No Sugar ไม่หวานก็รักว่ะ >>ตอนพิเศษ ลอยกระทง [P.25]<<[03/11/60]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: No Sugar ไม่หวานก็รักว่ะ >>ตอนพิเศษ ลอยกระทง [P.25]<<[03/11/60]  (อ่าน 280718 ครั้ง)

ออฟไลน์ netich

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ MiU

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 229
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-3
น่ารักจังเลย อ่านแล้วขำ ขยันเถียงกันจริงๆ

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
พี่ฟรอยด์ป่วยนะคะน้องต้อม
น้องต้อมเป็นแฟนก็ต้องดูแล


 :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ Roman chibi

  • Death is not the end. Death can never be the end. Death is the road. Life is the traveller. The soul is the guide.
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-3
ฝอยขัดหม้อขี้อ่อย :katai4:

ออฟไลน์ bulldog17

  • ❤GOT7
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +265/-12
ต้อมน่ารักจังงงงงง

ออฟไลน์ aiaea83

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 676
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +494/-5
No Sugar : 06



       คนป่วยนอนห้องผมมาสองวันเต็มแล้วครับ ทั้งที่มันน่าจะหายดีแล้วแต่ก็ไม่ยอมกลับ แถมยังไปขนเสื้อผ้ามาตอนผมไปเรียนอีก ไม่รู้จะสรรหาคำอะไรมาด่าจริงๆ เคยด่าไปแล้วโดยสวนกลับแล้วพูดไม่ออกก็เลยได้แต่ดูมันเอาเสื้อใส่ไม้แขวนแล้วแขวนในตู้รวมกับของผม

   “มึงจะอยู่ที่นี่จริงเหรอวะ คอนโดมึงโคตรสบาย ห้องกูแคบกว่าห้องน้ำมึงอีกนะ” พูดรอบที่ห้าสิบแล้วครับประโยคนี้
 
   “ก็มึงอยู่ที่นี่” นี่ก็คำตอบครั้งที่ห้าสิบเช่นกัน ได้ฟังทีไรปวดหัวทุกที

   แล้วการที่มันมาอยู่กับผมยิ่งเพิ่มความฮอตไปกันใหญ่ เมื่อเช้าไอ้ป่านเอาเพจคู่ผมมาให้ดู ประโคมข่าวว่าไอ้ฟลอยด์ย้ายมาอยู่ก่อนแต่งกับผมอีก ขนาดได้กลอยยังโทรมาถามรัวๆ แล้วไม่ฟังคำตอบอะไรจากผมเพราะมันสรุปคำตอบเองแล้วก็วาง เอากับมันสิ

   “มึงกลับไปอยู่คอนโดมึงเถอะว่ะ กูพูดจริงๆ” อ่อนใจมากบอกเลย ไอ้ฟลอยด์ชะงักมือที่แขวนเสื้อ มันเดินมาหาผมแล้วจับไหล่ผมแน่น

   “มึงฟังกู” ผมก็จ้องหน้ามันนิ่งๆ “กูไม่กลับ” แล้วมันก็เดินไปเก็บของต่อ ไอ้ต้อมทรุดนั่งลงบนเตียงเลยครับ ช่างมัน ปล่อยมันไป เหนื่อยจริง มิน่าครีมถึงบอกว่ามันเอาแต่ใจโคตรๆ ตอนนี้รู้แล้ว ซึ้งแล้วจริงๆ

   ตอนนี้ผมปั่นสุดหวงไปมหาลัยตามเดิม เพิ่มเติมมีคนซ้อนท้าย ตอนแรกมันจะเอารถมันมาแต่ผมไม่ยอมขึ้นไปนั่ง แค่นี้ก็เป็นเป้าสายตาอยู่แล้ว ยังจะให้นั่งรถแพงๆ ของมันอีก แต่ดูเหมือนว่า ปั่นสุดหวงไปจะทำให้คนสนใจมากขึ้นกว่าเดิม

   “มึงจะกอดเอวกูทำเชี่ย” ดึงแขนมันออกจากเอวเป็นสิบรอบ สุดหวงก็เซไปมา

   “มึงก็ขี่ดีๆ สิวะ” น้ำเสียงมันฟังก็รู้ว่าแกล้งผม ตัวก็โตยังมานั่งซ้อนท้ายอีก

   “ทำไมมึงไม่เอารถมึงมา”

   “แบบนี้ประหยัดน้ำมันดี” มันกวนครับผมรู้

   สรุป ผมต้องไปส่งมันที่คณะก่อน แล้วคนคณะมันมองกันเป็นแถว จากลูกคุณหนูมานั่งซ้อนท้ายจักรยานเก่าๆ พอมันลงไปผมกำลังจะปั่นกลับ มันดึงท้ายจนปั่นไม่ไป ไอ้เชี่ยนี่กวนมากไปแล้ว

   “จับทำเชี่ย”

   “มึงเลิกเรียนกี่โมง”

   “บ่ายสาม”

   “กูเลิกห้าโมงเย็น มารอรับกูด้วย” แล้วมันก็เดินไปรวมกลุ่มเพื่อนมันที่มายืนดูอยู่ เห็นมันตบหัวเพื่อนมันคงจะโดนแซว กลุ่มมันเป็นกลุ่มลูกคนมีตังค์ หน้าตางั้นๆ ทุกคนนั่นแหละ

   ปั่นมาถึงคณะก็เจอเสียงโห่รับ ไอ้ป่านเดินมาดึงแขนผมขณะจอดสุดหวง ไอ้เชี่ยนี่ผีเข้าหรือเปล่า

   “แหม ตั้งแต่เพื่อนกูจะมีผัวนี่ออร่าความสวยนี่ฟุ้งกระจายมาก” เหล่ตามองไอ้ป่าน “พวกมึงดูหน้ามัน จากหยาบกร้านกลายมานุ่มนวลขาวผ่องเป็นยองใย” พวกแล้วที่นั่งอยู่นับสิบก็โห่ร้องจนผมต้องตบเข้าหัวไอ้ป่านไปเต็มมือ

   “ยองใยพ่องมึง แล้วพวกมึงมานั่งทำเชี่ยอะไร” ด่าไปแต่พวกมันไม่สำนึกหรอก

   “พวกกูนั่งมาตั้งนานแล้วโว้ย” ไอ้กานเพื่อนคณะพูด รอยยิ้มมันโคตรกรุ้มกริ่ม “มึงนั่นแหละมาโคตรช้า หรือว่ามัวแต่ทำลูกวะ” แล้วพวกมันก็โห่ร้องเหมือนควายกำลังจะเกิดลูก

   “ทำลูกพ่อง” เหวี่ยงใส่แต่พวกมันไม่สะเทือน

   เรื่องหน้าใสนี่ก็เหมือนกัน ผมถูกไอ้ฟลอยด์จับทาครีมโคตรเยอะ ไม่รู้มันไปสรรหามาจากไหน ครีมของผู้หญิงก็ยังมี บ้ามาก
 
   “กูว่า มึงเรียนเกษตรเสียเที่ยวแล้วว่ะ” ไอ้นัยทำตาเป็นประกายพูดขึ้นจนไอ้พวกขี้สอดถามว่าทำไม

   “ทำไมวะมึง”

   “อ่าว ก็จบมามันไม่ได้ทำหรอกไร่นา นู้น มันจะไปเป็นเมียเศรษฐีนอนนับเงินเป็นฟ่อนๆ”

   “ฮิ้ววว”

   ปล่อยพวกมันหอนไป ผมเดินมานั่งแยกโต๊ะอยู่คนเดียว ไม่วายพวกมันยังตามมานั่งด้วย และยังเห่าหอนกันไม่เลิก

   “ไอ้ต้อม พวกกูถามมึงจริง” ผมเหล่ตามองไอ้คนที่พูด “มึงกับพี่เขาได้กันยังวะ” แล้วมันก็โดนตบหัวหลายป๊าบ ไม่ใช่ผมหรอก ก็ไอ้พวกขี้สอดนั่นแหละ

   “ไอ้เชี่ยวา มึงถามไม่คิด มันย้ายไปอยู่ด้วยกันขนาดนั้น ไม่ได้กันได้ไงวะ”

   “กูลืมไป”

   ผมไม่โต้ตอบอะไรสักอย่าง ปล่อยพวกมันไป ยิ่งพูดไปพวกมันจะยิ่งตีความผิด เอาเป็นว่า ผมกับไอ้ฟลอยด์ยังไม่ได้มีอะไรกันแค่นั้นพอ และไม่คิดจะมีด้วยโอเค๊

   วันนี้เรียนกันจนเปื่อย ร่างกายอยากหายไปจากตรงนี้ ผมกับพวกไอ้ป่านมานั่งเป็นผีตายซากอยู่ล่างตึก ไอ้ดอยไปซื้อน้ำ นั่งๆ อยู่ก็มีกลุ่มเด็กผู้หญิงปีหนึ่งมายืนตรงหน้าเลยต้องยิ้มให้

   “มีอะไรหรือกับพวกพี่หรือเปล่า” ถามออกไป สาวๆ กลุ่มนี้ยิ้มนิดๆ ก่อนยกมือไหว้กันยกกลุ่ม

   “สวัสดีค่ะคุณลุง พวกหนูมาขอลายเซ็นค่ะ” อ่า เรียกลุงด้วยเว้ย ทำไมผมดูโคตรแก่

   “อ่อ ปีสองให้มาเหรอ” ไอ้ป่านถาม ตามันยังปรือๆ

   “ค่ะ” ตอบพร้อมเพียงกันสุดๆ

   “แนะนำตัวด้วยครับ” ผมบอก มัวแต่ยุ่งเรื่องไอ้ฟลอยด์จนลืมว่าตอนนี้ยังรับน้องกันอยู่ น้องแต่ละคนก็แนะนำตัวไปวนจนครบ ทุกคนก็ยืนยิ้มแป้นแล้นจนไอ้ป่านขำ

   “พวกน้องยิ้มอะไรกัน มองหน้าเพื่อนพี่อีก แม้มันไม่ใช่พี่ว้ากแต่มันก็ดุเหมือนหมานะครับ” ตบหัวไปหนึ่งทีข้อหาปากมาก พวกน้องๆ กลั้นขำกันสุดพลัง

   “ปากมึงนี่นะ”

   “คือพวกหนูเป็นแฟนคลับพี่ต้อมค่ะ” สาวหนึ่งนางในกลุ่มพูดขึ้น ผมหันขวับไปมอง แฟนคลับอีกแล้ว จากนั้นทั้งกลุ่มก็ฉีกยิ้มยิงฟันผมได้แต่หัวเราะแห้งๆ ส่วนไอ้เชี่ยป่านนี่หัวเราะจนเห็นลิ้นไก่

   ผมรับสมุดน้องๆ มาเซ็น ไม่ใช่ว่าจะไม่อยากสั่งให้ทำนั่นทำนี่ แต่ผมว่า มันดูเยอะเกินไปจนเด็กอาจเอาไปคุยกันได้ว่าผมใจร้าย ทั้งที่หล่อและใจดี พอน้องๆ ได้ลายเซ็นกันครบก็ยังยืนยิ้มไม่ยอมขยับ

   “มีอะไรอีกครับ?” ไอ้ป่านถาม น้องๆ เลยรีบควักมือถือออกมากันทุกคน “อ่อ เดี๋ยวพี่จัดให้” ไอ้ป่านมันลุกจากเก้าอี้ครับ ผมได้แต่มองสงสัย

   “พี่ต้อมคะ พวกหนูขอถ่ายรูปไปลงเพจนะคะ” มีขออนุญาตด้วยเว้ย อ่า นึกถึงตอนที่ไอ้ฟลอยด์บอกสาวๆ หน้าโรงอาหารวันนั้น คงจะไปบอกต่อๆ กันสินะ ไม่อยากวุ่นวายนานเลยพยักหน้าส่งๆ ไป น้องๆ ก็รีบรัวจนผมไม่รู้จะมองกล้องไหน ได้ดั่งสมใจก็สลายตัวไปทิ้งให้ผมมองเพื่อนตาเขียว


   “เพื่อนกูเป็นคนดังไปซะแล้ว”



   เลิกเรียนแล้วครับ กำลังลังเลว่าจะไปรอรับมันที่ใต้ตึกดีมั้ยหรือจะกลับเลย ปั่นสุดหวงอย่างช้าๆ เพราะกำลังใช้ความคิด เห็นไอ้กลอยไกลๆ คงกำลังวาดรูปอะไรสักอย่าง ปั่นไปเรื่อยๆ ชมนกชมไม้จนมาถึงตึกคณะบริหาร นักศึกษามหาลัยเดียวกันแต่เป็นผู้ดีกว่าเยอะ แต่ละคนดูแต่งตัวดี สุภาพเรียบร้อย ไม่เหมือนคณะผมหรอก มีแต่พวกเถื่อนๆ

   นั่งรอแล้วรอเล่า หลับไปหลายรอบก็ยังไม่เลิกสักที จนเผลอหลับไปจริงๆ รู้ตัวอีกทีก็ถูกเขย่า ผมปรือตามองเห็นหน้าไอ้ฟลอยด์เป็นคนแรก ขยับมาหน่อยก็เพื่อนมันอีกสองคน

   “เห็นตรงๆ ก็วันนี้นี่แหละว่ะ” เพื่อนมันว่า ดูยิ้มแปลกๆ จนผมขมวดคิ้ว

   “เปลี่ยนสเป็กนี่หว่า ปกติชอบคนตัวเล็กๆ” เพื่อนมันอีกคนพูดผมก็หันไปมอง

   “เรื่องของกู” ไอ้ฟลอยด์มันว่า

   “สวัสดีครับน้องต้อม” ไอ้เพื่อนคนแรกมันทักผม หน้ามันดูเจ้าเล่ห์ในแบบที่ผมไม่ชอบ

   “หวัดดีครับ” ตอบเรียบๆ

   “เพื่อนพี่มันรักคนยาก น้องนี่โชคดีมากเลยนะ ตกถังข้าวสารเชียว” ผมขมวดคิ้ว มือกำแน่น บอกแล้วว่าผมไม่ชอบไอ้พวกนี้
 
   “งั้นเดี๋ยวผมไต่ขึ้นมาเอง ขอตัว” แม่งโมโหมาก มันดูถูกผมว่ะ เดินหนีออกมาแล้วปั่นสุดหวงกลับทันที ส่วนไอ้ฟลอยด์มันก็ไม่ตามมา เห็นมันตบหัวเพื่อนมัน

   ปั่นจักรยานมาได้ครึ่งทาง โทรศัพท์ก็เข้า ไอ้ดอยโทรมาชวนไปซดยาดองผมตอบตกลงทันที เซ็งๆ แบบนี้ได้เมาสักหน่อยคงดีขึ้น รีบปั่นกลับหอจะได้เปลี่ยนชุด แต่พอมาถึงผมก็เจอไอ้ฟลอยด์ยืนพิงรถตัวเองอยู่ มันเห็นผมก็เดินเข้ามาหา แต่อารมณ์ผมแม่ง แค่เห็นหน้ามันก็โมโหแล้ว เลยเลือกจะเดินหนีแทน มันก็เดินตาม เราต่างคนต่างเงียบ จนเข้ามาในห้อง มันรวบกอดผมจากด้านหลังจนแทบขยับไม่ได้

   “ไอ้เชี่ยฟลอยด์ ปล่อยกู” นึกถึงคำที่เพื่อนมันว่าแล้วโมโห

   “อย่าไปถือสาไอ้เกนมันเลย ปากมันก็เป็นแบบนั้น” คำอธิบายอยู่ข้างๆ หู

   “ถ้าเพื่อนมึงมันไม่คิดแบบนั้นจะพูดเหรอวะ”

   “ต้อม กูขอโทษแทนเพื่อนนะ มันก็ฝากมาขอโทษ”

   “กูรับคำขอโทษ แต่ก็ยังโกรธ” ผมบอก ไอ้ฟลอยด์มันขำ ลมหายใจมันรดใบหูจนต้องขยับคอหนี “ปล่อย” เกิดมาไม่เคยถูกผู้ชายกอดแบบนี้ ขนลุกเชี่ย

   “มึงโกรธเพื่อนกูได้ แต่ห้ามโกรธกู” ดูมันบอก ผมถอนหายใจกำลังจะอ้าปาก เสียงโทรศัพท์มันก็ดังขัดขึ้นมาซะก่อน มันมองผมนิดๆ ก่อนจะกดรับทั้งๆ ที่มืออีกข้างมันยังกอดผมอยู่ พูดถึงกอดแล้วขนลุกสัด

   “ครับ” เห็นมันรับนิ่งๆ ก่อนจะเริ่มขมวดคิ้ว “เมื่อไหร่” น้ำเสียงเริ่มร้อนรนแปลกๆ “จะไปเดี๋ยวนี้”

   “อะไร” เห็นท่าทางมันร้อนรนจนแปลกใจ “เกิดอะไรขึ้น”

   “แม่กู” น้ำเสียงมันสั่นๆ “แม่กูเข้าไอซียู”

   “ห๊ะ”

   ไอ้ฟลอยด์ลนลานจนผมต้องจับมือมันแน่นแล้วแย่งกุญแจรถมาขับให้ ขืนให้มันขับ คงไปนอนในห้องเดียวกับแม่มัน บนรถมันบอกว่าแม่นอนโรงพยาบาลมาหลายเดือนแล้วด้วยโรคประจำตัว ผมไม่กล้าถามอะไรมากเลยได้แต่ฟัง

   “แม่มึงต้องไม่เป็นอะไร” ผมยื่นมือไปจับมือมันไว้ อีกข้างก็ประคองพวงมาลัยรถ

   ไม่นานผมก็เลี้ยวเข้าไปจอดในลานของโรงพยาบาลเอกชนที่หนึ่ง ไอ้ฟลอยด์มันดึงมือผมให้เดินตามจนขาแทบขวิด พอมาถึงหน้าห้องไอซียู ผมเห็นผู้หญิงสองคนกำลังเดินไปเดินมา ใบหน้าสวยมีคาบน้ำตาเปรอะเปื้อน ที่เก้าอี้มีเด็กผู้ชายแก้มยุ้ยนั่งอยู่กับพี่เลี้ยง พอเด็กตัวน้อยเห็นไอ้ฟลอยด์ก็รีบวิ่งเข้ามากอดขา

   “แม่เป็นยังไงบ้าง” มันถามผู้หญิงที่ยืนอยู่หน้าห้อง

   “หมอบอกหัวใจหยุดเต้นไปเมื่อกี้” น้ำตาใสเริ่มคลอ

   “แม่ต้องไม่เป็นอะไร พี่ฟีนใจเย็นๆ” ไอ้ฟลอยด์มันปลอบพี่สาวมัน ส่วนผู้หญิงอีกคนดูร้อนรนไม่ต่างกัน “แล้วพ่อล่ะพี่เฟิร์น”

   “ก็อยู่กับเมียน้อยน่ะสิ อีเด็กนั่นฉันอุตส่าห์ช่วย กลับหักหลัง รู้แบบนี้ฉันน่าจะฆ่ามันก็ดี” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดจนผมตกใจ

   “ไม่เอาน่าพี่เฟิร์น แค่นี้ก็แย่แล้ว”

   “แกใจดีเกินไปยัยฟีน...แล้วนั่นใคร” น้ำเสียงดุเหมือนดวงตาที่กำลังจ้องหน้าผม แต่นั่นยังไม่เท่ากันดวงตาดุมองไล่มาถึงมือของผมที่ถูกไอ้ฟลอยด์จับแน่น ผมพยายามสะบัดก็ไม่หลุด “อะไรของแกฟลอยด์”

   “นี่เมียผม” ไม่ใช่แค่ผมที่ตกใจ ทุกคนในที่นี้ต่างก็ตกใจ

   “แกว่าไงนะ เมียแก นี่มันผู้ชายไม่ใช่เหรอ”

   “ใช่” เสียงนิ่งมากจนผมต้องเหลือบตามองปฏิกิริยาจากสองสาว

   “ดูน้องแกยัยฟีน เลี้ยงตามใจจนเอาผู้ชายมาเป็นเมีย” เสียงเหน็บแนมจนผมต้องเม้มปากเป็นเส้นตรง

   “เมียแกจริงๆ เหรอ คนนี้คือคนที่รับโทรศัพท์พี่วันนั้นใช่มั้ย” ไอ้ฟลอยด์มันหันมามองผมแวบหนึ่งก่อนพยักหน้า “อยู่ด้วยกันแล้วใช่มั้ย” มันก็พยักหน้าอีก

   “แกไม่ว่ามันเหรอฮะ นี่น้องชายของแกนะ” เสียงตวาดดังลั่นจนเด็กแก้มยุ้ยต้องกอดพี่เลี้ยงแน่น

   “ฟีนไม่ว่าหรอกค่ะ เพราะฟลอยด์ต้องการคนดูแล” เสียงนิ่มพร้อมกับรอยยิ้ม “เธอดูแลฟลอยด์วันนั้นด้วยใช่มั้ย”

   “ครับ” ผมตอบ โคตรกดดัน เหมือนกับละครที่แฟนไอ้ดอยชอบเอามาเล่าให้ฟังเลย

   “พี่ไม่รู้หรอกว่าเราคบกันเมื่อไหร่หรือยังไง แต่ฟลอยด์คือน้องชายที่พี่รัก” ผมมองพี่สาวน้องชายยิ้มให้กัน ก่อนจะรีบผละออกเมื่อประตูห้องไอซียูเปิด

   ทุกคนต่างกรูไปหาคุณหมอที่เดินออกมา ใบหน้าคุณหมอดูย่ำแย่จนพี่สาวสองคนเริ่มร้องไห้

   “ตอนนี้คุณพีรยารู้สึกตัวอยู่ อยากเจอพวกคุณครับ” คุณหมอบอกก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องอีกรอบ ผมบีบมือไอ้ฟลอยด์แน่น น้ำตาลูกผู้ชายของมันไหลอาบแก้มจนรู้สึกเศร้าใจไปด้วย

   ผมถูกดึงให้เข้าไปด้วยแม้จะขอรออยู่ด้านนอก แต่มือที่มันจับผมไม่ยอมปล่อย แถมยังจับแน่นขึ้นจนเริ่มเจ็บ พวกเราต้องสวมชุดคลุมตามกฎของโรงพยาบาล เดินมาถึงเตียงผู้ป่วยที่มีสายห้อยระโยงรยางค์เต็มไปหมด พี่สาวไอ้ฟลอยด์สองคนเข้าไปกอดร่างแม่ตัวเองไว้ ปล่อยน้ำตาไหลไม่ขาดสายจนผมเผลอน้ำตารื้นขึ้นมาด้วย

   “แม่คะ แม่อดทนไว้นะ” พี่ฟีนร้องไห้ราวกับจะขาดใจ

   “แม่ เฟิร์นขอโทษที่บางครั้งตวาดแม่ไป แม่ยกทาให้เฟิร์นนะคะ” เครื่องสำอางถูกน้ำตาทำให้ลบเลือนแต่เจ้าตัวไม่สนใจ ผมเห็นแม่ของพวกเขาเลื่อนสายตาไปมามองคนที่ยืนข้างๆ ผม ร่างมันสั่นเทาเพราะร้องไห้ ผมตบไหล่มันเบาๆ ก่อนมันจะเดินเข้าไป

   “แม่ครับ” พูดปนเสียงสะอื้น

   “ฟลอยด์” เสียงแผ่วเบาออกจากปากที่ซีดและแห้งของคนป่วย เจ้าของชื่อรีบคว้ามือของแม่ที่พยายามที่ยื่นมา ภาพที่ผมต้องเบือนหน้าหนีเพราะน้ำตามันจะไหล “แม่ขอโทษทุกคนที่อดทนไม่ไหว” ดวงตาสวยมองไปยังพี่คนโต “เฟิร์น แม่ไม่เคยโกรธลูกเลยสักครั้ง” เสียงคร่ำครวญจากเจ้าของชื่อยิ่งทำให้ทุกอย่างดูโศกเศร้า

   “เฟิร์นขอโทษค่ะแม่” รอยยิ้มอย่างอ่อนแรงถูกส่งต่อให้คนขอโทษ

   “ฟีน” ทันทีที่ได้ยินชื่อตัวเองก็รีบเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา “ดูแลลูกให้ดี หนูยังมีพี่เฟิร์นแล้วก็ฟลอยด์ อย่าคิดว่าไม่มีใคร ที่สำคัญอย่าทิ้งลูกนะฟีน” เจ้าของชื่อพยักหน้าทั้งน้ำตาก่อนหันไปกอดกับพี่สาวแน่น จนมาถึงคนสุดท้าย

   “ฟลอยด์” เสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน

   “ครับ”

   “แม่ไม่ได้อยู่ดูแลลูกแล้ว อย่าเอาแต่ใจมากนะ” พูดพร้อมรอยยิ้มแต่คนฟังน้ำตาไหลเป็นทาง

   “ไม่เอา แม่ต้องอยู่กับฟลอยด์สิครับ”

   “ฟลอยด์ ลูกเป็นผู้ชายเขาไม่ร้องไห้นะลูก” มือที่มีสายน้ำเกลือยกขึ้นเช็ดน้ำตา “แม่รักฟลอยด์นะ รักพี่ๆ ทุกคน” ใบหน้าสวยยิ้ม คิ้วเริ่มขมวดเป็นพักๆ จนลูกชายต้องเรียกหมอ

   ผมยืนเช็ดน้ำตาอยู่เยื้องเตียง รู้สึกว่าถูกจ้องมอง ไอ้ฟลอยด์ยื่นมือมาตรงหน้าผม ตอนนี้ทุกคนต่างก็มองมาจนผมต้องเดินเข้าไปใกล้ มือผมถูกมือใหญ่จับไว้แน่น

   “แม่ไม่ต้องห่วงนะ ฟลอยด์จะเข้มแข็ง เพื่อแม่ เพื่อพี่ แล้วก็เพื่อ...” มันหันมามองผมพร้อมรอยยิ้ม

   “แฟนเราสินะ” มันพยักหน้ารับคำแม่ “ใช้เหตุผลอย่าใช้อารมณ์ ฝากฟลอยด์ด้วยนะลูก” รอยยิ้มหวานสุดท้ายที่ได้เห็นก่อนเครื่องวัดสัญญาณทุกอย่างจะเป็นเส้นตรงจนทุกคนโวยวายเรียกหาหมอ

   ผมยืนกอดลูกชายของคนป่วยแน่น มันร้องไห้ราวกับจะขาดใจ เช่นเดียวกับพี่สาวทั้งสอง หมอเดินก้มหน้าเข้ามาหาพร้อมกับส่ายหน้าช้าๆ แค่นั้นสองสาวก็เป็นลมลงไปนอนที่พื้นจนพยาบาลต้องรีบเข้ามาช่วย ผมอยากจะช่วยแต่คนที่ผมกอดมันรัดตัวผมจนแทบกระดิกไม่ได้

   ไหล่ผมเปียกไปด้วยน้ำตา ความทรมานมันมากมายจนรู้สึกได้ การสูญเสียคนที่รักไปมันชั่งยากกับการทำใจ ผมจูงมือมันออกมานั่งด้านนอกและต้องทำเรื่องเอกสารมากมายในการรับร่างไร้วิญญาณ ก่อนจะมีเสียงฝีเท้าหลายเสียงวิ่งมาหา

   “คุณฟลอยด์ คุณนายท่าน...” พอคนมาใหม่เห็นสภาพก็หยุดพูดและพากันยืนสงบนิ่ง ร่องรอยความเศร้าโศกปรากฏบนใบหน้าของทุกคน “ให้คุณมนชัยจัดการเรื่องเอกสารทุกอย่างด้วย”

   “ค่ะผู้จัดการ”

   มองคนที่โทรศัพท์สั่งนั่นนี่อยู่ตรงหน้า มือก็คอยลูบหลังคนที่ยังร้องไห้ซบอยู่ที่บ่า

   “เอ่อ คุณฟลอยด์ครับ เรื่องรับศพของคุณนาย”

   “พ่อไม่มาเหรอ” เสียงปนสะอื้นเอ่ยถาม คนถูกถามย่นคิ้วนิดๆ ก่อนส่ายหน้าช้าๆ “มัวแต่กกเมียน้อยอยู่สินะ”

   “เอ่อ”

   “จัดการทุกอย่างตามที่คุณเห็นสมควร”

   “ครับ ก่อนคุณนายเสีย ได้สั่งการทุกอย่างไว้ล่วงหน้าแล้ว” คงจะรู้ว่าอยู่ได้ไม่นานเลยรีบจัดการทุกอย่างให้เสร็จสรรพ เพราะลูกๆ คงจะเสียใจจนทำอะไรไม่ได้

   “กลับบ้านกัน” ไอ้ฟลอยด์ว่า ผมก็พยักหน้าเพราะต้องขับรถให้



   บ้านหลังใหญ่ที่หลายคนต้องอิจฉา แต่ใครจะรู้ว่าบ้านหลังใหญ่แต่ไร้ความสงบ ผมเดินตามหลังลูกชายเจ้าของบ้านมา บรรดาแม่บ้านต่างกำลังวุ่นวายเพราะคุณนายของบ้านเสีย พอไอ้ฟลอยด์เดินเข้าบ้านก็มีคนวิ่งมาหา ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา

   “คุณฟลอยด์คะ”

   “ไม่เอาอะไร” บอกเสียงเรียบๆ แล้วดึงผมให้เดินขึ้นไปชั้นบน

   ชั้นบนถูกแบ่งเป็นสองฝั่ง ผมเดินตามมาฝั่งขวาของบ้าน ประตูห้องสีขาวบานใหญ่เกือบชิดฝ้าเพดานที่สูงลิบ เจ้าของห้องเปิดประตูแล้วดึงผมเข้าไปด้วย ยืนมองห้องที่ตกแต่งง่ายๆ ข้าวของเครื่องใช้น้อยชิ้นคงเพราะไม่ค่อยได้มาอยู่ ตรงกลางมีเตียงขนาดใหญ่ผ้าคลุมสีเทาคลุมทับ ผมยืนเคว้งเพราะเจ้าของห้องมันเดินหายไปในห้องน้ำ

   เดินดูข้าวของ กรอบรูปที่มีรูปมันตอนเด็กที่ถ่ายกับพ่อและแม่แล้วก็พี่สาว ดูรูปตอนเด็กแล้วมันก็ดูเอาแต่ใจ ใบหน้าบึ้งตลอดเวลาตอนถูกแม่อุ้มอยู่ ข้างๆ มีโมเดลรถหลายคัน บางคันเคยเห็นผ่านๆ ในเว็บไซต์แต่ไม่สนใจเพราะมันแพง

   มัวแต่สนใจข้าวของจนลืมมองคนที่เดินออกห้องน้ำมา ผมหันไปมองก็ถูกชาร์ต มันรวบกอดผมแล้วผลักลงบนเตียงใหญ่ ทั้งทุบทั้งตีแต่มันก็ไม่ยอมปล่อย รัดแน่นยิ่งกว่างูเหลือม

   “ไอ้ฟลอยด์ปล่อยสิวะ”

        พยายามแกะมือที่รัดเอวแต่ไม่หลุด ปากสีแดงเข้มเพราะร้องไห้อย่างหนักประกบจูบจนผมเบิกตาโต ยกมือดันหน้าแต่ถูกมือใหญ่จับแล้วกดไว้บนเตียง เชี่ยเอ้ย ถูกผู้ชายจูบ มันรุกต้อนใช้ลิ้นสอดเข้ามาสนผมยิ่งดิ้นหนัก จูบที่ไม่เคยจูบกับใคร จูบที่เหมือนดูดพลังงานที่มีมากออกไปหมดแทบหมดเรี่ยวแรง ต้องยอมตามเกมส์ไป

   แอร์คอนดิชั่นไม่ทำให้อุณหภูมิในร่างลดลง ยิ่งจูบยิ่งร้อน เหงื่อเม็กเล็กๆ ผุดตามไรผม มือใหญ่ลูบสะเปะสะปะไปทั่วร่างราวกับกำลังจุดเชื้อไฟให้ลุกโชน อารมณ์ดิบของผู้ชายมีอยู่ทุกคน ผมก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง ถูกนำพาความต้องการออกมาก็อยากไปให้สุด

   เสื้อผ้าแม่งหลุดไปตอนไหนก็ไม่รู้ รู้แต่เพียงว่า ตัวไอ้คนข้างบนโคตรร้อนเหมือนไฟ ลิ้นร้อนมันไล้เล็มอยู่บนอก เสียววาบในบางทีจนอยากดิ้นหนีแต่ถูกมือรัดเอวไว้ทำให้ขยับไม่สะดวก ยิ่งมันขยับหน้าไล้ลงไปต่ำยิ่งเหมือนจะจมน้ำ ความรู้สึกปั่นป่วน สมองคิดอะไรไม่ออกสักอย่าง

   “มะ มึง อื้อ!!” เบิกตาโตผงกหัวขึ้นมอง มันทำในสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เจอ ต้องกัดริมฝีปากเน้นกลัวหลุดเสียงแปลกๆ ออกมา ปากร้อนมันกำลังไล่จูบของๆ ผม มันวูบวาบเสียวซ่านจนต้องขยุ้มผมนุ่มๆ ไว้ ก่อนลิ้นร้อนจะตวัดลงไปด้านล่าง ผมดิ้นหนีทันที “ไม่เอา” ปฏิเสธเสียงแข็งแต่มันกลับไม่ฟัง ดวงตาคมจ้องมองแข็งกร้าวราวกับถูกขัดใจ

   “กูไม่ทนแล้ว” น้ำเสียงแข็งบอก มันจับขาผมดึงพรวดเดียวก็ลงมานอนใต้ร่างเหมือนเดิม จะดิ้นหนีก็ทำไม่ได้ จะถีบยิ่งไม่ได้ใหญ่ ในเมื่อมันแทรกตัวมาอยู่ตรงกลางหว่างขา นั่นทำให้รู้ว่า ไอ้สิ่งที่ผมเคยจับมันพร้อมแล้ว

   “ไอ้ฟลอยด์ ไม่เอา” ผมตะโกนแต่มันแม่งไม่ฟัง ก้มจูบผมอย่างเดียว คงรำคาญที่ผมด่า มือพยายามผลักไหล่มันแต่ไม่สะทกสะท้าน มือมันเลื่อนลงไปปลุกเร้าจนผมต้องเลิกดิ้น พอมันยิ่งเร่งจังหวะมือผมก็ยิ่งตอบรับจูบมันราวกับไม่ใช่ตัวของตัวเอง “อึก!!” พอใกล้ถึงฝั่งฝันมันกลับหยุดลงซะอย่างนั้น รู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่สะดวก ต้องเอื้อมมือลงไปทำเองแต่ถูกมือมันปัดออก
 
   รอยยิ้มร้ายที่มุมปากไม่ได้ดึงความสนใจเท่าอารมณ์ที่อยากจะปลดปล่อย พอมันลุกออกไปผมก็รีบจัดการตัวเอง แต่ได้แค่แปบเดียวมันก็กลับมาอยู่ที่เดิม ในมือถือขวดใสๆ ที่กำลังเทลงฝ่ามือ ผมจ้องนิ่งไม่รู้ว่ามันจะเอามาทำอะไร

   “มึง”
 
   “ชู่ว มึงจะไม่เจ็บ”

   เบิกตากับสิ่งที่ได้ยิน อะไรไม่เจ็บ เชี่ย มันเอาน้ำใสๆ เหนียวๆ ป้ายก้นผมเฉย โดยเฉพาะตรงนั้น นี่มันจะตรวจภายในหรือเปล่าวะ ผมดิ้นหนีแต่มันก็ดึงกลับมาได้ทุกครั้ง

   “กูจะทำเบาๆ มึงปลอบใจกูหน่อยนะ”

   “ไอ้เชี่ยฟลอยด์ ไม่เอา ไอ้เหี้ย!!”     
   


   นี่ผมเป็นริดสีดวงหรือเปล่าวะ รู้สึกแสบแปลบๆ ทุกครั้งที่ขยับ ไม่อยากจะเชื่อและไม่เคยเชื่อว่าผู้ชายอย่างผมจะถูกกระทำชำเราจากผู้ชายเหมือนกัน ดีหน่อยที่ผมคงท้องไม่ได้ ไม่อย่างนั้นต้องมานั่งคิดหนักอีก พอหันไปมองไอ้คนที่มันไม่ฟังเสียงห้าม ขนตามึงจะยาวไปไหนไอ้สัด ดึงแขนมันออกจากเอวแต่ก็วกกลับมารัดอีกตลอดจนเหนื่อยใจ

   หมดกันไอ้ต้อม เรื่องนี้มึงต้องเงียบที่สุด

   เสียงสะอื้นเบาๆ ดังมาจากคนนอนหลับ ผมหันไปมองเห็นหัวตามันมีน้ำใสๆ ไหลออกมา คงคิดถึงแม่ที่จากไป ลูบหัวปลอบทั้งที่อยากจะตบมากกว่า มันยิ่งซุกหน้าเข้าที่คอจนขยับตัวหนี

   “แม่ ฟลอยด์ขอโทษ” มันเพ้อออกมาเบาๆ น้ำตายังไหลเป็นสาย

   “เออๆ แม่มึงไม่โกรธหรอก” ผมพูดเบาๆ

   Rrrrrrr Rrrrrrrr

   โทรศัพท์มือถือของผมดังรัว คงเป็นพวกไอ้ดอย งัดแขนที่กอดแน่นออกไม่ได้เลยเอื้อมสุดตัวไปหยิบ แต่เจ็บแบบหน่วงๆ มากข้างล่างน่ะ

   “ว่าไงมึง”

   (อยู่ไหนวะ ดึกขนาดนี้) ตามองหานาฬิกา ชิบหาย เกือบสี่ทุ่มแล้ว

   “ทำไมครับคุณดอย มึงจะทำไม” ตอบกวนกลบเกลื่อน

   (ถามมาได้ มึงนัดพวกกูกินยาดองแล้วหายหัว โทรหาเป็นร้อยสายแม่งก็ไม่รับ” มันโวยวายจนผมต้องยืดโทรศัพท์ออกจากหู (พวกกูเมาขี้เกียจขับเลยจะมานอนหอมึง แต่ป้าเขาบอกมึงไม่อยู่) (ไปนอนกับผัวใช่มั้ย) มือถือแทบร่วง

   “นอนกับผัวเชี่ย พอดีแม่ของมันเสีย กูเลยมาอยู่เป็นเพื่อน”

   (แหม อยู่เป็นเพื่อน) ไอ้พวกนี้เมาหนักแน่

   “เออ กลับบ้านได้แล้วพวกมึง ไม่ก็ไปนอนหอไอ้นัยนู้น”

   (เออว่ะ พวกกูแบกมันมาเนี่ย) แล้วมันก็วางไป ไอ้ห่าพวกนี้โวยวายจริงๆ

   เกือบสี่ทุ่ม ผมรีบปลุกไอ้คนนอนไม่ยอมตื่น มันงัวเงียไม่พอใจแต่ก็ปรือตาขึ้นมามอง

   “จะสี่ทุ่มแล้วมึง” ผมว่า มันยื่นหน้ามาหอมแก้มเฉย “มึงทำเชี่ยไรวะ”

   “หอมแก้มเมีย” อยากถีบตกเตียง แต่กลัวจะเจ็บเอง

   “ไอ้สัด ลุกเลย ไม่ไปดูงานแม่เหรอวะ” พอได้ยินหน้ามันก็สลดลง รอยความเศร้าเผยออกมาจนอยากตบปากตัวเอง “ไปอาบน้ำ”

   คราวนี้มันว่าง่าย ลุกจากเตียงสภาพล่อนจ้อนไปห้องน้ำ ผมได้แต่ส่ายหน้า ไม่อยากจะคิดสภาพตัวเอง เห็นหลังมันมีรอยแดงๆ ยิ่งอยากเอาหน้ามุดเตียงหนี

   “หือ” แม่ง มันเดินกลับมาอุ้มผมเข้าห้องน้ำด้วย ไอ้สัด อุ้มซะกูเหมือนเป็นผู้หญิง

   “อาบน้ำกัน” รอยยิ้มร้ายมันโคตรไม่น่าไว้ใจ


   นี่มันเศร้าอยู่หรือเปล่าวะเนี่ย ไอ้ต้อมเพลีย!!!!!!!   


....TBC

พี่ฝอยอ่อยปุ๊บติดปั๊บ แต่พี่โชกว่าจะติดได้นานกว่านี้หลาย  :laugh: :laugh:


ขอบคุณสำหรับการติดตามค่า แค่มีคนอ่านก็ดีใจหล๊าย หลาย กำลังอยู่ในช่วงพัฒนาฝีมือค่า

หากติดขัดตรงไหนขอกราบอภัยมาณ.ที่นี้  :pig4:


 :mew1: :mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-09-2016 10:21:38 โดย aiaea83 »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ฟลอยด์ ต้อม  :mew1: :mew1: :mew1:
แล้วก็เป็นอย่างที่กลอยถามเองตอบเอง
กลอยเก่งปะเนี่ย
คราวนี้พี่ฝอยขัดหม้อ ตัวยิ่งติดเมีย เอ๊ย หม้อ เอ๊ย....ต้อม ยิ่งกว่าเก่า
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ bulldog17

  • ❤GOT7
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +265/-12
โอ้โห ปรับอารมณ์ไม่ถูกเลยค่ะคุณ
จะเศร้าหรือจะหื่นดีเนี่ยยยยยยย

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
แปลก ๆ อ่ะ มันใช่เหรอ ได้ข่าวว่าเพิ่งเสียใจที่แม่ตาย มีแรงมาทำอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ

ออฟไลน์ ▶August5th◀

  • it was fate
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +184/-2
ช่วงกลางๆก็เศร้านะ
ทำไมตอนท้ายพี่ฝอยมันหื่นๆ 555+

สรุป พี่มันจับต้อมรวบรัดเลยหรอนี่ หุหุ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ bluerose

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
น้องต้อมลูกกกก ปลอบใจหนักเลยใช่ไหมลูกกกก โถ่ววววว 5555

ออฟไลน์ donutnoi

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-7
ต้อมเลื่อนตำแหน่งเร็วมาก  เศร้าแบบแปลกๆ

ออฟไลน์ nu-tarn

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 801
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-6
รู้สึกงงกับพี่ฟลอยด์อ่ะ
แม่เพิ่งเสียไปแต่จู่ๆก็มาทำแบบนี้กับต้อม คือพี่ไม่รู้สึกอะไรเลยหรอแม่เพิ่งตายน่ะเฮ้ย  :angry2:  โกรธพี่ฟลอยด์อ่ะ
ถ้าเราเป็นต้อมคงโกรธมากอ่ะเอาความเสียใจของตัวเองมาทำแบบนี้ได้ยังไง มันเหมือนเข้าข่ายข่มขืนน้องต้อมเลยนะ  :m31:
โทษทีพอดีเราอินไปหน่อย

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
เอิ่มมมมพี่ฟลอยด์คะเอาใจตัวเองสุดๆถึงขั้นปล้ำกันเลยทีเดียว

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2922
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
สรุปพี่แกเศร้าแล้วเนียนปล้ำต้อมหรอเนี่ย????

ออฟไลน์ EverGreen™

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1684
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-1
เดี๋ยวนะ
แม่เพิ่งตายไม่ใช่หรอ?  :hao4: o22

ออฟไลน์ aiaea83

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 676
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +494/-5
No Sugar : 07



        เกือบจะห้าทุ่ม ไอ้ฟลอยด์มันมาที่วัดที่กำลังเร่งจัดงานเตรียมรอรับศพ ผมมองมันเดินไปลูบกรอบรูปของแม่ที่ยิ้มสวย มองไปอีกด้านเห็นพี่สาวสองคนนั่งก้มหน้าก้มตาซ่อนหยดน้ำตาที่ไหลไม่ขาดสาย แม่บ้านที่อยู่ที่บ้าน มาช่วยกันจัดดอกไม้ มิน่า ตอนลงมาไม่เห็นใครนอกจากยามที่เฝ้า

   ผมเดินไปช่วยลุงจัดเก้าอี้ แม้มันจะเสียดๆ เวลาเดิน แต่ยืนหรือนั่งเฉยๆ คงไม่เหมาะ

   “ไม่ต้องก็ได้ครับ” ลุงแกว่า ผมส่ายหน้าไป

   “ช่วยกันจะได้เสร็จเร็วๆ” แกยิ้มให้ผม เรียงอยู่ไม่นานก็เสร็จ

   ทุกคนก็กำลังตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเอง อยู่ๆ พี่สาวคนโตมันก็ตวาดดังลั่นจนผมหันไปดูด้านหลัง ชายวัยกลางคนเดินเข้ามา ข้างๆ มีผู้หญิงสาวสวยหุ่นดีเดินเคียงข้าง อย่าบอกว่านี่คือพ่อของไอ้ฟลอยด์

   “พาเมียน้อยมาทำไม” เสียงเกรี้ยวกราดจนแม่บ้านที่จัดดอกไม้อยู่สะดุ้งกันเป็นแถว ตอนนี้ลูกชายลูกสาวไปยืนอยู่หน้าพ่อตัวเองกันหมด

   “เฟิร์น” คนเป็นพ่อปราม แต่ดูท่าลูกสาวจะไม่ยอม เพราะหน้าสวยบึ้งตึงหนักขึ้นไปอีก

   “พ่อรู้มั้ย ว่าแม่ตายเพราะพ่อ ตายเพราะตรอมใจที่พ่อมีเมียน้อย” ดวงตาแดงกล่ำมองกราดไปยังสาวที่ยืนแอบด้านหลัง “ส่วนแก นังบลู อย่าคิดว่าแม่ฉันตายแล้วแกจะเสวยสุขได้นะ ฉันจะตามรังควานแกไม่จบไม่สิ้น” ตวาดจนดังลั่น

   “เฟิร์น!” โดนพ่อตวาดแต่กลับไม่กลัว

   “พี่เฟิร์นพอเถอะ” พี่สาวคนรองดึงคนโมโหให้เข้าไปด้านใน เลยเหลือแค่ลูกชายยืนประชันหน้ากับพ่อตัวเอง

   “ฟลอยด์ ลูก...”

   “ทำแบบนี้” มันปรายตามองคนข้างๆ ของพ่อ “อย่ามางานของแม่ดีกว่า” เสียงนิ่งพอๆ กับหน้า แล้วก็เดินกลับเข้าไปในศาลา

   ผมยืนอยู่ข้างคุณลุงที่ช่วยแกจัดเก้าอี้เมื่อกี้ และเพิ่งรู้ว่าลุงเป็นคนขับรถของพี่สาวคนโต ซึ่งลุงแกก็หน้าบึ้งเหมือนไม่ชอบใจจนผมต้องเอ่ยถาม

   “พ่อของพี่ๆ เขาเหรอครับ” ลุงแกพยักหน้า

   เป็นผมศาลานี่คงไม่เหลือ เล่นพาเมียน้อยมางานศพเมียหลวง พอทุกอย่างดูเรียบร้อยผมก็เดินออกมาด้านนอกเพราะจะกลับห้อง จะโทรเรียกใครมารับก็ไม่ได้เพราะเมากันหมด ผมเลยต้องยืนรอแท็กซี่แทน ดึกขนาดนี้ค่อนข้างจะหายากพอสมควร แต่มันก็มี ขึ้นรถได้ก็บอกจุดหมายปลายทาง

   ที่จริงผมก็โกรธมันมาก รู้ว่าในตอนนั้นมันอ่อนแอด้านอารมณ์แต่ผมก็ผิดด้วยที่ยอมมันเฉย แต่จะไปอาละวาดเหมือนสาวน้อยผมคงไม่ทำ ไม่แน่ พอมันได้แล้วมันอาจจะห่างผมไปก็ได้

   ปล่อยให้มือถือดังอยู่แบบนั้นจนลุงคนขับมองผ่านกระจกคงจะรำคาญ มองเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง แม้ในยามดึกดื่นแต่ผู้คนก็ยังออกเที่ยวเตร่ ก่อนภาพที่เห็นจะคุ้นตาเมื่อใกล้ถึงหอพักของผม เมื่อรถจอดผมก็ยื่นเงินเท่าจำนวนมิตเตอร์ ดีที่ผมมีเหรียญ ไม่อย่างนั้นคงต้องเสียเศษมันไป เพราะคงไม่มีอารมณ์มานั่งให้ลุงแกขับวนไปจนครบเศษด้วย

   หน้าหอพัก ผมยืนถอนหายใจอยู่หลายเฮือก แล้วหันหลังข้ามถนนไปอีกฝั่ง ร้านสะดวกซื้อที่ผมเคยทำงานมาสองปี เวลานี้ผมเจอรุ่นน้องที่ทำเวลาเดียวกันทุกคน แต่ละคนยังแต่งหน้าสวยเหมือนเดิม

   “อ่าวพี่ต้อม ไม่เจอตั้งนาน” น้องที่เคาน์เตอร์คิดเงินทักทาย ผมก็ยิ้มกลับ แล้วเดินไปหยิบของที่ทำให้มาที่นี่ พอจะคิดเงินเลยมีเสียงแซวขึ้นมา “แหม กินซะดึกเลยนะ ดื่มคนเดียว เมาคนเดียว อารมณ์ติสสุดๆ อ่ะ”

   “พูดมาก คิดเงินเร็วๆ” แกล้งแย่ไปเลยได้เสียงหัวเราะกลับมา

   ผมหิ้วถุงเบียร์กับปลาหมึกเส้นขึ้นหอพัก รู้สึกอยากเมา ทั้งที่ตอนเย็นกะจะไปเมาอยู่แล้ว ยังไม่พ้นวันยังเมาได้อยู่ ไขกุญแจเข้าห้อง...ห้องของผมที่มีแค่ผม ต้องเรียกไอ้ต้อมกลับมาซะแล้ว



   เช้าวันใหม่ที่เหมือนถูกหินวางบนหัว ยกซดโดยท้องยังว่างมันก็เลยออกอาการเยอะไปหน่อย กว่าจะปั่นสุดหวงมาถึงคณะก็เกือบเซชนต้นไม้มาแล้ว

   “ไอ้เชี่ยต้อม มึงไหวเปล่าวะ” ไอ้ป่านมันทักผมที่เดินเซๆ ไปนั่ง เอาจริงๆ ก้นก็ยังเสียดอยู่ด้วย ยังมาปั่นสุดหวงอีก เลยมีอาการเซอย่างที่เห็น

   “เออ” ตอบรับมัน

   “แล้วมึงเป็นอะไรวะ เดินเซๆ หรือว่าถูกกินไปแล้ว” ตบหัวมันไปเต็มมือโทษฐานรู้ทัน

   “กินพ่อง กูแดกเบียร์ในห้องคนเดียวแล้วล้มในห้องน้ำ” พวกมันดูไม่เชื่อ แต่พอมันยื่นหน้ามาดมซะชิดเลยพยักหน้า

   “เออๆ มีกลิ่นเบียร์นิดๆ” ส่ายหน้าให้กับเพื่อนตัวเอง ผมอาบน้ำแล้วครับ ไม่น่าจะมีกลิ่น

   “แล้วแม่พี่เขาตายยังไงวะ” ไอ้ดอยถาม ผมเลยนิ่งไป “มึงไปอยู่กับพวกเขาได้ยังไง”

   “ตอนนั้นมันไม่มีสติ กูเลยขับรถไปส่งเฉยๆ” บอกความจริง แม้ไม่หมด

   “อ๋อ” เพื่อนผมพยักหน้าพร้อมกัน

   “พอๆ เลิกถามได้แล้ว” บอกปัดๆ แล้วพากันเดินขึ้นตึก

   “มึงคงเอาก้นลงพื้นสินะ เดินแปลกๆ” ไอ้เชี่ยดอยก็ช่างสังเกต ขนาดผมให้พวกมันเดินขึ้นไปก่อนแล้วแท้ๆ

    เรียนไม่รู้เรื่องครับ ทั้งเมาค้างทั้งเครียด ผมลองถามตัวเองทำไมถึงยอมมัน บางทีมันอาจแค่อยากระบายความต้องการยามอ่อนแอ แต่มันต้องมาทำแบบนั้นกับผมหรือเปล่า พอคิดมากๆ ก็ปวดหัว เลยฟุบหน้ากับโต๊ะจนหมดคาบ พวกผมก็ไปกินข้าวที่คณะแทนโรงอาหารกลาง พวกมันคงไม่อยากวุ่นวาย

   พอเดินลงตึก เห็นคนคุ้นตายืนพิงรถของตัวเอง มันสวมสูทสีดำทำหน้าบึ้งตึง ผมรีบแอบหลังเพื่อนทันทีจนไอ้ป่านมันสงสัย แต่ผมขยิบตาให้พวกมันเลยเงียบ เดินลัดตึกไปทำให้มันมองไม่เห็นพวกผม ที่หลบหน้าเพราะยังให้คำตอบตัวเองไม่ได้

   “หลบหน้าทำไมวะ” ไอ้ดอยมันถาม ผมทำนิ่งไม่ยอมพูดมันเลยได้แต่ถอนหายใจ “เออ เรื่องของมึง แต่ถ้าไม่ไหวก็ปรึกษากูได้ ไอ้ป่านไม่ต้องเพราะมันปากเปราะ”

   “อ่าวไอ้เชี่ยดอย” ปล่อยให้พวกมันกัดกันเอง

   คาบบ่ายว่างเลยกะจะลงไปดูแปลงสักหน่อย ก่อนมาผมกินยาแก้ปวดไปสองเม็ด เมื่อกี้ได้นอนไปแล้วเลยดีขึ้นเยอะ ผมไม่ใช่คนอ่อนแอโดนอะไรนิดอะไรหน่อยก็ไม่สบาย ตากแดดตากลมมาหนัก อย่างตอนนี้ยืนกลางแดดเปรี้ยงๆ ยังไหว...

   “ไอ้เชี่ยต้อม หน้ามึงโคตรซีด” ผมก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนกันนะ มันเหมือนจะวูบๆ เลยเดินข้ามฝั่งไปนั่งใต้ต้นไม้ใหญ่แทน

   ก้มหน้าก้มตาใช้หมวกใบลานพัดให้เย็นจนเห็นรองเท้าหนังมันวับมายืนตรงหน้า เงยหน้าขึ้นไปมองก็เจอใบหน้าบึ้งตึงเหมือนอยากจะกินหัวผม

   “มึงหนีกลับทำไม” เสียงนิ่งระดับหนึ่ง แต่ผมทำไม่สน มือยังโบกเอาลมตีหน้าอยู่ตลอดจนมันแย่งหมวกไปถึงต้องเงยหน้ามองมันอีกรอบ

   “เอาหมวกกูมา”

   “มึงหนีกลับทำไม”

   “กูไม่ได้หนี”

   “หนี” ตวัดสายตามองคนที่บอกว่าผมหนี

   “กูบอกลุงอาจแล้ว” ลุงอาจคนขับรถคนนั้นแหละครับ

   “แต่ไม่ได้บอกกูมันก็คือหนี” อะไรของมันวะ

   “มึงจะเอาอะไรอีก” ถามอย่างโมโห ภาพเมื่อคืนยังอยู่ในหัวผมทุกอย่าง ใบหน้ามันไม่ได้มีความสุข มันบิดเบี้ยวเหมือนจะร้องไห้ คงเพราะเสียใจเรื่องแม่ แต่มันก็ยังมาทำเรื่องแบบนั้นกับผม

   “เอามึง” โคตรตรง “กูขอโทษเรื่องเมื่อคืน กูรู้ว่ากูทำผิดที่ใช้มึงเป็นที่ระบายความเสียใจ แต่ตอนทำกูมีสติทุกอย่าง”

   “พอเหอะวะ” ผมลุกขึ้นยืนประชันหน้า “ถามว่ากูโกรธมั้ย ตอบเลยว่าโกรธ แต่กูก็โกรธตัวเองมากกว่าที่ยอมมึง” บอกออกไปตรงๆ

   “ต้อม”

   “เลิกยุ่งกับกูแค่นั้นก็พอ”

   “ไม่” มันปฏิเสธเสียงแข็ง มือก็ยังบีบแขนผมขณะจะเดินไปที่แปลง “กูไม่เลิกยุ่งกับมึง มึงเป็นของกู”

   “มึงแค่อ่อนไหวเพราะเสียใจ กูไม่ถือมึงหรอก คิดซะว่า ต่างคนต่างได้ก็แล้วกัน” ตบบ่ามันเพื่อให้มันยอมปล่อย แต่ยิ่งบีบแขนผมแน่นจนร้าว “ไอ้ฟลอยด์ กูเจ็บ”

   “กูไม่ได้อ่อนไหวเลยเลือกจะทำแบบนั้น แต่กูตั้งใจ ต้อม มึงอย่าทิ้งกูไปเหมือนแม่กูได้มั้ย” ท้ายประโยคน้ำเสียงมันอ่อนลงจนผมต้องขมวดคิ้ว “ตอนนี้กูไม่มีแม่แล้ว” ร่างสูงๆ ย่อตัวนั่งลงเอาซะผมตกใจ

   “เฮ้ย”

   “ตั้งแต่พ่อกูมีเมียน้อยแม่กูก็เริ่มป่วยจนต้องนอนโรงพยาบาลเกือบสามเดือนแล้ว สามเดือนที่แม่กูต้องนอนแบบนั้นจนเมื่อคืน...” หลังมันสั่นเทิ้มคงเพราะกำลังร้องไห้ ดีที่พวกในแปลงไม่มีใครสนใจ

   “เออๆ กูรู้” ตบไหล่ปลอบใจมัน ทำไมกลายเป็นผมต้องปลอบใจวะ เมื่อกี้ผมยังดราม่าอยู่เลย โดนมันแย่งซีนไปเฉย ผมพยุงมันเข้าในนั่งในรถ จนน้ำตามันเริ่มแห้ง “มึงกลับได้แล้ว งานแม่มึงใกล้เริ่มแล้วมั้ง”

   “มึงไปด้วยกันนะ” ผมส่ายหน้าเป็นพัลวัน ไม่รู้จะไปทำไม “ต้อม ไปเป็นเพื่อนกูนะ”

   เพื่อนก็เพื่อนวะ “เออๆ”

   ลงจากรถไปบอกลาเพื่อนๆ แล้วกลับมาขึ้นรถ มันยิ้มให้ผมนิดๆ แล้วขับไปกลับรถด้านในเพื่อจะออกถนน

   “ตอนนั้นกูจริงจังกับมึงนะ” อยู่ๆ มันก็พูดแหวกความเงียบจนผมหันไปมองอย่างมึนๆ

   “อะไรวะ”

   “เมื่อคืนเรื่องของเรา” หน้าตึงเลยไอ้ต้อม “กูจริงจังกับมึงนะ”

   “แต่มึงปล้ำกู” ผู้ชายใช้คำนี้ได้หรือเปล่าวะ

   “แต่หลังๆ มึงก็สมยอม” อยากถอดรองเท้าฟาดหน้ามัน “กูเหงา”

   “พี่มึงก็มี หลานก็มี เหงาเชี่ยอะไร”

   “แต่กูไม่มีแม่แล้ว” พูดไม่ออกอีกแล้ว
   


   ผมช่วยสาวใช้ของบ้านไอ้ฟลอยด์ยกน้ำยกขนมไปเสิร์ฟ ไม่มีใครสนใจผมหรอกคงจะคิดว่าเป็นคนสวน จะมีก็แต่พี่สาวของคนที่พาผมมาเดินเข้ามาหาผมด้านหลัง เธอยิ้มให้จนต้องยิ้มตาม

   “ชื่อต้อมใช่มั้ย พี่ชื่อฟีนนะ” ผมรีบยกมือไหว้ทันที มารยาทไอ้ต้อมก็มี “เมื่อวานขอบใจนะที่ดูแลฟลอยด์ให้ แม่เลี้ยงฟลอยด์มาตั้งแต่เด็ก นอนด้วยกันแทบทุกคืน คืนไหนไม่ได้นอนกอดแม่ ขานั้นจะงอแงตลอด ขนาดตัวโตแบบนี้ก็ยังต้องนอนกอดแม่” พี่ฟีนเล่าเรื่องราวด้วยรอยยิ้มปนน้ำตา “ตอนนี้แม่ไม่อยู่แล้ว ฟลอยด์คงเหงามากทีเดียว”

   ผมมองเข้าไปในศาลา เห็นน้องของพี่ฟีนกำลังจุดธูปให้กับแขกที่มาร่วมงาน เลยคิดย้อนไปถึงเรื่องเมื่อคืน มันคงเสียใจที่จะไม่ได้กอดแม่ เลยมากอดผมแทน แล้วไม่ได้กอดผมอย่างเดียวนี่สิ เหอะๆ

   “ฟลอยด์อาจใจร้อนบ้าง ขี้โมโห เอาแต่ใจ แต่ฟลอยด์เป็นคนดีนะ ยังไงพี่ฝากต้อมด้วยนะ”

   “เอ่อ” ผมรีบพูดก่อนพี่ฟีนจะเดินไป “พี่ฟลอยด์ยังมีพี่ฟีนกับพี่สาวอีกคนนี่ครับ”

   “อ๋า เรื่องนั้น ฟลอยด์ไม่ได้สนิทกับพี่หรือพี่เฟิร์นมากหรอก อาจเพราะพวกพี่ไปเรียนต่างประเทศมานานเราเลยไม่สนิทกัน” รอยยิ้มสวยถูกส่งมาอีกรอบ ก่อนจะยู่หน้าลง “ถ้าเจอพี่เฟิร์นพูดอะไรไม่ดีด้วยก็อย่าถือสา นั่นก็โดนตามใจมาเหมือนกัน” เสียงหัวเราะใสๆ ทำให้ต้องขำตาม

   ผมยืนช่วยอยู่ด้านหลังอยู่นานจนเริ่มสนิทกับพี่ๆ สาวใช้ ทุกคนทำงานที่บ้านหลังนั้นมานานและทุกคนก็รักคุณนายของบ้านมาก เหมือนกับคนในบริษัทที่พากันมาแทบล้นศาลา ใบหน้าดูโศกเศร้าจริงๆ ไม่ได้แสร้งทำ

   “วันนี้คุณท่านไม่มา” เสียงคุยของหนึ่งสาวใช้พูดกัน

   “ดีแล้ว ไม่อย่างนั้นระเบิดลงอีกพอดี”

   “เออ ขอถามหน่อยได้มั้ยครับ” ผมเดินเรียบๆ เคียงๆ เข้าไปถาม ตอนแรกพี่ๆ เขาดูตกใจ “พ่อแม่ของพี่ฟลอยด์ไม่ได้รักกันเหรอครับ” สาวใช้สองคนทำสีหน้าลำบากใจก่อนจะดึงแขนผมให้ห่างจากเต้น

   “โอ้ยเรื่องนี้พี่ไม่อยากจะเม้า แต่สงสารคุณนายเลยจะเม้าให้ฟัง” ผมหัวเราะแห้งๆ เมื่อได้ยิน “เมื่อก่อนตอนคุณนายคนแรกเสียใหม่ๆ คุณท่านเสียใจมากจนไม่สนใจคุณเฟิร์นเลย เคยพาคุณเฟิร์นไปเที่ยวเล่นแล้วปล่อยให้หลงทางจนร้องไห้กลัวไม่กล้าออกจากบ้าน”

   “อ่าว  พี่เฟิร์นไม่ใช่ลูกของแม่พี่ฟลอยด์เหรอครับ”

   “ไม่ใช่ค่ะ คุณนายเป็นพยาบาลพิเศษเข้ามาดูแลคุณท่านตอนรถชน พอดูแลกันไปมาก็เกิดรักกันจนแต่งงาน คุณนายรักคุณเฟิร์นมากกว่าลูกตัวเองอีกค่ะ แต่พอคุณฟลอยด์เกิดมาไม่กี่ปีคุณท่านก็เริ่มออกไปเที่ยวสังสรรค์ ล่าสุดเป็นเด็กมหาลัยค่ะ ได้ยินคุณเฟิร์นคุยกับคุณฟีนว่าเป็นเด็กใจแตก ชื่อบอหรือบลูอะไรเนี่ยค่ะ”

   เรื่องราววุ่นวายซับซ้อนจริงๆ มิน่า พี่เฟิร์นถึงดูไม่ค่อยเหมือนแม่เท่าไหร่ ผมยืนฟังพี่สาวใช้เม้าอีกหลายเรื่องจนถูกตะโกนเรียกไปเก็บแก้ว เพราะสวดเสร็จแล้ว

   “ไปไหนมา ทำไมไม่อยู่ข้างกู” เดินกลับมาก็เจอหน้าบึ้งเป็นอันดับแรก

   “กูไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย จะให้ไปเสนอหน้าทำไม”

   “แต่มึงเป็นมะ...” ปิดปากมันแทบไม่ทัน สาวใช้เดินกันให้ควักมาพูดเรื่องแบบนี้อีก


   “มายืนทำตัวอุบาทอะไรแถวนี้ นี่มันในวัดนะ” เสียงแหลมเล็กดังจากด้านหลัง ผมรีบถอยห่างไปไกล “แกมันบ้าไอ้ฟลอยด์”
 
   “พี่ไม่เกี่ยว” คนเป็นน้องพูด

   “ฉันเป็นพี่แกนะ”

   “ผมไม่เคยยุ่งเรื่องของพี่ ดังนั้นพี่ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของผม”

   “ไอ้ฟลอยด์ ฟีน แกดูน้องแกเถียงฉัน”

   “พอเถอะค่ะพี่เฟิร์น ฟลอยด์ นี่มันในวัดนะ แล้วก็ต่อหน้าแม่ด้วย” พี่ฟีนดุจนสองคนเงียบ “เอาล่ะ กลับบ้านกันเถอะ วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว” ตัดบทเสร็จสรรพพี่ฟีนก็ดึงแขนพี่สาวไปขึ้นรถ ส่วนผมก็ตามไอ้คนพามาไปที่รถเช่นกัน

   “ส่งกูที่หอด้วย” ผมสั่ง มันมองหน้าก่อนจะออกรถ

   มันมาส่งผมที่หอจริงๆ ครับ แต่มันก็ตามขึ้นมาด้วย ยิ่งข้าวของเครื่องใช้มันมีครบแบบนี้อย่าหวังว่ามันจะกลับ ผมส่ายหน้าให้กับไอ้คนพูดไม่รู้ฟัง

   “มึงไปอาบน้ำไป” ไล่มัน แต่เห็นมันมองมาที่ผม “ไม่ต้องคิดจะทำเรื่องแบบนั้นอีก ไม่อย่างนั้นกูจะไม่มองหน้ามึงทั้งชาติ” หน้ามันหงอยลงแล้วเดินคอตกไปอาบน้ำ พอมันอาบเสร็จผมก็เดินเข้าไปอาบบ้าง ออกมามันก็นอนแผ่อยู่บนเตียง

   แม้เตียงผมจะเล็กแต่ก็นอนได้สองคนพอดี อยากจะลงไปนอนข้างล่าง แต่นี่มันห้องของผม ทำไมผมต้องลงไปนอนพื้น เลยนอนเบียดมันไปแบบนี้นี่แหละ

   “กูกอดมึงนะ” กำลังจะด่า แต่คำพูดของพี่ฟีนก็แวบขึ้นมา เลยพยักหน้าส่งๆ

   “กอดอย่างเดียวนะมึง” ดักคอมันไว้ มันก็ยิ้ม

   “ขอบคุณนะ”

   แขนยาวกอดรัดตัวผม มันคงชอบนอนกอดแม่มันจริงๆ อย่างเมื่อคืนที่มันนอนหลับแล้วกอดผมแน่น มันร้องไห้คิดถึงแม่ด้วย จะว่าไป ผมก็เริ่มอยากกลับบ้านบ้าง อยากไปกอดแม่ให้หายคิดถึง วันหยุดนี้คงต้องกลับบ้านซะที คืนนี้ราตรีสวัสดิ์ครับ

   “ฝันดีนะต้อม” เสียงเหมือนคนอยู่ไกลๆ ดังขึ้นพร้อมกับความอุ่นซ่านที่แก้ม

   “อืม ฝันดี”


        คืนนั้นมันยังนอนร้องไห้เพ้อเรียกหาแม่เหมือนเดิม

...TBC


พี่ฝอยของเราโดนเกลียดซะแล้ววว  :o12: :o12: :o12:



เจอกันตอนหน้าค่าาา  :pig4: :pig4:



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-09-2016 10:22:14 โดย aiaea83 »

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
เออะทำไมเราไม่รู้สึกเกลียดพี่ฟลอยด์ละ ฮ่าๆไม่รู้สิเข้าใจนะว่าเอาอารมณ์อ่อนไหวมาลงกับต้อมโดยการปล้ำเนี่ยมันผิดแต่พี่แกคงสับสนพอดูแหละทั้งเสียแม่ไปทั้งกลัวต้อมจะไม่รับรักเลยตัดสินใจทำแบบนั้น พี่ฟลอยด์นี่แกดูเป็นเด็กขาดความอบอุ่นมากนะติดแม่มากด้วยดูเป็นลูกแหง่แต่ก็น่าเอ็นดูด้วยเช่นกัน

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2922
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
ก็ไม่ได้เกลียดพี่ฟลอยด์นะ แค่คิดว่าพี่แกข้ามขั้นสุดๆเท่านั้นเอง 55555 :mew4: :mew4:

ออฟไลน์ bulldog17

  • ❤GOT7
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +265/-12
ไม่เชิงเกลียดแต่ควรถถนอมน้ำใจต้อมบ้างนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Chise

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
สงสารฟลอยด์ แต่ก็เห็นใจต้อม
ถ้าต้อมไม่ใช่คนขี้สงสารแบบนี้ คงเป็นเรื่องใหญ่ไปแล้ว

ออฟไลน์ leemmm

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-6
ต้อมจะพาพี่ฟล์อยไปหาแม่ต้อมแล้ว ฟล์อยคงได้รับความรักและความอบอุ่นของแม่ต้อมแน่นอน

ออฟไลน์ lazysheep

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 273
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-2
ฟลอยด์ทำไปตอนกำลังเศร้า ต้อมเลยไม่มั่นใจเนี่ยสิ สงสารทั้งคู่เลย

ออฟไลน์ nu-tarn

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 801
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-6
ก็สงสารพี่ฟลอยด์นะ แต่สิ่งที่พี่ทำมันก็ไม่ถูกอ่ะ
เสียใจเลยมาลงที่ต้อม บอกเลยว่าเราสงสารต้อมมากกว่า

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4

ออฟไลน์ gupalz

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4911
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +604/-20
เข้าใจความรู้สึกต้อมอ่ะ

ออฟไลน์ aiaea83

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 676
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +494/-5
No Sugar : 08



        ผมยืนมองควันสีขาวกำลังโพยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า คนเราเกิดมาไม่นานก็ต้องล่องลอยขึ้นสู่ฟากฟ้าเช่นเดิม เสียงสะอื้นดังอยู่ข้างหู ไอ้ฟลอยด์มันยืนซ้อนหลังแล้วก้มหน้าเอาหน้าผากวางบนไหล่ผม พี่สาวสองคนของมันยืนกอดกันร้องไห้โห

   แขกเหรื่อที่มาในงานเริ่มทยอยกันกลับเหลือแค่คนในครอบครัว เอวผมก็ถูกกอดรัดจากด้านหลังทันที

   “แม่กูไม่อยู่แล้ว” เสียงพูดปนสะอื้นจากด้านหลัง ผมลูบมือที่อยู่หน้าท้องตัวเองเบาๆ

   “แม่มึงยังอยู่ในหัวใจมึงเสมอ” ผมว่า

   “ห้ามทิ้งกูนะ” ผมไม่มีคำตอบให้กับคำถามนี้ “ต้อม อย่าทิ้งกูนะ”

   “กลับเถอะ” รีบเปลี่ยนเรื่องแต่มันไม่ยอม แขนมันยังรั้งผมไม่ให้ขยับ

   “บอกกูก่อนว่ามึงจะไม่ทิ้งกู” ผมหันหลังไปมองไอ้คนที่รั้น ดวงตา จมูกแดงกล่ำเพราะร้องไห้หนัก ภาพที่เห็นมันทำให้ใจอ่อนนิดๆ เลยพยักหน้ารับไป “พูดด้วยห้ามพยักหน้า”

   “เออๆ” โคตรตื้อ

   รถคันของผมเป็นคันสุดท้าย และยังเป็นผมที่ขับเหมือนเดิม คาดว่าถ้าปล่อยให้ไอ้คนที่นั่งซึมขับคงกลับไม่ถึงบ้านแน่ การจราจรยามเย็นติดขัดจนอยากจะนอนหลับสักงีบ หลายวันมานี้ผมเทียวไล้เทียวขื่อมางานศพแทบทุกวัน เคยคิดจะไม่ไปแต่ถูกโทรจิกตลอดเวลาเลยต้องโบกแท็กซี่ไป

   คนนั่งมาด้วยมองเหม่อออกนอกหน้าต่าง ทุกคืนมันมักจะนอนน้ำตาไหลร้องหาแม่ บางคืนเพ้อลุกขึ้นมานั่งร้องห่มร้องไห้จนผมต้องกอดปลอบ มันเป็นคนติดแม่มาก ฟังจากพี่ฟีน สำหรับพี่ฟีนเธอเป็นคนน่ารักครับ ไม่ได้รังเกียจอะไรที่รู้ว่าน้องตัวเองคบกับผู้ชาย แต่พี่เฟิร์นพี่คนโตน้อยครั้งที่ผมจะพูดด้วย เพราะสายตาที่มองมามันดูไม่เป็นมิตร ผมก็ไม่อยากยุ่ง

   “จะกลับคอนโดมั้ย” ผมถาม คนข้างๆ ส่ายหน้า

   หลายวันที่จัดงาน มันมักจะไปนอนหอผมเสมอ นั่นเพราะมันบอกห้องหรูนั้นแม่เป็นคนซื้อให้ แถมไปเลือกซื้อข้าวของทุกอย่าง ถ้ากลับไปเห็นคงทำใจไม่ได้

   น่าเห็นใจนะครับ คนที่มีแม่เป็นที่รักและคอยดูแลตามใจต้องมาด่วนจากไป เป็นผมก็คงทนไม่ได้เช่นกัน

   ผมเลือกจะกลับหอพักตัวเองอย่างเช่นทุกที กว่าจะถึงก็มืดค่ำ ผมพามันข้ามถนนไปกินบะหมี่เยื้องร้านสะดวกซื้อ คนนั่งซึมได้แต่มองชามบะหมี่ไม่ยอมแตะต้อง

   “กินหน่อยสิ มึงแทบไม่กินอะไรเลยนะหลายวันมานี้” ขนาดกินข้าวยังกินแค่คำ สองคำแล้วอิ่ม เป็นแบบนี้ทุกมื้อ

   “กูไม่ค่อยหิว” มันเขี่ยๆ เส้นในชาม

   “ไม่หิวก็ต้องกิน แม่มึงจะได้สบายใจ” มันเงยหน้ามองผมนิ่ง ก่อนจะยอมกินแต่ก็กินนับคำได้

   ยืนรอเงินทอนไหล่ผมมีคนมาสะกิด ไอ้คนสะกิดคือน้องรหัสผมครับ ไอ้เป็กมันยิ้มแป้นแล้น มือถือถุงร้านสะดวกซื้อมีขนมเต็มไปหมด

   “พี่ไปไหนมา ผมโทรหาไม่เห็นจะรับ” ไอ้เป็กมันว่า ตามันแอบเหล่ไอ้ฟลอยด์

   “กูไปธุระ มึงมีไร” คือที่ถามห้วนๆ เพราะมัวปัดมือไอ้ฟลอยด์ที่พยายามจะโอบไหล่อยู่ตลอด

   “ก็พี่จุ๊บจะนัดเลี้ยงสาย” พี่รหัสผมนั่นเอง ที่ไม่โทรหาเพราะพี่มันรำคาญผมกวนตีนมันครับ

   “อ่อ เดี๋ยวกูโทรหาพี่แกเอง แล้วมึงซื้อขนมไปเยอะขนาดนี้จะกินหมดมั้ยชาตินี้”

   “หมดดิ่ พวกผมทำงานอยู่ที่หอ”

   “เออๆ งั้นกูไปก่อน ไว้เจอกัน” ต้องรีบตัดบทครับ ไอ้ฟลอยด์มันใกล้จะโวยวายเต็มแก่ เดี๋ยวมีเรื่องกันมันจะไม่ดี

   ผมเดินข้ามถนนมากับไอ้คนเอาแต่ใจ มันหน้าบึ้งแต่ผมทำเป็นไม่สนใจจนแขนยาวนั่นล็อกคอจนหน้าหงาย

   “เล่นเหี้ยอะไรวะ” เหวี่ยงใส่มัน แต่หน้ามันดูจะโคตรจริงจัง

   “กูไม่ได้เล่น” เสียงนิ่งมาก “ไอ้เหี้ยนั่นใคร” ตาขวางใส่จนผมจะเดินหนีแต่ติดตรงแขนมันเกี่ยวคอผมไว้นี่แหละ จนสุดท้ายก็ต้องถอนหายใจ

   “น้องรหัสกู” ผมบอก ปกติไม่ชอบบอกเรื่องพวกนี้กับใคร ไม่ชอบอธิบายในเรื่องที่มันไม่เป็นเรื่อง แต่กับไอ้นี่ถ้าไม่บอกมันจะไม่ยอม

   “แน่ใจว่าแค่น้องรหัส”

   “เออ มึงไม่เห็นเมียมันควบบนมอเตอร์ไซค์รอมันเหรอวะ” ไอ้ฟลอยด์ยังมองตาขวาง มันหันหน้าไปมองอีกฝั่ง ซึ่งยังเห็นไอ้เป็กพาสาวซ้อนมอเตอร์ไซค์กำลังออกตัว

   “กูก็ไม่ได้ว่าอะไร” หันไปมองหน้ามันคอแทบเคล็ด นี่ขนาดไม่ได้ว่าอะไรคอผมแทบหักตอนมันใช้แขนล็อกคอ

   ผมเดินนำหน้ามันขึ้นไปบนห้อง ตอนนี้มันเหมือนเป็นเจ้าของห้องแทนผม พอเข้ามาได้ก็เดินร่อนไปถอดเสื้อผ้าแล้วล้มตัวนอนบนเตียงโดยที่ผมกำลังตามเก็บเสื้อกางเกงมันใส่ตะกร้า

   “ทำไมแม่งไม่ถอดดีๆ วะ” บ่นครับ ตั้งแต่รู้จักมันผมกลายเป็นคนขี้บ่นไปแล้ว

   “มีเมียก็ต้องให้เมียเก็บสิวะ” มันนอนเหยียดบนเตียง

   ผมปาเสื้อลงตะกร้าแบบโมโห โคตรไม่ชอบ เดินเข้าไปคว้าแขนให้มันลุกขึ้นนั่ง มันดูงอแงที่โดนกวน แต่มันควรเป็นผมหรือเปล่าวะที่ต้องงอแง

   “อะไรของมึงวะ”

   “กูมีเรื่องจะคุยกับมึง”

   “พรุ่งนี้ไม่ได้เหรอ” ไอ้ฟลอยด์จะล้มตัวนอนแต่ผมยังดึงแขนมันไว้ สุดท้ายมันก็ยอมนั่งดีๆ บนเตียง “มีอะไร”

   “เรื่องกูกับมึง” ผมลากเก้าอี้เตี้ยๆ มานั่งข้างเตียง จ้องหน้ามันอย่างจริงจัง

   “เรื่องอะไร” คิ้วมันเริ่มขมวด

   “กูต้องทำยังไงมึงถึงจะเลิกกับกู” ผมพูดออกไปตรงๆ ไอ้ฟลอยด์มองผมนิ่ง ดวงตาที่มองผมอ่านไม่ออก “ถ้าอยากถามว่าทำไมกูถึงต้องพูดแบบนี้ ส่วนหนึ่งก็ตอนที่มึงกับกู...” ขนาดจะพูดว่ามีอะไรกันผมยังรู้สึกแปลกๆ

   “เรื่องวันนั้น?” เป็นไอ้ฟลอยด์ที่พูดออกมา  ผมพยักหน้า

   “มันเร็วเกินไปสำหรับกู แต่กูก็ผิดด้วยส่วนหนึ่งที่ยอมมึงตอนหลัง แต่ถ้ามึงอดทนไม่ทำแบบวันนั้น กูคงจะใจอ่อนสักวัน แต่ตอนนี้กูว่า เราก้าวข้ามความสัมพันธ์เร็วเกินไป มึงนิสัยยังไงกูก็ไม่รู้ แล้วกูนิสัยยังไงมึงก็ไม่รู้เหมือนกัน”

   “มึงขี้บ่น ปากหมา แต่ใจดี” เสียงตอบกลับ “กูรู้จักมึงแล้ว”

   “แต่กูไม่รู้จักนิสัยมึง” ผมรีบขัด “ที่กูรู้มีแค่นิสัยเสียๆ ของมึง มึงโคตรเอาแต่ใจนี่คือที่กูรู้”

   “...”

   “กูไม่ใช่คนที่จะตามใจใครได้ตลอด มึงก็เห็น ว่าบางทีกูก็มีความคิดที่ไม่เหมือนมึง แต่มึงเอาแต่ใจ บังคับความคิดของกูให้เป็นแบบที่มึงอยากให้เป็น...มันไม่ใช่ตัวกู”

   “ขอโทษ” เสียงมันอ่อนลง

   “กูไม่รู้ว่าที่จริงแล้วมึงต้องการอะไรจากกู รักกูหรือแค่อยากได้ที่พักใจ” ที่พักใจ โคตรเสี่ยวในความคิดแต่ผมก็พูดออกไป “หรือว่าเห็นกูเป็นตัวแทนไอ้กลอย แต่มึงน่าจะรู้แล้วว่ากูกับไอ้กลอยไม่เหมือนกันสักอย่าง”

   “กูไม่ได้เห็นมึงเป็นตัวแทนของใคร ถ้ากูไม่ชอบใคร กูก็จะไม่เข้าหา”

   “แล้วมึงเข้าหากูทำไม”

   “ก็กูสนใจมึง”

   “ทำไมถึงสนใจ”

   “ไม่รู้” มันก้มหน้างุดพูดเสียงอ้อมแอ้ม “แต่กูจริงจังกับมึงนะ”

   ผมรู้ดีว่ามันเพิ่งจะผ่านเรื่องแย่ๆ มา แต่มันต้องเด็ดขาดจริงจัง ที่ผมยอมไปช่วยงานของแม่มันนั่นเพราะสงสารที่มันเหมือนเอาผมเป็นหลัก ยามไหนมันอ่อนแอก็จะเดินมาลากผมไปกอดแล้วร้องไห้ ตอนนี้งานก็จบลงไปแล้ว มันต้องเป็นหลักให้กับครอบครัว

   “มึงควรไปดูแลพี่สาวกับครอบครัว”

   “พวกเขาไม่ต้องพึ่งกู”

   “แต่มึงเป็นน้องชายเพียงคนเดียว มึงเป็นผู้ชายนะ”

   “แต่กูขาดมึงไม่ได้” มันดึงผมขึ้นไปนั่งบนเตียง หน้าผากขาวซบกับไหล่ของผม “กูพูดจริงๆ”

   ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ความรั้นของมันมักจะชนะผมตลอด ผมรู้แล้วว่าทำไมพ่อกับแม่หรือพี่ชายถึงยอมผม นั่นเพราะผมก็หัวรั้นแบบนี้เหมือนกันตอนเลือกเรียนที่นี่

   “เอางี้” ผมดันหัวมันขึ้น ดวงตามันเริ่มแดง “กูจะให้โอกาสมึง”

   พอมันได้ยินดวงตาก็ดูเป็นประกาย

   “โอกาสอะไร”

   “มาเริ่มต้นกันใหม่ เรื่องที่ผ่านมากูจะคิดว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น” ผมบอก ถ้าไม่ทำแบบนี้มันไม่ยอมปล่อยผมไปแน่ จะให้ผมหนีก็หนีไม่ได้อยู่แล้ว

   ไอ้ฟลอยด์หน้างอนิดๆ “ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น? แต่มึงเป็นของกูแล้วนะ”

   “ถ้าอยากได้โอกาส ต้องเริ่มใหม่ทุกอย่าง ทั้งความสัมพันธ์และการเริ่มต้นรู้จัก” ผมบอก “ทำเหมือนเพิ่งจะรู้จักกันใหม่ๆ นั่นแหละ”

   “จะให้กูจีบมึงใหม่ทั้งที่มึงเป็นของกูแล้ว?” ย้ำเหลือเกินว่าผมเป็นของมันเนี่ย

   “เออ” ตอบแบบมีน้ำโห

   “ไม่ยุติธรรม” เริ่มงอแง แต่พอเห็นผมมองนิ่งมันเลยหน้างอพยักหน้าแบบช่วยไม่ได้ “ก็ได้”

   “ก็แค่นั้น” แล้วมันก็ยิ้ม แขนยาวๆ ยื่นมากอดเอวผมหลวมๆ

   “แค่อยากให้รู้ไว้ ว่ากูจริงจังกับมึง”

   ถึงแม้ผมจะให้โอกาสมันเริ่มต้นใหม่ แต่ไอ้การไม่ยอมกลับไปนอนที่เดิมนี่ถูกยกมาว่านอกเหนือที่ตกลง เอากับไอ้คนเอาแต่ใจสิครับ กลายเป็นว่า แม้จะจีบกันใหม่แต่ก็อยู่ด้วยกัน แล้วแบบนี้มันเหมือนจีบกันตรงไหนวะไอ้ต้อมมึน





   หน้าตึกเรียนรวม ผมลงรถของไอ้คนที่กำลังจะจีบผมใหม่ แต่มันทำตัวเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่ที่ลดลงมาคือมันฟังผมมากขึ้น ยอมผมมากขึ้น เอาแต่ใจลดลงเยอะ โดยมีข้อแม้ว่าผมต้องเรียกมันใหม่

   “พี่ฟลอยด์ไม่ต้องมารับผมนะ วันนี้มีประชุมคณะ” ผมบอก นั่นแหละ มันให้ผมเรียกมันว่าพี่ฟลอยด์ แลกกับการที่มันกลับไปอยู่ที่คอนโดของมัน

   ผ่านงานศพแม่มาหลายเดือนแล้วครับ สภาพโดยรวมมันดูดีกว่าที่คิด ขนาดพี่ฟีนพี่สาวยังแปลกใจที่น้องชายไม่เป็นโรคซึมเศร้า แถมยังร่าเริงแจ่มใส

   “พี่ก็มีเหมือนกัน ถ้าเลิกก็โทรมาแล้วกันนะ” ไม่ยอมให้ผมกลับคนเดียวอีก เลยต้องพยักหน้าไป

   ตอนนี้มหาลัยกำลังจะมีงานโอเพ่นเฮ้าท์อะไรสักอย่าง ผมก็ไม่ได้อยากยุ่งเท่าไหร่ แต่ติดที่โดนบรรจุงานให้เข้าไปทำ นั่นคือฝ่ายสวัสดิการ เลยทำให้หนีการเข้าประชุมไม่ได้

   เดินเข้ามาในตึกเจอพวกเพื่อนๆ ที่มันนั่งรออยู่ก่อน ตอนนี้พวกมันเลิกแซวไปแล้วครับ คงจะเห็นจนเบื่อ จะมีก็แค่พวกที่เรียกตัวเองว่าสาววายที่ยังกรี๊ดกร๊าดไม่เลิก ดีหน่อยที่ตอนนี้ใครจะถ่ายรูปจะเข้ามาขอผมตรงๆ ถ้าสะดวกผมก็ให้ถ่าย
 
   “ทำไมกูต้องอยู่ฝ่ายประสานงานวะ” ไอ้ป่านบ่น กูก็อยากบ่นเหมือนกันนั่นแหละ

   “เพราะมึงพูดดีสุดไง” ไอ้ดอยว่า

   “หุบปากไปเลย มึงแม่งใช้เส้นแน่ ไม่โดนงานอะไรเลยไอ้สัดดอย”
 
   “กูเป็นฝ่ายตัวลอยโว้ย ทำได้ทุกอย่าง โดยเฉพาะอยู่เฉยๆ”

   ฟังพวกมันเถียงไป มือก็กำลังนั่งทำการมหาลัย (การบ้าน) ที่ต้องรีบทำตอนนี้เพราะเมื่อคืนถูกไอ้คนที่ลดนิสัยแย่ๆ ลงชวนไปกินข้าว ตอนแรกคิดว่าจะไปแค่แปบเดียว ที่ไหนได้ไปตอนทุ่ม กลับมาเกือบห้ามทุ่มเพราะมัวแต่ไปดูหนัง อยากตบหัวตัวเองมาก

   “เงียบเลยนะมึง มานั่งทำการบ้านยิกๆ เมื่อคืนเสือกไม่ทำ” ไอ้ดอยแขวะ ผมไม่สนใจ

        “เห็นเพจมันถ่ายรูปมันไปดูหนังมาไม่ใช่เหรอวะ” ไอ้ป่านว่า ไอ้นี่ก็กลายเป็นสมาชิกเพจ เพราะครีมกรี๊ดผมกับพี่ตัวเอง

   “แหม ดอดไปเที่ยวเลยต้องมานั่งใช้กรรมตอนนี้ สมน้ำหน้าสัด” ส่งสายตาไปฆ่าเพื่อนตัวเอง แล้วรีบก้มหน้ารับกรรมต่อ



   กว่าจะหมดคาบเรียนก็แทบสลบเหมือด เวลาเรียนพวกทฤษฎีมันมักจะง่วงเสมอ ผมเดินมึนๆ ออกมาจากห้องพร้อมเพื่อน เจอไอ้กลอยที่เพิ่งจะขึ้นมาเรียนตึกเรียนรวม

   “ไงไอ้เอฟทีไอแลนด์” ไม่ใช่ชื่อวงนักร้องเกาหลีหรอกครับ นั่นชื่อเพจของผมกับไอ้รุ่นพี่บริหาร ชื่อเอฟทีก็ย่อมาจากฟลอยด์กับต้อม ไอแลนด์ก็เหมือนเป็นดินแดน พอรวมกันก็กลายเป็นดินแดนของผมกับไอ้ฟลอยด์มัน คนคิดก็ช่างสรรค์หาจนผมอยากจะคำนับ

   “กวนนะมึง” ผมว่า ไอ้กลอยมันก็หัวเราะ

   “งานมหาลัยมึงได้ทำอะไรวะ” ไอ้กลอยมันถาม ผมก็ทำหน้าบึ้งใส่

   “สวัสดิการคณะ มึงล่ะ”

   “กูสบายๆ ฝ่ายประสานงานไอ้สัด โคตรเหนื่อย” หน้าตาน่ารักของมันบึ้งตึง ปากก็บ่นจนผมขำ “กูแม่งโคตรลำบาก ทั้งโดนอีเข็มจิก โดนพี่โชตาม ไอ้กลอยจะบ้าตาย”

   “เอาน่ามึง เดี๋ยวก็ผ่านไป” กลายเป็นผมที่ต้องปลอบมัน

   “แล้วมึงกับพี่ฟลอยด์เป็นไงมั่ง เริ่มต้นใหม่ไฉไลกว่าเดิมป่ะ” ผมเล่าให้ไอ้กลอยฟังครับ ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมเล่าให้มันฟัง

   “เรื่อยๆ” ผมบอก

   “แหม เรื่อยๆ ของมึงนี่ถึงขั้นไหนวะ” ตามันเป็นประกายยามอยากเสือกเรื่องของคนอื่น

   “ไม่ถึงขั้นไหนทั้งนั้นแหละ”

   “ไม่ต้องอายมึง พี่ฟลอยด์ก็นิสัยเหมือนพี่โช โคตรเอาแต่ใจ ขี้หึง ขี้หวงจนน่าปวดหัว” นั่นก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ผมปรึกษามัน เพราะนิสัยที่คล้ายกันของรุ่นพี่ทั้งสอง

   “กูไปก่อน” ผมตัดบทเมื่อลิฟท์รอบที่สามขึ้นมาถึงชั้นที่ผมยืนอยู่ ไอ้กลอยโบกมือลาแล้วเดินเข้าไปในห้อง

   เรื่องขี้หึงนี่ผมว่ามันโคตรตลก ผมเป็นผู้ชายที่ไม่ได้น่ารักแต่กลับถูกหึงจนปวดหัว แค่ผมเข้าใกล้ไอ้เป็กยังโดนบ่น ทั้งที่รู้ว่ามันชอบผู้หญิง แต่ไอ้รุ่นพี่นั่นก็ยังไม่ยอม เลยได้แต่ปล่อยเลยตามเลย อยากหึงก็หึงไป



   “มึง โดดประชุมมั้ยวะ กูง่วง” ไอ้ดอยกระซิบซึ่งผมก็เห็นด้วยนะ แต่ติดตรงที่ไอ้ประธานรุ่นมันยืนกอดอกอยู่ที่ประตู

   การประชุมก็พูดเรื่องงานทุกอย่าง งานสวัสดิการของผมก็ไม่ค่อยมีอะไรนอกจากจัดหาของทุกอย่างให้กับคนอื่นๆ เบ๊ดีๆ นั่นเอง

   “เขาว่าวิศวะมีเวทีร้องเพลงด้วยมึง” เสียงผู้หญิงที่กระซิบคุยกันข้างหลังผม

   “จริงดิ่”

   “เห็นว่าปิดท้ายวงพี่มอสนะมึง”

   “เฮ้ย แบบนี้กูต้องทิ้งงานไปดูแล้ว”

   “วงในสุดๆ ว่าพี่ฟลอยด์จะร้องเพลงด้วย” ชื่อคนที่ได้ยินทำให้ผมต้องหันไปมอง พวกผู้หญิงที่คุยกันเป็นเด็กปีสอง พอเห็นว่าผมมองก็พากันยิ้มส่งมาให้ “พี่ต้อมอย่าลืมไปดูนะคะ”

   ได้แต่หัวเราะแห้งๆ ส่งให้ อย่างผมไม่มีทางไปดูให้เสียลูกตาหรอกครับ ไปดูสาวๆ คณะอักษรประกวดขวัญใจดีกว่า ดูกว่าเยอะ

   กว่าจะเลิกประชุมก็เกือบสองทุ่ม ผมส่งไลน์ไปบอกไอ้คนที่สั่งนักสั่งหนาว่าจะมารับ แต่ข้อความที่ตอบกลับคือให้กลับเอง แอบโมโหนิดๆ แต่ก็ไม่ได้โวยวายอะไร ผมขอติดรถไอ้ป่านไปลงหน้าหอ ระหว่างทางมันก็พร่ำเพ้อถึงแฟนมัน ตอนนี้ไอ้ป่านตกลงคบกับครีมแล้วครับ ไม่รู้อะไรดลใจให้สาวเจ้ายอมคบ แต่เพื่อนผมเป็นคนดีผมยืนยันได้

   “ขอบใจนะมึง” ผมบอกลาเพื่อนตัวเองก่อนเดินข้ามฝั่งไปซื้อบะหมี่ ระหว่างยืนรอแอบเห็นรถของคนที่สั่งให้ผมกลับเองมาจอด ผมก็รีบแอบ เจ้าของรถเปิดประตูลงมากับผู้ชายหน้าหล่อ เดือนวิศวะปีสี่ที่พวกรุ่นน้องพากันสนใจ สองคนนั้นเดินเข้าร้านสะดวกซื้อ ผมก็รีบจ่ายเงินค่าบะหมี่แล้วจะกลับ

   “เดี๋ยว” ไม่ทันครับ แขนโดนคว้าไว้เรียบร้อย เมื่อกี้มันต้องเห็นผมแล้วแน่นอน “กลับมายังไง ตอนแรกเขายังไม่เลิกตอนที่ต้องไลน์มา แต่แปบเดียวมันก็เลิกเฉย”

   “ให้ไอ้ป่านมาส่ง” ผมบอกพลางส่งยิ้มให้รุ่นพี่ต่างคณะที่ยืนยิ้มให้อยู่ด้านหลัง

   “แหม หวานกันจริงนะ กูชักอิจฉาแล้ว” พี่มอสแซวแต่ถูกเพื่อนเตะขาจนหัวเราะลั่น “ไปละๆ” พี่มอสแกโบกมือแล้วเดินไปขึ้นรถอีกคันที่มาจอดเทียบ

   ผมมองตามรถคันสวยไป จนโดนดีดหน้าผาก

   “มองมันทำไม” หน้าบึ้งไปอีก

   “มองเฉยๆ” ผมบอก

   “ห้ามมอง” เอ้า

   “เพื่อนพี่หล่ออะ” ผมบอก ผมก็อยากเกิดมาหล่อแบบนั้นบ้าง

   “กูหล่อว่า”

   “หล่อแต่หน้าบึ้งว่ะ” ผมหัวเราะ

   “ไม่บึ้งก็ได้”

   “พี่ไม่รีบกลับล่ะ ดึกแล้ว”

   “ขอนอนค้างได้ป่ะ เหนื่อยมากเลย” แอบเนียนเอาหน้าผากซบกับบ่าผมจนเดินไปมามอง

   “อย่ามาสำออย ได้ทำอะไร ปีสี่เขาก็ให้อยู่เฉยๆ ไม่ใช่หรือไง” ได้ยินเสียงขำในคอ

   “รู้ทันตลอดว่ะ” มันจูงมือผมข้ามถนนก่อนจะยืนล่ำลาหน้าประตูหอ “รีบเข้าไปเถอะ ถ้าขืนอยู่นานกว่านี้พี่ก็ไม่อยากกลับแล้ว”

   “ขับรถกลับดีๆ นะ ห้ามใจร้อน”

   “ครับผม”

   “เออ” ผมกำลังจะหันตัวกลับถูกมือดีดึงเข้าไปหอมแก้มฟอดใหญ่

   “ฝันดีครับ”

   หน้าร้อนมากตอนนี้แต่ต้องปั้นหน้านิ่ง แล้วพยักหน้า

   “อืม ฝันดี”

   ได้ยินเสียงมันหัวเราะ คงจะเห็นว่าผมหน้าแดง ที่รู้เพราะมันร้อนวูบวาบออกหน้าออกตา

   เรื่องการแตะเนื้อแตะตัวนี่ผมก็มีกฎ ห้ามจูบในช่วงเริ่มคบ อาจดูหัวโบราญแต่ผมว่ามันคือสิ่งที่ดี หากเผลอจูบในที่ๆ ลับตาแล้วอารมณ์เผลอไผลมันจะลำบาก หลายครั้งที่เกือบจะทำไม่ได้แต่ผมก็รู้ว่ามันอดกลั้นแค่ไหน

   “รีบเข้าไปเถอะ เดี๋ยวพี่จะกลับแล้ว”

   “อืม” ผมพยักหน้า “ตั้งใจซ้อมนะ” มันเบิกตากว้างมอง คงจะรู้ว่าผมหมายถึงอะไร เจ้าตัวถึงหัวเราะออกมา

   “ครับ แล้วอย่าลืมไปดูพี่นะ ไม่งั้นจะให้ไอ้พวกนั้นไปอุ้มมา”

   “บังคับตลอด” น้ำเสียงไม่จริงจังจนมันขำ

   “ถ้ายังไม่เข้าไป พี่จะฉุดกลับคอนโดแล้วนะ”

   ผมตาเหลือกรีบแตะบัตรหอพักแล้วเข้าไป คนยืนส่งโบกมืออยู่ด้านนอก ไม่รู้ผมคิดไปเองคนเดียวหรือเปล่า ว่านิสัยจริงๆ มันก็เป็นคนน่ารักคนหนึ่ง นี่ถ้าไม่เริ่มใหม่ ผมคงจะคิดว่ามันมีแต่ด้านเสียๆ ในการเอาแต่ใจ ผมคิดถูกแล้วสินะที่ทำแบบนี้



   ตึ่งดึง

   เสียงข้อความไลน์ดังขณะกำลังไขกุญแจ พอเปิดอ่านใบหน้าก็มีแต่รอยยิ้มที่หุบไม่ลง


   ‘อย่าลืมฝันถึงพี่นะ เพราะพี่ฝันถึงต้อมทุกวัน เราจะได้ฝันถึงกันและกัน...รักนะครับ’


....TBC

ต้อมให้โอกาสใหม่พี่ฝอย หวังว่าจะดีแบบนี้เรื่อยๆ ดีแตกเมื่อไหร่ให้ต้อมมีกิ๊กซะให้เข็ด (ล้อเล่น)

ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ เรื่องนี้อาจไม่เกรียน ไม่สนุก มีหน่วงบ้างบางที

กำลังอยู่ในช่วงปรับปรุงพิฒนาฝีมือค่ะ หากขาดตกบกพร่องตรงไหนขอประทานอภัยค่าาาา

 :pig4: :pig4: :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-09-2016 10:23:28 โดย aiaea83 »

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2922
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
อ๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยย พี่ฟลอยด์น่ารักกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
อย่างน่ารักอ่ะ ขนาดนี้ไม่ต้องเติมน้ำตาลก็หวานนนนจนมดขึ้นแล้ววววว :impress2: :impress2: :impress2:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
พี่ฝอยขัดหม้อช่วงนี้ขัดหม้อน้ำตาล หวานซะ
กลัวอีกไม่นานพี่จะพาขัดหม้อมาม่าซะจริงๆ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Coffeeblack

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
โอ๊ยยยย 'รักนะครับ' เขินๆๆๆ
ต้อมยิ้มไม่หุบเลยย เริ่มมีใจแล้ว เย้ๆๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด