No Sugar ไม่หวานก็รักว่ะ >>ตอนพิเศษ ลอยกระทง [P.25]<<[03/11/60]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: No Sugar ไม่หวานก็รักว่ะ >>ตอนพิเศษ ลอยกระทง [P.25]<<[03/11/60]  (อ่าน 280957 ครั้ง)

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
จิ๊.... เนียนจับแขน
เนียนกินนมปั่น
เนียนป้อนนมปั่น
พี่ฟลอยด์ เจอคนที่ใช่แล้ว สิ :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ nu-tarn

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 800
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-6
ดูท่างานจะเข้าน้องต้อมซะแล้ว  :hao7:

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
พี่แกเนียนยิ่งกว่าพี่โชอีกนะ :hao7:

ออฟไลน์ aiaea83

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 676
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +494/-5
No Sugar : 03



         เช้าวันใหม่ ผมออกมายืดเส้นที่ริมระเบียง จำได้เลาๆ ว่าเมื่อคืนไอ้ลูกคนรวยนั่นโทรมาเย้ยเรื่องเบียร์ จากนั้นก็จำอะไรไม่ได้ มันวางไปตอนไหนหรือพูดอะไรก็จำไม่ได้อีก ที่แปลกใจคือ มันเอาเบอร์ผมมาจากไหน สะบัดหัวไล่ความคิดที่ฟุ้งซ่านก่อนจะอาบน้ำแต่งตัวไปเรียน

   ผมยังปั่นสุดหวงมาตามทางเรื่อยๆ แม้วันนี้รถจะติดไปหน่อย คงเพราะผมมาเรียนสาย เลี้ยวขวาเข้ามหาลัย ผ่านหลายตึก หลายคณะ นักศึกษาทั้งหนุ่มทั้งสาวเดินกันให้ขวักไขว่ หลายครั้งที่มีคนรู้จักตะโกนทักทาย แม้ผมจะไม่ใช่คนดัง แต่เพื่อนก็ยังพอมีบ้าง

   ปั่นสุดหวงมาถึงคณะ ใช้ขาเกี่ยวขาตั้งให้ตั้งคู่ ดูเหมือนมีอะไรผิดแปลกไปจากทุกที นั่นคงเพราะมีรถยี่ห้อนอกมาจอดอยู่ที่ลานจอดหน้าตึก ปกติคณะผมจะมีเฉพาะพวกอินดี้ขับเต่าบ้าง ฮาร์ดคอแว้นบิ๊กไบท์บ้าง น้อยมากที่จะมีคนอวดรวยขับรถนอกมาแบบนี้ หรือว่าผู้ปกครองปีหนึ่ง ไม่แน่ ปีนี้อาจมีลูกมหาเศรษฐีมาเรียนก็ได้

   เดินเข้าไปส่องกระจกนิดๆ รถติดฟิล์มซะดำทำให้มองไม่เห็นด้านใน ยักไหล่ไม่ใส่ใจแล้วจะเดินเข้าตึก แต่เสียงเปิดประตูพร้อมเสียงเรียกทำให้ต้องหยุดแล้วหันหลังไปมอง ตาผมฝาดหรือเปล่าวะ ไอ้บ้านี่ไม่น่าจะอยู่ตรงนี้ได้ มันน่าจะไปจอดหน้าตึกไอ้กลอยมากกว่า แล้วรถมันก็ไม่ใช่คันทุกที สะบัดหัวอีกรอบจะเดินเข้าไปในตึกแต่ก็ยังมีคนเรียกอีกรอบ

   “มาทำไมวะ” ผมถามออกไปพร้อมกับเดินมาประชันหน้า แม้จะต้องเงยมองนิดๆ ก็เถอะ

   “รอมึง” คำตอบเล่นเอาผมอ้าปากกว้าง

   “รอกู?” ชี้นิ้วเข้าตัวเอง มารอทำไม

   “อืม” มันพยักหน้ายืนยันอีกรอบ

   “มีอะไร” กอดอกยืนถาม พยายามให้ดูกวนตีนที่สุด ผมว่าไอ้นี่มันมาด้วยเหตุผลไม่ดีแน่นอน หรือมันอาจคิดว่าผมยังเป็นคู่แข่งเรื่องไอ้กลอย แต่ก็บอกไปแล้วว่าเป็นแค่เพื่อน อยากสู้ต้องไปนู้น พี่โชของไอ้กลอยนู้น

   “ก็อย่างที่มึงพูดไว้” ตั้งใจฟังมันพูด ตาคมจ้องหน้าผมนิ่งๆ “ให้หาคนที่ไม่มีใครมาแทน”

   “แล้ว?” ขมวดคิ้วมอง ผมไม่รู้ว่ามันอยากจะพูดอะไรกันแน่

   “ก็มึงไง”

   “อะไร”

   “คนไม่มีใครก็มึงไง”

   “คนไม่มีใคร? อะไรวะ กูงง ช่วยพูดให้มันยาวๆ ได้ป่ะ ทีด่ากูไฟแลบ” ผมด่ามัน มันกลับไม่ชักสีหน้าใส่เหมือนทุกที

   “ก็มึงบอกให้กูหาคนไม่มีใครมาคบแทนเพื่อนมึงไง” ผมพยักหน้าฟังมันพูด แต่ก็ยังไงงงๆ

   “ก็ใช่ กูพูดผิดเหรอ” มันส่ายหน้า จนผมต้องเกาหัวจนยุ่ง “แล้วมันอะไรวะ”

   “ก็มึงไง ไม่มีใคร แฟนก็ไม่มี เมียก็ไม่มี ผัวก็ไม่มี” อ้าปากค้าง มันด่าผมหรือเปล่าวะ...

   แต่เดี๋ยว ประโยคก่อนหน้าที่มันด่า คือผมไม่มีแฟนมันก็ใช่ ให้มันหาคนไม่มีแฟนมันก็ใช่อีก อ่าว ชิบหายละกู กว่าจะนึกออก
 
   “ไอ้เชี่ย อย่าบอกว่าจะจีบกู” มองมันอย่างขยะแขยง ไอ้เชี่ยนี่ คิดเลวๆ กับผมแน่

   “อ่าห๊ะ” ไอ้ฟลอยด์มันยกมือกอดอกจ้องผมแล้วพยักหน้า

   มันบ้าแน่ๆ

   “มึงเพี้ยนหรือเปล่า เที่ยวจิ้มเอาใครก็ได้มาคบ”

   “ถ้ากูจิ้มได้ มึงไม่มายืนด่ากูแบบนี้หรอก” ยังมีหน้ามาเถียง

   “เอาตรงๆ ไม่อ้อมคอม แบบแมนๆ เลยนะ” ผมสูดอากาศเข้าปอดก่อนมองหน้ามัน “กูไม่ได้ชอบมึง แล้วกูก็ไม่คิดจะมีแฟนด้วย โอเค๊”

   “แต่กูเลือกมึง” ลืมนึกไปว่ากำลังคุยกับไอ้ลูกคนรวยถูกเลี้ยงตามใจแต่เด็ก แต่แม่งหัวดื้อเกินไป

   “แต่กูไม่ใช่ตัวเลือกของมึง นู้น ไปรอเห่าไอ้เชี่ยกลอยเหมือนเดิมนู้น” ไม่น่าแกว่งเท้าหาเสี้ยนเลยผม ยุ่งไม่เข้าเรื่อง เกิดมาเป็นคนดีเกินไป

   “มึงบอกเองว่ามันมีแฟนไม่ควรยุ่ง” ใครก็ได้ช่วยหาล่ามให้ผมที ไอ้บ้านี่เริ่มคุยไม่รู้เรื่อง ไม่รู้พูดภาษาเดียวกันหรือเปล่า

   “มันก็ใช่ แต่คนไม่มีแฟนที่มึงเลือกต้องไม่ใช่กูไง” ไอ้ต้อมอยากจะบ้าตาย เกิดเป็นชายชาตรีมาจะยี่สิบปีเพิ่งเคยถูกผู้ชายแมนๆ มาขอจิ้ม เอ้ย จีบ

   “แต่กูเลือกมึงแล้ว มาบอกแค่นี้ ไปละ” เชี่ย แล้วมันก็ไปจริงๆ เปิดประตูรถแพงเข้าไปนั่งแล้วสตาร์ทรถออกไปเฉย พูดเองเออเองจนจบแล้วผมต้องทำยังไง ผู้หญิงยังไม่คิดจะจีบ มาโดนผู้ชายจีบ ไอ้ต้อมขอผูกคอตายใต้ต้นผักกาดขาวปลอดสารพิษดีกว่า

   ผมเดินเข้าตึกด้วยอาการมึนงง สงสัยต้องไปขอยาที่ห้องพยาบาลมาอัดสักเม็ด มันไม่ไหวจริงๆ ปวดหัวไปหมด แบบนี้ผมจะรับมือไอ้บ้านั่นยังไง พูดอะไรไปก็ไม่ยอมฟัง

   “เป็นไรวะมึง ปวดหัวเหรอ” ไอ้ดอยเดินมาตบบ่าผมที่นั่งกุมหัวอยู่ใต้ตึก ผมเงยหน้ามองมันแล้วพยักหน้าลง “กินยายังวะ ห้ามตายนะเว้ย เย็นนี้เข้าห้องเชียร์ด้วย” วันนี้ปีสามต้องลงห้องเชียร์ครับ ผมก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไร กลุ่มที่ทำเขาจัดเตรียมตั้งแต่ก่อนเปิดเทอมแล้ว พวกผมก็เป็นแค่ตัวประกอบเฉยๆ

   “เออน่า กูยังไหว” ผมยิ้มให้เพื่อน มันก็เออออก่อนโบกมือทักไอ้ป่านที่เดินหล่อมาแต่ไกล

   “มานานยังพวกมึง” ไอ้ป่านทักทาย ไอ้ดอยก็พยักหน้า “กูเพิ่งเอาขนมไปให้สาวมา” มิน่าวันนี้มันถึงแต่งตัวหล่อกว่าทุกที เซ็ทผมด้วย

   “แหม จีบเขาติดหรือยังเถอะ” ไอ้ดอยถามปนขำ ไอ้ป่านเคยจีบสาวแบบนี้บ่อย เหมือนจะได้แต่สุดท้ายก็แห้วไร่ใหญ่ๆ

   “โห ไอ้เชี่ยดอย ดักคอกูตลอด ขนาดไอ้ต้อมมันยังช่วยกูเลย”

   “ช่วยไรวะ” ไอ้ดอยทำหน้าอยากรู้อยากเห็น มันเอามือสองข้างมางัดหัวผมขึ้นจากที่นอนฟุบกับโต๊ะ “ไอ้ต้อมอุบเงียบนะมึง เล่ามาๆ”

   ไอ้ป่านมันขำจนมันนั่นแหละที่เล่าเรื่องทั้งหมด แถมเล่าเรื่องนมปั่นอีก ไอ้ดอยงัดหัวผมขึ้นมาอีกที มันจ้องผมตาโต

   “ไอ้พี่นั่นจีบมึงเหรอวะ” คำถามแทบเกือบสำลักน้ำลาย

   “จีบเหี้ยอะไร สโลแกนกูคือโสดแล้วรุ่งโว้ย” ด่ามันไป พอฟุบหน้าลงก็เห็นภาพไอ้คนบ้ามายืนหน้าตึกเมื่อกี้ มันชี้จิ้มเหมือนจิ้มโทรศัพท์มาที่ผม วาดๆ อะไรสักอย่างที่ผมไม่รู้ก่อนมันจะขึ้นรถไป

   คิดจะจีบผม มันคงได้แต่คิดนั่นแหละ พอเบื่อเดี๋ยวมันก็หายไป




   ตอนเที่ยงพวกผมยกโขยงไปกินข้าวที่โรงอาหารกลาง เห็นไอ้กลอยยืนต่อแถวร้านข้าวก็เลยเข้าไปทักทายสักหน่อย มันแต่งตัวปกติคงเลิกเป็นพี่เนียนแล้ว

   “เรื่องเมื่อวานโทษทีนะมึง” ผมขอโทษเสียงอ่อย ไม่ได้ตั้งใจให้ความมันแตก

   “ไม่เป็นไรมึง” มันตบบ่าผมพร้อมกับกัดฟันพูด โคตรเต็มใจว่ะเพื่อน

   “มึงไม่บอกนี่หว่า ว่าเป็นพี่เนียน คุยไลน์มึงก็ไม่บอก” ผมว่า ไอ้กลอยมันยู่ปากตามนิสัยของมัน

