วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [จบแล้วค่ะ] 30/09/59
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [จบแล้วค่ะ] 30/09/59  (อ่าน 20912 ครั้ง)

ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


--------------------------------------------




วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล



รายละเอียดรวมเล่ม http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55750.0

แนะนำตัวละคร


선인 (善人) ซอนอิน
- คิม ซอนอิน -

เด็กหนุ่มผู้เป็นตัวแทนของเทพเจ้าทงซก 'วังชอนซา'
เป็นลูกชายคนโตของกษัตริย์แห่งแคว้นเชินอัน

지룡 (知龍) จีรยง
 - ชอง จีรยง -

ในฐานะนักรบ เขามีตำแหน่งเป็นถึงแม่ทัพกองพลที่เจ็ด
ในฐะนะบุตรชายคนโตของแคว้นฮานึล เขาคือองค์รัชทายาทผู้เก่งกาจ

영주 (英主) ยองจู
- ปาร์ค ยองจู -

ราชครูผู้ปราดเปรื่อง และเป็นอาจารย์คนสนิทของซอนอิน
เรื่องบุ๋นเขาเป็นที่หนึ่ง ส่วนเรื่องบู๊เขาก็มีวิชาไม่แพ้ใคร

희우 (喜雨) ฮีอู
- คิม ฮีอู -

คุณชายฮีอู เป็นคนสนิทของจีรยงตั้งแต่เล็กๆ
เขาเป็นบุตรชายของราชเลขาแห่งแคว้นฮานึล

지문 (知文) จีมุน
- ชอง จีมุน -

องค์ชายรองแห่งแคว้นฮานึล
เพียงแค่สบตาครั้งแรก เขาก็ถูกชะตากับ ซอนอิน เป็นอย่างมาก


--------------------------------------------------------------

เรื่องนี้เป็นนิยายย้อนยุคเกาหลี ดัดแปลงเรื่องราวตามจินตนาการของผู้แต่ง
เพราะฉะนั้น ชื่อต่างๆ สถานที่ต่างๆ และเหตุการ์ต่างๆ ภายในเรื่องจึงไม่มีอยู่จริง

*โปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน*
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-09-2016 08:16:18 โดย KimYoonBe »

ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
ปฐมบท


กล่าวกันว่า ในปีหนึ่งช่วงฤดูเก็บเกี่ยวของเดือนห้า แคว้นที่ยิ่งใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์ทั้งสินทรัพย์และสิ่งดำรงชีพอย่างแคว้น เชินอัน ได้เกิดภัยพิบัติร้ายแรงขึ้น ภูเขาแซทงที่โอบล้อมด้านหนึ่งของแคว้นนั้นเกิดอัคนิรุทรอย่างไร้สาเหตุ ไพร่ฟ้าประชาชนต่างวิ่งวุ่นอลม่านตื่นกลัวกับความร้ายกาจที่แผดเผาความร้อนแรงอย่างไม่ปราณี เสียงกรีดร้องและเสียงเพลิงกัลป์ดังสะท้อนไปทั่วทั้งผืนนภา ความหวาดหวั่นก่อตัวขึ้นในจิตใจคนทุกผู้ไม่เว้นแม้แต่เหล่าขุนนางเชื้อสายราชวงศ์ที่อยู่อย่างปลอดภัยในวังหลวง

ภูเขาแซทงถูกเผาไหม้อย่างไม่ลดละความร้ายกาจอยู่สองวันเต็ม กลิ่นไหม้ของกลุ่มควันและเศษผงธุลีลอยอบอวลบดบังทัศนียภาพที่สวยงามของแคว้นเชินอันเกือบทั้งส่วนของทิศบูรพา

ในวันที่สามซึ่งย่างเข้าจนเลยผ่านมาเพียงสองชั่วยาม ขณะที่เพลิงไหม้กำลังโหมกระหน่ำนั้น นักโหราศาสตร์ประจำพระราชวังได้รีบร้อนขอพบ คิมอุนเซ กษัตริย์แห่งเชินอัน และกราบทูลถึงภัยพิบัติที่เกิดขึ้นว่าสิ่งเหล่านี้เกิดจากการที่เทพพระเจ้าแห่งทงซกทรงพิโรธ

เนื่องจากตามประเพณีของแคว้นเชินอัน ทุกครั้งก่อนเริ่มทำการเกษตรในเดือนสามจะต้องมีการบวงสรวงเทพเจ้าแห่งทงซก แต่ทุกอย่างในช่วงเวลานั้นถูกละเลยไปเนื่องจากศึกสงครามที่เกิดขึ้นระหว่างแคว้นเชินอันและแคว้นฮานึลนั้นส่งผลให้กษัตริย์อุนเซได้รับบาดเจ็บสาหัส เหล่าขุนนางและไพร่ฟ้าประชาชนไม่สนใจสิ่งอื่นใดนอกจากสวดอ้อนวอนให้กษัตริย์ของตนปลอดภัย

กลางเดือนสี่ยุวราชาหนุ่มก็ฟื้นตัวดีขึ้น เกิดงานรื่นเริงในเวลาต่อมา และวันเวลาก็ได้เลยผ่านเข้าเดือนที่ห้า ผู้คนต่างกลับไปทำมาหากินอย่างปกติสุข ไม่มีการจัดงานบวงสรวงเทพเจ้าทงซกแต่อย่างใด หรือความเป็นจริงแล้ว ทุกคนต่างเห็นพ้องต้องกันว่าพิธีกรรมได้ล่วงเลยมาถึงสองเดือน ถ้าเช่นนั้นก็ควรจัดอีกทีในปีหน้าเสียเลยจะดีกว่า การเก็บเกี่ยวก็ใกล้เข้ามาทุกที หากเสียเวลาจัดงานก็อาจส่งผลกระทบในหลายๆ ส่วน ซึ่งก่อนหน้าตอนช่วงสงคราม ชาวไร่ชาวนาก็ได้รับผละกระทบมากพออยู่แล้ว

จากการบอกเล่าคาดการณ์ของผู้เฒ่าโหราศาสตร์ มีเพียงวิธีเดียวที่จะหยุดอัคนิรุทรร้ายกาจนี้ได้คือการยกตำแหน่งราชินีของแคว้นเชินอันให้แก่สตรีผู้เป็นดั่งตัวแทนของเทพพระเจ้าแห่งทิศตะวันออก ผู้ที่เป็นตัวแทนของเทพเจ้าทงซก

หากพูดถึงสตรีผู้นั้น คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากตัวแทนของเทพแห่งชนเผ่าชินซอง วังชอนซาองค์ปัจจุบันในเวลานั้น ซึ่งต่อมาหลังจากที่ได้ทำตามคำทำนายของผู้เฒ่านักโหราศาสตร์ และได้แหกกฎของชนเผ่าชินซองที่ห้ามให้คนในชนเผ่าผู้ใดก็ตามแต่งงานกับคนภายนอกแล้วนั้น ภัยพิบัติของเพลิงกัลป์ก็ได้มอดดับลงภายในเวลาหนึ่งวันอย่างน่าอัศจรรย์
 
 



“ข้าก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี การที่ท่านพ่อกับท่านแม่อภิเษกสมรสกันจะช่วยให้ไฟป่านั่นสงบลงได้อย่างไร?”

คนพูดขมวดเรียวคิ้วบางเข้าหากันอย่างสงสัย ริมฝีปากสีแดงสดเผยอน้อยๆ เมื่อเจ้าตัวส่งผลอิงผิงซึ่งเป็นผลไม้สีม่วงลูกเล็กคล้ายผลองุ่นเข้าปาก

ชายร่างสูงโปร่งตรงกลางห้องสะบัดปลายพู่กันตรงตัวอักษรสุดท้ายบนแผ่นกระดาษสีขาวบนโต๊ะไม้ขนาดใหญ่ แล้วเงยหน้าขึ้นมองเรือนร่างบอบบางภายใต้ชุดสีขาวของคนเอ่ยถามที่นั่งเท้าคางอยู่บนโต๊ะเล็กตรงข้าม แก้วตาสวยพราวประกายที่จ้องตอบกลับมาอย่างสงสัยใคร่รู้บ่งบอกว่าลูกศิษย์คนนี้คงหาเรื่องหลีกเลี่ยงการเรียนอีกแล้วเป็นแน่แท้

“วังชอนซา ทรงคัดอักษรเสร็จแล้วหรือ? ถ้าเช่นนั้น เราควรเรียนเรื่องบทกลอนกันต่อ”

“ท่านราชครูอย่าเปลี่ยนเรื่องสิ ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าเรื่องไฟไหม้ที่ชาวบ้านเค้าเล่ากันมันเป็นเรื่องจริงหรือนิทานหลอกเด็กกันแน่”

“ซอนอิน” ก่อนที่ราชครูหนุ่มจะได้เอ่ยตอบ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ก่อนที่ร่างอรชรขององค์ราชินีในชุดตัวยาวสีทองอร่ามจะก้าวเข้ามาในตำหนักส่วนตัวของบุตรชาย

“ท่านแม่!” ร่างบอบบางของคนที่มีตำแหน่งเป็นวังชอนซา หรือตัวแทนของเทพแห่งทิศตะวันออกของชนเผ่าชินซอง ระบายรอยยิ้มกว้างแล้วโผเข้ากอดคนเป็นมารดา

ราชครูหนุ่มนามว่า ปาร์ค ยองจู โค้งกายให้สตรีผู้สูงศักดิ์ที่สุดของแคว้นเชินอันอย่างนอบน้อม ก่อนขยับกายไปยืนที่ด้านข้างของห้อง

“ลูกคิดว่าเดือนนี้ท่านแม่จะไม่มาหาลูกแล้วเสียอีก”

รอยยิ้มขององค์ราชินีซองอึนที่ถูกขนานนามให้เป็นบุบผาแรกแย้มที่งดงามที่สุดนั้นไม่ได้มีความแตกต่างไปจากบุตรชายของเธอเลยแม้แต่น้อย

ซองอึนลูบไล้เส้นผมสีดำยาวนุ่มลื่นของซอนอินด้วยความหวงแหน เธอจับจูงมือเล็กลงนั่งข้างกัน

“เราตัดสินใจได้แล้วเรื่องของลูก พรุ่งนี้เช้า ลูกจะต้องเข้าพิธีรับตำแหน่งวังชอนซาอย่างเป็นทางการ”

ประโยคที่ได้รับฟังนั้นยังผลให้ร่างบางขืนมือออกจากมืออีกฝ่ายแล้วลุกพรวดขึ้นในทันที

“ไม่ได้นะ! ท่านแม่บอกลูกเองนี่ว่าจะให้รับตำแหน่งแค่ในนามเท่านั้น ลูกไม่ต้องการไปอยู่ในหุบเขาชินซอง แล้วก็ไม่ต้องการไปอยู่กับนักบวชพวกนั้นด้วย!!”

“ซอนอิน ลูกก็รู้ไม่ใช่หรือว่าในเวลานี้ลูกเป็นที่ต้องการของคนพวกนั้นมากแค่ไหน หากว่าจะมีสิ่งใดช่วยให้ลูกของแม่อยู่อย่างปลอดภัยได้ แม่และท่านพ่อก็ต้องทำทั้งนั้น”

ซอนอินนึกไปถึงเรื่องของแคว้นฮานึล ซึ่งถือเป็นแคว้นใหญ่ไม่แพ้แคว้นเชินอันที่พยายามขยายอาณาเขตแก่งแย่งอำนาจกับแคว้นของท่านพ่ออยู่ตลอดมา ศึกสงครามตามชายแดนก็มีขึ้นอยู่เป็นระยะ หากแต่ในเวลานี้ ไม่ว่าจะศึกชั้นเชิงทางอำนาจระหว่างเชินอันและฮานึล หรือศึกรบตามแคว้นต่างๆ ที่ฮานึลกำลังบุกยึดกลับหยุดชะงักอย่างกะทันหัน เนื่องจากเมื่อเจ็ดวันก่อนภายในแคว้นฮานึลได้เกิดภัยพิบัติร้ายแรงขึ้น

ตามที่ซอนอินได้ยินพวกนางกำนัลคุยกัน ทุกคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเหตุการณ์ที่เกิดกับฮานึลนั้น เหมือนกับไฟป่าที่เคยเกิดขึ้นกับเชินอันเมื่อสิบเจ็ดปีก่อนไม่มีผิด จะต่างกันก็แค่ แคว้นฮานึลได้รับผลกระทบร้ายแรงกว่ามาก เพลิงกัลป์ที่เกิดขึ้นติดต่อกันเจ็ดวันสร้างความเสียหายไปทุกหย่อมหญ้า ผู้คนต่างหวาดกลัวจนไม่เป็นอันทำอะไร เหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์ก็หาทางหยุดอัคนิรุทรที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้เสียที

จนกระทั้งเมื่อสามวันก่อน ชาวบ้านแคว้นฮานึลพากันเรียกร้องให้กษัตริย์ของตนไปขอความช่วยเหลือจากเชินอัน ซึ่งจุดประสงค์ของคนพวกนั้นก็คือ การขอยืมตัววังชอนซาองค์ปัจจุบันไปประทับอยู่ที่นั่นสักหนึ่งเดือนเพื่อแก้คำสาปที่น่ากลัวนี้

