No Sugar : 18
เหนื่อยมาก ไม่ได้เหนื่อยใจนะครับ แต่เหนื่อยกาย วันนี้พวกผมต้องไถแปลงใหม่เพื่อลงของแถมยังต้องไถให้เด็กปีสองอีก ที่จริงควรให้เด็กมันทำไม่ใช่เหรอ ทำไมพวกมันได้แต่นั่งมองวะ แบบนี้ต้องซ่อมทั้งรุ่นหรือเปล่า
“พวกมึงกินแรงพวกกู” ไอ้ดอยมันเดินไปโวยวายแล้วทิ้งตัวนั่งข้างๆ รุ่นน้อง
“พี่ก็กินแรงเพื่อนไม่ใช่เหรอ” มันโดนน้องรหัสมันตอกหน้า ไอ้ดอยขำไม่โต้ตอบปล่อยให้น้องรหัสมันใช้หมวกใบลานพัดให้ โคตรสบายนะมันเนี่ย
ผมโยนดินก้อนใหญ่ใส่ไอ้พวกกินแรงจนกลุ่มนั้นลุกหนี ไอ้ดอยลากพวกรุ่นน้องมาช่วย กว่าจะผ่านไปได้เล่นเอาแขนล้าไปหมด พวกผมแบกจอบแบกเสียมไปไว้ในห้องเก็บอุปกรณ์ด้านหลัง ได้ยินเพื่อนๆ นัดกันที่เพิงเพื่อกินยาดอง จะว่าไปก็แอบเปรี้ยวปากเหมือนกันนะ แถมวันนี้พี่ฟลอยด์กลับไปนอนบ้านโดยไม่มีผม
วันนี้ไอ้ต้อมฟรีครับ
“ไปหรือเปล่าไอ้ต้อม” ไอ้ดอยสะกิดถาม ผมรีบพยักหน้าตกลง “ขอผัวมึงหรือยัง”
“ผัวพ่อง” ด่าพร้อมตบหัวไปที ผมเดินเลี่ยงมากอดคอไอ้ป่านที่เพิ่งวางโทรศัพท์ไป “พี่เกนโทรมาเหรอวะ”
“เออ ตามกูยิกๆ อย่างกับกูขโมยทองมันไปไอ้ห่า” ไอ้ป่านบ่นแต่ผมขำ
“ขโมยหัวใจมากกว่า” พูดเองอ้วกเองจนไอ้ป่านมันหัวเราะ “แล้วมึงไม่ไปเพิงกับไอ้พวกนี้เหรอวะ”
“ว่าจะไป แต่ดูก่อน” หรี่ตามองเพื่อนตัวเอง ผมเริ่มรู้แล้วครับว่าทำไมพวกไอ้เป็กมันถึงล้อผม เพราะแบบนี้นี่เอง อยากให้ไปพร้อมหน้าแต่ติดตรงที่ว่าแฟนไม่ให้ไป
“ว่าแต่ มึงกับพี่เกนคบกันแล้วเหรอวะ” ผมถาม แต่ไอ้ป่านทำหน้าเซ็งตอบ และเป็นคำตอบที่ทำเอาผมเข็มขัดสั้นทันที (คาดไม่ถึง กล้าเล่นมุกว่ะ)
“เออ มันกดกูลงได้ไอ้สัด”
“เชี่ย ตอนไหนวะ”
“ตอนที่กูท้าวันนั้นแหละสัด”
พยายามนึกแล้วก็ต้องร้องอ๋อ ที่เพิงวันนั้นที่ไอ้ป่านบอกถ้าโดนกดจะยอม นั่นไง ไปท้าเรื่องที่ไม่ควรไปท้า เลยต้องรับโทษแบบนี้ไป แต่ไอ้ป่านมันดูชิวๆ ไม่โกรธอะไรมาก
“แล้วมึงไม่โกรธเหรอวะ” ขนาดผมตอนนั้นยังโมโหเลยครับ
“โกรธไปก็ทำอะไรไม่ได้ กูผู้ชายไม่ได้ท้อง” แมนมากเพื่อนผม “อีกอย่าง ได้ลองแล้วก็ไม่ได้แย่” ตรงมากเพื่อนผม
“เจ๋งสัด ได้กันบ่อยป่ะ” โดนไอ้ป่านตบหัวไปทีโคตรเจ็บ
“ไม่บ่อย ถ้าบ่อยกูไม่มีแรงพอดี” ผมยกนิ้วให้เพื่อนเลยครับ ตอบออกมาแบบไม่ปิดบัง ไอ้ต้อมคำนับ
“มิน่า พี่เกนถึงหลงมึงนัก” แซวพอประมาณก่อนวิ่งหนีเมื่อไอ้ป่านยกขาจะถีบ
ปั่นสุดหวงกลับเหมือนเดิมทุกครั้ง แต่ไม่เหมือนคือมีรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่หรือเรียกตามชาวบ้านว่าบิ๊กไบค์วิ่งมาอย่างไวแล้วเฉี่ยวผมล้มนี่แหละครับ สุดหวงพังเลย ไม่ได้โมโหที่ตัวเองเจ็บหรอกนะครับ แต่มาทำให้สุดหวงพังนี่แหละที่โกรธ ไอ้คนขี่ก็ชะลอแล้วเลี้ยววกกลับมา มันจอดรถแล้วลงมาดูผม
“เป็นยังไงบ้างครับ เจ็บตรงไหนมั้ย” ผมตวัดตาขึ้นมองทันทีที่มันถาม
“ชนขนาดนี้ไม่เจ็บหรอกมั้งครับ แม่ง” พูดไปก็หงุดหงิดไป ข้อศอกเลือดไหลซิบๆ เจ็บที่ไหล่ด้วย ดีที่ม้วนเอาหัวหลบไม่งั้นหัวแตกแน่
“ขอโทษครับ” แม้น้ำเสียงจะติดไม่พอใจนิดๆ แต่ก็ยังพูดขอโทษ
“เออๆ แต่ในมหาลัยขับรถไวขนาดนี้จะรีบไปขี้หรือไงวะ ขับช้าๆ ก็ได้ขี้เหมือนกัน” ผมว่า มือก็ปัดกางเกงที่เปื้อนฝุ่น คนที่เดินไปเดินมาก็เริ่มหันมาดู ไอ้คนชนช่วยพยุงผมให้ยืน
“ผมรีบไปเรียน แล้วคุณก็ขี่เข้ามาในเลนรถวิ่ง” มันชี้ไปที่ถนน
“เลนรถวิ่ง แล้วที่กูขี่มานี่ไม่ใช่รถเหรอวะ หรือมึงสร้างถนนถึงไม่ให้สุดหวงกูวิ่ง อูย” ด่าไปสุดท้ายก็เจ็บสีข้าง มีรอยเลือดด้วย ถลอกแน่
“อ่าว ก็ผมขอโทษแล้วไง” ไอ้คนชนมันเริ่มขึ้นเสียง มือยกหมวกกันน็อกใบใหญ่ออก คนที่มุงมีกรี๊ดเบาๆ แต่ผมไม่สน หล่อปานพระเอกเกาหลีแต่ผมไม่ปลื้ม
“ขอโทษแต่สุดหวงกูพัง” ชี้ไปที่จักรยานฮ่างๆ ตัวเองล้อเบี้ยวไปหมด ไอ้คนชนมันรีบควักกระเป๋าเงินแล้วยื่นแบงค์เทาให้ผมห้าใบ
“พอมั้ยครับ ซื้อคันใหม่เถอะ คันนั้นผมว่าไม่นานสนิมคงกินทั้งคัน” สะอึกสิครับ กล้าดูถูกสุดหวง ผมไม่ยอมรับแต่มันก็เอาเงินมายัดมือแล้วเดินไปควบรถคันแพงพร้อมพุ่งออกตัวไป ทิ้งให้ผมยืนขมับเต้นตุบๆ ด้วยความโกรธ
“ให้ช่วยมั้ยคะ” สาวหน้าตาจิ้มลิ้มเดินมาช่วยผมพยุงสุดหวง ผมยิ้มแล้วส่ายหน้า
“ไม่เป็นไรครับ” ก้มให้เธอไปทีก่อนเดินกระเผลกเอาสุดหวงไปซ่อมร้านประจำ คราวที่แล้วตอนเจอพี่ฟลอยด์ก็ล้อเบี้ยวไปที มาคราวนี้สภาพเยินกว่าเก่าอีก สงสัยต้องปลดระวางการใช้งานของสุดหวงซะแล้ว โธ่ สุดหวงของพ่อ
กว่าจะกลับถึงหอผมก็แทบยกขาไม่ขึ้น มันปวดหัวเข่าด้วย ดีที่แวะซื้อยามา ไม่อย่างนั้นไอ้ต้อมคงนอนสำออยอยู่ที่เตียงแหง กำลังจะก้าวขาขึ้นบันได อยู่ๆ ก็มีมือมารวบที่เอวจนต้องนิ่วหน้าเพราะความเจ็บ
“ทำไมไม่โทรหาพี่วะ” เสียงเข้มดังขึ้นพร้อมกับมือที่รวบนั่นแหละครับ แล้วที่ผมไม่โวยวายเพราะจำกลิ่นน้ำหอมได้ดี
“โทรหาเรื่องอะไร” ถามขณะถูกประคองขึ้นตึก
“ก็เรื่องถูกรถชน ไอ้คนที่ชนเป็นใคร เรียนคณะไหน ชั้นปีอะไร พ่อแม่มันทำงานอะไร” ขอขำเถอะ เจอคำถามแบบนี้ “ไม่ขำนะต้อม แล้วไปหาหมอหรือยัง” ผมชูถุงยาให้ดู พี่ฟลอยด์ขมวดคิ้วกำลังจะอ้าปากพูดต่อ
“แค่ช้ำน่า ไม่ได้หักหรอก ไม่ต้องห่วง”
“ไม่ห่วงได้ไงวะ แฟนทั้งคน พูดไม่คิด” โดนดุอีก
“แล้วพี่รู้ได้ไง ใครโทรบอกเหรอ” เพราะผมจำได้ว่าไม่ได้โทรหาใครเลย ไอ้ป่านกับไอ้ดอยยังไม่รู้เรื่องเลย
“จากแฟนเพจ เขาส่งข้อความมาบอกพร้อมลงรูปด้วย นี่ถ้าพี่ไม่ดูคงไม่รู้ว่าแฟนถูกรถชนสินะ” อูย สายตาทิ่มแทงสุดๆ
“มันแค่เฉี่ยวเฉยๆ ไม่ได้ชน”
“รถล้มเหมือนกัน”
“ครับๆ” ไม่อยากเถียงจริงๆ
พอถึงห้อง ผมก็ถูกจับถอดเสื้อผ้า จะดิ้นขัดขืนแต่เอี้ยวตัว ขยับตัวลำบากเลยปล่อยเลยตามเลย เสื้อนักศึกษามีรอยเลือดอยู่ที่หัวไหล่กับด้านข้าง พอถอดออกก็เห็นแผล มันเป็นแผลถลอกมีเลือดซิบๆ นั่นแหละครับ แต่ตรงสีข้างถลอกเยอะไปหน่อย ลากยาวมาเกือบถึงหัวไหล่ แถมเขียวช้ำด้วย ถ้ามันสุกงอมจนเป็นสีม่วงนะคุณเอ้ย ทรมานสุดๆ
“ช้ำขนาดนี้ต้องให้มันมารับผิดชอบ” พี่ฟลอยด์บ่นไปบีบยาที่ผมซื้อมาทาบนแผลเบาๆ แต่ก็สะดุ้งตลอดเวลาที่มือถูกับแผล
“มันเอาเงินให้ผมห้าพันด้วย” ยื่นแบงค์สีเทาที่ยัดไว้ในกางเกงลวกๆ ให้ดู พี่ฟลอยด์เหล่ตามองนิดๆ อย่างไม่สนใจ “เหมือนพี่คราวที่เจอครั้งแรกเลย เอาเงินให้ผมเหมือนกัน”
“แต่พี่ไม่ได้ทำให้ต้อมเจ็บ”
“บอกเหมือนตรงเอาเงินให้เฉยๆ สงสัยจะลูกคนรวยเหมือนกัน โอ้ย เจ็บ” แม่ง ลงน้ำหนักมือซะเจ็บ
“พูดมากดีนัก แล้วห้ามเอาพี่ไปเทียบกับไอ้นั่นด้วย มันไม่เหมือนกัน” มีงอนซะด้วย ผมขำนิดๆ ก่อนดีดหน้าผากคนที่กำลังตั้งใจทายาให้ผม
“รู้แล้ว ไม่เหมือนหรอก พี่นิสัยดีกว่าเยอะ”
“ประชดพี่เหรอ เดี๋ยวเถอะๆ”
ตอนนี้ทั้งตัวผมเหลือแค่กางเกงบ็อกเซอร์เพราะถูกพี่ฟลอยด์ลอกคราบเพื่อทายา หัวเข่าก็ช้ำ หน้าแข้งก็ถลอก วันนี้ผมใส่มคกางเกงยีนส์เนื้อบางด้วย เพราะเนื้อแข็งๆ เอาไปซัก นี่ขนาดใส่ยีนส์ยังช้ำขนาดนี้ ถ้าเป็นกางเกงนักศึกษา ขาผมคงได้อาบเลือดแน่
ทายาเสร็จก็ต่อด้วยยาแก้อักเสบ เริ่มตึงๆ พอประมาณ ดีที่วันนี้ลงแปลงเสร็จหมดแล้ว ขืนถ้าพรุ่งนี้ได้ซ้ำอีกไอ้ต้อมคงเดี้ยงไปจริงๆ
“พรุ่งนี้จะมีไข้หรือเปล่า” ถูกเอามือมาทาบหน้าผาก
“ผมไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น”
“ไม่ได้อ่อนแอแต่ก็ใช่ว่าจะป่วยไม่เป็น” พี่ฟลอยด์ว่าก่อนจะเดินเอากะละมังใส่น้ำไปเทในห้องน้ำ “คืนนี้ไปนอนบ้านพี่นะ นอนนี่ดึกๆ เป็นอะไรขึ้นมาจะลำบาก” นี่ไม่ใช่คำชวนของพี่ฟลอยด์นะครับ แต่เป็นคำสั่ง ผมได้แต่นั่งมองคนที่เก็บเสื้อผ้าผมใส่กระเป๋า
“พี่กะจะเอาเสื้อผ้าผมไปหมดตู้เลยหรือไง” ขัดเพราะเสื้อกับกางเกงแทบจะหมดตู้อยู่แล้ว
“ถ้าเอาความจริงคือใช่” ตรงกว่าไอ้ต้อมก็พี่ฟลอยด์นี่แหละครับ
นี่ถ้าแบกผมได้คงแบกไปแล้ว พี่ฟลอยด์แทบจะอุ้มผมแต่สีข้างมันช้ำเลยได้แค่ประคอง กว่าจะลงมาถึงชั้นล่างเหงื่อแทบไหล น้ำตาแทบตกเหมือนกันนะครับเนี่ย นั่งรถได้ก็ใช่จะสบายต้องพิงตัวมาด้านขวาที่ไม่ช้ำ ผมนั่งเอียงมาจนถึงบ้านหลังใหญ่ ตอนนี้ตาเริ่มปรือๆ ฤทธิ์ยาคงกำลังทำงาน
“เดินไหวมั้ย” พี่ฟลอยด์ค่อยๆ ประคองผมเดิน ทุกย่างก้าวนี่แสนร้าวระบม คุณป้าแม่บ้านหรือคนอื่นๆ มาเห็นต่างก็ตกใจกันเป็นแถว
“ไปโดนอะไรมาคะนั่น”
“รถชนครับ”
“แค่เฉี่ยวเฉยๆ ครับ” รีบแก้คำผิดแต่มันก็น่าตกใจสำหรับคุณป้าแม่บ้านอยู่ดี
“แล้วจับคนที่ชนได้มั้ยคะ แบบนี้ต้องแจ้งความนะคะคุณฟลอยด์” เอ่อ ทำไมกลายเป็นเรื่องใหญ่
“พอดีคุยกันแล้วครับ แล้วผมก็ไม่เป็นอะไรมาก...มั้ง” หัวเราะแห้งๆ เมื่อถูกจ้องเขม็ง
“ให้ลุงหมอมาดูที่บ้านมั้ยคะ” คุณป้าแม่บ้านหันไปถามพี่ฟลอยด์ คนถูกถามพยักหน้าแต่ผมโบกมือปฏิเสธ แต่ก็ต้องเอาลงเมื่อถูกสายตาดุจ้องอีกรอบ หูย ไอ้ต้อมไม่เคยหงอแบบนี้เลยนะ
ถูกพยุงขึ้นมาบนห้อง เอนตัวลงนอนนี่สะดุ้งจนต้องลุกขึ้นมานั่ง ปวดจริงจัง ปวดจนอยากจะมอบโล่ให้ ไม่อยากนึกถึงวันพรุ่งนี้เลยว่ามันจะทรมานแค่ไหน พี่ฟลอยด์มองนิ่งๆ ก่อนจะให้ผมขยับไปกลางเตียงแล้วตัวเองก็นั่งลงข้างๆ
“ทำไรอะ” ถามอย่างระแวงนิดๆ
“เถอะน่า” ถูกดึงเบาๆ ให้พิงบนอกกว้างนั่น “ถ้าทำแบบนี้หลังข้างซ้ายก็จะไม่โดนเตียง” เอียงหน้าไปมองเห็นแค่ปากสีแดงขยับพูด
“เริ่มโรแมนติกนะเนี่ย” แซวไปแบบนั้นเลยได้เสียงหัวเราะตอบกลับ
“พี่ยังโรแมนติกได้อีกเยอะ” โดนบีบจมูก “รีบหายๆ แล้วพี่จะทำให้ดู” ได้ยินเสียงเลือนรางเพราะตามันกำลังจะปิด ห้องนอนกว้างค่อยๆ มืดลงเหมือนปิดไฟ แล้วผมก็หลับไปทั้งที่พิงอกพี่ฟลอยด์อยู่
(ฟลอยด์)
ผมปล่อยให้คนที่พิงอกนอนหลับไปทั้งแบบนั้น ก่อนผมจะรู้เรื่องราว ผมกำลังนั่งคุยกับพี่ฟีนเรื่องของต้อมนั่นแหละครับ ผมอยากจะพาต้อมมาอยู่ที่บ้านด้วย เลยอยากให้พี่สาวช่วยคุยกับพ่อให้หน่อย แต่พี่ฟีนกลับให้ผมไปบอกเองเพราะพ่อก็ไม่ได้รังเกียจต้อม
ในขณะที่ผมกำลังนั่งรอพ่ออยู่หน้าบ้าน มือถือผมก็สั่นขึ้นมาพร้อมข้อความของน้องที่เป็นสมาชิกเพจคู่ผม น้องเขาส่งรูปของต้อมที่นั่งอยู่ที่พื้น มีไอ้คนชนอยู่ในรูปด้วย ใต้ภาพมีคำบรรยายนิดหน่อย แต่แค่นั้นก็ทำให้ผมรีบคว้ากุญแจรถไปหาต้อมที่หอทันที
นั่งรออยู่ในรถไม่นานก็เห็นแฟนตัวเองเดินกระเผลกๆ ใบหน้าบิดเบี้ยวเวลาใช้ขาข้างที่เจ็บเหยียบพื้น ผมรีบเปิดประตูออกไปหา ต้อมทำหน้าตกใจเหมือนเห็นผีเมื่อเจอหน้าผม มันพยายามยิ้มแย้มเพื่อให้ดูว่าไม่เจ็บ แต่ผมรู้ว่ามันเจ็บมาก
บางทีผมก็อยากให้มันแสดงความอ่อนแอ อ่อนไหวออกมาบ้าง เพราะผมจะได้ทำหน้าที่ดูแล แต่ความเข้มแข็งที่ทำให้ผมแทรกตัวเข้าหายากกำลังค่อยๆ หายไปบ้างหลังจากตกลงคบเป็นแฟน แม้จะไม่เห็นความออเซาะฉอเลาะแบบคู่อื่นๆ
ผมว่า ผมชอบแบบนี้นะ บางอารมณ์ผมก็อยากได้คนที่คุยกันรู้เรื่องมากกว่า
เกือบเผลอนอนหลับไปด้วยหากประตูไม่เปิดออกพร้อมกับลุงหมอที่สะพายกระเป๋าเครื่องมือเข้ามา ผมขยับตัวไม่ได้เพราะต้อมจะตื่น อีกอย่างก็เริ่มชาจากการถูกเหน็บเล่นงาน
“เดี๋ยวลุงตรวจแบบนั้นก็ได้” ลุงหมอยิ้มนิดๆ ก่อนเปิดกระเป๋าสีดำเอาอุปกรณ์ต่างๆ ออกมาตรวจคนพิงอกผม
“กระดูกหักหรือเปล่าครับ” ผมถาม ลุงหมอส่ายหน้าช้าๆ
“ไม่หักนะ แค่ฟอกช้ำแล้วก็แผลถลอก” เบาใจไปนิดหน่อยแต่ก็ยังเป็นห่วง “พรุ่งนี้แผลน่าจะระบม เดี๋ยวลุงจะฉีดยาแก้ปวดให้ แล้วเอายาแก้อักเสบแล้วก็ยาแก้ไข้ให้ไว้นะ” ลุงหมอบอกขณะฉีดยาแก้ปวดให้เข็มหนึ่ง เพราะไม่อย่างนั้นต้อมจะนอนไม่ได้
“ขอบคุณครับ”
ลุงหมอตรวจทุกอย่างเสร็จสรรพก็ขอตัวกลับ ผมยกมือไหว้อีกรอบแม้จะลำบากนิดหน่อยเพราะต้อมยังพิงอกอยู่ พอประตูปิดผมก็ค่อยๆ วางคนป่วยนอนบนเตียง ทันทีที่หลังสัมผัสเตียงนุ่ม คนนอนหลับสนิทสะดุ้งนิดๆ แต่ก็ไม่ตื่น คงจะเจ็บพอดู
ผมลุกเข้าห้องน้ำเพื่อเตรียมอ่างน้ำพร้อมกับผ้าไว้เผื่อคนป่วยมีไข้ เสียงเปิดประตูห้องอีกรอบทำให้ผมหันไปมองหลังจากเอาแต่จ้องหน้าคนหลับสนิท
“น้องเป็นไงบ้าง” พี่ฟีนเดินย่องเข้ามา
“ลุงหมอฉีดยาแก้ปวดให้แล้ว” ผมบอก
“จับคนชนได้มั้ย”
“มีรูปอยู่ ผมกำลังให้ไอ้เกนช่วยดูให้” โมโหมากเมื่อนึกถึง มหาลัยนักศึกษาเยอะแบบนั้นยังขับขี่ไวไม่กลัวเกิดอุบัติเหตุ มันจะไม่เป็นอะไรเลยถ้ามันล้มไปเองโดยไม่มีคนเจ็บ แต่นี่มีคนเจ็บ แล้วเป็นต้อมด้วยผมยิ่งโมโห
“แจ้งความเลยมั้ย”
“ต้อมบอกมันเอาเงินให้แล้ว แจ้งไปคงไม่ได้เรื่อง”
“งั้นฟลอยด์ก็ดูแลน้องดีๆ แล้วกัน อ่อ พ่อกลับมาแล้วนะ อยู่ห้องทำงาน” พี่ฟีนบอกแล้วออกจากห้องไป ผมมองต้อมนิ่งแล้วเดินตามพี่สาวออกไปด้วย เพราะตอนนี้ต้อมคงยังไม่ตื่นแน่นอน
ผมแยกมาห้องทำงานของพ่อ ห้องที่ผมไม่เคยคิดว่าจะเข้ามาเหยียบเมื่อสมัยก่อน ตอนนี้ผมเข้ามาหลายครั้งแล้ว รวมครั้งนี้ด้วย พ่อเงยหน้าจากกองเอกสารแล้วถอดแว่นออก
“เด็กปากดีนั่นเป็นไงบ้าง เห็นฟีนบอกถูกรถชน” พ่อถามถึงต้อมก่อน ดูท่าจะติดใจในความปากดีนั่นเหมือนผม
“ลุงหมอฉีดยาให้แล้วครับ” ผมบอก...เรื่องพ่อ ถ้าไม่ได้ต้อม ทุกวันนี้ผมคงไม่มองหน้าด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ผมกลับยอมเปิดใจพูดคุยกับพ่ออีกครั้ง ซึ่งมันก็ไม่ได้แย่สักเท่าไหร่
“อ่อ ก็ดีแล้ว สงสัยคงหายปากดีไปเยอะสินะ” ผมขำในสิ่งที่ได้ยิน หายากนะครับที่จะเจอคนนอกที่กล้าต่อปากต่อคำกับพ่อผมได้ ขนาดคนในครอบครัวยังมีแค่พี่เฟิร์นเท่านั้นที่กล้าเถียง “แล้วมีอะไร”
“ก็เรื่องต้อม” แค่ผมเกริ่น พ่อก็จ้องนิ่ง “ผมอยากพาต้อมมาอยู่ที่บ้านด้วย”
“แล้วแกก็จะกลับมาอยู่บ้าน แบบนั้นใช่มั้ย” พยักหน้ารับ “แบบนี้ถ้าฉันไม่ให้อยู่ ก็เหมือนไล่ลูกทางอ้อมแบบนั้นสินะ” พ่อขำแต่ผมยังนิ่ง
“ก็ประมาณนั้น” โดนหรี่ตามองแต่ผมก็ยังนิ่ง
“ก็ตามใจแก แต่บอกให้มันลดความปากดี อวดดีสักนิด ฉันปวดหัวแทน” รีบยกมือไหว้ขอบคุณพ่อทันที “ก่อนจะพามา ไปคุยกับพ่อแม่เขาให้ดี ไม่ใช่พาลูกเขาหนีมาอยู่เลยล่ะ ฉันจะไม่รับผิดชอบนะบอกไว้ก่อน”
“วันนี้ผมไปขอมาแล้ว” ผมบอก พ่อเลยทำตาโตมอง
“แบบนี้สิ ถึงเหมือนพ่อของแก” พ่อเดินมาตบบ่าผมแล้วหัวเราะลั่น แต่ผมยังงงๆ ไม่รู้ความหมาย พอออกจากห้องผมก็เกาท้ายทอยเพราะยังสงสัย แต่ก็ช่างเถอะ ผมรีบกลับไปดูต้อมดีกว่า
ขึ้นไปบนห้อง ต้อมยังนอนหลับสนิท ผมวางหลังมือกับหน้าผากเพื่อวัดอุณหภูมิซึ่งยังปกติอยู่ อาจเพราะต้อมออกกำลังกายบ่อย ผมหมายถึงลงแปลง ลงสวนอะไรแบบนั้น ผมเคยไปรอรับที่แปลงผัก เห็นต้อมเงื้อจอบขุดดินซะผมปวดแขนแทน
ผมใช้นิ้วไล้ตามหน้าที่เริ่มขาวจากครีมที่ผมบังคับให้ใช้ เมื่อก่อนหน้ามีแต่สิวแล้วก็แห้ง ตอนนี้นุ่มและเนียนจนน่าสัมผัส ดวงตาสองข้างที่ถูกเปลือกตาปิดอยู่คู่นี้มักจะมองผมแบบหาเรื่องเสมอเวลาที่อยากกวน จมูกโด่งนิดๆ เหมาะกับใบหน้านี้นัก แต่ที่ผมชอบที่สุดคงจะเป็นปากอวบสีแดงที่กำลังล่อตาล่อใจผมอยู่ตรงหน้า ใช้นิ้วลูบวนไปมา ความนุ่มหยุ่นยามสัมผัสทำให้ต้องเลียริมฝีปากตัวเอง
เหมือนเป็นโรคจิต แต่ผมอยากจูบมาก
ก้มประกบปากนุ่ม ประคองหน้าเนียนให้เงยเพื่อรับสัมผัสได้ถนัด ผมสอดนิ้วเข้าปากคนนอนหลับแล้วสอดลิ้นเข้าไปเกี่ยวกับลิ้นร้อนจนได้ยินเสียงครางแผ่วเบาจากคนด้านล่าง รสชาติจูบที่จาบจ้วงค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นหอมหวาน ริมฝีปากนี้ทำให้อยากสัมผัสโดยไม่อยากถอดถอนออก แต่ถ้าไม่ห้ามใจ ผมกลัวว่าจะเผลอลักหลับคนป่วยจนโดนโกรธไม่มองหน้าอีก
ผมจ้องหน้าคนที่กำลังทำให้ผมหลงใหลด้วยความรัก ต้อมเป็นผู้ชายที่ไม่ใช่คนหวาน เป็นคนห่าม ปากดี พูดตรง แต่จิตใจดี นี่คงเป็นเสน่ห์ที่เจ้าตัวไม่รู้ เป็นเสน่ห์ที่ผมให้ผมหลงตั้งแต่ครั้งแรกที่ถูกเตือนสติวันนั้น เป็นเสน่ห์ที่ทำให้ผมหลงรักคนโงหัวไม่ขึ้นแบบนี้
โคตรรักเลยว่ะ
เช้านี้ที่แสนเจ็บปวด แค่ขยับตัวนิดหน่อยก็รู้สึกเจ็บร้าวไปทั้งหลัง นี่สินะคือความเจ็บปวดของจริง ผมกระพริบตามองเพดานสีขาวที่ไม่ใช่ในหอพักหรือบ้านตัวเอง เพดานนี้คือบ้านของผู้ชายที่เป็นแฟนผม แม่งพอเรียกแฟนแบบนี้รู้สึกเขินขึ้นมา ผมหันไปมองที่ข้างๆ ก็ว่างเปล่า แต่ความอุ่นยังคงอยู่ คงเพิ่งลุกไปสินะ
“พี่ฟลอยด์” ลองเรียกแต่ก็ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับ คงออกไปข้างนอกละมั้ง ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ เพราะมันเจ็บ ไอ้ต้อมหนอไอ้ต้อม เกิดมาจะยี่สิบปีเพิ่งเคยนอนป่วยแบบนี้ ขนาดไข้ขึ้นเกือบสี่สิบองศาผมยังหอบสังขารไปสอบเลยครับ ออกห้องสอบมาสลบอยู่หน้าห้องเลย ในตอนนั้นทุกคนวุ่นวายมากกับการพาผมไปโรงพยาบาล พอนึกถึงก็แอบกลัวตัวเองเบาๆ
พยายามจะลุกขึ้นจากเตียง โดยใช้แขนขวาข้างที่ไม่เจ็บค้ำยัน แม้จะลำบากแต่ก็ลุกขึ้นนั่งได้ กัดฟันอีกรอบขยับตัวมานั่งที่ข้างเตียง แค่หย่อนขาลงที่พื้นก็ปวดหัวเข่าไปหมด ผมสั่งให้ตัวเองลุกเพื่อจะไปเข้าห้องน้ำ จนแล้วจนรอดก็พาตัวเองมาแบบทุลักทุเลนิดๆ
ใช้ไหล่ด้านขวาพิงกับกำแพงเพื่อแปรงฟันล้างหน้า โคตรลำบากเลยให้ตาย ผมกำลังนั่งทำธุระได้แปบเดียวก็ได้ยินเสียงคนโวยวายด้านนอกห้องน้ำ น่าจะเป็นเจ้าของห้องนั่นแหละครับ ไม่เห็นผมคงโวยวายแบบนั้น
เสียงเคาะประตูห้องน้ำรัวๆ เร่งให้ผมเปิด แต่สังขารผมทำอะไรเชื่องช้าเลยโดนบ่นทันทีที่เปิดประตูออก พี่ฟลอยด์เลื่อนสายตามองผมทั้งแต่หัวจรดเท้า คิ้วดำขมวดมุ่น
“อาบน้ำเหรอ”
“เปล่า”
กำลังก้าวขาออกมาก็มีมือพยุงทันที คนพยุงก็บ่นเป็นหมีกินผึ้ง ผมได้แต่หัวเราะเพราะเถียงไม่ทัน นี่ไม่รู้หายใจทางเหงือกหรือเปล่า จนผมมานั่งอยู่ที่เตียงถึงหยุดบ่น
“พี่หายใจยังไงเนี่ย” เกือบถูกเขกหัวดีที่พี่ฟลอยด์ยั้งมือไว้ทัน ไม่งั้นเพิ่มความปวดให้ผมอีกแน่นอน
“จะเข้าห้องน้ำทำไมไม่เรียกพี่” พี่ฟลอยด์เปลี่ยนไปถือถ้วยข้าวต้มมาคนให้คลายร้อนแทน
“เรียกจนคอจะแตกแล้ว” บอกไปทั้งที่เรียกแค่ครั้งเดียว แต่ทำให้มันเว่อร์ไปงั้น
“ไม่เห็นได้ยิน” พูดไปเป่าไป “เออใช่ ห้องพี่เก็บเสียง” ผมจ้องคนพูดที่ยิ้มแปลกๆ มือขาวยื่นข้าวต้มมาจ่อปากผม
“ผมกินเองได้” พยายามจะแย่งช้อนแต่ดูเหมือนขัดใจคนป้อน
“ป่วยแบบนี้แล้วอ้อนพี่บ้างสิ”
“อ้อนยังไง”
“ก็ทำตัวให้อ่อนแอพี่จะได้ดูแลบ้าง” ผมมองคนที่บอกอยากดูแลขำๆ
“มันเหมือนเป็นภาระอะ” ผมบอก
“ภาระที่พี่เต็มใจดูแล”
“ครับๆ” อ้าปากรับข้าวต้มคำโต ผมจ้องคนที่ตั้งใจป้อนข้าวต้มแล้วก็ยิ้มออกมา ไม่ใช่ผมไม่อยากทำตัวอ่อนแอหรอกนะ แค่ไม่อยากทำตัวเป็นภาระของคนอื่น
เมื่อคนอยากให้ผมเป็นภาระ ไอ้ต้อมเลยจัดให้ อยากได้อะไรก็ชี้อย่างเดียว พี่ฟลอยด์ดูเต็มใจทำให้ทุกอย่างแบบที่พูดจริงๆ ขนาดผมบอกปวดหนัก พี่ท่านยังประคองผมไป แล้วอยู่ในห้องน้ำจนปลดปล่อยทุกอย่างโล่งท้อง
“พี่ไม่เหม็นเหรอ” ถามติดตลก พี่ฟลอยด์ทำหน้านิ่งๆ ก่อนถอนหายใจออกมา
“กลั้นหายใจเอา” แค่นั้นเราก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน
ผมถูกพยุงกลับมานั่งที่เตียง โชคดีที่ไม่มีไข้ บอกแล้วว่าผมแข็งแรง พี่ฟลอยด์ป้อนน้ำป้อนยาอย่างดีแถมกล่อมให้ผมนอนหลับอีก คือคนเพิ่งตื่นมันไม่ง่วงไง คนกล่อมเลยได้แต่ขำ
“พี่มีไรจะพูดหรือเปล่า” ถามเพราะดูท่าทางแปลกๆ
“ต้อมมาอยู่กับพี่ที่นี่นะ” เมื่อโดนผมจ้องนิ่งพี่ฟลอยด์ก็ดูประหม่า “คือ...”
“ก็ได้”
“ว่าแล้วเชียวต้องไม่ยอม...ห๊า”
“อะไร”
“เมื่อกี้บอกตกลงเหรอ พูดจริงใช่มั้ย พี่ไม่ได้หูฟาดใช่มั้ย”
“เออ พูดมากเดี๋ยวก็ปฏิเสธหรอก” พี่ฟลอยด์รีบเม้มปากเน้นแต่ตาหยีเพราะยิ้ม “ระวังตัวไว้เถอะ ไอ้ต้อมเป็นภาระหนักนะจะบอกให้”
“พี่รับได้เสมอ”
“ฝากตัวด้วยนะ ผมกินจุ หลับง่าย เลี้ยงง่าย” พูดได้แค่นั้นก็ถูกปล้นจูบจนแทบโดนหลอมละลาย “โอ้ย เจ็บๆ” ร้องลั่นเมื่อหลังแนบกับเตียง เจ็บร้าวจนต้องผลักคนที่ลงน้ำหนักจะทับผมออก พี่ฟลอยด์ตกใจรีบผุดขึ้นยืนทำหน้าลนลาน ผมทั้งเจ็บทั้งขำ สุดท้ายต่างคนต่างก็หัวเราะออกมา “ช่วงนี้ห้ามหื่นนะครับ”
“หายเมื่อไหร่โดนแน่”
...TBCต้อมหายแล้วจะโดนหรือเปล่าละนี่ ฮ่าๆๆๆ
เจอกันตอนหน้าค่าาาาา