   “มึงเรียนคนละคณะกับกู แล้วกูต้องบอกมึงหรือเปล่า” น้ำเสียงงอนแต่หน้าตามันโคตรกวนตีน ดูก็รู้ว่าแกล้งทำ

   “ด่ากูอีก เอาน่าๆ งั้นมื้อนี้กูเลี้ยงเอง” ตามันวาวทันทีที่ได้ยิน นี่แฟนมันปล่อยให้อดอยากหรือเปล่า

   “แหมเพื่อนต้อม นิสัยดีจริงๆ” ดูมันครับ แล้วเราสองคนก็หัวเราะกัน มีคนมองมาแต่ไม่สน ก็นี่มันโรงอาหาร เสียงคุยดังกว่าพวกผมสองคนอีก

   พอถึงคิวพวกผม ไอ้กลอยก็หยิบจานของมัน ผมก็หยิบของผมพร้อมจ่ายเงินสองจาน ป้าแกก็ยิ้มๆ มากินบ่อยจนจำหน้าได้ แล้วเรื่องก็โคตรบังเอิญเมื่อเพื่อนผมไปนั่งรวมกับกลุ่มเพื่อนไอ้เกรียนนี่ สนุกสิแบบนั้น

   ไอ้กลอยมันเป็นพวกเส้นตื้น แค่เพื่อนมันเล่าอะไรนิดหน่อยก็หัวเราะจนข้าวกระเด็นออกจากปาก แบบนี้เหรอวะที่ไอ้ฟลอยด์มันชอบ แล้วพอเปลี่ยนมาเป็นไอ้ดอยเล่าเรื่องตลก ทีนี้ก็พากันหัวเราะทั้งโต๊ะ อยู่ๆ อีกด้านก็เงียบ ตาพวกมันจ้องไปด้านหลังผม พอหันไปก็เจอไอ้คนที่ผมเพิ่งนึกถึง? ไม่ๆ กล่าวถึง ไม่ๆ พูดถึง เออนั่นแหละ มันมายืนอยู่ด้านหลัง ตามันเหล่มองเหมือนหาเรื่องนิดๆ

   “ที่นี่โรงอาหาร ช่วยเงียบๆ หน่อย” มันปรายตามองไปรอบโต๊ะ ไอ้กลอยหันหน้าไปมองแล้วยิ้มแฉ่งให้ แต่มันไม่มองหน้าไอ้คนเกรียนเพราะเอาแต่จ้องหน้าผมนิ่ง หรือมันจะหาเรื่องวะ

   “ก็โรงอาหาร ใครเขาก็คุยกัน พี่ไม่ไปบอกทุกโต๊ะละครับ” ตอบมันไป มันหรี่ตานิดๆ

   “แต่โต๊ะนี้เสียงดังสุด” ยังมีหน้ามาพูด เสียงพวกผมแทบสู้ไม่ได้กับเสียงคุยของโต๊ะอื่นๆ

   “เหรอครับ ทำไมพวกผมไม่รู้” จ้องหน้ากลับไปอย่างไม่กลัว แค่มากวนมากกว่า

ไอ้กลอยมันคงเห็นท่าไม่ดีเลยรีบตอบ “เออ พวกผมขอโทษนะครับ” ไอ้คนที่เอาแต่จ้องหน้าผมเลยเบนสายตาไปมองไอ้กลอยแทน มันยิ้มให้นิดๆ

   “ไม่เป็นไร” พูดกับไอ้กลอยแล้วยังเหล่ตามามองผมอีก พอมันเดินไปไกล ไอ้กลอยก็ตบบ่าผมเบาๆ คงกลัวผมโมโห เพราะปกติผมไม่เคยโต้ตอบใครแบบนี้ อาจจะมีแต่ไม่มีใครเห็น

   แยกย้ายจากพวกเด็กศิลปกรรม พวกผมก็กลับมาที่คณะ เพราะยังมีเรียนอีกวิชา ก่อนตอนเย็นจะต้องเข้าห้องเชียร์ นั่งเรียนบ้างหลับบ้างจนมือถือในกางเกงสั่นเตือนเหมือนมีข้อความเข้า พอหยิบออกมาเป็นไอ้คนที่หาเรื่องในโรงอาหารเมื่อกี้ มันส่งสติ๊กเกอร์หมีส่งสายตาเอือมมาให้ ผมเลยส่งตัวโมโหกลับไป มันก็ส่งกลับเป็นตัวหัวเราะ เออว่ะ ส่งแต่สติ๊กเกอร์จะคุยรู้เรื่องมั้ยวะ

   ‘ว่างมากเหรอมึง’ พิมพ์ถามมันไป แล้วก็ขึ้นว่าอ่านแล้ว

   ‘มาก’ มันลากกอไก่โคตรยาวมาจนต้องส่งสติ๊กเกอร์คนโมโหไป ‘ทำอะไรอยู่’

   ‘เรียนสิวะ กูไม่ได้ว่างเหมือนมึง’

   ‘ตั้งใจเรียนหน่อย มัวแต่พิมพ์ไลน์เดี๋ยวมึงก็เรียนไม่รู้เรื่อง’

   แทบอยากจะปามือถือทิ้ง แล้วใครวะมันทักมาก่อน

   ‘เออ’ จากนั้นมันก็เงียบไปจนผมจะเก็บมือถือ แต่แรงสั่นทำให้ต้องเปิดดู

   ‘เย็นนี้มึงกลับยังไง’ ผมส่งรูปสุดหวงไปให้มันดู มันก็ส่งสติ๊กเกอร์ตัวพยักหน้ามา ‘เอาทิ้งไว้ที่นี่แหละ แล้วกลับกับกู’ ไอ้เชี่ยนี่มันบ้าแน่ ผมเลยส่งตัวสติ๊กเกอร์ยกมือกากบาทให้ไปแล้วเก็บยัดกระเป๋า ก่อนไอ้เชี่ยป่านจะสะกิดจนต้องหันไปมอง

   “มีอะไร” ถามมันไป

   “คุยกับใครวะ” หน้าตามันโคตรอยากรู้ หรือว่าไอ้ป่านเอาให้วะ

   “มึงได้เอาไลน์กูให้ใครหรือเปล่า” ถามมันเสียงเครียด ไอ้ป่านรีบส่ายหน้า

   “เปล่านะมึง กูจะเอาของมึงให้ใคร” จ้องหน้าเพื่อนตัวเองอย่างจับผิด แต่ท่าทางไม่มีพิรุธอะไร แล้วใครวะที่เอาให้ “ทำไมวะ มีคนไลน์มาจีบมึงเหรอ” มองนิ่งใส่ ไอ้ป่านเลยรีบหันไปที่อื่น

   พออาจารย์เลิกคราส พวกผมก็พากันยืดเส้น นั่งนานๆ ก็ปวดเมื่อยไปหมด เก็บข้าวของใส่กระเป๋าแล้วเดินตามเพื่อนออกไป ไอ้ป่านกอดคอผม ปากมันก็เล่าเรื่องราวที่กำลังตามจีบครีม ไม่อยากจะเชื่อว่าครีมจะยอมคุยด้วย ถ้าหลงหน้าตามันก็น่าคิด แต่อย่างครีม สาวสวยแบบนั้นน่าจะมีคนเข้าหาเยอะ แล้วน่าจะดีกว่าไอ้ป่านอีก ไม่ใช่ผมว่าเพื่อนนะ แต่คนรวยมันก็น่าจะมีตัวเลือกเยอะ

   เดินลงจากบันไดไปหน้าตึก ผมเห็นหลายคนยืนชี้ๆ ออกไปนอกตึก พวกมันมองอะไรกันวะ

   “มีไรวะ” ไอ้ดอยถาม ไอ้หนุ่ยมันหันมามองพวกผมตาโต

   “เชี่ย เฟอรารี่รุ่นใหม่ว่ะ กูเพิ่งเห็นในเว็บไม่กี่วันมานี้ แพงกว่าที่ดินบ้านกูอีก” ผมมองหน้าเพื่อนตัวเองอย่างงงๆ กะอีแค่รถแพงจะตกใจทำไม คนรวยมันก็ซื้อได้หมดแหละ แต่พอเดินออกมาก็แทบตะลึง

   ไม่ได้ตะลึงรถหรอก แต่ตะลึงไอ้คนที่มายืนพิงรถต่างหาก มันสวมเสื้อยืดสีดำกับกางเกงยีนส์สีซีด หน้าตางั้นๆ มีแว่นตาสีชาปิดบังดวงตาที่กำลังมองหาอะไรสักอย่าง ผมค่อยๆ ถอยหลังเมื่อรู้สึกถึงแรงกดดันบางอย่าง แถมตอนนี้ขาไอ้เจ้าของรถมันเริ่มออกเดินมาทางกลุ่มคนที่ยืนอออยู่หน้าตึก

   “กลับยัง” ถอยหลังได้นิดเดียว ไอ้ลูกคนรวยมันก็ก้าวขายาวมายืนตรงหน้า

   มันถามผมหรือใครวะ

   ไอ้ป่านดันผมให้ไปยืนตรงหน้ามันโดยมีสายตาเกือบๆ ห้าสิบคู่จ้องดู ไอ้ฟลอยด์มันใช้นิ้วเกี่ยวแว่นราคาแพงร่นมาอยู่ที่กลางดั้ง ปากแดงเหยียดยิ้มนิดๆ แทบทำให้สาวๆ คณะผมระทวย

   “ถามใครวะ” ผมโพล่งขึ้น สายตาหลายคู่เลยพุ่งเข้ามาหาผมโดยตรง กดดันเชี่ย

   “ถามมึงนั่นแหละ กลับยัง” ส่ายหน้าเป็นพัลวันเลยไอ้ต้อม “เร็ว” ดูมันยังเร่ง คิ้วเริ่มขมวด

   “กูไม่ได้บอกจะกลับพร้อมมึงเลย มั่วสัด” เสียงซุบซิบเรื่องผมกับไอ้บ้านี่ดังไปทั่ว หมดกันความสงบของผม

   “ทำไมไม่อยากกลับพร้อมกู” ทำเสียงอ่อยจนผมโดนเพื่อนผู้หญิงในคณะตะโกนบอกว่าผมใจร้ายทำร้ายคนหล่อ เออ เอาเข้าไป ไอ้ต้อมผิดอีก

   “มึงจะอะไรกับกูวะ” ผมขยับปากเพื่อให้มันอ่าน แต่มันกลับหัวเราะ

   “เร็วๆ” เร่งกูทำไม

   “ไม่โว้ย กูต้องเข้าห้องเชียร์” ผมบอก ตาคอยมองเพื่อนตัวเองที่มันยิ้มแปลกๆ แต่ไม่น่าสนใจเท่ามีคนเอามือถือมาถ่ายคลิป
 
   “งั้นเดี๋ยวกูรอก็ได้” ทำน้ำเสียงโคตรน่าสงสารจนผมโดนด่าอีกรอบ โอ้ย ไอ้ต้อม ชีวิตมึงพังแล้ว

   “ไม่ต้องรอ กูปั่นสุดหวงมา” ยังเถียงกลับ ก่อนจะไล่ต้อนเพื่อนตัวเองเมื่อถึงเวลาเข้าห้องเชียร์ แอบมองไอ้ลูกคนรวย มันหน้างอแล้วเดินกลับไปที่รถ ใบหน้างั้นๆ หันไปยิ้มให้กล้องที่กำลังถ่าย มันบ้าแล้ว

   ผมถูกล้อจนแทบอยากมุดดินหนี ขนาดปีสองมันยังแซว พี่ปีสี่อีก แล้วพี่บางคนรู้จักมันด้วย ขอบอกว่าไอ้ต้อมเละครับ โดนถามยันวินาทีที่รู้จักมัน



   เข้าห้องเชียร์จนถึงห้ามทุ่ม พอออกจากห้องก็ลองเดินมาดูตรงลาน รถที่จอดกลายเป็นรถที่เคยเห็นทุกที สงสัยจะเอาคันนั้นไปเก็บ ลูกคนรวยมักชอบอวดรวย พอคนในรถเห็นผมมันก็รีบเปิดประตูออกมา ผมก็ทำหน้านิ่งๆ ควบสุดหวงเตรียมปั่นกลับหอ แต่ทำไมมันฝืดๆ ปั่นไม่ค่อยไปวะ

   ชิบหาย ยางแบนแบบไร้ลมทั้งหน้าและหลัง เมื่อเช้าล้อมันยังแข็งโป๊กอยู่เลย ไม่น่าจะโดนอะไรทิ่มทั้งหน้าและหลังแบบนี้ มันมีอยู่สาเหตุเดียว

   “มึงปล่อยลมยางสุดหวงเหรอวะ” ผมถามเสียงเขียว มันกอดอกพยักหน้ายอมรับ เออ มันก็ลูกผู้ชายดี “ทำๆ ไมวะ แล้วกูจะกลับยังไง” ห้าทุ่มแบบนี้จะหาร้านเติมลมจากที่ไหน แล้วไอ้ป่านกับไอ้ดอยก็กลับไปแล้ว

   “กลับกับกูไง” มันยังยืนยันเหมือนเดิม จนผมเกาหัวจนผมฟู

   “มึงจะจีบกูทำไมเนี้ย คนอื่นมีเป็นร้อยเป็นพันทำไมมึงไม่ไปชอบ” เริ่มโวยวาย “มึงดู กูไม่ได้น่ารักแบบไอ้กลอย หน้าก็หยาบ มือก็ด้าน ตัวก็ดำ นิสัยก็เหี้ย”

   “แล้ว?”