ดังนั้น เมื่อวานนี้เองที่ท่านพ่อของเขาบอกปฏิเสธราชทูตจากฮานึลเรื่องยืมตัวเขาไปเป็นตุ๊กตาไล่คำสาป เหตุผลที่ท่านพ่อทำเช่นนั้นก็ง่ายแสนง่าย ใครกันจะยอมปล่อยให้บุตรชายคนโตไปอยู่ในกำมือของศัตรูนานเป็นเดือน และอีกเหตุผลที่เขาตัดสินเอาเอง คือการที่เขาไปแคว้นฮานึลแล้วไฟป่าจะมอดดับมันเป็นเรื่องไร้สาระเกินกว่าจะรับได้ มันก็แค่นิทานที่บอกต่อกันเท่านั้น แค่เรื่องหลอกเด็กเท่านั้นแหละ

“ไม่มีทาง ลูกไม่เห็นว่าการที่ลูกรับตำแหน่งวังชอนซาจะปลอดภัยตรงไหน ลูกว่ายิ่งน่ากลัวเสียมากกว่า ต้องอยู่ในหุบเขา แถมยังไม่มีเวรยามของทหารหลวงอีกต่างหาก”

“อย่าลืมสิซอนอิน ชนเผ่าของเราไม่ใช่แค่คนธรรมดา ศาสตราวุธหรือจะสู้คาถาอาคมของท่านลุงท่านทวดของลูกได้ ลูกก็เห็นอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ว่าชนเผ่าของเราอาศัยอยู่ในหุบเขาชายแดนของเชินอันทางทิศบูรพาซึ่งบริเวณใกล้เคียงนั้นเกิดสงครามอยู่บ่อยครั้ง แต่คนในชนเผ่ากลับไม่ได้รับบาดเจ็บหรือผลกระทบอันใดเลย”

ราชินีซองอึนลุกยืนขึ้นแล้วเดินเข้าใกล้ลูกชาย มือหนึ่งสางเส้นผมสีดำเงาที่ยาวละอยู่ข้างเอวคอด อีกมือนั้นลูบไล้ใบหน้าเนียนนุ่มแผ่วเบา

“เชื่อแม่เถอะนะ อย่าให้แม่ต้องเป็นห่วงลูกมากไปกว่านี้เลย พรุ่งนี้หลังจากเสร็จพิธี ท่านราชครูยองจูจะคอยติดตามอยู่ดูแลลูกตลอดเวลานับจากนี้”

ใบหน้าเรียวสวยเกินกว่าจะเป็นบุรุษเพศเศร้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัด

“ท่านแม่ขี้โกง ที่ผ่านมาลูกอุตส่าห์ยอมเป็นวังชอนซาให้แก่ชนเผ่าเพราะเห็นว่าท่านแม่ขอร้อง ท่านแม่ก็รู้ว่าลูกไม่ชอบสวดมนต์ ไม่ชอบอยู่ในระเบียบ แค่ต้องไปที่หุบเขาชินซองเดือนละครั้งเพื่อสวดอ้อนวอนเทพเจ้าลูกก็อึดอัดจะแย่อยู่แล้ว แล้วนี่ท่านแม่กลับบอกให้ลูกรับตำแหน่งวังชอนซาจริงๆ แล้วยังคิดส่งลูกไปอยู่ที่นั่นอีก...”

น้ำเสียงในตอนท้ายสั่นไหว ก่อนที่หยดน้ำใสจะไหลกลิ้งลงมาจากดวงตาสุกสกาว

ซองอึนเกลี่ยหยาดน้ำตาให้ลูกชายพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“แม่รักลูกมากนะซอนอิน” เธอโอบกอดลูกชายแนบแน่น สายตาเรียวคมดุจนางพญาประสานเข้ากับแววตาคมของราชครูหนุ่ม เมื่อฝ่ายนั้นพยักหน้ารับถึงความหมายจากสายตาของเธอ มือเรียวก็คลายอ้อมกอดจากบุตรชายคนโต

“แม่ต้องรีบไปเตรียมงานพิธีแล้ว คืนนี้ลูกอย่านอนดึกนักล่ะ” ก่อนจะก้าวออกจากตำหนัก ราชินีซองอึนหันไปเอ่ยกล่าวกับร่างสูงในชุดพื้นบ้านของชนเผ่าชินซอง “ข้าฝากดูแลลูกชายด้วยนะท่านราชครู”

ซอนอินมองตามแผ่นหลังของผู้เป็นมารดาออกไปจากห้อง พลันสายตาก็เห็นน้องชายตัวเล็กที่ยืนเกาะแขนแม่นมผู้ดูแลอยู่ที่ด้านหน้าตำหนัก เด็กคนนั้นรีบวิ่งเข้าหาเมื่อเห็นเสด็จแม่

ภาพหญิงสาวที่กำลังก้มลงโอบอุ้มลูกชายวัยหกขวบเศษแล้วกอดจูบระบายยิ้มกว้างนั้นทำให้คนที่ยืนมองอยู่รู้สึกเจ็บแปลบในอก

“นี่ ท่านราชครู ถ้าหากว่าข้าไปอยู่ที่ชินซองแล้ว ท่านแม่จะลืมข้าหรือเปล่า” น้ำเสียงหวานฟังแผ่วเบาจนคล้ายว่าจะกลืนหายไปกับสายลม แก้วตาสวยก็คล้ายว่าจะไร้แววสะท้อนภาพสิ่งใด

หากแต่ชายหนุ่มร่างสูงนั้นกลับได้ยินชัดเจน และยังรับรู้ได้ว่าลูกศิษย์ของตนกำลังรู้สึกอย่างไร
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

“ทำไมล่ะ? ก็ข้าอยากเล่น” เด็กตัวน้อยวัยเพียงสี่ขวบเศษทำหน้าย่นยู่อย่างไม่พอใจเมื่อโดนเหล่านางกำนัลร้องห้ามเมื่อเขาอยากออกไปเล่นกับเด็กคนอื่นๆ นอกตำหนัก

“ไม่ได้เพคะองค์ชาย อีกเพียงหนึ่งชั่วยามองค์ชายก็จะเข้ารับตำแหน่งวังชอนซาแล้ว ดังนั้นจะปล่อยตัวไปยุ่งกับใครอื่นไม่ได้นะเพคะ” นางกำนัลคนหนึ่งพยายามร้องห้าม เธอไม่กล้าแตะเนื้อต้องตัวบุตรชายของแคว้นเชินอันมากนัก ด้วยเพราะกลัวโทษอาญา

“แต่ข้าจะเล่น! ทำไมพวกเจ้าต้องห้ามด้วย! ถ้าพวกเจ้าห้ามอีก ข้าจะไปฟ้องท่านแม่!”

ในขณะที่เหล่านางกำนัลมีสีหน้าลำบากใจนั้น ขบวนเสด็จของราชินีซองอึนก็เดินทางมายังตำหนักของบุตรชาย

“คิมซอนอิน” ราชินีที่เอ่ยกล่าวเสียงดังนั้นไม่ได้ฟังกระดากหูแต่อย่างใด หากแต่สุรเสียงนั้นกลับทำให้ทุกคนต่างอยู่ในความเงียบทันที

“ท่านแม่” เด็กชายตัวน้อยรีบวิ่งเข้าไปเกาะชายเสื้อคลุมเนื้อดีของสตรีที่มีความงามที่สุดในแผ่นดิน

“ทำไมเสื้อผ้ามอมแมมอย่างนี้ พวกเจ้ามัวทำอะไรกันอยู่ หากฝ่าบาทเห็นว่ายังเตรียมตัวไม่เสร็จจะทรงกริ้วแค่ไหนพวกเจ้าไม่รู้หรืออย่างไร”

ระดับสายตาของราชินีนั้นกวาดมองไปยังเหล่านางกำนัลอย่างตำหนิ ทำเอาคนต้นเหตุที่ไม่ถูกกับการเห็นใครถูกต่อว่าอดไม่ได้ที่จะกระตุกชายเสื้อผู้เป็นแม่แล้วเอ่ยเสียงเบา

“ท่านแม่อย่าว่าพวกนางเลย ข้าผิดเอง...เมื่อครู่ข้าออกไปเล่นกับจุนนัน ตันทง แล้วก็ซันโป”

มือเล็กกลมป้อมกำชายเสื้อเนื้อแพรเสียแน่น ศีรษะเล็กก้มลงไม่กล้าสบตา

ราชินีซองอึนถอนหายใจเบา แล้วย่อตัวลงโอบประคองวงหน้าเล็ก

“แม่บอกเจ้าแล้วใช่ไหมว่าต่อจากนี้เจ้าจะต้องระมัดระวังตัว หลังจากที่เจ้าได้เป็นวังชอนซา การพบปะพูดคุยกับใครนั้นต้องเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นจริงๆ ถึงจะเข้าหาได้ นับแต่นี้ เจ้าจะต้องทำตัวให้คุณเคยกับการอยู่คนเดียว”

“ทำไมลูกต้องอยู่คนเดียว? ลูกไม่ได้ต้องการจะเป็นวังชอนซาอะไรนั่นเสียหน่อย”

“พวกเจ้าออกไปก่อน ข้าอยากพูดคุยกับองค์ชายเพียงลำพัง”

เมื่อบานประตูปิดลง ซองอึนก็พาเด็กชายผู้มีใบหน้าสิริโฉมยิ่งกว่าเด็กผู้หญิงคนใดเข้าไปนั่งที่โต๊ะเล็กกลางห้อง

“ฟังแม่นะซอนอิน ตอนนี้ชนเผาชินซองขาดวังชอนซามาเกือบห้าปีแล้วหลังจากที่แม่แต่งงานกับเสด็จพ่อของลูก ผู้คนมากมายไร้ที่พึ่งทางจิตใจมานานเกินไปแล้ว ท่านทวดของลูกจึงคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ลูกจะต้องเข้ารับตำแหน่งนี้”

“แต่ลูกไม่อยาก...”

“แม่ก็ไม่อยาก” ใบหน้าสวยของหญิงสาวหมองลงเพียงชั่วครู่ ก่อนจะตีสีหน้าอบอุ่นมองตอบเด็กชายเช่นเดิม “ซอนอิน ฟังแม่ให้ดีนะ พิธีนี้จะเป็นการจัดขึ้นแค่ในนาม ลูกจะเป็นวังชอนซาแค่เพียงชื่อ หน้าที่ของลูกคือการไปที่เผาชอนซาเพื่อทำพิธีสวดเดือนละครั้งเท่านั้น หากแต่ต่อจากนี้ลูกต้องย้ายไปอยู่ตำหนักฝั่งตะวันออก และจะถูกจำกัดบริเวณ ทั้งยังมีผู้ดูแลเพียงคนเดียวคือคุณชายยองจู บุตรชายของท่านราชครูปาร์ค”

“ลูกต้องอยู่คนเดียวอย่างนั้นเหรอ? ไม่เอานะ! ลูกไม่ต้องการ!!” เด็กชายรีบซุกกายกอดมารดาแนบแน่นพร้อมทั้งส่ายศีรษะปฏิเสธเสียงแข็ง

“เพื่อที่จะต้องแลกกับการที่ลูกไปอยู่ที่หุบเขาชินซอง ก็มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น ถึงแม้ลูกจะออกไปไหนไม่ได้ แต่ก็ยังอยู่ใกล้ๆ แม่ และแม่เองก็ยังได้มีโอกาสไปหาลูกด้วย เชื่อฟังแม่เถอะนะซอนอิน”

แม้ว่าอยากปฏิเสธใจแทบขาด แต่เด็กน้อยกลับเลือกที่จะพยักหน้ารับเมื่อเห็นว่ามารดาของตนกำลังร้องไห้อย่างไม่มีทางเลือกอื่นที่จะมีให้กับตนได้ดีไปกว่านี้

วงแขนเล็กกอดพระมารดาแล้วซุกใบหน้าเข้าแนบ “ลูกจะเป็นวังชอนซาให้ท่านแม่ก็ได้...”

การเป็นวังชอนซาไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่ซอนอินคิด เพียงแค่สามสี่เดือนเขาก็เริ่มชินกับการอยู่คนเดียว แม้ไม่ได้ออกไปเล่นกับเด็กคนอื่น แต่ก็ยังมีคุณชายยองจูที่อายุห่างกันเจ็ดปีคอยสอนเรื่องต่างๆ ให้อยู่ตลอด และท่านแม่ก็มั่นมาเยี่ยมอยู่บ่อยครั้ง

หากแต่นานวันเข้า ซอนอินก็รู้สึกได้ว่าท่านแม่เว้นระยะห่างในการมาพบเขามากขึ้น จากสามวันเป็นห้าวัน และจากห้าวันก็กลายเป็นสิบวัน

และเมื่อซอนอินอายุสิบสอง เขาก็ได้รู้ข่าวว่าท่านแม่กำลังตั้งครรภ์ จากที่เคยมาเยี่ยมนานวันครั้ง ก็ยิ่งเว้นระยะมากขึ้น จนกลายเป็นเดือนละครั้ง และบางเดือนเขาก็พบว่าไม่ได้เจอหน้าท่านแม่เลย
 
.
.
.
 

เสียงกุกกักคล้ายเสียงปลดกลอนประตูทำให้ร่างบางบนเตียงสะดุ้งตื่นขึ้น แผงขนตาดำยาวกระพริบถี่เพื่อขับไล่อาการง่วงงุน ก่อนจะกดขมับอย่างต้องการขับไล่ความฝันเดิมๆ ที่ทำให้ปวดหัวออกไป มือบางถลกผ้าม่านข้างเตียงออกเพื่อมองหาที่มาของเสียง

“ท่านราชครู?”

