No Sugar : 06
คนป่วยนอนห้องผมมาสองวันเต็มแล้วครับ ทั้งที่มันน่าจะหายดีแล้วแต่ก็ไม่ยอมกลับ แถมยังไปขนเสื้อผ้ามาตอนผมไปเรียนอีก ไม่รู้จะสรรหาคำอะไรมาด่าจริงๆ เคยด่าไปแล้วโดยสวนกลับแล้วพูดไม่ออกก็เลยได้แต่ดูมันเอาเสื้อใส่ไม้แขวนแล้วแขวนในตู้รวมกับของผม
“มึงจะอยู่ที่นี่จริงเหรอวะ คอนโดมึงโคตรสบาย ห้องกูแคบกว่าห้องน้ำมึงอีกนะ” พูดรอบที่ห้าสิบแล้วครับประโยคนี้
“ก็มึงอยู่ที่นี่” นี่ก็คำตอบครั้งที่ห้าสิบเช่นกัน ได้ฟังทีไรปวดหัวทุกที
แล้วการที่มันมาอยู่กับผมยิ่งเพิ่มความฮอตไปกันใหญ่ เมื่อเช้าไอ้ป่านเอาเพจคู่ผมมาให้ดู ประโคมข่าวว่าไอ้ฟลอยด์ย้ายมาอยู่ก่อนแต่งกับผมอีก ขนาดได้กลอยยังโทรมาถามรัวๆ แล้วไม่ฟังคำตอบอะไรจากผมเพราะมันสรุปคำตอบเองแล้วก็วาง เอากับมันสิ
“มึงกลับไปอยู่คอนโดมึงเถอะว่ะ กูพูดจริงๆ” อ่อนใจมากบอกเลย ไอ้ฟลอยด์ชะงักมือที่แขวนเสื้อ มันเดินมาหาผมแล้วจับไหล่ผมแน่น
“มึงฟังกู” ผมก็จ้องหน้ามันนิ่งๆ “กูไม่กลับ” แล้วมันก็เดินไปเก็บของต่อ ไอ้ต้อมทรุดนั่งลงบนเตียงเลยครับ ช่างมัน ปล่อยมันไป เหนื่อยจริง มิน่าครีมถึงบอกว่ามันเอาแต่ใจโคตรๆ ตอนนี้รู้แล้ว ซึ้งแล้วจริงๆ
ตอนนี้ผมปั่นสุดหวงไปมหาลัยตามเดิม เพิ่มเติมมีคนซ้อนท้าย ตอนแรกมันจะเอารถมันมาแต่ผมไม่ยอมขึ้นไปนั่ง แค่นี้ก็เป็นเป้าสายตาอยู่แล้ว ยังจะให้นั่งรถแพงๆ ของมันอีก แต่ดูเหมือนว่า ปั่นสุดหวงไปจะทำให้คนสนใจมากขึ้นกว่าเดิม
“มึงจะกอดเอวกูทำเชี่ย” ดึงแขนมันออกจากเอวเป็นสิบรอบ สุดหวงก็เซไปมา
“มึงก็ขี่ดีๆ สิวะ” น้ำเสียงมันฟังก็รู้ว่าแกล้งผม ตัวก็โตยังมานั่งซ้อนท้ายอีก
“ทำไมมึงไม่เอารถมึงมา”
“แบบนี้ประหยัดน้ำมันดี” มันกวนครับผมรู้
สรุป ผมต้องไปส่งมันที่คณะก่อน แล้วคนคณะมันมองกันเป็นแถว จากลูกคุณหนูมานั่งซ้อนท้ายจักรยานเก่าๆ พอมันลงไปผมกำลังจะปั่นกลับ มันดึงท้ายจนปั่นไม่ไป ไอ้เชี่ยนี่กวนมากไปแล้ว
“จับทำเชี่ย”
“มึงเลิกเรียนกี่โมง”
“บ่ายสาม”
“กูเลิกห้าโมงเย็น มารอรับกูด้วย” แล้วมันก็เดินไปรวมกลุ่มเพื่อนมันที่มายืนดูอยู่ เห็นมันตบหัวเพื่อนมันคงจะโดนแซว กลุ่มมันเป็นกลุ่มลูกคนมีตังค์ หน้าตางั้นๆ ทุกคนนั่นแหละ
ปั่นมาถึงคณะก็เจอเสียงโห่รับ ไอ้ป่านเดินมาดึงแขนผมขณะจอดสุดหวง ไอ้เชี่ยนี่ผีเข้าหรือเปล่า
“แหม ตั้งแต่เพื่อนกูจะมีผัวนี่ออร่าความสวยนี่ฟุ้งกระจายมาก” เหล่ตามองไอ้ป่าน “พวกมึงดูหน้ามัน จากหยาบกร้านกลายมานุ่มนวลขาวผ่องเป็นยองใย” พวกแล้วที่นั่งอยู่นับสิบก็โห่ร้องจนผมต้องตบเข้าหัวไอ้ป่านไปเต็มมือ
“ยองใยพ่องมึง แล้วพวกมึงมานั่งทำเชี่ยอะไร” ด่าไปแต่พวกมันไม่สำนึกหรอก
“พวกกูนั่งมาตั้งนานแล้วโว้ย” ไอ้กานเพื่อนคณะพูด รอยยิ้มมันโคตรกรุ้มกริ่ม “มึงนั่นแหละมาโคตรช้า หรือว่ามัวแต่ทำลูกวะ” แล้วพวกมันก็โห่ร้องเหมือนควายกำลังจะเกิดลูก
“ทำลูกพ่อง” เหวี่ยงใส่แต่พวกมันไม่สะเทือน
เรื่องหน้าใสนี่ก็เหมือนกัน ผมถูกไอ้ฟลอยด์จับทาครีมโคตรเยอะ ไม่รู้มันไปสรรหามาจากไหน ครีมของผู้หญิงก็ยังมี บ้ามาก
“กูว่า มึงเรียนเกษตรเสียเที่ยวแล้วว่ะ” ไอ้นัยทำตาเป็นประกายพูดขึ้นจนไอ้พวกขี้สอดถามว่าทำไม
“ทำไมวะมึง”
“อ่าว ก็จบมามันไม่ได้ทำหรอกไร่นา นู้น มันจะไปเป็นเมียเศรษฐีนอนนับเงินเป็นฟ่อนๆ”
“ฮิ้ววว”
ปล่อยพวกมันหอนไป ผมเดินมานั่งแยกโต๊ะอยู่คนเดียว ไม่วายพวกมันยังตามมานั่งด้วย และยังเห่าหอนกันไม่เลิก
“ไอ้ต้อม พวกกูถามมึงจริง” ผมเหล่ตามองไอ้คนที่พูด “มึงกับพี่เขาได้กันยังวะ” แล้วมันก็โดนตบหัวหลายป๊าบ ไม่ใช่ผมหรอก ก็ไอ้พวกขี้สอดนั่นแหละ
“ไอ้เชี่ยวา มึงถามไม่คิด มันย้ายไปอยู่ด้วยกันขนาดนั้น ไม่ได้กันได้ไงวะ”
“กูลืมไป”
ผมไม่โต้ตอบอะไรสักอย่าง ปล่อยพวกมันไป ยิ่งพูดไปพวกมันจะยิ่งตีความผิด เอาเป็นว่า ผมกับไอ้ฟลอยด์ยังไม่ได้มีอะไรกันแค่นั้นพอ และไม่คิดจะมีด้วยโอเค๊
วันนี้เรียนกันจนเปื่อย ร่างกายอยากหายไปจากตรงนี้ ผมกับพวกไอ้ป่านมานั่งเป็นผีตายซากอยู่ล่างตึก ไอ้ดอยไปซื้อน้ำ นั่งๆ อยู่ก็มีกลุ่มเด็กผู้หญิงปีหนึ่งมายืนตรงหน้าเลยต้องยิ้มให้
“มีอะไรหรือกับพวกพี่หรือเปล่า” ถามออกไป สาวๆ กลุ่มนี้ยิ้มนิดๆ ก่อนยกมือไหว้กันยกกลุ่ม
“สวัสดีค่ะคุณลุง พวกหนูมาขอลายเซ็นค่ะ” อ่า เรียกลุงด้วยเว้ย ทำไมผมดูโคตรแก่
“อ่อ ปีสองให้มาเหรอ” ไอ้ป่านถาม ตามันยังปรือๆ
“ค่ะ” ตอบพร้อมเพียงกันสุดๆ
“แนะนำตัวด้วยครับ” ผมบอก มัวแต่ยุ่งเรื่องไอ้ฟลอยด์จนลืมว่าตอนนี้ยังรับน้องกันอยู่ น้องแต่ละคนก็แนะนำตัวไปวนจนครบ ทุกคนก็ยืนยิ้มแป้นแล้นจนไอ้ป่านขำ
“พวกน้องยิ้มอะไรกัน มองหน้าเพื่อนพี่อีก แม้มันไม่ใช่พี่ว้ากแต่มันก็ดุเหมือนหมานะครับ” ตบหัวไปหนึ่งทีข้อหาปากมาก พวกน้องๆ กลั้นขำกันสุดพลัง
“ปากมึงนี่นะ”
“คือพวกหนูเป็นแฟนคลับพี่ต้อมค่ะ” สาวหนึ่งนางในกลุ่มพูดขึ้น ผมหันขวับไปมอง แฟนคลับอีกแล้ว จากนั้นทั้งกลุ่มก็ฉีกยิ้มยิงฟันผมได้แต่หัวเราะแห้งๆ ส่วนไอ้เชี่ยป่านนี่หัวเราะจนเห็นลิ้นไก่
ผมรับสมุดน้องๆ มาเซ็น ไม่ใช่ว่าจะไม่อยากสั่งให้ทำนั่นทำนี่ แต่ผมว่า มันดูเยอะเกินไปจนเด็กอาจเอาไปคุยกันได้ว่าผมใจร้าย ทั้งที่หล่อและใจดี พอน้องๆ ได้ลายเซ็นกันครบก็ยังยืนยิ้มไม่ยอมขยับ
“มีอะไรอีกครับ?” ไอ้ป่านถาม น้องๆ เลยรีบควักมือถือออกมากันทุกคน “อ่อ เดี๋ยวพี่จัดให้” ไอ้ป่านมันลุกจากเก้าอี้ครับ ผมได้แต่มองสงสัย
“พี่ต้อมคะ พวกหนูขอถ่ายรูปไปลงเพจนะคะ” มีขออนุญาตด้วยเว้ย อ่า นึกถึงตอนที่ไอ้ฟลอยด์บอกสาวๆ หน้าโรงอาหารวันนั้น คงจะไปบอกต่อๆ กันสินะ ไม่อยากวุ่นวายนานเลยพยักหน้าส่งๆ ไป น้องๆ ก็รีบรัวจนผมไม่รู้จะมองกล้องไหน ได้ดั่งสมใจก็สลายตัวไปทิ้งให้ผมมองเพื่อนตาเขียว
“เพื่อนกูเป็นคนดังไปซะแล้ว”
เลิกเรียนแล้วครับ กำลังลังเลว่าจะไปรอรับมันที่ใต้ตึกดีมั้ยหรือจะกลับเลย ปั่นสุดหวงอย่างช้าๆ เพราะกำลังใช้ความคิด เห็นไอ้กลอยไกลๆ คงกำลังวาดรูปอะไรสักอย่าง ปั่นไปเรื่อยๆ ชมนกชมไม้จนมาถึงตึกคณะบริหาร นักศึกษามหาลัยเดียวกันแต่เป็นผู้ดีกว่าเยอะ แต่ละคนดูแต่งตัวดี สุภาพเรียบร้อย ไม่เหมือนคณะผมหรอก มีแต่พวกเถื่อนๆ
นั่งรอแล้วรอเล่า หลับไปหลายรอบก็ยังไม่เลิกสักที จนเผลอหลับไปจริงๆ รู้ตัวอีกทีก็ถูกเขย่า ผมปรือตามองเห็นหน้าไอ้ฟลอยด์เป็นคนแรก ขยับมาหน่อยก็เพื่อนมันอีกสองคน
“เห็นตรงๆ ก็วันนี้นี่แหละว่ะ” เพื่อนมันว่า ดูยิ้มแปลกๆ จนผมขมวดคิ้ว
“เปลี่ยนสเป็กนี่หว่า ปกติชอบคนตัวเล็กๆ” เพื่อนมันอีกคนพูดผมก็หันไปมอง
“เรื่องของกู” ไอ้ฟลอยด์มันว่า
“สวัสดีครับน้องต้อม” ไอ้เพื่อนคนแรกมันทักผม หน้ามันดูเจ้าเล่ห์ในแบบที่ผมไม่ชอบ
“หวัดดีครับ” ตอบเรียบๆ
“เพื่อนพี่มันรักคนยาก น้องนี่โชคดีมากเลยนะ ตกถังข้าวสารเชียว” ผมขมวดคิ้ว มือกำแน่น บอกแล้วว่าผมไม่ชอบไอ้พวกนี้
“งั้นเดี๋ยวผมไต่ขึ้นมาเอง ขอตัว” แม่งโมโหมาก มันดูถูกผมว่ะ เดินหนีออกมาแล้วปั่นสุดหวงกลับทันที ส่วนไอ้ฟลอยด์มันก็ไม่ตามมา เห็นมันตบหัวเพื่อนมัน
ปั่นจักรยานมาได้ครึ่งทาง โทรศัพท์ก็เข้า ไอ้ดอยโทรมาชวนไปซดยาดองผมตอบตกลงทันที เซ็งๆ แบบนี้ได้เมาสักหน่อยคงดีขึ้น รีบปั่นกลับหอจะได้เปลี่ยนชุด แต่พอมาถึงผมก็เจอไอ้ฟลอยด์ยืนพิงรถตัวเองอยู่ มันเห็นผมก็เดินเข้ามาหา แต่อารมณ์ผมแม่ง แค่เห็นหน้ามันก็โมโหแล้ว เลยเลือกจะเดินหนีแทน มันก็เดินตาม เราต่างคนต่างเงียบ จนเข้ามาในห้อง มันรวบกอดผมจากด้านหลังจนแทบขยับไม่ได้
“ไอ้เชี่ยฟลอยด์ ปล่อยกู” นึกถึงคำที่เพื่อนมันว่าแล้วโมโห
“อย่าไปถือสาไอ้เกนมันเลย ปากมันก็เป็นแบบนั้น” คำอธิบายอยู่ข้างๆ หู
“ถ้าเพื่อนมึงมันไม่คิดแบบนั้นจะพูดเหรอวะ”
“ต้อม กูขอโทษแทนเพื่อนนะ มันก็ฝากมาขอโทษ”
“กูรับคำขอโทษ แต่ก็ยังโกรธ” ผมบอก ไอ้ฟลอยด์มันขำ ลมหายใจมันรดใบหูจนต้องขยับคอหนี “ปล่อย” เกิดมาไม่เคยถูกผู้ชายกอดแบบนี้ ขนลุกเชี่ย
“มึงโกรธเพื่อนกูได้ แต่ห้ามโกรธกู” ดูมันบอก ผมถอนหายใจกำลังจะอ้าปาก เสียงโทรศัพท์มันก็ดังขัดขึ้นมาซะก่อน มันมองผมนิดๆ ก่อนจะกดรับทั้งๆ ที่มืออีกข้างมันยังกอดผมอยู่ พูดถึงกอดแล้วขนลุกสัด
“ครับ” เห็นมันรับนิ่งๆ ก่อนจะเริ่มขมวดคิ้ว “เมื่อไหร่” น้ำเสียงเริ่มร้อนรนแปลกๆ “จะไปเดี๋ยวนี้”
“อะไร” เห็นท่าทางมันร้อนรนจนแปลกใจ “เกิดอะไรขึ้น”
“แม่กู” น้ำเสียงมันสั่นๆ “แม่กูเข้าไอซียู”
“ห๊ะ”
ไอ้ฟลอยด์ลนลานจนผมต้องจับมือมันแน่นแล้วแย่งกุญแจรถมาขับให้ ขืนให้มันขับ คงไปนอนในห้องเดียวกับแม่มัน บนรถมันบอกว่าแม่นอนโรงพยาบาลมาหลายเดือนแล้วด้วยโรคประจำตัว ผมไม่กล้าถามอะไรมากเลยได้แต่ฟัง
“แม่มึงต้องไม่เป็นอะไร” ผมยื่นมือไปจับมือมันไว้ อีกข้างก็ประคองพวงมาลัยรถ
ไม่นานผมก็เลี้ยวเข้าไปจอดในลานของโรงพยาบาลเอกชนที่หนึ่ง ไอ้ฟลอยด์มันดึงมือผมให้เดินตามจนขาแทบขวิด พอมาถึงหน้าห้องไอซียู ผมเห็นผู้หญิงสองคนกำลังเดินไปเดินมา ใบหน้าสวยมีคาบน้ำตาเปรอะเปื้อน ที่เก้าอี้มีเด็กผู้ชายแก้มยุ้ยนั่งอยู่กับพี่เลี้ยง พอเด็กตัวน้อยเห็นไอ้ฟลอยด์ก็รีบวิ่งเข้ามากอดขา
“แม่เป็นยังไงบ้าง” มันถามผู้หญิงที่ยืนอยู่หน้าห้อง
“หมอบอกหัวใจหยุดเต้นไปเมื่อกี้” น้ำตาใสเริ่มคลอ
“แม่ต้องไม่เป็นอะไร พี่ฟีนใจเย็นๆ” ไอ้ฟลอยด์มันปลอบพี่สาวมัน ส่วนผู้หญิงอีกคนดูร้อนรนไม่ต่างกัน “แล้วพ่อล่ะพี่เฟิร์น”
“ก็อยู่กับเมียน้อยน่ะสิ อีเด็กนั่นฉันอุตส่าห์ช่วย กลับหักหลัง รู้แบบนี้ฉันน่าจะฆ่ามันก็ดี” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดจนผมตกใจ
“ไม่เอาน่าพี่เฟิร์น แค่นี้ก็แย่แล้ว”
“แกใจดีเกินไปยัยฟีน...แล้วนั่นใคร” น้ำเสียงดุเหมือนดวงตาที่กำลังจ้องหน้าผม แต่นั่นยังไม่เท่ากันดวงตาดุมองไล่มาถึงมือของผมที่ถูกไอ้ฟลอยด์จับแน่น ผมพยายามสะบัดก็ไม่หลุด “อะไรของแกฟลอยด์”
“นี่เมียผม” ไม่ใช่แค่ผมที่ตกใจ ทุกคนในที่นี้ต่างก็ตกใจ
“แกว่าไงนะ เมียแก นี่มันผู้ชายไม่ใช่เหรอ”
“ใช่” เสียงนิ่งมากจนผมต้องเหลือบตามองปฏิกิริยาจากสองสาว
“ดูน้องแกยัยฟีน เลี้ยงตามใจจนเอาผู้ชายมาเป็นเมีย” เสียงเหน็บแนมจนผมต้องเม้มปากเป็นเส้นตรง
“เมียแกจริงๆ เหรอ คนนี้คือคนที่รับโทรศัพท์พี่วันนั้นใช่มั้ย” ไอ้ฟลอยด์มันหันมามองผมแวบหนึ่งก่อนพยักหน้า “อยู่ด้วยกันแล้วใช่มั้ย” มันก็พยักหน้าอีก
“แกไม่ว่ามันเหรอฮะ นี่น้องชายของแกนะ” เสียงตวาดดังลั่นจนเด็กแก้มยุ้ยต้องกอดพี่เลี้ยงแน่น
“ฟีนไม่ว่าหรอกค่ะ เพราะฟลอยด์ต้องการคนดูแล” เสียงนิ่มพร้อมกับรอยยิ้ม “เธอดูแลฟลอยด์วันนั้นด้วยใช่มั้ย”
“ครับ” ผมตอบ โคตรกดดัน เหมือนกับละครที่แฟนไอ้ดอยชอบเอามาเล่าให้ฟังเลย
“พี่ไม่รู้หรอกว่าเราคบกันเมื่อไหร่หรือยังไง แต่ฟลอยด์คือน้องชายที่พี่รัก” ผมมองพี่สาวน้องชายยิ้มให้กัน ก่อนจะรีบผละออกเมื่อประตูห้องไอซียูเปิด
ทุกคนต่างกรูไปหาคุณหมอที่เดินออกมา ใบหน้าคุณหมอดูย่ำแย่จนพี่สาวสองคนเริ่มร้องไห้
“ตอนนี้คุณพีรยารู้สึกตัวอยู่ อยากเจอพวกคุณครับ” คุณหมอบอกก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องอีกรอบ ผมบีบมือไอ้ฟลอยด์แน่น น้ำตาลูกผู้ชายของมันไหลอาบแก้มจนรู้สึกเศร้าใจไปด้วย
ผมถูกดึงให้เข้าไปด้วยแม้จะขอรออยู่ด้านนอก แต่มือที่มันจับผมไม่ยอมปล่อย แถมยังจับแน่นขึ้นจนเริ่มเจ็บ พวกเราต้องสวมชุดคลุมตามกฎของโรงพยาบาล เดินมาถึงเตียงผู้ป่วยที่มีสายห้อยระโยงรยางค์เต็มไปหมด พี่สาวไอ้ฟลอยด์สองคนเข้าไปกอดร่างแม่ตัวเองไว้ ปล่อยน้ำตาไหลไม่ขาดสายจนผมเผลอน้ำตารื้นขึ้นมาด้วย
“แม่คะ แม่อดทนไว้นะ” พี่ฟีนร้องไห้ราวกับจะขาดใจ
“แม่ เฟิร์นขอโทษที่บางครั้งตวาดแม่ไป แม่ยกทาให้เฟิร์นนะคะ” เครื่องสำอางถูกน้ำตาทำให้ลบเลือนแต่เจ้าตัวไม่สนใจ ผมเห็นแม่ของพวกเขาเลื่อนสายตาไปมามองคนที่ยืนข้างๆ ผม ร่างมันสั่นเทาเพราะร้องไห้ ผมตบไหล่มันเบาๆ ก่อนมันจะเดินเข้าไป
“แม่ครับ” พูดปนเสียงสะอื้น
“ฟลอยด์” เสียงแผ่วเบาออกจากปากที่ซีดและแห้งของคนป่วย เจ้าของชื่อรีบคว้ามือของแม่ที่พยายามที่ยื่นมา ภาพที่ผมต้องเบือนหน้าหนีเพราะน้ำตามันจะไหล “แม่ขอโทษทุกคนที่อดทนไม่ไหว” ดวงตาสวยมองไปยังพี่คนโต “เฟิร์น แม่ไม่เคยโกรธลูกเลยสักครั้ง” เสียงคร่ำครวญจากเจ้าของชื่อยิ่งทำให้ทุกอย่างดูโศกเศร้า
“เฟิร์นขอโทษค่ะแม่” รอยยิ้มอย่างอ่อนแรงถูกส่งต่อให้คนขอโทษ
“ฟีน” ทันทีที่ได้ยินชื่อตัวเองก็รีบเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา “ดูแลลูกให้ดี หนูยังมีพี่เฟิร์นแล้วก็ฟลอยด์ อย่าคิดว่าไม่มีใคร ที่สำคัญอย่าทิ้งลูกนะฟีน” เจ้าของชื่อพยักหน้าทั้งน้ำตาก่อนหันไปกอดกับพี่สาวแน่น จนมาถึงคนสุดท้าย
“ฟลอยด์” เสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน
“ครับ”
“แม่ไม่ได้อยู่ดูแลลูกแล้ว อย่าเอาแต่ใจมากนะ” พูดพร้อมรอยยิ้มแต่คนฟังน้ำตาไหลเป็นทาง
“ไม่เอา แม่ต้องอยู่กับฟลอยด์สิครับ”
“ฟลอยด์ ลูกเป็นผู้ชายเขาไม่ร้องไห้นะลูก” มือที่มีสายน้ำเกลือยกขึ้นเช็ดน้ำตา “แม่รักฟลอยด์นะ รักพี่ๆ ทุกคน” ใบหน้าสวยยิ้ม คิ้วเริ่มขมวดเป็นพักๆ จนลูกชายต้องเรียกหมอ
ผมยืนเช็ดน้ำตาอยู่เยื้องเตียง รู้สึกว่าถูกจ้องมอง ไอ้ฟลอยด์ยื่นมือมาตรงหน้าผม ตอนนี้ทุกคนต่างก็มองมาจนผมต้องเดินเข้าไปใกล้ มือผมถูกมือใหญ่จับไว้แน่น
“แม่ไม่ต้องห่วงนะ ฟลอยด์จะเข้มแข็ง เพื่อแม่ เพื่อพี่ แล้วก็เพื่อ...” มันหันมามองผมพร้อมรอยยิ้ม
“แฟนเราสินะ” มันพยักหน้ารับคำแม่ “ใช้เหตุผลอย่าใช้อารมณ์ ฝากฟลอยด์ด้วยนะลูก” รอยยิ้มหวานสุดท้ายที่ได้เห็นก่อนเครื่องวัดสัญญาณทุกอย่างจะเป็นเส้นตรงจนทุกคนโวยวายเรียกหาหมอ
ผมยืนกอดลูกชายของคนป่วยแน่น มันร้องไห้ราวกับจะขาดใจ เช่นเดียวกับพี่สาวทั้งสอง หมอเดินก้มหน้าเข้ามาหาพร้อมกับส่ายหน้าช้าๆ แค่นั้นสองสาวก็เป็นลมลงไปนอนที่พื้นจนพยาบาลต้องรีบเข้ามาช่วย ผมอยากจะช่วยแต่คนที่ผมกอดมันรัดตัวผมจนแทบกระดิกไม่ได้
ไหล่ผมเปียกไปด้วยน้ำตา ความทรมานมันมากมายจนรู้สึกได้ การสูญเสียคนที่รักไปมันชั่งยากกับการทำใจ ผมจูงมือมันออกมานั่งด้านนอกและต้องทำเรื่องเอกสารมากมายในการรับร่างไร้วิญญาณ ก่อนจะมีเสียงฝีเท้าหลายเสียงวิ่งมาหา
“คุณฟลอยด์ คุณนายท่าน...” พอคนมาใหม่เห็นสภาพก็หยุดพูดและพากันยืนสงบนิ่ง ร่องรอยความเศร้าโศกปรากฏบนใบหน้าของทุกคน “ให้คุณมนชัยจัดการเรื่องเอกสารทุกอย่างด้วย”
“ค่ะผู้จัดการ”
มองคนที่โทรศัพท์สั่งนั่นนี่อยู่ตรงหน้า มือก็คอยลูบหลังคนที่ยังร้องไห้ซบอยู่ที่บ่า
“เอ่อ คุณฟลอยด์ครับ เรื่องรับศพของคุณนาย”
“พ่อไม่มาเหรอ” เสียงปนสะอื้นเอ่ยถาม คนถูกถามย่นคิ้วนิดๆ ก่อนส่ายหน้าช้าๆ “มัวแต่กกเมียน้อยอยู่สินะ”
“เอ่อ”
“จัดการทุกอย่างตามที่คุณเห็นสมควร”
“ครับ ก่อนคุณนายเสีย ได้สั่งการทุกอย่างไว้ล่วงหน้าแล้ว” คงจะรู้ว่าอยู่ได้ไม่นานเลยรีบจัดการทุกอย่างให้เสร็จสรรพ เพราะลูกๆ คงจะเสียใจจนทำอะไรไม่ได้
“กลับบ้านกัน” ไอ้ฟลอยด์ว่า ผมก็พยักหน้าเพราะต้องขับรถให้
บ้านหลังใหญ่ที่หลายคนต้องอิจฉา แต่ใครจะรู้ว่าบ้านหลังใหญ่แต่ไร้ความสงบ ผมเดินตามหลังลูกชายเจ้าของบ้านมา บรรดาแม่บ้านต่างกำลังวุ่นวายเพราะคุณนายของบ้านเสีย พอไอ้ฟลอยด์เดินเข้าบ้านก็มีคนวิ่งมาหา ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา
“คุณฟลอยด์คะ”
“ไม่เอาอะไร” บอกเสียงเรียบๆ แล้วดึงผมให้เดินขึ้นไปชั้นบน
ชั้นบนถูกแบ่งเป็นสองฝั่ง ผมเดินตามมาฝั่งขวาของบ้าน ประตูห้องสีขาวบานใหญ่เกือบชิดฝ้าเพดานที่สูงลิบ เจ้าของห้องเปิดประตูแล้วดึงผมเข้าไปด้วย ยืนมองห้องที่ตกแต่งง่ายๆ ข้าวของเครื่องใช้น้อยชิ้นคงเพราะไม่ค่อยได้มาอยู่ ตรงกลางมีเตียงขนาดใหญ่ผ้าคลุมสีเทาคลุมทับ ผมยืนเคว้งเพราะเจ้าของห้องมันเดินหายไปในห้องน้ำ
เดินดูข้าวของ กรอบรูปที่มีรูปมันตอนเด็กที่ถ่ายกับพ่อและแม่แล้วก็พี่สาว ดูรูปตอนเด็กแล้วมันก็ดูเอาแต่ใจ ใบหน้าบึ้งตลอดเวลาตอนถูกแม่อุ้มอยู่ ข้างๆ มีโมเดลรถหลายคัน บางคันเคยเห็นผ่านๆ ในเว็บไซต์แต่ไม่สนใจเพราะมันแพง
มัวแต่สนใจข้าวของจนลืมมองคนที่เดินออกห้องน้ำมา ผมหันไปมองก็ถูกชาร์ต มันรวบกอดผมแล้วผลักลงบนเตียงใหญ่ ทั้งทุบทั้งตีแต่มันก็ไม่ยอมปล่อย รัดแน่นยิ่งกว่างูเหลือม
“ไอ้ฟลอยด์ปล่อยสิวะ”
พยายามแกะมือที่รัดเอวแต่ไม่หลุด ปากสีแดงเข้มเพราะร้องไห้อย่างหนักประกบจูบจนผมเบิกตาโต ยกมือดันหน้าแต่ถูกมือใหญ่จับแล้วกดไว้บนเตียง เชี่ยเอ้ย ถูกผู้ชายจูบ มันรุกต้อนใช้ลิ้นสอดเข้ามาสนผมยิ่งดิ้นหนัก จูบที่ไม่เคยจูบกับใคร จูบที่เหมือนดูดพลังงานที่มีมากออกไปหมดแทบหมดเรี่ยวแรง ต้องยอมตามเกมส์ไป
แอร์คอนดิชั่นไม่ทำให้อุณหภูมิในร่างลดลง ยิ่งจูบยิ่งร้อน เหงื่อเม็กเล็กๆ ผุดตามไรผม มือใหญ่ลูบสะเปะสะปะไปทั่วร่างราวกับกำลังจุดเชื้อไฟให้ลุกโชน อารมณ์ดิบของผู้ชายมีอยู่ทุกคน ผมก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง ถูกนำพาความต้องการออกมาก็อยากไปให้สุด
เสื้อผ้าแม่งหลุดไปตอนไหนก็ไม่รู้ รู้แต่เพียงว่า ตัวไอ้คนข้างบนโคตรร้อนเหมือนไฟ ลิ้นร้อนมันไล้เล็มอยู่บนอก เสียววาบในบางทีจนอยากดิ้นหนีแต่ถูกมือรัดเอวไว้ทำให้ขยับไม่สะดวก ยิ่งมันขยับหน้าไล้ลงไปต่ำยิ่งเหมือนจะจมน้ำ ความรู้สึกปั่นป่วน สมองคิดอะไรไม่ออกสักอย่าง
“มะ มึง อื้อ!!” เบิกตาโตผงกหัวขึ้นมอง มันทำในสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เจอ ต้องกัดริมฝีปากเน้นกลัวหลุดเสียงแปลกๆ ออกมา ปากร้อนมันกำลังไล่จูบของๆ ผม มันวูบวาบเสียวซ่านจนต้องขยุ้มผมนุ่มๆ ไว้ ก่อนลิ้นร้อนจะตวัดลงไปด้านล่าง ผมดิ้นหนีทันที “ไม่เอา” ปฏิเสธเสียงแข็งแต่มันกลับไม่ฟัง ดวงตาคมจ้องมองแข็งกร้าวราวกับถูกขัดใจ
“กูไม่ทนแล้ว” น้ำเสียงแข็งบอก มันจับขาผมดึงพรวดเดียวก็ลงมานอนใต้ร่างเหมือนเดิม จะดิ้นหนีก็ทำไม่ได้ จะถีบยิ่งไม่ได้ใหญ่ ในเมื่อมันแทรกตัวมาอยู่ตรงกลางหว่างขา นั่นทำให้รู้ว่า ไอ้สิ่งที่ผมเคยจับมันพร้อมแล้ว
“ไอ้ฟลอยด์ ไม่เอา” ผมตะโกนแต่มันแม่งไม่ฟัง ก้มจูบผมอย่างเดียว คงรำคาญที่ผมด่า มือพยายามผลักไหล่มันแต่ไม่สะทกสะท้าน มือมันเลื่อนลงไปปลุกเร้าจนผมต้องเลิกดิ้น พอมันยิ่งเร่งจังหวะมือผมก็ยิ่งตอบรับจูบมันราวกับไม่ใช่ตัวของตัวเอง “อึก!!” พอใกล้ถึงฝั่งฝันมันกลับหยุดลงซะอย่างนั้น รู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่สะดวก ต้องเอื้อมมือลงไปทำเองแต่ถูกมือมันปัดออก
รอยยิ้มร้ายที่มุมปากไม่ได้ดึงความสนใจเท่าอารมณ์ที่อยากจะปลดปล่อย พอมันลุกออกไปผมก็รีบจัดการตัวเอง แต่ได้แค่แปบเดียวมันก็กลับมาอยู่ที่เดิม ในมือถือขวดใสๆ ที่กำลังเทลงฝ่ามือ ผมจ้องนิ่งไม่รู้ว่ามันจะเอามาทำอะไร
“มึง”
“ชู่ว มึงจะไม่เจ็บ”
เบิกตากับสิ่งที่ได้ยิน อะไรไม่เจ็บ เชี่ย มันเอาน้ำใสๆ เหนียวๆ ป้ายก้นผมเฉย โดยเฉพาะตรงนั้น นี่มันจะตรวจภายในหรือเปล่าวะ ผมดิ้นหนีแต่มันก็ดึงกลับมาได้ทุกครั้ง
“กูจะทำเบาๆ มึงปลอบใจกูหน่อยนะ”
“ไอ้เชี่ยฟลอยด์ ไม่เอา ไอ้เหี้ย!!”
นี่ผมเป็นริดสีดวงหรือเปล่าวะ รู้สึกแสบแปลบๆ ทุกครั้งที่ขยับ ไม่อยากจะเชื่อและไม่เคยเชื่อว่าผู้ชายอย่างผมจะถูกกระทำชำเราจากผู้ชายเหมือนกัน ดีหน่อยที่ผมคงท้องไม่ได้ ไม่อย่างนั้นต้องมานั่งคิดหนักอีก พอหันไปมองไอ้คนที่มันไม่ฟังเสียงห้าม ขนตามึงจะยาวไปไหนไอ้สัด ดึงแขนมันออกจากเอวแต่ก็วกกลับมารัดอีกตลอดจนเหนื่อยใจ
หมดกันไอ้ต้อม เรื่องนี้มึงต้องเงียบที่สุด
เสียงสะอื้นเบาๆ ดังมาจากคนนอนหลับ ผมหันไปมองเห็นหัวตามันมีน้ำใสๆ ไหลออกมา คงคิดถึงแม่ที่จากไป ลูบหัวปลอบทั้งที่อยากจะตบมากกว่า มันยิ่งซุกหน้าเข้าที่คอจนขยับตัวหนี
“แม่ ฟลอยด์ขอโทษ” มันเพ้อออกมาเบาๆ น้ำตายังไหลเป็นสาย
“เออๆ แม่มึงไม่โกรธหรอก” ผมพูดเบาๆ
Rrrrrrr Rrrrrrrr
โทรศัพท์มือถือของผมดังรัว คงเป็นพวกไอ้ดอย งัดแขนที่กอดแน่นออกไม่ได้เลยเอื้อมสุดตัวไปหยิบ แต่เจ็บแบบหน่วงๆ มากข้างล่างน่ะ
“ว่าไงมึง”
(อยู่ไหนวะ ดึกขนาดนี้) ตามองหานาฬิกา ชิบหาย เกือบสี่ทุ่มแล้ว
“ทำไมครับคุณดอย มึงจะทำไม” ตอบกวนกลบเกลื่อน
(ถามมาได้ มึงนัดพวกกูกินยาดองแล้วหายหัว โทรหาเป็นร้อยสายแม่งก็ไม่รับ” มันโวยวายจนผมต้องยืดโทรศัพท์ออกจากหู (พวกกูเมาขี้เกียจขับเลยจะมานอนหอมึง แต่ป้าเขาบอกมึงไม่อยู่) (ไปนอนกับผัวใช่มั้ย) มือถือแทบร่วง
“นอนกับผัวเชี่ย พอดีแม่ของมันเสีย กูเลยมาอยู่เป็นเพื่อน”
(แหม อยู่เป็นเพื่อน) ไอ้พวกนี้เมาหนักแน่
“เออ กลับบ้านได้แล้วพวกมึง ไม่ก็ไปนอนหอไอ้นัยนู้น”
(เออว่ะ พวกกูแบกมันมาเนี่ย) แล้วมันก็วางไป ไอ้ห่าพวกนี้โวยวายจริงๆ
เกือบสี่ทุ่ม ผมรีบปลุกไอ้คนนอนไม่ยอมตื่น มันงัวเงียไม่พอใจแต่ก็ปรือตาขึ้นมามอง
“จะสี่ทุ่มแล้วมึง” ผมว่า มันยื่นหน้ามาหอมแก้มเฉย “มึงทำเชี่ยไรวะ”
“หอมแก้มเมีย” อยากถีบตกเตียง แต่กลัวจะเจ็บเอง
“ไอ้สัด ลุกเลย ไม่ไปดูงานแม่เหรอวะ” พอได้ยินหน้ามันก็สลดลง รอยความเศร้าเผยออกมาจนอยากตบปากตัวเอง “ไปอาบน้ำ”
คราวนี้มันว่าง่าย ลุกจากเตียงสภาพล่อนจ้อนไปห้องน้ำ ผมได้แต่ส่ายหน้า ไม่อยากจะคิดสภาพตัวเอง เห็นหลังมันมีรอยแดงๆ ยิ่งอยากเอาหน้ามุดเตียงหนี
“หือ” แม่ง มันเดินกลับมาอุ้มผมเข้าห้องน้ำด้วย ไอ้สัด อุ้มซะกูเหมือนเป็นผู้หญิง
“อาบน้ำกัน” รอยยิ้มร้ายมันโคตรไม่น่าไว้ใจ
นี่มันเศร้าอยู่หรือเปล่าวะเนี่ย ไอ้ต้อมเพลีย!!!!!!!
....TBCพี่ฝอยอ่อยปุ๊บติดปั๊บ แต่พี่โชกว่าจะติดได้นานกว่านี้หลาย

ขอบคุณสำหรับการติดตามค่า แค่มีคนอ่านก็ดีใจหล๊าย หลาย กำลังอยู่ในช่วงพัฒนาฝีมือค่า
หากติดขัดตรงไหนขอกราบอภัยมาณ.ที่นี้