   “ก็มันไม่เหมาะกับลูกคนรวยแบบมึงไง แล้วกูก็ไม่ได้อยากมีแฟน จบ”




   จบครับ จบจริงๆ แต่เป็นผมนี่แหละ แม่งถูกมันตีหน้าตายดึงขึ้นรถ แล้วเอาสุดหวงไปจอดที่เดิม ผมไม่เคยทิ้งสุดหวงไว้ที่อื่นเลยนะ ได้แต่เป็นห่วง ดูชื่อที่ตั้งให้ก็น่าจะรู้ว่าหวงขนาดไหน แต่ไอ้บ้านี่กล้าทิ้งลูกรักของผมไว้หน้าคณะ

   “หอกูอยู่ทางนู้น” ผมชี้ไปอีกทาง แต่มันเลี้ยวอีกทาง โคตรกวนตีน

   “กูรอมึงตั้งแต่เย็นจนห้าทุ่ม ยังไม่ได้กินข้าว” มันบอก ตอนแรกก็ไม่ได้อยากเชื่อ แต่เสียงร้องท้องมันยืนยันเลยฮึดฮัดไป “ร้านนั้นมั้ย” มันชี้ไปที่ร้านก๋วยเตี๋ยวรถเข็น ผมก็พยักหน้า ไม่คิดว่าลูกคุณหนูอย่างมันจะกินอาหารข้างทางด้วย

   พอจอดรถ เราสองคนก็เดินไปนั่งที่โต๊ะ ผมตะโกนสั่งบะหมี่เกี๊ยว ไอ้ตรงหน้าก็สั่งแบบเดียวกับผม จากนั้นก็เริ่มนั่งจ้องหน้ากัน ผมจ้องหน้ามันนิ่งๆ พยายามมองไอ้ลูกคนรวยว่ามันกำลังแกล้งผมอยู่หรือเปล่า หน้าตางั้นๆ มันก็จ้องผมนิ่ง ดูเหมือนจะสำรวจผมซะด้วย เงียบกันอยู่นานจนบะหมี่มาเสิร์ฟ

   ตักน้ำตาลหนึ่งช้อน พริกป่นสองช้อน ผมกำลังตักพริกป่นช้อนที่สองแต่ถูกแย่งไปเฉย ไอ้คนแย่งมันขมวดคิ้วแล้วเอาช้อนที่มีพริกใส่ไว้ที่เดิม

   “อะไรของมึงวะ” ทำไมมันชอบหาเรื่องผมวะ

   “กินเผ็ดเดี๋ยวก็ปวดท้อง นี่ดึกแล้ว” มันว่า ถ้วยมันไม่ปรุงอะไรสักอย่าง กินแบบจืดชืด

   “เรื่องของกู” พอจะยื่นมือไปตักก็โดนมือตีจนต้องสะบัดไล่ความเจ็บ ฟาดซะแรง “จะกวนโมโหกูไปถึงเมื่อไหร่วะ” เริ่มหมดความอดทน

   “ก็จนกว่ามึงจะคบกับกู” ลอยหน้าลอยตาพูด จนอยากจะยกบะหมี่ให้

   “ไม่อยากจะพูดแล้ว” กัดฟันตอบโต้มันไป

   บะหมี่รสชาติไม่ค่อยถูกปาก ปกติผมเป็นคนกินเผ็ด พอกินแบบนี้เลยไม่ค่อยเจริญอาหารเท่าไหร่ อีกอย่าง ผมไม่กินเกี๊ยวเพราะมันเคยทำให้ผมเกือบตายจากการหลุดเข้าคอมาแล้ว คนตรงหน้าเห็นผมเหลือแต่เกี๊ยวมันก็จ้องหน้า ผมเลยคีบใส่ในถ้วยมัน
 
   “ไม่กิน?”

   “อืม” คาบเส้นบะหมี่แล้วพยักหน้า

   “ถ้าไม่มีกู เกี๊ยวนั้นก็จะเหลือ คนเขาอุตส่าห์ทำมาให้กินกลับต้องทิ้ง” ได้ยินเลยจะคีบกลับแต่มันกลับคีบเข้าปาก แล้วเคี้ยวตุ้ยๆ

   “กวนตีน” ด่ามัน

   “เฉพาะกับมึงเท่านั้นแหละ” แนะ มีหยอดซะด้วย แต่ไอ้ต้อมไม่หลงกลง่ายๆ หรอก

   “เอาที่สบายใจ”

   มื้อนี้อิ่มแถมตังค์อยู่ครบ

   “กลับเลยมั้ย” คนเลี้ยงข้าวถาม ผมเลยพยักหน้าตอบ “หอมึงอยู่ไหน”

   “อยู่ตรงที่มึงเคยถอยรถจะชนกูนั่นแหละ” นึกถึงแล้วยังโมโหไม่หาย ถ้าเกิดผมล้มนะ โดนทับแน่ แต่ไอ้คนทำกลับหัวเราะขึ้นมาเฉย “ขำไรวะ”

   “เปล๊า” เสียงสูงเชี่ย

   รถยี่ห้อแพงจอดเทียบหน้าหอพักของผม ก็ไม่ได้อยากพูด แต่ก็ดูจะไม่ดี

   “ขอบคุณ” บอกห้วนๆ

   “พรุ่งนี้เรียนกี่โมง” ผมหันไปมองขณะกำลังจะออกจากตัวรถ

   “สิบโมง ทำไม”

   “เดี๋ยวกูมารับ”

   “ไม่ต้อง เดี๋ยวกูขี่สุดเท่ไป” สุดเท่คือชื่อมอเตอร์ไซค์เก่าๆ ของผมครับ เห็นมันขมวดคิ้วนิดๆ คงจะสงสัยชื่อ “มอเตอร์ไซค์กู”

   “ถ้ามึงขี่ไปแล้วเศษเหล็กนั่นล่ะจะเอากลับมายังไง” เออว่ะ ลืมคิด

   “เออๆ งั้นพรุ่งนี้มารับกูด้วย โทษฐานที่มึงปล่อยลมยางรถกู” พอได้ยินมันก็ยิ้มร่าจนอดที่จะถามอีกไม่ได้ “เอาจริงๆ นะ จะจีบกูจริงเหรอวะ”

   “มึงถามกูเป็นสิบรอบแล้ว และกูก็ตอบแบบเดิมนั่นแหละ”
 
   “ทำไมวะ กูไม่ได้น่าพิศวาส ไม่น่าใช่สเป็กให้มึงมาอ่อยเรี่ยราดแบบนี้” ไอ้คนขี้อ่อยมันเลิกคิ้วขึ้นแล้วก็ขำ

   “กูอ่อยเฉพาะคนที่กูสนใจ”

   “เอาที่มึงสบายใจ” บอกปัดๆ แล้วรีบลงจากรถ ไอ้ฟลอยด์ยิ้มแล้วโบกมือให้ ผมเลยพยักหน้ารับแล้วยืนมองไฟสีแดงท้ายรถที่ค่อยๆ หายไป



   จงหาความสุขสงบให้มาก ก่อนที่มันจะไม่มีโอกาสนั้น (ผมเขียนโน้ตติดหน้ากระจกไว้เตือนตัวเอง) ก่อนหันไปสนใจแสงวาบจากหน้าจอมือถือ

   ‘ฝันดี พรุ่งนี้เจอกันครับ’ ส่งสติ๊กเกอร์ลิงหลับไปแต่พลาดไปโดนลิงส่งจูบ ชิบหาย ‘อยากได้จูบจริงๆ มากกว่า’

   ปามือถือลงเตียงแทบไม่ทัน ต้องทนข้อความเสี่ยวๆ กับการอ่อยเรี่ยราดไปถึงเมื่อไหร่ ไอ้ต้อมปวดหัว     


...TBC   


ตอนที่ 3 ค่าาา เจอกันใหม่ตอนหน้าเด้อค่าเด้อ

 :mew1: :mew1: :mew1:


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-09-2016 10:17:33 โดย aiaea83 »

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
โหหหหหห พี่ฟลอยด์เดินหน้าไม่หยุดเลยวุ้ย 555555 :hao3:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
ตอนนี้ต้อมอาจมือหยาบหน้าก็สากยิ่งกว่ากระดาษทรายรอพี่ฟลอยด์จีบติดเมื่อไหร่พี่แกคงซื้อนู่นนี่นั่นมาบำรุงให้

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ แฟนตาเซีย

  • หืมม...?
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 557
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
ทำไมพี่ฟลอยด์ดูมึนงี้อะ พี่ฟลอยด์คนเท่หายไปไหน ฮ่าๆๆๆ

ออฟไลน์ nu-tarn

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 800
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-6
บทจะรุกก็รุกหนักเลยนะพี่ฟลอยด์
อย่างนี้คือตีมึนเข้าหาน้องต้อมลูกเดียว  :hao7:

ออฟไลน์ leemmm

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-6
พี่ฟล์อยรีบรุกจีบต้อมให้ติดเร็วๆๆนะ ก่อนจะมีเทพบุตรสุดหล่อผุ้แสนดีมารุกจีบกลอยอีกคน คู่แข่งอันสูสีของพี่ฟล์อยเลยนะ ยังไงก็เชียร์พี่ฟล์อยสุดหล่อและสุดมึนนะ :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ bulldog17

  • ❤GOT7
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +265/-12
จากพี่ฝอยเป็นพี่ฟลอยด์
แจ่มมมมมมม

ออฟไลน์ gupalz

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4911
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +604/-20
พี่ฝอยแกขี้อ่อยมาก

ออฟไลน์ anandawan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
พี่ฝอย นายแมนมาก

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
รุกให้หนักนะพี่ฟลอยด์

 :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
เพิ่งเห็นอ่ะ ตามโลดดด

ออฟไลน์ aiaea83

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 676
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +494/-5
No Sugar : 04



        ‘คนดัง’ ผมเพิ่งรู้วันนี้เองว่าเขารู้สึกยังไงกับการถูกรุกล้ำเรื่องส่วนตัว การตามติดทุกฝีก้าว ขนาดจะกินข้าวยังถูกแอบมอง ไม่สิ ต้องเรียกว่ามองตรงๆ เลยมากกว่า ที่เป็นแบบนี้เพราะมันมีคลิปที่ถูกปล่อยในเพจมหาลัย ไม่ใช่แค่หนึ่งแต่มีเป็นสิบ

   “ไง คนดังข้ามคืนของเรา” ไอ้นัยมันเดินมาตบไหล่ของผม ตามันมองไปรอบๆ วันนี้พวกผมดันมากินที่โรงอาหารกลางอีก
 
   “อะไรของมึงวะไอ้นัย” ไอ้ดอยมันพึ่งได้ข้าวแล้วมานั่งลงตรงข้ามกับผม

   “ก็คลิปไอ้ต้อมถูกรุ่นพี่บริหารดีกรีเดือนมหาลัยจีบหน้าตึกเกษตรเมื่อวานไง เพื่อนมึงคนนี้กลายเป็นคนดังข้ามคืนไปแล้วเรียบร้อย” ไอ้นัยทำตาเล็กตาน้อยมองผม แม่งโคตรอยากเอาส้อมจิ้มให้มันบอด

   “อ๋อ กูเห็นละ” ไอ้ดอยมันพยักหน้าทำท่าเฉยๆ

   “กูก็เห็น มึงก็อยู่ในเหตุการณ์ยังตื่นเต้นทำเชี่ย” ไอ้ป่านด่าครับ แต่ผมไม่พูดอะไรสักอย่าง “แล้วมึงไม่พูดอะไรเหรอวะไอ้ต้อม”

   “พูดอะไร” ย้อนไปแบบเรียบๆ เราต้องทำตัวเป็นปกติสยบความเคลื่อนไหวทุกอย่าง แม้จะแอบเหล่มองบ้างเป็นระยะๆ

   “แหม เรื่องไอ้พี่คนนั้นไง” ไอ้ป่านทำเสียงสูง “กูเหมือนเคยเห็นพี่คนนี้จากไหนสักที่”

   “มึงเคยเจอที่ไหนวะ” ไอ้นัยมันสอด

   “จำไม่ได้ว่ะ”

   “อ่าว ไอ้เชี่ยป่าน”

   ผมไม่สนใจ ผมก็เป็นไอ้ต้อมผู้ชายบ้านๆ เหมือนเดิม เอ่อ ไม่ต้องยกมือถือขึ้นมาถ่ายก็ได้ ผมไม่ได้หล่อขนาดนั้น ผู้หญิงกลุ่มตรงหน้าเกือบสิบคนพากันยกมือถือมาถ่ายผม แถมยังซุบซิบๆ คุยหัวเราะจนผมเริ่มระแวง ผมลืมโกนหนวดหรือเปล่า ว่าแล้วก็ยกมือลูบหน้าตัวเอง

   “เป็นไรวะ” ไอ้ดอยมันถามผม ผมส่ายหน้าตอบมันแทน

   นั่งกินอยู่อีกสักหน่อย เสียงกรี๊ดเบาๆ ดังจากประตูด้านหลังของโรงอาหาร คนของคณะบริหารครับ ที่รู้เพราะหนึ่งในนั้นมีไอ้ตัวต้นเรื่องเดินมาด้วย มันเดินก้มหน้ากดมือถือยิกๆ ไม่สนเพื่อนมันที่เฮฮาหัวเราะกัน เห็นสาวๆ กลุ่มตรงหน้าผมหันไปมองมันสลับกับมองผม เสียวสันหลังแปลกๆ ผมว่า ต้องอิ่มแล้วล่ะ

   “เอ่อมึง กูขึ้นตึกก่อนนะ เจอกันๆ ฝากจานด้วย” พูดด้วยความเร็วแล้วรีบย่องออกไป มือถือในกระเป๋าสั่นๆ คงเป็นข้อความจากไอ้คนก้มหน้ากดยิกๆ นั่นแหละ แต่ผมไม่สน หนีก่อน ที่นี่คนเยอะกว่าคณะผมซะอีก แล้วไอ้นั่นก็เป็นพวกไม่สนคนอื่น ไม่อย่างนั้นมันคงไม่ไปจีบ เอ้ย หาเรื่องผมหน้าตึกขนาดนั้น

   พ้นจากโรงอาหารมาได้ถึงกับต้องถอนหายใจ เริ่มอยู่ในมหาลัยนี้ยากขึ้นแล้วล่ะ จะกินข้าวที่คณะก็เบื่อ มากินโรงอาหารกลางคนก็มอง ชีวิตผิดเพี้ยนเพราะไอ้ลูกคนรวยนั่น ไอ้ฟลอ...ฟลอยด์ เชี่ย ผมหันไปเจอมันยืนหน้าบึ้งอยู่ด้านหลัง มันเดินตามผมมาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ

   “...” ผมเงียบไม่ยอมพูด มันก็จ้องหน้านิ่ง

   “หนีกูทำไม” เสียงโคตรนิ่ง

   “ใครหนี กูไม่ได้หนี” เหมือนแถเลยว่ะ ปกติผมไม่ได้เป็นคนแบบนี้นะ มันไม่ยอมพูดต่อแต่จ้องผมแทน “แล้วมีอะไร”

   “มึงหนีกูทำไม” บ๊ะ ไอ้นี่ ย้ำคิดย้ำทำเหรอวะ คนก็เริ่มมองแล้วด้วย โดยเฉพาะสาวๆ กลุ่มที่นั่งอยู่โต๊ะด้านหน้าผมเมื่อกี้ คงเดินตามกันออกมาสินะ

   “เออ กูหนีมึง มึงไม่เห็นเหรอคนเขามองยังไง” ผมกระซิบบอกตามตรง ไม่ได้อายนะ แต่ไม่ชอบคนมองแบบแปลกๆ สายตาพวกเขามองเหมือนมีอะไรสักอย่าง

   “มองยังไงก็ช่าง กูไม่สน แล้วมึงจะสนทำไม” โห ไอ้นี่

   “ก็กูเป็นไอ้ต้อมไง กูเลยต้องสน” ให้มันจบตรงนี้แหละวะ “มึงไม่แคร์ใครก็เรื่องของมึง แต่กูแคร์ มึงดู” ผมชี้ไปที่กลุ่มสาวๆ ที่ยกมือถือถ่ายรัวๆ “เห็นมั้ย ว่าพวกเขาสนใจเรื่องนี้มากแค่ไหน ไม่ว่ากูจะเดินไปไหนก็มีแต่คนมอง กูไม่ชอบ”

   ไอ้ฟลอยด์มันนิ่งมาก มากซะจนผมเริ่มกลัว อยู่ๆ มันก็ถอนหายใจออกมาแล้วหันหลังเดินไป จบแล้วสินะ...ซะเมื่อไหร่ มันเดินไปหากลุ่มสาวๆ กลุ่มนั้น ผมเบิกตากว้างรีบก้าวตามไป

   “พวกคุณต้องการอะไร” ไอ้ฟลอยด์มันถามกลุ่มสาวๆ กลุ่มนั้นครับ ทุกคนก็มองหน้ากันเลิกลัก

   “คือพวกเราแค่เป็นแฟนคลับค่ะ” ผมทำหน้างง แฟนคลับผมเนี่ยนะ “คือพวกเราเป็นแอดมินเพจคู่ของพี่ฟลอยด์กับพี่ต้อมค่ะ” ยิ้มแฉ่งพร้อมชูสองนิ้ว

   “อะไรคือเพจคู่” ไอ้ฟลอยด์มันสงสัยเหมือนผมเลยครับ สาวๆ เลยหยิบไอแพดออกมาแล้วจิ้มๆ ไม่นานก็ยื่นให้ ผมยื่นหน้าไปมองหน้าจอ เพจแบบนี้เหมือนเคยเห็นของไอ้กลอยกับแฟนมันเลยว่ะ

   “นี่เหมือนของไอ้กลอยหรือเปล่า” ผมถามออกไป สาวๆ รีบพยักหน้ารับกันใหญ่ นั่นไง ผมตกไปอยู่ในดงของกลุ่มสาวที่เรียกตัวเองว่า สาววาย “แต่พี่ไม่ใช่นะเฮ้ย” รีบโวยวาย ไอ้ฟลอยด์ยื่นไอแพดคืนให้

   “แหมพี่ต้อมคะ ไม่ต้องเขินหรอกค่ะ กลุ่มพี่แอดมินเพจคู่พี่กลอยก็บอกว่า ตอนแรกพี่กลอยปฏิเสธเสียงแข็ง สุดท้ายก็โป๊ะเช๊ะ” พูดแล้วก็พากันหัวเราะ อะไรคือโป๊ะเช๊ะวะ

   “เฮ้ย แต่พี่ไม่ใช่นะครับ” รีบสะกิดไอ้คนข้างๆ ที่เริ่มทำให้เรื่องวุ่นวายที่ใต้ตึกวันนั้น ไอ้ฟลอยด์มองผมแปบหนึ่งก่อนจะหันไปมองสาวๆ

   “ขอบคุณนะครับที่ชอบคู่เรา” รอยยิ้มที่อ่อนโยน ก่อนจะดุขึ้นจนผมยังแอบหวั่น “แต่ว่า จะถ่ายรูปหรือทำอะไรให้บอกกันก่อน เพราะบางครั้งมันรบกวนชีวิตส่วนตัวมากจนเกินไป หวังว่าพวกคุณคงจะเข้าใจ” น้ำเสียงนิ่งๆ เหมือนจะกดดัน แต่สาวๆ กลับยิ้มออกมาเฉยแล้วพากันพยักหน้ารัวๆ

   “ได้ค่ะ ต่อไปเราจะขออนุญาตก่อนที่จะถ่ายนะคะ” เดี๋ยว เริ่มไม่ใช่แล้ว

   “พี่ฟลอยด์สู้ๆ นะคะ” นั่น ให้กำลังใจมันเฉย

   “พี่ต้อมห้ามใจร้ายกับพี่ฟลอยด์นะคะ” อ่าว ว่าผมเฉย

   “รักกันนานนะคะ” เสียงเกือบสิบเสียงพูดพร้อมกันจนตกใจ แล้วทุกคนก็พากันวิ่งหนีไปเฉย

   อะไรวะ

   “ตลกว่ะ” ผมเหลือบไปมองไอ้คนบอกว่ามันตลก

   “ตรงไหนวะ” ข้องใจมากตอนนี้

   “ตรงที่เขาบอกมึงใจร้ายไง”

   “กูใจร้ายตรงไหน”

   “ก็ตรงที่มึงไม่ยอมคบกับกูสักที” เดินหนีออกมาทันที เบื่อที่จะคุยกับมันแล้ว ผมว่า มันต้องเพี้ยนแน่ๆ หรืออกหักจากไอ้กลอยจนบ้า หรือทำเพื่อประชดใคร แต่พอยิ่งคิดมากๆ เข้า ผมว่า ผมนี่แหละจะเพี้ยนเอง 

   เดินกลับมาคณะ เจอไอ้ดอยกับไอ้ป่านนั่งรออยู่แล้ว พวกมันกินขนมจนซองแม่งเต็มโต๊ะ พอพวกมันเห็นผมก็รีบกวักมือ

   “ไหนบอกขึ้นตึก หายหัวไปไหนมา” ไอ้ดอยทัก มือก็แกะถุงขนมร้านดัง

   “พวกมึงไปซื้อขนมจากที่ไหนมาวะ” ชื่อร้านแต่ละถุงไม่น่าจะอยู่แถวนี้ ผมนั่งลงข้างไอ้ป่าน มันก็กำลังกินอย่างสุขใจ ดูได้จากหน้ามันโคตรมีความสุข

   “จากแฟนคลับมึงไง” ไอ้ป่านว่า ผมเบิกตามองเพื่อนตัวเอง 

   “แฟนคลับกู” ชี้เข้าตัวเองอย่างงงๆ เพื่อนสองคนพยักหน้าพร้อมกันยืนยัน

   “เออ แม่งโคตรดีอะ ซื้อมาฝากพวกกูด้วย” ไอ้ป่านยกถุงขนมถุงใหญ่ที่ด้านในมีทั้งขนมไทย ขนมอบกรอบเต็มถุง “นี่ของมึงครับคุณเพื่อน”

   “ไม่เอา” ดันกลับไปจนไอ้ดอยปาถุงขนมที่หมดใส่หน้าผม ไอ้เชี่ยนี่

   “อย่าเล่นตัวให้มาก ปากมึงก็เสีย ทำตัวติสไปวันๆ เมียก็ไม่หา ตอนนี้มีผัวมาเกยถึงที่ กูแนะนำให้มึงรีบคว้าเอาไว้” ไอ้ดอยมันยัดขนมใส่ปากหลังพูดจบ ผมเลยเตะขามันใต้โต๊ะไปทีหนึ่ง

   ไอ้พวกเห็นแก่กิน เห็นขนมดีกว่าเพื่อน

   “ถ้ามึงชอบ มึงก็เอาไปสิวะ”

   “ก็พี่เขาไม่ได้ชอบกูนี่หว่า แล้วกูก็จำได้แล้วว่าเคยเห็นที่ไหน” ไอ้ป่านมันพูดไปเคี้ยวขนมไป แล้วยัดเข้าปากผมไป “กูเคยเห็นพี่คนนี้ที่หน้าตึกศิลปกรรม”

   “มันไปทำไมวะ” ไอ้ดอยถาม

   “กูไปสืบมาแล้ว ไอ้เชี่ยต๋องบอกมาจีบไอ้กลอย” ไอ้ดอยตาโตก่อนจะเอาตาโตๆ มามองผมด้วย ดูจากสายตามันแล้วโคตรน่าถีบ

   “จีบไอ้กลอยแล้วไหงมาหลงไอ้ต้อมได้ ไม่เหมือนกันสักอย่างทั้งแต่รูปร่างและสัน เอ้ย นิสัย” มันรีบเปลี่ยนคำพูดเมื่อเห็นผมเตรียมปาหัวมันด้วยเค้กที่อยู่ในถุงจากแฟนคลับ

