งยังใช้เพียงมือข้างเดียวปัดป้องหยดน้ำเหล่านั้นให้พ้นไปจากตัวเขาโดยไม่คิดแม้แต่จะหลบเสียด้วยซ้ำ ส่งผลให้หยดน้ำเล็กๆที่แสนอ่อนแอที่สาดกระเซ็นเปอะเปื้อนไปตามร่างกายเท่านั้น สำหรับเขาแล้วพลังของเรย์ช่างไร้ค่าเสียจริงๆ

แต่ก็เกิดเรื่องไม่อาจคาดเดาขึ้นอีกครั้ง เมื่อชั่วพริบตาที่เขาจดจ่อกับพลังเมื่อครู่ ทำให้คนตรงหน้าหายไปอย่างไร้ร่องรอย ภาพที่ปรากฏตรงหน้ามีเพียงความว่างเปล่า ประตูที่ถูกเปิดอ้ากว้าง เมื่อมองออกไปด้านนอกกลับเห็นเพียงทางเดินที่ไกลจนสุดลูกหูลูกตาเท่านั้น

เรย์อาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายชะงักเมื่อครู่หลบออกไปทางประตู แล้วสร้างภาพลวงตาให้ปิดระหว่างทางเดินแคบๆนี้โดยเขาซ่อนอยู่ด้านหลังภาพลวงตานั้นไม่ทันได้ขยับตัวไปไหนให้อีกฝ่ายได้ยินการเคลื่อนไหวของเขา ที่ทำเช่นนี้เพราะเรย์ตระหนักดีว่าหากวิ่งหนีไปคงไม่พ้นที่อีกฝ่ายจะจับทางได้โดยฟังจากเสียงฝีเท้า

เวลานี้สิ่งสำคัญที่สุดคือการถ่วงเวลาให้ทุกคนหนีออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด  เขาจึงส่งความรู้สึกนึกคิดไปตามกระแสจิตซึ่งเขากับนาฟเชื่อมต่อมันได้เองด้วยความบังเอิญตั้งแต่ปีก่อน ขณะนั้นนาฟที่กำลังเคลื่อนตัวอยู่อีกด้านของป้อมปราการก็รอรับการตัดสินใจของเรย์อยู่อย่างใจจดใจจ่อ  แม้ใจเป็นห่วงเรย์แต่เขาก็เลือกที่จะเชื่อในความสามารถของเรย์ว่าอย่างไรก็คงหนีรอดมาได้ หากเขาเข้าไปยุ่งเกี่ยวทั้งที่เรย์ยังไม่ต้องการจะกลายเป็นตัวถ่วงเสียเปล่า จึงรีบไปค้นหาคนอื่นๆแล้วพาไปรอเรย์ยังจุดนัดพบที่พวกเขากำหนดไว้

เรย์เป็นชายที่มีพลังอันอ่อนด้อย ทั้งยังน้อยนิด แต่ที่นาฟเชื่อใจเรย์มากเพราะเรย์มีนิสัยที่ซับซ้อนไม่ได้เถรตรงเช่นเดียวกับเขา พลังที่เรย์ใช้จึงมีการประยุกต์ใช้ได้อย่างสร้างสรรค์ และคาดไม่ถึงอยู่เสมอ เรียกได้ว่าใช้พลังควบคู่กับสมองอันชาญฉลาดอย่างแท้จริง การเผชิญหน้ากับผู้ที่แข็งแกร่งกว่าจึงไม่ใช่เรื่องน่ากลัวสำหรับเรย์เลย เขามีลูกเล่นมากมายที่จะสามารถใช้หลบหนีจากศัตรูได้

หยดน้ำเล็กๆที่หลุดรอดจากการปัดป้องของปีศาจแปลกหน้า โดยหาได้ใส่ใจว่ามันจะเปราะเปื้อนส่วนใดของร่างกาย ทั้งยังคิดว่าไร้ค่าและไร้พลัง มันกลับกำลังเคลื่อนตัวจากบริเวณใบหน้าอย่างช้าๆด้วยการควบคุมของเรย์ หยดน้ำเหล่านั้นเคลื่อนตัวไปรวมกันเป็นจุดสองจุดแล้วเคลื่อนเข้าบดบังภายในดวงตา  ไม่เพียงเท่านั้นเรย์ยังส่งผ่านพลังภาพลวงตาไปยังหยดน้ำที่เป็นสื่อกลางพลัง ส่งผลให้ดวงตาของคู่ต่อสู้ถูกบดบังจนมองไม่เห็นสิ่งใด ดวงตาถูกปิดจนมืดบอด สูญเสียประสาทการมองเห็นในขณะนั้น

พลังควบคุมน้ำปริมาณน้อยนิดที่ถูกกลั่นออกมาจากร่างกาย ถูกใช้เป็นสื่อกลางแทนร่างกายของเรย์แล้วใช้พลังของการสร้างภาพลวงตาหลอมรวมส่งไป กลับกลายเป็นพลังสร้างสรรค์อันยากจะคาดเดา ทั้งยังน่าสะพรึงเมื่อคนผู้หนึ่งสูญเสียประสาทสัมผัสไปอย่างไม่ทันตั้งตัว ทั้งยังถูกวางแผนเอาไว้ตั้งแต่ต้น หยดน้ำที่ถูกสร้างให้มีขนาดใหญ่และเล็งไปยังหูของคู่ต่อสู้เป็นเพียงตัวล่อเท่านั้น!

เมื่อบรรลุเป้าหมายที่ต้องการถ่วงเวลาแล้ว เรย์ก็สลายภาพลวงตาตรงหน้าของตน เหลือไว้เพียงภาพลวงตาที่แผลงฤทธิ์อยู่ในดวงตาของศัตรู   ออกวิ่งอย่างสุดฝีเท้าลัดเลาะไปตามเส้นทางอันปลอดภัยมุ่งหน้าไปยังที่นัดหมายของพวกเขา

“บัดซบเอ๊ย! มีผู้บุกรุก”  เสียงสบถอย่างโกรธเกรี้ยวดังมาจากด้านหลังแต่เรย์ก็ไม่ได้สนใจ  เขาเพียงแสยะยิ้มสะใจแล้วเปลี่ยนเส้นทางหลังจากออกมาพ้นที่พักของพวกมันเท่านั้น 

ป้อมปราการกว้างขวาง มีบ้านเรือนสำหรับใช้พักถูกสร้างขึ้นไว้มากมาย จุดที่พวกเขานัดพบกันจึงเป็นจุดที่อยู่ใกล้กับทางลับซึ่งทาคุซ่อนไว้ในทางด้านทิศเหนือของป้อมปราการ  บริเวณที่ใกล้กับหมูบ้านที่สุดนั่นเอง เรย์จึงหักเลี้ยวไปอีกด้านหนึ่งเพื่อล่อให้พวกมันหัวหมุน   ในระหว่างนั้นเขาก็หาตัวช่วยสำรองเอาไว้เพื่อเป็นทางออกหากเกิดความผิดพลาดอันไม่อาจควบคุมได้ขึ้น

ฟรี๊ดดดดด

เสียงนกหวีดขนาดเล็กดังก้อง แต่กลับคล้ายเสียงของแมลงทั่วไป  ผู้ที่จับสังเกตแยกแยะเสียงนี้ได้จึงมีเพียงเจ้านกพิราบสีขาวนวลตัวหนึ่งเท่านั้น เพียงไม่นานมันก็ปรากฏตัวขึ้นบนฟากฟ้าเหนือศีรษะของเขา แล้วบินโฉบเฉี่ยวเข้ามาหาเจ้าของของมัน แม้เรย์จะไม่ได้ชะลอฝีเท้าลงเลยก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับมันแม้แต่น้อย เพียงเรย์ยื่นกระดาษที่ถูกพับจนลีบเล็กไปให้ มันก็เข้าไปคาบเอากระดาษแล้วบินขึ้นไปด้านบนอีกครั้งทันที

“นำไปให้ท่านหมอ!” สิ้นคำสั่ง เจ้านกพิราบตัวขาวก็เปลี่ยนทิศทางมุ่งหน้าไปยังเขตเหนือทันที เพราะมันคุ้นเคยกับเหตุการณ์เช่นนี้ มันจึงบินไปตามเป้าหมายอย่างไม่ลังเล

เมื่อมาไกลมากพอ เรย์จึงใช้ทางอ้อมกลับไปยังจุดนัดพบของพวกเขา ส่วนทางด้านนาฟนั้นก็พบปัญหาอยู่ไม่น้อย เขาต้องใช้เวลานานกว่าจะเกลี่ยกล่อมให้เอลลูญ์กับทาคุใจเย็นลงได้เมื่อพวกเขาทั้งสองยืนกรานที่จะออกไปตามหาเรย์ กว่าจะพาทั้งสองกลับมายังจุดนัดพบได้ก็ใช้เวลาไปมากพอควรทีเดียว เขาต้องอธิบายการเชื่อมจิตระหว่างเขากับเรย์ให้ทั้งสองฟัง เพราะมันไม่เป็นเช่นการเชื่อมจิตทั่วๆไป หากเป็นปกติแล้วการเชื่อมจิตต้องมีพลังอย่างมาก ทั้งหากทำได้จะสามารถสื่อสารกันได้ ทาคุกับเอลลูญ์ที่รู้เรื่องนี้อยู่แล้วจึงต้องการให้นาฟบอกให้เรย์กลับมาโดยไม่ต้องห่วงความปลอดภัยพวกเขา

แต่นาฟกับเรย์เชื่อมกันได้เพียงความรู้สึก ด้วยที่พวกเขาเป็นลูกครึ่งจึงมีพลังไม่สมบูรณ์ เชื่อมได้เพียงความรู้สึกเท่านั้น และจากความรู้สึกของเรย์ที่ส่งผ่านบ่งบอกได้ว่า เรย์ได้คงได้รู้ข้อมูลสำคัญบางอย่างเข้าทั้งยังถูกจับได้ แต่จิตใจของเรย์ยังสงบ นั่นหมายความว่าเรย์ยังปลอดภัยและไม่ได้อยู่ในช่วงวิกฤติใดๆ ทั้งความรู้สึกที่แฝงความห่วงใย พร้อมกับความรู้สึกในตอนที่เรย์เผยนิสัยอีกด้านนั้นกำลังผ่านเข้ามา หมายความว่าเรย์กำลังเล่นสนุกอยู่กับสถานการณ์ตึงเครียด และกำลังหาทางหนีที่ไล่ให้พวกเขานั่นเอง

ใครต่อใครที่ได้พบเห็นเรย์จะมีสัมผัสได้ว่าเรย์นั้นช่างอ่อนโยนและใจดีกว่าใครๆ แต่ด้านนั้นเรย์จะแสดงออกมากับมิตรสหาย หรือคนที่เข้าใกล้โดยไม่หวังผลประโยชน์เท่านั้น ส่วนด้านมืดที่ซ่อนอยู่นั้นแสนเจ้าเล่ห์เพทุบายเขารู้ดีที่สุด ด้านอันน่าหวั่นกลัวนั้นเรย์จะใช้มันทุกครั้งเมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรู ยิ่งอันตรายยิ่งตื่นเต้น ยิ่งต้องหาทางออกอย่างจนตรอกยิ่งสนุกสนาน ใครเล่าจะมีนิสัยที่น่ากลัวเช่นนี้ได้อีก

นาฟ ทาคุ เอลลูญ์ เตรียมพร้อมหลบหนี และตั้งรับการต่อสู้อยู่ตลอดเวลา ระหว่างศัตรูพบพวกเขาก่อน หรือเรย์กลับมาก่อน เป็นการพนันที่เดิมพันด้วยชีวิตทีเดียว

