บทที่ 9 (9.2)
...ขนมปังไส้ครีมไม่หวานมากกับน้ำส้ม
ตั้งใจเรียนละคุณ... โพสอิสหนึ่งใบติดมากับถุงกระดาษใบย่อมๆ ข้างในมีขนมปังไสครีมของร้านเบเกอรี่ร้านหนึ่งพร้อมกับกล่องน้ำส้มกล่องหนึ่ง เขาเอาถุงเก็บลงกระเป๋าเรียนของตัวเอง เขาเคยบอกตัวเองตลอดว่าจะไม่เอาขนมหรืออะไรก็ตามที่ได้จากพี่นาฏยมากินหรือถือในมหาลัย เพราะมันอาจจะเจอแจ็คพอตได้ตลอดเวลา
ถุงนี้เขาได้รับมาจากเปเปที่บอกว่ามีคนฝากมาให้ ไม่บอกก็รู้ว่าใคร พี่นาฏยยังอุตส่าห์เอาขนมนมเนยมาฝากเขาแม้ว่าจะไม่ได้ทำข้าวกล่องให้พี่เขามาจนเกือบอาทิตย์ละ และวันพรุ่งนี้ก็เป็นวันที่เขาว่าจะไปหาหมอด้วย
พี่นาฏยเคยพูดว่าจะพาเขาไป แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะโทรไปบอกพี่นาฏยสัดนิด เลยกะว่าจะทำเป็นเนียนๆเฉยๆ ไปหาหมอเองคนเดียวแล้วค่อยไปขอโทษอีกฝ่ายทีหลัง แม้จะรู้สึกผิดที่ไม่รับความหวังดีของพี่นาฏยแต่ก็ดีกว่าต้องมานั่งห้ามใจไม่ให้ถลำลึกเข้าไปอีก
แม้ว่าจะไม่สามารถทำใจแข็งตัดใจได้อย่างที่อยากทำ แต่อย่างน้อยก็ไม่ให้ความรู้สึกที่มีมันมากขึ้นไปกว่านี้ ควรจะพอใจในสิ่งที่มี แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ มนุษย์ไม่เคยพอในสิ่งที่ตัวเองมี มีแต่จะขวนขวายหามาอีก บางทีนีคงเป็นสิ่งที่เขาเรียกกันว่า ความทุกข์ก็เป็นได้
ไม่พอใจในสิ่งตนมีก็เป็นทุกข์ เพราะงั้นควรจะพอใจในสิ่งที่เขาได้รับจากพี่นาฏยก็พอ
...ความหวังดีในฐานะรุ่นพี่รุ่นน้อง…
“มึงมั่นใจว่าจะไม่ให้กูไปเป็นเพื่อนพรุ่งนี้” อชิระถามขึ้น เขาส่ายหน้าเพราะรู้ว่าพรุ่งนี้เพื่อนมันไม่ว่าง “แล้วมึงจะไม่บอกพี่นาฏย?”
จันทร์เจ้านิ่งไปนิด “กูเกรงใจพี่เขา” เขาแกว่งขาแก้เมื่อยขณะนั่งเล่นอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนหน้าตึกเรียน มีต้นไม้ใหญ่คอยบังแดดให้ความร่มรื่น ลมยังพอมีพัดให้คลายร้อนบ้าง ก็สบายดี
อชิระยักไหล่ “แล้วแต่มึง” เขาไม่ก้าวก่ายเรื่องเพื่อนสนิทเท่าไร คอยมองดูอยู่ห่างๆมากกว่า
แต่ท่าทางดูเหมือนว่าเขาคงไม่ต้องดูแล้วก็ได้มั้ง นัยน์ตาคมของอชิระเห็นร่างสูงใหญ่กว่าตัวเองเล็กน้อยกำลังเดินมาทางโต๊ะ แต่จันทร์เจ้าไม่เห็นเพราะว่าอีกฝ่ายนั่งหันหลังให้
เพื่อนตัวเล็กยังคงเอาคางเกยกับโต๊ะจนแก้มป่องแนบไปกับโต๊ะ ท่าทางดูเกียจคร้านเหมือนกระต่ายขี้เบื่อ
