บทที่ 7 (7.1)
...ไลน์...
เสียงไอโฟนทำให้จันทร์เจ้ายกขึ้นมาดู เป็นเพื่อนสนิทเขาเอง อชิระ… ส่งมาว่า
AchiraAch: ไอ้เจ้า มึงเสือกลงรูปอะไรของมึงงงงง
เขาขมวดคิ้วก่อนจะตอบกลับไป
TheMoonChanchao: รูปไรของมึงกูงง
AchiraAch:แล้ววันนี้มึงไปไหนมาละครับคุณเพื่อน รูปมึงกับพี่นาฏยไงไอ้หอก
เขาเบิกตากว้าง รีบไถเฟสบุ๊คเปิดขึ้นมาดู ตัวแดงๆตรงรูปโลกทำให้เขารีบกด มีแต่เพื่อนๆในเฟสเข้ามาคอมเม้นบนรูปเขาทั้งนั้น แถมต้องตาถลนเข้าไปใหญ่เมื่อไอ้อัชมันดันแคปรูปจากเพจมหาลัยมาให้ บอกว่ามีคนเอาไปแชร์แล้วก็ลงในเพจของมหาลัย
โอยยย ตายๆๆ เรื่องเก่ายังไม่ทันหาย เรื่องใหม่เข้ามาแทรกอีกละ
จันทร์เจ้ายืนปากสั่นอยู่ จนร่างสูงเห็นคิ้วที่ขมวกมุ่นของอีกฝ่ายทำให้ถามขึ้นมา
“เป็นอะไร?”
กระต่ายกลับมาตื่นตูมอีกครั้ง “เอ่อ...เอ่อ...คือ”
นาฏยขมวดคิ้ว “เป็นอะไรคุณ”
ร่างเล็กๆหลับตาปี๋ ในใจคิดว่าโดนโกรธแน่นอน แต่ก็พูด “คือ...รูปที่วันนี้ผม มีคนเอาไปลงในเพจมหาลัยด้วยละครับ” ใบหน้าเล็กแก้มป่องทำท่าจะร้องไห้ ดูเหมือนร่างเล็กจะกลัวเขาโกรธมาก
กลัว...กลัวพี่นาฏยโกรธ กลัวโดนเกลียดมาก รู้งี้ไม่น่าลงเลย
ร่างสูงนิ่งเงียบไปจนอีกฝ่ายใจเสียยิ่งกว่าเดิม
“ขอโทษจริงๆครับ” ก้มหน้าลงไม่กล้าสบตา
เสียงถอนใจจากร่างสูงใหญ่ทำให้ยิ่งกลั้นหายใจ “เงยหน้า...”
เสียงนิ่งไม่รู้ว่าพี่นาฏยคิดอะไรอยู่
“เจ้า...ผมบอกให้เงยหน้าขึ้น” มืออุ่นๆจับแก้มกลมๆแล้วดันขึ้นมา “คุณคิดว่าผมจะโกรธ?”
หน้าขาวแดงเล็กน้อย ตากลมๆเหมือนกระต่ายมีน้ำคลอเล็กน้อย จนนาฏยอยากจะถอนหายใจอีกรอบ แต่สุดท้ายก็ยิ้มมุมปาก
“เรื่องแค่นี้ผมจะโกรธทำไม ไม่มีอะไรเสียหายนี่”
“แต่ยังมีเรื่องรูปที่ตอนไปโปรโมทค่าย”
“เอาเป็นว่าผมไม่คิดมาก เราไม่ได้ทำอะไรผิด”
“แต่ว่าคนเขาจะมองพี่นาฏย...เอ่อ...ไม่ดีหรือเปล่าครับ” จันทร์เจ้าไม่อยากให้คนที่เขาชอบต้องมาโดนมองด้วยสายตา
แปลกๆ
“แล้วคุณกลัวคนอื่นมองแบบนั้นหรือ?” เขาส่ายหัวจนผมกระจาย ไม่หรอก เขาไม่กลัว
“งั้นผมจะกลัวทำไม” จันทร์เจ้าเห็นรอยยิ้มจางๆบนใบหน้าดุแล้วอดยิ้มตอบไม่ได้ “ไม่ร้องสิ”
กระต่ายแก้มกลมส่ายหน้า “ไม่ได้ร้อง” แค่ตาร้อนๆเฉย
“หึ ไม่ร้องก็ไม่ร้องสิ เจ้ากระต่ายตื่นตูม” โดนดีดหน้าผากดังป๊อก “ไปเถอะ กลับกัน”
...ใช่…
...กลับบ้าน…
แต่เฮ้ย...เขาต้องกลับบ้านด้วยรถไฟฟ้าสิ ไม่ใช่มานั่งหน้าสลอนอยู่บนรถยนต์คันหรูเช่นนี้
...มันไม่ถูกต้อง…
แต่ปฏิเสธไม่ทันแล้ว หลวมตัวขึ้นมาเพราะเสียงนิ่งๆสะกดจิตเขาแน่นอน
“นั่งเงียบเชียว ยังเครียดเรื่องเดิมอีกหรอ?” คนนั่งอยู่หลังพวงมาลัยถาม
“เปล่าครับ” ใครจะกล้าบอกว่าตื่นเต้นที่ได้นั่งรถพี่นาฏยกันละ ไม่เคยคิดฝันจะได้มานั่งน่ะ
“บ้านคุณอยู่...ใช่ไหม?” พี่นาฏยบอก เพราะเคยมาส่งเขาที่รถไฟฟ้า
“ครับ...”