   “กูก็ว่างั้น อย่างไอ้กลอย ถึงมันจะกวนตีน จะเกรียน จะล้น จะบ้า แต่มันก็มีมุมน่ารักของมัน รวมถึงหน้ามันด้วย แต่มึงดูไอ้ต้อม” ไอ้ป่านมันเอามือมาจับคางผมบิดไปมาจนผมฟาดเข้าหัวมันไปหนึ่งดอก “หน้าก็หยาบยิ่งกว่ากระดาษทราย ผมก็แข็งเหมือนไม้กวาด มือไม้ก็ดำมี เล็บมีดินติดหรือเปล่าก็ไม่รู้ ดีหน่อยที่นิ้วมันสวย” พูดมาซะผมโคตรดูแย่เลยว่ะ แต่นี่ผมมีดีแค่นิ้วสวยใช่มั้ยเนี่ย

   “พวกมึงสองตัวไปไกลๆ ตีนกูเลยไป” เริ่มโมโห




   เรียนเลิกเกือบๆ จะห้าโมงเย็น วันนี้ขามาผมเดินมา แม้มันจะไกลมากไปหน่อย แต่เพราะสุดหวงยางแบน คราวนี้โดนตะปูของจริง ส่วนสุดเท่ก็เกเรสตาร์ทไม่ติด สงสัยหัวเทียนบอด รถแก่ๆ ก็งี้แหละครับ ขากลับเลยต้องเดินกลับตามเดิม วันนี้กะจะเข้าไปที่คลินิกรักษาสัตว์ของลูกสาวป้าของผม เห็นไอ้กลอยบอกเอาหมาไปทำหมันตั้งเป็นอาทิตย์ สงสัยจะกลับได้แล้ว เคยไปทีหนึ่งตอนแรกๆ แต่ก็ไม่เจอมัน เพราะกลับไปก่อน วันนี้ถ้าไปตอนนี้อาจไม่เจอ ผมเลยเปลี่ยนเป้าหมายไปทางป้ายรถเมล์แทน กำลังจะก้าวขาข้ามถนนในมหาลัย รถราคาแพงโฉบหน้าจนตกใจสะดุดล้มลงไปนั่งกองกับพื้น 

   ไอ้เชี่ยเอ้ย เกือบถูกรถชนแล้วไอ้ต้อม 

   กำลังจะอ้าปากด่าไอ้เจ้ารถงี่เง่าที่ใช้ตาตุ่มขับที่กำลังเปิดประตูออกมา พอเห็นก็ต้องหุบปากเพราะไม่อยากมีเรื่อง ผมลุกขึ้นยืนก่อนปัดก้นที่เปื้อนฝุ่น

   “มึงขับรถยังไงวะ ซื้อใบขับขี่มาหรือเปล่า” ด่ามัน แต่มันก็ยังเฉย “ไอ้ฟลอยด์”

   “กูสอบปกติเหมือนชาวบ้านนั่นแหละ” มันตอบนิ่งๆ “จะไปไหน”
 
   “เรื่องของกู” ตอบแบบไม่คิดอะไรมาก เลยโดยดีดหน้าผากเต็มแรง โคตรเจ็บ “ทำเชี่ยไรวะ”

   “กูเป็นรุ่นพี่มึง” ผมกำลังจะอ้าปากเถียงแต่มันเอามือมาปิดปากผมซะก่อน “ถึงกูไม่ใช่พี่ในคณะมึง แต่กูก็แก่กว่า”

   “แก่กว่าแล้วไง อยากจะเรียก” ดึงมือออกแล้วรีบพูด

   “ถ้าเป็นคนอื่น กูกระทืบไปแล้ว” น้ำเสียงและใบหน้าจริงจังจนมันน่าจะทำจริงอย่างที่พูด

   “แล้วจะเอาไง”

   “เรียกกูพี่ ที่ไอ้โชมึงยังเรียกพี่เลย” เรียกไอ้โชได้เต็มปาก

   “พี่โชแก่กว่ามึง มึงยังเรียกไอ้เลย” ย้อนครับย้อน มันถลึงตาใส่แต่ผมไม่กลัว “มึงก็เรียกพี่เขาว่าพี่สิ กูถึงจะเรียกตาม” ดูมันเป็นคนท้าไม่ได้ แต่เรื่องนี้ผมว่าไม่มีทางทำได้แน่นอน เห็นมันขมวดคิ้วเหมือนใช้ความคิด

   “ก็ได้” ตกลงออกมาเฉย

   “อย่าดีแต่รับปากส่งๆ นะมึง” ผมว่า มันเลยยื่นนิ้วก้อยออกมาจนผมมอง “อะไร”

   “เกี่ยวก้อยสัญญาไง” เชี่ย โคตรปัญญาอ่อนเหอะ

   “มึงอายุกี่ขวบแล้ววะ”

   “กับหลานกู กูก็ทำแบบนี้”

   “นั่นหลานมึงยังเด็ก”

   “มึงก็เด็กกว่ากู” ชักเริ่มปวดหัวเต็มที ผมเลยยื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวให้จบๆ “ถ้ากูเรียกมันพี่ มึงก็ต้องเรียกกูว่าพี่ตลอดโอเค๊?”

   “เออๆ” ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะเข้าไปในนั่งจนมันงง “มองหน้าทำไม มารับกูไม่ใช่เหรอ กูกำลังจะไปเจอไอ้กลอยกับพี่โชพอดี ขึ้นรถดิ่” ยิ้มแบบผู้มีชัย ก่อนมันจะเดินอ้อมไป ผมรีบคว้าข้อมือมัน “แต่ถ้ามึงเรียกไม่ได้ มึงก็เลิกยุ่งกับกู โอเค๊” ไม่รอมันตอบอะไร รีบใช้นิ้วก้อยตัวเองเกี่ยวกับนิ้วก้อยของมันเรียบร้อย เห็นมันฮึดฮัดแต่ก็ไม่โวยวาย เสร็จกูละ ชีวิตจะได้สงบสุขสักที
   


   “เจ้าของเคสยังไม่มาเลยค่ะ” พี่ผู้ช่วยบอกผม หมาสีครีมของไอ้กลอยยังนอนหงอยอยู่ในกรง ผมเดินไปลูบหัวมันเบาๆ แต่มันแค่กระดิกหางนิดๆ คงคิดถึงไอ้เกรียน

   “เอาไง” เสียงจากคนที่เดินตามผมทุกฝีก้าว มันเดินชิดขนาดผมหยุดกะทันหันมันก็ชนเลยแบบนั้น ขนาดตอนนี้มานั่งลูบหัวหมาสีครีมมันยังมายืนอยู่ด้านหลังชนิดที่ว่า ขามันแตะหลังผมไว้ตลอด

   “มึงขยับห่างกูหน่อยได้มั้ยวะ” เริ่มโวยวาย หน้าตามันก็เด่นอยู่แล้ว ยังมาทำแบบนี้คนยิ่งมอง แม้ลูกค้าของคลินิกจะมีไม่เยอะแต่ก็มองทุกคน พี่ผู้ช่วยยังหัวเราะจนผมต้องรีบเดินหนี

   “นี่ก็ห่างแล้ว” ห่างตรงไหนของมันวะ

   “ขี่คอกูเลยมั้ยวะ” ประชดแล้วแม่งจะทำจริงจนผมต้องตุบหน้าแข้งมันไป มันถึงถอยห่าง...นิดหนึ่ง “กวนตีน”

   อยู่รอไอ้กลอยเกือบครึ่งชั่วโมงก็ไม่มีวี่แวว แบตก็ดันมาหมด ผมเลยบอกลากับลูกสาวของป้า พี่ไก่ ผมเรียกแบบนี้มาตลอด เธอร่างอวบนิดๆ กอดคงจะอุ่น ผมเลยกอดแน่นไปทีจนโดนเขกหัว

   “กลับบ้านบ้างเราน่ะ” โดนบ่นเลย “แล้วนั่นแฟนเหรอ” ตาเหลือกหลังจากได้ยิน ผมมาลาให้ห้องพักของเจ้าของคลินิก

   “แฟนที่ไหน มั่วว่ะ รุ่นพี่เฉยๆ” ตอบไปแต่พี่ผมดันไม่ค่อยจะเชื่อ

   “ฉันมีเพื่อนแบบนี้เยอะ ไม่ต้องเขิน แล้วก็น้องน่ารักๆ เจ้าของสีครีมกับแฟนเขาก็ดูรักกันจะตาย” ไม่ได้เขินเลยครับบอกตรงๆ

   “ก็นั่นเขาเป็นแฟนกัน แต่ผมไม่ใช่ ไปดีกว่า เบื่อ” โดนเขกหัวก่อนออกห้องอีกที

   ผมเดินออกมาจากห้อง เห็นไอ้ฟลอยด์มันเล่นแมวที่มารักษา เจ้าของคงฝากไว้ที่นี่

   “ชอบแมวเหรอ” ผมถาม มันพยักหน้าแต่ตายังจ้องแมวพันธุ์ไทยตัวนั้น “แล้วได้เลี้ยงหรือเปล่า” มันส่ายหน้า
 
   “แม่กูป่วยบ่อย เลยไม่ได้เลี้ยงอะไร”

   “อ่อ” ไปไม่เป็นเลยไอ้ต้อม

   “ตอนเด็ก กูเคยดื้ออุ้มแมวมาที่บ้าน แม่กูเข้าโรงพยาบาลตอนกลางคืน หมอบอกแพ้ขนแมวโรคภูมิแพ้เลยกำเริบ จากนั้นกูก็ไม่เคยเอาตัวอะไรไปไว้ที่บ้าน” แววตามันดูอบอุ่นเวลามองแมวตัวนั้น ผมว่า มันคงรักแมวจริงๆ “แล้วมึงชอบแมวมั้ย”

   “เฉยๆ อะ กูเล่นได้หมดทุกตัว” ผมว่า บ้านผมเคยเลี้ยงหมา แต่พอมันตายแม่เสียใจจนไม่กินข้าวเป็นอาทิตย์ พ่อเลยไม่ให้เอามาเลี้ยงอีก

   ระหว่างที่ผมกำลังจะชวนมันกลับ พี่ผู้ช่วยก็เดินมาดูน้องแมวตัวนั้นพอดี

   “สงสารมันนะคะ” ผมหันไปมองคนพูดอย่างสนใจ ก็ใช่ มันดูน่าสงสาร “โดนทิ้งยังไม่พอ ยังป่วยเป็นโรคไข้หัดแมวอีก ไม่รู้จะรอดหรือเปล่า”

   “หนักมากเหรอครับ” ผมถาม พี่ผู้ช่วยพนักหน้า

   “ค่ะ โรคนี้แมวเด็กส่วนน้อยที่จะรอด ตอนคนพามาอาการมันก็หนักแล้วค่ะ”

   “ใครเป็นเจ้าของครับ” ไอ้ฟลอยด์มันถาม หน้าดูเครียดๆ จนผมต้องขมวดคิ้วตาม

   “เป็นน้องนักศึกษาค่ะ แกเห็นเลยช่วยมา คุณหมอใจดีเลยให้ผ่อนค่ารักษาจ่ายเป็นงวดๆ เอา”

   “งั้นผมออกค่ารักษาเอง รักษาจนกว่าจะหายเลยนะครับ” ลูกคนรวยมันรีบควักกระเป๋าเงินแล้วเดินไปจ่ายส่วนที่เหลือที่หน้าเคาน์เตอร์ด้านนอก พี่ผู้ช่วยยิ้มกว้าง

   “ใจดีมากเลยนะคะ หล่อใจดีด้วย” ชื่นชมออกหน้าออกตามาก

   “อ่าครับ” เลยรับคำส่งๆ ไป ที่จริงมันก็...ใจดี มั้งนะ


   
   พอออกจากคลินิกมาผมก็แอบมองคนขับบ่อยๆ จนมันยิ้มมุมปาก ผมเลยหันออกไปมองนอกรถ มันก็คงเป็นคนดีคนหนึ่งละมั้ง

   “จะชื่นชมกูก็พูดออกมาเลยไม่ต้องเก็บไว้หรอก” รีบหันไปมองจนคอแทบเคล็ด หลงตัวเองโคตรๆ

   “ชื่นชมทำไม ก็มึงมันรวยอยู่แล้ว รักษาไม่กี่พันก็แค่เศษเงินหรือเปล่าวะ” ผมพูดตามความคิดจนมันหน้านิ่งไป “โกรธที่กูพูดตรงไปเหรอ”

   “บางทีเงินก็ซื้อทุกอย่างไม่ได้” มองมันนิ่งๆ “อย่างเวลาไง”

   “กูก็พอจะเข้าใจ” ผมรู้ครับ ว่าเงินกี่พันล้านก็ซื้อเวลาหวนกลับมาใหม่ไม่ได้ ไอ้ลูกคนรวยคนนี้น่าจะเป็นเด็กมีปัญหาพอสมควร ทั้งถูกตามใจมากเกินไป ทั้งหัวรั้นจนปวดหัว

   “กูขอโทษที่ทำให้มึงไม่พอใจในหลายๆ เรื่อง” ไอ้ฟลอยด์มันยิ้มนิดๆ ส่งมาให้ผม “แต่กูก็แก้ไขอะไรไม่ได้”

   “มันจะแก้ไขได้ก็ต่อเมื่อมึงเลิกยุ่งกับกู” ผมพูดออกไปตรงๆ

   “กูทำไม่ได้”

   “ทำไม กูหล่อขนาดที่มึงหลงใหลขนาดนั้นเลยเหรอ” สายตามันโคตรเหยียดจนผมฮึดฮัด

   “มึงไม่ได้น่ารักขนาดนั้น”

   “ก็ใช่ไง อย่างไอ้กลอยชมมันได้ว่าน่ารัก แต่กูใช้ไม่ได้กับคำนี้”

   “กูก็ว่างั้น” อ่าวไอ้นี่

   “แล้วมึงมาสนใจกูตอนไหน” ไม่นานมานี้ยังจะฆ่าผมอยู่เลย

   “ไม่รู้” อ่าว “แต่กูชอบความคิดของมึง ชอบคำพูดตรงๆ ของมึง ชอบท่าทางแปลกๆ ของมึง แม้มึงจะไม่อ่อนหวานแต่แบบนี้ก็คือมึง”

   “สรุปชอบทุกอย่างที่เป็นกู?” มันพยักหน้ารับจนเป็นผมเองที่พูดอะไรไม่ออก “กูไม่ใช่คนง่าย”

   “กูรู้” เหล่ตามองคนที่บอกว่ารู้ “ถ้ามึงง่าย ป่านนี้เป็นเมียกูไปแล้ว”

   “ไอ้เหี้ย” ด่ามันแต่มันกลับหัวเราะ

   “กูชอบของที่ได้มายากๆ เพราะมันจะทำให้รู้ว่า มันมีค่าเสมอ โคตรเฉพาะมึง” ประโยคพวกนี้มันควรจะต้องไปพูดกับผู้หญิงไม่ใช่เหรอวะ

   “เออ กูโคตรยาก แล้วกูก็ไม่ยอมเป็นเมียมึงด้วย” พูดออกมาได้ว่าเมีย นั่นคำของผู้หญิงชัดๆ

   “เรื่องบนเตียงอีกหน่อยก็รู้เอง” ขยิบตาให้ผมด้วย

   “กูคงนอนบนเตียงกับมึงหรอกไอ้ห่า” แค่คิดขนแขนก็ลุกแล้ว

   “แต่ถ้าได้นอนแล้วมึงจะติดใจ”

   “มึงรีบๆ ขับรถของมึงไปไอ้เชี่ย” แม่ง พูดอยู่ได้ไอ้เรื่องบนเตียง คนอย่างไอ้ต้อม ไม่ยอมร่วมเตียงนอนกับใครง่ายๆ ขนาดพวกไอ้ดอยไอ้ป่านยังไม่เคย ไม่ได้เป็นคนสะอาด แต่ไม่ชอบให้ใครมานอนบนเตียง ผมว่า มันไม่โอเคว่ะ

   “ไปนอนคอนโดกูมั้ย”

   “ไม่โว้ย กูจะกลับหอ”


   โวยวายไปก็เท่านั้นเพราะมันแม่งขับรถออกนอกเส้นทางมานานแล้ว ไอ้นี่มันโคตรของโคตรเอาแต่ใจ แล้วไอ้ต้อมจะกลับหอยังไง รถเมลสายไหนไปหอผมวะ แม่ง ไม่น่าขึ้นรถมันมาเลย

...TBC


พี่ฟลอยด์รุกหนักมาก ชวนขึ้นคอนโดซะแว้วว น้องต้อมสุดแมนจะรอดมั้ย ....

อัพวนไปค่าาาา >w<

 :mew1: :mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-09-2016 10:18:24 โดย aiaea83 »

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
พี่ฟลอยด์มึนแท้แต่ชอบอะ พี่ต้อมก็ตรงดีคู่นี้ไม่หวานแต่น่ารักมากนะ
ปอลิง ช่วงทอล์คคนเขียนบอกว่าน้องกลอยจริงๆต้องต้มรึเปล่าค้า ฮ่าๆ

ออฟไลน์ aiaea83

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 676
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +494/-5
พี่ฟลอยด์มึนแท้แต่ชอบอะ พี่ต้อมก็ตรงดีคู่นี้ไม่หวานแต่น่ารักมากนะ
ปอลิง ช่วงทอล์คคนเขียนบอกว่าน้องกลอยจริงๆต้องต้มรึเปล่าค้า ฮ่าๆ

ขอบคุณค่าา แก้ไขด่วนๆๆ

 :o8: :o8:

ออฟไลน์ aiaea83

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 676
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +494/-5
No Sugar : 05



       ห้องน้ำที่น่าจะใหญ่กว่าห้องในหอพัก ด้านในสุดมีอ่างแบบบ้านคนรวย ด้านซ้ายมีตู้กระจกสำหรับอาบฝักบัว ตรงข้ามเป็นโถชักโครกถัดมาก็เป็นเคาน์เตอร์กระจกบานใหญ่ ที่มันกำลังมีผมอยู่อีกฝาก เชี่ย ห้องน้ำคอนโดหรูเกินไปแล้ว ยืนนิ่งไว้อาลัยกับสภาพหอพักตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มคิดว่าจะอาบน้ำตรงไหนดี ในอ่างคงไม่เอาเพราะทำไม่เป็น ฝักบัวน่าจะดีที่สุด

   แก้เสื้อผ้าลงกองที่พื้น เดินตัวเปล่าไปเปิดประตูตู้กระจก แม่งโคตรตื่นเต้น คนฐานะพอมีพอกินเจอแบบนี้ก็ตื่นเต้นนะครับ ดันก๊อกน้ำขึ้น สายน้ำอุ่นก็ไหลลงมาจากฝักบัวอันใหญ่ ที่คิดว่าจะแค่อาบน้ำเลยต้องสระผมไปด้วย

   ผมถูกพามาคอนโดหรูนี้แบบไม่ค่อยเต็มใจ แต่จะกลับก็กลับไม่ได้ เพราะเงินในกระเป๋ามีไม่พอค่าแท็กซี่แน่ แล้วถ้าขึ้นรถเมลก็ต้องต่อไปหลายสาย เงินหมดก่อนพอดี ใกล้จะสิ้นเดือนแบบนี้เหมือนกำลังจะสิ้นใจ ยังดีที่มีบะหมี่ตุนไว้ที่ห้องหลายห่อ

   เดินสวมชุดคลุมอาบน้ำสีขาวออกจากห้องน้ำ เห็นเจ้าของห้องมันยืนค้นอะไรสักอย่าง พอเห็นผมมันก็มองแบบแปลกๆ

   “หาอะไรวะ” ผมถาม

   “ทำไมไม่เป่าผมให้แห้งวะ” ดุกูอีก มันเดินปึงปังเข้าห้องน้ำแล้วเอาไดร์เป่าผมออกมาเสียบ “มานี่ กูเป่าให้” ส่ายหน้าสิครับรออะไร

   “กูทำเอง มึงไปหาของๆ มึงต่อเถอะ” ดึงไดร์มาถือเอง “เออ ขอยืมเสื้อกับกางเกงหน่อยสิ” มันไม่ตอบ แต่เดินไปเปิดตู้

   “มาเลือกเอง อยากใส่ตัวไหนก็เอา” เห็นมันเปิดทิ้งไว้แล้วเดินกลับไปค้นของที่ลิ้นชักต่อ ผมเลยวางไดร์ลงแล้วไปเลือกดู เสื้อมันส่วนใหญ่มีเสื้อสีดำ สีขาว สีเทา เป็นพวกไม่มีสีสันในชีวิตเลยให้ตาย หยิบเอาสีขาวมาตัวหนึ่ง กับกางเกงบ็อกเซอร์ตัวใหม่ในลิ้นชัก

   “มึง” ได้ยินมันเรียก พอหันไปเห็นมันมองนิ่ง

   “อะไร” ผมถาม มือก็ดึงบ็อกเซอร์ขึ้น คือผมปลดเสื้อคลุมออกจากตัวแล้วใส่เสื้อผ้า เรียบร้อยก็ไปเป่าผมต่อ ยังเห็นมันยืนนิ่งๆ จ้องหน้าผมอยู่ “หาเจอแล้วเหรอ”

   “หา? ยัง” มันรีบก้มค้นต่อ จนเหมือนจะเจอแล้วมันก็เดินเข้าห้องน้ำไป ผมวางไดร์ลงเมื่อผมแห้งแล้ว จะว่าไป แชมพูแพงๆ มันดีแบบนี้นี่เอง ใช้แล้วผมพลิ้วสวยไม่แข็งกระด้างเหมือนแชมพูที่ซื้อตามตลาดนัด ไม่นานมันก็เดินพันผ้าเช็ดตัวที่เอวออกมา อวดซิกแพกตรงหน้าผม กะเอามาโชว์สินะ

   “กูรู้ว่ามึงมีกล้าม ไม่ต้องเอามาโชว์” ผมว่า มือก็คว้าเอามือถือที่ชาร์ตแล้วมาเปิดดู มีไลน์ไอ้ป่านกับไอ้ดอยด้วย

   “มึงไม่รู้สึกอะไรเหรอ” เสียงที่ถามทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นมอง เห็นมันมายืนอยู่ข้างๆ ทำหน้าตาโคตรจริงจัง

   “รู้สึกอะไร” ถามออกไปแบบสงสัย

   “รู้สึกแบบที่กูรู้สึก”

   “มึงรู้สึกยังไง”

   “ก็รู้สึก...” ผมจ้องหน้าแบบอยากรู้ ก่อนจะร้องเสียงหลงเมื่อมันเอามือผมไปจับตรงนั้นของมัน ไอ้เชี่ย
 
   “ไอ้เหี้ย อยากโดนกูถีบหรือไงวะ” เกิดมาไม่เคยจับของใคร แล้วของมันคึกอีก ผมเช็ดมือกับเสื้อสีขาวไปมา ส่วนมันก็ยังจ้องผมนิ่ง “มองเชี่ยอะไร” ตะคอกใส่

   “ก็กูรู้สึกกับมึง” มันพูดออกมานิ่งๆ

   “ไอ้ๆ” นิ้วชี้หน้ามันสั่นไปมา ทั้งโกรธ ทั้งโมโห ทั้งอยากจะฆ่ามัน “มึงรีบไปจัดการเอาไอ้นั่นสงบซะ” ผมพยายามทำให้ตัวเองนิ่งที่สุด เพราะไอ้นั่นมันกำลังชี้หน้าผมอยู่ แม้จะมีผ้าเช็ดตัวปิดก็เถอะ

   “แต่กูนึกถึงหน้ามึงมันก็...”

   “หยุดพูดเลยไอ้สัด กินยาโด๊ปมาหรือไงวะ” แม่งคึกเหี้ย แล้วกับผู้ชายด้วยกันเอง ไอ้ต้อมอยากตายจริงๆ

   “ไม่ได้กิน” ยังมีหน้ามาตอบ ผมตวัดสายตามอง “มึงช่วยกูได้มั้ย”

   “ช่วยอะไร” ทำตาขวางใส่ มันจ้องหน้าผม ก่อนจะใช้สายตาให้ผมมองตามลงไปที่... “กูจะตัดมันให้เอง ไอ้เชี่ย” กระโดดถีบขาคู่ แต่มันหัวเราะวิ่งเข้าห้องน้ำไป นี่ผมต้องนอนบนเตียงกับมันเหรอวะ ถ้ามันเกิดคึกตอนผมหลับจะทำยังไง ไม่ดีๆ

   ผมหอบหมอนกับผ้าห่มลงมานอนพื้นด้านล่าง ห้องมันปูพรมหมด เลยไม่ต้องทนนอนพื้นเย็นๆ สักพักได้ยินเหมือนเสียงเปิดประตู มันคงออกห้องน้ำมาแล้ว ผมเหล่ตามองเห็นหน้ากวนยื่นมาจนตกใจ ไอ้ฟลอยด์มันนอนขวางเตียงแล้วยื่นหน้ามาหาผมที่นอนอีกฝั่ง

   “อะไร”

   “ไปนอนทำไมตรงนั้นวะ”

   “เรื่องของกู”

   “ไม่กล้านอนบนนี้กับกูเหรอ”

   “เออ” ตอบตรงๆ การท้าทายใช้กับไอ้ต้อมไม่ได้ครับ แล้วมันก็หัวเราะ “หัวเราะพ่อง”

   “มึงแปลกดีว่ะ” มันนอนหงายกอดอก ดวงตามองไปที่เพดานสีขาว ได้กลิ่นแชมพูแบบที่ผมใช้ลอยมาติดจมูก คงมาจากผมของไอ้คนที่นอนห้อยหัวลงมาข้างเตียง

   “แปลกยังไง”

   “คนที่เข้าหากูส่วนใหญ่เพราะกูมีเงิน กลอยคือคนที่กูอยากเข้าหาคนแรก” มันพูดพร้อมรอยยิ้ม “ตอนเจอครั้งแรก กูคิดว่ามันจะลักพาตัวลูกพี่สาวกู หน้าตามันเอ๋อๆ ทำท่าทางตลก แต่มันก็น่ารัก ตาของมันแวววาวเหมือนลูกแก้ว กูถึงหลงมันได้ง่ายๆ”

   ผมนอนฟังมันพูดเรื่องเพื่อนตัวเองเงียบๆ ที่จริงตอนผมเจอไอ้กลอยครั้งแรกก็รู้สึกว่ามันน่าคบมาก ผมชอบจ้องตามันเวลามันพูด ท่าทางมันกวนๆ แต่ดวงตามันดูเป็นประกาย

   “แต่เหมือนใครเอาหินก้อนใหญ่มาปาหัว เมื่อรู้ว่ากลอยมีแฟนแล้ว แต่กูก็ยังรั้นเพราะนั่นคือคนแรกที่กูอยากเข้าหา กูไม่สนเพื่อนมันจะด่ากู หรือเพื่อนของแฟนมันจะขู่กู แค่กูได้เห็นหน้ากูก็พอใจ” เป็นพวกรักมั่นคงจริงๆ

   “มึงเลยไปจอดรถรอมันทุกวันอย่างงั้นสิ” ถามไปมันก็พยักหน้า

   “จนวันที่เจอมึง กูโคตรอยากจะฆ่ามึง กะอีแค่เศษเหล็กเก่าๆ ก็มาด่ากูเฉย แต่พอมึงพูดเตือนกู ไม่รู้ทำไมกูถึงเก็บเอามาคิด จนกูเห็นแต่หน้ากวนๆ ของมึง กูถึงไปหา”

   “แล้วก็พรากความสงบของกูไป” ผมแขวะ ถ้ารู้ว่าเป็นแบบนี้ผมจะไม่พูดหรอก ไม่น่าไปเตือนมันเลย

   “ก็ดี จะได้ไม่มีใครมาแย่ง เพราะมึงเป็นของกูคนเดียว” ดึงหมอนที่หนุนฟาดหน้ามันไปทีหนึ่ง

   “ของมึงเชี่ย ตัวกูเป็นของกูเว้ย”

   “ไม่นาน ตัวมึงจะเป็นของกู”

   “ของมึงพ่อง” รีบล้มตัวนอนไม่ตอบโต้อะไรอีก รีบๆ นอนตื่นมาจะได้รีบกลับ ได้ยินเสียงหัวเราะของมันแต่ทำไม่สนใจ

   “ฝันดี”



   ตอนนี้ผมกำลังถูกสายตาสองคู่สแกนตั้งแต่หัวยันเท้า ไอ้ป่านกับไอ้ดอยมันจ้องผมนั่งแต่ขึ้นมานั่ง ผมก็จ้องมันกลับจนต้องหลบสายตาไปเอง ปวดตาเฉยๆ

   “เมื่อคืนไปนอนไหนมา” ไอ้ป่านจ้องหน้าซะเหมือนผมเป็นผู้ร้าย

   “ห้องดิ่”

   “ขี้หก” ไอ้ดอยสำเนียงใต้มาเลย “กูไปหามึงที่ห้อง ถามป้าที่ดูแลก็บอกมึงยังไม่กลับ แบบนี้เหรอที่นอนที่ห้อง” แม่ง คาดคั้นกูทำเตี่ยอะไร

   “ป้าเขาไม่เห็นกูไง แล้วพวกมึงจะมาอะไรกับกู ทีทุกวันไม่เห็นมานั่งถามแบบนี้”

   “กูเอางานไปให้มึง แต่มึงไม่รับโทรศัพท์ ไม่อยู่หอด้วย”

   “แล้วกูก็เห็นมึงกลับกับไอ้รุ่นพี่บริหาร หรือว่า มึงเป็นเมียพี่เขาแล้ววะ”

   แล้วพวกมันก็โดนคนละป๊าบจนหน้างอ

   “เป็นเมียพ่อง เออ กูไปนอนห้องมันมา แต่ ไม่ได้มีอะไร” รีบดักไว้หมด ดูท่าพวกมันจะไม่ค่อยเชื่อ

   “ของมันใหญ่มั้ยวะ” ไอ้ดอยมันถาม

   “ก็น่าจะ...ไอ้เชี่ย ถามเหี้ยไรของมึงวะ” มัวแต่เหม่อเลยตอบออกไปแบบเบลอๆ เชี่ย นึกถึงตอนมันเอามือผมไปจับแล้วก็รีบเช็ดมือที่เสื้ออีกรอบ

   “เชี่ย ไม่ได้เป็นเมียแต่รู้ขนาดว่าใหญ่ ไม่ธรรมดาแล้วเพื่อนกู”

   แล้วทั้งวันผมก็โดนไอ้สองตัวนี้มันแซว ถึงมาลงแปลง อากาศร้อนตับจะแตกมันยังเดินวนเวียนมาแซว กำดินขว้างใส่พวกมันก็ยังไม่หยุดเห่า ก่อนมือถือจะดัง เลยกดรับไป

   (อยู่ไหน) ใครวะ ผมเอามือถือออกมาดูชื่อ แต่เป็นเบอร์แปลก

   “ใครอะ”

   (กูฟลอยด์) เชี่ย รู้เบอร์ผมได้ไงวะ

   “มึงมีไร”

   (มึงอยู่ไหน)

   “อยู่แปลงผัก ไอ้ดอยไปไกลๆ ตีนกูเลยไป” ผมกำลังถูกก่อกวนจากไอ้เพื่อนสองตัว มันเดินมาแซวไม่พอยังเอาหน้ามาแนบกับโทรศัพท์อีกด้าน

   (เดี๋ยวกูไปหา) แล้วมันก็วาง ทำไมไม่รอถามตอบจากผมบ้างวะว่าจะให้มาหรือเปล่า
 
   “ผัวมึงจะมาเหรอวะ”

   “ผัวพ่องมึงสิ” ด่าไอ้เชี่ยดอย มันก็ทำตาโต

   “พ่อกูมีแต่เมียไม่มีผัว มึงอะมีผัว”

   “กูไม่มีผัวเว้ย”

   “มึงมีผัวไอ้สัดต้อม”

   “ไม่มีเว้ย”

   “ผัวมึงมานู้น”

   “เออ มีผัวก็ได้ ไอ้เชี่ย” หงายหลังครับ มัวแต่เถียงเรื่องผัวๆๆ จนมึน มองอีกทีไอ้ฟลอยด์ยืนหน้านิ่งอยู่ข้างๆ “มึงมาทำเชี่ยไรวะ”

   “ก็กูบอกจะมา แล้วมึงมีผัวเหรอ” มันคงได้ยิน ส่วนเพื่อนสองคนของผมมันหัวเราะลั่น

   “พี่นั่นแหละผัวมัน” ไอ้ป่านมันว่าจนผมยันขามันไปทีหนึ่ง ไอ้ฟลอยด์ยกนิ้มโป้งให้ไอ้ป่าน จนผมแทบจะยันขามันอีกคน

   ไอ้ดอยกับไอ้ป่านแยกไปที่แปลงตัวเอง เหลือผมกับไอ้ฟลอยด์ที่นั่งยองๆ อยู่ข้างๆ มันมองตรงหน้าอย่างสนใจ

   “ทำอะไรวะ”

   “พรวนดินไง ไม่รู้จักเหรอวะ” ผมกำลังใช้ส้อมพรวนดินรอบๆ ต้นผักสลัดเพื่อไม่ให้ดินมันแน่นจากการรดน้ำ “อยากทำป่ะ” ลองถาม มันก็พยักหน้า ผมเลยเอาอันที่ถือให้มัน

   ยืนมองคนพรวนดินท่าทางจริงจัง แดดร้อนๆ ทำให้เหงื่อมันไหลอาบแก้ม เสื้อนักศึกษาสีขาวเปียกเหงื่อจนแนบกับหลัง พอดูแบบนี้ก็ใจอ่อนพิกล ผมเลยถอดหมวกใบลานสวมศีรษะให้ มันก็เงยหน้ามอง

   “มึงใส่เถอะ” มันบอก แต่เหงื่อไหลย้อนจนต้องยกแขนขึ้นมาเช็ด

   “มึงนั่นแหละใส่ เป็นลูกคุณหนูทำงานกลางแดดเดี๋ยวเป็นลมพอดี” แขวะมันไป

   “กูไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น” ไอ้ฟลอยด์ว่ายิ้มๆ มองมันอีกหน่อยก็เดินไปหยิบขวดน้ำในกระติกน้ำแข็ง หมุนเปิดฝาแล้วยื่นให้

   “กินซะ เดี๋ยวเป็นลมแดด” ผมบอก มันก็รับไปดื่มแล้วจะเอาราดตัวแต่ผมห้ามไว้ก่อนพร้อมดึงขวดน้ำคืน “โดนแดดขนาดนี้เอาน้ำเย็นราดเดี๋ยวก็ไม่สบายไอ้สัด” ด่ามันครับ แต่กลับยิ้มออกมาเฉย

   “เป็นห่วงกูเหรอ”

   “ห่วงว่ามึงจะมาตายคาแปลงกูน่ะสิ”

   “โอ้ย” มันร้องเสียงดังจนผมตกใจ พอยกมือซ้ายขึ้นมาเลือดไหลเต็มไปหมด เชี่ย

   “มึงทำยังไงให้เลือดออกวะ” รีบถอดเสื้อลายสก็อตตัวโปรดห่อมือมันไว้

   “มัวแต่คุยเลยไม่ได้ดูมือ” มันบอก เอามือข้างหนึ่งถือส้อมพรวน อีกข้างก็เขี่ยดิน เลยมีสภาพแบบนี้

   “เชี่ยเอ้ย” ผมสบถ ก่อนตะโกนบอกเพื่อนว่าจะพาคนเจ็บไปหาหมอ

   ผมเสียบกุญแจรถแล้วเปิดเครื่อง มันมองผมอย่างห่วงๆ แต่ผมไม่สน เหยียบคันเร่งได้ก็วิ่งฉิว

   “มึงขับรถเป็นด้วยเหรอ” มองหน้ามันนิดหนึ่ง

   “เป็นสิ ถึงกูจะปั่นแค่สุดหวงแต่กูก็ขับรถเป็นเว้ย” บ้านผมก็มีรถยนต์ใช้นะครับ แต่ไม่เอามาเพราะมันไม่เท่เหมือนรถมอเตอร์ไซค์เก่าๆ


   
   มาถึงโรงพยาบาลมันก็โดนทำแผลชุดใหญ่กับฉีดยากันบาดทะยักไปหนึ่งเข็ม โชคดีที่แผลไม่ลึกมากถึงขนาดต้องเย็บ ผมกำเสื้อตัวเองที่เปื้อนเลือดไว้ ส่วนคนทำแผลยังนอนอยู่ในห้องฉุกเฉิน ผมกำลังยืนกรอกเอกสาร แล้วผมเกี่ยวข้องอะไรกับมันวะ
 
   เพื่อน ผมกรอกลงไปแบบนั้น

   พอมันออกมาหน้าตาก็ซีดเซียว พยาบาลบอกมันเสียเลือดเยอะเลยอ่อนแรง แม้จะเติมน้ำเกลือไปแล้วก็เถอะ ไปจ่ายเงินแล้วรอรับยา ผมไม่ได้ว่าอะไรที่มันเอนหัวมาพิงกับไหล่แล้วหลับ คงจะโดนฤทธิ์ยาแก้ปวด พอเจ้าหน้าที่เรียกชื่อมัน ผมก็เป็นคนออกไปรับให้ พอหันมาเห็นไอ้ฟลอยด์นั่งหัวเอนไปมาเหมือนจะล้มจนต้องรีบไปรับหัวหนักๆ

   คุณป้าที่นั่งด้านหลังแอบยิ้มด้วย คงคิดว่าผมดูแลพี่ชายตัวเองอยู่

   ผมประคองร่างที่สะลึมสะลือเพราะฤทธิ์ยามาขึ้นรถ เสียงโทรศัพท์มันดังขึ้น เป็นแบบนั้นหลายครั้งผมก็ลองรับ ปลายสายเป็นผู้หญิง

   (ฟลอยด์ พี่โทรหาไม่ยอมรับเลยนะ) เสียงใสติดโมโห

   “เอ่อ พี่ฟลอยด์หลับอยู่ครับ” จะเรียกมันไอ้ก็ไม่ดี เลยต้องเรียกพี่

   (อ่าว ฟลอยด์ไม่สบายเหรอคะ)

   “อ่า นิดหน่อยครับ แต่มาหาหมอแล้วครับ”

   (ค่อยยังชั่ว เป็นรุ่นน้องของฟลอยด์ใช่มั้ย พี่ฝากดูด้วยนะ ดื้อจะไปอยู่คอนโดคนเดียว พอไม่สบายไม่มีใครดูแลอีก) บ่นมาเป็นชุด ผมเลยหัวเราะแห้งๆ พอวางสายผมก็แอบชำเลืองมองคนที่นอนหลับ

   ตอนหลับก็ดูเป็นคนปกติดีทุกอย่าง แล้วอะไรที่มันดูไม่ปกติวะ

   คงเรื่องที่มันชอบผมนั่นละ ที่ไม่ปกติ

   เพราะไม่รู้ทางไปคอนโดเลยพาคนป่วยมานอนห้องผมแทน เตียงสุดหวงยกให้คนป่วยแบบไม่ค่อยเต็มใจ ไอ้ฟลอยด์มันเป็นลูกคุณหนูจริงๆ โดนอะไรนิดหน่อยก็ไข้ขึ้นซะงั้น ผมเลยต้องหาผ้าสะอาดๆ มาชุบน้ำแล้วเช็ดตามตัวให้ ผิวมันเนียนยิ่งกว่าผู้หญิงอีก หน้าท้องก็มีแพก พอจะถอดกางเกงก็หน้าร้อนขึ้นมาเฉย ไอ้เชี่ยต้อม มึงเป็นผู้ชายนะเห้ย แล้วไอ้นี่ก็ผู้ชาย จะใจเต้นทำห่าอะไร

     กลั้นใจถอดกางเกงนักศึกษามันออก จนทั้งตัวมันเหลือแค่กางเกงในสีดำยี่ห้อแพง รูปร่างแม่งสมส่วนจนผมต้องก้มมองตัวเอง อาภัพเหลือเกินไอ้ต้อม เช็ดตัวให้เสร็จสรรพก็หาเสื้อมาให้มันใส่ กางเกงก็เป็นกางเกงบอลยืดๆ ของผมเอง พอแต่งตัวแบบนี้ดูไม่เหมือนคุณหนูที่เคยรู้จัก

   คนป่วยครางอือเบาๆ คงหนาว ผมรีบดึงผ้าห่มคลุมมัน ก่อนเดินมานั่งที่พรมหน้าทีวี ห้องผมแค่เปิดประตูเข้ามาก็เห็นเตียง แล้วก็ตู้ ระเบียงด้านนอกมีห้องน้ำอยู่ หอพักนักศึกษาอยู่ส่วนมากก็จะประมาณนี้นั่นแหละ นั่งไปนั่งมาก็เพิ่งนึกได้ว่าคนป่วยต้องกินข้าวต้ม ห้องผมมีแต่บะหมี่ถ้วยคงไม่เหมาะกับคนไข้ มองคนที่นอนเตียงตัวเองก่อนเดินออกห้องไป

   ลากแตะไปซื้อข้าวต้มฝั่งตรงข้าม พอกลับขึ้นมาเห็นคนป่วยนอนงอเป็นกุ้ง ผ้าห่มผมมันคงไม่อุ่นเลยต้องไปค้นอีกผืนในตู้มาคลุมทับ แต่ก็ยังตัวงออีก แอร์เปิดเกือบจะสามสิบอยู่แล้ว

   ผมยืนจ้องคนป่วยนิ่งๆ เอาวะ ถ้าไม่เห็นว่าป่วยคงไม่ทำ ผมคลานขึ้นไปบนเตียงแล้วกอดมันไว้ ตัวมันใหญ่อยู่แล้ว มีผ้าห่มสองชั้นคลุมอีก แขนผมเลยพาดถึงแค่ช่วยอก สักพักคนป่วยก็หันมาเอาหัวซุกกับอกของผม คิดซะว่ามันเป็นหลานตัวเล็กๆ ก็แล้วกัน ยกมือลูบหัวมันไปเรื่อยๆ เลยผล็อยหลับไปทั้งอย่างนั้น


   รู้สึกเหมือนคันจมูกจนอยากจะจาม ใช้มือปัดก็แล้วเหมือนมีอะไรเขี่ย ผมเลยปรือตาขึ้นมา กระพริบตาไปสองสามครั้งถึงเห็นชัดว่าอะไรมันทำให้ผมอยากจาม หัวคนป่วยมันอยู่ตรงจมูกผมครับ อย่าคิดว่าไอ้คนป่วยมันจะนอนตาแป๋วมองผม นี่ไม่ใช่ละครนี่ครับ คนป่วยก็คนป่วย แล้วตอนนี้มันก็กอดรัดตัวผมซะแน่น ก็ว่าทำไมขยับไม่ได้

   นาฬิกาบอกเวลาเกือบจะห้าโมงเย็น มิน่าปวดหัวแปลกๆ ผมดึงแขนที่รัดออก แม้จะใช้แรงสักหน่อย ขนาดป่วยแรงยังเยอะขนาดนี้ พอหลุดมาได้ผมก็เอาข้าวต้นที่มาเข้าตู้ไมโครเวฟอุ่น รอแปบเดียวมันก็ใช้ได้ ผมก็ต้องไปเรียกคนป่วยกินข้าวกินยา

   สะกิดไปรอบแรกยังนิ่ง พอรอบต่อๆ มาเริ่มใช้แรงจนสุดท้ายก็ปรือตาขึ้นมา ตาแดงเชียว

   “อือ” ครางเหมือนถูกกวน

   “ตื่นมากินข้าวแล้วจะได้กินยา” มันพลิกตัวหนี จนผมต้องเดินมาอีกด้าน “เร็วๆ อย่าเป็นคนป่วยที่ขี้เกียจ” มันก็ส่งเสียงฮึดฮัดแต่ก็ยอมลุกขึ้นมานั่ง

   “ไม่หิว” เสียงโคตรแหบ

   “ไม่หิวก็ต้องกิน ไม่งั้นจะกินยาได้ไง” ผมบอก จำเป็นต้องป้อนข้าวต้ม “อ้าปาก” มันเหลือบตามองผมก่อนจะอ้าปาก

   “ขม” พูดก่อนจะเคี้ยว ใบหน้าบิดเบี้ยวเหมือนอยากจะคายออกมา

   “ขมก็ต้องกิน ไม่งั้นก็ไม่หาย” ผมว่า ป้อนไปครึ่งชามมันก็อิ่ม ผมเอายาให้กินแล้วก็ให้นอนต่อ เห็นมันจ้องหน้าผมตอนเก็บถ้วยกับแก้วน้ำ “อะไร”

   มันไม่ตอบแต่ตบที่ว่างข้างเตียงแทน ผมส่ายหน้ามันก็หน้างอเหมือนเด็ก เขาว่าคนป่วยมักงอแง ทำไมผมไม่เคยเป็นวะ ตอนปีสองป่วยจนต้องพาร่างกายโทรมๆ ไปให้น้ำเกลือเองที่โรงพยาบาลก็เคยมาแล้ว

   เก็บถ้วยเสร็จสรรพก็เดินมาดูมันอีกรอบ ตาที่ปรือทำท่าจะหลับแต่ก็ไม่หลับ

   “ทำไมไม่นอนวะ” เท้าเอวมอง

   “หนาว”

   “ห่มผ้าสองชั้นแล้ว”

   “เมื่อกี้ยังกอด”

   แสดงว่ามันรู้ตัวด้วยสินะ

   “ก็นั่นมันเมื่อกี้ แต่ตอนนี้นอนคนเดียวไป อย่ามาดื้อด้วย ด้วยจับตีด้วยขา” ผมพูดจนมันขำแล้วก็หลับไปเฉย

   ออกจากห้องข้ามไปร้านสะดวกซื้อ เลือกซื้อข้าวที่เวฟอุ่นให้คนป่วยกินตอนเช้า พอออกมาเห็นไอ้ป่านเดินกับครีมอยู่ไกลๆ ผมรีบวิ่งไปหา จนสองคนนั่นหยุดหันมามอง

   “เป็นไรมึง” ไอ้ป่านถาม แต่ผมยังหอบเหนื่อยพูดไม่ออกจนสองคนขำ

   “ใจเย็นๆ ค่ะ หายใจเข้าลึกๆ” ครีมว่า

   “คืองี้นะ” พอหาย ผมก็รีบบอก “พี่ของครีมป่วยอยู่บนห้องพี่อะ ไปรับมันกลับหน่อยสิ”

   “พี่ฟลอยด์เหรอคะ” ครีมตาโต

   “อืม”

   “ที่โดนส้อมพรวดบาดเมื่อบ่ายอะนะ” ไอ้ป่านถามบ้าง

   “อืม”

   “พี่ต้อมก็ดูแลให้หน่อยสิคะ พี่ฟลอยด์อยู่คอนโคคนเดียว ครีมดูแลไม่ไหวหรอก”

   “อืม อ่าว ทำไมเป็นงั้นอะ” ผมทำหน้าเหวอ ญาติตัวเองแท้ๆ นะ

   “ก็พี่ต้อมเป็นแฟนพี่ฟลอยด์ แฟนก็ต้องดูแลกันสิคะ เนอะพี่ป่าน”

   “ช่ายๆ”

   แล้วสองคนก็ขำไม่หยุด นี่หวังเพิ่งอะไรไม่ได้เลยใช่มั้ย ทำไมผมต้องเป็นคนดูแลด้วยวะ แฟนก็ไม่ใช่ เมียก็ยังไม่ใช่ ผัวยิ่งไม่ใช่ใหญ่ เวรกรรมของไอ้ต้อมจริงๆ


...TBC

เจอกันตอนหน้าค่าาา  :mew1: :mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-09-2016 10:19:32 โดย aiaea83 »

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
ต้อมก็รีบๆตกลงเป็นแฟนสิจะให้ดีเลื่อนเป็นเมียเลยก็ได้ จะได้รู้ฐานะในการดูแลไงงงงงงงงง :hao6: :hao6:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ bluerose

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
น่ารักกก ชอบคู่นี้จัง มึนพอกันทั้งคู่เลย มาอัพบ่อยๆนะคะ ชอบมาก ติดมากกกก

ออฟไลน์ lazysheep

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 273
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-2
ต้อมเอ้ย นีกลายเป็นแฟนแบบมึนๆ 55

ออฟไลน์ nu-tarn

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 800
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-6
แหม น้องต้อมต้องฝึกไว้ อีกหน่อยจะได้ดูแลมากกว่านี้อีก :impress2:

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
5555 ยอมใจ
ทุกคนเทต้อมค่ะ
เทต้อมให้ฟลอยด์

ออฟไลน์ leemmm

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-6
น่ารักชงคู่นี้มากพี่ฟล์อยน้องต้อม ยิ่งอ่านยิ่งฟิน ยิ่งอ่านยิ่งมีความสุข

ออฟไลน์ Coffeeblack

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 316
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
พี่ฟลอยด์จะทำให้น้องต้อมเปิดใจให้ได้มั้ยน๊า ลุ้นๆ

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
หายไข้เมื่อไหร่สงสัยพี่ฟลอยด์ต้องหลงรักต้อมเพิ่มขึ้นกว่าเดิมแน่ๆ

  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ EverGreen™

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1684
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-1
ไม่ค่อยชอบฟลอยด์ตอนออกมาในเรื่องของกลอยใจแรกๆ
แต่ตอนนี้ชอบแล้วววว  :o8:
สู้ๆนะพี่ฝอยยย

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ฟลอยด์ที่ไม่ปกติ คงมาชอบต้อม  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ต้อมก็ดูแลคนป่วยดีนะ
เห็นหนาวมากๆ ผ้าห่มสองชั้นเอาไมอยู่
ต้อมเลยไปนอนกอดเพิ่มเป้นผ้าห่ม ซะเลย :m11: :m12: :m4:
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:


ออฟไลน์ Chise

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
คู่นี้น่ารักอะ นิสัยช่างดูแลของต้อมเหมาะกับนิสัยลูกคนเล็กแบบฟลอยด์จริงๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด