No Sugar ตอนพิเศษ : น้อยใจ (ใจน้อย)
“กูกลับก่อนนะพวกมึง” ผมบอกลาเพื่อนๆ ที่นั่งหน้าป่วยอยู่ใต้ตึก ไม่ใช่เพราะป่วยติดกันหมดหรอกครับ แค่ทำควิซไม่ได้ก็แค่นั้น มันเป็นเรื่องปกติจริงๆ อีกอย่าง ช่วงนี้ต้องเริ่มหาพี่ฝึกงานช่วงปิดเทอมด้วย แต่ละคนเลยมีสภาพไม่ต่างจากซอมบี้เท่าไหร่ ส่วนผม อย่าลืมว่ามีมุษย์เจ้าสำอางคอยบงการชีวิตอยู่ ครีมสารพัดสารเพจนปวดหัว ผมว่า เอามาผสมกันแล้วกวนๆ ทาทีเดียวจะง่ายกว่า
“เออๆ” ไอ้ดอยโบกมือลาแต่หน้ายังฟุบกับโต๊ะ
“มึงไม่ไปรับเด็กมึงเหรอวะ” ถามก่อนจะเดินไป ช่วงนี้เห็นมันคลุกอยู่แค่กับเพื่อน
“เด็กกูไปต่างจังหวัดเว้ย ไปกับครอบครัว คงไปเที่ยววันพ่อละมั้ง” ไอ้ดอยตอบเสียงเนือยๆ
“แล้วทำไมมึงไม่ไปด้วยวะ” ไอ้ป่านที่นั่งข้างๆ ถามแทรก
“ถามไม่คิดนะมึง ถ้ากูไป กูจะได้ทำควิซมั้ย สมองมีหัดใช้บ้าง คิดแต่อย่างเดียว...” ผมหัวเราะกับการทำจมูกบานของไอ้ดอย ผมเข้าใจในสิ่งที่มันจะสื่อนะครับ แต่ดูเหมือนไอ้ป่านจะไม่เข้าใจ เพราะมันยังทำหน้างง
“กูคิดอะไร” ตีหน้ายุ่งจนคิ้วมันขมวดเป็นผม
“หื่น” ไปแล้วครับ ไอ้ดอยวิ่งหนีการถูกไล่เตะ ผมก็เอิ้กอ้ากก่อนกลับ ที่ไอ้ดอยแซวเพราะมีวันหนึ่ง พวกผมต้องทำรายงานแล้วไอ้ป่านไม่ได้ปริ้นส์งานมา เลยต้องเปิดจากคอมมัน แล้วเผอิญมีไฟล์วีดีโอ เจ้าของเครื่องมันเผลอ ผมที่ไม่รู้ก็เปิดไปโดน...มาเต็มๆ ครับ
วีดีโอที่ไอ้ป่านแอบถ่ายพี่เกนอาบน้ำ นี่ยังตกใจไม่หาย ดีที่มีแค่ผมกับไอ้ดอยที่เห็น ถ้าเปิดตอนพรีเซ็นต์ละก็คุณเอ้ย ซิกแพกมาเต็มจอแน่ ยังดีที่มันไม่ถ่ายช่วงล่างมา เห็นแค่วับๆ แวมๆ แต่ก็พาคิดไปไกล ไอ้ดอยกำลังกินน้ำชาจากขวดพุ่งใส่กระดาษจนเปียกหมด ไอ้ผมก็ได้แต่เปิดตาค้าง กว่าจะปิดได้ก็ตอนเจ้าของเครื่องมันหันมาเห็น ไอ้ป่านโวยวายลั่นใต้ตึก หน้ามันแดงยิ่งกว่าลูกตำลึงซะอีก พอถูกคาดคั้นมันก็บอกว่า ถ่ายไว้แบล็กเมลแค่นั้นไม่ได้เก็บไว้ดู
ใครจะไปเชื่อวะครับ
ผมเดินออกไปเอารถออดี้ของพี่ฟลอยด์ที่จอดอยู่ลานจอดของคณะ ไม่ใช่พี่แกจะใจดีให้ผมใช้หรอกนะครับ แต่เพราะผมเลิกก่อน พี่ฟลอยด์ให้เลยผมขับมาที่คณะ พอเรียนเสร็จก็ให้ไปรับ เหมือนถูกกักบริเวณชอบกล คงกลัวผมจะแอบหนีไปไหน อีแค่เคยแอบหนีไปงานมอเตอร์โชว์กับไอ้ดอยก็แค่นั้น ไม่ได้กลับดึกเลย กลับเช้าด้วย แค่ตีห้าเท่านั้นเอง
ขับออกจากคณะมุ่งหน้าสู่ตึกบริหาร ออดี้คันงามสีขาวดูสะดุดตาหากไม่ถูกสปอร์ตคาร์ตรากระทิงดุโฉบมาแย่งซีนจอดอยู่ด้านข้างตอนจะข้ามแยก ผมส่องผ่านกระจกสีชาเห็นแค่เงาลางๆ ของคนขับ ดูท่าจะเท่ไม่หยอก พอออกตัว กระทิงดุก็ขับแซงหน้าเลี้ยวไปทางขวา ผมยังมองตามท้ายรถสวย ก็สมราคาของมันแล้วครับ
ออดี้สีขาวจอดที่ใต้ร่มไม้ที่ว่างพอดี ผมเปิดประตูออกไปด้านนอกเพื่อรอ นี่ถ้าเจ้าของรถไม่เลิกสายกว่าผมเป็นชั่วโมงละก็ ไอ้ต้อมจะเปิดแอร์นอนในรถเลยครับ แต่นี่มันนานเกินไป กลัวจะตายก่อน เห็นข่าวบ่อยๆ
ผมเดินไปรอที่ม้านั่งใต้ตึกที่มีนักศึกษาคณะบริหารนั่งประปราย ระหว่างที่นั่งรอก็หยิบโทรศัพท์ออกมากดดูนั่นดูนี่ ก่อนจะถูกรบกวนจากคนที่ไม่รู้จัก ผู้ชายตาตี่ผิวขาว ตัวสูง ดูจากการแต่งตัวน่าจะปีสอง ผมมองหน้าคนที่มายืนค้ำหัวอยู่ข้างๆ หลังจากถูกสะกิดเรียก
“ครับ?” ถามออกไปเมื่อเด็กนั่นยังเงียบ
“พี่ใช่คนที่ประกวดนายนพมาสหรือเปล่าครับ” ถามสุภาพจนผมต้องรีบพยักหน้า “อ่อ ครับ” มาแค่สั้นๆ แล้วก็เดินไป อะไรของเด็กนั่น
ผมยังนั่งรอไปเรื่อยๆ คราวนี้เป็นผู้หญิงครับ แต่งตัวเปรี้ยวใช้ได้ ไอ้ผมก็ผู้ชายที่ชอบมอง กระโปรงที่โชว์ขาขาวก็เป็นจุดดึงสายตาของผมได้ดี จนคนมายืนต้องกระแอม
“ครับ?” ถามคำถามเดิม ผู้หญิงสามคนที่มายืนส่งยิ้มหวานให้
“มารอพี่ฟลอยด์เหรอคะ” เสียงหวานเอ่ยถามออกมา ใบหน้ายิ้มแย้มจนผมเผลอยิ้มตาม
“อ่า ครับ” ตอบรับแบบตัวลอยๆ
“พอดีพี่ฟลอยด์ให้เอานี่มาให้ค่ะ” ‘นี่’ ของน้องเขาคือกระดาษครับ ผมมองกระดาษที่ถูกพับเล็กๆ ที่ถูกยื่นมาให้ พอผมรับ น้องเขาก็เดินไป
‘ไม่ต้องรอ พี่มีนัดและอาจกลับช้า’
เลิกคิ้วมองข้อความบนกระดาษแบบงงๆ อะไรวะ ทั้งที่กำชับให้ผมมารอ แล้วไหงให้กลับก่อน มีเรื่องอะไรหรือเปล่า แต่เพราะความสงสัย ผมเลยส่งข้อความไปหาพร้อมแนบรูปถ่ายกระดาษโน้ตนี่ไปด้วย แต่กลับไม่มีคำตอบใดๆ หรือจะให้กลับก่อนจริงๆ วะ
เมื่อไม่มีคำตอบ ผมก็เดินกลับไปที่รถ แล้วต้องเบิกตากว้าง เมื่อเห็นกลุ่มผู้หญิงพวกนั้นกำลังจะราดน้ำแดงใส่ออดี้สุดหวงของพี่ฟลอยด์ เชี่ยเอ้ย ผมรีบวิ่งแหกปากตะโกนจนพวกนั้นตกใจทำน้ำแดงตกพื้น แอบเห็นมือของหนึ่งในสามถือมีดคัตเตอร์ที่คาดว่าจะสร้างรอยบาดแผล โชคดีที่ผมออกมาทัน
ลูบๆ คลำๆ รถจนคิดว่าปลอดภัยก็ขึ้นไปนั่ง ไม่เข้าใจว่าเด็กพวกนั้นจะทำอะไร ไม่ชอบหน้าผมเหรอ แต่นี่มันไม่ใช่รถผมไง หรือเกลียดพี่ฟลอยด์วะ เอ หรืออะไรหว่า
ขับรถออกจากมหาลัยเพื่อกลับบ้าน แต่มือถือดันดังขึ้นมาขณะติดไฟแดง พอหยิบมาดูเป็นพี่ฟลอยด์ที่ตอบกลับมาด้วยการถามว่า ใครเอาให้ แล้วผมจะรู้จักมั้ยละ ผมเลยขับไปจอดริมฟุตบาทแล้วโทรไปหา
“ผู้หญิงว่ะพี่ สวยด้วย” ทันทีที่ปลายสายรับผมก็ตอบไปทันที
(ใครวะ แล้วนี่อยู่ไหน เดี๋ยวพี่จะเลิกเรียนแล้ว) เชี่ย เล่นอะไรกันวะ
“ออกมาแล้ว แต่ไม่ไกล” พูดจบผมก็วางสายแล้ววกรถกลับไปรับพี่ฟลอยด์เหมือนเดิม อะไรวะ หรือจะเป็นบรรดากิ๊กที่หลงรักเจ้าของรถแล้วเกลียดผม มีส่วนๆ
ขับย้อนมาถึงมหาลัยอีกรอบ คราวนี้เจอเต็มๆ ครับ พี่ฟลอยด์กำลังยืนเท้าเอวอยู่ข้างพี่เกน ด้านหน้าคือสามสาวพาวเวอร์พับเกิร์ลที่ก้มหน้าคางชิดนม เอ้ย อก พอผมเดินลงไปหา สามสาวก็ทำท่าตกใจราวกับเห็นผี
“อะไรวะพี่” ถามอย่างงงๆ เกิดอะไรขึ้นกันแน่
“พวกนี้ใช่มั้ยที่เอาจดหมายให้” พี่ฟลอยด์ทำหน้านิ่งถามผม แต่ตาจ้องสามสาวอย่างหาเรื่อง
“ใช่ ทำไมเหรอ” ผมเดินไปยืนข้างพี่ฟลอยด์ ยิ่งทำให้สามสาวก้มหน้ามากกว่าเดิม
“เด็กไอ้สิงห์มัน” เป็นพี่เกนที่ตอบ ผมก็ยังทำหน้าไม่เข้าใจ
“แล้วมันยังไง”
“เด็กมึงโง่เกิน” อ่าว พี่เกนด่าผมเฉย “ตอนนี้ไอ้สิงห์นอนอยู่โรงพยาบาล”
“ห๊ะ” ตาโตมองสิ่งที่พี่เกนบอก “เมื่อไหร่ เป็นอะไรวะพี่”
“หลังจากพวกมึงกลับจากผับ” ถ้าตามที่พี่เกนพูดจริงก็เป็นอาทิตย์แล้วสิวะ
“พี่เขาเป็นอะไรวะพี่ อาการหนักเลยเหรอ”
“ยังจะไปห่วงมันทำไม” กลายเป็นพี่ฟลอยด์ที่ตวาดจนนักศึกษาแถวนั้นหันมามอง
“ถูกกูซ้อม” ผมต้องรีบขยี้รูหูซ้ำๆ
“ไปซ้อมพี่เขาทำไม” จ้องหน้าพี่เกนอย่างอยากรู้ แต่คนโดนจ้องพยักพเยิดไปทางคนอีกข้างของผมแทน “พี่ฟลอยด์เกี่ยวด้วยเหรอ” คนนี้คาดคั้นได้สะดวกครับ
“ใครใช้ให้มันมาแตะตัวมึงล่ะ”
“เหตุผลแค่นี้? พี่ทำเกินไป” ผมเริ่มโมโหนิดๆ ละ
“เกินไป? นี่ยังน้อยไปด้วยซ้ำ” พี่ฟลอยด์พูดออกมาหน้าตาเฉย แถมยังเดินไปอยู่หน้าสามสาวในระยะประชิดจนพวกเธอต้องถอยหลัง “อย่าทำแบบนี้อีก เพราะผมจะไม่ปล่อยคุณไปอีกแน่” คำสั่งเสียงเฉียบขาดจนสามสาวรีบพยักหน้า ดวงตาโตเริ่มมีน้ำตาคลอ
“มึงไม่ทำอะไรเหรอวะ” พี่เกนเดินไปยืนคู่พี่ฟลอยด์ แถมตอนนี้เพื่อนๆ พี่ฟลอยด์ที่เพิ่งลงมาก็มายืนออเต็มไปหมด บ้างก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น เป็นพี่เกนที่บอกแบบเรียบๆ ไปจนทุกคนพยักหน้าเข้าใจ
“นี่แค่ตักเตือน ถ้ายังทำอีก...คงรู้ว่าผมไม่ใช่คนใจดี” ข่มขู่ พี่ฟลอยด์เดินไปกดดันแถมข่มขู่จนน้ำตาสามสาวไหลเป็นทางแล้วรีบวิ่งไป
ผมยืนมองด้วยความขัดใจที่เห็นพวกพี่ฟลอยด์รุมรังแกผู้หญิง ถึงพวกนั้นจะคิดทำร้ายแต่เขาก็เป็นผู้หญิงนะครับ เป็นเพศอ่อนแอ ทำแบบนี้ก็เกินไป
“พี่ทำเกินไปนะ” ผมแหวขึ้นมาทัน เพื่อนพี่ฟลอยด์พากันหัวเราะ
“ตรงไหนที่ว่าเกินไป” คนหน้าตึงเดินเข้ามากดดันผมแทน
“มันไม่เกินไปหรอก ถ้าหนึ่งในนั้นไม่มีน้ำกรด ถ้าหนึ่งในนั้นไม่มีมีดพก และถ้าหนึ่งในนั้นไม่มีปืน คงเรียกมึงไปเพื่อจะทำร้ายนั่นแหละ” พี่เกนร่ายยาวจนผมและพี่คนอื่นๆ ยังตกใจ คิดว่าจะทำร้ายรถซะอีก กะฆ่าผมเลยเหรอเนี่ย
“เชี่ย รู้ได้ไงวะ” เพื่อนพี่ฟลอยด์ถามออกมาด้วยความตกใจ
“กูค้นกระเป๋าไงไอ้ห่าที” พี่เกนตอบเพื่อนจนโดนตบหัวเบาๆ (แต่ผมปลิว)
“นี่กะเล่นให้ตายเลยเหรอวะ โหดจริงๆ ผู้หญิงสมัยนี้” พี่ทีทำหน้าสยดสยองทันที ส่วนผมได้แต่นิ่งเพราะพูดอะไรไม่ออก
