พระลักษณ์
Writer : Tan-Yung0209
File : 20
"ไหวไหม?..ลักษณ์" พี่ทศที่กำลังขับรถหันมาถามผมที่อยู่สภาพอิดโรยจากการนอนไม่หลับเพราะมัวแต่ตกใจและสังเกตท่าทีที่เปลี่ยนไปของพี่ทศดีชนิดที่ว่าจากหลังมือเป็นหน้ามือเลยทีเดียว
"ไหวครับ" ผมตอบกลับไป พี่ทศมองผมครู่หนึ่งแววตาที่มองมสเต็มไปด้วยความเป็นห่วงจนผมต้องหันไปมองทางอื่นก่อนจะเหลือบมองเสี้ยวหน้าพี่ทศที่หันกลับไปมองถนนตรงหน้าแล้ว
ผมมองข้างทางที่มีตึกรามบ้านช่องมากมายรวมถึงแสงแดดที่ส่องมาในยามบ่ายทำให้ผมรู้สึกดี นานแค่ไหนที่ผมไม่ได้เห็นภาพเหล่านี้ ถ้าจะให้พูดจริงๆผมก็มองบรรยากาศด้านนอกอยู่ทุกวันผ่านกระจกในคอนโดแต่สิ่งที่ต่างกันตรงมุมมองและความรู้สึกระหว่างถูกกักขังและอิสระ
"ชิงช้าสวรรค์" ผมพึมพำออกมาเมื่อเห็นชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ไกลจากถนนที่รถกำลังแล่นอยู่
"อยากไปเหรอ?" ดูเหมือนคำพูดของผมจะเข้าหูพี่ทศ จนเจ้าตัวตั้งคำถามนี้กับผม
"อ่อ คือลักษณ์แค่พูดออกมาเฉยๆ" ผมตอบกลับไป ถ้าถามว่าใจจริงอยากไปไหมบอกเลยว่าอยากไปมาก
"แล้วเคยไปไหม?" พี่ทศถามต่อ โดยที่ตายังคงมองถนน
"ไม่ครับ ลักษณ์ไม่เคยไปสวนสนุก" ผมตอบออกไป
สมองก็ย้อนนึกถึงวัยเด็กที่เคยร้องขอป้าบัวให้พาไปสวนสนุก ในตอนนั้นฐานะทางบ้านยังไม่ได้ดีเหมือนปัจจุบันป้าบัวจึงไม่ได้พาผมไปจนผมร้องไห้งอแงไม่ยอมกินข้าวเย็น ขังตัวเองเอาไว้ในห้อง พอเช้าอีกวันผมก็พบเปลเล็กๆตั้งอยู่หน้าบ้าน ป้าบัวบอกว่านี่เป็นเปลของผม ผมดีใจมากจำได้ว่านั่งเล่นอยู่ทั้งวันผลัดกันนั่ง ผลัดกันไกวสลับกันไปมาระหว่างพี่ดาและพี่ราม ตอนหลังผมมารู้อีกทีว่าตอนที่ผมไม่ยอมกินข้าวป้าบัวเลยไปขอร้องให้ลุงลีทำเปลมาให้ ด้วยความที่ลุงลีเอ็นดูผมก็เลยทำให้โดยใช้วัสดุที่อยู่ในร้านทำ ชีวิตในวัยเด็กของผมเรียกได้ว่ามีความสุขมากกว่าทุกข์ถึงจะเป็นเด็กจากสถานกำพร้าผมก็ไม่คิดจะนำมาเป็นปมด้อย
"พี่ทศจะไปไหน? นี่ไม่ใช่ทางกลับบ้านนี่ครับ" ผมถามพี่ทศเมื่อรู้สึกได้ว่านี่ไม่ใช่เส้นทางกลับคอนโด
"ไปสวนสนุก" พี่ทศตอบสั้นๆ
"สวน...สวนสนุกเหรอครับ?" ผมถามอีกครั้ง เผื่อตัวเองจะหูฝาด
"ใช่ พี่เห็นลักษณ์ตาละห้อยเหมือนลูกหมาก็เลยเมตตาจะพาไปเที่ยว" พี่ทศเอ่ยและไม่วายจะกัดผมหาว่าผมเป็นลูกหมา
"ลักษณ์ไม่ได้เป็นลูกหมานะ" ผมตอบพร้อมกับยู่ปาก ผมงอนพี่ทศแล้ว!!!
"อย่างอนสิ พี่หยอกนิดเดียวเอง...เอ๊ะ ถ้างอนอย่างนี้สงสัยต้องเลี้ยวกลับบ้านเสียแล้ว" พี่ทศเอ่ย มือก็เริ่มหมุนพวงมาลัยเตรียมเลี้ยวกลับ
"ลักษณ์ไม่ได้งอน" ผมบอกกับพี่ทศ ถึงผมจะงอนพี่ทศก็จริงแต่ใจก็อยากจะไปสวนสนุกมากกว่า
"โอเค ไม่งอนก็ไม่งอน" พี่ทศยิ้มให้ผมแล้วขับรถต่อจนมาถึงสวนสนุก
"ไหวไหม? พี่ลืมไปว่าเพิ่งสร่างไข้มาเจอแดดร้อนๆแบบนี้ไม่ดีแน่เลย" พี่ทศถามผมทันทีที่ลงจากรถแล้วมาสัมผัสกับไอร้อนยามบ่ายที่ร้อนชนิดที่ว่าเอาไก่มาวางไว้กลางถนนมันก็คงสุก
"ไหวครับ" ไม่ไหวก็ต้องตอบว่าไหว โอกาสที่จะได้มาเที่ยวสวนสนุก โอกาศที่พี่ทศจะใจดีพาผมออกจากคอนโดมาเที่ยวนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่าย
"โอเค ถ้าไม่ไหวรีบบอกพี่เข้าใจไหม?" พี่ทศบอกน้ำเสียงจริงจังแต่ผมกลับสัมผัสถึงความอบอุ่น ความห่วงใยที่อยู่ในนั้น ผมพยักหน้าเป็นคำตอบ มือหนาก็เข้ามาจับมือผม ผมเงยหน้ามองก็พบว่าพี่ทศเองก็มองผมเช่นเดียวกัน
"เข้าไปข้างในกันเถอะ"
พี่ทศจูงมือผมเข้ามาในสวนสนุกขนาดใหญ่ ผมใจเต้นรัวด้วยความตื่นเต้นด้วยความที่ว่าไม่เคยมาทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างในสวนสนุกดูตื่นตาตื่นใจสำหรับผม
"แวะเข้าร้านนี้ก่อน" พี่ทศลากผมมาที่ร้านขายของที่ระลึกรวมทั้งหมวกรูปสัตว์มากมาย
'ฟึบ' หมวกไหมพรมสวมลงที่ศีรษะของผมโดยพี่ทศ ผมหันไปมองกระจกก็เห็นว่าหมวกที่ผมใส่นั้นเป็นหมวกกวาง
"อืม น่ารักดี เอาอันนี้แหละ" พี่ทศมองผมก่อนจะเดินไปที่เคาท์เตอร์จ่ายเงิน เฮ้ย!! นี่พี่ทศจะให้ผมใส่หมวกกวางเดินรอบสวนสนุกเหรอ? มันดูน่ารักไปไม่เหมาะกับผมเลย จะปฏิเสธยังไงดีเนี่ย
"พี่ทศครับ" อีกไม่กี่ก้าวที่ขายาวจะก้าวถึงเคาท์เตอร์ ร่างสูงหันมาตามเสียงเรียกของผม เมื่อพี่ทศหยุดเดิน ผมก็เป็นฝ่ายเข้าไปหาพร้อมกับหมวกไหมพรมในมือ ผมเขย่งและสวมหมวกไหมพรมไว้ที่ศีรษะของพี่ทศบ้าง
"เสือ" พี่ทศพึมพำพอเห็นตัวเองในกระจกก่อนจะหันหน้ามามองผมด้วบสายตานิ่ง นิ่งจนผมรู้สึกว่าน่ากลัวกว่าเสือ
"คิดยังไงถึงเาหมวกมาใส่ให้พี่"
"ก็พี่ทศเอาหมวกกวางมาใส่ให้ลักษณ์ ลักษณ์ก็เลยอยากให้พี่ทศใส่บ้าง" ผมตอบน้ำเสียงอ้อมแอ้มพร้อมก้มหน้า ไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย พี่ทศคงโกรธแน่ๆที่ผมทำตัวล้ำเส้นดีไม่ดีอาจจะพาผมกลับก็ได้
"พี่ทศครับ...ลักษณ์ขอโทษ เดี๋ยวลักษณ์ถอดหมวกให้" พูดจบผมก็เอื้อมมือจะถอดหมวกให้พี่ทศแต่พี่ทศกลับหลบแล้วเดินไปที่เคาท์เตอร์
"คิดเงินหมวก2ใบครับ" พี่ทศบอกกับพนักงาน พนักงานมองผมสลับกับพี่ทศแล้วอมยิ้มราวกับชอบใจอะไรสักอย่าง
"ไปได้แล้วกวางน้อย" พอจ่ายเงินเสร็จพี่ทศก็พาผมออกจากร้าน ผมเงยหน้าเหลือบมองพี่ทศที่สวมหมวกเสือ ผมยอมรับเลยว่าหมวกน่ารักๆแบบนี้ไม่สามารถทำลายความหล่อของพี่ทศได้เลย
"พี่ทศถอดหมวกออกก็ได้ครับ" ผมพูดออกมา พี่ทศก็หยุดเดินแล้วมองมาที่ผม
"ทำไม?"
"ถ้าพี่ทศไม่ชอบ อึดอัดพี่ทศถอดออกก็ได้ครับ" ผมบอกเสียงแผ่วเบา เบาจนเกือบจะเป็นเสียงกระซิบ
"พี่บอกเหรอว่าไม่ชอบ พี่บอกเหรอว่าพี่อึดอัด" พี่ทศถามกลับ
"ไม่ครับ พี่ทศไม่ได้พูด"
"อืม ถ้าพี่ได้พูดก็อย่าคิดเอาเองเข้าใจไหม?" พี่ทศถามผมก็พยักหน้า พี่ทศก็ยิ้มออกมาเหมือนจะพอใจที่ผมว่าง่าย
"ทำไมพี่ทศถึงเลือกหมวกกวางให้ลักษณ์ครับ?" ผมถามเพราะในร้านมีหมวกมากหมายหลายแบบทำไมผมถึงได้หมวกกวางด้วย
"กวางน่ารัก ดูร่าเริง ดวงตามันสวยและบ่งบอกทุกสิ่งเหมือนกับลักษณ์" พี่ทศตอบเล่นเอาผมชะงักไปเล็กร้อยกับคำพูดชวนเลี่ยนที่ทำให้ผมรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้า
"พี่ถามกลับบ้าง ทำไมเลือกหมวกเสือให้พี่"
"คือลักษณ์ว่าพี่ทศร้ายเหมือนเสือ" ผมตอบ ก่อนจะสำนึกได้ว่าผมเผลอพูดคำพูดที่ฆ่าตัวเอง
"รู้ไหมนอกจากพี่จะร้ายเหมือนเสือแล้ว...พี่ยังชอบกินกวางอีกด้วย"
"พี่ทศอยากกินสเต๊กเนื้อกวางเหรอครับ? ที่สวนสนุกไม่มีเสียด้วย" ผมแกล้งทำไม่รู้ความหมายที่พี่ทศพูด ทั้งยังทำเป็นมองซ้ายมองขวาหาร้านสเต๊ก
"ไม่รู้จริงๆเหรอ ว่าที่พี่พูดหมายความว่ายังไง?" พี่ทศถามน้ำเสียงจงใจล้อผมสุดๆ
"สายไหมน่ากินจังเลยครับ" ผมเบี่ยงประเด็นไม่ตอบแล้ววิ่งไปตรงที่ขายขนมสายไหมมากมายหลากสี
"คุณลุงขอสีฟ้าหนึ่งครับ อ่อ พี่ทศกินไหมครับ?" ผมสั่งขนมและไม่ลืมที่จะถามคนตัวสูงที่ยืนประกบหลัง
"ไม่ ว่าแต่ลักษณ์มีเงินจ่ายเหรอ?" พี่ทศเอ่ย ผมถึงกับยืนนิ่ง นึกขึ้นได้ว่าผมไม่มีเงินติดตัวสักบาท
"ไม่มีครับ" ผมพูดเสียงอ่อย ตามองสายไหมละห้อย ผมคงจะไม่ได้กินใช่ไหม
"ลุงครับนี่เงินครับ" พี่ทศยื่นเงินให้กับคุณลุงเจ้าของร้านแล้วโอบเอวพาผมไป
"อย่าลืมใช้หนี้ค่าสายไหมด้วยล่ะ" พอเดินได้สักพักพี่ทศก็พูดขึ้น ผมซึ่งกำลังงับสายไหมในมือก็เงยหน้ามองพี่ทศที่มองผมเช่นกัน
"ใช้หนี้ยังไงครับ?" ผมถาม ใจแอบหวั่นกลัวว่าพี่ทศจะให้ใช้หนี้บนเตียงเหมือนที่ผ่านมา
"กินสายไหม" พี่ทศตอบสร้างความโล่งใจให้กับผมมาก ผมไม่รีรอยื่นสายไหมจ่อปากพี่ทศ พี่ทศยิ้มบาง มือหาก็เข้าทาบกุมมือของผมที่ถือสายไหมเอาไว้ก่อนจะดันมือผมให้สายมาจ่อปากของผมเอง พีทศโน้มหน้าเข้ามาใกล้ ขาของผมถอยหนีแต่ถูกพี่ทศล็อคเอวเอาไว้อีก ริมฝีปากหนาค่อยๆกัดกินสายไหมทีละนิด ทีละนิด ตาคมก็มองผมไปด้วยจนผมรู้สึกขวยเขิน
'จุ๊บ'
ริมฝีปากของเราทั้งสองคนสัมผัสกัน ก่อนที่พี่ทศจะจุมพิตเบาๆแล้วผละออก ผมทำได้เพียงยืนนิ่งและปรับสมองที่ขาวโพลนให้กลับมาเป็นดังเดิม
"หน้าแดงเลย" พี่ทศใช้นิ้วโป้งเกลี่ยแก้มนิ่มของผมเบาๆ
"แดดแรงขนาดนี้ลักษณ์ก็ร้อนจนหน้าแดงเป็นธรรมดา" ผมเถียงกลับไป บอกเลยว่าพี่ทศก็คงไม่เชื่อเพราะคำตอบนี้มักจะปรากฏในละครทีวีอยู่บ่อยๆ
"ถ้าอย่างนั้นเราไปเล่นเครื่องเล่นที่ไม่โดนแดดดีกว่า" พี่ทศจูงมือผมเดินบริเวณข้างทางซึ่งมีร่มเงาจากไม้ยืนต้นที่ปลูกเอาไว้ตลอดทาง
"สายไหมหวานนะ" ในระหว่างที่เดินอยู่นั้นพี่ทศก็พูดขึ้นมา
"แต่ปากลักษณ์หวานกว่า"
'ฉ่า...' ผมรู้สึกว่าใบหน้าของผมร้อนจนแทบไหม้กับคำพูดของพี่ทศ แถมพี่ทศยังโอบเอวของผมให้เข้าไปใกล้จนตัวติดกัน
"พี่ทศ มาโอบเอวลักษณ์ทำไม?" พี่รู้ไหมว่าทำแบบนี้มันทำให้ผมเต้นรัวจนกลัวว่าพี่จะได้ยิน
"เดี๋ยวหลงทาง""พี่ทศตอบสั้นๆ พร้อมกับลากผมไปเล่นเครื่องเล่นต่างๆ
เครื่องเล่นขนาดใหญ่มากมายอยู่ตรงหน้า ไหนจะสวนดอกไม้ ลานน้ำพุที่เต้นรำไปตามเสียงเพลง ผมกับพี่ทศก็เล่นเครื่องเล่นแทบทุกชนิด ทั้งม้าหมุน รถไฟเหาะ แถมผมยังโดนพี่ทศหลอกให้เข้าบ้านผีสิงที่น่ากลัววังเวง พอผีโผล่มาผมตกใจเผลอกอดพี่ทศทุกครั้งตั้งแต่ก้าวเข้าไปจนออกจากบ้านผีสิง
"งอนพี่เหรอ?" พี่ทศถามผมที่กำลังยืนหน้านิ่วคิ้วขมวด
"ลักษณ์ไม่ได้งอนครับ ใครจะกล้างอนพี่ทศ" ผมเอ่ยคำพูดเหน็บแนมเล็กน้อยแต่แทนที่พี่ทศจะโกรธ พี่ทศกลับยิ้มให้กับผมแทน
"พี่อนุญาตให้ลักษณ์งอนพี่ได้" พี่ทศเอ่ย ผมเลิกคิ้วกับประโยคที่พี่ทศพูดออกมาหรือว่าพี่ทศจะไม่สบายเพราะตั้งแต่อยู่โรงพยาบาลจนมาถึงตอนนี้พี่ทศก็ทำดีกับผมแม้บางครั้งจะรุ่มร่ามกับผมก็ตาม
"ทำอะไร.. ลักษณ์?" พี่ทศตั้งคำถาม เมือมือเรียวของผมแตะสัมผัสที่หน้าผาก
"ลักษณ์คิดว่าพี่ทศไม่สบายครับ"
"ทำไมถึงคิดว่าพี่ไม่สบาย?" พีทศถาม
"ก็ตั้งแต่ที่โรงพยาบาลพี่ทศก็ทำดีกับลักษณ์ตลอด" ผมพูดจบ ร่างสูงก็หัวเราะออกมา คำพูดของผมมันตลกนักเหรอ? พี่ทศถึงได้หัวเราะ
"โอ๋ๆ อย่าเพิ่งหน้ามุ่ย เอาเป็นว่าชอบให้พี่ใจดีกับลักษณ์ไหม?" พี่ทศถามพร้อมกับบีบแก้มนิ่มของผมเบาๆราวกับว่าหมั่นเขี้ยวผมมานาน
"ชอบครับ" ผมตอบตามตรง ใครๆก็ชอบให้คนมาทำดี โดยเฉพาะคนที่เคยทำร้ายมาทำดีด้วยแบบนี้มันก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่
"ถ้าอย่างนั้นลักษณ์ก็จะชอบพี่เรื่อยๆเพราะพี่จะใจดีกับลักษณ์..ฟอด" พี่ทศหยอดคำหวานแล้วปิดท้ายอีก
"พะ...พี่ทศ" ผมมองหน้าพี่ทศที่ยืนยิ้มอยู่ มือก็ลูบแก้มตัวเองไปด้วย
"เขินเหรอ? เดี๋ยวพี่พาไปดูอะไรบางอย่างรับรองว่าหายเขินเลย" พี่ทศไม่รอให้ผมพูดอะไรต่อก็พาผมวิ่งไปข้างหน้า นี่พี่ทศคงจะลืมไปว่าผมเพิ่งออกจากโรงพยาบาล
"ถึงแล้ว" พี่ทศหยุดวิ่ง ผมก้มหน้าใช้มือค้ำกับเข่า แผ่นอกก็กระเพื่อมถี่ตามแรงหอบก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองสถานที่ที่พี่ทศพามา
"ชิงช้าสวรรค์" ผมพึมพำพร้อมเผยรอยยิ้มออกมา ตอนเด็กๆผมคิดไว้ว่าถ้าได้มาที่สวนสนุกผมจะต้องนั่งชิงช้าสวรรค์ให้ได้เพื่อจะได้มองตึกรามบ้านช่องที่อยู่ด้านล่างรวมทั้งผมรู้สึกว่าชิงช้าสวรรค์สูงพอที่มือของผมจะแตะท้องฟ้าได้
"ลักษณ์ ไปกันเถอะ" ชิงช้าครบรอบพอดี ผู้คนในรอบก่อนหน้าก็ทยอยลงมา พี่ทศก็พาผมเข้าไปนั่งในตัวชิงช้าสีขาวที่มีท่อนบนเป็นกระจกให้เราสามารถเห็นวิวทิวทัศน์โดยรอบ
'กึง!!' ฟันเฟืองเริ่มหมุนผมที่มัวตื่นเต้นกับการที่ได้นั่งชิงชาสรรค์ก็ไม่ทันได้ระวังตัว ผมเซถลาไปข้างหน้าดีที่พี่ทศซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามช่วยพยุงเอาไว้
"เป็นอะไรไหม?" พี่ทศถามผมน้ำเสียงเจือความเป็นห่วง
"ไม่เป็นไรครับ" ผมตอบ ก่อนจะขยับตัวนั่งเหมือนเดิม
ชิงช้าสวรรค์หมุนช้าไม่เร่งรีบ ในใจผมเต้นตึกตักที่ความฝันวัยเด็กกำลังจะเป็นจริง ความตื่นเต้นส่งผลให้ผมเกาะกระจกโดยไม่รู้ตัว พอได้มองภาพตรงหน้าผมก็รู้สึกสบายใจ
"หายเขินพี่แล้วยัง?" พี่ทศเอ่ย
ด้วยสัญชาตญาณผมหันไปตามเสียงพูด พี่ทศยื่นหน้ามาตอนไหนก็ไม่รู้แต่ที่รู้คือพอผมหันหน้าจมูกของผมก็เฉียดแก้มพอดิบพอดี ตาของเราประสานกันและดูเหมือนกับว่ามีแรงดึงดูดบางอย่างที่ทำให้เราทั้งสองคนเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นของกันและกัน ริมฝีปากหนาทาบทับริมฝีปากสีสด ลิ้นร้อนค่อยๆไล้เลียจนผมเผยอปากเล็กน้อยให้ปลายลิ้นพี่ทศเข้ามาหยอกเหย้ากับลิ้นของผม ความหวานของรสจูบทำให้ผมคล้อยตามและเผลอจูบตอบกลับไป จูบที่ไม่มีความรุนแรง จูบที่ไม่มีความเร้าร้อน แต่กลับเป็นจูบที่ทำให้ผมรู้สึกดีราวกับว่าล่องลอยบนก้อนเมฆแสนนุ่มเหมือนกับสายไหม
'ก็อก..ก็อก' เสียงเคาะกระจกดังขึ้นทำให้สติของผมกลับมาพร้อมกับชายตามองไปด้านนอกตัวชิงช้า ตอนนี้ชิงช้ากลับมาสู่ด้านล่าง พนักงานรวมทั้งคนที่ยืนรออยู่นั้นก็มองผมกับพี่ทศเป็นตาเดียว บางคนก็มีกริยาเขิน บางคนก็ซุบซิบกัน ให้ตายเหอะ!!!
"อื้อ..." ผมดันตัวอีกคนออก พี่ทศก็ยอมผละจูบแต่โดยดีก่อนจะหันไปมองด้านนอกแล้วผุดรอยยิ้มกรุ้มกริ่มออกมา
"หมดรอบพอดี ออกไปกันเถอะ" พี่ทศพูดจบก็ดีนประตูออกไป ผิดกับผมที่นั่งก้มหน้าไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา
"ออกมาเร็ว" พี่ทศที่ออกไปแล้วยื่นมือมาจ่อตรงหน้าผม ผมเองก็คิดว่าไม่มีอะไรจะเสียแล้วก็จับมือพี่ทศแล้วออกมาจากตัวชิงช้า
'หมับ' พี่ทศคว้าเอวผมมากอดแล้วเดินยิ้มไม่แคร์สายตาใคร ผมมองคนรอบข้างก็มีผู้หญิงบางกลุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่าย
"เพิ่งรู้ว่ามึงชอบโชว์" เสียงของใครบางคนดังมาจากข้างหลังของพวกเราทั้งสองคนและคำพูดเหน็บแนมที่ใช้ก็ทำให้เราต้องหันกลับไปดูใบหน้าของคนพูด
"ฮึ...นึกว่าใครที่แท้ก็มึงนี่เอง...ไอ้พาย" พี่ทศยิ้มมุมปากเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าคือใคร พี่พายเองก็ยิ้มเยาะก่อนจะหันมองมาที่ผม
"มองอะไรไอ้พาย" พี่ทศถามพี่พายที่มองผมไม่สางตาทั้งที่ข้างกายนั้นมีผู้หญิงยืนอยู่ข้างกาน
"ก็มองน้องกวางน้อยที่อยู่กับมึงไง? เห็นแล้วอยาก...." พี่พายตอบพี่ทศแล้วพูดประโยคสองแง่สองง่ามปิดท้ายจนผมรู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมา
"กูจะทำยังไงดีเนี่ย? ขนาดจูบโชว์ให้เห็นว่ากวางมีเจ้าของแล้ว หมาก็ยังเสือกมองอยู่ได้" พี่ทศพูดจบก็พาผมเดินออกไปปล่อยให้พี่พายที่ยืนกัดฟันกรอดมองคนร่างสูงด้วยสายตาอาฆาตแค้น
"ไม่คิดว่าจะเจอมันเลย เสียอารมณ์ชิบหาย" พี่ทศสบถออกมาอย่างหัวเสีย อย่าว่าแต่พี่ทศเลยผมเองก็ไม่ชอบใจที่ได้เจอพี่พายเหมือนกัน
"พี่ทศใจเย็นๆก่อนนะครับ" ถึงไม่ชอบใจผมก็ต้องทิ้งอารมณ์นั้นไปก่อน เวลานี้ต้องทำให้พี่ทศสงบลงให้ได้
"ครับ" พี่ทศตอบรับแล้วหันมามองหน้าผมนิ่ง
"พี่ทศมีอะไรหรือเปล่าครับ?" ผมเลิกคิ้วสงสัยแปลกใจที่อยู่ๆพี่ทศก็มองหน้าผมนิ่งหรือว่าพี่ทศจะอารมณ์เสียแล้วมาลงกับผมอีก พอคิดได้อย่างนั้นแล้วขาทั้งสองข้างก็ขยับถอยหลังโดยอัตโนมัติ
"จะไปไหน?" พี่ทศคว้าแขนของผมไว้แล้วกระชากเบาๆจนผมเซถลาไปหาจังหวะนี้เองพี่ทศก็โอบกอดเอาไว้ตามด้วยก้มหน้าเกยคางที่บ่าของผม
"ไว้ว่างๆพี่จะเหมาชิงช้าสวรรค์แล้วพาลักษณ์มาจูบใหม่อีกครั้งนะครับ"
....................................................................................
มาแล้วค่ะ ติดสอบ อ่านหนังสือสอบ ไม่สบาย เรียกได้ว่าโคตร.....เลยค่า
มาต่อให้ครบอีก 60% ยังไงก็ฝากด้วยนะคะ ตุลาคมนี้เราจะเจอกันบ่อยขึ้นจนทุกคนเบื่อขี้หน้า
ขอขอบคุณทุกคอมเม้น ทุกคนที่เข้ามาอ่าน ขอบคุณกำลังใจค่าาา