“โต๊ะสกปรกเอาหน้าไปแนบทำไม?” จากกระต่ายขี้เบื่อสะดุ้งหูตั้งขึ้นมา ตากลมๆเบิกกว้างเมื่อหันไปเจอเจ้าของเสียง
มาวันไหนไม่มา มาวันนี้ และดูเหมือนว่าช่วงนี้จะเจอบ่อยเสียด้วย ทำไมจันทร์เจ้ารู้สึกเหมือนเด็กอนุบาลกำลังจะแอบแม่ออกไปซื้อลูกอมด้วยนะ หรือเพราะเขากำลังจะแอบพี่นาฏยไปหาหมอคนเดียวกันนะ
“พี่นาฏยสวัสดีครับ” อชิระเป็นฝ่ายทักทายก่อน รุ่นพี่ร่างสูงใหญ่พยักหน้า นาฏยยังคงยืนอยู่ไม่ได้นั่งลงแต่อย่างใด
“พี่นาฏย...” จันทร์เจ้ากลืนน้ำลายเอือก
“ผมจะมาบอกว่าพรุ่งนี้ผมว่าง เดี๋ยวผมพาไปหาหมอตามที่บอกไว้” ให้ตายสิ ซื้อหวยให้ถูกแบบนี้บ้างสิ “ผมไลน์มา แต่เห็นคุณไม่อ่าน ผ่านมาพอดีเลยมาบอก”
“อ่า...” หมดสิทธิ์แอบหนีไปคนเดียวเลย “ครับ”
และเพราะไม่รู้จะปฏิเสธยังไง วันถัดไปเขาถึงต้องมากับพี่นาฏยอย่างช่วยไม่ได้ เขาบอกโรงพยาบาลที่เขามาหาก่อนหน้านี้ พี่นาฏยก็ไม่ได้ว่าอะไรเพียงแต่ขับรถไปตามเส้นทางของโรงพยาบาล
“ความจริงผมมาเองก็ได้นะครับ” เขาเอ่ยทำลายความเงียบในรถ
คนขับไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่เหล่มามองนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็ยอมเปิดปาก “อืม ไม่เป็นไรหรอก ยังไงผมก็ว่าง”
ความจริงเขาอยากจะถามมาหลายครั้งแล้วว่า...เพราะอะไรพี่นาฏยถึงทำแบบนี้? เขารู้ว่าพี่นาฏยเป็นคนใจดีเสียแต่เข้ากับคนยาก เขารู้สึกตัวเองพิเศษกว่าคนอื่น แต่สุดท้ายอะไรบางอย่างก็บอกให้เขาอย่าคิดไปเอง หัวใจที่เคยฟูฟ่องก็ค่อยๆแฟบลงเหมือนโดนเจาะลม
เขาไม่กล้าถามเหตุผลด้วยว่าทำไม...แต่ถ้าขอแค่นี้ ก็คงไม่เป็นไรใช่ไหม?
พอมาถึงโรงพยาบาล เขาที่เคยทำประวัติไว้แล้วก็ไม่ต้องทำไรมาก บอกเคาน์เตอร์ว่ามาพบหมอคนไหน รอไม่นานก็ได้เข้า
ตรวจ หมอบอกว่าก็ดีขึ้นมาก เอาจริงๆคือเกือบหายสนิท ก็ไม่เป็นอะไรมาก ไม่นานหมอก็ปล่อยกลับบ้าน
จันทร์เจ้าเดินออกมาจากโรงพยาบาลกับนาฏย คนตัวเล็กไม่รู้จะพูดอะไร ใจจริงอยากจะชวนอีกฝ่ายไปหาอะไรกินก่อนกลับ กะว่าจะเลี้ยงข้าวรุ่นพี่ด้วยที่อุตส่าห์พามา แต่ปากหนักไม่กล้าพูด
“อืม...ไปเขาดินไหม?” แต่ขณะที่กำลังทะเลาะกับตัวเองในใจว่าจะเอายังไง เสียงทุ้มก็เรียกความสนใจของเขา
...เขาดิน?...
รู้สึกว่าจะไม่ได้ไปสวนสัตว์มานานแค่ไหนแล้วนะ? สี่ห้าปีหรืออาจจะมากกว่านั้น ครั้งล่าสุดที่ไปนี่คงเป็นช่วงมอต้นละมั้ง อีกอย่างไม่คิดว่าคนอย่างพี่นาฏยจะชวนไปเที่ยวที่แบบนี้
“ผมไม่มีปัญหา ยังไงก็ได้ครับ” แอบอมยิ้มนิดๆ คนสมัยนี้มีแต่ชวนไปดูหนัง กินข้าว เดินห้าง ไม่ค่อยมีใครชวนไปเที่ยวสวนสัตว์แล้วมั้ง ฮ่าๆ เขานึกว่าคนที่ไปสวนสัตว์เดี๋ยวนี้คงมีแต่โรงเรียนพานักเรียนไปทัศนศึกษาละมั้ง
สวนสัตว์ดุสิตหรือเขาดินตั้งอยู่บนถนนพระราม5 รถยนต์แล่นผ่านลานพระบรมรูปทรงม้า ไม่ได้มาแถวนี้นานมากๆแล้ว รถก็ยังแอบติดเหมือนเดิม นัยน์ตากลมโตเห็นรั้วสวนสัตว์ด็เริ่มตื่นเต้น เกาะขอบประตูไม่ห่างเหมือนอยากจะลงเดี๋ยวนั้น
“คุณดูตื่นเต้นนะ” เสียงคนขับทำให้คนถูกทักหันไปมอง ยิ้มแหะๆให้
“ผมไม่ได้มาเขาดินนานมากแล้ว เลยตื่นเต้นไปหน่อย” กลับมานั่งเจี๋ยมเจี๋ยมอยู่กับเบาะดีๆ
“หึ ผมมาครั้งล่าสุดนู่น สมัยป.6มั้ง” โห นานมากเลยน่ะนั่น
“ทำไมถึงอยู่ๆก็อยากมาละครับ”
“ไม่รู้สิ” นาฏยก็ตอบไม่ถูก คิดว่าทุกคนคงเคยเป็นที่อยู่ๆอยากจะไปเที่ยวย้อนวัยเด็กบ้าง บางทีห้างหรูๆ โรงหนังก็อาจจะน่าเบื่อแล้ว เปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็ดีไม่น้อย
วนหาที่จอดอยู่พักหนึ่งพอได้ที่จอดเสร็จก็เดินมาทางหน้าประตูขายบัตร ซื้อบัตรราคาผู้ใหญ่สองใบได้เรียบร้อย แม้ตอนแรกเสียเวลาเพราะแย่งกันจ่ายเงิน สุดท้ายพี่นาฏยก็ชิงยื่นเงินก่อน ทิ้งให้คนตัวเล็กกว่ายืนถือเงินเอ๋ออยู่คนเดียว
“เข้าไหม?” ร่างสูงใหญ่ยืนหน้านิ่งๆรออยู่หน้าทางเข้า โบกกระดาษตั๋วใบมา
ทำไมจันทร์เจ้ารู้สึกเหมือนกำลังโดนกวนตีนอยู่แหะ ยืนกระทืบเท้าปึกๆก่อนจะวิ่งตามไป
“พี่นาฏยจ่ายอีกแล้ว” เขาไม่ยอม
“เหอะน่าคุณ ผมชวนมาผมจ่าย” สั้นๆตามแบบฉบับนายหัวน้อยนาฏย
เออดี อยากจ่ายก็ให้จ่ายเลย คราวนี้ไม่เลี้ยงคืนด้วย เขาย่นจมูกใส่แผ่นหลังกว้าง
พอเข้ามาความร่มรื่นของบรรดาต้นไม้ก็ช่วยบังแดดได้อย่างดี มีลมเย็นๆพัดผ่านบ้างบางครั้ง แต่โดยรวมแล้วก็ยังร้อนอยู่ดี ยังมีกลิ่นสาบของสัตว์ลอยมาแตะจมูกเป็นครั้งคราว เป็นอารมณ์เดินสวนสัตว์จริงๆ โซนแรกที่เข้าไปดูก็คือพวกยีราฟและม้าลาย ยีราฟคอยาวส่ายคอไปมา จันทร์เจ้าถึงกับเกาะราวสะพานโค้งตัวลงไปมองด้านล่าง มีนกกระจอกเทศอยู่ด้วย
“ซนอีก ตกลงไปไม่ช่วยนะ” เสียงดุๆดังจากร่างสูงไม่ได้ทำใหคนตัวเล็กเลิกเกาะสะพานแต่อย่างเดียว ได้ยินเสียงแจ้วๆพูด
“ไม่ตกครับ ไม่ตก” หัวเราะชอบใจ “เหวอ...” ก่อนจะต้องร้องดังเมื่อตกใจ เพราะเจอยีราฟเข้ามา แม้จะไม่ใกล้มากเพราะมีที่กั้นแต่ก็ทำให้สะดุ้งเหมือนกัน เกือบล่วงลงไปแหนะ
“หึ” แล้วพี่นาฏยก็ไม่ช่วยตามที่บอกด้วย เอาแต่ยืนมองเฉย มีหัวเราะในลำคอแถมให้ด้วย
ฮึ้ย...มีใครบอกหน่อยสิพี่นาฏยโดนอะไรสิง ทำไมถึงได้กวนตีนขนาดนี้นะ ดูท่ายืนกอดอกเลิกคิ้วมองนั่นอีก มีใครบอกไหม? ฮึ้ยยย...ว่า...หล่อนะเว้ย ปากเล็กๆอุบอิบ แก้มขาวแดงเรื่อเพราะแดดเลียป่องเล็กน้อย
หลังจากผ่านโซนนั้น ทั้งสองคนก็เดินผ่านโซนกรงนกต่างๆ ลิงค่างเอย หมีขอหมีควายมาหมด
“เพื่อนคุณเปล่า?” มือใหญ่ชี้ไปที่กรงลิงหรือค่างนี่ละ ถามหน้าตาย
จันทร์เจ้าหน้าเหวอ ใครจะไปคิดว่าพี่นาฏยจะถามกวนตีนหน้าตายขนาดนี้ วันนี้เขาโดนมากี่ดอกแล้วเนี่ย “เพื่อนพี่มั้งครับ ผมว่า”
เพราะอะไรไม่รู้ถึงทำให้เขากล้าตอกกลับขนาดนี้ เพราะปกติเขาจะค่อนข้างเกร็ง ไม่กล้าคุยเล่นด้วย แต่ไม่รู้ทำไมถึงกล้ามากขึ้น อาจจะเป็นเพราะ...ความใจดีของพี่นาฏยในอีกมุมที่เขาไม่เคยสัมผัสก็ได้มั้ง
จันทร์เจ้าตะครุบปากปิดเมื่อเห็นร่างสูงมอง นัยน์ตาคมดุเป็นกระกายวับ
“อืม คงใช่ หน้าเหมือนไอ้เอ็ดเลยละ” แล้วก็หัวเราะออกมา เอ็ดมันคงจะจามอยู่ที่ไหนสักที่ก็ได้มั้ง
จันทร์เจ้าขำพรืดออกมา มีใครที่ไหนยอมรับด้วยว่ามีเพื่อนเป็นลิงเป็นค่าง เขายิ้มกว้างๆขำสุดเสียง นาฏยก็หัวเราะผสมไปด้วย คนเดินผ่านไปผ่านมาไม่รู้ว่าสองคนนี้หัวเราะเรื่องอะไร แต่ว่า...ทั้งสองคนดูสนุกสนาน
TBC.
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
มาแล้ว กิ๊บกิ๊วววววววว
กรี๊ดร้องงงงกับตอนเน้ ดูสกิลการขายของพี่นาฏยเสียก่อน พี่เขาพาไปเขาดินละตัวได้ยินไหมมมมมม
ดูนางขายของงงงงสิ น้องเจ้าไปไม่เป็นเลยยยย พ่อค้าแซ่บขนาดนี้ไม่ซื้อคงไม่ได้ ชิมิๆๆๆ อิ 
แอบเห็นมีคนแนะนำเมนูมา แต่ละเมนูน่ากินทั้งนั้น ทั้งน้องเจ้าราดน้ำผึ้ง น้องเจ้าชุบแป้งทอด (สงสัยน่ากินสำหรับพี่นาฏยคนเดียวละมั้ง ฮ่าๆๆๆ)
รักพี่นาฏยบวกเป็ด ชอบน้องเจ้าขาคอมเม้นโลดค่าาาาา อิอิ 
อ้อ แถมท้ายเล็กน้อย พี่่นาฏยนางฝากมาบอกว่า ชื่อนางไม่ต้องมีการันต์ที่ ย นะค่าาา นางชื่อ นาฏย เลยค่า
ปล. พรุ่งนี้จะไปนาโกย่าแล่วววววว มารอดูกันว่าจะได้ลงนิยายไหมมม ฮ่าๆๆๆ แต่จะพยายามมาให้ได้ค่า 
ปล.สอง. ลง วณิพกพเนจร ด้วย ไปตามกันได้ค่า
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55317.0
ปล.สาม. ไปทักทาย พูดคุยได้ที่เพจเฟสบุ้คเลยค่า
https://www.facebook.com/airin.arpo/?fref=ts
ปล.สี่. แอบเปลี่ยนสีทิ้งท้าย ฮ่าๆๆ