No Sugar : 03
เช้าวันใหม่ ผมออกมายืดเส้นที่ริมระเบียง จำได้เลาๆ ว่าเมื่อคืนไอ้ลูกคนรวยนั่นโทรมาเย้ยเรื่องเบียร์ จากนั้นก็จำอะไรไม่ได้ มันวางไปตอนไหนหรือพูดอะไรก็จำไม่ได้อีก ที่แปลกใจคือ มันเอาเบอร์ผมมาจากไหน สะบัดหัวไล่ความคิดที่ฟุ้งซ่านก่อนจะอาบน้ำแต่งตัวไปเรียน
ผมยังปั่นสุดหวงมาตามทางเรื่อยๆ แม้วันนี้รถจะติดไปหน่อย คงเพราะผมมาเรียนสาย เลี้ยวขวาเข้ามหาลัย ผ่านหลายตึก หลายคณะ นักศึกษาทั้งหนุ่มทั้งสาวเดินกันให้ขวักไขว่ หลายครั้งที่มีคนรู้จักตะโกนทักทาย แม้ผมจะไม่ใช่คนดัง แต่เพื่อนก็ยังพอมีบ้าง
ปั่นสุดหวงมาถึงคณะ ใช้ขาเกี่ยวขาตั้งให้ตั้งคู่ ดูเหมือนมีอะไรผิดแปลกไปจากทุกที นั่นคงเพราะมีรถยี่ห้อนอกมาจอดอยู่ที่ลานจอดหน้าตึก ปกติคณะผมจะมีเฉพาะพวกอินดี้ขับเต่าบ้าง ฮาร์ดคอแว้นบิ๊กไบท์บ้าง น้อยมากที่จะมีคนอวดรวยขับรถนอกมาแบบนี้ หรือว่าผู้ปกครองปีหนึ่ง ไม่แน่ ปีนี้อาจมีลูกมหาเศรษฐีมาเรียนก็ได้
เดินเข้าไปส่องกระจกนิดๆ รถติดฟิล์มซะดำทำให้มองไม่เห็นด้านใน ยักไหล่ไม่ใส่ใจแล้วจะเดินเข้าตึก แต่เสียงเปิดประตูพร้อมเสียงเรียกทำให้ต้องหยุดแล้วหันหลังไปมอง ตาผมฝาดหรือเปล่าวะ ไอ้บ้านี่ไม่น่าจะอยู่ตรงนี้ได้ มันน่าจะไปจอดหน้าตึกไอ้กลอยมากกว่า แล้วรถมันก็ไม่ใช่คันทุกที สะบัดหัวอีกรอบจะเดินเข้าไปในตึกแต่ก็ยังมีคนเรียกอีกรอบ
“มาทำไมวะ” ผมถามออกไปพร้อมกับเดินมาประชันหน้า แม้จะต้องเงยมองนิดๆ ก็เถอะ
“รอมึง” คำตอบเล่นเอาผมอ้าปากกว้าง
“รอกู?” ชี้นิ้วเข้าตัวเอง มารอทำไม
“อืม” มันพยักหน้ายืนยันอีกรอบ
“มีอะไร” กอดอกยืนถาม พยายามให้ดูกวนตีนที่สุด ผมว่าไอ้นี่มันมาด้วยเหตุผลไม่ดีแน่นอน หรือมันอาจคิดว่าผมยังเป็นคู่แข่งเรื่องไอ้กลอย แต่ก็บอกไปแล้วว่าเป็นแค่เพื่อน อยากสู้ต้องไปนู้น พี่โชของไอ้กลอยนู้น
“ก็อย่างที่มึงพูดไว้” ตั้งใจฟังมันพูด ตาคมจ้องหน้าผมนิ่งๆ “ให้หาคนที่ไม่มีใครมาแทน”
“แล้ว?” ขมวดคิ้วมอง ผมไม่รู้ว่ามันอยากจะพูดอะไรกันแน่
“ก็มึงไง”
“อะไร”
“คนไม่มีใครก็มึงไง”
“คนไม่มีใคร? อะไรวะ กูงง ช่วยพูดให้มันยาวๆ ได้ป่ะ ทีด่ากูไฟแลบ” ผมด่ามัน มันกลับไม่ชักสีหน้าใส่เหมือนทุกที
“ก็มึงบอกให้กูหาคนไม่มีใครมาคบแทนเพื่อนมึงไง” ผมพยักหน้าฟังมันพูด แต่ก็ยังไงงงๆ
“ก็ใช่ กูพูดผิดเหรอ” มันส่ายหน้า จนผมต้องเกาหัวจนยุ่ง “แล้วมันอะไรวะ”
“ก็มึงไง ไม่มีใคร แฟนก็ไม่มี เมียก็ไม่มี ผัวก็ไม่มี” อ้าปากค้าง มันด่าผมหรือเปล่าวะ...