ร่างสูงพยักหน้าก่อนจะไปสนใจการขับรถต่อ ภายในห้องโดยสารเงียบงันมีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศที่ทำงานอย่างทีประสิทธิภาพและเสียงเพลงคลาสิกจากแผ่นคลอเบาๆ
ไม่ต้องพูดอะไรกัน แต่มันก็ทำให้จันทร์เจ้ายิ้มได้
นั่งเงียบๆไม่รบกวนการขับรถของอีกฝ่าย จนเสียงโทรศัพท์ของคนขับดังขึ้น ร่างสูงหยิบบลูธูทเสียบเข้าหู
“ครับ...ว่าไงน่ะ?...เข้าใจแล้ว...” เสียงทุ้มยังคงนิ่งๆแต่จันทร์เจ้าจับได้ว่าแฝงไปด้วยความหงุดหงิดบางส่วน
ตากลมๆมองอีกฝ่ายที่ถอดใจเฮือก สะดุ้งน้อยเมื่อๆนาฏยหันมามองตัวเอง
“คือ...ผมต้องไปรับแม่ผมที่สนามบินก่อนน่ะ ท่านขึ้นมาจากทางใต้น่ะ”
“งั้นพี่นาฏยส่งผมแถวนี้ก็ได้ครับ” เขาไม่กล้านั่งไปต่อหรอก
ร่างสูงนิ่งไปสักพัก “คุณมีธุระต่อหรือเปล่า?”
จันทร์เจ้าส่ายหน้า ก็ไม่ได้ไปไหนแล้ว
“งั้น...คุณไปรับท่านกับผมแล้วเดี๋ยวผมไปส่งคุณที่บ้านทีหลังได้ไหม”
ไม่ได้ ไม่ได้ “ส่งผมตรงแยกหน้าก็ได้ครับ ผมหารถกลับได้ครับ”
“ไปกับผมนั่นแหละ เดี๋ยวผมไปส่ง” คนขรึมตัดบทฉับ พออ้าปากจะค้านก็โดนขัด “อย่าดื้อนะ ผมไม่ชอบเด็กดื้อ”
หา...ดื้อ? เขานี่นะ? “ไม่ดื้อสักหน่อย” บ่นอุบ
“ไม่ดื้อ ก็นั่งเป็นเด็กดีหน่อย อย่าซน” ยังจะมาพูดอีก
ฮ่วย เขาไม่ใช่อนุบาลหมีน้อยนะ พูดเหมือนเขาสามขวบ
สุดท้ายทำอะไรไม่ได้ก็ต้องนั่งเกร็งบนรถต่อไปอีกสักพักจนถึงสนามบิน
“ผมถึงแล้ว แม่เดินออกมาทางออกที่...” พอรถยนต์คันสวยจอดนิ่งสนิทอยู่ที่อาคารผู้โดยสารขาเข้าเรียบร้อย ร่างสูงก็กด
โทรศัพท์ พลางเปิดประตูออกไปยืนข้างนอก แต่ไม่ได้ปิดประตู
“ผมไปนั่งข้างหลังนะครับ” เขาบอก จะเปิดประตูลงไปนั่งด้านหลัง
“อือ ได้” เขาเปิดประตู ออกมายืนละล้าละลังอยู่ด้านนอก ยังไม่กล้าเข้าไปในรถ
จนเขาเห็นร่างของหญิงสูงวัยกลางคนท่าทางกระชับกระเฉงเดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ นาฏยเดินเข้าไปหา
คุณหญิงของเกาะธุรกิจประมงรายใหญ่ของภาคใต้ ยังไม่รวมถึงบริษัทนำเข้าส่งออกอาหารทะเลแช่แข็งอันดับต้นๆของ
ประเทศ รูปร่างที่น่าจะสูงไม่เกินหนึ่งร้อยหกสิบ ทำให้พอยืนข้างลูกชายแล้วสูงประมาณไหล่กว้างเท่านั้นเอง ใบหน้าที่ล่วงเลยตามวัยแต่ดูก็รู้ว่ายังสุขภาพดีมีรอยยิ้มกว้าง ดูเป็นคนอ่อนโยนและใจดี
“แม่...” ร่างสูงเข้าไปหายกมือไหว้สวัสดี “ทำไมมาไม่บอกล่วงหน้าละ”
“อ้าว แม่มาไม่ได้หรอ?” มารดาเขาถามยิ้มๆ ดูก็รู้ว่าล้อเลียนและถูกใจที่มาเซอไพรส์เขาถึงกรุงเทพฯ
“เปล่า แต่ว่าน่าจะบอกก่อน” ร่างสูงรับกระเป๋าเดินทางใบเล็กมาถือไว้ในมือ
“อุ้ย พาใครมาด้วยหรือ?” คุณหญิงเหลือบมองไปเห็นร่างเล็กๆที่ยืนกล้าๆกลัวๆอยู่ที่ประตูรถ นัยน์ตากลมโตที่เหมือกระต่ายน้อยขนฟู น่าเอ็นดู
“อ่อ...น้องที่มหาลัย ชื่อจันทร์เจ้า” นาฏยเป็นคนแนะนำแทน “เจ้านี่แม่ผมเอง”
จันทร์เจ้ายกมือก้มศีรษะอย่างอ่อนน้อม “สวัสดีครับคุณป้า” ท่าทางกริยาน่ารักถูกใจคุณหญิงมาก เรียกรอยยิ้มเอ็นดูได้มากโข
“สวัสดีจ้าลูก เรียกแม่ก็ได้เหมือนพี่นาฏยเขานั่นแหละ” เขามาลูบหัวทุยๆอย่างเอ็นดูจนเจ้าของชะงักเล็กน้อย “น้องน่ารักจัง เหมือนตุ๊กตาเลย”
ห้ะ?
ตุ๊กตา?
ไม่น่าจะเป็นชื่อเรียกของนักศึกษาหนุ่มอายุจะยี่สิบเลยสักนิด
จันทร์เจ้ายิ้มแหยๆ “แหะๆ”
“น่ารัก แม่ขอกอดหน่อยนะ เจ้าลูกชายแม่สูงอย่างกับยักษ์ปักหลั่น แม่กอดไม่ถนัด” เข้าสวมกอดหมับร่างเล็กๆ ความอบอุ่น
ทำให้จันทร์เจ้าไม่กล้าสะบัดออกแม้จะตกใจนิดหน่อย
“แม่พอแล้ว น้องตกใจหมด” นาฏยส่ายหน้าระอา แม่เขาเป็นประเภทแพ้ของน่ารักๆ ยิ่งเหมือนกระต่ายขนฟูแบบนี้ยิ่งชอบ ที่
บ้านเขามีพี่ชายอีกสองคนที่ตัวใหญ่พอกับเขาเพราะพ่อเป็นคนสูงใหญ่ ทำให้เขาสามพี่น้องตัวใหญ่เหมือนพ่อ แม่เลยชอบคนตัวเล็กๆน่ารักๆ ยิ้งจิ้มลิ้มๆ แก้มป่องๆละก็นะ เสร็จทุกราย
จันทร์เจ้าใจเต้นตึกๆ เป็นครั้งแรกที่พี่นาฏยเรียก ‘น้อง’ เพราะทุกทีมีแต่ ‘คุณ’ กับ ‘ผม’ พอมาโดนเรียกแบบนี้ทำเอาหน้าร้อนขึ้นมาง่ายๆ
“แค่นี้ทำหวง” คุณหญิงตีไหล่กว้างล้อเลียน
“ไปเถอะครับ เดี๋ยวต้องไปส่งน้องที่บ้านอีก” ลูกชายส่ายหน้า ทำเสียงขรึมขึ้น
“จ้าๆ พ่อลูกชาย” คุณหญิงแห่งเกาะยอมล่าถอยไปขึ้นรถ
นาฏยหันมายิ้มอ่อนๆให้คนตัวเล็ก “ไปขึ้นรถเถอะ”
จันทร์เจ้าที่ยังมึนๆกับการแอคแทคของคุณหญิงได้แต่เดินต้อยๆไปขึ้นรถที่จอดรอ
“แม่จะมาอยู่นานเท่าไร บอกป๋าหรือยัง?” นาฏยถาม สายตายังจ้องมองที่ถนนขาเข้าเมืองที่ไม่ยอมขยับไปไหนไกลเกินสามเมตร
...ให้ตายสิ…
....เบื่อถนนในกรุงเทพฯเหลือเกิน…
“รู้สิ แม่บอกป๋าแล้ว”
“แล้วเฮียนโมกับเฮียเนตรละ” นาฏยหมายถึงพี่ชายคนโตของเขาสองคน
เฮียนโมหรือ นายนโม ช่วงชัชวาลย์ และ เฮียเนตรหรือ นายเนตร ช่วงชัชวาลย์ บ้านเขาชื่อจริงหรือชื่อเล่นก็เขียนเหมือนกัน
“หึ ก็งมหอยงมกุ้งตามประสา” นาฏยหัวเราะเบาๆ คุณหญิงท่านประชดเพราะพี่ชายเขาสองคนก็เป็นเสาหลักของธุรกิจครอบ
ครัวเหมือนกัน
“มาคุยกับน้องดีกว่า แม่เบื่อเจ้ายักษ์พวกนั้น” คุณหญิงหันตะแคงข้างมาด้านหลังอย่างกระฉับกระเฉง จนดูไม่เหมือนคนอายุห้าสิบปลายๆเลยสักนิด
“แม่...” ชายหนุ่มปรามแม่เบาๆ
“น้องเจ้าอยู่ปีไหนแล้วลูก”
จันทร์เจ้ายิ้มแต้ “ปีหนึ่งครับ”
“เด็กกว่านาฏยตั้งสองปี แล้วเรียนคณะประมงหรือลูก”
คนตัวเล็กส่ายหน้า “เรียนบริหารครับ”
“เรียนบริหาร...สนใจมาบริหารบริษัทแม่ไหม?” หา? บริหารอะไรนะ?
“ครับ?” นัยน์ตากลมๆฉายแววงงวงย
เสียงกระแอมดังมาจากคนขับ “แม่เลิกแกล้งน้อง ผมจะขึ้นทางด่วนแล้ว นั่งดีๆครับ” ว่าเสียงขรึม ไม่สนใจเสียงหัวเราะจากแม่ตัวเอง
“จ้าๆ”
จันทร์เจ้าแอบอมยิ้มให้กับความน่ารักของสองแม่ลูก
...ดีแล้วที่นั่งมาด้วย…
...ได้เห็นพี่นาฏยในแบบที่คนอื่นคงไม่ได้เห็น…
TBC.
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เปิดตัวละครจัวใหม่ เป็นผู้หญิงน้าาา อิๆๆ แถมเป็นคนสำคัญของพี่นาฏยด้วยยยยย
อิอิ ตอนนี้พี่นาฏพาน้องไปเปิดตัวหราาา อุ๊ยย ผิดๆๆๆ พาไปรับแม่ด้วยต่างหาก ไม่ได้เปิดตัว

อย่าเข้าใจผิด พีนาฏยนางไม่ได้จีบ นางไม่ได้อ้อย อะไรทั้งสิ้นนะ

อิอิ
ปล. พรุ่งนี้เป็นต้นไป คนเขียนไปโตเกียวววววนะครับบบบ กว่าจะกลับต้นเดือนกันยานู่น ไม่ได้เอาคอมไป ไม่รู้ว่าจะอัพในมือถือสะดวกมั้ย แต่จะพยายามอัพให้ได้ (แม้การอัพในมือถือจะทำให้อยากปามือถือทิ้งก็เถอะ แต่เพื่อพี่นาฏยเพื่อน้อง และเพื่อทุกคนนนน เค้าจะพยายามมมมมม)
ปล. สอง. ฝากติดตามนิยายเรื่องเก่าเล่าใหม่ เรื่อง วณิพกพเนจร(แนวจีนโบราณระหว่างท่านอ๋องเจ็ดและขอทาน เอ๊ยย วณิพกน้อยๆ)
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55317.0ปล.สาม. แวะเวียนไปกดไลค์ เยี่ยมเยียน พูดคุยกันได้ที่บ้านหลังน้อย
https://www.facebook.com/airin.arpo/?fref=ts