เสียงที่ดังอยู่เมื่อครู่พลันเงียบลง ซอนอินขมวดคิ้วมองบางประตูตรงหน้าอย่างสงสัย ก่อนจะส่งเสียงเรียกบุคคลเพียงคนเดียวที่อยู่ตำหนักแห่งนี้อีกครั้ง

“ท่านราชครูมีอะไรหรือเปล่า? นี่มันดึกแล้วนะ พรุ่งนี้ข้าต้องเข้าพิธี...!!”
 

โครม!
 

บานประตูไม้ถูกกระแทกเข้ามาในคราวเดียว ที่ด้านหน้าทางเข้านั้นมีชายชุดดำปิดหน้ามิดชิดอยู่สามคน และหนึ่งในนั้นก็กำลังก้าวเข้ามาหาเจ้าของตำหนัก

“พวกเจ้าเป็นใคร! เข้ามาในนี้ได้ยังไง อ่ะ! หยุดนะ เจ้าจะทำ อุบ!...”

ซอนอินดิ้นขลุกขลักภายใต้วงแขนกว้างใหญ่ ริมฝีปากบางถูกข้อนิ้วหนาสอดเข้าให้เผยอออกก่อนจะถูกยัดก้อนผ้าชิ้นเล็กที่ถูกดึงกระชากจากม่านข้างเตียงเพื่อปิดกั้นเสียงร้อง และเพียงแค่ชั่วพริบตา ทั้งข้อมือและข้อเท้าก็ถูกผืนผ้าเดียวกันนั้นผูกมัดจนไร้อิสระ

“ท่านแม่ทัพ เรารีบไปกันเถอะขอรับ ข้าเกรงว่าราชครูนั่นจะรู้กลลวงของเราแล้ว”

คนถูกเรียกว่าแม่ทัพหันไปพยักหน้ารับ ก่อนจะหันกลับมามองร่างบางที่ไร้ทางสู้ในวงแขน ซอนอินจ้องมองดวงตาคมที่โผล่พ้นจากผ้าคลุมหน้านั้นอย่างหวาดกลัว เห็นแค่เพียงสายตา ก็รู้ได้เลยว่าคนคนนี้น่ากลัวมากเพียงไร

“ตัวสั่นเชียว นี่น่ะหรือวังชอนซาที่ชาวบ้านเคารพนับถือกันนัก หึ! มาดูกันซิว่าเจ้าจะทำอะไรได้บ้าง”

แม้แต่น้ำเสียงก็ยังทุ้มต่ำแสดงถึงอำนาจและความแข็งแกร่ง

วังชอนซาที่ยังไม่ได้ดื่มน้ำศักดิ์สิทธ์เพื่อเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการมองการเคลื่อนไหวของชายแปลกหน้าทั้งสามด้วยความกังวลจับใจ

...นี่หรือว่าเขากำลังจะโดนลักพาตัวกันนะ?...

ซอนอินมองซ้ายทีขวาทีเพื่อหาหนทางหลบหนี หรืออะไรก็ตามที่จะทำให้เขารอด แต่ดูเหมือนจะไม่มีทางใดเลย มือและเท้าก็ถูกมัด ปากก็ถูกปิด และในฉับพลันที่หันกลับไปมองชายชุดดำตรงหน้า แรงกระแทกที่ท้ายทอยก็ทำให้ซอนอินตาพร่าก่อนที่ร่างทั้งร่างจะทรุดฮวบ

...ไม่นะ มันต้องไม่ใช่อย่างนี้สิ! นี่ข้ายังไม่ได้จะเริ่มทำอะไรเลยนะ! ซอนอินโวยวายในใจก่อนจะหมดสติไปพร้อมกับแววตาคมกร้าวที่จ้องมองลงมา

ชายหนุ่มชุดดำสอดมือเข้าช้อนร่างที่สลบอยู่แนบอกขึ้นอุ้ม เรียวคิ้วเข้มภายใต้ผ้าคลุมเลิกขึ้นอย่างนึกแปลกใจเมื่อพบว่าร่างในวงแขนนี้เบากว่าที่คิดไว้มากนัก และยังนุ่มนิ่มเกินกว่าจะเป็นผิวกายของผู้ชาย หรืออาจจะนุ่มเกินกว่าผิวของสตรีที่เขาเคยสัมผัสมาด้วยซ้ำ

“ท่านแม่ทัพชอง เร็วเข้าเถิด เราช้ากว่ากำหนดแล้วนะขอรับ”

“ข้ารู้แล้ว”

ชายหนุ่มละสายตาจากใบหน้าเชลยคนสำคัญ แล้วรีบพาร่างไร้สตินั้นออกจากอาณาเขตของวังหลวงไปพร้อมกับทหารคนสนิททั้งสองคนด้วยความเงียบงันของยามราตีที่มืดมิด
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-

จบตอน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-08-2016 11:03:32 โดย KimYoonBe »

ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
บทที่ 1



“อิงอิง...”

“อิงอิง...”

ภายในวังหลวงกว้างใหญ่ ด้านหน้าของตำหนักขุนนางชั้นสูง บริเวณสวนหย่อมของดอกไม้นานาพรรณ เสียงร้องแว่วหวานจากบุรุษหนุ่มรูปร่างเล็กบางดังสะท้อนก้องไปทั่วทั้งบริเวณ

“เจ้าอยู่ที่ไหนอิงอิง...” เจ้าของเสียงถลกจับชายเสื้อคลุมที่ยาวรุ่มร่ามก่อนจะก้มศีรษะลงใต้รูปปั้นหินจำลองเพื่อมองหาเจ้าสัตว์เลี้ยงจอมซนที่บังอาจหนีเที่ยวนานเกินเวลา ปอยผมสีดำพลิ้วไหวคลอเคลียต้นคอเพรียวระหงยามที่ร่างเล็กขยับก้าวเดิน

“อย่าเข้าไปใกล้สระมากนักสิคะคุณชายฮีอู”

นางกำนัลสาวอายุราวยี่สิบปีเอ่ยเตือนด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นว่าคุณชายของเธอชะโงกกายไปใกล้สระบัวด้วยท่วงท่าน่าหวาดเสียวว่าจะตกลงไป เธอรีบลัดเลาะเหล่าพุ่มไม้และก้อนหินเข้าไปใกล้นายของเธอ

“อ่ะ นั่นไงคะคุณชาย อิงอิงอยู่ตรงนั้น!!”

“อ๊า~  นันโซ เจ้าไปดักตรงนั้นไว้!”

ร่างเล็กบางขยับก้าวย่างไปด้านหน้าด้วยความระมัดระวัง และพยายามเงียบเสียงอย่างที่สุด สองมือขาวนวลนุ่มยื่นไปข้างหน้า โดยมีนางกำนัลวัยกำดัดประคองมือโอบอยู่ฝั่งตรงข้าม ระยะขอบกำแพงจากคนสองคนที่โอบล้อมเข้ามานั้นทำให้สิ่งมีชีวิตสีขาวตัวเล็กกลมป้อมหมดหนทางหลบหนีอีกต่อไป

“เจ้าหมูอ้วนจอมเกเร! เราบอกตั้งหลายครั้งแล้วว่าห้ามออกมานอกตำหนัก ระวังเถิด เราจะจับเจ้าขังกรงสักสามวันเลย”

สุนัขจิ้งจอกขนฟูสีขาวสว่างขดตัวกลมอยู่บนฝ่ามืนนุ่มของบุรุษหนุ่มหน้าหวาน แก้วตากลมเม็ดเล็กส่องประกายสุกใสสบนัยน์ตาสีอ่อนของคนร่างเล็ก ปลายหางฟูฟ่องงอม้วนโอบรอบลำตัวจนแทบจะกลายเป็นก้อนหิมะขนาดใหญ่
 

หงิง~
 

“ไม่ต้องมาร้องเลย หากเราเอาเจ้าคืนองค์ชายใหญ่เมื่อไหร่ ไม่พ้นเจ้าได้กลายเป็นจิ้งจอกย่างรมควันแน่” เจ้าของเสียงหวานตีหน้าเข้มอย่างไม่สมกับความงดงามที่เป็นอยู่ เขาแยกเขี้ยวใส่เจ้าสิ่งมีชีวิตในอุ้งมือคล้ายการขู่ให้กลัว แต่ไหนเลยที่สุนัขจิ้งจอกตัวนี้จะกลัวเจ้านายที่แสนน่ารักกันเล่า

“คุณชายฮีอูรีบเข้าตำหนักเถิดค่ะ ผืนฟ้าแปรปรวนเช่นนี้ช่างน่ากลัวนัก”

ยังไม่ทันจะจบคำของนางกำนัลดี สายฟ้าสีเงินสว่างก็ฟาดเปรี้ยงลงมาดังสนั่นหวั่นไหว กลุ่มเมฆสีดำที่ก่อตัวมาได้เมื่อหนึ่งชั่วยามที่แล้วเริ่มแผ่ขยายทั่วผืนนภาของแคว้นฮานึล จนความมืดมิดปกคลุมลงมามืดครึ้มไปหมด แรงลมที่นิ่งสงบเริ่มมีเค้าว่าอาจจะเกิดพายุลูกใหญ่ขึ้นมาได้อย่างฉับพลัน

ใบหน้าเรียวเล็กเงยขึ้นมองความแปรปรวนของสภาพอากาศที่เกิดขึ้น สองมือกอดสัตว์เลี้ยงไว้แน่นด้วยความกังวล อาการตัวสั่นทำท่าจะกระโดดหนีของอิงอิงที่เป็นอยู่นี้คือสัญชาตญาณของสัตว์ป่าเมื่อรู้ว่ารอบตัวกำลังมีภัย เมื่อเช้านี้เพียงแค่เขาเปิดประตูกรง อิงอิงก็วิ่งหนีออกมา กว่าจะหาเจอก็ใช้เวลาไปร่วมครึ่งค่อนวัน บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้อิงอิงกลัวก็เป็นได้

“นันโซ เจ้าคิดว่าองค์ชายใหญ่ทรงพาวังชอนซาแห่งแคว้นเชินอันมาได้หรือไม่?”

นี่ก็ล่วงเข้าครึ่งเดือนมาแล้วที่องค์ชายใหญ่ ชองจีรยง บุตรชายคนโตของกษัตริย์ฮานึล ผู้มีตำแหน่งทางกองทหารเป็นถึงแม่ทัพกองพลที่เจ็ด ซึ่งเป็นกองทัพหลวงพิเศษได้รับภารกิจให้เดินทางไปยังแคว้นเชินอันเพื่อดำเนินการขอยืมตัว วังชอนซา มายังฮานึลเป็นการชั่วคราว แต่จากที่ได้ยินมา ดูเหมือนว่าทางเชินอันจะไม่ยินยอมตามคำร้องขอนั้น และจากที่ฮีอูได้สอบถามคนส่งสารจากนายทหารเมื่อสามวันก่อน จึงได้รู้ว่าองค์ชายใหญ่คิดจะลักลอบจับตัววังชอนซามาอย่างไม่สนการเชื่อมสัมพันธไมตรีแม้แต่น้อย

จากที่แต่เดิมเชินอันและฮานึลมีสายสัมพันธ์ที่ระหองระแหงกันมาตลอด หากว่าองค์ชายใหญ่จับตัววังชอนซาซึ่งเป็นบุตรชายคนโตของแคว้นเชินอันมาได้จริงละก็ น่ากลัวว่า ศึกสงครามระหว่างสองแคว้นที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งได้เปิดศึกปะทะกันอีกครั้งเป็นแน่

ตามประวัติศาสตร์แล้ว เมื่อสิบเจ็ดปีก่อนเชินอันและฮานึลได้ยกทัพปะทะกันด้วยจำนวนคนและม้ารบเกินกว่าจะคาดคะเนได้ ในตอนนั้นทั่วทั้งแผ่นดินไม่ว่าจะแคว้นน้อยใหญ่หรือเมืองโดยรอบต่างก็เกรงอำนาจทั้งสองแคว้นนี้ไม่น้อย จึงมีการแลกเปลี่ยนคาดเดาผลลัพธ์กันไปต่างๆ นาๆ เป็นเพราะภูมิศาสตร์ที่ใช้สู้รบนั้นเป็นหุบเขาขนาดใหญ่คล้ายแอ่งกระทะ ไม่มีทางหนีบนพื้น มีแต่เพียงการเดินขึ้นเขาเท่านั้น เหล่าทหารที่เสียชีวิตระหว่างรบนอนเกลื่อนทับถมจนมองคล้ายแหล่งน้ำสีเลือดส่งกลิ่นคาวโชยไปทั่วทั้งหุบเขา ชาวบ้านจึงเรียกสงครามครั้งนั้นว่า ‘สงครามหุบเขามรณะ’

มีหลายคนที่ลงความเห็นว่าสงครามหุบเขามรณะเป็นสงครามที่จะทำให้การสู้รบตามชายแดนหมดไป เพราะการที่เชินอันและฮานึลยังไม่รู้ผลแพ้ชนะกันจริงๆ จังๆ นั้นทำให้ชาวบ้านถูกจำกัดขอบเขตให้อยู่แต่เพียงในเขตปกครองพื้นที่เท่านั้น จะทำอะไรก็เสี่ยงต่อการถูกจับ ความสงบไม่เคยอยู่ยาวนานก็เกิดการท้ารบอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้น หากว่ามีแคว้นที่ชนะเพียงหนึ่งเดียวที่จะสามารถเป็นผู้นำได้ ย่อมดีกว่าการแก่งแย้งไม่สิ้นสุดอยู่แล้ว

แต่นั่นก็เป็นเพียงการคาดเดาและการคาดหวังของชาวบ้านที่ดับสลาย กษัตริย์ของทั้งสองแคว้นได้ปะทะกันเองจนได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่ต่างกัน ไม่มีใครรู้ว่าสงครามหยุดลงได้อย่างไร ทหารทั้งสองฝ่ายหยุดการสู้รบกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ราวกับว่า เมื่อแสงอรุณรุ่งในเช้าวันใหม่ส่องประกายพ้นขอบฟ้า ความโกลาหลที่มีในยามราตรีก็ถูกอาบลบล้างหายไปเสียสิ้น หลงเหลือไว้แต่ความเงียบเหงาและน่าเศร้าสลดของร่างไร้วิญญาณนับหมื่นนับแสน

ตั้งแต่นั้น เชินอันและฮานึลก็เลี่ยงการสู้รบกันไปโดยไม่มีใครรู้ว่าเพราะเหตุใด ไม่มีการติดต่อถึงกัน ไม่มีการท้ารบเป็นกิจจะลักษณะ ต่างฝ่ายต่างหันไปบุกยึดดินแดนอื่น แต่ถึงอย่างนั้นก็มีบ้างที่เชินอันและฮานึลมีการปะทะกันเล็กๆ น้อยๆ ตามชายแดนต่างๆ ความสัมพันธ์ที่เรื่อยมาตลอดสิบเจ็ดปีกว่ามานี้คือเส้นบางๆ สองเส้นที่ขนานคู่กันเพียงเท่านั้น
 


“องค์ชายใหญ่ทรงคิดจะทำสิ่งใดแล้ว ย่อมสำเร็จแน่นอนอยู่แล้วค่ะ คุณชายฮีอูเองก็คิดเช่นนั้นมาตลอดนี่คะ?” นางกำนัลสาวเอ่ยตอบบุตรชายของขุนนาง คิมฮยอนจา ผู้เปรียบดังเป็นที่ปรึกษาคนสนิทของกษัตริย์ฮานึล ด้วยรอยยิ้มสดใส มือเรียวของนางจัดแจงปลดเสื้อผ้าตัวนอกให้ร่างเล็กอย่างเบามือเมื่อพากันเข้ามาอยู่ในตำหนักเรียบร้อยแล้ว

“จริงของเจ้า เราว่าที่ท้องฟ้าปรวนแปรไปเช่นนี้ต้องเป็นเพราะวังชอนซาแน่ๆ” ฮีอูวางลูกสนุขจิ้งจอกสีขาวลงบนตักแล้วลูบขนนุ่มตรงแผงคอแผ่วเบา ใบหน้ากลมหันมองไปยังบานหน้าต่างที่ปรากฏเมฆฝนครึ้มมาแต่ไกล

แปลก ตั้งแต่เกิดอัคนิรุทรเพลิงกัลป์ ไม่มีเลยสักวันที่ฝนทำท่าจะตกเสียให้ได้ขนาดนี้ ไม่ใช่เพียงฝนธรรมดา แต่เป็นพายุลูกใหญ่ที่น่ากลัวเลยก็ว่าได้ อาจจะจริงอย่างที่ทุกคนว่าไว้ วังชอนซา คือเทพแห่งหงส์เพลิงจากทิศบูรพาที่เป็นผู้กำหนดให้ไฟกัลป์ลุกโชนหรือมอดดับได้ เป็นดังตัวแทนของเทพเจ้าทงซก

ฮีอูปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปกับความสงสัยและความสนใจในตัวขององค์วังชอนซาว่าบุคคลผู้นี้จะมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร แม้ไม่เคยมีคนนอกได้พบเห็นโฉมพักตร์ที่แท้จริง แต่จากคำล่ำลือที่ว่า คิมซอนอิน มีความงดงามไม่ต่างจากหญิงงามที่สุดในแผ่นดิน ราชินีแห่งแคว้นเชินอัน ก็น่าเชื่ออยู่ไม่น้อย

อ๊า~ ชักอยากเจอเร็วๆ แล้วสิ!

“เอาล่ะ เราตัดสินใจแล้ว”

“ตัดสินใจสิ่งใดคะคุณชาย?”

จู่ๆ คนร่างเล็กก็ลุกพรวดขึ้น เขาเดินดุ่มๆ ไปยังมุมห้องแล้วจับเจ้าตัวกลมสีขาวที่ผล็อยหลับไปแล้ววางลงนอนในกรงขนาดใหญ่ ใบหน้าขาวหันไปยิ้มกว้างให้กับสาวใช้คนสนิท

 “วันที่ขบวนทัพมาถึงเมื่อไหร่ เราจะไปรอรับองค์ชายใหญ่ที่หน้าประตูเมืองหลวง”
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

“ท่านแม่ทัพ เราควรหยุดพักกันก่อนดีหรือไม่ขอรับ”

เสียงตะโกนของทหารหนุ่มคนสนิทดังแทรกเสียงลมพายุที่พัดต้องรุนแรง เขาขยับบังเหียนให้กระชับมือมากขึ้นแล้วเตะสีข้างของม้าสีน้ำตาลแดงให้วิ่งไปด้านหน้าเร็วขึ้น จนไปยืนเทียบเคียงกับคนเป็นนายเพื่อรอรับคำสั่ง

ชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำยังไม่ให้คำตอบในทันที มือข้างหนึ่งของผู้เป็นแม่ทัพกองพลที่เจ็ดเหยียดยื่นออกไปลูบลงบนหลังคออาชาสีขาวพิสุทธิ์เชื่องช้า นัยน์ตาคมจ้องเขม็งไปยังผืนฟ้าเบื้องหน้าอย่างใช้ความคิด

แรงลมของพายุพวกนี้มันเกิดขึ้นอย่างฉับพลันทันทีที่พวกเขาเดินทางมายังเขตของแคว้นฮานึล สิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นต่อสายตาคมคู่นี้ทำให้ชองจีรยง ชายหนุ่มผู้ไม่เชื่อเรื่องเพ้อพกอันใดถึงกับสะดุดความคิดที่เคยยึดถือไว้แต่เดิม

จะว่าเป็นเพราะความบังเอิญก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่เพราะมันเป็นส่วนน้อยเหลือเกินที่จะเชื่อว่ามันบังเอิญเสียขนาดนี้ แต่จะให้เชื่อว่าเป็นเพราะผู้ชายตัวเล็กๆ ที่นอนสลบอยู่ในอ้อมอกนี้หรือ แม่ทัพหนุ่มก็ไม่อาจทำใจเชื่อได้เช่นกัน

ดวงตาคมสีเข้มดุจรัตติกาลไร้แสงดาวทอดลงมองใบหน้าขาวนวลที่นอนแนบซบอยู่กับแผงอกของตน

ตลอดการเดินทางไม่ว่าใครก็เอาเด็กหนุ่มผู้นี้ไว้ไม่อยู่ คลาดสายตาเพียงแวบเดียวก็ก่อเรื่องหาทางหลบหนีด้วยวิชางูๆ ปลาๆ แต่ก็ทำเอาลำบากไม่น้อยเพื่อจับกลับมา ครั้นจะใช้เชือกหรือผ้ามัดแขนไว้ก็ทำได้ไม่นานเมื่อเจ้าตัวโวยวายจะทำธุระส่วนตัวบ้าง เหมื่อยบ้าง แล้วแต่จะสรรหามาอ้อนเจ้าทหารปลายแถวพวกนั้นให้ได้ใจอ่อนแล้วก็เกิดเรื่องไปตลอดทาง สุดท้ายด้วยความรำคาญของแม่ทัพหรือจะเพราะอะไรก็ตามแต่ เหล่าทหารทั้งขบวรเป็นต้องมึนงงเมื่อพบว่าม้ารบชั้นหนึ่งที่แม่ทัพไม่เคยอนุญาตให้ใครขึ้นขี่ ‘อันนุน’ อาชาสีขาวสง่านอกไปจากคุณชายฮีอูแล้ว วังชอนซาผู้นี้นั้นเป็นคนที่สองที่พวกเขาได้เห็นว่าท่านแม่ทัพชองยอมให้นั่งซ้อนก็คราวนี้เอง

แต่ก็อีกนั่นแหละ ไม่ว่าจะใครที่คุมตัวเด็กหนุ่มวัยสิบหกเศษคนนี้ไว้ ก็ไม่เว้นโดนแผลงฤทธิ์ใส่จนได้ ในตอนหัวค่ำของเมื่อวาน ยาที่ให้ร่างบางดื่มนั้นได้หมดฤทธิ์ลง พอเจ้าตัวลืมตาสุกใสขึ้นแล้วพบว่าถูกจับนั่งซ้อนอยู่บนหลังม้าสีขาวโดยมีคนที่คุมตนเป็นชายหนุ่มคนใหม่ก็ไม่รีรอที่จะก่อปัญหา แต่คราวนี้คนหน้าสวยคงคิดผิดที่ไปหาเรื่องให้ชายผู้นั้นหงุดหงิด เพราะนอกจากจะไม่หลงกลหลอกล่อแล้ว ยังถูกเอ็ดเสียงดังพร้อมกับถูกจับโยนลงพื้นแล้วมัดข้อมือให้ออกวิ่งตามฝีเท้าม้า ที่แค่เดิน ก็ยังถือว่าเร็วสำหรับคนที่เดินเท้า

ระหว่างที่ทำหน้ายุ่ง เม้มริมฝีปากบางสีชมพูจนขึ้นสีจัดด้วยความไม่ยอมแพ้แม้จะเดินมาไกลหลายกิโลเมตรแล้วก็ตาม ซอนอินก็ยังไม่ลดละที่จะจ้องมองเสี้ยวหน้าคมของคนบนหลังม้าสีขาวด้วยสายตามาดร้าย ทั้งยังสาปแช่งในใจไม่หยุด จวบจนกระทั่งผ่านธารน้ำตื้นๆ ในชั่วยามต่อมานั่นแหละ คนที่ใจแข็งปากแข็งทั้งที่สภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวยก็ล้มขลุกลงกับผืนหญ้า ถูกลากไปอีกเล็กน้อยคนร่างสูงก็กระโดดลงมายืนตรงหน้า

“หากเจ้ายังดื้ออีก คราวนี้ข้าฆ่าเจ้าแน่”

ในตอนนั้นเองที่ซอนอินเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเคยเห็นดวงตาคมคู่นี้ที่ไหน

เจ้าคนบ้านี่คือคนที่ทุบท้ายทอยจนเขาสลบแล้วก็จับตัวเขาออกมาจากวัง!

ด้วยความที่คิดได้ว่าผู้ชายตรงหน้าคงไม่ใช่พวกทหารทั่วไปอย่างที่เจอมา ซอนอินจึงไม่คิดจะต่อปากต่อคำอีก ซ้ำตอนนี้ร่างกายก็ปวดระบมไปหมดด้วย ไหนเลยจะมีแก่ใจมาต่อความให้ยาวยืดกินเวลาพักให้สูญเปล่า ริมฝีปากบางเม้มเป็นเส้นตรงด้วยความเคยชิน ก่อนจะลุกขึ้นยืนทั้งที่ขาแทบจะทรงตัวไม่ได้ ก้มลงปัดเศษฝุ่นเศษหญ้าแล้วก็ต้องยืนเซไปเซมา กว่าจะนึกได้ว่าไม่ได้ทานข้าวมากี่วันแล้วก็ตอนที่เป็นลมหน้ามืดลงกับร่างตรงหน้านี้นั่นเอง

...เอาเถอะ อย่างไรเสียเขาก็เป็นลูกไก่ในกำมืออยู่แล้วนี่ เรื่องหนีค่อยคิดใหม่ก็แล้วกัน ซอนอินบ่นงึมงำในใจขณะที่รู้สึกว่าร่างกายถูกอุ้มลอยขึ้นจากพื้น ก่อนจะปล่อยให้หัวสมองค่อยๆ หยุดทำงานด้วยความอ่อนล้า
 

“ไปอีกหน่อย ถึงหมู่บ้านข้างหน้าแล้วค่อยพัก” จีรยงละสายตาจากใบหน้าเนียนขาวของร่างผอมบางในอ้อมแขน ตั้งแต่เมื่อวานที่สลบไป ไม่รู้ว่าเป็นอะไรหรือเปล่า จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ฟื้นเสียที

หลังจากที่หาที่พักได้ทันก่อนที่พายุจะอาละวาด เหล่าทหารก็ได้เข้าพักผ่อนตามห้องต่างๆ ในโรงเตี๊ยมเรียบร้อยแล้ว มีเพียงบางส่วนที่รับหน้าทีเฝ้ายาม ส่วนเชลยคนสำคัญได้ถูกพาไปนอนในห้องที่มีทหารฝีมือดีจับตามองอยู่ถึงสี่คน

กลางดึก เสียงเคาะประตูห้องที่ท่านแม่ทัพชองพักอยู่ก็ดังขึ้น

“มีเรื่องอะไร?”