ส่วนทางด้านชายผู้ถูกเรย์ทำให้สูญเสียการมองเห็น เขาสบถคำหยาบออกมามากมายอย่างเจ็บใจ เพราะเสียรู้ให้กับคนที่มีฝีมือด้อยกว่า เขาประมาท ทั้งยังไม่เคยเผชิญกับพลังเช่นนั้นจึงรับมือได้ไม่ทันท่วงที แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ใช่ข้อแก้ตัว การกระทำของเรย์ไม่ต่างจากการหยามศักดิ์ศรีของเขาเลย

เขาไม่สนใจเสียงโหวกเหวกโวยวายของเหล่าทหารที่กำลังตามหาผู้บุกรุก  ทั้งยังไม่สนใจที่จะคลายพลังที่บดบังดวงตาเขาออก ทั้งยังหลับดวงตานั้นลง ใช้พลังเฉพาะของตนขยายขอบเขตปกคลุมจนทั่วบริเวณป้อมปราการ พลังในการตรวจสอบอันละเอียดอ่อนซึ่งเขาได้รับสืบทอดมาจากต้นตระกูลของเขานั้น หากยิ่งแข็งแกร่ง อาณาเขตยิ่งใหญ่ขึ้น มันบ่งบอกได้ว่าชายผู้นี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าเรย์หลายเท่าตัว

เพียงไม่กี่วินาทีเขาก็หาเรย์พบ  แต่เขาไม่ใช่คนวู่วามจึงสำรวจเส้นทางของเรย์อย่างถี่ถ้วน สุดท้ายก็สามารถคาดเดาสถานที่ที่เรย์กำลังมุ่งไปจนได้ พลังของเรย์อ่อนลงจนค่อยๆพร่าเลือนเพราะระยะเวลาที่จำกัดในการใช้พลัง ยิ่งเมื่อศัตรูแข็งแกร่งยิ่งคงสภาพไว้ได้น้อยลงเท่านั้น และเมื่อชายผู้นี้แปรเปลี่ยนเท้าของตนเป็นอุ้งเท้าของชีตาร์ เสือที่มีฝีเท้าเร็วที่สุดในบรรดาเสือทั้งมวล พลังที่แผ่ออกมายิ่งหักลบพลังของเรย์จนหายไปในที่สุด

ด้วยความเร็วที่เหนือกว่าทำให้ชายร่างชีตาร์มาถึงจุดนับพบก่อนเรย์เสียแล้ว นาฟ ทาคุ และเอลลูญ์จึงเข้าสู่สถานการร์บังคับต้องสู้กับศัตรูก่อนหลบหนีเสียได้ ผู้ที่รู้สึกถึงชายร่างชีตาร์คนแรกคือทาคุ เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคย ทั้งหัวยังปวดร้าวจนแทบระเบิด นาฟกับเอลลูญ์ที่เห็นอาการของทาคุจึงมุ่งความสนใจไปทีทาคุจนตั้งรับศัตรูที่มุ่งตรงมาไม่ทัน

แต่ใครจะคาดเดาได้เมื่อทาคุที่นั่งกุมหัวอยู่จะหายไปไปจากตรงหน้าของพวกเขาทั้งสอง ทาคุลงมือก่อนใครๆ ด้วยไม่อาจรู้ว่าเพราะเหตุใด แต่เขากลับเข้าโจมตีด้วยสัญชาตญาณทั้ง

“ตายซะ!คาสึกิ!”

เคร้ง!

เสียงดาบขนาดใหญ่กระทบลงไปบนดาบสั้นสองด้ามที่ถูกยกขึ้นมาไขว้กันเพื่อป้องกันดาบที่มีขนาดใหญ่กว่าได้อย่างมั่นคง

“หึหึ ไม่เจอกันนานเลยนะ...ทาคุมะ” ตอนนี้สถานการณ์กดดันยิ่งขึ้นอีก เมื่อปีศาจตนหนึ่งโกรธเกรี้ยว แต่ปีศาจอีกตนกลับยิ้มอย่างอารมณ์ดี ไม่สะทกสะท้านต่ออารมณ์ครุกรุ่นที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย

ฟุชิมะ คาสึกิ หนึ่งในสี่องครักษ์เงาแห่งเขตใต้ กำลังยิ้มอย่างอารมณ์ดีเมื่อได้พบกับสหายเก่าที่สมควรตายไปแล้วอีกครั้ง ก่อนหน้านี้เขาเสียดายเป็นอย่างยิ่งเมื่อมันหลุดรอดเงื้อมมือของเขาไปได้ ทั้งพวกนั้นยังปกปิดเขาอีกว่าทาคุมะตายไปแล้ว เขาเสียดายแทบแย่ที่ไม่ได้ลงดาบสังหารมันด้วยตนเอง แต่เวลานี้ช่างเป็นใจยิ่ง ความปรารถนาอันแสนยาวนานของเขากำลังจะเป็นจริง ในที่สุดเขาก็จะได้ฆ่าคนที่พานังนั่นหนีไปเสีย!


**********************************50%*********************************
อัพแล้วจ้า รอกันนานไหมเอ่ย ตอนนี้กรีนกำลังเร่งเขียนให้จบค่ะ ก็เลยไม่ค่อยมีอารมณ์พิมพ์เท่าไหร่ ขอโทษด้วยนะคะ อยากปิดไว้ซักเดือนจะได้ไหม งื้อออ
แต่ก็กลัวคนอ่านหาย ถ้ายังไงจะพยายามเข้ามาอัพนะคะ
กรีนกำลังเร่งปิดเรื่องรออ่านได้เลยน้า
ไม่ว่าจะเป็นฉากต่อสู้มันส์ๆ ฉากอารมณ์อันเข้มข้นก็อันแน่นไว้ให้พร้อมแล้ว รออ่านกันได้เลยจ้า รับลองจุใจอย่างแน่นอน
และวันนี้กรีนยืนยันคำเดิม...ฉากต่อสู้เขียนยากที่สุด งื้ออออ
พบกับครึ่งตอนที่เหลือพรุ่งนี้จ้า


ออฟไลน์ Reminder

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
กำลังเข้าฉากต่อสู้เลย...มันมาก

มาต่อเรื่อยๆเถอะน๊าคุณกรีน...คิดถึง

ออฟไลน์ jum1201

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-5
ลุ้นระทึกอีกแล้วววว    :katai1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ GreenHead(หัวเขียว)

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
    • Green Head - หัวเขียว
ตอนที่ 30
สู้ และ หนี


“แกเป็นใคร!” ทาคุมะถามกลับอย่างดุดัน เขามั่นใจว่าตนรู้จักคาสึกิ และสัญชาตญาณบอกว่าคาสึกิคือคนทรยศ แต่เขาก็ไม่อาจนึกออกว่าเพราะเหตุใดจึงรู้สึกเช่นนั้น  รวมทั้งเรื่องที่คาสึกิเป็นใคร  เกี่ยวข้องกับตนอย่างไรด้วย

“หึหึ ฮ่าๆๆ นี่เจ้าจำข้าไม่ได้รึ  ดี ดี ดีจริงๆ  ฮ่าๆๆ ถ้าอยากรู้นักก็ลองใช้ดาบง้างปากข้าดูสิทาคุมะ!” กล่าวจบก็เป็นจังหวะให้ทั้งสองกระโดดถอยหลังเพื่อตั้งหลักในการเริ่มต้นโจมตีอีกครั้ง

 คาสึกิจงใจใช้ถ้อยคำยั่วโมโหเหล่านั้น เพราะเขาถนัดใช้ดาบสั้น การเข้าประชิดตัวคู่ต่อสู้ที่มีอาวุธโจมตีแบบเป็นวงกว้างจึงเป็นปัญหากับเขา ดังนั้นการทำให้ศัตรูเปิดช่องว่างจึงเป็นอีกทักษะที่เขาใช้มันในการต่อสู้ ยิ่งศัตรูโกรธจนขาดสติมากเพียงใด ยิ่งเข้าทางเขามากขึ้นเท่า

ส่วนทาคุมะใช้ดาบหนัก  ซึ่งมันทั้งหนักและมีขนาดใหญ่ตามชื่อ ทั้งยังโจมตีได้เป็นวงกว้าง เหมาะแกการโจมตีศัตรูแบบซึ่งหน้า  อาวุธของเขาจึงเข้าเงื่อนไขจุดอ่อนของคาสึกิได้อย่างพอดี

“ได้!  คาสึกิ ข้าจะสนองให้ตามที่เจ้าต้องการ” ด้วยความที่เป็นคนเลือดร้อนยามต่อสู้ ทำให้ไม่ยากเลยที่ทาคุมะจะวิ่งไปตามแผนคาสึกิอย่างง่ายดาย เขาทุ่มกำลังทั้งหมดเข้าจู่โจมคาสึกิอีกครั้ง เหวี่ยงดาบไปยังคู่ต่อสู้ครั้งแล้วครั้งเล่า เล็งไปเสียทุกจุดทั่วตัว เพราะแม้ไม่ใช่จุดตาย แต่ถ้าตัวขาดเป็นสองท่อนด้วยแรงเหวี่ยงของดาบก็ตายเหมือนกันมิใช่หรือ

คาสึกิเป็นฝ่ายตั้งรับ ยกดาบขึ้นมาป้องกันได้เสียทุกครั้งแต่ร่างกายก็ถอยร่นไปข้างหลังมากขึ้นๆมากขึ้นเรื่อยๆ แต่กระนั้นริมฝีปากเขากลับกำลังฉีกยิ้ม เมื่อได้เห็นทาคุมะโกรธเกรี้ยว...มันช่างเข้าแผนของเขาเสียนี่กระไร

และแล้วในเสี้ยววินาทีที่ทาคุมะยกดาบขึ้นฟันอีกครั้ง  เพียงเสี้ยวหนึ่งก่อนดาบจะถึงตัวคาสึกิโดยไร้ซึ่งการป้องกัน ร่างนั้นกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ฟิ้ววว

เคร้ง!

“อึก! คาสึกิ!” มีดสั้นกว่าสิบเล่มถูกขว้างเข้าใส่จากทุกทิศทาง ทาคุมะที่เสียการทรงตัวจากการโจมตีเมื่อครู่ของตนจึงป้องกันมีดเหล่านั้นไม่ได้ทั้งหมด มีดที่ถูกดาบใหญ่ปัดกระเด็นกลับไปยังทางที่มันพุ่งมา แต่มีดสั้นที่ทาคุมะพลาดเป้าไปก็ปักลงบนร่างกายของเขาหลายจุด  ไม่ว่าจะเป็นที่ไหล่ สีข้าง และแผ่นหลัง แต่กระนั้นก็ดูเหมือนจะไม่สะเทือนถึงร่างกายของเขามากนัก

“ฮิฮิ  ฮ่าๆๆ ช่างเป็นเสียงที่ไพเราะยิ่ง...เจ้าคงจำไม่ได้ทาคุมะ  แต่ข้าจะบอกให้ว่าข้าเกลียดการสู้กับเจ้ามากที่สุด เพราะไม่ว่าเมื่อใดมันมักจบลงที่เสมอกันเสียทุกครั้ง อาวุธของเรากินกันไม่ลงเชียวล่ะ...แต่ว่านะ ข้าจะบอกให้ว่าทุกครั้งข้าต้องอดกลั้นที่จะไม่แสดงนิสัยน่าเกียจต่อหน้าท่านหัวหน้า ซึ่งวันนี้มันไม่จำเป็น หึหึ ข้าจะแสดงให้เห็นว่าการฆ่าเจ้ามันไม่ยากอันใดเลย!” เสียงนั้นดังขึ้นทุกทิศทางจนไม่อาจจับสัมผัสได้ว่ามาจากที่ใด

ด้วยที่การต่อสู้ทุกครั้งคาสึกิจะต่อสู้อย่างซื่อตรง  ไม่กล่าวยั่วยุ หรือลอบโจมตีจากด้านหลัง เพราะมันเป็นการประลองกับพวกเดียวกัน ทั้งยังอยู่ต่อหน้าหัวหน้าอีก แต่วันนี้ทาคุมะคือศัตรูที่เขาต้องการสังหาร ความสามารถทั้งหมดจึงถูกนำออกมาใช้อย่างไม่ปิดบัง ทำให้เขามั่นใจอย่างยิ่งว่าอย่างไรเขาต้องเป็นฝ่ายชนะอย่างแน่นอน

คาสึกิเร่งความเร็วของฝีเท้าให้มากขึ้น เขาถนัดการรอบสังหาร หรือการฆ่าโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว หากกล่าวถึงความเร็วแล้วในบรรดาพวกเขาทั้งสี่ คาสึกิจึงนับว่ามีความเร็วมากที่สุด

เคร้ง!

ประกายดาบเกิดขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ฝ่ายตั้งรับกลับเป็นทาคุมะที่ต้องใช้สัญชาตญาณในการตั้งรับ คาดเดาตำแหน่งที่คาสึกิจะโจมตีมา การโจมตีจุดบอดและจุดตายอย่างแม่นยำทำให้ยากต่อการรับมือ  แต่กระนั้นประสบการณ์ที่โชคโชนทำให้ทาคุมะยังป้องกันตนเองได้เสียทุกครั้งไป แม้จะได้แผลมาบ้างเล็กน้อยแต่ก็ไม่ถึงกับสาหัสมากมายแต่อย่างใด

ทุกครั้งที่คาสึกิโจมตีเขาจะถอยกลับแล้วหายไปกลับความมืด  พร้อมขว้างมีดสั้นเข้าใส่สลับไปมา มันจึงยิ่งยากต่อการจับทิศทาง ปลายแหลมคมของดาบสั้นข้างหนึ่งตวัดเข้าใส่ใบหน้าของทาคุมะ   หมายจะเสียบเข้าใส่ดวงตา แต่ด้วยคุณสมบัติของดาบหนักที่ถึงแม้คมมีดจะทื่อแต่ทุกครั้งที่เหวี่ยงดาบมันจะเร็วขึ้นๆตามลำดับ เขาจึงสามารถปัดดาบสั้นออกไปด้านข้างได้ทัน   แต่กระนั้นประกายดาบก็ยังฝากแผลยาวไว้ที่คิ้วยาวจนถึงขมับ แม้จะเล็กน้อยแต่เลือดก็ไหลซึมออกมาบดบังวิสัยทัศน์ของดวงตา ทำให้ยากต่อการมองเห็นยิ่งขึ้นไปอีก

ในขณะที่ปีศาจทั้งสองกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด ทางด้านนาฟกับเอลลูญ์ที่จ้องหาช่องว่างเข้าไปช่วยทาคุมะก็ต้องเผชิญหน้ากับชายสวมหน้ากากใบหน้ายิ้มครึ่งไม่ยิ้มครึ่งที่โผล่ออกมาอย่างไร้ที่มาที่ไป

“ฮิฮิฮิ สายันต์สวัสดิ์ขอรับ” เสียงขบขันดังขึ้นด้านหลังของนาฟกับเอลลูญ์  เพียงหันกลับมามองก่อนที่จะทันตั้งตัว พวกเขาก็ถูกซัดหมัดเข้าที่ท้องจนตัวกระเด็นไปด้านหลัง ปลิวไปไกลจนชนกับต้นไม้ที่ขวางอยู่

“อั๊ก”  “อึก” เพียงเท่านั้นคนทั้งสองก็กระอักเลือดออกมาอย่างไม่น่าเชื่อ  บ่งบอกได้ว่าตอนนี้พวกเขาบาดเจ็บภายในเสียแล้ว

“จะเข้าไปยุ่งไม่ได้นะขอรับ ภาพที่งดงามเช่นนี้หายากยิ่ง...เพื่อนที่กำลังต่อสู้กันโดยเดิมพันด้วยชีวิตมันช่างงดงาม งดงาม!  งดงามจริง!  ฮ่าๆๆ”  การแสดงออกของชายสวมหน้ากากช่างน่าขัน  มันกำมือเหลือไว้เพียงนิ้วชี้ดังต้องการกระซิบเบาๆทั้งยังโก่งโค้งมาข้างหน้าดังกำลังห้ามเด็กตัวเล็กๆไม่ให้เสียงดังอย่างไรอย่างนั้น แต่ด้วยหน้ากากอันบิดเบี้ยวทำให้มันไม่เข้ากันเสียเลย ยิ่งประโยคสุดท้ายที่กล่าวดังสติแตกเช่นนั้นยิ่งชวนให้น่าขนลุกจนไม่อาจบรรยายได้เลยทีเดียว

“แก!” นาฟตะโกนอย่างบ้าคลั่ง แต่ไม่นานเขาก็สงบลงด้วยเพราะจิตใจที่ผูกติดกับเรย์เอาไว้ หัวใจที่เต้นอย่างสงบของเรย์ทำให้เขาควบคุมอารมณ์ของตนได้เสมอ  และเขารู้ว่าหากเขาส่งจิตแบบบ้าคลั่งไปเรย์ต้องเป็นห่วงเขามากขึ้นอย่างแน่นอน  ทั้งหากเรย์เป็นห่วงพวกเขาแล้วต้องรีบมายังที่แห่งนี้ การส่งจิตให้เรย์ใช้แผนต่อไปคงไม่อาจรับรู้ได้ง่ายๆ เขาจึงสงบใจแล้วเริ่มต้นหาวิธีส่งสัญญาณอีกครั้ง ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือหนีเอาใช้ชีวิตรอด   ไม่ใช่การต่อสู้อย่างสูญเปล่า

เอลลูญ์  กับ นาฟ  สบตากันดังว่าเข้าใจในความคิดของอีกฝ่ายอย่างกระจ่างแจ้ง ทั้งสองลุกขึ้นได้ก็วิ่งเข้าใส่เพื่อโต้กลับชายสวมหน้ากากในทันที  แต่ก่อนจะเข้าใกล้นาฟก็ลดความเร็วลงให้เอลลูญ์วิ่งขึ้นไปด้านหน้าเป็นตัวล่อ ส่วนเขาใช้จังหวะที่เอลลูญ์บดบังสายตาของอีกฝ่ายเอาไว้ ปล่อยควันออกจากฝ่ามือ  ควันกลุ่มหนึ่งลอยขึ้นฟ้าเป็นรูปสามเหลี่ยม แต่หากไม่ใช่พวกเขาคงไม่เข้าใจ เพราะมันสามารถแยกออกเส้นสามเส้น แล้วให้นำมาเรียงใหม่เป็นแนวเดียวกันหมายถึงเลขสามในภาษาโรมันนั่นเอง
และในจังหวะนั้นก็ส่งจิตบอกให้เรย์มองไปบนท้องฟ้า  แม้จะอยู่ไกลกันนาฟมั่นใจว่าเรย์ต้องมองเห็นอย่างแน่นอน  ที่เหลือคือพวกเขาต้องถ่วงเวลาเอาไว้สักพักเพื่อให้เรย์เตรียมแผนต่อไปได้ทัน

เพื่อไม่ให้มีพิรุธการส่งสัญญาณจึงถูกทำเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่นาฟจะมุ่งความสนใจไปที่ชายสวมหน้ากากอีกครั้ง นาฟกับเอลลูญ์ผลัดกันล่อผลัดกันโจมตีอย่างต่อเนื่อง  คนหนึ่งโจมตีเพื่อดึงความสนใจ อีกคนโจมตีช่องโหว่ที่อีกฝ่ายสร้างให้  ช่างเข้าขากันดังว่าต่อสู้ร่วมกันมาหลายปี แต่กระนั้นก็ไม่อาจแตะต้องโดนตัวของชายสวมหน้ากากได้เลยแม้แต่น้อย อีกฝ่ายมีอาวุธที่ลักษณะเหมือนกรรไกรแยกส่วนออกจากกันได้ โดยแยกอยู่ในมือด้านละส่วนเท่านั้น พลังพิเศษก็ไม่ได้นำออกมาใช้แต่พวกเขากลับทำอะไรไม่ได้เลย หัวใจหนักอึ้ง สมองอื้ออึงไปด้วยคำถามมากมาย ยิ่งต่อสู้นานขึ้นก็ยิ่งย้ำชัดอย่างไม่อาจปฏิเสธได้

‘ชายผู้นี้เป็นใคร’

‘เป็นไปไม่ได้’

‘เขาไม่ใช้พลังเลยจริงหรือ’

‘พวกเรา พวกเราจะฆ่าชายผู้นี้ได้จริงๆใช่หรือไม่’


“อ้าก!”  เสียงร้องอันเจ็บปวดดังขึ้นหยุดความคิดที่ดำดิ่งสู่ความพ่ายแพ้ของคนทั้งคู่ จนตอนนี้นาฟกับเอลลูญ์กลับมามีสติอีกครั้ง เพราะตอนนี้ต้องมุ่งความสนใจไปที่เสียงของทาคุมะแทน

ภาพที่ปรากฏต่อสายตาของพวกเขาคือ ทาคุมะที่จับดาบด้วยมือเพียงข้างเดียว ส่วนมืออีกข้างบีบไปบนศีรษะของเขาเพื่อต้องการระงับความเจ็บปวด  คาดเดาได้ไม่ยากกว่าตอนนี้ทาคุมะถูกกระตุ้นจนความทรงจำ มันปรากฏขึ้นอย่างไม่รู้เวลาเช่นนี้  ตามด้วยเสียงหัวเราะเยาะเย้ยอย่างสะใจของคาสึกิที่ดังออกมาจากทุกทิศทางรอบๆตัวของทาคุมะ

เพียงชั่วครู่คาสึกิก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของทาคุมะแล้วง้างดาบข้างหนึ่งขึ้นหมายจะกุดศีรษะของเขา

“ท่านทาคุมะ!”

“ระวัง!”

เสียงตะโกนก้องจากนาฟกับเอลลูญ์ช่วยเรียกสติของทาคุมะกลับมาได้อย่างเฉียดฉิว ก่อนที่ดาบสั้นจะบั่นคอของเขา ทาคุมะก็ยกดาบขึ้นมาปัดป้อง แต่ด้วยสติที่ยังไม่ครบถ้วนดี ประสาทสัมผัสจึงยังไม่เฉียบคมพอ  ทำให้คาสึกิอาศัยช่วงเวลานั้นเปลี่ยนวิถีดาบฟันลงไปยังแขนของทาคุมะแทน

“อึก”

ตุบ!

ดาบหนักที่ถูกยกขึ้นด้วยมือเพียงข้างเดียวล่วงหล่นลงสู่พื้นเมื่อแขนข้างนั้นไร้เรี่ยวแรงจะประครองมันเอาไว้ ตอนนี้นาฟกับเอลลูญ์เองก็ละความสนใจจากชายสวมหน้ากาก แต่ก็ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายก็คงหมดธุระแล้วเช่นกันจึงไม่ได้เข้าไปโจมตีคนทั้งคู่ หรือก็คือมันเจอสิ่งที่สนุกมากกว่าแล้วนั่นเอง

“ฮ่าๆๆ ต่อไปก็คอของเจ้าล่ะนะ ทาคุมะ! อึก  อะ...อะไร” คาสึกิเริ่มหัวเราะอย่างบ้าคลั่งอีกครั้งเมื่อตนมีชัยเหนือทาคุมะ  แม้จะใช้ลูกเล่นอันแสนน่ารังเกียจแล้วมันจะสำคัญอย่างไร ในเมื่อการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่การประลองแต่เป็นการสังหาร เขาเพียงหยิบยกชื่อของหญิงมนุษย์นางนั้นขึ้นมากล่าวถึง ทาคุมะก็ส่งผลหนักถึงเพียงนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาโจมตีอย่างไรก็ไม่สะทกสะท้านแท้ๆ ยอดเยี่ยม มันช่างยอดเยี่ยมจริงๆ

แต่แล้วเขาก็ต้องชะงัดเมื่อมีกระแสความร้อนสายหนึ่งมัดแขนกับลำตัวเข้าด้วยกัน แม้แต่ขาก็ขยับไม่ได้ รู้สึกเจ็บจี๊ดดังถูกแมลงกัดแต่ร้ายแรงกว่านั้นอยู่มากทีเดียว ใช่แล้วเขาถูกเอลลูญ์ใช้สายฟ้ามัดร่างเอาไว้ไม่ให้ขยับไปที่ใด 

“ทำไม  ทำไมพลังสำรวจของข้าจึงจับสัมผัสไม่ได้!” เขากล่าวอย่างขุ่นใจและงุนงงสงสัย  เพราะสายฟ้าถูกสร้างขึ้นจากกระแสอากาศรอบๆตัวของคาสึกิ  ทำให้เขาสัมผัสมันได้อย่างเบาบางแต่ก็ไม่อาจคาดการณ์ได้ว่าคือสิ่งใดด้วยไม่เคยเผชิญหน้ากับผู้ใช้สายฟ้ามาก่อ จึงทำให้ไม่อาจหลบได้ทัน

นาฟอาศัยจังหวะนั้นปล่อยควันออกมารอบตัวจนปกคลุมทั่วบริเวณ เพื่อถ่วงเวลาและการมองเห็นของศัตรูที่กำลังมาใหม่ ก่อนจะเข้าประชิดตัวของคาสึก  แล้วอัดคลื่นฮีตเวฟไปยังร่างนั้นจนอีกฝ่ายหมดสติไป คลื่นความร้อนที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติทำให้ยากจะต้านทานผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นได้

เรียกได้ว่าพวกเขาจัดการศัตรูด้วยพลังแบบที่อีกฝ่ายไม่รู้จักจึงทำได้ง่ายถึงเพียงนี้ แต่หากเจอกันอีกครั้งคงยากที่พวกเขาจะชนะได้  ตอนนี้พวกเขาจึงต้องหนีเท่านั้น นาฟเข้าไปดึงทาคุมะที่ยืนมองอยู่เพื่อวิ่งออกไปจากที่แห่งนี้ แต่อีกคนกลับไม่ให้ความร่วมมือ เมื่อทาคุมะไม่ยอมขยับออกจากที่เดิมทั้งยังดึงแขนออกจากมือของนาฟ

“ไปเร็วท่านทาคุ” แม้ตกใจแต่นาฟก็ตั้งสติแล้วเร่งอีกฝ่ายอีกครั้ง

“พวกเจ้าไปซะ ข้าจะอยู่ที่นี่  การต่อสู้ยังไม่จบ” ทาคุมะยังยืนยันหนักแน่นทั้งยังเดินไปหยิบดาบด้วยมือข้างที่ยังไม่โดนฟันโดยไม่หันกลับมามองนาฟเสียด้วยซ้ำ

“แต่ท่านต้องไป” นาฟไม่ยอมแพ้

“ไม่” ทาคุมะก็ไม่คิดจะอ่อนข้อลง

พรึบ!

“ท่านไม่ไปไม่ได้ ถ้าจะอยู่พวกเราก็จะอยู่สู้ด้วย...ท่านคิดว่าพวกเราจะยอมปล่อยให้เพื่อนตายไปคนเดียวได้รึ!” เอลลูญ์กระชากคอเสื้อของทาคุมะให้หันกลับมามองหน้าตน ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงลอดไรฟันอย่างอดกลั้นอารมณ์โกรธเกรี้ยว

ตอนนี้ในใจของเขาห่วงเรย์ที่ไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไรจนแทบไม่อาจสงบใจได้ ทั้งนาฟที่ดูอย่างไรคงไม่หนีไปแน่หากพวกเขาไม่ออกไปพร้อมกันทั้งสามคน ที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องสนใจทาคุมะเสียก็ได้เพราะเขาเข้าร่วมตามเรย์กับนาฟเท่านั้น แต่หากทาคุมะทำให้ทั้งสองคนต้องจบชีวิตลงเขาก็ไม่คิดจะให้อภัย

สำหรับเอลลูญ์แล้วชีวิตของเขาจะจบลงอย่างไรไม่สำคัญ แต่เขาจะไม่ยอมสูญเสียคนสำคัญไปต่อหน้าต่อตาอย่างเด็ดขาด ความโกรธเกรี้ยวที่มีต่อทาคุมะจึงท่วมท้นออกมาอย่างไม่อาจปิดบังได้

“ข้า...ข้าเข้าใจแล้ว ไปกันเถอะ” หลังจากจ้องตากันอยู่ครู่หนึ่งทาคุมะก็เป็นฝ่ายยอมแพ้  เขาจะดื้อดึงเช่นนี้ไม่ได้ เพราะเป็นผู้ที่ดึงพวกเอลลูญ์เข้ามาร่วมเสี่ยง ทั้งยังหากตายที่นี่คงไม่มีผลดีรออยู่แน่ หลังจากนั้นพวกเขาทั้งสามจึงวิ่งไปตามเส้นทางที่ได้ตกลงกันเอาไว้

เพียงไม่นานจากนั้นบริเวณนั้นก็เต็มไปด้วยคนของหน่วยเสือคำ ตามด้วยเสียงหัวเราะอันสนุกสนามของชายสวมหน้ากากที่ดังตามมาจากด้านหลัง

“ฮิฮิฮิ หนีสิ หนีไป หนีๆ...แล้วข้าจะไล่ตามไป”






To Be Continued...
___________________________________________________



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-02-2018 09:01:15 โดย GreenHead(หัวเขียว) »

ออฟไลน์ Reminder

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
บอกได้แค่สู้ๆนะคุณกรีน

เราเป็นคนอ่านอาจมาร่ำร้องบ้างแต่อย่าให้เราทำให้คุณเครียดจนไม่มีความสุขในการแต่งนิยาย
เราเข้าใจว่ามันเป็นงานที่ต้องใช้พลังสมองและแรงกายแรงใจ เราอยากให้คุณมีความสุขกับการแต่ง เราเองก็มีความสุขกับการได้อ่านเช่นกัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-09-2017 23:02:13 โดย Reminder »

ออฟไลน์ P_Methayot

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 108
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-0
เพิ่งอ่านตอนที่ 1 เองครับ แงๆ

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ jum1201

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-5
เป็นกำลังใจให้ค่ะ คนขยันเราสนับสนุนจ้า รอไปพร้อมกัน :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ GreenHead(หัวเขียว)

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
    • Green Head - หัวเขียว
ตอนที่ 31
เปิดฉากฟาดฟัน

หลังจากนั้น  นาฟ เอลลูญ์ และทาคุมะ ก็รีบเร่งวิ่งไปยังจุดที่นัดหมายกับเรย์ไว้ นับว่าเป็นความโชคดีในโชคร้าย  เมื่อชายสวมหน้ากากยิ้มครึ่งไม่ยิ้มครึ่ง ไม่ได้ไล่ตามพวกเขาไปในทันที เพราะมันคิดว่าหากปล่อยพวกเขาไปก่อนความสนุกในการไล่ตามคงมากขึ้นอีกโขเลยทีเดียว หากจัดการไปตอนนี้คงหมดสนุกไปเสียก่อน ทั้งมันยังโปรดปรานในการชมการต่อสู้ของทั้งสองเขตยิ่งกว่าลงมือด้วยตนเองเสียอีก

มันจึงยังยืนนิ่งจ้องมองพวกเขาหนีไปด้วยสายตาแห่งความหรรษา ส่วนเหล่าทหารที่มาถึงก็ติดเข้าไปในควันไฟของนาฟอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ ประสาทรับรู้ถูกจัดการ ปวดแสบไปทั่วไปหน้า กว่าจะรู้ตัวว่าควันนั้นไม่ใช่ควันธรรมดาก็ติดกับดักเสียแล้ว กว่าพวกมันจะกลับเป็นปกติคงซื้อเวลาได้มากทีเดียว

ทางด้านเรย์ในขณะที่ทางนั้นต่อสู้กันอยู่เขาก็ได้ออกมาจากอาณาเขตของเขตตะวันตกเสียแล้ว จุดหมายปลายทางของเขาคือป่าด้านนอกกำแพงซึ่งมีน้ำตกขนาดใหญ่ไหลผ่าน น้ำตกนี้มีต้นกำเนิดมาจากแดนมนุษย์แล้วทอดยาวตัดผ่านป่าแห่งนี้ลงไปถึงเขตใต้ นับว่าเป็นน้ำตกที่เชื่อมทั้งสองดินแดนเอาไว้ก็ไม่ผิดเพี้ยนมากนัก

เพียงไม่นานเรย์ก็มาถึงจุดหมาย ที่เขาต้องมายังที่แห่งนี้เพราะเขาต้องใช้มันเป็นพลังในการวางกับดักในครั้งนี้ โดยปกติแล้วเรย์มีพลังอันน้อยนิด เพราะเป็นเพียงลูกครึ่งไร้พลังที่โชคดีได้รับรู้ถึงพลังที่แฝงอยู่ เขาจึงต้องพกน้ำติดตัวไปไหนต่อไปไหนเสมอเพื่อเตรียมพร้อมทุกครั้ง เขานั้นไม่อาจกลั่นน้ำจากผืนดิน ต้นไม้ หรืออากาศดังเช่นเหล่าผู้ใช้ธาตุน้ำที่แท้จริง ดังนั้นหากต้องการใช้พลังมากมายทั้งยังรวดเร็ว น้ำจำนวนมหาศาลจึงเป็นสิ่งจำเป็น

เขาวงกตลวงตา คือพลังที่เรย์คิดค้นขึ้นเอง ซึ่งก็ประยุกต์มาจากพลังพื้นฐานในการสร้างภาพลวงตาของเขานั่นเอง เพียงแต่มันซับซ้อนและมีขนาดใหญ่กว่า ทุกครั้งเวลาเขาสร้างมันจากน้ำที่เก็บติดตัวไว้จึงต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง แต่หากเป็นตอนนี้ที่มีทุกอย่างพร้อมสรรพ อยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่เอื้อประโยชน์เช่นนี้เขามั่นใจว่าต้องใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมงอย่างแน่นอน

นาฟกับเรย์ยังคงเชื่อมกระแสจิตเข้าด้วยกัน เขาจึงรับรู้ได้ถึงช่วงเวลาที่เรย์ต้องการจึงวิ่งอ้อมตัดไปมาเพื่อให้ศัตรูสับสน ทั้งยังวางกับดักเพื่อถ่วงเวลาเอาไว้ให้ได้ตามที่เรย์ต้องการ

มวลน้ำเริ่มระเหยเป็นไอ ด้วยการกลั่นโดยความร้อนที่อยู่ในกาย หลอมรวมเป็นสายหมอกที่เกิดขึ้นทั่วบริเวณ มันลอยตัวสูงขึ้นจนพ้นยอดไม้ แผ่กระจายปกคลุมไปรอบๆ โครงสร้างภายในถูกกำหนดโดยจินตนาการของผู้สร้างอันสลับซับซ้อน หากไม่สามารถบินได้คงไม่อาจหลุดจากวงกตลวงตานี้ไปได้ง่ายๆอย่างแน่นอน

เวลาเดียวกันกับที่เรย์สร้างกับดักเสร็จเรียบร้อยพวกนาฟก็มาถึงพอดี เขาทิ้งล่องรอยของตนดังว่าวิ่งเข้าไปในสายหมอกที่อยู่ตรงหน้า แต่หากความจริงมันเป็นเพียงกลลวง พวกเขาลัดเลาะนอกอาณาเขตวงกตลวงตาจนมาถึงจุดที่เรย์อยู่ แล้วรีบไปต่อโดยไม่ทันหลังกลับ

ด้วยเหล่าหน่วยเสือดำที่ไล่ตามมายังคงโกรธเกรี้ยวจึงไม่ทันระวังตัว เพียงแกะรอยมาถึงก็ถูกหลอกให้ตกลงไปในกับดักเสียแล้ว นับว่านั่นเป็นกับดักที่กินเวลาหลายวันกว่าจะหาทางออกเจอ แม้ชายสามหน้ากากยิ้มครึ่งไม่ยิ้มครึ่งตามมามันก็ทำเพียงยืนจ้องมองพวกเขาเท่านั้นหาได้ให้ความช่วยเหลือใดๆ ดังว่ามันเป็นเพียงผู้ชมผู้หนึ่งที่กำลังหาความบันเทิงให้ตนเท่านั้น

ด้วยเหตุนั้นจึงมากพอที่จะซื้อเวลาให้พวกเขาทั้งสี่หนีมาถึงจุดนัดพบกับหมอชรานั่นเอง

..

..

..

หลังจากเสียงของเรย์เงียบลงทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ ปล่อยให้เวลาผ่านไปเช่นนั้นโดยไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาอีกดังว่าพวกเขากำลังรอการตัดสินใจของนายใหญ่เขตเหนืออยู่นั่นเอง

“เอจิ ยาจิ รับคำสั่ง!” และแล้วเบียกโกะก็กล่าวขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน

“ขอรับ!” ทั้งสองเสียงประสานตอบรับอย่างหนักแน่น ร่างกายก็ขยับตั้งตรงรอรับคำสั่งจากหัวหน้าของตน

“พวกเจ้าจงเดินทางไปยังเขตชายแดนตะวันตก และจงทำทุกวิถีทางให้คนของเราปลอดภัย จงระวังตัวให้ดี คาสึกิ คือ 1 ใน 4
องครักษ์เงาแห่งเขตใต้ผู้เคยเป็นสหายของข้า!” เสียงของเบียกโกะเย็นยะเยือก เมื่อตระหนักรับรู้ได้ถึงคนทรยศที่อยู่เพียงใกล้ๆตัวของเขาเท่านั้น

“นับว่าคราวนี้พวกท่านโชคดีที่จัดการคาสึกิไปได้ เพราะนิสัยของเจ้านั่นชอบดูถูกผู้อ่อนแอ จึงเต็มไปด้วยความประมาท   เจ้านั่นเป็นหมาบ้าของแท้ มันเสพติดการต่อสู้อันบ้าคลั่ง เวลานี้ไร้ผู้ที่ควบคุมมันได้พวกเจ้าจงระวังตัวให้ดี ข้าหวังพึ่งพวกเจ้าแล้ว จงไปช่วยเหล่าหัวหน้าหน่วยสู้ซะ!” ความหนักใจที่ส่งผ่านคำพูดและน้ำเสียง คาดเดาไม่ยากเลยว่าเบียกโกะหนักใจกับเรื่องนี้เพียงใด และเอจิกับยาจิตระหนักดีว่าหากขึ้นชื่อว่าเป็นสหายคงมีฝีมือไม่ห่างชั้นกันอย่างแน่นอน พวกเขาที่รับรู้ถึงพลังอันมหาศาลของหัวหน้าดีจึงไม่มีความประมาทอยู่ในดวงตานั้นแม้แต่น้อย

“เอจิรับคำสั่ง!”

“ยาจิรับคำสั่ง!”

ทั้งสองกล่าวอย่างแน่วแน่ จากนั้นเบียกโกะก็สั่งอีกเล็กน้อย โดยให้ทั้งสองเดินทางไปเพียงสองตนเพื่อความรวดเร็ว และต้องหายไปอย่างเงียบๆไม่ให้ศัตรูภายในไหวตัวทัน เบียกโกะเชื่อมั่นในตัวของปีศาจหนุ่มทั้งสอง เพราะหลังจากที่ทั้งสองเสียครอบครัวไปตนก็เป็นเช่นอาจารย์ที่คอยฝึกวิชาให้เอจิกับยาจินั่นเอง ก่อนที่ทั้งสองจะออกเดินทางเบียกโกะก็มอบกระดาษแผ่นหนึ่งให้กับเอจิ โดยกำชับอย่างหนักแน่นว่าต้องเปิดหลังจากตัดหัวแม่ทัพฝ่ายศัตรูได้แล้วเท่านั้น

หลังจากจบเรื่องของทางเขตชายแดน เบียกโกะก็เริ่มตกลงแผนการที่วางเอาไว้ โดยมีการเสริมความคิดเห็นปิดช่องโหว่มากมายจากเหล่าสมาชิกที่อยู่ในห้อง บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด เพราะเวลาของศึกใหญ่ใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว

หลังจากนั้นพวกเขาก็แยกย้ายกลับไปยังที่พักอย่างเงียบๆ และก่อนที่จะก้าวออกจากห้องเป็นคนสุดท้าย แร็กนาร์ก็หันมากล่าวกับเบียกโกะว่า

“ตกลง” เป็นอันรู้กันว่าหมายถึงเรื่องใด เพราะเมื่อครู่พวกเขาไม่ได้กล่าวถึงข้อตกลงระหว่างแร็กนาร์กับเบียกโกะเมื่อคราวก่อนแม้แต่น้อย คำตอบนี้จึงรับรู้เพียงเบียกโกะที่นั่งอยู่ภายในห้อง แร็กนาร์ที่ตอบรับข้อเสนอ และหมอชรากับรูร์กัสที่รับรู้ข้อตกลงนี้เท่านั้น

..

..

..

สองวันหลังจากนั้น ที่เขตชายแดนระหว่างเขตเหนือกับเขตตะวันตก

ดวงอาทิตย์ทอแสงสาดส่องจนท้องฟ้าที่เป็นสีแดงจางๆถูกย้อมเป็นสีแดงเลือดอันน่าพรั่นพรึ่ง ยิ่งมันค่อยๆเคลื่อนต่ำลง ความมืดที่เจือด้วยสีแดงเลือดก็ค่อยๆปกคลุมแดนปีศาจอันกว้างไกลจนหมดสิ้น

หน้าป้อมปราการยังคงคับคั่งไปด้วยชาวบ้านเผ่าพยัคฆ์ที่ประกอบอาชีพทางการเกษตร มีเพียงทักษะเล็กๆน้อยเพื่อเอาตัวรอดเท่านั้น แต่กระนั้นพวกมันก็ยังคงแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ธรรมดาสามัญด้วยร่างกายที่พิเศษยิ่งกว่านั่นเอง

ความเหนื่อยล้าที่ต้องท้าแสงแดดมาทั้งวัน พาให้พวกมันเริ่มหมดเรี่ยวแรง บางตนเริ่มตั้งวงล้อมเพื่อร่วมกินอาหาร บางตนเริ่มหาที่หลับนอน สภาพพวกมั่นผ่อนคลายยิ่ง หาได้รู้ถึงภัยร้ายที่คลืบคลานเข้ามาแม้แต่น้อย

ตึก ตึก ตึก

เสียงอึกทึกของฝีเท้ามายมาย ทำให้เหล่าชาวบ้านที่อยู่หน้าป้อมปราการเขตตะวันตกตื่นตัว พวกมันมองหาที่มาของเสียงอย่างมึนงง และแล้วประตูป้อมปราการก็เปิดออกออย่างๆช้าๆ

“เฮ้ๆเฮ้ๆๆ” ตามด้วยเสียงอึกทึกของเหล่าลูกสมุนของเขตตะวันตก

เคร้งๆ

เสียงอาวุธมีคมก็ดังตามมาติดๆ เพียงไม่นานก็ปรากฏร่างของเหล่าลูกสมุนกว่า 100 ชีวิต ที่เดินแถวออกมาอย่างไร้ระเบียบ แม้เป็นแถวแต่พวกมันกลับแสดงท่าทางเหิมเกริม ดังว่าพวกมันมีพลังมากมาย และกำลังจะไปขยี้เหล่ามดปลวกที่มีพลังอันน้อยนิดก็ไม่ปาน

ชาวบ้านเห็นสถานการณ์ไม่ดี แม้ไร้ประกาศใดๆจากทางปีศาจกลุ่มโนบุเหล่านี้ พวกมันก็เริ่มวิ่งหาที่หลบอย่างหัวซุกหัวซุนด้วยกลัวว่าตนจะโดนลูกหลงในการปะทะครั้งนี้ไปด้วย

สายตาอันเฉียบคมเกินกว่ามนุษย์ทั่วไปแม้ห่างไปหลายกิโลเมตร พวกมันก็มองเห็นอีกฝั่งของป้อมปราการของเขตเหนือได้โดยไม่ต้องพยายามมากมายเลย พวกมันกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างหมายมาตรดังว่ากำลังจับจองเหยื่อที่อยู่เบื้องหน้า

ส่วนชาวบ้านที่อยู่ทางฝั่งป้อมปราการของเขตเหนือนั้นกำลังนั่งล้อมวงทานอาหารอย่างสุขสันต์ เมื่อรับรู้ได้ถึงสถานการณ์ตึงเครียดก็รีบรุดเก็บข้าวของด้วยความรวดเร็ว

“โถๆเนื้อนุ่มนิ่มแสนอร่อย ข้ายังไม่ทันเอาเข้าปากสักคำก็ต้องทิ้งแล้วหรือ ไม่นะ ไม่ๆ” ชายหนุ่มชาวบ้านผู้หนึ่งกล่าวอย่างโอดครวญ มือไขว่คว้าไปยังเนื้อย่างถาดใหญ่ที่สหายผู้หนึ่งของมันยกหนีด้วยสายตาระห้อย

“มันใช่เวลากินเสียที่ไหน ลุกขึ้นมาได้แล้ว เห็นรึไม่ว่าคนอื่นๆเก็บของหมดแล้ว” ชายผู้ทิ้งเนื้ออันแสนโอชะไปอย่างหน้าตาเฉยหันกลับมาต่อว่าชายผู้น่าสงสารอย่างหัวเสีย เมื่อรอบด้านกลับกำลังชุลมุนวุ่นวาย ชาวบ้านคนอื่นๆต่างรีบเก็บกวาดอุปกรณ์ด้วยความรวดเร็ว

“แต่เนื้อของข้า...” เขายังคงไม่ยอมถอดใจง่ายๆ

“หึ ถ้าชนะแล้ว...เจ้าจะกินเท่าใดก็ได้ข้าเลี้ยงเอง” เสียงที่เจือด้วยอารมณ์หงุดหงิดนั้นกล่าวต่อลองอย่างช่วยไม่ได้ จะทำอย่างไรได้เล่าก็สหายของเขาดันเป็นพวกห่วงกินเสียได้ เฮ้อ

พรึ่บ!

“ไปเลย ลุยๆข้าพร้อมแล้ว” หูของคนเห็นแก่กินกระตุกตั้งดังหมาตัวโต จากนั้นก็ลุกขึ้นมากระโดดโลดเต้นเตรียมพร้อมสู้ ด้วยหวังรางวัลก้อนใหญ่

รอบด้านเวลานี้เงียบสงัดลงช้าๆเพราะเหล่าชาวบ้านที่วุ่นวายเมื่อครู่ต่างเดินมาตั้งแถวด้านหลังชายทั้งคู่อย่างพร้อมเพียง และเวลาต่อมาก็ดึงชุดอันแสนเบาบางนั้นออกเหลือไว้เพียงเกาะอ่อนพร้อมสู้เท่านั้น

เรื่องชวนตะลึงเกิดขึ้นเมื่อชาวบ้านกว่า 50 ชีวิตด้านหน้าป้อมปราการเผยโฉม ใช่แล้วพวกมันคือลูกสมุนของกลุ่มยาฉะนั่นเอง พวกเขายืนเรียงราย บนใบหน้าก็เต็มไปด้วยความฮึกเหิม เมื่อหลอกล่อให้พวกกลุ่มโนบุออกจากป้อมปราการได้สำเร็จ

“บัดซบ!  บังอาจ บังอาจยิ่งนั่งกล้าดีนี่มาหลอกท่านอาซากิผู้นี้ ดี! ดียิ่งนัก” ทางฝั่งกลุ่มโนบุ อาซากิที่นำกองกำลังออกมาด้วยความเหิมเกริมก็สบถอย่างหัวเสีย ความโกรธเกรี้ยวมากมายปะทุขึ้นจนแทบควบคุมสติไม่ได้

อนิจจาช่างน่าเศร้า เพราะทันทระนงตน ในยามที่เรย์แอบฟังอยู่ไกลเกินกว่าที่มันจะได้ยินการเคลื่อนไหว จึงคิดไปเองว่ารอบด้านตนนั้นไร้ปีศาจตนใดมาแอบฟัง ยิ่งเย่อหยิ่งในพลังของตนมากเพียงใด สมองก็ยิ่งถูกบดบังเพียงเท่านั้น

และพรรคพวกของมันเองก็คงไม่ได้บอกเรื่องนี้กับมัน ใครจะคิดเล่าว่ามันที่ได้รับคำสั่งจากหัวหน้ากลุ่มโนบุโดยตรงจะถูกใช้เป็นเครื่องมือใช้แล้วทิ้งเช่นนี้

ความโกรธเกรี้ยวถาโถมในใจด้วยความสับสนและไม่อาจยอมรับสภาพของตน ทิฐิในตัวสั่งให้มันเมินเฉยต่อความคิดเหล่านี้ แล้วฝังเหตุผลใหม่ที่ว่า หัวหน้าคงต้องการทดสอบความสามารถมันลงไป ความเหิมเกริมในท่าทีจึงกลับมาอีกครั้ง

“พวกเจ้าจงฟัง! สังหารชาวบ้านที่อยู่รอบๆซะ! จงระบายความโกรธเกรี้ยวลงไป เพื่อลับดาบให้คมยิ่งขึ้น แล้วไปบั่นคอพวกกลุ่มยาฉะ อย่าให้เหลือแม้แต่ตนเดียว!” คำสั่งแสนโหดเหี้ยมนั้นดังมากพอให้ชาวบ้านยิ่งหวาดกลัว พวกเขาเร่งความเร็วฝีเท้าขึ้นอีก เพราะเมื่อครู่เกิดขึ้นเพียงพริบตา พวกเขาจึงยังคงวิ่งหนีไปได้ไม่ไกลนัก มีหรือที่จะเร็วเกินปีศาจนักสู้เหล่านี้

“เฮ้! ฆ่ามันๆ” เสียงประสานกันเกิดขึ้นอย่างอึกกระทึกครึกโครม จากนั้นก็ตามด้วยการเคลื่อนไหวที่ทำให้เหล่ากลุ่มยาฉะต้องอกสั่นขวัญขวัย เมื่อพวกมันไม่คิดแม้แต่จะไว้ชีวิตชาวบ้านที่พร้อมเข้าร่วมกับพวกมันเอง

“พวกบัดซบ!” กลุ่มยาฉะที่เตรียมพร้อมสู้หน้าป้อมปราการรีบเร่งฝีเท้าเพื่อเข้าไปช่วยชาวบ้านเหล่านั้น คิดเพียงว่า ขอให้ช่วยให้ได้มากขึ้นแม้เพียงหนึ่งชีวิตก็ยังดี

เหล่าลูกสมุนกลุ่มโนบุเห็นเช่นนั้นก็ยิ่งสะใจ ระยะห่างของพวกมันนับว่าไกลไม่น้อย กลุ่มยาฉะจะมาทันได้อย่างไร หึ ขอสังหารชาวบ้านเล่นสักตนสองตนก่อนก็แล้วกัน

พวกมันต่างมีความคิดเช่นนี้อยู่ในหัว รอยยิ้มอันน่าสะอิดสะเอียนก็ตราตรึงบนใบหน้าอย่างไม่น่าดู ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก
ชาวบ้านเหล่านั้นแม้มีร่างกายแข็งแกร่งเกินมนุษย์ แต่หากจะเทียบชาวบ้านกับเหล่านักสู้ ชาวบ้านที่ไร้ทักษะการต่อสู้จะเทียบเคียงได้อย่างไร และแล้วชาวบ้านที่หวาดกลัวสุดหัวใจก็เริ่มล้มลุกคลุกคลานไปกับพื้น เมื่อความกลัวเกาะกินจนไม่อาจขยับร่างกายได้อีก

 “ตายซะ!”

เคร้ง!

ลูกสมุนกลุ่มยาฉะตนหนึ่งง้างดาบหมายจะบั่นคอชาวบ้านที่นั่งตัวสั่นเทาอยู่เบื้องหน้า แต่แล้วชาวบ้านตนนั้นก็ยักดาบสั้นที่พกเอาไว้ในเสื้อขึ้นขวางเอาไว้

“หนอย! แกคิดว่าชาวบ้านอย่างแกจะทำอะไรได้อย่างนั้นรึ” มันกล่าวขึ้นอย่างหัวเสีย เมื่อผลไม่เป็นไปตามที่คาดเอาไว้

“หึหึ ถ้าชาวบ้านคงทำสิ่งใดไม่ได้จริงๆ...แต่ถ้าไม่ใช่ชาวบ้านล่ะ” ใบหน้าหวาดกลัวของชาวบ้านตนนี้แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างผู้ที่เหนือกว่าในทันที

“อ้าก!” เขาดีดตัวลุกด้วยความเร็วก่อนที่จะเข้าประชิดตัวแล้วเฉือนเส้นเลือดบนลำคอของฝ่ายตรงข้าม เลือดที่ไหลทะลักก็กระเด็นเปรอะเปื้อนใบหน้าอย่างที่เจ้าตัวก็ไม่คิดจะหลบแต่อย่างใด

“โต้กลับ!” เสียงตะโกนเพียงสองคำนี้พาให้เหล่าชาวบ้านหยุดวิ่งหนีแล้ววิ่งเข้าใส่คู่ต่อสู้ของตนแทน เหตุการณ์เหล่านี้เป็นไปตามแผนการของเอจิที่วางไว้หลังจากมาถึงเมื่อ 2 วันก่อนนั่นเอง

พวกเขาเริ่มสับเปลี่ยนชาวบ้านกับปีศาจกลุ่มยาฉะด้วยความเร็วใน 2 วันมานี้ โดยส่งข้อความบอกผ่านประตูป้อมปราการของตน ให้พวกชาวบ้านแยกย้ายกันในเวลากลางคืนแล้วหลบเข้าไปยังประตูลับของป้อมปราการ แล้วสับเปลี่ยนเป็นปีศาจนักสู้ออกมาแทน ยาจิที่มีทักษะในฐานะผู้คุมคุกสามารถตรวจสอบลักษณะท่าทางว่าเป็นปีศาจตนใดเป็นศัตรูแฝงตัวเข้ามาหรือไม่ ด้วยการมองเท่านั้นจึงทำให้การตรวจสอบผ่านไปได้อย่างรวดเร็ว

ส่วนทางด้านประตูป้อมปราการฝั่งตะวันตก ก็ใช้วิธีปลอมเป็นชาวบ้านเข้าไปปะปน และเริ่มส่งข่าวให้ชาวบ้านที่อยู่ท้ายๆแถม แม้จะไม่ครบทุกตนก็นับว่าช่วยได้มากโขทีเดียว ในจำนวนนั้นหัวหน้าหน่วยก็เข้าไปปะปนเพื่อสั่งงานด้วยตนเอง ทั้งยังให้หน่วยของตนไปเคลื่อนย้ายชาวบ้านที่ยังไม่ย้ายข้าวของอย่างลับๆ จนในที่สุดการทำงานหนักก็บรรลุผล

ชาวบ้านหน้าป้อมปราการเขตเหนือใช้เพื่อหลอกล่อศัตรูให้ทำตามแผนการของมัน เพราะจากที่เฝ้าสังเกตการณ์มาพวกมันไม่ได้มีท่าทีว่าจะเปลี่ยนแผนการแม้แต่น้อย เพียงแค่ย่นระยะเวลาเข้ามาเพียงเท่านั้น

และเป็นไปตามที่คาดการณ์เมื่อให้พวกมันได้เห็นว่าแผนการนั้นถูกทำลาย พวกมันก็เริ่มไล่ล่าสังหารชาวบ้านที่อยู่ข้างตนอย่างโหดเหี้ยมเพื่อหวังบรรเทาความโกรธที่ปะทุออกมา ทั้งยังคงวางแผนที่จะให้พวกเขาโกรธจนไร้สติไม่ต่างกันที่ได้เห็นชาวบ้านตายไปทีละตนทีละตน

ซึ่งนั่นก็ถูกเตรียมการเอาไว้ มันดำเนินไปตามแผนอย่างน่าหวั่นกลัวทีเดียว ปีศาจกลุ่มโนบุกลับกลายเป็นฝ่ายเพรี้ยงพร้ำเมื่อถกจู่โจมแบบโอบล้อม มันถูกหันเหความสนใจด้วยกลุ่มยาฉะที่ปลอมเป็นชาวบ้านซึ่งต้องตั้งสมาธิต่อสู้กับศัตรูที่อยู่ใกล้ตัว ส่วนทางด้านกลุ่มที่กำลังเคลื่อนขบวนเข้ามาก็ใกล้เข้ามาทุกที จนในที่สุดพวกมันก็ถูกโจมตีโอบล้อมเอาไว้ตรงกลางอย่างไร้ทางหนี

การสังหารเกิดขึ้นอีกครั้ง แต่หากถูกกำชับให้บั่นคอหัวหน้าของหน่วยนี้เสียก่อน ชายผู้เห็นแก่กิน หรือก็คือ ชิเงรุ หัวหน้าหน่วยที่ 4 แห่งกลุ่มยาฉะ เร่งความเร็วที่เหนือกว่าพักพวกของตน เพียงชั่วพริบตาก็เข้ามาประชิดตัวอาซากิเสียแล้ว

เคร้ง!

“ไง มาให้ข้าบั่นคอซะดีๆ โกวโบจะเลี้ยงข้าวข้าเยอะๆ ฮ่าๆ” เขาฟันดาบลงไปตรงๆ แต่ด้วยความเร็วนั้นทำให้ยากที่จะรับมือ แต่อาซากิก็รับได้อย่างทันท่วงที

“ฝันไปเถอะ ข้างต่างหากที่บั่นคอเจ้า!” อาซากิผลักดาบของชิเงรุออกไปด้วยแรงที่มากกว่า จากนั้นก็เป็นฝ่ายเข้าจู่โจมแทน
การปะทะที่เป็นระดับหัวหน้าสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วบริเวณ ไม่เพียงทักษะ หรือพละกำลังที่รุนแรง แต่จิตสังหารที่ปล่อยออกมาก็ทำให้ปีศาจโดยรอบหวั่นเกรงไม่ต่างกัน

อาซากิตวัดดาบด้วยความโกรธเกรี้ยว ต่างจากชิเงรุที่กำลังยิ้มแย้มดังว่ากำลังเล่นสนุกอยู่ก็ไม่ปาน บางครั้งถึงขั้นหลุดเสียงหัวเราะอันน่าหงุดหงิดออกมาเสียด้วยซ้ำ ยิ่งพาให้อาซากิถูกอารมณ์เข้าครอบงำอย่างห้ามไม่อยู่

การปะทะที่รวดเร็ว หนักหน่วง จนเกิดกระแสลมบัดไปรอบๆ มีฝุ่นตลบอบอวล จนกระทั่งลมนั้นสงบลง พวกที่กำลังสู้อยู่ก็ตระหนักได้ว่าการต่อสู้จบลงแล้ว

ภาพที่ปรากฏหลังม่านควันคือ ภาพของชิเงรุที่ยืนยิ้มถือศีรษะของอาซากิเอาไว้แล้วโบกไปมาดังเด็กตัวเล็กๆที่ทำงานสำเร็จแล้วรอรับรางวัล

“โกวโบๆสำเร็จแล้ว ข้าอยากกินเนื้อย่างล่ะ อิอิอิ” เจ้าตัวยิ้มอย่างมีความสุขทั้งยังโบกมือไปมาจนเลือดที่ไหลจากศีรษะนั้นเปรอะเปื้อนใบหน้า และร่างกายของตน

“เข้าใจแล้ว” โกวโบที่ตวัดดาบสุดท้ายลงบนตัวลูกสมุนตนหนึ่งก็หันมาตอบกลับด้วยใบหน้าเอืมระอา เมื่อสหายของตนทำตัวเป็นเด็กๆทั้งยังทำตัวสดใสตัดกับภาพนั้น จนบรรยากาศชวนขนลุกเกิดบรรยาย

เหล่าลูกสมุนในหน่วยของอาซากิต่างพากันวางอาวุธคลุกเข่ายอมแพ้อย่างจำยอม หากไม่ชนะจะดิ้นรนให้ชีวิตตนจบสิ้นไปด้วยเหตุใด ขนาดหัวหน้าที่เก่งกล้าเกินตนยังแพ้ แล้วพวกเขาที่ด้อยกว่าจะไม่พ้นตายได้อย่างไร

“ฮ่าๆนี่ข้าอยู่ใกล้เพียงเท่านี้กลับถูกแย่งความดีความชอบไปง่ายๆเลยนะชิเงรุ” ชายผู้แสร้งเป็นชาวบ้านที่กำลังจะถูกฆ่าในตอนแรกกล่าวขึ้น เขาคือ บาคิ หัวหน้าหน่วยที่ 8 นั่นเอง พวกเขาได้รับหน้าที่เป็นหน่วยจู่โจมในครั้งนี้ ส่วนในป้อมปราการก็มีหัวหน้าหน่วยตนอื่นรอรับมืออยู่เช่นเดียวกัน

พวกเขาทำสำเร็จก็คงได้เวลากลับไปฉลองชัยแล้ว

เพียงแต่ในเวลานั้นเอง บรรยากาศแห่งชัยชนะก็ถูกขัดจังหวะ เพราะเสียงฝีเท้ามากมายรวมทั้งจิตสังหารอันคุ้มคลั่งที่ปล่อยออกมาจากจำนวนปีศาจหลายร้อยตนประทุขึ้น ทั้งด้านหลังประตูป้อมปราการเขตตะวันตก และนอกป้อมปราการซึ่งถูกรุกมากจากทางทิศใต้

ทางด้านในของป้อมปราการ ก็กำลังต่อสู้ด้วยความเคร่งเครียด เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหน่วยเสือดำอันเรื่องชื่อ การต่อสู้จึงยาวนากกว่าด้านนอกมากทีเดียว

“เอจิแย่แล้ว ทางป้อมปราการเขตตะวันตกนั่น”  ยาจิร้องบอกเอจิด้วยความร้อนใจ พวกเขายังไม่ได้เข้าร่วมต่อสู้เพียงรอดูสถานการณ์ก่อนเท่านั้น หากเกิดเหตุไม่คาดฝันซึ่งมากกว่าที่คิดเอาไว้จะได้รับมือได้อย่างทันท่วงที

“นั่นมัน...แย่มาก” เอจิก็เคร่งเครียดไม่ต่างกัน

“ข้าจะไปร่วมสู้ เจ้าไปส่งสารให้หัวหน้าซะ!” กล่าวจบยาจิก็วิ่งออกไปจากห้องอย่างไม่รอฟังคำตอบรับหรือคัดค้านใดๆ เป้าหมายของเขาตอนนี้คือจัดการหัวหน้าหน่วยเสือดำ แล้วไปช่วยกลุ่มยาฉะที่อยู่ด้านนอกต่อสู้

“ยาจิเจ้านี่มัน” เสียงที่เปล่งออกมาทั้งห่วงใย ทั้งกังวล แต่กระนั้นเอจิก็หยิบกระดาษออกมาเขียนข้อความเพื่อส่งให้หัวหน้าของตน

เขาตวัดพู่กันด้วยความรวมเร็ว ก่อนจะพับและมัดมันเข้ากับขาของนกเค้าแมวตัวโต สัตว์ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักล่ายามค่ำคืน

“รีบไปโดยด่วนที่สุด” สิ้นสุดคำสั่งเจ้านกเค้าแมวสีดำสนิทก็บินออกไปในความมืด แล้วค่อยๆกลมกลืนจนจางหายไปในความมืดมิดนั้น

“หัวหน้าท่านคาดเดาเหตุการณ์ในไว้แล้วใช่หรือไม่ขอรับ” น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความหวัง เพราะสถานการณ์วุ่นวายกว่าที่เขาคาดไว้มากมายทีเดียว ใครจะคิดเล่าว่าการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงพวกเขาแค่สองฝ่ายที่เข้าร่วม

หากสถานการณ์ยังดำเนินไปเช่นนี้ พวกเขาต้องแพ้ย่อยยับอย่างแน่นอน จำนวนกำลังพลที่ไม่ใกล้เคียงกันอีกต่อไป จะเป็นตัวแปรใหญ่ในการต่อสู้ครั้งนี้ หากหัวหน้าของพวกเขาไม่ได้เตรียมการรับมือตั้งแต่เนิ่นๆไม่มีทางเลยที่จะสามารถแก้วิกฤตครั้งนี้ได้อย่างทันท่วงที

เอจิจับดาบคู่ใจ ก่อนจะก้าวออกไปจากที่แห่งนี้ จากนี้ไปเขาต้องฝากชีวิตไว้กับฝีมือของตนและโชคชะตาเพียงเท่านั้น ขออย่าได้เกิดเรื่องเลวร้ายใดๆขึ้นมาอีกเลย

“เหตุใดเขตใต้จึงร่วมมือกับเขตตะวันตกเสียได้นะ” เสียงนั้นล่องลอยไปตามสายลมอย่างแผ่วเบา เป็นคำถามที่ไร้คำตอบใดๆ...


To Be Continued...


************************************************

กลับมาแล้วค่าา ยังมีคนรออ่านอยู่มั๊ยคะ :hao5:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
เห้ออออ มาอีกจิ

ออฟไลน์ Reminder

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
แร็กน่าหายไปเลยอ่าาา คิดถึง... :hao5:

ออฟไลน์ GreenHead(หัวเขียว)

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
    • Green Head - หัวเขียว

ตอนที่ 32
เปิดฉากฟาดฟัน 2
(ครึ่งแรก)


เสียงนกร้องดังมาตามสายลม พาให้คนที่กำลังหลับสบายลืมตาขึ้นท่ามกลางความมืด ความไม่สบายใจเกาะกินในใจมากขึ้น เมื่อเสียงนกนั้นไม่ใช่นกธรรมดา แต่หากเป็นนกเค้าแมวที่เขาเคยมอบมันให้กับเอจินั่นเอง

เบียกโกะเปิดหน้าต่างเพื่อรอรับเจ้านกตัวโต เพียงไม่นานมันก็มาถึงจุดหมายปลายทาง กระดาษที่ผูกเอาไว้ที่ขาถูกมัดด้วยเชือกสีแดงซึ่งหมายถึงเหตุร้าย ไม่รอช้าเขารีบแกะเชือกแล้วเปิดอ่านข้อความในทันที

หลังจากอ่านข้อความในกระดาษสายตาเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่งจนไม่อาจจับกระแสอารมณ์ได้ ความแน่วแน่ปรากฏขึ้นบนดวงตาวูบหนึ่งก่อนจะเลือนหาย แล้วจึงตวัดพู่กันลงบนกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหน้าต่าง กระดาษแผ่นใหม่ถูกมัดด้วยเชือกติดกับขานกเค้าแมวอีกครั้ง แต่หากครั้งนี้ถูกเปลี่ยนเป็นเชือกสีขาวธรรมดาเส้นหนึ่ง

“กลับไปหาเอจิ” คำสั่งสั้นๆถูกส่งออกไป จากนั้นเจ้านกเค้าแมวตัวโตก็บินหายไปในความมืดอีกครั้ง

แม้นกตัวนี้จะเป็นสายพันธุ์พิเศษที่บินได้เร็วกว่านกทั่วไป แต่การบินจากเขตชายแดนมายังบ้านใหญ่กลุ่มยาฉะก็ใช้เวลามากโข เขาจะเสียเวลาอีกไม่ได้แล้ว เขาต้องเรียกรวมพลโดยด่วนที่สุด

ครืดดด

“เอจิส่งข้อความมา...เรื่องร้ายหรือ” ดังความคิดเขาถูกส่งออกไป หรือหมอชราอ่านความคิดของเขาได้ก็ไม่ทราบ ประตูที่เปิดออกปรากฏร่างของหมอชรา และเหล่าคนที่เข้าร่วมวางแผนเมื่อครั้งก่อนอย่างพร้อมหน้า

“ครับ เราจะเสียเวลาไม่ได้แล้ว” เบียกโกะตอบกลับหลังจากที่คนเหล่านั้นเข้ามาในห้องเรียบร้อยแล้ว

จากนั้นพวกเขาก็เดินตามเบียกโกะไปยังห้องข้างๆซึ่งถูกวางครอบด้วยมิติตัดขาดจากภายนอก เพื่อป้องกันการแอบฟัง และหลบซ่อนพวกเขาจากบุคคลภายนอก

เขาไม่ได้ถามสิ่งใดหมอชรา เพราะหมอชราแทบจะรู้ทันเขาทุกเรื่องอยู่แล้ว และคงได้ยินเสียงนกเค้าแมวของเอจิจึงได้เร่งรุดมาอย่างพร้อมเพียงเช่นนี้

“เกิดอะไรขึ้น” หมอชราถามขึ้นทันทีหลังจากที่พวกเขานั่งลงเรียบร้อย แม้เสียงนั้นจะนิ่งเรียบแต่ก็แฝงด้วยความกังวลใจ

“ทางเราตัดหัวอาซากิได้แล้ว แต่...”

ฟรึ่บๆ

เสียงฝีเท้าด้านนอกพาให้ถ้อยคำของเบียกโกะหยุดลง เหล่าผู้ที่ประสาทรับรู้ดีเยี่ยมก็มองหน้ากันอย่างรู้ใจ ก่อนที่จะบอกให้คนอื่นๆอยู่ในความสงบ รอฟังว่าด้านนอกมีสิ่งใดเกิดขึ้น

“เกิดขึ้นเร็วเกินคาด” เบียกโกะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่จะหันไปมองสบตาแร็กนาร์เพื่อขอคำยืนยัน ทางแร็กนาร์ก็ยิ้มบางตอบกลับมาเขาจึงได้วางใจ ก่อนออกไปก็ไม่ลืมที่จะเข้าไปลูบศีรษะลูกชายทั้งสองด้วยความรักใคร่

ค่ำคืนนี้ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าเรื่องราวจะไปในทิศทางใด และใครจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำก่อนกัน เขาอาจจะไม่มีชีวิตรอดจนถึงวันพรุ่งนี้ก็เป็นได้ ตอนนี้ห่วงที่เขากังวลที่สุดคงไม่พ้นลูกชายทั้งสองนี้ เด็กน้อยฝาแฝดฮิเดโอะกับฮิโรกิดังสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่น่าใจหาย เขาพุ่งเข้ากอดคนเป็นพ่อเอาไว้แน่น ความกลัวจับขั้วหัวใจ...ท่านพ่อจะไม่หายไปเช่นท่านแม่ใช่หรือไม่ ไม่เอานะ

ไร้คำใดเอ่ยออกมาแต่ในความคิดของเขาดังก้อง ท่านพ่อสอนพวกเขาเสมอว่าลูกผู้ชายต้องเข้มแข็ง และยิ่งเป็นผู้นำยิ่งต้องรู้จักเสียสละมากกว่าใครๆ เขาจึงไม่อาจเอ่ยคำต้องห้ามนั้นออกมาได้

“ไม่เป็นไร พ่อจะกลับมา” ถ้อยคำนั้นถูกเอ่ยขึ้นพร้อมมือหนาที่ลูบผมนุ่มนิ่มของเจ้าตัวน้อยทั้งสอง มันเป็นดังคำมั่นสัญญาที่เขาจะมอบให้ลูกชายได้ เด็กชายฝาแฝดจึงยอมผละมือออกด้วยความอาวรณ์ แต่ก็ยอมยิ้มส่งท่านพ่อของตนด้วยความคาดหวัง

“สัญญาแล้วนะขอรับ” ทั้งสองเสียงประสานกันอย่างแน่วแน่

“สัญญา” เบียกโกะก็เอ่ยตอบกลับด้วยความแน่วแน่ไม่แพ้กัน เมฆหมอกที่ขุ่นมัวในใจถูกปัดเป่าด้วยรอยยิ้มของลูกชาย เขาจะผิดสัญญากับลูกชายได้อย่างไร ค่ำคืนนี้ยังอีกยาวไกล พวกเขาต้องฝ่าฟันมันไปให้ได้

เสียงด้านนอกดังขึ้นอีกระดับบ่งบอกว่าศัตรูได้เข้ามาประชิดแล้ว พวกมันเริ่มไร้การปกปิด ทั้งยังส่งเสียงดังอย่างท้าทาย เมื่อพวกมันโอบล้อมเรือนพักของเบียกโกะได้สำเร็จ

“หือ พวกเจ้ามีธุระอันใดกับข้า จึงได้มาพบเสียค่ำมืดเช่นนี้เล่า” เสียงนุ่มทุ้มแต่ทรงอำนาจนั้นดังขึ้นท่ามกลางเสียงโหวกเหวกโวยวาย แต่กระนั้นมันก็ดังมากพอให้ปีศาจเหล่านั้นเริ่มหวั่นเกรง พาให้พวกมันเงียบลงอย่างพร้อมเพียง

“ข้าถามว่าพวกเจ้ามาทำสิ่งใดกัน!” คราวนี้แปรเปลี่ยนเป็นเสียงตะหวาดอันดังก้องพาให้พวกมันตัวสั่น บางตนถึงขั้นทำอาวุธล่วงหลุดมือ น้ำลายในปากก็พากันเหนียวหนืด ช่างกลืนลงคออย่างยากลำบากเสียจริงๆ
ผ่านไปนานทีเดียวกว่าที่พวกมันจะพอตั้งสติได้

“อย่าได้กลัวไป จะอย่างไรพวกเราก็มีมากกว่า” มันผู้หนึ่งซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นผู้นำของปีศาจกลุ่มนี้ตะโกนขึ้น แม้ใจหวั่นกลัวแต่มันก็ควบคุมสติได้มากกว่าปีศาจตนอื่น จึงกล่าวให้ปีศาจใต้อาณัติตนมีสติพร้อมสู้

“หึหึ กล่าวเช่นนั้นคิดจะสังหารข้าผู้นี้หรือ” เบียกโกะกล่าวด้วยวาจาที่เต็มไปด้วยความดูถูก เมื่อมดกระจ้อยร่อยคิดจะโค่นพยัคฆ์ พร้อมทั้งก้าวเดินลงจากเรือนของตนมาสู่ลานกว้าง เตรียมพร้อมสู้อย่างไม่เกรงกลัวแม้อยู่ท่ามกลางวงล้อมของศัตรูนับร้อย

“อย่ากล่าวให้มากความ พวกเราฆ่ามัน!”

“เฮ้!”

เพียงเท่านั้นเหล่าปีศาจนับร้อยก็เข้าจู่โจม ทั้งหน่วยที่ถูกแบ่งให้เข้าจู่โจมระยะประชิด หน่วยที่จู่โจมระยะไกล และที่ขาดไม่ได้คือหน่วยลอบสังหาร พวกมันเตรียมตัวมาอย่างดี แม้รู้ตัวว่าพวกตนเป็นเพียงเครื่องสังเวยในการลดทอนกำลังของอีกฝ่ายก็ตาม

แนวหน้าจู่โจมระยะประชิดเน้นใช้ดาบฟาดฟัน พวกมันนับสิบโอบล้อมเบียกโกะอย่างพร้อมเพียง แล้วจึงฟันดาบอันคมกริบจากทุกด้าน ไม่มีแม้แต่ช่องว่างให้หลบหนี แต่มีหรือคนชำนาญการต่อสู้จะจนมุม เพราะเมื่อพายุการฟาดฟันผ่านไป ตรงกลางที่ควรมีร่างไร้ชีวิตยืนอยู่กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย

เบียกโกะไม่แม้แต่ดึงดาบออกจากฝัก  เขาเพียงกางกงเล็บอันคมกริบทั้งที่ลอยอยู่ในอากาศ ตวัดเพียงหนึ่งครั้ง ปีศาจนับสิบที่ไม่ทันแม้แต่จะชักดาบกลับก็สิ้นลมหายใจเสียแล้ว เลือดมากมายทะลักออกจากร่าง เมื่อพลังที่ส่งผ่านเมื่อครู่ฟาดผ่านไปบนร่างของพวกมัน

หน่วยโจมตีระยะไกลรีบเร่งยิงธนูเมื่อเห็นว่าเหยื่อของตนลอยอยู่เหนือพื้น จะอย่างไรคงไม่อาจหลบลูกธนูพิษที่เคลื่อนตัวด้วยความเร็วไปได้ แต่ก่อนที่ธนูนั้นจะเข้าประชิดตัวเบียกโกะก็ตวัดกงเล็บอีกครั้ง เพียงเท่านั้นหาธนูก็แหลกละเอียดแล้วล่วงลงสู่พื้น
และชั่วพริบตานั้นเบียกโกะก็ปรากฏร่างมาอยู่ตรงหน้าพวกมันเสียแล้ว ไม่ทันที่จะได้หยิบธนูลูกใหม่ หรือแม้กระทั่งขยับตัว พวกมันทั้งหมดก็หัวหลุดจากบ่า ด้วยการตวัดกงเล็บเพียงครั้งเดียว

หน่วยลอบสังหารเตรียมอาวุธลับเข้าจู่โจมบ้าง  แต่หากเป้าหมายด้านหน้ากลับหายไป คาดว่าพวกมันยังไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำว่าพวกตนนั้นได้ตายไปแล้ว ด้วยฝีมือของร่างที่ยืนอยู่ด้านหลังพวกมัน

“เอาล่ะต่อไปใครจะเข้ามาล่ะ” หลังจากที่จัดการหน่วยลอบสังหารเรียบร้อย เบียกโกะก็กลับมายืนอยู่กลางลานกว้างเช่นเดิม เหล่าศัตรูที่เหลือกำลังคนไม่ถึงครึ่งก็พากันแข้งขาสั่น เมื่อเหตุการณ์เมื่อครู่เกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตา พวกมันไม่อาจทำสิ่งใดได้เลย หัวหน้ากลุ่มยาฉะร้ายกาจเกินไป การบั่นทอนกำลังเพียงน้อยนิดพวกมันก็คงไม่อาจทำได้เสียด้วยซ้ำ

“ถ้าไม่เข้ามา...ข้าจะเข้าไปเอง” กล่าวจบร่างที่อยู่กลางลานกว้างก็หายไปอีกครั้ง เบียกโกะปรากฏร่างตรงหน้าชายที่กล่าวเรียกสติพวกพ้องเมื่อครู่ แล้วจึงง้างมือ ตวัดกงเล็บอีกครั้ง

เคว้ง!

เสียงของมีคมกระทบกันหนึ่งครั้ง พาให้คนที่คิดว่าตนไม่รอดเสียแล้วได้สติ มันค่อยๆลืมตาขึ้นมองช้าๆ เบื้องหน้าคือ  หัวหน้าของมันที่ยกดาบขึ้นมาขวางกงเล็บของเบียกโกะเอาไว้ ก่อนที่มันจะถูกสังหารเพียงเสี้ยววินาที

“หัวหน้า”

“เจ้า...ซา  ซาดาโอะ” เสียงที่เอ่ยออกจากปากเบียกโกะช่างแผ่วเบา  เมื่อได้ประจักษ์ว่าผู้ที่ขวางตนไว้คือใคร ทั้งคำเรียกที่ศัตรูเอ่ยออกมานั้นยิ่งย้ำชัดในความรู้สึก  หัวใจถูกบีบคั้นรุนแรง เมื่อคนที่เขาไว้ใจกลับหักหลังอย่างเลือดเย็น

พรึ่บ

เบียกโกะกระโดดถอยหลังให้ห่างออกไป

“ไม่จริง” เสียงนั้นยังคงแผ่วเบา แต่มันก็มากพอให้ซาดาโอะได้ยิน เจ้าตัวจึงยืนประจันหน้าเบียกโกะตรงๆเพื่อย้ำเตือนว่าสิ่งที่เบียกโกะเห็นอยู่คือความจริงที่เกิดขึ้น

“ทำไมเจ้า...”

“ตกใจขนาดนั้นเชียวหรือ” ซาดาโอะเอ่ยขัดขึ้นโดยไม่ปล่อยให้เบียกโกะกล่าวจบ ทั้งยังยกยิ้มเย้ยหยันอย่างผู้เหนือกว่าไปให้เบียกโกะ 

“หึหึหึ ดูจากสีหน้าท่านแล้วคงตกใจมากทีเดียว ก็ข้าอยู่ข้างกายท่านมากนานหลายปี คงจะไว้ใจข้ามากสินะ”  ไม่เปิดโอกาสให้ถาม แต่ซาดาโอะก็เฉลยให้ด้วยต้องการเห็นสีหน้าอันน่าสมเพสของเบียกโกะ คนที่เขาโกรธแค้นอย่างถึงที่สุด

“ใช่ ข้าไว้ใจเจ้า แล้วเหตุใด...หรือว่าที่วางยาพิษข้าก็” ท่ามกลางความสับสน ความจริงอันโหดร้ายก็เข้าถาโถม ความคิดอันเลวร้ายฝุดขึ้นมาในหัว ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าซาดาโอะอาจจะเป็นผู้วางยาตน

“ว้าว ฉลาดขึ้นมาแล้วนี่ขอรับ ท่านเบียกโกะ หึหึ” ความจริงตีแสกหน้าอย่างไม่คาดคิด เมื่อคนที่เขาคาดไม่ถึงจะเป็นผู้ที่ทำเรื่องร้ายกาจเช่นนี้

“เจ้าต้องการจะทำสิ่งใด” ข้อข้องใจที่ทิ่มแทงนั้นส่งผลให้เบียกโกะถามขึ้นอีกครั้ง

“ท่านอยากรู้สินะเบียกโกะ ข้าจะบอกให้ก็ได้...เพราะท่านเองก็ทรยศความไว้ใจของพี่ชายข้าเช่นกันอย่างไรเล่า!” เสียงนั้นกังวานไปทั่วโสตประสาท ใบหน้าที่ปกติเรียบเฉยกลับบิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธแค้น ชิงชัง เขาให้สัตปฏิญาณหน้าหลุมศพของพี่ชายว่าจะต้องล้างแค้นสหายทรยศตนนี้ให้จงได้!

*****************50%****************

ตัดฉับ เดี๋ยวมาต่อนะคะ ทนคิดถึงแร็กนาร์ไปก่อนน้าา 
ช่วงนี้ให้คุณพ่อเด่นนิดนึง ฮ่าๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด