ตอนที่ 31
เปิดฉากฟาดฟัน
หลังจากนั้น นาฟ เอลลูญ์ และทาคุมะ ก็รีบเร่งวิ่งไปยังจุดที่นัดหมายกับเรย์ไว้ นับว่าเป็นความโชคดีในโชคร้าย เมื่อชายสวมหน้ากากยิ้มครึ่งไม่ยิ้มครึ่ง ไม่ได้ไล่ตามพวกเขาไปในทันที เพราะมันคิดว่าหากปล่อยพวกเขาไปก่อนความสนุกในการไล่ตามคงมากขึ้นอีกโขเลยทีเดียว หากจัดการไปตอนนี้คงหมดสนุกไปเสียก่อน ทั้งมันยังโปรดปรานในการชมการต่อสู้ของทั้งสองเขตยิ่งกว่าลงมือด้วยตนเองเสียอีก
มันจึงยังยืนนิ่งจ้องมองพวกเขาหนีไปด้วยสายตาแห่งความหรรษา ส่วนเหล่าทหารที่มาถึงก็ติดเข้าไปในควันไฟของนาฟอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ ประสาทรับรู้ถูกจัดการ ปวดแสบไปทั่วไปหน้า กว่าจะรู้ตัวว่าควันนั้นไม่ใช่ควันธรรมดาก็ติดกับดักเสียแล้ว กว่าพวกมันจะกลับเป็นปกติคงซื้อเวลาได้มากทีเดียว
ทางด้านเรย์ในขณะที่ทางนั้นต่อสู้กันอยู่เขาก็ได้ออกมาจากอาณาเขตของเขตตะวันตกเสียแล้ว จุดหมายปลายทางของเขาคือป่าด้านนอกกำแพงซึ่งมีน้ำตกขนาดใหญ่ไหลผ่าน น้ำตกนี้มีต้นกำเนิดมาจากแดนมนุษย์แล้วทอดยาวตัดผ่านป่าแห่งนี้ลงไปถึงเขตใต้ นับว่าเป็นน้ำตกที่เชื่อมทั้งสองดินแดนเอาไว้ก็ไม่ผิดเพี้ยนมากนัก
เพียงไม่นานเรย์ก็มาถึงจุดหมาย ที่เขาต้องมายังที่แห่งนี้เพราะเขาต้องใช้มันเป็นพลังในการวางกับดักในครั้งนี้ โดยปกติแล้วเรย์มีพลังอันน้อยนิด เพราะเป็นเพียงลูกครึ่งไร้พลังที่โชคดีได้รับรู้ถึงพลังที่แฝงอยู่ เขาจึงต้องพกน้ำติดตัวไปไหนต่อไปไหนเสมอเพื่อเตรียมพร้อมทุกครั้ง เขานั้นไม่อาจกลั่นน้ำจากผืนดิน ต้นไม้ หรืออากาศดังเช่นเหล่าผู้ใช้ธาตุน้ำที่แท้จริง ดังนั้นหากต้องการใช้พลังมากมายทั้งยังรวดเร็ว น้ำจำนวนมหาศาลจึงเป็นสิ่งจำเป็น
เขาวงกตลวงตา คือพลังที่เรย์คิดค้นขึ้นเอง ซึ่งก็ประยุกต์มาจากพลังพื้นฐานในการสร้างภาพลวงตาของเขานั่นเอง เพียงแต่มันซับซ้อนและมีขนาดใหญ่กว่า ทุกครั้งเวลาเขาสร้างมันจากน้ำที่เก็บติดตัวไว้จึงต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง แต่หากเป็นตอนนี้ที่มีทุกอย่างพร้อมสรรพ อยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่เอื้อประโยชน์เช่นนี้เขามั่นใจว่าต้องใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมงอย่างแน่นอน
นาฟกับเรย์ยังคงเชื่อมกระแสจิตเข้าด้วยกัน เขาจึงรับรู้ได้ถึงช่วงเวลาที่เรย์ต้องการจึงวิ่งอ้อมตัดไปมาเพื่อให้ศัตรูสับสน ทั้งยังวางกับดักเพื่อถ่วงเวลาเอาไว้ให้ได้ตามที่เรย์ต้องการ
มวลน้ำเริ่มระเหยเป็นไอ ด้วยการกลั่นโดยความร้อนที่อยู่ในกาย หลอมรวมเป็นสายหมอกที่เกิดขึ้นทั่วบริเวณ มันลอยตัวสูงขึ้นจนพ้นยอดไม้ แผ่กระจายปกคลุมไปรอบๆ โครงสร้างภายในถูกกำหนดโดยจินตนาการของผู้สร้างอันสลับซับซ้อน หากไม่สามารถบินได้คงไม่อาจหลุดจากวงกตลวงตานี้ไปได้ง่ายๆอย่างแน่นอน
เวลาเดียวกันกับที่เรย์สร้างกับดักเสร็จเรียบร้อยพวกนาฟก็มาถึงพอดี เขาทิ้งล่องรอยของตนดังว่าวิ่งเข้าไปในสายหมอกที่อยู่ตรงหน้า แต่หากความจริงมันเป็นเพียงกลลวง พวกเขาลัดเลาะนอกอาณาเขตวงกตลวงตาจนมาถึงจุดที่เรย์อยู่ แล้วรีบไปต่อโดยไม่ทันหลังกลับ
ด้วยเหล่าหน่วยเสือดำที่ไล่ตามมายังคงโกรธเกรี้ยวจึงไม่ทันระวังตัว เพียงแกะรอยมาถึงก็ถูกหลอกให้ตกลงไปในกับดักเสียแล้ว นับว่านั่นเป็นกับดักที่กินเวลาหลายวันกว่าจะหาทางออกเจอ แม้ชายสามหน้ากากยิ้มครึ่งไม่ยิ้มครึ่งตามมามันก็ทำเพียงยืนจ้องมองพวกเขาเท่านั้นหาได้ให้ความช่วยเหลือใดๆ ดังว่ามันเป็นเพียงผู้ชมผู้หนึ่งที่กำลังหาความบันเทิงให้ตนเท่านั้น
ด้วยเหตุนั้นจึงมากพอที่จะซื้อเวลาให้พวกเขาทั้งสี่หนีมาถึงจุดนัดพบกับหมอชรานั่นเอง
..
..
..
หลังจากเสียงของเรย์เงียบลงทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ ปล่อยให้เวลาผ่านไปเช่นนั้นโดยไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาอีกดังว่าพวกเขากำลังรอการตัดสินใจของนายใหญ่เขตเหนืออยู่นั่นเอง
“เอจิ ยาจิ รับคำสั่ง!” และแล้วเบียกโกะก็กล่าวขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน
“ขอรับ!” ทั้งสองเสียงประสานตอบรับอย่างหนักแน่น ร่างกายก็ขยับตั้งตรงรอรับคำสั่งจากหัวหน้าของตน
“พวกเจ้าจงเดินทางไปยังเขตชายแดนตะวันตก และจงทำทุกวิถีทางให้คนของเราปลอดภัย จงระวังตัวให้ดี คาสึกิ คือ 1 ใน 4
องครักษ์เงาแห่งเขตใต้ผู้เคยเป็นสหายของข้า!” เสียงของเบียกโกะเย็นยะเยือก เมื่อตระหนักรับรู้ได้ถึงคนทรยศที่อยู่เพียงใกล้ๆตัวของเขาเท่านั้น
“นับว่าคราวนี้พวกท่านโชคดีที่จัดการคาสึกิไปได้ เพราะนิสัยของเจ้านั่นชอบดูถูกผู้อ่อนแอ จึงเต็มไปด้วยความประมาท เจ้านั่นเป็นหมาบ้าของแท้ มันเสพติดการต่อสู้อันบ้าคลั่ง เวลานี้ไร้ผู้ที่ควบคุมมันได้พวกเจ้าจงระวังตัวให้ดี ข้าหวังพึ่งพวกเจ้าแล้ว จงไปช่วยเหล่าหัวหน้าหน่วยสู้ซะ!” ความหนักใจที่ส่งผ่านคำพูดและน้ำเสียง คาดเดาไม่ยากเลยว่าเบียกโกะหนักใจกับเรื่องนี้เพียงใด และเอจิกับยาจิตระหนักดีว่าหากขึ้นชื่อว่าเป็นสหายคงมีฝีมือไม่ห่างชั้นกันอย่างแน่นอน พวกเขาที่รับรู้ถึงพลังอันมหาศาลของหัวหน้าดีจึงไม่มีความประมาทอยู่ในดวงตานั้นแม้แต่น้อย
“เอจิรับคำสั่ง!”
“ยาจิรับคำสั่ง!”
ทั้งสองกล่าวอย่างแน่วแน่ จากนั้นเบียกโกะก็สั่งอีกเล็กน้อย โดยให้ทั้งสองเดินทางไปเพียงสองตนเพื่อความรวดเร็ว และต้องหายไปอย่างเงียบๆไม่ให้ศัตรูภายในไหวตัวทัน เบียกโกะเชื่อมั่นในตัวของปีศาจหนุ่มทั้งสอง เพราะหลังจากที่ทั้งสองเสียครอบครัวไปตนก็เป็นเช่นอาจารย์ที่คอยฝึกวิชาให้เอจิกับยาจินั่นเอง ก่อนที่ทั้งสองจะออกเดินทางเบียกโกะก็มอบกระดาษแผ่นหนึ่งให้กับเอจิ โดยกำชับอย่างหนักแน่นว่าต้องเปิดหลังจากตัดหัวแม่ทัพฝ่ายศัตรูได้แล้วเท่านั้น
หลังจากจบเรื่องของทางเขตชายแดน เบียกโกะก็เริ่มตกลงแผนการที่วางเอาไว้ โดยมีการเสริมความคิดเห็นปิดช่องโหว่มากมายจากเหล่าสมาชิกที่อยู่ในห้อง บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด เพราะเวลาของศึกใหญ่ใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว
หลังจากนั้นพวกเขาก็แยกย้ายกลับไปยังที่พักอย่างเงียบๆ และก่อนที่จะก้าวออกจากห้องเป็นคนสุดท้าย แร็กนาร์ก็หันมากล่าวกับเบียกโกะว่า
“ตกลง” เป็นอันรู้กันว่าหมายถึงเรื่องใด เพราะเมื่อครู่พวกเขาไม่ได้กล่าวถึงข้อตกลงระหว่างแร็กนาร์กับเบียกโกะเมื่อคราวก่อนแม้แต่น้อย คำตอบนี้จึงรับรู้เพียงเบียกโกะที่นั่งอยู่ภายในห้อง แร็กนาร์ที่ตอบรับข้อเสนอ และหมอชรากับรูร์กัสที่รับรู้ข้อตกลงนี้เท่านั้น
..
..
..
สองวันหลังจากนั้น ที่เขตชายแดนระหว่างเขตเหนือกับเขตตะวันตก
ดวงอาทิตย์ทอแสงสาดส่องจนท้องฟ้าที่เป็นสีแดงจางๆถูกย้อมเป็นสีแดงเลือดอันน่าพรั่นพรึ่ง ยิ่งมันค่อยๆเคลื่อนต่ำลง ความมืดที่เจือด้วยสีแดงเลือดก็ค่อยๆปกคลุมแดนปีศาจอันกว้างไกลจนหมดสิ้น
หน้าป้อมปราการยังคงคับคั่งไปด้วยชาวบ้านเผ่าพยัคฆ์ที่ประกอบอาชีพทางการเกษตร มีเพียงทักษะเล็กๆน้อยเพื่อเอาตัวรอดเท่านั้น แต่กระนั้นพวกมันก็ยังคงแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ธรรมดาสามัญด้วยร่างกายที่พิเศษยิ่งกว่านั่นเอง
ความเหนื่อยล้าที่ต้องท้าแสงแดดมาทั้งวัน พาให้พวกมันเริ่มหมดเรี่ยวแรง บางตนเริ่มตั้งวงล้อมเพื่อร่วมกินอาหาร บางตนเริ่มหาที่หลับนอน สภาพพวกมั่นผ่อนคลายยิ่ง หาได้รู้ถึงภัยร้ายที่คลืบคลานเข้ามาแม้แต่น้อย
ตึก ตึก ตึก
เสียงอึกทึกของฝีเท้ามายมาย ทำให้เหล่าชาวบ้านที่อยู่หน้าป้อมปราการเขตตะวันตกตื่นตัว พวกมันมองหาที่มาของเสียงอย่างมึนงง และแล้วประตูป้อมปราการก็เปิดออกออย่างๆช้าๆ
“เฮ้ๆเฮ้ๆๆ” ตามด้วยเสียงอึกทึกของเหล่าลูกสมุนของเขตตะวันตก
เคร้งๆ
เสียงอาวุธมีคมก็ดังตามมาติดๆ เพียงไม่นานก็ปรากฏร่างของเหล่าลูกสมุนกว่า 100 ชีวิต ที่เดินแถวออกมาอย่างไร้ระเบียบ แม้เป็นแถวแต่พวกมันกลับแสดงท่าทางเหิมเกริม ดังว่าพวกมันมีพลังมากมาย และกำลังจะไปขยี้เหล่ามดปลวกที่มีพลังอันน้อยนิดก็ไม่ปาน
ชาวบ้านเห็นสถานการณ์ไม่ดี แม้ไร้ประกาศใดๆจากทางปีศาจกลุ่มโนบุเหล่านี้ พวกมันก็เริ่มวิ่งหาที่หลบอย่างหัวซุกหัวซุนด้วยกลัวว่าตนจะโดนลูกหลงในการปะทะครั้งนี้ไปด้วย
สายตาอันเฉียบคมเกินกว่ามนุษย์ทั่วไปแม้ห่างไปหลายกิโลเมตร พวกมันก็มองเห็นอีกฝั่งของป้อมปราการของเขตเหนือได้โดยไม่ต้องพยายามมากมายเลย พวกมันกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างหมายมาตรดังว่ากำลังจับจองเหยื่อที่อยู่เบื้องหน้า
ส่วนชาวบ้านที่อยู่ทางฝั่งป้อมปราการของเขตเหนือนั้นกำลังนั่งล้อมวงทานอาหารอย่างสุขสันต์ เมื่อรับรู้ได้ถึงสถานการณ์ตึงเครียดก็รีบรุดเก็บข้าวของด้วยความรวดเร็ว
“โถๆเนื้อนุ่มนิ่มแสนอร่อย ข้ายังไม่ทันเอาเข้าปากสักคำก็ต้องทิ้งแล้วหรือ ไม่นะ ไม่ๆ” ชายหนุ่มชาวบ้านผู้หนึ่งกล่าวอย่างโอดครวญ มือไขว่คว้าไปยังเนื้อย่างถาดใหญ่ที่สหายผู้หนึ่งของมันยกหนีด้วยสายตาระห้อย
“มันใช่เวลากินเสียที่ไหน ลุกขึ้นมาได้แล้ว เห็นรึไม่ว่าคนอื่นๆเก็บของหมดแล้ว” ชายผู้ทิ้งเนื้ออันแสนโอชะไปอย่างหน้าตาเฉยหันกลับมาต่อว่าชายผู้น่าสงสารอย่างหัวเสีย เมื่อรอบด้านกลับกำลังชุลมุนวุ่นวาย ชาวบ้านคนอื่นๆต่างรีบเก็บกวาดอุปกรณ์ด้วยความรวดเร็ว
“แต่เนื้อของข้า...” เขายังคงไม่ยอมถอดใจง่ายๆ
“หึ ถ้าชนะแล้ว...เจ้าจะกินเท่าใดก็ได้ข้าเลี้ยงเอง” เสียงที่เจือด้วยอารมณ์หงุดหงิดนั้นกล่าวต่อลองอย่างช่วยไม่ได้ จะทำอย่างไรได้เล่าก็สหายของเขาดันเป็นพวกห่วงกินเสียได้ เฮ้อ
พรึ่บ!
“ไปเลย ลุยๆข้าพร้อมแล้ว” หูของคนเห็นแก่กินกระตุกตั้งดังหมาตัวโต จากนั้นก็ลุกขึ้นมากระโดดโลดเต้นเตรียมพร้อมสู้ ด้วยหวังรางวัลก้อนใหญ่
รอบด้านเวลานี้เงียบสงัดลงช้าๆเพราะเหล่าชาวบ้านที่วุ่นวายเมื่อครู่ต่างเดินมาตั้งแถวด้านหลังชายทั้งคู่อย่างพร้อมเพียง และเวลาต่อมาก็ดึงชุดอันแสนเบาบางนั้นออกเหลือไว้เพียงเกาะอ่อนพร้อมสู้เท่านั้น
เรื่องชวนตะลึงเกิดขึ้นเมื่อชาวบ้านกว่า 50 ชีวิตด้านหน้าป้อมปราการเผยโฉม ใช่แล้วพวกมันคือลูกสมุนของกลุ่มยาฉะนั่นเอง พวกเขายืนเรียงราย บนใบหน้าก็เต็มไปด้วยความฮึกเหิม เมื่อหลอกล่อให้พวกกลุ่มโนบุออกจากป้อมปราการได้สำเร็จ
“บัดซบ! บังอาจ บังอาจยิ่งนั่งกล้าดีนี่มาหลอกท่านอาซากิผู้นี้ ดี! ดียิ่งนัก” ทางฝั่งกลุ่มโนบุ อาซากิที่นำกองกำลังออกมาด้วยความเหิมเกริมก็สบถอย่างหัวเสีย ความโกรธเกรี้ยวมากมายปะทุขึ้นจนแทบควบคุมสติไม่ได้
อนิจจาช่างน่าเศร้า เพราะทันทระนงตน ในยามที่เรย์แอบฟังอยู่ไกลเกินกว่าที่มันจะได้ยินการเคลื่อนไหว จึงคิดไปเองว่ารอบด้านตนนั้นไร้ปีศาจตนใดมาแอบฟัง ยิ่งเย่อหยิ่งในพลังของตนมากเพียงใด สมองก็ยิ่งถูกบดบังเพียงเท่านั้น
และพรรคพวกของมันเองก็คงไม่ได้บอกเรื่องนี้กับมัน ใครจะคิดเล่าว่ามันที่ได้รับคำสั่งจากหัวหน้ากลุ่มโนบุโดยตรงจะถูกใช้เป็นเครื่องมือใช้แล้วทิ้งเช่นนี้
ความโกรธเกรี้ยวถาโถมในใจด้วยความสับสนและไม่อาจยอมรับสภาพของตน ทิฐิในตัวสั่งให้มันเมินเฉยต่อความคิดเหล่านี้ แล้วฝังเหตุผลใหม่ที่ว่า หัวหน้าคงต้องการทดสอบความสามารถมันลงไป ความเหิมเกริมในท่าทีจึงกลับมาอีกครั้ง
“พวกเจ้าจงฟัง! สังหารชาวบ้านที่อยู่รอบๆซะ! จงระบายความโกรธเกรี้ยวลงไป เพื่อลับดาบให้คมยิ่งขึ้น แล้วไปบั่นคอพวกกลุ่มยาฉะ อย่าให้เหลือแม้แต่ตนเดียว!” คำสั่งแสนโหดเหี้ยมนั้นดังมากพอให้ชาวบ้านยิ่งหวาดกลัว พวกเขาเร่งความเร็วฝีเท้าขึ้นอีก เพราะเมื่อครู่เกิดขึ้นเพียงพริบตา พวกเขาจึงยังคงวิ่งหนีไปได้ไม่ไกลนัก มีหรือที่จะเร็วเกินปีศาจนักสู้เหล่านี้
“เฮ้! ฆ่ามันๆ” เสียงประสานกันเกิดขึ้นอย่างอึกกระทึกครึกโครม จากนั้นก็ตามด้วยการเคลื่อนไหวที่ทำให้เหล่ากลุ่มยาฉะต้องอกสั่นขวัญขวัย เมื่อพวกมันไม่คิดแม้แต่จะไว้ชีวิตชาวบ้านที่พร้อมเข้าร่วมกับพวกมันเอง
“พวกบัดซบ!” กลุ่มยาฉะที่เตรียมพร้อมสู้หน้าป้อมปราการรีบเร่งฝีเท้าเพื่อเข้าไปช่วยชาวบ้านเหล่านั้น คิดเพียงว่า ขอให้ช่วยให้ได้มากขึ้นแม้เพียงหนึ่งชีวิตก็ยังดี
เหล่าลูกสมุนกลุ่มโนบุเห็นเช่นนั้นก็ยิ่งสะใจ ระยะห่างของพวกมันนับว่าไกลไม่น้อย กลุ่มยาฉะจะมาทันได้อย่างไร หึ ขอสังหารชาวบ้านเล่นสักตนสองตนก่อนก็แล้วกัน
พวกมันต่างมีความคิดเช่นนี้อยู่ในหัว รอยยิ้มอันน่าสะอิดสะเอียนก็ตราตรึงบนใบหน้าอย่างไม่น่าดู ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก
ชาวบ้านเหล่านั้นแม้มีร่างกายแข็งแกร่งเกินมนุษย์ แต่หากจะเทียบชาวบ้านกับเหล่านักสู้ ชาวบ้านที่ไร้ทักษะการต่อสู้จะเทียบเคียงได้อย่างไร และแล้วชาวบ้านที่หวาดกลัวสุดหัวใจก็เริ่มล้มลุกคลุกคลานไปกับพื้น เมื่อความกลัวเกาะกินจนไม่อาจขยับร่างกายได้อีก
“ตายซะ!”
เคร้ง!
ลูกสมุนกลุ่มยาฉะตนหนึ่งง้างดาบหมายจะบั่นคอชาวบ้านที่นั่งตัวสั่นเทาอยู่เบื้องหน้า แต่แล้วชาวบ้านตนนั้นก็ยักดาบสั้นที่พกเอาไว้ในเสื้อขึ้นขวางเอาไว้
“หนอย! แกคิดว่าชาวบ้านอย่างแกจะทำอะไรได้อย่างนั้นรึ” มันกล่าวขึ้นอย่างหัวเสีย เมื่อผลไม่เป็นไปตามที่คาดเอาไว้
“หึหึ ถ้าชาวบ้านคงทำสิ่งใดไม่ได้จริงๆ...แต่ถ้าไม่ใช่ชาวบ้านล่ะ” ใบหน้าหวาดกลัวของชาวบ้านตนนี้แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างผู้ที่เหนือกว่าในทันที
“อ้าก!” เขาดีดตัวลุกด้วยความเร็วก่อนที่จะเข้าประชิดตัวแล้วเฉือนเส้นเลือดบนลำคอของฝ่ายตรงข้าม เลือดที่ไหลทะลักก็กระเด็นเปรอะเปื้อนใบหน้าอย่างที่เจ้าตัวก็ไม่คิดจะหลบแต่อย่างใด
“โต้กลับ!” เสียงตะโกนเพียงสองคำนี้พาให้เหล่าชาวบ้านหยุดวิ่งหนีแล้ววิ่งเข้าใส่คู่ต่อสู้ของตนแทน เหตุการณ์เหล่านี้เป็นไปตามแผนการของเอจิที่วางไว้หลังจากมาถึงเมื่อ 2 วันก่อนนั่นเอง
พวกเขาเริ่มสับเปลี่ยนชาวบ้านกับปีศาจกลุ่มยาฉะด้วยความเร็วใน 2 วันมานี้ โดยส่งข้อความบอกผ่านประตูป้อมปราการของตน ให้พวกชาวบ้านแยกย้ายกันในเวลากลางคืนแล้วหลบเข้าไปยังประตูลับของป้อมปราการ แล้วสับเปลี่ยนเป็นปีศาจนักสู้ออกมาแทน ยาจิที่มีทักษะในฐานะผู้คุมคุกสามารถตรวจสอบลักษณะท่าทางว่าเป็นปีศาจตนใดเป็นศัตรูแฝงตัวเข้ามาหรือไม่ ด้วยการมองเท่านั้นจึงทำให้การตรวจสอบผ่านไปได้อย่างรวดเร็ว
ส่วนทางด้านประตูป้อมปราการฝั่งตะวันตก ก็ใช้วิธีปลอมเป็นชาวบ้านเข้าไปปะปน และเริ่มส่งข่าวให้ชาวบ้านที่อยู่ท้ายๆแถม แม้จะไม่ครบทุกตนก็นับว่าช่วยได้มากโขทีเดียว ในจำนวนนั้นหัวหน้าหน่วยก็เข้าไปปะปนเพื่อสั่งงานด้วยตนเอง ทั้งยังให้หน่วยของตนไปเคลื่อนย้ายชาวบ้านที่ยังไม่ย้ายข้าวของอย่างลับๆ จนในที่สุดการทำงานหนักก็บรรลุผล
ชาวบ้านหน้าป้อมปราการเขตเหนือใช้เพื่อหลอกล่อศัตรูให้ทำตามแผนการของมัน เพราะจากที่เฝ้าสังเกตการณ์มาพวกมันไม่ได้มีท่าทีว่าจะเปลี่ยนแผนการแม้แต่น้อย เพียงแค่ย่นระยะเวลาเข้ามาเพียงเท่านั้น
และเป็นไปตามที่คาดการณ์เมื่อให้พวกมันได้เห็นว่าแผนการนั้นถูกทำลาย พวกมันก็เริ่มไล่ล่าสังหารชาวบ้านที่อยู่ข้างตนอย่างโหดเหี้ยมเพื่อหวังบรรเทาความโกรธที่ปะทุออกมา ทั้งยังคงวางแผนที่จะให้พวกเขาโกรธจนไร้สติไม่ต่างกันที่ได้เห็นชาวบ้านตายไปทีละตนทีละตน
ซึ่งนั่นก็ถูกเตรียมการเอาไว้ มันดำเนินไปตามแผนอย่างน่าหวั่นกลัวทีเดียว ปีศาจกลุ่มโนบุกลับกลายเป็นฝ่ายเพรี้ยงพร้ำเมื่อถกจู่โจมแบบโอบล้อม มันถูกหันเหความสนใจด้วยกลุ่มยาฉะที่ปลอมเป็นชาวบ้านซึ่งต้องตั้งสมาธิต่อสู้กับศัตรูที่อยู่ใกล้ตัว ส่วนทางด้านกลุ่มที่กำลังเคลื่อนขบวนเข้ามาก็ใกล้เข้ามาทุกที จนในที่สุดพวกมันก็ถูกโจมตีโอบล้อมเอาไว้ตรงกลางอย่างไร้ทางหนี
การสังหารเกิดขึ้นอีกครั้ง แต่หากถูกกำชับให้บั่นคอหัวหน้าของหน่วยนี้เสียก่อน ชายผู้เห็นแก่กิน หรือก็คือ ชิเงรุ หัวหน้าหน่วยที่ 4 แห่งกลุ่มยาฉะ เร่งความเร็วที่เหนือกว่าพักพวกของตน เพียงชั่วพริบตาก็เข้ามาประชิดตัวอาซากิเสียแล้ว
เคร้ง!
“ไง มาให้ข้าบั่นคอซะดีๆ โกวโบจะเลี้ยงข้าวข้าเยอะๆ ฮ่าๆ” เขาฟันดาบลงไปตรงๆ แต่ด้วยความเร็วนั้นทำให้ยากที่จะรับมือ แต่อาซากิก็รับได้อย่างทันท่วงที
“ฝันไปเถอะ ข้างต่างหากที่บั่นคอเจ้า!” อาซากิผลักดาบของชิเงรุออกไปด้วยแรงที่มากกว่า จากนั้นก็เป็นฝ่ายเข้าจู่โจมแทน
การปะทะที่เป็นระดับหัวหน้าสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วบริเวณ ไม่เพียงทักษะ หรือพละกำลังที่รุนแรง แต่จิตสังหารที่ปล่อยออกมาก็ทำให้ปีศาจโดยรอบหวั่นเกรงไม่ต่างกัน
อาซากิตวัดดาบด้วยความโกรธเกรี้ยว ต่างจากชิเงรุที่กำลังยิ้มแย้มดังว่ากำลังเล่นสนุกอยู่ก็ไม่ปาน บางครั้งถึงขั้นหลุดเสียงหัวเราะอันน่าหงุดหงิดออกมาเสียด้วยซ้ำ ยิ่งพาให้อาซากิถูกอารมณ์เข้าครอบงำอย่างห้ามไม่อยู่
การปะทะที่รวดเร็ว หนักหน่วง จนเกิดกระแสลมบัดไปรอบๆ มีฝุ่นตลบอบอวล จนกระทั่งลมนั้นสงบลง พวกที่กำลังสู้อยู่ก็ตระหนักได้ว่าการต่อสู้จบลงแล้ว
ภาพที่ปรากฏหลังม่านควันคือ ภาพของชิเงรุที่ยืนยิ้มถือศีรษะของอาซากิเอาไว้แล้วโบกไปมาดังเด็กตัวเล็กๆที่ทำงานสำเร็จแล้วรอรับรางวัล
“โกวโบๆสำเร็จแล้ว ข้าอยากกินเนื้อย่างล่ะ อิอิอิ” เจ้าตัวยิ้มอย่างมีความสุขทั้งยังโบกมือไปมาจนเลือดที่ไหลจากศีรษะนั้นเปรอะเปื้อนใบหน้า และร่างกายของตน
“เข้าใจแล้ว” โกวโบที่ตวัดดาบสุดท้ายลงบนตัวลูกสมุนตนหนึ่งก็หันมาตอบกลับด้วยใบหน้าเอืมระอา เมื่อสหายของตนทำตัวเป็นเด็กๆทั้งยังทำตัวสดใสตัดกับภาพนั้น จนบรรยากาศชวนขนลุกเกิดบรรยาย
เหล่าลูกสมุนในหน่วยของอาซากิต่างพากันวางอาวุธคลุกเข่ายอมแพ้อย่างจำยอม หากไม่ชนะจะดิ้นรนให้ชีวิตตนจบสิ้นไปด้วยเหตุใด ขนาดหัวหน้าที่เก่งกล้าเกินตนยังแพ้ แล้วพวกเขาที่ด้อยกว่าจะไม่พ้นตายได้อย่างไร
“ฮ่าๆนี่ข้าอยู่ใกล้เพียงเท่านี้กลับถูกแย่งความดีความชอบไปง่ายๆเลยนะชิเงรุ” ชายผู้แสร้งเป็นชาวบ้านที่กำลังจะถูกฆ่าในตอนแรกกล่าวขึ้น เขาคือ บาคิ หัวหน้าหน่วยที่ 8 นั่นเอง พวกเขาได้รับหน้าที่เป็นหน่วยจู่โจมในครั้งนี้ ส่วนในป้อมปราการก็มีหัวหน้าหน่วยตนอื่นรอรับมืออยู่เช่นเดียวกัน
พวกเขาทำสำเร็จก็คงได้เวลากลับไปฉลองชัยแล้ว
เพียงแต่ในเวลานั้นเอง บรรยากาศแห่งชัยชนะก็ถูกขัดจังหวะ เพราะเสียงฝีเท้ามากมายรวมทั้งจิตสังหารอันคุ้มคลั่งที่ปล่อยออกมาจากจำนวนปีศาจหลายร้อยตนประทุขึ้น ทั้งด้านหลังประตูป้อมปราการเขตตะวันตก และนอกป้อมปราการซึ่งถูกรุกมากจากทางทิศใต้
ทางด้านในของป้อมปราการ ก็กำลังต่อสู้ด้วยความเคร่งเครียด เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหน่วยเสือดำอันเรื่องชื่อ การต่อสู้จึงยาวนากกว่าด้านนอกมากทีเดียว
“เอจิแย่แล้ว ทางป้อมปราการเขตตะวันตกนั่น” ยาจิร้องบอกเอจิด้วยความร้อนใจ พวกเขายังไม่ได้เข้าร่วมต่อสู้เพียงรอดูสถานการณ์ก่อนเท่านั้น หากเกิดเหตุไม่คาดฝันซึ่งมากกว่าที่คิดเอาไว้จะได้รับมือได้อย่างทันท่วงที
“นั่นมัน...แย่มาก” เอจิก็เคร่งเครียดไม่ต่างกัน
“ข้าจะไปร่วมสู้ เจ้าไปส่งสารให้หัวหน้าซะ!” กล่าวจบยาจิก็วิ่งออกไปจากห้องอย่างไม่รอฟังคำตอบรับหรือคัดค้านใดๆ เป้าหมายของเขาตอนนี้คือจัดการหัวหน้าหน่วยเสือดำ แล้วไปช่วยกลุ่มยาฉะที่อยู่ด้านนอกต่อสู้
“ยาจิเจ้านี่มัน” เสียงที่เปล่งออกมาทั้งห่วงใย ทั้งกังวล แต่กระนั้นเอจิก็หยิบกระดาษออกมาเขียนข้อความเพื่อส่งให้หัวหน้าของตน
เขาตวัดพู่กันด้วยความรวมเร็ว ก่อนจะพับและมัดมันเข้ากับขาของนกเค้าแมวตัวโต สัตว์ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักล่ายามค่ำคืน
“รีบไปโดยด่วนที่สุด” สิ้นสุดคำสั่งเจ้านกเค้าแมวสีดำสนิทก็บินออกไปในความมืด แล้วค่อยๆกลมกลืนจนจางหายไปในความมืดมิดนั้น
“หัวหน้าท่านคาดเดาเหตุการณ์ในไว้แล้วใช่หรือไม่ขอรับ” น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความหวัง เพราะสถานการณ์วุ่นวายกว่าที่เขาคาดไว้มากมายทีเดียว ใครจะคิดเล่าว่าการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงพวกเขาแค่สองฝ่ายที่เข้าร่วม
หากสถานการณ์ยังดำเนินไปเช่นนี้ พวกเขาต้องแพ้ย่อยยับอย่างแน่นอน จำนวนกำลังพลที่ไม่ใกล้เคียงกันอีกต่อไป จะเป็นตัวแปรใหญ่ในการต่อสู้ครั้งนี้ หากหัวหน้าของพวกเขาไม่ได้เตรียมการรับมือตั้งแต่เนิ่นๆไม่มีทางเลยที่จะสามารถแก้วิกฤตครั้งนี้ได้อย่างทันท่วงที
เอจิจับดาบคู่ใจ ก่อนจะก้าวออกไปจากที่แห่งนี้ จากนี้ไปเขาต้องฝากชีวิตไว้กับฝีมือของตนและโชคชะตาเพียงเท่านั้น ขออย่าได้เกิดเรื่องเลวร้ายใดๆขึ้นมาอีกเลย
“เหตุใดเขตใต้จึงร่วมมือกับเขตตะวันตกเสียได้นะ” เสียงนั้นล่องลอยไปตามสายลมอย่างแผ่วเบา เป็นคำถามที่ไร้คำตอบใดๆ...
To Be Continued...
************************************************
กลับมาแล้วค่าา ยังมีคนรออ่านอยู่มั๊ยคะ
