ตอนที่๒๔
ดูเหมือนคนที่จะได้สติก่อนกลับเป็นวิรัล ร่างสูงใหญ่พุ่งตรงไปที่กรงขังก่อนเรียกเอากุญจาจากทหารยามพื่อเข้าไปถึงตัวรารีให้เร็วที่สุด วิรัลยกร่างรารีขึ้นก่อนที่ชุนจะเข้าไปช่วยแกะโซ่ออก
“รารี รารี” เธราที่โผเข้ามาหาร่างบอบบางซึ่งไร้แล้วซึ่งลมหายใจ มือเรียวที่เอื้อมไปตบเบาๆที่แก้มของรารีสั่นเทา “อย่าเพิ่งเป็นอะไร รารีๆข้ามาแล้วลุกมาคุยกันก่อน” เธรายังคงพร่ำเรียกวนไปมาราวไร้หนทาง ก่อนจพหยุดนิ่งไปราวคิดอะไรได้
“เกล็ดอสรพิษ ใช่สิ ข้ามีเกล็ดอสรพิษ” เธราพูดออกมาก่อนลุกลี้ลุกลนหาของบางอย่างที่เก็บเอาไว้ วัตถุสีเหลือบเขียวถูกหยิบออกมาอย่างรีบร้อน เธราไม่ได้ลังเลว่าสิ่งในมือจะมีค่าขนาดไหนตอนนี้เขาแค่ห่วงรารี มือเรียวออกแรงกำเกล็ดอสรพิษจนแตก แล้วกรอกลงไปในปากของรารี แต่แล้วสิ่งที่ทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นราวกับถูดสะกดก็คือ ทันทีที่เกล็กอสรพิษถูกป้อนเข้าปากรารี ก็จะปรากฏเกล็ดอสรพิษขึ้นมาในมือเธราอีกครั้งราวกับมันไม่ยอมที่จะรักษารารีอย่างไรอย่างนั้น
“ท..ทำไมล่ะ” เธราอุทานออกมาก่อนเงยหน้ามองวิรัลราวเด็กขวัญเสีย “ทำไมไม่ได้ เกล็ดอสรพิษชุบชีวิตได้นี่นา” เธราละล่ำละลักก่อนตัดสินใจส่งเกล็ดอสรพิษเข้าปากตัวเอง ละก้มลงไปประทับริมฝีปากกับรารีเพื่อที่จะป้อนเกล็ดอสรพิษให้คนที่หมดลมหายใจตรงหน้าอย่างสุดความสามารถ แต่แล้วก็เป็นดังเดิม เกล็ดอสรพิษกลับมาอยู่ที่มือเธรา
“เกล็ดอสรพิษหนึ่งอัน สามารถชุบชีวิตคนได้เพียงหนึ่งคนเท่านั้น” สหัสเอ่ยออกมาช้าๆ สายตามีแววไม่แน่ใจ “ถ้ารารีมีคนรักจริงๆ......หรือว่า” ท้ายประโยคหายไปราวไม่แน่ใจ
ทันทีที่สหัสพูดจบ เธราก็ใช้มือจับลงไปที่หน้าท้องของรารีทันที หน้าท้องบอบบางยังคงรายเรียบ “องค์วิรัล ตามหมอหลวงได้ไหมกระหม่อม” เธราหันมาพูดเสียงแห้ง ดวงตาสีน้ำตาลแห้งผาก
ทั่วทั้งคุกใต้ดินเงียบสนิท ไม่มีใครพูดอะไรปล่อยให้ชายชราผู้ได้ชื่อว่าเป้นหมอหลวงทำการรวจร่างไร้วิญญาณของรารีอย่าละเอียด
“เป็นอย่างไรบ้างท่านหมอหลวง” เธราเอ่ยถามทันทีที่ชายชราขยับตัวลุกขึ้น