“ยังเกินไปอยู่หรือเปล่า ที่พี่ทำ” น้ำเสียงปลายสะบัดให้รู้ว่างอนและน้อยใจทำให้ผมยิ้มแหยๆ และกำลังจะอ้าปากพูด พี่ฟลอยด์ก็เดินหนีไปแล้ว
“พี่ไปซ้อมพี่สิงห์ทำไม” แม้ตาจะมองตามหลังคนงอนไป แต่ก็อยากรู้เรื่องก่อน ขืนให้ไปถามพี่ฟลอยด์ มีหวังถูกเงียบใส่ตามเคย
“ก็ตอนในผับ ไอ้ฟลอยด์เห็นมึงถูกไอ้สิงห์มอมเหล้า ดีที่มึงคอแข็ง แต่ที่มันไม่พอใจคือไอ้ห่าสิงห์ขอเอามึงสักรอบ จนถูกลากออกไปกระทืบด้านนอก” พี่เกนเล่าเป็นฉากๆ ซึ่งพี่ที่ชื่อทีก็พยักหน้า คงจะอยู่ในเหตุการณ์สินะ
“พี่ฟลอยด์กระทืบเหรอ ตอนไหน ทำไมผมไม่เห็น” นั่นสิ ทำไมผมไม่เห็นวะ
“มึงอยู่หรือเปล่าละ หายหัวจนพวกกูต้องออกตามหา”
“แต่ตอนผมกลับมาก็ไม่เห็นมีใครเล่าอะไรให้ฟัง นับๆ แล้วเกือบอาทิตย์ด้วยซ้ำ”
“มันคงอยากเล่าหรอก ไม่เอาถึงตายแค่หยอดน้ำข้าวต้มก็บุญเท่าไหร่แล้ว” พี่ทีพูดออกมาแทน
“มึงก็รู้นิสัยไอ้ฟลอยด์นี่หว่า ขี้หึงไม่มีใครเกิน แล้วที่ไอ้สิงห์ทำมันก็เกินขอบเขตความอดทนของมันแล้ว”
“พี่ฟลอยด์กระทืบคนเดียวเหรอ” ถามออกไป ไม่มีเสียงตอบกลับ มีเพียงแต่การมองตากันปริบๆ “พวกพี่ด้วยสินะ”
“นานๆ ทีว่ะ ไอ้น้อง” พี่ทีหัวเราะแห้ง แต่ผมมองตวัดตามองก็เงียบ
“พี่สิงห์ก็เพื่อนพี่นะ” ทำเพื่อนตัวเองใช้ได้ที่ไหนวะ
“มันเป็นเพื่อนของเพื่อนเว้ย เรียนอยู่คนละที่ด้วย มันถึงห่ามทำแบบนี้ไง ถ้าอยู่ที่นี่คงไม่กล้าแหย่ขนจมูกไอ้ฟลอยด์หรอก” พี่ทีร่ายยาว ผมก็พยักหน้าส่งๆ
“เออๆ” ขี้เกียจถามต่อเลยเลือกเดินกลับไปหาคนที่งอนนั่งรอให้รถ
ทันทีที่ผมเปิดประตูไปนั่ง ออดี้สีขาวก็พุ่งทะยานจนผมตกใจ ไม่รู้จะรีบเหาะไปไหน เหยียบทีหัวใจไอ้ต้อมจะวาย กว่าจะถึงบ้าน ผมสวมมนต์ไปเป็นร้อยรอบ กลัวเหลือเกินว่าจะกลับไม่ถึงบ้าน
พี่ฟลอยด์ลงจากรถไปไม่หันมามองผมแม้แต่น้อย โหมดคนงอนขี้น้อยใจดราม่ามาเต็มอีกแล้ว ทำไมผมรู้สึกเหมือนมีแฟนเป็นผู้หญิงวะ ทั้งขี้งอน ขี้หึง ขี้น้อยใจ ขี้อะไรอีกสารพัด ขนาดพี่เกนของไอ้ป่านหรือพี่โชของไอ้กลอยยังไม่เป็นเยอะแบบนี้เลย
ผมเดินเข้าบ้านเจอพี่ฟีนกำลังทำตาปริบๆ อยู่กับลูกชาย พอหันมาเห็นผมปุ๊บก็รีบเดินเข้ามาหาแล้วเขย่าแขนยิกๆ
“ฟลอยด์เป็นอะไร ต้อมพอจะรู้มั้ย พี่ถามก็ไม่ยอมตอบ” ผมยิ้มให้พี่ฟีนเพราะไม่กล้าบอกว่าน้องชายกำลังงอน แต่พี่เขาคงเข้าใจเพราะเห็นพยักหน้าแล้วตบบ่าผมปุๆ “ถูกเลี้ยงเอาแต่ใจมากไป ต้อมก็คงเข้าใจ”
โคตรเข้าใจเลยว่ะครับ
เดินตามขึ้นไปชั้นสอง มีล็อกห้องด้วยนะเออ นี่กะจะไม่ให้ผมนอนด้วยใช่มั้ยเนี่ย คิดเหรอว่าไอ้ต้อมจะง้อ ผมเดินลงมาด้านล่างเพื่อขอกุญแจห้อง อย่าคิดว่าผมจะหนีนะครับ ไอ้ต้อมไม่ใช่คนประเภทนั้น พอได้กุญแจก็รีบเดินปึงปังขึ้นไป ไขได้ก็มองหาคนขี้งอนที่คงอาบน้ำอยู่ ผมนั่งรอจนพี่ฟลอยด์ออกจากห้องน้ำมา แต่งตัวชุดนอนเรียบร้อย
“พี่ไม่ลงไปกินข้าวเหรอ” ผมถามขณะคนงอนล้มตัวนอนบนเตียง พี่ฟลอยด์ไม่แม้แต่จะชายตามามอง พอนอนได้ก็คลุมโปงจนผมส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ “ตามใจ”
ผมเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วลงไปด้านล่าง บนโต๊ะอาหารมีแค่พี่ฟีนกับน้องเฟรมที่นั่งรออยู่ พอเห็นผมพี่สาวคนรองก็กวักมือเรียกให้ผมไปนั่ง
“เหลือแค่นี้แหละ” พี่ฟีนว่า มือก็คอยตักไข่เจียวใส่จานลูกชาย
“น่าอร่อยนะครับ” ผมพูดขึ้นเมื่อเห็นกับข้าวง่ายๆ ไม่กี่อย่าง
“ถ้าไม่ชอบสั่งทำใหม่ก็ได้นะ พี่เห็นว่าพี่เฟิร์นกับพ่อไม่อยู่ เลยให้ทำง่ายๆ” ผมยิ้ม มือก็ตักผัดผักรวมกุ้งสดใส่จาน
“ไม่เป็นไรครับ ผมกินได้ ตอนอยู่หอ ผมยังต้มบะหมี่ใส่ปลากระป๋องเลย” ผมว่า พี่ฟีนทำตาโตมอง
“พี่ก็อยากกินนะ เห็นเขาว่ากันว่ามันอร่อย”
“มากครับ”
หลังจากอิ่มหนำ ผมก็ยกข้าวไข่เจียวขึ้นไปให้คนงอนที่ยังนอนคลุมโปงไม่มีขยับเขยื้อนแต่อย่างใด
“พี่ฟลอยด์ กินข้าวได้แล้ว” เดินไปสะกิด แต่ร่างที่นอนใต้ผ้าห่มขยับตัวหนี “จะหายใจออกมั้ยน่ะ รีบๆ ออกมากิน ไข่เจียวห๊อมหอม” พยายามทำเสียงให้ปกติที่สุด ปกติจะง้อง่ายมาก คราวนี้ท่าจะยาก
“ไม่หิว” เสียงที่ดังลอดออกมาอู้อี้ แต่ก็ฟังรู้เรื่อง
“ไม่หิวได้ไง นี่มันจะทุ่มแล้ว เร็วๆ เดี๋ยวเป็นโรคกระเพาะหรอก” ต้องหลอกล่อครับ
“ไม่”
“พี่ฟลอยด์” ลากเสียงยาวให้ดูน่ารำคาญ และมันได้ผล คนนอนคลุมโปงเปิดผ้าห่มออกมาตีหน้ายุ่ง “กินข้าว”
“ไม่กิน ไม่หิว ออกไปเลย” มีไล่ผมด้วยว่ะ
“ไล่เลยเหรอ” ถามออกไป คนงอนนั่งกอดอกอยู่บนเตียงพยักหน้าตอบ “เออ ถ้าไล่ก็จะไป แต่กินข้าวก่อน”
“ไม่หิวโว้ย” ขึ้นเสียงมาจนสะดุ้ง เชี่ยเอ้ย
“ไม่หิวก็ไม่หิว งั้นวางไว้นี่นะ หิวก็ออกมากิน” ผมวางข้าวไข่เจียวที่ผมทำไว้บนโต๊ะ ก่อนจะออกไปยังแอบเหล่ตามองคนงอนก่อดราม่าอยู่บนเตียง ได้แต่ขำหน้าตาตลกๆ นั่น “ไปละ ไล่แล้วไม่ต้องตามกลับมาด้วย”
ผมหัวเราะออกมาหลังจากปิดประตูแล้ว ที่ขำเพราะหน้าของคนงอนที่เบิกตาจนแทบถลนที่ผมบอก พวกเด็กเอาแต่ใจยิ่งเราตามใจก็จะยิ่งดื้อ ดังนั้นเราต้องดัดนิสัยครับ ผมลงมาด้านล่างไม่เจอใครแล้ว เลยเลือกจะออกไปนั่งรับลมด้านนอก แต่ลมไม่มีพัดมาสักนิดน่าขัดใจ เลยไปนั่งตากยุงในสวน ซึ่งตอนนี้ผักที่ปลูกเริ่มสวยงามสามารถเก็บกินได้
นั่งไปนานๆ เริ่มมีลมพัดมาให้คลายร้อน ผมเลยล้มตัวลงไปนอนกับพื้นหญ้าทำให้เห็นดวงดาวที่พร่างพราวเต็มท้องฟ้า ช่างสวยซะจริง
พอนอนอยู่คนเดียวก็มาคิดเรื่องที่พี่ฟลอยด์ทำร้ายพี่สิงห์อะไรนั่น ถ้าเป็นตอนเกิดเหตุการณ์ใหม่ๆ ไม่แน่ผมอาจเข้าร่วมวงด้วย แต่มันผ่านมาแล้ว ความโมโหที่ถูกเกาะแกะก็หายไปแล้วด้วย เลยเห็นว่ามันเป็นการกระทำที่รุนแรงเกินไป พอคิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ
ไม่รู้นานเท่าไหร่ที่ผมนอนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย รู้ตัวอีกทีตอนมีรถขับเข้ามา คงจะเป็นพ่อหรือไม่ก็พี่เฟิร์น และผมคงจะนอนต่ออีกหน่อยถ้าไม่ได้ยินเสียงโวยวายดังลั่นบ้าน อะไรวะ เกิดอะไรขึ้น
ผุดลุกขึ้นนั่ง สายตามองไปยังหน้าบ้านที่เห็นในระยะไกล ผมเห็นคนใส่ชุดนอนวิ่งไปวิ่งมา ปากก็ตะโกนจนถูกพ่อตัวเองด่าให้เงียบเพราะดึกแล้ว แต่พี่ฟลอยด์ดูไม่สนใจยังคงเดินไปเดินมา จะไปไหนของพี่แกน่ะ ผมยืนขึ้นเมื่อพี่ฟลอยด์ขับรถออกจากบ้านไป ขาก็รีบสาวไปหน้าบ้าน เจอกับพ่อพี่ฟลอยด์ที่ขมวดคิ้วหัวเสีย
“มีอะไรเหรอครับ แล้วพี่ฟลอยด์จะไปไหน” ผมถามเจ้าของบ้านที่จ้องผมนิ่งๆ
“ไปไหนมา ไอ้ฟลอยด์มันตามหา” พ่อถามผมออกมา
“อยู่หลังบ้าน...” นั่นไง คนขี้งอนออกตามหาผมนั่นเอง “เอ่อ ขอยืมโทรศัพท์หน่อยได้มั้ยครับ” แม้พ่อดูไม่อยากยุ่งแต่ก็วางมือถือเครื่องแพงบนมือผม พอต่อสายไปจนดับไปสองรอบ รอบสุดท้ายปลายสายก็กดรับ
(ถ้าหาต้อมไม่เจอผมไม่กลับ) เสียงดูร้อนรนจนผมเผลอเลิกคิ้ว
“พี่จะไปหาผมจากที่ไหน” ถามออกไป ได้ยินเสียงปลายสายตะโกนสบถเสียงดังลั่น ไม่นานสายก็ตัดไป ผมยื่นมือถือคืนพ่อไป ซึ่งหลังจากได้ของคืนก็เดินเข้าบ้าน มีทิ้งท้ายไม่อยากยุ่ง ผมได้แต่ก้มศีรษะขอโทษไป
ยืนรออยู่หน้าบ้านครู่ใหญ่ รถคันสวยก็พุ่งมาจอดตรงหน้าผม เจ้าของรถเปิดประตูตีหน้ายักษ์เข้ามาหา ผมรีบถอยหลังทันทีกลัวถูกชก หน้าตาโคตรหาเรื่องจนผมกลัว
แต่ผิดคลาด พี่ฟลอยด์เดินเข้ามาแล้วดึงผมไปกอด...แต่มันแน่นเกินจนต้องผลักออก
“มึงหายไปไหนมา” ตะคอกถาม
“อยู่ในสวน” ตอบไปชี้ไป “พี่นั่นแหละ ไปไหนมาวะ”
“ไปตามหามึงนั่นแหละ”
“ตามหาทำไม เมื่อกี้พี่ไล่ผมเอง”
“มึงก็รู้ว่ากูงอน” น้ำเสียงแข็งกระด่างหายไปทันตา ผมขำจนคนบอกว่าตัวเองงอนหน้าบึ้ง
“ก็รู้ไงว่างอน” พูดเจือเสียงหัวเราะ
“รู้แล้วหายออกมาทำไมวะ”
“อ่าว ก็พี่ไล่ผมก็ออกมาสิ จะอยู่ทำไม” ดูเหมือนคนไล่จะพูดไม่ออก
“ไม่รู้ละ ต่อไปถ้าถูกไล่ก็ให้รออยู่ในห้อง เข้าใจมั้ย” พอหาเสียงเจอก็ร่ายยาว
“นี่ผมผิดเหรอวะ”
“เออ ผิด”
คนแบบนี้ก็มีเว้ยเฮ้ย
ผมหัวเราะร่วนตามหลังคนกึ่งจูงกึ่งลากเข้าบ้าน พอขึ้นห้องก็เห็นจานข้าวหมดเกลี้ยงไม่เหลือสักเม็ด ไหนคนไหนบอกไม่หิววะ ดูเหมือนคนบอกไม่หิวจะรู้ว่าผมมองจานข้าว เลยเลือกจะเดินซุยๆ ไปนั่งบนเตียงโดยดึงแขนให้ผมลงไปนั่งตาม...
แต่มันจะดีกว่านี้ถ้าไม่ต้องให้นั่งคร่อมตัก โคตรล่อแหลม
“ผมขอโทษ” บอกออกไปเพราะรู้สึกผิดนิดๆ
“เรื่อง?” มีตีหน้ามึนด้วยนะ
“ที่พี่ปกป้องผม” ยิ้มให้คนทำดี “แต่ก็โกรธที่ทำเกินเหตุ”
“น้อยไปด้วยซ้ำ ตอนเห็นมันกอดแทบจะพุ่งมากระทืบให้ตายคาตีน”
“เห็นด้วยเหรอ นึกว่ามัวแต่หลงนม”
“เต็มๆ สองตานี่เลย” ผมหัวเราะให้คนที่ชี้ดวงตาสองข้างตัวเอง “ทำไมไม่ขัดมันวะ”
“นั่นก็เต็มที่แล้ว ถ้ามากกว่านั้นคงกระทืบไปละ” บอกตามความรู้สึกตอนแรกที่โดน “แต่พี่ก็ทำไม่ถูก พรุ่งนี้ไปขอโทษพี่เขาเลย”
“ไม่” ปากยู่เหมือนเป็ดจนผมต้องบีบ “อ๋อ นี่ทำร้ายพี่แล้วเข้าข้างมันเหรอ” ดูครับ ดูคนพาล
“อย่ามาดราม่าครับพี่ฟลอยด์” ใช้หน้าผากเคาะกับหน้าผากคนพาลเบาๆ
“ไม่ได้ดราม่า แต่งอน น้อยใจด้วย มากด้วย ที่สุดด้วย” คนบอกอารมณ์ตัวเองหน้างอเป็นปลาทูไปแล้ว แบบนี้จะไม่ให้ขำได้ไง
“ก็ง้ออยู่นี่ไง จะหายไม่หาย”
“นี่ง้อหรือบังคับวะ”
“ทั้งคู่”
“เหอะ” พี่ฟลอยด์เบือนหน้าไปมองหน้าต่าง
“เอาน่า นี่ง้อสุดๆ แล้วเนี่ย หรือจะให้แก้ผ้าเต้นจ้ำบ๊ะให้ดู” พูดทีเล่นทีจริง แต่คนงอนทำตาวาว “พูดเล่นครับพี่ครับ”
“หึๆ”
เริ่มรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย ผมรีบตะกายลงจากตัก แต่มือที่ยึดสะโพกไว้จับแน่น แถมสายตาที่จ้องมายังหื่นเต็มพิกัด
“บอกว่าล้อเล่นเว้ย เชี่ย ห้ามล้วง”
“ไม่ล้วงก็ได้” คนบอกจะไม่ล้วงแต่กลับแก้ผ้าผมแทน ครับไม่ต้องล้วง ไม่มีเสื้อผ้าขวางก็ไม่ต้องล้วง เหี้ยแล้ว
นี่ถ้าไม่เห็นว่าทำเพื่อผมละก็ ไม่มีทางจะยอมง่ายๆ หรอกนะเออ
“พี่ฟลอยด์” ถามขณะถูกปากแดงกัดเม้มที่คอ
“หืม” นี่ก็ไม่ยอมพูดยอมจา จ้องจะกัดคอผมอยู่นั่น
“พรุ่งนี้ไปขอโทษพี่สิงห์กันนะ เชี่ย” ที่ด่าเพราะถูกกัดคอครับ กัดจริงๆ โคตรเจ็บ
“ถ้าวันนี้ทำตัวดี เรื่องพรุ่งนี้ก็ตกลง” มีต่อรองด้วยว่ะ แล้วจะทำไงได้ จัดไปครับ จัดให้เต็มที่ คิดซะว่าไอ้ต้อมเป็นตุ๊กตายางไปเลย!
ที่โรงพยาบาลหน้าห้องพิเศษ ชื่อหน้าห้องเป็นชื่อของคนไข้ที่พักรักษาตัวอยู่ในนั้น ผมถือกระเช้าผลไม้เพื่อเยี่ยมคนไข้ มีพี่ฟลอยด์ยืนหน้าบึ้งอยู่ข้างๆ
“ทำหน้าให้มันดีๆ หน่อย” ผมสะกิดคนหน้าบูด
“เต็มที่แล้วเนี่ย” ส่ายหน้าให้คนดื้อ
ผมเคาะประตูไม่นานก็มีคนมาเปิด ผู้หญิงที่เอากระดาษให้ผมตกใจเมื่อเห็นผมยืนอยู่หลังประตู ผมยิ้มให้อย่างเป็นมิตรพร้อมชูกระเช้า เธอถอยนิดๆ ให้ผมเข้าไป คนไข้นอนดูทีวีอยู่บนเตียง พอเห็นผมก็กระพริบตาปริบๆ แต่พอเห็นคนเดินตามหลังผมเข้ามาก็หน้าบึ้ง
“มึงมาทำไม” พี่สิงห์เอ่ยทัก สายตามองไปยังพี่ฟลอยด์
“...” พี่ฟลอยด์ไม่ตอบอะไร ตาก็เอาแต่จ้อง เป็นผมที่ต้องพูดแทรก
“คือผมเอากระเช้ามาเยี่ยม” เดินเข้าไปหาแต่ถูกดึงเสื้อด้านหลัง สาวสวยที่เปิดประตูคงเห็น เธอเลยเดินมาเอากระเช้าไปวางบนโต๊ะข้างคนไข้แทน “ดูพี่ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้วนี่”
“เออ” ตอบเสียงห้วนจนผมขมวดคิ้ว “แล้วมาทำไม”
“พี่ฟลอยด์” ผมเรียกคนที่ทำเป็นนิ่ง ได้ยินเสียงจิ๊ปากก่อน
“ขอโทษ” พี่ฟลอยด์บอกเสียงห้วนๆ แต่ก็ดังพอให้คนนอนบนเตียงเลิกคิ้ว
“มึงมาขอโทษกู?” พี่สิงห์ถามกลับด้วยความแปลกใจ
“เออ” นี่ก็ห้วนจริง
“ผมรู้ว่าพี่ฟลอยด์ทำเกินไป แต่พี่ก็ทำเกินไปกับผม อย่าคิดว่าผมไม่รู้ที่พี่จะมอมเหล้าผม” บอกเสียงนิ่ง พี่สิงห์รีบหันไปมองแฟนตัวเองทันที
“เออๆ กูขอโทษ” พี่สิงห์เอ่ยขอโทษผมออกมา ก่อนมองไปที่พี่ฟลอยด์ที่ยืนนิ่งอยู่ข้างผม “กูก็ขอโทษมึงด้วยเหมือนกัน”
“ถ้ามึงยังทำอีก กูเอามึงตาย” นี่ให้มาขอโทษ แต่พี่ฟลอยด์ดันมาขู่คนไข้แทนซะงั้น พี่สิงห์ได้ยินก็พยักหน้าแล้วหัวเราะออกมา
“อืมๆ”
หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจ ผมก็เดินออกมากับพี่ฟลอยด์ เกือบจะเข้าลิฟต์แล้วหากสาวสวยแฟนพี่สิงห์ไม่วิ่งมาเรียกซะก่อน
“คือ...” ใบหน้าสวยอ้ำอึ้งจนผมยิ้มออกมา เธอถึงเอ่ย “ขอโทษนะคะที่ทำไป”
“ผม...”
“รู้ไว้ก็ดี อย่าคิดทำคนของผมอีก” ผมถลึงตาใส่พี่ฟลอยด์ที่พูดแทรก สาวเจ้าก็รีบพยักหน้าแล้วเอ่ยขอโทษอีกรอบก่อนจะหันหลังย้อนไปที่ห้องคนไข้
“พี่นี่นะ” ผมว่าพลางขำ
“อะไร”
“สงสัยต้องเลิกกินหวานแล้วว่ะ”
“ทำไมต้องเลิกกินหวาน”
“ก็ดุเกินไป” พี่ฟลอยด์เลิกคิ้วมองหน้าผมอยู่นานก่อนจะนึกขึ้นได้ก็คว้าคอผมเข้าใต้รักแร้ “เชี่ย ผมเจ็บ”
“ด่าผัวว่าหมาเหรอหา” โดนหมัดหมุนอยู่บนหัว โคตรเจ็บ
“เจ็บๆ” พยายามตีต่อยจนหลุดออกมา ผมมองคนใช้ความรุนแรงตาเขียว
“มองหน้าพี่ทำไมครับ” ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนน่าหมั่นไส้
“งอนเว้ย น้อยใจด้วย ที่สุดด้วย” ผมว่า พยายามปั้นหน้าบึ้ง แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหวเผลอหัวเราะออกมา “ทำไม่ได้ว่ะ”
“ถึงไม่งอน พี่ก็ง้อได้นะ” ผมเหล่มองคนบอกชอบง้อ ก่อนจะถอยห่างเมื่อมีเสียงกระซิบชิดใบหู “แต่ต้องง้อบนเตียงนะ รับรอง หายงอนแน่ แถมติดใจด้วย”
ไม่มีทางครับ ไอ้ต้อมไม่มีทางงอนให้ไอ้พี่ฟลอยด์มันง้ออย่างแน่นอน แค่เมื่อคืนต้องง้อมันก็แทบหมอนรองกระดูกเคลื่อน ไอ้ต้อมเข็ดครับ เข็ดหลาบจนฝังขึ้นใจ
“พี่เคยตายในลิฟต์ป่ะ”
.........................................................
ใครว่าพี่ฝอยไม่ทำอะไร ไม่ค่ะไม่ .. ไม่เหลือ ฮ่าๆๆๆ
เป็นตอนต่อ (มั้ง) จากตอนพี่แล้วค่ะ เห็นพี่ฝอยเงียบๆ กระทืบเรียบนะฮ้าบ