แต่เดี๋ยว ประโยคก่อนหน้าที่มันด่า คือผมไม่มีแฟนมันก็ใช่ ให้มันหาคนไม่มีแฟนมันก็ใช่อีก อ่าว ชิบหายละกู กว่าจะนึกออก
“ไอ้เชี่ย อย่าบอกว่าจะจีบกู” มองมันอย่างขยะแขยง ไอ้เชี่ยนี่ คิดเลวๆ กับผมแน่
“อ่าห๊ะ” ไอ้ฟลอยด์มันยกมือกอดอกจ้องผมแล้วพยักหน้า
มันบ้าแน่ๆ
“มึงเพี้ยนหรือเปล่า เที่ยวจิ้มเอาใครก็ได้มาคบ”
“ถ้ากูจิ้มได้ มึงไม่มายืนด่ากูแบบนี้หรอก” ยังมีหน้ามาเถียง
“เอาตรงๆ ไม่อ้อมคอม แบบแมนๆ เลยนะ” ผมสูดอากาศเข้าปอดก่อนมองหน้ามัน “กูไม่ได้ชอบมึง แล้วกูก็ไม่คิดจะมีแฟนด้วย โอเค๊”
“แต่กูเลือกมึง” ลืมนึกไปว่ากำลังคุยกับไอ้ลูกคนรวยถูกเลี้ยงตามใจแต่เด็ก แต่แม่งหัวดื้อเกินไป
“แต่กูไม่ใช่ตัวเลือกของมึง นู้น ไปรอเห่าไอ้เชี่ยกลอยเหมือนเดิมนู้น” ไม่น่าแกว่งเท้าหาเสี้ยนเลยผม ยุ่งไม่เข้าเรื่อง เกิดมาเป็นคนดีเกินไป
“มึงบอกเองว่ามันมีแฟนไม่ควรยุ่ง” ใครก็ได้ช่วยหาล่ามให้ผมที ไอ้บ้านี่เริ่มคุยไม่รู้เรื่อง ไม่รู้พูดภาษาเดียวกันหรือเปล่า
“มันก็ใช่ แต่คนไม่มีแฟนที่มึงเลือกต้องไม่ใช่กูไง” ไอ้ต้อมอยากจะบ้าตาย เกิดเป็นชายชาตรีมาจะยี่สิบปีเพิ่งเคยถูกผู้ชายแมนๆ มาขอจิ้ม เอ้ย จีบ
“แต่กูเลือกมึงแล้ว มาบอกแค่นี้ ไปละ” เชี่ย แล้วมันก็ไปจริงๆ เปิดประตูรถแพงเข้าไปนั่งแล้วสตาร์ทรถออกไปเฉย พูดเองเออเองจนจบแล้วผมต้องทำยังไง ผู้หญิงยังไม่คิดจะจีบ มาโดนผู้ชายจีบ ไอ้ต้อมขอผูกคอตายใต้ต้นผักกาดขาวปลอดสารพิษดีกว่า
ผมเดินเข้าตึกด้วยอาการมึนงง สงสัยต้องไปขอยาที่ห้องพยาบาลมาอัดสักเม็ด มันไม่ไหวจริงๆ ปวดหัวไปหมด แบบนี้ผมจะรับมือไอ้บ้านั่นยังไง พูดอะไรไปก็ไม่ยอมฟัง
“เป็นไรวะมึง ปวดหัวเหรอ” ไอ้ดอยเดินมาตบบ่าผมที่นั่งกุมหัวอยู่ใต้ตึก ผมเงยหน้ามองมันแล้วพยักหน้าลง “กินยายังวะ ห้ามตายนะเว้ย เย็นนี้เข้าห้องเชียร์ด้วย” วันนี้ปีสามต้องลงห้องเชียร์ครับ ผมก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไร กลุ่มที่ทำเขาจัดเตรียมตั้งแต่ก่อนเปิดเทอมแล้ว พวกผมก็เป็นแค่ตัวประกอบเฉยๆ
“เออน่า กูยังไหว” ผมยิ้มให้เพื่อน มันก็เออออก่อนโบกมือทักไอ้ป่านที่เดินหล่อมาแต่ไกล
“มานานยังพวกมึง” ไอ้ป่านทักทาย ไอ้ดอยก็พยักหน้า “กูเพิ่งเอาขนมไปให้สาวมา” มิน่าวันนี้มันถึงแต่งตัวหล่อกว่าทุกที เซ็ทผมด้วย
“แหม จีบเขาติดหรือยังเถอะ” ไอ้ดอยถามปนขำ ไอ้ป่านเคยจีบสาวแบบนี้บ่อย เหมือนจะได้แต่สุดท้ายก็แห้วไร่ใหญ่ๆ
“โห ไอ้เชี่ยดอย ดักคอกูตลอด ขนาดไอ้ต้อมมันยังช่วยกูเลย”
“ช่วยไรวะ” ไอ้ดอยทำหน้าอยากรู้อยากเห็น มันเอามือสองข้างมางัดหัวผมขึ้นจากที่นอนฟุบกับโต๊ะ “ไอ้ต้อมอุบเงียบนะมึง เล่ามาๆ”
ไอ้ป่านมันขำจนมันนั่นแหละที่เล่าเรื่องทั้งหมด แถมเล่าเรื่องนมปั่นอีก ไอ้ดอยงัดหัวผมขึ้นมาอีกที มันจ้องผมตาโต
“ไอ้พี่นั่นจีบมึงเหรอวะ” คำถามแทบเกือบสำลักน้ำลาย
“จีบเหี้ยอะไร สโลแกนกูคือโสดแล้วรุ่งโว้ย” ด่ามันไป พอฟุบหน้าลงก็เห็นภาพไอ้คนบ้ามายืนหน้าตึกเมื่อกี้ มันชี้จิ้มเหมือนจิ้มโทรศัพท์มาที่ผม วาดๆ อะไรสักอย่างที่ผมไม่รู้ก่อนมันจะขึ้นรถไป
คิดจะจีบผม มันคงได้แต่คิดนั่นแหละ พอเบื่อเดี๋ยวมันก็หายไป
ตอนเที่ยงพวกผมยกโขยงไปกินข้าวที่โรงอาหารกลาง เห็นไอ้กลอยยืนต่อแถวร้านข้าวก็เลยเข้าไปทักทายสักหน่อย มันแต่งตัวปกติคงเลิกเป็นพี่เนียนแล้ว
“เรื่องเมื่อวานโทษทีนะมึง” ผมขอโทษเสียงอ่อย ไม่ได้ตั้งใจให้ความมันแตก
“ไม่เป็นไรมึง” มันตบบ่าผมพร้อมกับกัดฟันพูด โคตรเต็มใจว่ะเพื่อน
“มึงไม่บอกนี่หว่า ว่าเป็นพี่เนียน คุยไลน์มึงก็ไม่บอก” ผมว่า ไอ้กลอยมันยู่ปากตามนิสัยของมัน
“มึงเรียนคนละคณะกับกู แล้วกูต้องบอกมึงหรือเปล่า” น้ำเสียงงอนแต่หน้าตามันโคตรกวนตีน ดูก็รู้ว่าแกล้งทำ
“ด่ากูอีก เอาน่าๆ งั้นมื้อนี้กูเลี้ยงเอง” ตามันวาวทันทีที่ได้ยิน นี่แฟนมันปล่อยให้อดอยากหรือเปล่า
“แหมเพื่อนต้อม นิสัยดีจริงๆ” ดูมันครับ แล้วเราสองคนก็หัวเราะกัน มีคนมองมาแต่ไม่สน ก็นี่มันโรงอาหาร เสียงคุยดังกว่าพวกผมสองคนอีก
พอถึงคิวพวกผม ไอ้กลอยก็หยิบจานของมัน ผมก็หยิบของผมพร้อมจ่ายเงินสองจาน ป้าแกก็ยิ้มๆ มากินบ่อยจนจำหน้าได้ แล้วเรื่องก็โคตรบังเอิญเมื่อเพื่อนผมไปนั่งรวมกับกลุ่มเพื่อนไอ้เกรียนนี่ สนุกสิแบบนั้น
ไอ้กลอยมันเป็นพวกเส้นตื้น แค่เพื่อนมันเล่าอะไรนิดหน่อยก็หัวเราะจนข้าวกระเด็นออกจากปาก แบบนี้เหรอวะที่ไอ้ฟลอยด์มันชอบ แล้วพอเปลี่ยนมาเป็นไอ้ดอยเล่าเรื่องตลก ทีนี้ก็พากันหัวเราะทั้งโต๊ะ อยู่ๆ อีกด้านก็เงียบ ตาพวกมันจ้องไปด้านหลังผม พอหันไปก็เจอไอ้คนที่ผมเพิ่งนึกถึง? ไม่ๆ กล่าวถึง ไม่ๆ พูดถึง เออนั่นแหละ มันมายืนอยู่ด้านหลัง ตามันเหล่มองเหมือนหาเรื่องนิดๆ
“ที่นี่โรงอาหาร ช่วยเงียบๆ หน่อย” มันปรายตามองไปรอบโต๊ะ ไอ้กลอยหันหน้าไปมองแล้วยิ้มแฉ่งให้ แต่มันไม่มองหน้าไอ้คนเกรียนเพราะเอาแต่จ้องหน้าผมนิ่ง หรือมันจะหาเรื่องวะ
“ก็โรงอาหาร ใครเขาก็คุยกัน พี่ไม่ไปบอกทุกโต๊ะละครับ” ตอบมันไป มันหรี่ตานิดๆ
“แต่โต๊ะนี้เสียงดังสุด” ยังมีหน้ามาพูด เสียงพวกผมแทบสู้ไม่ได้กับเสียงคุยของโต๊ะอื่นๆ
“เหรอครับ ทำไมพวกผมไม่รู้” จ้องหน้ากลับไปอย่างไม่กลัว แค่มากวนมากกว่า
ไอ้กลอยมันคงเห็นท่าไม่ดีเลยรีบตอบ “เออ พวกผมขอโทษนะครับ” ไอ้คนที่เอาแต่จ้องหน้าผมเลยเบนสายตาไปมองไอ้กลอยแทน มันยิ้มให้นิดๆ
“ไม่เป็นไร” พูดกับไอ้กลอยแล้วยังเหล่ตามามองผมอีก พอมันเดินไปไกล ไอ้กลอยก็ตบบ่าผมเบาๆ คงกลัวผมโมโห เพราะปกติผมไม่เคยโต้ตอบใครแบบนี้ อาจจะมีแต่ไม่มีใครเห็น
แยกย้ายจากพวกเด็กศิลปกรรม พวกผมก็กลับมาที่คณะ เพราะยังมีเรียนอีกวิชา ก่อนตอนเย็นจะต้องเข้าห้องเชียร์ นั่งเรียนบ้างหลับบ้างจนมือถือในกางเกงสั่นเตือนเหมือนมีข้อความเข้า พอหยิบออกมาเป็นไอ้คนที่หาเรื่องในโรงอาหารเมื่อกี้ มันส่งสติ๊กเกอร์หมีส่งสายตาเอือมมาให้ ผมเลยส่งตัวโมโหกลับไป มันก็ส่งกลับเป็นตัวหัวเราะ เออว่ะ ส่งแต่สติ๊กเกอร์จะคุยรู้เรื่องมั้ยวะ
‘ว่างมากเหรอมึง’ พิมพ์ถามมันไป แล้วก็ขึ้นว่าอ่านแล้ว
‘มาก’ มันลากกอไก่โคตรยาวมาจนต้องส่งสติ๊กเกอร์คนโมโหไป ‘ทำอะไรอยู่’
‘เรียนสิวะ กูไม่ได้ว่างเหมือนมึง’
‘ตั้งใจเรียนหน่อย มัวแต่พิมพ์ไลน์เดี๋ยวมึงก็เรียนไม่รู้เรื่อง’
แทบอยากจะปามือถือทิ้ง แล้วใครวะมันทักมาก่อน
‘เออ’ จากนั้นมันก็เงียบไปจนผมจะเก็บมือถือ แต่แรงสั่นทำให้ต้องเปิดดู
‘เย็นนี้มึงกลับยังไง’ ผมส่งรูปสุดหวงไปให้มันดู มันก็ส่งสติ๊กเกอร์ตัวพยักหน้ามา ‘เอาทิ้งไว้ที่นี่แหละ แล้วกลับกับกู’ ไอ้เชี่ยนี่มันบ้าแน่ ผมเลยส่งตัวสติ๊กเกอร์ยกมือกากบาทให้ไปแล้วเก็บยัดกระเป๋า ก่อนไอ้เชี่ยป่านจะสะกิดจนต้องหันไปมอง
“มีอะไร” ถามมันไป
“คุยกับใครวะ” หน้าตามันโคตรอยากรู้ หรือว่าไอ้ป่านเอาให้วะ
“มึงได้เอาไลน์กูให้ใครหรือเปล่า” ถามมันเสียงเครียด ไอ้ป่านรีบส่ายหน้า
“เปล่านะมึง กูจะเอาของมึงให้ใคร” จ้องหน้าเพื่อนตัวเองอย่างจับผิด แต่ท่าทางไม่มีพิรุธอะไร แล้วใครวะที่เอาให้ “ทำไมวะ มีคนไลน์มาจีบมึงเหรอ” มองนิ่งใส่ ไอ้ป่านเลยรีบหันไปที่อื่น
พออาจารย์เลิกคราส พวกผมก็พากันยืดเส้น นั่งนานๆ ก็ปวดเมื่อยไปหมด เก็บข้าวของใส่กระเป๋าแล้วเดินตามเพื่อนออกไป ไอ้ป่านกอดคอผม ปากมันก็เล่าเรื่องราวที่กำลังตามจีบครีม ไม่อยากจะเชื่อว่าครีมจะยอมคุยด้วย ถ้าหลงหน้าตามันก็น่าคิด แต่อย่างครีม สาวสวยแบบนั้นน่าจะมีคนเข้าหาเยอะ แล้วน่าจะดีกว่าไอ้ป่านอีก ไม่ใช่ผมว่าเพื่อนนะ แต่คนรวยมันก็น่าจะมีตัวเลือกเยอะ
เดินลงจากบันไดไปหน้าตึก ผมเห็นหลายคนยืนชี้ๆ ออกไปนอกตึก พวกมันมองอะไรกันวะ
“มีไรวะ” ไอ้ดอยถาม ไอ้หนุ่ยมันหันมามองพวกผมตาโต
“เชี่ย เฟอรารี่รุ่นใหม่ว่ะ กูเพิ่งเห็นในเว็บไม่กี่วันมานี้ แพงกว่าที่ดินบ้านกูอีก” ผมมองหน้าเพื่อนตัวเองอย่างงงๆ กะอีแค่รถแพงจะตกใจทำไม คนรวยมันก็ซื้อได้หมดแหละ แต่พอเดินออกมาก็แทบตะลึง
ไม่ได้ตะลึงรถหรอก แต่ตะลึงไอ้คนที่มายืนพิงรถต่างหาก มันสวมเสื้อยืดสีดำกับกางเกงยีนส์สีซีด หน้าตางั้นๆ มีแว่นตาสีชาปิดบังดวงตาที่กำลังมองหาอะไรสักอย่าง ผมค่อยๆ ถอยหลังเมื่อรู้สึกถึงแรงกดดันบางอย่าง แถมตอนนี้ขาไอ้เจ้าของรถมันเริ่มออกเดินมาทางกลุ่มคนที่ยืนอออยู่หน้าตึก
“กลับยัง” ถอยหลังได้นิดเดียว ไอ้ลูกคนรวยมันก็ก้าวขายาวมายืนตรงหน้า
มันถามผมหรือใครวะ
ไอ้ป่านดันผมให้ไปยืนตรงหน้ามันโดยมีสายตาเกือบๆ ห้าสิบคู่จ้องดู ไอ้ฟลอยด์มันใช้นิ้วเกี่ยวแว่นราคาแพงร่นมาอยู่ที่กลางดั้ง ปากแดงเหยียดยิ้มนิดๆ แทบทำให้สาวๆ คณะผมระทวย
“ถามใครวะ” ผมโพล่งขึ้น สายตาหลายคู่เลยพุ่งเข้ามาหาผมโดยตรง กดดันเชี่ย
“ถามมึงนั่นแหละ กลับยัง” ส่ายหน้าเป็นพัลวันเลยไอ้ต้อม “เร็ว” ดูมันยังเร่ง คิ้วเริ่มขมวด
“กูไม่ได้บอกจะกลับพร้อมมึงเลย มั่วสัด” เสียงซุบซิบเรื่องผมกับไอ้บ้านี่ดังไปทั่ว หมดกันความสงบของผม
“ทำไมไม่อยากกลับพร้อมกู” ทำเสียงอ่อยจนผมโดนเพื่อนผู้หญิงในคณะตะโกนบอกว่าผมใจร้ายทำร้ายคนหล่อ เออ เอาเข้าไป ไอ้ต้อมผิดอีก
“มึงจะอะไรกับกูวะ” ผมขยับปากเพื่อให้มันอ่าน แต่มันกลับหัวเราะ
“เร็วๆ” เร่งกูทำไม
“ไม่โว้ย กูต้องเข้าห้องเชียร์” ผมบอก ตาคอยมองเพื่อนตัวเองที่มันยิ้มแปลกๆ แต่ไม่น่าสนใจเท่ามีคนเอามือถือมาถ่ายคลิป
“งั้นเดี๋ยวกูรอก็ได้” ทำน้ำเสียงโคตรน่าสงสารจนผมโดนด่าอีกรอบ โอ้ย ไอ้ต้อม ชีวิตมึงพังแล้ว
“ไม่ต้องรอ กูปั่นสุดหวงมา” ยังเถียงกลับ ก่อนจะไล่ต้อนเพื่อนตัวเองเมื่อถึงเวลาเข้าห้องเชียร์ แอบมองไอ้ลูกคนรวย มันหน้างอแล้วเดินกลับไปที่รถ ใบหน้างั้นๆ หันไปยิ้มให้กล้องที่กำลังถ่าย มันบ้าแล้ว
ผมถูกล้อจนแทบอยากมุดดินหนี ขนาดปีสองมันยังแซว พี่ปีสี่อีก แล้วพี่บางคนรู้จักมันด้วย ขอบอกว่าไอ้ต้อมเละครับ โดนถามยันวินาทีที่รู้จักมัน
เข้าห้องเชียร์จนถึงห้ามทุ่ม พอออกจากห้องก็ลองเดินมาดูตรงลาน รถที่จอดกลายเป็นรถที่เคยเห็นทุกที สงสัยจะเอาคันนั้นไปเก็บ ลูกคนรวยมักชอบอวดรวย พอคนในรถเห็นผมมันก็รีบเปิดประตูออกมา ผมก็ทำหน้านิ่งๆ ควบสุดหวงเตรียมปั่นกลับหอ แต่ทำไมมันฝืดๆ ปั่นไม่ค่อยไปวะ
ชิบหาย ยางแบนแบบไร้ลมทั้งหน้าและหลัง เมื่อเช้าล้อมันยังแข็งโป๊กอยู่เลย ไม่น่าจะโดนอะไรทิ่มทั้งหน้าและหลังแบบนี้ มันมีอยู่สาเหตุเดียว
“มึงปล่อยลมยางสุดหวงเหรอวะ” ผมถามเสียงเขียว มันกอดอกพยักหน้ายอมรับ เออ มันก็ลูกผู้ชายดี “ทำๆ ไมวะ แล้วกูจะกลับยังไง” ห้าทุ่มแบบนี้จะหาร้านเติมลมจากที่ไหน แล้วไอ้ป่านกับไอ้ดอยก็กลับไปแล้ว
“กลับกับกูไง” มันยังยืนยันเหมือนเดิม จนผมเกาหัวจนผมฟู
“มึงจะจีบกูทำไมเนี้ย คนอื่นมีเป็นร้อยเป็นพันทำไมมึงไม่ไปชอบ” เริ่มโวยวาย “มึงดู กูไม่ได้น่ารักแบบไอ้กลอย หน้าก็หยาบ มือก็ด้าน ตัวก็ดำ นิสัยก็เหี้ย”
“แล้ว?”
“ก็มันไม่เหมาะกับลูกคนรวยแบบมึงไง แล้วกูก็ไม่ได้อยากมีแฟน จบ”
จบครับ จบจริงๆ แต่เป็นผมนี่แหละ แม่งถูกมันตีหน้าตายดึงขึ้นรถ แล้วเอาสุดหวงไปจอดที่เดิม ผมไม่เคยทิ้งสุดหวงไว้ที่อื่นเลยนะ ได้แต่เป็นห่วง ดูชื่อที่ตั้งให้ก็น่าจะรู้ว่าหวงขนาดไหน แต่ไอ้บ้านี่กล้าทิ้งลูกรักของผมไว้หน้าคณะ
“หอกูอยู่ทางนู้น” ผมชี้ไปอีกทาง แต่มันเลี้ยวอีกทาง โคตรกวนตีน
“กูรอมึงตั้งแต่เย็นจนห้าทุ่ม ยังไม่ได้กินข้าว” มันบอก ตอนแรกก็ไม่ได้อยากเชื่อ แต่เสียงร้องท้องมันยืนยันเลยฮึดฮัดไป “ร้านนั้นมั้ย” มันชี้ไปที่ร้านก๋วยเตี๋ยวรถเข็น ผมก็พยักหน้า ไม่คิดว่าลูกคุณหนูอย่างมันจะกินอาหารข้างทางด้วย
พอจอดรถ เราสองคนก็เดินไปนั่งที่โต๊ะ ผมตะโกนสั่งบะหมี่เกี๊ยว ไอ้ตรงหน้าก็สั่งแบบเดียวกับผม จากนั้นก็เริ่มนั่งจ้องหน้ากัน ผมจ้องหน้ามันนิ่งๆ พยายามมองไอ้ลูกคนรวยว่ามันกำลังแกล้งผมอยู่หรือเปล่า หน้าตางั้นๆ มันก็จ้องผมนิ่ง ดูเหมือนจะสำรวจผมซะด้วย เงียบกันอยู่นานจนบะหมี่มาเสิร์ฟ
ตักน้ำตาลหนึ่งช้อน พริกป่นสองช้อน ผมกำลังตักพริกป่นช้อนที่สองแต่ถูกแย่งไปเฉย ไอ้คนแย่งมันขมวดคิ้วแล้วเอาช้อนที่มีพริกใส่ไว้ที่เดิม
“อะไรของมึงวะ” ทำไมมันชอบหาเรื่องผมวะ
“กินเผ็ดเดี๋ยวก็ปวดท้อง นี่ดึกแล้ว” มันว่า ถ้วยมันไม่ปรุงอะไรสักอย่าง กินแบบจืดชืด
“เรื่องของกู” พอจะยื่นมือไปตักก็โดนมือตีจนต้องสะบัดไล่ความเจ็บ ฟาดซะแรง “จะกวนโมโหกูไปถึงเมื่อไหร่วะ” เริ่มหมดความอดทน
“ก็จนกว่ามึงจะคบกับกู” ลอยหน้าลอยตาพูด จนอยากจะยกบะหมี่ให้
“ไม่อยากจะพูดแล้ว” กัดฟันตอบโต้มันไป
บะหมี่รสชาติไม่ค่อยถูกปาก ปกติผมเป็นคนกินเผ็ด พอกินแบบนี้เลยไม่ค่อยเจริญอาหารเท่าไหร่ อีกอย่าง ผมไม่กินเกี๊ยวเพราะมันเคยทำให้ผมเกือบตายจากการหลุดเข้าคอมาแล้ว คนตรงหน้าเห็นผมเหลือแต่เกี๊ยวมันก็จ้องหน้า ผมเลยคีบใส่ในถ้วยมัน
“ไม่กิน?”
“อืม” คาบเส้นบะหมี่แล้วพยักหน้า
“ถ้าไม่มีกู เกี๊ยวนั้นก็จะเหลือ คนเขาอุตส่าห์ทำมาให้กินกลับต้องทิ้ง” ได้ยินเลยจะคีบกลับแต่มันกลับคีบเข้าปาก แล้วเคี้ยวตุ้ยๆ
“กวนตีน” ด่ามัน
“เฉพาะกับมึงเท่านั้นแหละ” แนะ มีหยอดซะด้วย แต่ไอ้ต้อมไม่หลงกลง่ายๆ หรอก
“เอาที่สบายใจ”
มื้อนี้อิ่มแถมตังค์อยู่ครบ
“กลับเลยมั้ย” คนเลี้ยงข้าวถาม ผมเลยพยักหน้าตอบ “หอมึงอยู่ไหน”
“อยู่ตรงที่มึงเคยถอยรถจะชนกูนั่นแหละ” นึกถึงแล้วยังโมโหไม่หาย ถ้าเกิดผมล้มนะ โดนทับแน่ แต่ไอ้คนทำกลับหัวเราะขึ้นมาเฉย “ขำไรวะ”
“เปล๊า” เสียงสูงเชี่ย
รถยี่ห้อแพงจอดเทียบหน้าหอพักของผม ก็ไม่ได้อยากพูด แต่ก็ดูจะไม่ดี
“ขอบคุณ” บอกห้วนๆ
“พรุ่งนี้เรียนกี่โมง” ผมหันไปมองขณะกำลังจะออกจากตัวรถ
“สิบโมง ทำไม”
“เดี๋ยวกูมารับ”
“ไม่ต้อง เดี๋ยวกูขี่สุดเท่ไป” สุดเท่คือชื่อมอเตอร์ไซค์เก่าๆ ของผมครับ เห็นมันขมวดคิ้วนิดๆ คงจะสงสัยชื่อ “มอเตอร์ไซค์กู”
“ถ้ามึงขี่ไปแล้วเศษเหล็กนั่นล่ะจะเอากลับมายังไง” เออว่ะ ลืมคิด
“เออๆ งั้นพรุ่งนี้มารับกูด้วย โทษฐานที่มึงปล่อยลมยางรถกู” พอได้ยินมันก็ยิ้มร่าจนอดที่จะถามอีกไม่ได้ “เอาจริงๆ นะ จะจีบกูจริงเหรอวะ”
“มึงถามกูเป็นสิบรอบแล้ว และกูก็ตอบแบบเดิมนั่นแหละ”
“ทำไมวะ กูไม่ได้น่าพิศวาส ไม่น่าใช่สเป็กให้มึงมาอ่อยเรี่ยราดแบบนี้” ไอ้คนขี้อ่อยมันเลิกคิ้วขึ้นแล้วก็ขำ
“กูอ่อยเฉพาะคนที่กูสนใจ”
“เอาที่มึงสบายใจ” บอกปัดๆ แล้วรีบลงจากรถ ไอ้ฟลอยด์ยิ้มแล้วโบกมือให้ ผมเลยพยักหน้ารับแล้วยืนมองไฟสีแดงท้ายรถที่ค่อยๆ หายไป
จงหาความสุขสงบให้มาก ก่อนที่มันจะไม่มีโอกาสนั้น (ผมเขียนโน้ตติดหน้ากระจกไว้เตือนตัวเอง) ก่อนหันไปสนใจแสงวาบจากหน้าจอมือถือ
‘ฝันดี พรุ่งนี้เจอกันครับ’ ส่งสติ๊กเกอร์ลิงหลับไปแต่พลาดไปโดนลิงส่งจูบ ชิบหาย ‘อยากได้จูบจริงๆ มากกว่า’
ปามือถือลงเตียงแทบไม่ทัน ต้องทนข้อความเสี่ยวๆ กับการอ่อยเรี่ยราดไปถึงเมื่อไหร่ ไอ้ต้อมปวดหัว
...TBC ตอนที่ 3 ค่าาา เจอกันใหม่ตอนหน้าเด้อค่าเด้อ