“นางกำลังตั้งครรภ์กระหม่อม” คำตอบสั้นๆของหมอหลวง ทำให้ทุกชีวิตที่ได้รับรู้ถึงกับเงียบสนิท เธราหลับตาลงราวอดกลั้น
----------------------------------------------------------------------
----------------------------------------------------------
ภายในห้องบรรทมขององค์วิรัลเงียบสนิท วิรัลเดินเข้ามาในห้องก่อนมองไปที่เธราที่นั่งนิ่งอยู่ริมหน้าต่าง เขาจำเป็นต้องสั่งให้นำศพของรารีขึ้นไปแขวนไว้ดังเดิม และจัดฉากทุกอย่างให้เหมือนกับว่าไม่มีใครไปพวศพของรารีแล้วเพื่อที่จะให้คนของวูธเป็นคนไปพบศพของรารีและเข้าใจว่ารารีฆ่าตัวตายหนีความผิด เพราะเขาคิดว่ารารีเองก็คงต้องการให้เป็นอย่างนั้น
“เธรา” วิรัลเอ่ยเรียกชื่อพระสนมของตัวเองเบาๆ ท่าทางของเธราดูน่าเป็นห่วงจนเขาเองอดกังวลไม่ได้
เธราได้ยินเสียงองค์วิรัลก็หันไปมองคนเรียกก่อนพยายามยิ้มแหยๆให้ไป เขาไม่อยากให้องค์วิรัลกังวลไปมากกว่านี้ ร่างสูงใหญ่ของวิรัลนั่งลงข้างๆเธราก่อนยกมือลูบหัวคนที่พยายามส่งยิ้มมาให้ทั้งที่แววตานั้นแห้งผาก
“ไหวไหม” วิรัลถามออกไปอย่างเป็นห่วงแค่มองก้รู้ว่าคนตรงหน้ากำลังโทษตัวเองอย่างที่สุด เหมือนคำถามง่ายๆของวิรัลนั้นจะไปทลายกำแพงความอดกลั้นที่เธราเพียรสร้างเอาไว้ ดวงตาสีน้ำตาลสวยเออคลอด้วยน้ำตาก่อนที่จะไหลออกมาอย่างสุดกลั้น หัวกลมๆส่ายไปมาราวอยากจะบอกว่าเขาไม่ไหวแล้ว
วิรัลออกแรงดึงคนที่กำลังร้องไห้ให้เข้ามาอยู่ในอ้อมกอด เธราไม่ได้ขืนตัวแต่อย่างใดเหมือนเธราเองก้รู้ตัวว่าตอนนี้เขาเองต้องการที่พึ่งมากขนาดไหน
“ถ้าข้าบอกว่าไม่ใช่ความผิดชองเจ้า จะเชื่อข้าไหม” วิรัลพูดพลางโอบกอดร่างที่เริ่มสั่นเทาเพราะแรงสะอื้นให้แน่นขึ้น พลางหวลนึกไปถึงตอนที่เขาฟื้นขึ้นมาจากการโดนงูพิษกัดแล้วเจอเธรานั่งร้องไห้อยู่ข้างๆเตียง ตอนนั้นเพียงแค่ยกมือขึ้นสัมผัสผมเบาๆเขายังต้องชั่งใจ แต่ตอนนี้เขาดึงร่างของเธราเข้ามาในอ้อมกอดโดยไร้ซึ่งความลังเลใดๆ เพียงแค่นี้เขาก็แน่ใจในหัวใจของตนแล้ว
วิรัลไม่ได้พูดอะไรอีกเขาปล่อยให้คนในอ้อมกอดร้องไห้ออกมามากเท่าที่ต้องการ จนเมื่อเวลาล่วงเลยไปเสียงสะอื้นในอ้อมกอดเบาบางลงแล้ว วิรัลจึงดันตัวเราให้ออกห่างเพียงนิดเพื่อที่จะได้เห็นใบหน้าชัดขึ้น มือหนายกขึ้นเช็ดคราบน้ำตาที่แก้มของเธราเบาๆ เธราตอนนี้ไม่ได้มีท่าทีขัดขืนหรือหทางหนีเหมือนครั้งก่อน หากแววตาสีน้ำตาลสวยนั้นกลับเหม่อลอย
“ข้าคิดว่าข้ายังทำบางอย่างไม่สมบูรณ์” วิรัลบอกเธราเบาๆก่อนผละลุกขึ้นไปหยิบบางอย่างออกมาจากลิ้นชักหัวเตียง
เธรามองตามองค์วิรัลอย่างไม่เข้าใจ ใบหน้ายังมีคราบน้ำตาเปรอะเปื้อน ดวงตาสีน้ำตามองสิ่งที่องค์วิรัลถือในมือก่อนขมวดคิ้วเพราะมองไม่ชัด แต่แล้วก้ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อวิรัลเอาบางสิ่งมาคลุมหน้าเธราเอาไว้
“คืนเข้าหอ ข้ายังไม่ได้เปิดหน้าเจ้าสาวของข้าเลย พิธีจะสมบูรณ์เมื่อเจ้าบ่าวเปิดผ้าคลุมหน้าของเจ้าสาวและกล่าวคำสัตย์ของเขา” วิรัลพูดเรื่อยๆ มือหนาสัมผัสใบหน้าของเธราผ่านผ้าผืนบางที่เขาไม่แม้แต่จะแลตามองในคืนเข้าหอเมื่อสองปีก่อน
เธราเกร็งตัวทันทีเมื่อเริ่มรับรู้สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ผ้าผืนบางที่ปักลายดอกไม้สวยงามไม่สามารถปิดกั้นแววตาสีดำสนิทที่ทอดมองมาอย่างเผยความในได้
วิรัลค่อยๆยกชายผ้าคลุมหน้าขึ้นเผยให้เห็นเจ้าของรอยยิ้มที่ฝังอยู่ในใจเขาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ดวงตาสีน้ำตาลที่เคยแววาว ตอนนี้มีแววกระดากอาย ริมฝีปากเม้มแน่นราวสะกดอารมณ์ แม้จะมีเพียงแสงตะเกียงริบหรี่แต่เขาก็แน่ใจว่าแก้มของคนตรงหน้าต้องขึ้นสีชวนมองไม่น้อย
“นามของข้าคือวิรัล ในฐานะชายคนหนึ่งมิใช่ราชาหรือนักรบใดๆ ด้วยชีวิตของข้า ข้าจะดูแล ปกป้อง และ รักเธรา ชายหนุ่มผู้ไม่มีญาณใดๆ ชายหนุ่มที่เป็นเจ้าของดวงใจที่งดงามดวงนี้ด้วยดวงใจของข้า ด้วยสัตย์จริงข้าอยากขอบคุณมาลันเคียเหลือเกิน ที่ส่ง ดวงใจบรรณาการดวงนี้มาให้ข้า” วิรัลเอ่ยคำสัตย์สาบานออกมาช้าๆ คำพูดยืดยาวที่เหมือนเวทย์มนต์ ทำเอาน้ำตาที่เหมือนจะแห้งเหือดไปแล้วของเธราทำหน้าที่ของมันอีกครั้ง
วิรัลมองเธราที่เช็ดน้ำตาไปมาก่อนพยักเพยิดเป็นเชิงให้เธรารู้ว่าถึงคราวที่ตนเองต้องพูดคำสัตย์สาบานของตน
“ข..ข้าเธรา ข้า..” เธราเงียบไปเป็นครู่ก่อนยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาของตนเองให้แห้งสนิท วิรัลมองคนตรงหน้าที่พยายามรวบรวมสติอย่างใจเย็น “ข้าเธรา ด้วยชีวิตข้าจะใช้ทุกสิ่งที่มีเพื่อให้องค์วิรัลแห่งนันทานครเป็นกษัตย์ที่ยิ่งใหญ่ เป็นที่ยึดเหนี่ยวของประชาชนผู้ยากไร้ เป็นที่รักและเคารพของสามดินแดนด้วยชีวิตของข้า” วิรัลเลิกคิ้วราวแปลกใจในคำสัตย์ของเธรา
“เจ้าอาจจะลืมไป เธราของข้าเจ้าเป็นพระสนมหาใช่แม่ทัพไม่” วิรัลบอกพลางยิ้มมุมปาก ทั้งที่ในใจเริ่มหงุดหงิด เขาพูดไปแล้ว เขายอมพูดออกไปก่อนทำไมคนตรงหน้าถึงยังเฉไฉกันนะ
“ข้าไม่ต้องการให้เจ้าเอาชีวิตมาแลกเพื่อให้ข้ายิ่งใหญ่ ข้าไม่ได้ต้องการชีวิตของเจ้าเธรา ข้าให้โอกาสอีกครั้ง ให้เจ้าพูดใหม่” วิรัลพูดอย่างพยายามใจเย็น ตอนแรกเขาแค่ต้องการฉุดให้เธราสนใจเรื่องอื่นแทนเรื่องของรารี แต่ในเมื่อมันเลยเถิดมาขนาดนี้เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆหรอกนะ
เธราเม้มปากแน่น เขารู้ว่าองค์วิรัลหมายความว่าอย่างไร เขาเข้าใจสิ่งที่องค์วิรัลพยายามแสดงออกมาเสมอ
“หม่อมฉันเป็นชาย”
“แล้วทำไม” วิรัลเริ่มโมโหเมื่อได้ยินคำพูดนี้จากเธรา เขารู้ว่าเธราเป็นชาย แต่สำหรับเขามันได้สำคัญอะไร
“พระองค์จะต้องมีราชินีคู่บัลลังค์ที่ส่งเสริมให้นันทานครเข้าแข็งมากกว่านี้”
“ข้าไม่ต้องการให้ใครมาช่วยให้ข้าเข้มแข็ง ตอนนี้ข้าแค่อยากรู้ว่าเจ้ารู้สึกอย่างไรกับข้าเธราอย่าเฉไฉ” วิรัลคาดคั้น
คำคาดคั้นของวิรัลทำเอาคนที่กำลังอ่อนใหวสติแตก เธราเม้มปากแน่นก่อนโพล่งออกไปอย่างเหลืออด “พระองค์จะให้หม่อมฉันรู้สึกอะไรได้ หม่อมฉันรักพระองค์ แล้วยังไง หม่อมฉันมีลูกให้พระองค์ได้ซะที่ไหนหม่อมฉันเป็นชายจะให้บอกกี่ครั้งกัน สักวันพระองค์จะต้องมีรัชทายาท แล้วจะให้หม่อมฉันทำยังไง หม่อมฉันทนไม่ได้หากพระองค์มีหญิงอื่น แต่ก็ต้องทนเพราะรู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองมีรัชทายาทให้พระองค์ไม่ได้!!” เธราตะโกนใส่วิรัลอย่างโมโห พรั่งพรูบางสิ่งที่ค้างอยู่ในใจออกมาอย่างเหลืออด ผลักวิรัลให้ห่างตัวก่อนลุกขึ้นออกเดินอย่างโมโห
วิรัลที่ดูจะตั้งตัวไม่ติดกับท่าทางโมโหจัดของเธรา แต่เขากลับเลือกที่จะนั่งนิ่งมองเธราที่เดินไปเปิดประตูแต่แล้วดูเหมือนเธราจะโมโหหนักกว่าเดิม เมื่อประตูบานใหญ่ลงล็อคแน่นหนา วิรัลมองเธราที่ฟึดฟัดไปมา ดวงตาสีน้ำตาลที่เคยสดใสมีแววขุ่นเคือง ก่อนหันมามองเขาอย่างโมโห เธราทุบประตูแรงๆอีกสองสามทีก่อนผละตัวออกจากประตูแล้วตรงมาที่ระเบียงอย่างไม่ลังเล แต่ก่อนที่คนกำลังโมโหจะกระโดดลงจากกระเบียงอย่างที่ตั้งใจ ลำตัวก็ถูดรัดด้วยแขนแกร่ง วิรัลสวมกอดคนขี้โมโหจากด้านหลังก่อนออกแรงรั้งให้เธราพ้นจากระเบียงโดยไม่สนใจแรงขัดขืน
“โกรธขนาดนี้ ความผิดของข้ามากมายนักรึ” วิรัลทอดเสียงถามคนในอ้อมกอดอย่างใจเย็น “ข้าจะไม่ถามเจ้าอีกแล้ว อย่าโกรธข้าเลยนะ” ไม่รู้ว่าเธราคิดไปเองรึเปล่าว่าน้ำเสียงขององค์วิรัลฟังดูออดอ้อนต่างจากทุกที และดูเหมือนเธราเองก็จะแปลกไปเมื่อแรงขัดขืนที่ดูจะมีมากมายกลับมลายหายไปทันทีที่คนด้านหลังเกยคางมาที่ไหล่เบาๆ
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากังวลกับเรื่องในภายหน้าขนาดนี้ ขอโทษที่ไม่เคยนึกถึงความรู้สึกของเจ้าเลย” วิรัลพูดกับคนในอ้อมกอดเบาๆ เธราไม่ได้ขัดขืนแล้วตอนนี้ทั้งสองยืนอยู่ริมระเบียง ลมเย็นๆยามค่ำคืนโชยมาเอื่อยๆ จันทร์เสี้ยวไร้แสงหากงดงามจับตา “เดิมทีข้าไม่เคยคิดจะเป็นราชาแม้แต่น้อย ข้าแค่ไม่อยากให้พวกกบฏ มาเป็นใหญ่ในนันทานคร ข้าเพียงแค่ทำในสิ่งที่ข้าถนัด นั่นคือการรบแต่ทันทีที่ทำลายพวกกบฏจนหมดสิ้น เหล่าเสนาอำมาตย์กลับเสนอให้ข้าขึ้นครองบัลลังค์ ไม่มีใครคิดว่าโอรสไร้อันดับอย่างข้าจะได้ขึ้นครองราชย์ข้าอาจจะเป็นราชาที่ไม่ดีพอข้าไม่เคยคิดถึงการสืบสันติวงศ์ คาเซอาจจะเหมาะกับตำแหน่งราชามากกว่าข้า” คำพูดของวิรัลทำเอาเธราขมวดคิ้ว
“หมายความว่ายังไงกระหม่อม” เธราถามอ้อมแอ้มทั้งที่ยังคงยืนนิ่งในอ้อมกอด
“เมื่อจบเรื่องนี้ ข้าอาจจะให้คาเซขึ้นครองบัลลังค์ แล้วข้าจะลงมาดูแลกองทัพ มีเจ้าคอยดูแลประชาชน มีคาเซเป็นสมองสั่งการเพียงแค่นี้นันทานครก็แข็งแกร่งไม่น้อยหน้าใครแล้ว”
“แต่...”
“ข้าคิดเรื่องนี้มานานแล้วเธรา เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลา นันทานครเพิ่งเว้นว่างจากศึกหากคราวนี้ข้าคงต้องคิดเรื่องนี้จริงจัง” วิรัลเอ่ยออกมาก่อนกระชับอ้อมกอดมากขึ้น ปล่อยให้ความเงียบครอบคลุมทั่วบริเวณคงเหลือแต่เสียงหัวใจทั้งสองดวงที่เต้นเป็นจังหวะหยอกล้อกันไปมา
------------------------------------------------------------------------------------ -----------------------------------------------------
แสงอาทิตย์สาดส่องมายังนันทานครพร้อมกับข่าวของรารีที่ชิงฆ่าตัวตายในคุกหนีความผิดนั้นดังกระฉ่อน กองกำลังของวูธที่ตั้งกองทัพอยู่ที่ประตูเมืองนันทานครนั้นสงบนิ่งราวรอฟังคำสั่งจากราชาของตน
“ทำไมท่านถึงปล่อยให้คนร้ายฆ่าตัวตายก่อนที่จะได้สอบสวนแบบนี้” กษัตย์แห่งวูธที่เพิ่งเสด็จมาถึงเอ่ยออกมาอย่างไม่พอใจสายตาคมราวเหยี่ยวแม้อายุจะล่วงเลยมาเกินร้อยมองไปยังศพของรารีนิ่งแววตาที่ทอดมองนั้นสงบจนอ่านไม่ออก
“แล้วท่านจะให้นันทานครทำเยี่ยงไร ท่านก็เอ่ยมาเถิดคนของนันทานครกระทำการอุกอาจ ปลิดชีพพระธิดาของท่าน แม้คนร้ายจะรับสารภาพและตายตกไปตามกันแล้วแต่ข้าก็อยากจะชดใช้” วิรัลเอ่ยน้ำเสียงนิ่งสนิท
“เอาล่ะๆ ในเมื่อจับคนร้ายได้แล้ว แม้คนร้ายจะชิงฆ่าตัวตายไปเสียก่อน แต่อย่างไรเสียนันทานครกับวูธก็หมดเรื่องเคืองใจกันเสียที หม่อมฉันขอเชิญท่านไปพักผ่อนเสียก่อน เดินมามาจากวูธคงเหนื่อยล้ามากพอดู แล้วเรื่องศพของคนร้ายจะทำเยี่ยงไรค่อยว่ากันอีกทีกระหม่อม” คาเซเอ่ยตัดบท ก่อนจะเชิญตัวกษัตย์แห่งวูธไปพักยังห้องรับรอง
-----------------------------------------------------------------------------
-----------------------------------------
ร่างบอบบางของพารัมเดินเชิดหน้าเข้ามาที่ตำหนักหยาดหมอกอย่างไม่สนใจเสียงห้ามปราม ใบหน้าน่ารักนิ่งสนิทเมื่อปรายตามองทหารเวรที่ออกมาห้ามตามหน้าที่
“ข้ามีเรื่องจะคุยกับองค์วิรัล”
“ถ้าไม่มีคำสั่งห้ามเข้า” ทหารเวรเอ่ยตามหน้าที่เพราะตอนี้ตำหนักหยาดหมอกถูกวางเวรยามอย่างแน่นหนาจากเหตุการที่กำลังคุกรุ่น
พารัมเลิกคิ้วใบหน้าน่ารักยิ้มมุมปากเบาๆ ก่อนที่มือบางจะปลดกระดุมเสื้ออก “เจ้าลวนลามข้า ข้าจะบอกท่านป้าขององค์วิรัล”
“ข้าไม่ได้...ทำ” ทหารเวรที่ดูตกใจกับการกระทำของพารัม
“ข้าจะตะโกนแล้วนะ ช...” พารัมทำท่าจะตะโกน
“พอแล้วพารัม” เป็นคุชที่เอ่ยห้ามปราม ผมสีแดงตัดกับผิวขาวซีดสะดุดตา
พารัมติดกระดุมเรียบร้อยก่อนหันไปยิ้มเอาใจคุชอย่างประจบ
“ข้าอยากเข้าไปข้างใน ไปหาองค์วิรัล” พารัมบอกเป็นในๆ
คุชพยักหน้าก่อนหันไปส่งสัญญาณให้ทหารเวรไปทำหน้าที่ตัวเองต่อ พารัมเดินตามคุชไปเงียบๆ และทันทีที่ร่างของคนที่อยู่ในห่วงความคิดถึงปรากฏตรงหน้า พารัมก็โผตัวเข้ากอดเธราทันที
“พี่เธราๆ” เสียงใสๆเอ่ยย้ำชื่อไปมา ก่อนจะเริ่มสะอื้น
“ร้องไห้ทำไมกันพารัม พี่ยังสบายดี” เธราเอ่ยปลอบคนในอ้อมกอด พารัมยังเด็กเกินกว่าจะมาเจอเรื่องแบบนี้ แล้วตอนนี้คนตัวเล็กยังถูกพรากมาจากบ้านเกิดอีกคงว้าเหว่น่าดู
“รารี ฆ่าตัวตายหรือพี่เธรา” พารัมเอ่ยถามเมื่อเริ่มหยุดน้ำตาของตัวเองได้ เธราได้แต่พยักหน้าตอบ
“เจ้าน่าจะเจอนางเป็นคนสุดท้าย จำได้ใหมนางพูดว่าอะไรบ้าง” เธราถามพารัม เขาจำได้ว่าสหัสบอกว่าให้พารัมลองไปเกลี้ยกล่อมรารีตอนที่อยู่ในร่างองค์วิรัล
“รารีไม่รู้ว่ามีดที่ใช้ฆ่าองค์หญิงโยนาเป็นของปลอม นางไม่รู้เรื่องปีศาจรันตราด้วยซ้ำ เหมือนนางจะถูกหลอก” พารัมเอ่ยออกมาก่อนขมวดคิ้วแล้วหันไปหาคุช “คุชท่านจำได้ใหมว่ารารีสั่งอะไรสักอย่างก่อนเราออกมา ข้าจำได้ไม่ถนัด”
คุชขมวดคิ้วก่อนเอ่ยออกมาอย่างไม่แน่ใจ “รารีบอกไม่ได้ตั้งใจทำร้ายท่านเธรา เพราะนางโง่เอง แล้วน่าจะบอกว่าขนมที่ท่านเธราชอบนางอบแล้ววางไว้ให้ที่เดิม”
เธราได้ฟังคำของคุชแล้วก็ต้องแปลกใจ “ขนมงั้นรึ แต่ว่ารารีทำขนมไม่เป็นนี่ รารีทำแต่อาหาร ครัวที่ตำหนักท้ายบึงเล็กนิดเดียว ทำได้แต่อาหารง่ายๆ ปกติขนมที่ข้าชอบรารีจะไปเอามาจากในห้องเครื่องของวังหลวง” เธราพูดออกมาเหมือนจะย้อนความจำตัวเอง “มันไม่เคยมีโหลขนมที่วางอยู่ที่เดิมมาตั้งแต่แรก”
“เดี๋ยวนะ”คุชเอ่ยขัดขึ้นก่อนเอ่ยบางอย่างออกมาอย่างไม่แน่ใจ “โหลขนม.....ที่นันทานครเรามีความเชื่อว่าโหลขนมคือที่เก็บความสุขเป็นความเชื่อที่สืบทอดกันมาเราจะมอบของขวัญให้เด็กน้อยเป็นโหลขนมเสมอ พวกนางกำนัลในวังหลวงจึงมักซ่อนของที่ผิดกฎ เก็บไว้ในโหลขนมแล้วซ่อนเอาไว้” คุชเป็นคนพูดออกมา หรือรารีต้องการจะสื่อว่าซ่อนของบางอย่างเอาไว้กันแน่
“ของมีค่าที่ผิดกฎ คืออะไรล่ะ” โชบุถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ
“ส่วนมากก็จะเป็นจดหมายรักน่ะ” คำพูดของชุนทำเอาทั้งห้องเงียบสนิท
-----------------------------------------------------------------------------
----------------------------------------------------------
วิรัลนั่งตรวจตรารายงานต่างๆอยู่ลำพังคนเดียว ใบหน้าได้รูปนิ่งสนิทเขาไม่ได้ตรวจรายงานเองมาสักพักทุกอย่างเขายกให้คาเซจัดการ เขามักจะดูแลกองทัพและการรบเสียมากกว่า เมื่อนันทานครเริ่มเป็นปึกผ่านการศึกเริ่มน้อยลงจนห่างหายจากการศึกมาสักพัก วิรัลจึงได้เริ่มมาดูรายงานต่างๆอย่างมากขึ้น
“ท่านวิรัล” คาเซที่เดินเข้ามาในห้องเอ่ยเรียกวิรัลเบาๆ
วิรัลเงยหน้ามองคาเซ ก่อนพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ก่อนก้มลงมองเอกสารอีกคร้ง
“ท่านตัดสินใจหรือยังกระหม่อมเรื่องของวูธ ว่าจะเอาอย่างไร ดูเหมือนทางโน้นจะจะยังไม่ค่อยพอใจ ถ้าเราเอาพระสนมมายืนยันความบริสุทธิ์จะดีกว่ารึเปล่ากระหม่อม” คาเซเอ่ยถามวิรัล
“ข้าเองก็ยังไม่รู้ว่าเธราอยู่ที่ใหน” วิรัลตอบออกไปนิ่งๆทั้งที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่รายงานตรงหน้า
“แล้วท่านไปอันราเสียหลายวันมีเรื่องอะไรรึเปล่ากระหม่อม แล้วอยู่ดีๆก็กลับมาพร้อมคุชมาถึงก็ป่วยไม่สามารถว่าราชการได้ ไม่ว่าพระองค์จะทำอะไรหม่อมฉันอยากให้นึกถึงนันทานครเป็นหลัก วูธแม้จะไม่ใช่ศัตรู แต่ถ้ามีเรื่องบาดหมางจะกลายเป็นสงครามที่ยืดเยื้อไปได้นะกระหม่อม” คาเซพูดยาวเหยียด ใบหน้างดงามมีแววเคร่งเครียด
“คาเซ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็อยากให้เจ้าเชื่อว่าข้าจะไม่มีทางทำให้นันทานครเป็นอะไรไปแน่นนอน ข้าเองก็รักบ้านเกิดแห่งนี้ไม่ต่างไปจากเจ้า” วิรัลถอนหายใจหนักหน่วง ก่อนลุกออกไปยืนริมหน้าต่างเพื่อรับลมเย็นๆที่โชยเข้ามา
“เมื่อเรื่องนี้คลี่คลาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของปีศาจรันตรา หรือเรื่องของวูธ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ข้าอยากให้เจ้าขึ้นครองบัลลังค์แห่งนนันทานครแทนข้า คาเซไม่ว่าเมื่อไรในจิตใจของข้าก็คิดเสมอว่าเจ้าต่างหากที่เหมาะสมกับบัลลังค์แห่งนี้ น้องข้า” วิรัลหันกลับมามองคาเซที่ยืนก้มหน้านิ่งราวฟังคำสั่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตาวิรัล ใบหน้าสวยงามที่คุ้นตาแววตาแน่วแน่ที่เขาคุ้นชิน ผมสีทองของคาเซปลิวเบาๆเมื่อสายลมจากข้างนอกพัดผ่านเข้ามา ในสายตาวิรัลคาเซคือน้องชายที่เขาไว้ใจที่สุด คือมือขวาที่ทำทุกอย่างแทนเขา และคือคนที่เขาไว้ใจให้ดูแลนันทานครแทนเข้าได้อย่างสนิทใจที่สุด

มาแล้วค่าาาาาาาา
ฝากวิรัลเธราด้วยย ใกล้เฉลยคนร้ายเต็มที
ทุกอย่างจะลงเอยยังไง ฝากติดตามจนจบด้วยน้าา
ขอบคุณคะ