นายทหารหนุ่มก้าวเข้าไปหาร่างสูงที่ยังไม่มีเค้าความง่วงงุนให้เห็นแม้แต่น้อย “วังชอนซานะขอรับ” เมื่อเล่าอาการละเมอเพ้อจนตัวรุมร้อนน่ากลัวว่าอาจเป็นไข้ของเชลยให้กับผู้เป็นนายฟัง เขาก็ถูกสั่งให้ไปเตรียมน้ำอุ่นและไปตาม จากึน แพทย์หลวงที่เดินทางร่วมขบวรมาด้วยให้ตามไปที่ห้อง

สัมผัสแรกที่จีรยงรู้สึกเมื่อทาบหลังมือลงบนหน้าผากที่ชื้นเหงื่อคือความร้อนราวกับเตาที่มีไฟลุกโชน เม็ดเหงื่อผุดขึ้นทั่วทั้งดวงหน้าซีดขาวจนชื้นไปหมด เส้นผมสีดำยาวแผ่กระจ่ายไปทั่วหมอนหนุนเมื่อเรือนร่างบอบบางบิดกายคล้ายกำลังต่อสู้กับอะไรบางอย่าง จีรยงไล้ปลายนิ้วลงตรงกลางหว่างคิ้วเส้นบางที่ขมวดมุ่น ไม่รู้ว่าเจ้าตัวฝันร้ายอะไรถึงได้แสดงสีหน้าทรมานขนาดนี้

ดวงตาคมทอดมองใบหน้าราวอิสตรีแล้วให้ไพล่นึกไปถึงใครอีกคนที่แม้เป็นชาย แต่กลับมีใบหน้าหวานสวยราวกับหญิงสาว เขาละสายตาจากความงามเบื้องหน้าแล้วมองท้องฟ้าที่เกิดพายุหมุนคว้างกลางอากาศมาหลายชั่วยามแล้ว แต่กลับยังไม่มีเม็ดฝนสักเม็ด

ในขณะที่ยังจ้องมองออกไปยังช่องว่างของกรอบบานหน้าต่างนั้น ปลายนิ้วที่เกลี่ยเส้นผมนุ่มของคนบนเตียงก็พลันรู้สึกถึงหยาดน้ำอุ่นที่ไหลลงตามไรผมสีเข้ม

ร้องไห้งั้นหรือ?

“ท่านแม่...”

เสียงหวานแหบพร่าที่เอ่ยออกมาจากริมฝีปากบางแห้งเรียกให้เรียวคิ้วเข้มเลิกขึ้นอย่างสนใจ ความอ่อนแอที่แสดงออกมาจากสีหน้าทำให้จีรยงนึกขัดอยู่ในใจ ใบหน้าที่สดใสของเจ้าตัวยามตื่นนั้นไม่มีเค้าความน่าสงสารให้เห็นแม้แต่น้อย คนที่หาเรื่องหลอกล่อตบตา สารพัดอย่างที่คิดจะหนีการถูกจับมาตลอดทางคนนั้นน่ะหรือจะเป็นคนที่อ่อนแอถึงขนาดร้องไห้แม้ในความฝันอย่างนี้?

จีรยงเพ่งพิศดวงหน้ายามหลับของคนบนเตียงอย่างต้องการค้นหาคำตอบ คนที่มีฐานะเช่นองค์ชายย่อมถูกเลี้ยงดูอย่างรักใคร่จนเป็นที่น่าอิจฉาไม่ใช่หรือไร อยากได้สิ่งใดก็มีคนจัดหาให้ถึงที่ แล้วยังจะมีเรื่องกระทบจิตใจอะไรกันเล่า? หรือจะเป็นเพราะเจ้าตัวมีตำแหน่งเป็นวังชอนซา ไม่สิ นั่นยิ่งทำให้ใครต่อใครเคารพนบนอบพร้อมจะให้ทุกอย่างเสียด้วยซ้ำ แล้วมันเพราะอะไรกัน

เพราะอะไรถึงได้แสดงสีหน้าเจ็บปวดขนาดนี้...แต่ก่อนที่จีรยงจะได้คิดไปไกลกว่านั้น เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น ตามมาด้วยจากึนและทหารช่วยอีกหนึ่งคนที่ยกกล่องยาเข้ามา การขัดจังหวะความคิดนี้เองที่ทำให้จีรยงถึงกับก่นด่าตัวเองในใจที่คิดเรื่องของเชลยทั้งที่ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอันใด

คิมซอนอินจะเป็นอย่างไร ไม่ใช่เรื่องที่ต้องคิดให้รกสมองเลยสักนิด

ถึงแม้ตั้งใจจะจับคิมซอนอินมาเพื่อหวังให้เป็นเชลยในการต่อรองทางการเมือง เพราะอย่างไรเสีย ชายหนุ่มก็ไม่อาจทนอยู่เฉยได้อย่างเสด็จพ่อที่ทนยอมให้มีแคว้นใหญ่ปกครองขยายอำนาจถึงสองแคว้นโดยไม่คิดจะสู้รบกันตรงๆ ทั้งที่ทั้งฮานึลและเชินอันไม่ได้อยู่ห่างกันไกลมากนักอย่างแคว้นใหญ่อื่นๆ แต่ถึงอย่างนั้น บุรุษหนุ่มผู้นี้ก็มีตำแหน่งเป็นถึงองค์ชายคนโตของกษัตริย์ ซ้ำยังเป็นองค์วังชอนซาที่ชาวบ้านเคารพนับถือ การดูแลแม้จะเป็นเพียงเชลยก็ต้องให้สมเกียรติ์

จีรยงปล่อยให้จากึน แพทย์หลวงส่วนตัวของตนคอยเฝ้าไข้ซอนอินอย่างใกล้ชิดตลอดทั้งคืน โดยตัวเขาได้พาทหารคนสนิทสองคนขึ้นม้าออกไปสำรวจสภาพอากาศบนเนินเขาสูงเพื่อมองดูไฟป่าที่เผาไหม้เทือกเขาสำคัญของฮานึลที่อยู่ห่างออกไปไกลหลายลี้ แม้เห็นเปลวไฟเป็นเพียงจุดเล็กๆ จากที่ตรงนี้ แต่ก็ทำให้คนทั้งสามรู้ว่าในความจริงแล้วไฟป่าพวกนั้นมันมากมายแค่ไหน

“จริงหรือขอรับท่านแม่ทัพ ที่ว่าทันทีที่น้ำตาของวังชอนซาไหลอาบแก้มลงมา ลมพายุก็บังเกิดห่าฝนขึ้นในฉับพลัน”

ยูกึมซอง เด็กหนุ่มวัยเพียงสิบห้าปีแต่กลับเป็นยอดฝีมือคนสนิทของแม่ทัพชองเอ่ยถามผู้เป็นนายอย่างตื่นเต้นท่ามกลางพายุฝนที่ยังตกกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย

ก่อนจะออกมาจากที่พัก ยูโทซอง พี่ชายฝาแฝดที่ได้เข้าไปในห้องของวังชอนซาพร้อมกับหมอจากึนนั้นได้เล่าให้ฟังถึงความอัศจรรย์ที่เกิดนี้ให้ผู้น้องฟัง แต่ดูเหมือนว่าคนเป็นน้องเพียงสองวินาทีคนนี้จะไม่เชื่อแม้แต่น้อย

แม่ทัพหนุ่มย่นคิ้วยามที่นึกย้อนกลับไป จริงอย่างที่โทซองบอกไม่ผิด ทันทีที่สัมผัสถึงน้ำตาของคิมซอนอิน เม็ดฝนก็ตกกระทบหลังคาตามมาติดๆ ก่อนจะเริ่มหนักขึ้นจนกลายเป็นพายุฝนที่เกิดอยู่นี้ แม้ตรงหมู่บ้านที่พวกเขาพักอยู่จะไม่รุนแรงนัก แต่นั่นก็ทำให้จีรยงนึกสงสัยจนต้องขี่ม้าฝ่าสายฝนออกมาดูให้เห็นกับตาว่าความร้ายกาจของพายุลูกนี้จะทำให้เพลิงกัลป์ร้ายกาจนั้นดับได้หรือไม่

และตอนนี้ เขาก็เห็นแล้วว่า ในที่ไกลสุดสายตาตรงนั้นคงไม่เพียงแค่มีพายุฝนธรรมดา แต่เป็นความร้ายกาจของเทพเจ้าบนฟ้าแน่ที่สร้างความปั่นป่วนของผืนนภาได้ขนาดนี้

ทั้งสายฟ้าสีเงินสว่างที่ฟาดผ่าลงมาจนคล้ายเม็ดฝนดาวตก หรือจะเป็นกลุ่มหมอกควันที่หมุนวนปกคลุมเทือกเขาจนมองไม่เห็นปลายยอด ทุกอย่างนี้มันเกินกว่าที่เจ้าของดวงตารัตติกาลคิดไว้ไปไกลลิบ

ใบหน้างามสง่าสมชื่อบุรุษนักรบแห่งมังกรฟ้าหันกลับมองข้ารับใช้คนสนิททั้งสอง นัยน์ตาคมปลายมองยูกึมซองแล้วพยักหน้าช้าๆ เป็นเชิงว่าจริงตามที่พี่ชายของเจ้าตัวว่าไว้ ก่อนจะหันไปสั่งเด็กหนุ่มอีกคนด้วยวาจาและสีหน้าเฉียบคม

“โทซอง พรุ่งนี้เจ้าออกเดินทางล่วงหน้าไปก่อน กราบทูลองค์กษัตริย์ว่าให้เตรียมสถานที่คุมขังวังชอนซาไว้ที่ส่วนในของวัง จัดหาตำหนักที่แบ่งแยกจากส่วนอื่นไว้ แล้วทูลบอกไปว่า ห้ามใครยุ่งเรื่องเชลยคนนี้นอกจากข้า ที่เหลือข้าจะไปกราบทูลเอง”

“รับทราบขอรับท่านแม่ทัพ”
 

สายเนตรคมเข้มประกายแววพอใจกับภาพเบื้องหน้าของภัยธรรมชาติที่เห็น นอกจากไฟจะดับมอดแล้ว ฮานึลยังได้ตัวบุตรชายของเชินอันมาเป็นเชลยคนสำคัญอีกด้วย และดูท่าว่า หงส์เพลิงตัวนี้จะมีค่ามากกว่าแค่ชื่อตำแหน่งของพวกชนเผ่านักบวชพวกนั้น

หึ หากว่าคิมซอนอินสำคัญและพิเศษถึงขนาดนี้ ดูท่า เชินอันคงสั่นคลอนไม่น้อยที่ถูกคู่อริอย่างฮานึลชิงตัวคนที่ถูกคุ้มกันแน่นหนาถึงขนาดนั้นมาได้ด้วยคนเพียงไม่กี่คน

จีรยงเหยียดยิ้มท่ามกลางสายฝนจากสรวงสวรรค์ เลือดในกายนักรบของชายหนุ่มวัยเพียงยี่สิบปีเศษปลุกกระตุ้นความต้องการที่อยากจะเป็นเพียงหนึ่งเดียวปกครองทั่วล้าในผืนแผ่นดินใหญ่นี้ให้สำเร็จโดยเร็ว
 


ในยามราตรีที่มืดมิดไร้แสงดาว เม็ดฝนห่าใหญ่ตกกระหน่ำทั่วทั้งผืนฟ้าแคว้นฮานึล สายฟ้าสีเงินสว่างส่องประกายไม่หยุดพัก คลื่นพายุลูกใหญ่หมุนคว้างคล้ายปีศาจใต้พิภพ หากแต่เพียงแค่ข้ามคืน เมื่อแสงอรุณรุ่งของวันใหม่ส่องประกายสีทองระยิบพ้นขอบฟ้าสีคราม ทุกสรรพสิ่งก็กลับคืนสู่ฮานึลเช่นเดิมอย่างที่เคยเป็นมา
 

...ยกเว้นแต่เพียง วิหคเพลิงตัวงามที่พลัดถิ่นเข้าสู่แดนดินแห่งใหม่


 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-

จบตอน

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-08-2016 11:27:11 โดย KimYoonBe »

ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
 
บทที่ 2


เนื่องจากหมู่บ้านนัมกีมีเส้นทางลัดที่ทอดยาวไปยังเมืองหลวงโดยตรง ทำให้ขบวนทัพหลวงที่เจ็ดใช้เวลาเดินทางจากที่พักแรมในคืนแรกเมื่อเข้าเขตแคว้นฮานึลเพียงสามวันก็ถึงตลาดกลางก่อนเข้าสู่ประตูเมืองหลวง

ตั้งแต่ที่ออกจากโรงเตี้ยมเมื่อคืนก่อนนั้นได้มีการเตรียมรถม้าให้กับเชลยต่างแดนเพื่อการเดินทางที่สะดวกและรวดเร็ว เพราะเส้นทางต่อจากนี้เริ่มมีชาวบ้านตามสองข้างทางเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งการที่ขบวนทัพเป็นจุดสนใจนั้นก็เป็นเหตุผลสำคัญที่ต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้วังชอนซาได้เปิดเผยตัว

...แน่นอน ไม่ใช่เพราะท่านแม่ทัพเห็นแก่ความสูงส่งในตัวเชลย หากแต่เพราะชาวบ้านรับรู้เพียงแค่การพาตัววังชอนซามาอย่างชอบธรรม ไม่ใช่การลักพาตัวมาอย่างที่เป็นอยู่นี้

ภายในเกี้ยวไม้ขนาดเพียงหกคนนั่ง ที่ด้านหนึ่งตรงข้ามกับม่านบังทางเข้า ร่างบอบบางนั่งกระสับกระส่ายไม่ติดที่ นัยน์ตาเรียวสวยเป็นประกายพราวสอดส่ายสายตาอย่างสุดความสามารถ เพื่อที่จะมองพ้นช่องม่านหน้าต่างที่กระพือเข้าออกเพียงน้อยนิดตามแรงลมให้ได้เห็นความเป็นไปที่ด้านนอกสักนิดก็ยังดี

ข้อมือขาวทั้งสองข้างที่ถูกไพล่มัดไว้ด้านหลังเริ่มมีรอยแดงช้ำเมื่อเจ้าตัวบิดไปมาโดยตลอดตั้งแต่ออกเดินทาง เขี้ยวฟันซี่เล็กขบกัดลงบนก้อนผ้าที่ถูกยัดปิดปากเสียแน่นอย่างต้องการหาที่ระบายความเจ็บและความหงุดหงิด

“เครื่องแก้วเจียระไนแคว้นเมืองเหนือชั้นดี เร่เข้ามาๆ”

“ผ้าขนสัตว์จากพวกคนผิวขาวแผ่นดินไกล ราคาเพียงสิบสองเหรียญเท่านั้น สามชิ้นสุดท้าย!”

เสียงร้องเร่ของพ่อค้าคนกลางดังลอดเข้ามาให้คนที่นั่งหน้ายุ่งอยู่ในเกี้ยวไม้ได้ยินไม่ขาดสาย ซอนอินกระทืบเท้าขัดใจที่ไม่อาจออกไปเดินดูข้าวของพวกนั้นได้

...ทั้งที่ได้ออกจากวังมาทั้งที แต่กลับต้องมาถูกจับมัดอยู่แบบนี้นี่มัน!!!!...

“อื้อๆๆๆ!!”

เจ้าของร่างบางแถตัวไปด้านข้างแล้วใช้ปลายเท้าที่ถูกมัดรวบเตะใส่ผนังไม้แล้วส่งเสียงอื้ออึงในลำคอเพื่อเรียกนายทหารที่ขี่ม้าขนาบข้างตัวรถอยู่ใกล้ๆ

แต่ไม่ว่าหงส์แสนงามจะพยายามเรียกร้องความสนใจอย่างไร ดูเหมือนว่าคำสั่งจากท่านแม่ทัพชองที่สั่งห้ามไม่ให้ผู้ใดพูดคุยกับเชลยคนสำคัญจะเป็นเรื่องคอขาดบาดตายที่ไม่ว่าอย่างไรก็ขัดไม่ได้

เจ้าคนบ้าอำนาจนั่น ไม่เห็นแก่ตำแหน่งองค์ชายของเขา ก็เห็นแก่คุณประโยชน์ที่บ้านเมืองกลับมาสงบสุขได้เพราะเขาไม่ได้หรือไงกัน!

ซอนอินไม่เคยคิดหรอกว่าตนเองจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ไฟป่ามอดดับได้ภายในค่ำคืนเดียว อันที่จริงเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไฟบ้านั่นมันดับไปเมื่อไหร่ จำได้แค่ตอนเช้าที่ตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองถูกจับมานั่งบนรถม้าที่กำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว ซ้ำสองข้างทางที่ตัดผ่านก็ได้ยินเสียงชาวบ้านร้องสรรเสริญวังชอนซาไม่ขาดไปตลอดเส้นทาง ถามไถ่เด็กหนุ่มที่เข้ามาคุมการทานข้าวของเขาถึงได้รู้ว่ามันเกิดปรากฏการณ์อะไรขึ้น

“วังชอนซา ทรงพิเศษจริงๆ นะขอรับ”

ได้ยินเด็กหนุ่มผู้นั้นพูด ซอนอินก็ปั้นหน้ารับคำได้ยากลำบากเสียจริง

พิเศษบ้าอะไรกัน เขาก็แค่องค์ชายอายุสิบเจ็ดปีคนหนึ่งเท่านั้นแหละ!

แต่ช่างเถอะ การที่มีคนเห็นความสำคัญในตัวเชลยต่างแดนอย่างนี้มันก็เป็นประโยชน์ไม่น้อย ซอนอินยังจำได้ว่าครั้งแรกที่ถูกเด็กหนุ่มนายทหารคนนี้จ้องมองนั้นไม่มีความเกรงกลัวต่อฐานะหรือตำแหน่งใดๆ ของเขาเลยแม้แต่น้อย ผิดจากในเวลานี้ที่มีประกายตาฉายแววชื่นชมเสียเหลือเกิน  “วังชอนซา ทรงหิวหรือยังขอรับ”

รู้สึกว่าล้อเกวียนหยุดลง ม่านทางเข้าถูกเลิกขึ้น ก่อนที่ร่างเพรียวบางของเด็กหนุ่มผิวขาวสว่างทั้งที่เป็นนายทหารออกศึกจะก้าวเข้ามานั่งที่ด้านใน

เมื่อเห็น ยูกึมซอง คนเพียงคนเดียวที่ซอนอินได้มีโอกาสพูดคุยด้วยตลอดการเดินทาง ใบหน้าเรียวสวยก็ฉายแววดีใจอย่างไม่ปิดบัง ทันทีที่ผ้าสีขาวที่ใช้ปิดปากถูกปลดออก เสียงหวานก็รีบเอ่ยทักคนตรงหน้า

“กึมซอง ทำไมเจ้ามาช้าอย่างนี้เล่า! ข้าเบื่อจะตายอยู่แล้ว!!”

และไม่ลืมที่จะอ้อนขอเสียงหวาน “ข้างนอกนั่นคือตลาดใช่ไหม? เจ้าช่วยให้ข้าออกไปได้หรือไม่?”

กึมซองมองประกายตาสดใสขององค์วังชอนซาด้วยความชื่นชม นอกจากรูปร่างหน้าตาที่สวยผิดบุรุษเพศแล้ว น้ำเสียงที่ใช้ หรือแม้จะเป็นบรรยากาศรอบกายของคนคนนี้ก็น่าดึงดูดสายตาไปเสียหมด อีกทั้งกิริยาคล้ายเด็กเล็กๆ อยากออกไปเที่ยวนี่อีกเล่าที่น่าดูไม่น้อย

แต่ถึงเด็กหนุ่มอยากจะช่วยตามคำร้องขอมากแค่ไหน ก็ทำไม่ได้หากท่านแม่ทัพไม่อนุญาตด้วยตัวเอง

“ขออภัยที่ข้าช่วยท่านไม่ได้ อีกเพียงไม่ถึงครึ่งวัน เราก็จะเข้าตัวเมืองหลวงแล้ว หากถึงที่นั่นเมื่อไหร่ ท่านแม่ทัพคงจะลดการคุมตัววังชอนซาแล้วล่ะขอรับ”

ซอนอินฮึดฮัดขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อได้ฟัง “ท่านแม่ทัพของเจ้าจะกลัวอะไรนักหนา มาถึงนี่แล้วยังคิดว่าข้าจะหนีไปไหนได้อีก บ้านเมืองรึก็ของพวกเจ้า ชาวบ้านก็ของพวกเจ้า ทหารพวกนี้ก็ของพวกเจ้า คิดหรือว่าข้าจะหนีพ้นสายตาท่านแม่ทัพของเจ้าได้”

และถึงแม้จะเข้าไปในเมืองหลวงแล้ว เจ้าคนบ้าอำนาจนั่นก็ไม่คิดจะปล่อยเขาลงจากรถนี่หรอก

งี่เง่าสิ้นดี!

เด็กหนุ่มไม่เอ่ยต่อประโยคของคนสวย เขาเพียงแต่ยิ้มบางพร้อมกับหันไปรับอาหารเที่ยงจากด้านนอกเข้ามาส่งต่อให้กับร่างบาง

กลิ่นหอมกรุ่นของไก่ย่างร้อนๆ ลอยแตะประสาทสัมผัสรับกลิ่นของคนภายในรถ อาการอยากอาหารเริ่มก่อตัวขึ้นจนแทบกลืนน้ำลาย แต่ซอนอินก็ไม่มีแก่ใจอยากจะทานสักเท่าไหร่เมื่อความหงุดหงิดนั้นมีมากกว่า

บ่อยครั้งที่ราชครูปาร์คยองจูเป็นต้องปวดหัวกับนิสัยอยากได้ต้องได้ของวังชอนซาคนงาม แต่ถึงแม้นิสัยเอาแต่ใจเล็กๆ นี้จะน่าปวดหัวสักเพียงไหน หากท่านราชครูลดหย่อนทำเป็นมองข้ามไปได้ก็จะทำ เพราะมันก็มีไม่มากนักหรอกที่นกในกรงทองอย่างองค์ชายซอนอินจะร้องขอ อิสระที่ถูกลิดรอน ยังจะมีเหลือสักกี่เรื่องกันล่ะที่จะทำได้

“ข้าไม่ทาน”

“แต่ท่านต้องทานนะขอรับ หมอจากึนกำชับนักว่าต้องให้วังชอนซาทานอาหารให้ถูกเวลา แล้วทานยาลดไข้”

“ข้าหายดีแล้ว”

“แต่...”

“บอกไม่ทานก็คือไม่ทานไม่เข้าใจหรือไง เจ้าออกไปเถอะ ข้าอยากอยู่คนเดียว” จบคำด้วยการเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ริมฝีปากบางเม้มแน่นเป็นเส้นตรง พลางคิดว่าป่านนี้ที่เชินอันจะเป็นอย่างไรบ้าง ราชครูยองจูจะออกตามตัวเขาหรือยัง เสด็จพ่อและเสด็จแม่จะวิตกกังวลแค่ไหนที่ลูกชายของตนถูกลักพาตัวมาเช่นนี้

ไม่หรอก คำว่า ‘ลูกชาย’ คงเป็นฐานะที่ถูกลืมไปแล้ว หากจะมีใครเป็นห่วงเขา ก็คงจะเป็นเพราะตำแหน่งวังชอนซาที่สูงส่งนี่เสียมากกว่า

ซอนอินแทบไม่มีความทรงจำอันใดที่คนเป็นลูกมีต่อบุพการีอย่างใครคนอื่น ช่วงชีวิตหลายปีมานี้เขาต้องอยู่เพียงลำพังในตำหนักใน พบเจอผู้คนในวันสวดมนต์ประจำชนเผ่ามากมายแต่ก็ไม่มีใครที่ตนรู้จักอย่างแท้จริง วันหนึ่งๆ เจอหน้าราชครูยองจูมากกว่าเจอหน้าบิดามารดาเสียอีก

นึกถึงเรื่องพวกนั้นแล้วก็ทำให้แผ่นอกบางกระเพื่อมช้าลงอย่างถอนหายใจนึกสมเพชตัวเอง นัยน์เรียวสวยหรี่ลงขณะเอนศีรษะพิงกับผนังไม้

เป็นวังชอนซา เป็นเชลย ไม่ว่าจะอย่างไหนมันก็ไม่ต่างกันเลย ทำไมชีวิตของเขามันถึงได้หดหู่อย่างนี่นะ

“กึมซอง” ซอนอินเอ่ยเรียกชื่อคนที่กำลังจะออกจากตัวรถ

“ขอรับ?”

แก้วตาสวยยังคงหลุบต่ำอยู่เช่นเดิมขณะเอื้อนเอ่ยเสียงเบา “หากว่าข้าไม่ใช่คนพิเศษอย่างที่พวกเจ้าคิด ข้าจะเป็นอย่างไรในฐานะเชลยของฮานึล?”

แน่นอนอยู่แล้วว่าเชลยย่อมถูกคุมขังในคุกหลวง แต่สำหรับวังชอนซา หรือ คิมซอนอินบุตรชายองค์โตแห่งเชินอันผู้นี้ย่อมมีฐานะที่สูงเกินกว่าจะถูกคุมขังในที่แบบนั้น แต่ท้ายที่สุดแล้วเรื่องการตัดสินก็ขึ้นอยู่กับท่านแม่ทัพชองเพียงผู้เดียว

“เรื่องนี้ มีเพียงท่านแม่ทัพชองเท่านั้นที่จะตอบท่านได้”
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 

 พระอาทิตย์ใกล้ตกดินแล้วกว่าที่ขบวนทัพจะเคลื่อนตัวผ่านเข้าประตูเมืองหลวงในที่สุด แม้ตลอดทางจะมีเสียงชาวบ้านคอยตะโกนสรรเสริญวังชอนซาที่ซ่อนตัวอยู่เพียงในรถม้ามาตลอดทาง แต่ก็ไม่ได้มีพิธีอะไรมากนักนอกจากคำขอบคุณจากชาวบ้าน เนื่องจากว่าในเขตพื้นที่ที่โดนไฟป่านั้นห่างไกลจากตัวเมืองหลวงไปทางตะวันออกหลายลี้ ส่วนใหญ่ผู้คนที่ประสบภัยจริงๆ คือชาวบ้านที่ทำไร่การเกษตรเรียบแถบภูเขา แต่นั่นก็ส่งผลกระทบให้กับชาวบ้านทั่วทั้งแคว้นเมื่อแหล่งผลิตไม่อาจส่งสินค้าสู่ตลาดได้
 

บนท้องถนนที่ทอดยาวจากประตูเมืองหลวง ชาวบ้านมากมายรวมถึงข้าราชการหลวงทั้งหลายต่างพร้อมใจกันหลบอยู่ข้างเส้นทางพร้อมทั้งน้อมศีรษะให้กับร่างสูงสง่าบนหลังอาชาสีหิมะที่นำขบวนทัพอยู่ด้านหน้าสุด

แรงเบียดเสียดของผู้คนที่ต่างก็ถอยกรูดหาที่ทางนั่งคุกเขาอวยพรสรรเสริญให้กับองค์วังชอนซาและองค์ชายชองจีรยงนั้นทำให้ร่างเล็กๆที่เพิ่งเดินมาถึงจุดต้อนรับขบวนทัพเกือบจะหงายเซไปด้านหลังด้วยแรงกระแทกจากคนข้างหน้า

“คุณชายระวังค่ะ!”

สาวใช้นันโซตะโกนก้อง เธอพยายามเบียดผู้คนเพื่อเข้าไปให้ถึงตัวของผู้เป็นนายอย่างยากลำบาก “คุณชายฮีอู รอก่อนสิคะ ระวังเดินหลงเข้าไปในฝูงชนนะคะ!” ประโยคสุดท้ายพอดีกับที่เธอหลุดออกมาจากกลุ่มคนที่ยืนขวางได้สำเร็จ แต่ปรากฏว่าเจ้านายของเธอกลับหายไปจากที่เดิมแล้ว

แย่ล่ะ!

นางกำนัลสาววัยกำดัดแสดงสีหน้ากังวลขึ้นมาทันที แล้วรีบหันซ้ายหันขวาออกตามหาคนตัวเล็ก

ห้ามก็แล้ว เตือนก็แล้ว แต่คุณชายของเธอก็ไม่คิดจะฟัง ยืนยันหนักแน่นว่าจะออกจากวังมารับองค์ชายใหญ่ด้วยตนเอง ทั้งที่ก็รู้อยู่ว่าถ้าเกิดองค์ชายใหญ่เห็นว่าคุณชายฮีอูออกมาอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายอย่างนี้จะทรงกริ้วแค่ไหน แล้วยังจะหายตัวไปแบบนี้อีก แย่แน่แล้วจางนันโซ! เธอแย่แน่ๆ!!
 

“โอ๊ะ~!”

ฮีอูหลุดเสียงหลงออกมาเมื่อพบว่าไหล่ด้านซ้ายถูกชนรุนแรงจนเสียหลักการทรงตัว เตรียมใจไว้แล้วว่าคงต้องหงายหลังล้มไม่เป็นท่าแน่ๆ กลับรู้สึกถึงวงแขนกว้างใหญ่ที่สอดเข้าใต้แผ่นหลังเสียก่อน แล้ววินาทีต่อมารอบเอวก็ถูกตวัดรัดเกี่ยวแน่นก่อนที่ร่างทั้งร่างจะลอยตามเจ้าของมือนั้นมาอยู่อีกฝั่งหนึ่งของมุมถนนที่ปลอดคน พอลืมตาขึ้นมอง ก็พบดวงตาเรียวคมดุจปลายกระบี่เงินจ้องตอบกลับมาจากด้านบน

อึก...

ไม่เคยรู้สึกหายใจไม่ออกอย่างนี้มาก่อน ฮีอูทำได้เพียงนิ่งค้างจ้องสบนัยน์ตาลึกล้ำนั้นอย่างทำอะไรไม่ถูก กระแสอุ่นในอกไหลวนลามไปทั่วสรรพางกายจนรู้สึกได้

แม้แต่ริ้วรอยสีแดงบนใบหน้า เขาก็ยังรับรู้ได้โดยไม่ต้องส่องกระจก

“แม่นางเจ็บตรงไหนหรือไม่?”

“มะ...ไม่ เราไม่เป็นอะไร ขอบคุณท่านมาก”

ขณะที่ขยับตัวผละออกจากชายหนุ่มร่างสูงด้วยความมึนงง อะไรบางอย่างก็แล่นฉิวเข้าสู่สมองการรับรู้ ใบหน้าเรียวเล็กรีบเงยขึ้นจ้องบุคคลตรงหน้าเตรียมอ้าปากจะแก้ไขความเข้าใจผิดให้กับอีกฝ่าย

แม่นางอะไรกัน?! หรือเพราะเขาเอาชุดของนันโซมาใส่เพราะแอบนายทหารออกจากวังทำให้ชายคนนี้เข้าใจผิด?!

“แม่นางไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว คราวหลังอย่ามายืนกลางฝูงชนอย่างนี้อีกล่ะ มันอันตราย เพราะถ้าล้มขึ้นมา ไม่พ้นได้โดนเหยียบแน่ ถือว่าครั้งนี้เป็นบทเรียนแล้วกัน ข้าขอตัวก่อน”

ยังไม่ทันจะได้อ้าปากอธิบาย หรือร้องเรียกถามชื่อ ร่างสูงสง่าในชุดสีขาวตัวยาว สวมด้วยหมวกสานทรงแหลมปกปิดใบหน้าไปกว่าครึ่งก็หายลับไปแทบจะในทันทีที่กระพริบเปลือกตา

“อ่ะ ตราหยก?” ร่างเล็กก้มลงเก็บแผ่นหยกที่ดูเหมือนว่าชายผู้นั้นจะทำตกเอาไว้ นิ้วเรียวสวยไล้สัมผัสไปตามนูนต่ำของผิววัตถุ ฮีอูเพ่งสายตามองหาความหมายของตัวอักษรสองคำบนนั้น

‘ชิน ซอง’ ชื่อชนเผ่าที่อยู่ในแคว้นเชินอันอย่างนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้น ชายผู้นั้นก็ต้องเป็นคนของเชินอันน่ะสิ?

มาทำอะไรที่ฮานึลนะ...

“หรือว่าจะเกี่ยวกับ วังชอนซา....?”

“คุณชายฮีอู!!!” เสียงของกำนัลสาวตะโกนตัดความคิดของร่างเล็กฉับพลัน นันโซวิ่งกระหืดกระหอบด้วยความเหน็ดเหนื่อยมายืนตบอกหายใจเข้าออกลำบากต่อหน้าคนเป็นนาย

“คุณชายมาอยู่ตรงนี้เอง! ข้าตามหาท่านตั้งนาน ตอนนี้ขบวนทัพใกล้จะผ่านไปแล้วนะคะ!”

“อ่ะ จริงสิ รีบไปกันเถอะ!!” ฮีอูยัดตราหยกเก็บใส่กระเป๋าในอกเสื้อแล้วรีบฉุดแขนสาวใช้วิ่งกลับไปยังถนนเส้นเดิมด้วยความเร็ว

 
.
.
.

โอยยย ปวดหัว!

ริมฝีปากบางแดงสดเม้มแน่นเป็นเส้นตรงอย่างไม่สบอารมณ์ การนั่งรถม้าเป็นเวลานานอย่างนี้มันทำให้เขามึนหัวไปหมด คนไม่เคยออกเดินทางนานๆ อย่างองค์ชายใหญ่แห่งเชินอันคงไม่รู้หรอกว่าตอนนี้มันน่าคลื่นไส้มากแค่ไหน!

“เมื่อไหร่จะไปถึงเสียทีนะ” เสียงหวานโอดโอยครวญครางอยู่กับตัวเอง นึกดีใจที่เมื่อตอนกลางวันไม่ได้ทานอะไรลงไป ไม่อย่างนั้นในเวลานี้ได้อ้วกออกมาจนหมดแน่

มือบางคลำข้อมือตัวเองสลับไปมาเพื่อบรรเทาความเจ็บแสบจากการถูกเชือกมัด ตั้งแต่ผ่านประตูเมืองหลวงเข้ามา ก็มีคนมาปลดเชือกที่รัดไว้ที่ข้อมือและขา รวมถึงผ้าที่ใช้ปิดปากออก นี่คงเตรียมจะหลอกตาผู้คนสินะว่าไม่ได้ลักพาตัววังชอนซามา หึ! ชาวบ้านน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่คนในวังน่ะสิ อยากจะรู้นักว่าเจ้าคนหน้าตายนั่นจะปิดข้าราชการได้นานแค่ไหน

แต่เรื่องนั้นช่างเถอะ จะอย่างไร ก่อนที่จะมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น ท่านราชครูยองจู รีบๆ มาช่วยข้าเร็วๆ เถิด!
 

ปึก!
 

“โอ้ย!~” ศีรษะกลมที่ปกคลุมไปด้วยเรือนผมสีดำยาวสลวยกระแทกเข้ากับผนังไม้ด้านซ้ายเต็มแรงเนื่องจากจู่ๆ รถก็หยุดเคลื่อนตัวกะทันหัน

หยุดทำบ้าอะไรเนี่ย!

ขณะที่แอบเลิกม่านออกดู เสียงโห่ร้องยินดีที่มีต่อวังชอนซาก็กระแทกเข้าประสาทสัมผัสการรับฟังทันที ดวงตากลมโตกวาดมองผ่านเหล่าทหารบนหลังม้าสีน้ำตาลแดง ผ่านฝูงชนชาวบ้าน ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่ใครคนหนึ่งด้านหน้าสุดของขบวนแถวที่ห่างจากรถม้าไปไม่ไกลมากนัก

ใบหน้าคมที่ซอนอินไม่เคยเห็นว่ามันจะเปลี่ยนไปแม้สักรอยย่นของผิวหนัง ในเวลานี้กลับแสดงออกถึงความอ่อนโยนได้อย่างไม่น่าเชื่อ ดวงตาคมกร้าวที่ใช้จ้องมองเขาอย่างกับจะกลืนกินนั่นอีกเล่า ในตอนนี้กลับเปล่งประกายสดใสราวกับบุรุษหนุ่มนักปราชญ์ที่ชอบการท่องบทกลอนรักแว่วหวาน

มือหยาบที่เอาแต่จับดาบคาดคั้นให้เขาเชื่อฟัง กลับดูอบอุ่นยามที่โอบเอวของคนร่างเล็กคนนั้นขึ้นนั่งซ้อนบนหลังอาชาหิมะด้วยกัน

ทุกการเคลื่อนไหวที่ได้เห็น ทำเอาคนในเกี้ยวรู้สึกอึ้งจนพูดไม่ออก ทุกอย่างที่ชายคนนั้นปฏิบัติต่อเขา ทำไมถึงได้ตรงกันข้ามชนิดที่ว่าสีดำเป็นสีขาวได้ขนาดนี้กัน

แม่นางคนนั้นคงจะเป็นคนที่พิเศษมากสินะ

“อะไรกัน คนใจดำบ้าอำนาจอย่างนั้น ยังมีคนที่ชอบด้วยหรือ สงสัยบ้านเมืองนี้คงป่าเถื่อนไม่ต่างจากเจ้าคนพรรค์นั้นสินะ”

แม้จะพูดบ่นพึมพำราวกับไม่ใช่เรื่องน่าใส่ใจ แต่ซอนอินกลับไม่ได้รู้ตัวเลยว่าตนเองนั้นเอาแต่แอบมองคนทั้งสองบนหลังม้าสีขาวอยู่ตลอดจนเข้าสู่ประตูวัง

หรือแม้กระทั้งได้ลงมายืนอยู่ต่อหน้าขุนนางกว่าครึ่งค่อนวังที่ออกมารอรับ แววตาสีดำกลมโตก็ยังเหลือบมองรอยยิ้มของคนสองคนที่มีให้กันโดยตลอดจนกระทั้งฝ่ายคนที่ตัวสูงกว่าเดินกลับมายังกลุ่มคนด้านหน้า

“ยินดีต้อนรับกลับพระเจ้าค่ะ องค์ชายชองจีรยง”

“อืม พวกท่านไม่ต้องพิธีมากนักหรอก ตอนนี้ข้าต้องการเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ”

“องค์กษัตริย์ทรงรออยู่ที่ท้องพระโรงแล้วพระเจ้าค่ะ”

องค์ชายใหญ่แห่งฮานึลพยักหน้ารับ ก่อนหันไปสั่งผู้ติดตามคนสนิททั้งสองคนที่ตอนนี้ยืนอยู่คู่กัน

“โทซอง กึมซอง พวกเจ้าตามพวกนางกำนัลไปจัดการเรื่องตำหนักในให้กับวังชอนซา แล้วรออยู่ที่นั่น ข้าเข้าเฝ้าเสด็จพ่อเสร็จเมื่อไหร่แล้วจะตามไป จัดการให้เรียบร้อย”

“ขอรับ องค์ชายใหญ่”
 

ซอนอินมองสองพี่น้องฝาแฝดที่เอ่ยปากรับคำอย่างพร้อมเพรียง เอ๋? กึมซองมีพี่น้องฝาแฝดหรอกหรือนี่ แล้วสายตาแบบนั้น โธ่ เจ้ามันโง่จริงๆ เลยคิมซอนอิน คนที่ใช้สายตามองเขาอย่างไร้ความรู้สึกเกรงกลัวน่ะคือยูโทซองต่างหาก ไม่ใช่ยูกึมซอง

“เชิญขอรับ ตามหม่อมฉันมาทางนี้ องค์วังชอนซา”

จะให้เรียกว่าตามทั้งที่มีทหารล้อมหน้าล้อมหลัง ไม่คิดว่ามันห่างไกลจากคำว่า ‘เชิญ’ ไปหน่อยหรือไง ซอนอินจิ๊เสียงในคอแต่ก็ยอมเดินตามสองพี่น้องไปอย่างไม่เอ่ยคำใดออกมา

ก็จะให้เอ่ยอะไรได้ มีแต่เรื่องที่น่าแปลกใจให้คิดตั้งขนาดนี้

เจ้าคนป่าเถื่อนนั่น ทำไมถึงกลายเป็นองค์ชายใหญ่ไปได้เล่า!
 

ซอนอินลอบถอนหายใจเบาขณะเดินลึกเข้าไปในเขตวังหลวงฮานึลมากขึ้นเรื่อยๆ พลางคิดในใจว่าต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับสวรรค์แล้ว
 

หวังว่าการสวดมนต์ทุกเดือนให้กับคนในชนเผ่า จะช่วยให้ลูกมีบุญรอดพ้นกลับไปยังเชินอันโดยไม่มีอะไรบุบสลายเถิด!
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-

จบตอน


ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
บทที่ 3


ท้องพระโรงที่ใช้สำหรับว่าราชกิจพลันเงียบเสียงลงเมื่อองค์ชายใหญ่ โอรสองค์แรกแห่งจักรพรรดิฮานึลก้าวเดินเข้ามาด้วยท่วงท่าองอาจแสดงถึงความน่าเกรงขามที่มีอยู่

ใบหน้าเรียวคม สันจมูกโด่งได้รูป สายตาแข็งกร้าวลึกล้ำ ริมฝีปากหยักหนา ทุกอย่างที่ร่วมเป็นองค์ประกอบของดวงหน้าไร้ที่ตินี้ ไม่ว่าใครก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาคือชายหนุ่มรูปงามที่หาตัวจับได้ยาก และเมื่อรวมกับความสามารถทั้งด้านการวางแผนรบและด้านการปกครอง ถึงเวลานี้ ทุกคนไม่ว่าจะขุนนางชั้นผู้น้อยหรือชั้นสูงต่างก็ยอมรับกันโดยทั่วกันว่า ตำแหน่งองค์รัชทายาทคงหนีไม่พ้น ชองจีรยง บุรุษหนุ่มผู้เปรียบดังมังกรทองจ้าวแห่งอัมพรพิภพไพศาลนี้

องค์ชายใหญ่ก้าวเดินไปหยุดอยู่ด้านหน้าที่ประทับขององค์กษัตริย์ เขาตวัดชายชุดทรงก่อนถวายความเคารพบุคคลตรงหน้า

“ถวายพระพรเสด็จพ่อ”

ชอง ฮวาจี ผู้เป็นกษัตริย์นั้นมีพระชนมายุเพียงสี่สิบสามชันษา ดวงหน้าเรียวทรงไข่และผิวเนียนขาวนั้นเคยเป็นที่ประจักรต่อผู้พบเห็นว่าเป็น บุรุษผู้งดงามราวกับรูปสลักเทพเจ้า แต่ทว่า ในเวลานี้กลับมีใบหน้าที่อิดโรย ร่างกายบอบบางที่เป็นรูปลักษณ์แต่เดิมก็ผ่ายผอมไม่ค่อยแข็งแรงนัก อาการป่วยเรื้อรังที่รุมเร้าร่างกายขององค์กษัตริย์นั้นยาวนานมากว่าสองปี แล้ว แพทย์หลวงพยายามที่จะรักษาทุกวิถีทาง เชิญผู้เฒ่าดาบสมาก็หลายท่าน หากแต่โรคที่องค์กษัตริย์เป็นอยู่นี้นั้นเกินความสามารถของพวกเขา พิษจากดอกอังฮวา หากโดนสักครั้งก็เท่ากับว่าช่วงชีวิตของคนคนนั้นได้ถูกลิดรอนไปแล้วกว่า ครึ่ง ซ้ำในแต่ละค่ำคืนที่พ้นผ่านยังผลให้ชีพจรที่ไหลเวียนทั่วกายอ่อนเบาลงในทุก ทุกช่วงลมหายใจ อีกทั้งธาตุในกายก็ปรวนแปร บ่อยครั้งที่ทำให้กษัตริย์ฮานึลตื่นขึ้นมาด้วยพิษไข้จนไม่สามารถว่าราชกิจ หรือแม้แต่ลุกขึ้นจากที่บรรทมได้เลย

“ลุกขึ้นเถิดจีรยง”

“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ”

เมื่อจีรยงยืดตัวขึ้นเต็มความสูง ฮวาจีจึงเริ่มบทสนทนา โดยมีขุนนางคนอื่นๆ เตรียมตัวรับฟังพร้อมจดรายงานด้วยความตั้งใจ พร้อมกันนั้น ขุนพลนายกองฝ่ายการทหารก็ยังเข้าร่วมการรับฟังครั้งนี้ด้วยอย่างพร้อมเพรียง

เรื่องราวส่วนหนึ่งจีรยงได้ส่งโทซองมาถวายรายงานก่อนล่วงหน้าแล้ว ดังนั้นเพียงไม่กี่ประโยค จีรยงก็พูดถึงเรื่องของวังชอนซา

“...หากพูดอย่างไม่อ้อมค้อม ลูกเห็นควรว่าเราจะไม่ส่งตัววังชอนซากลับไป”

“แต่องค์ชายใหญ่ การที่เราลักพาตัววังชอนซามาเช่นนี้ ทางเชินอันคงไม่ยอมอยู่เฉยแน่ อย่างไรเสีย ชาวบ้านต้องไม่ยอมรับวิธีการนี้อย่างแน่นอน องค์วังชอนซาทรงสำคัญต่อจิตใจพวกเขานะพระเจ้าค่ะ” ขุนนางระดับสูง คังอูอิน เอ่ยค้านด้วยความกังวล เพราะหากชาวบ้านรับรู้ว่าความจริงแล้ววังชอนซาไม่ได้มาฮานึลในฐานะราชทูต อาจก่อให้เกิดความวุ่นวายด้วยความไม่พอใจได้

“เรื่องนั้นพวกท่านไม่ต้องห่วง นอกจากทุกคนในที่นี้และคนของข้าแล้ว ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าวังชอนซามาที่นี่ด้วยฐานะอะไร รวมถึงเชินอันที่จะไม่มีวันปล่อยข่าวว่าโอรสองค์โตถูกลักพาตัวมาด้วย ทางเดียวที่เหลือของฝ่ายนั้น คือการยอมเปิดศึกสงครามระหว่างฮานึลและเชินอัน”

พอพูดถึงจุดประสงค์ที่แท้จริง เหล่าขุนนางต่างก็ส่งเสียงพึมพำแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันทั่วทั้งโถงว่าราชการ ทุกผู้ล้วนต่างรู้ดีว่าองค์ชายใหญ่ ชองจีรยง นั้นมีเป้าหมายสูงสุดคือการรวมแคว้นใหญ่เข้าด้วยกันเพื่อขยายอาณาจักรให้เป็นหนึ่งเดียว ในอาณาเขตแคว้นใกล้เคียงส่วนใหญ่หลังจากแพ้ศึกก็ยอมเป็นเมืองขึ้นให้แก่ฮานึลแล้วทั้งนั้น จะเหลือก็แต่แคว้นที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กันอย่างเชินอันที่ไม่ยอมเปิดศึกกับฮานึลมานานกว่าสิบเจ็ดปีแล้ว ซึ่งนั่นทำให้แม่ทัพที่เจ็ดอย่างองค์ชายใหญ่ทนยอมเห็นสองแคว้นขยายอำนาจข่มกันเองทั้งที่ไม่มีการปะทะกันอย่างจริงจังไม่ได้

การปะทะกันของทหารตามชายแดนยิบย่อยนั่น ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นการทำสงครามรบ

“เสด็จพ่อ ลูกเข้าใจว่าเรื่องนี้ยังไม่ควรตัดสินใจกะทันหัน” ขณะที่ทุกคนเริ่มจับกลุ่มแสดงความคิดเห็นกันอยู่นั้น จีรยงก็หันไปชี้แจงกับผู้เป็นพ่ออย่างนอบน้อม ตัวเขาเองไม่เคยรู้ว่าทำไมพอพูดถึงเรื่องเชินอันทีไร พ่อของเขาถึงได้ค้านที่จะรับฟัง เรื่องเล่าสมัยที่กษัตริย์สองแคว้นสู้รบกันเองนั้นไม่มีใครรู้ความจริงว่ามันเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น ทำไมทั้งสองแคว้นถึงไม่ติดต่อกันอีก ไม่ยุ่งเกี่ยวทั้งทางด้านความช่วยเหลือหรือการคุกคามกันและกัน และในเมื่อคนเป็นพ่อไม่เคยพูดถึง จีรยงก็ไม่มีทางเข้าใจถึงเหตุผลอีกฝ่าย “...แต่เพราะลูกเห็นถึงโอกาส ถึงได้ตัดสินใจลักพาตัววังชอนซามา หากเสด็จพ่อไม่เห็นพ้อง ลูกก็ขอทำเรื่องนี้แต่เพียงผู้เดียว หากฝ่ายนั้นรับการเปิดศึก คนของลูก รวมถึงตัวลูกเอง จะรับผลกระทบที่อาจผิดพลาดไว้เอง”

องค์กษัตริย์หลับตาลงครุ่นคิดอย่างอ่อนล้า นิสัยของลูกชายที่มีปณิธานคือการรวมแผ่นดินนั้นทรงทราบดีแก่ใจ จีรยงคือเด็กหนุ่มที่กระตือรือร้นทุ่มเทเพื่อบ้านเมืองเป็นอย่างมาก ในบรรดาลูกชายของพระองค์ทั้ง 3 คน จีรยงซึ่งเป็นคนโตที่สุดมีความเหมาะสมแก่ตำแหน่งรัชทายาทอย่างไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ

หากแต่...

การจะทำศึกกับเชินอัน ไม่ใช่สิ่งที่พระองค์ประสงค์เลยแม้แต่น้อย

ชองฮวาจีพลูลมหายใจเบาก่อนลืมตาขึ้นเชื่องช้าแล้วเอ่ยด้วยสุรเสียงทุ้มต่ำ “หากเกิดความผิดพลาดจริง เจ้าคิดหรือว่าพ่อจะยอมให้ลูกชายรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว ฮานึลปกครองด้วยความรักและความสามัคคี กระทำสิ่งใดแล้วย่อมต้องกล้ายอมรับสิ่งที่ทำ เอาเถิด หากเจ้าตัดสินใจดีแล้ว พ่อเองก็ไม่คิดขัดความต้องการของเจ้า...”

คนพูดระบายลมหายใจอีกครั้งก่อนพาร่างผอมบางของตนเองลุกขึ้นจากแท่นประทับ อิริยาบถที่เปลี่ยนไปขององค์กษัตริย์ทำให้ทุกคนในท้องพระโรงพากันเงียบเสียงแล้วน้อมกายต่ำต่อเจ้าเหนือหัว

“ทุกท่านจงฟัง นับจากวันนี้ไปอีกสิบสองวัน ขอให้ทุกท่านเตรียมตัวจัดพิธีแต่งตั้งองค์ชายชองจีรยงขึ้นเป็นองค์รัชทายาท ทุกสิ่งที่บุตรชายของเราพูดหรือตัดสินใจ เราขอให้ทุกท่านยอมรับฟังเฉกเช่นเป็นคำตัดสินของเราเอง นับจากวันที่องค์ชายจีรยงได้รับตำแหน่ง ราชกิจทุกอย่างจะขึ้นตรงต่อองค์รัชทายาทแต่เพียงผู้เดียว”

พร้อมกับความหลากใจที่มีต่อการตัดสินใจของคนเป็นพ่อเพิ่งจุดขึ้น เสียงของขุนนางทั่วทั้งห้องโถงก็ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง

“น้อมรับพระเจ้าค่ะ!!”
 
 

“ให้คำมั่นกับพ่อ ว่าเจ้าจะไม่ทำอะไรเกินเลยต่อวังชอนซา แม้โอรสแห่งเชินอันจะเป็นเชลยของเจ้า ก็อย่าได้หมิ่นประหมาทหรือข่มเหงเขาเด็ดขาด จงดูแลเขาเฉกเช่นคนสำคัญที่สุดในชีวิตเจ้า”

“เหตุใดลูกต้องทำเช่นนั้น เขาเป็นเชลยของลูก ลูกย่อมมีสิทธิ์จะทำสิ่งใดกับคนผู้นั้นก็ได้” ถ้าเขาอยากให้ตาย คนผู้นั้นก็ต้องตายอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง

“จีรยง เจ้ารู้หรือไม่ว่าอำนาจที่เจ้ามีเมื่อได้เป็นรัชทายาท สามารถทำให้ทั้งฮานึลเป็นไปตามที่เจ้าต้องการได้เพียงแค่เจ้าเอ่ยวาจาออกมา ไม่ว่าจะอยู่หรือตาย หากเป็นความต้องการของเจ้าย่อมไม่มีผู้ใดกล้าขัด เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมพ่อถึงเลือกเจ้าทั้งที่การได้อำนาจทั้งหมดมาอยู่ในมือนั้นเสี่ยงต่อจิตใจแค่ไหน? เพราะพ่อรู้ว่าเจ้าเป็นคนมีคุณธรรมเพียงพอที่จะไม่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ จงอย่าได้กระทำสิ่งที่ไม่สมควรต่อผู้ไม่มีความผิด วังชอนซานั้นเป็นถึงบุคคลที่เหล่าไพร่ฟ้าทั่วทุกสารทิศเคารพนับถือ ซ้ำยังเป็นถึงโอรสองค์โตแห่งเชินอัน พ่ออยากให้เจ้าไตร่ตรองเรื่องนี้ให้ดี อย่าได้ผลีผลามทำอะไรด่วนสรุป...เจ้าเข้าใจหรือไม่ ชองจีรยง”

บทสนทนาสุดท้ายก่อนที่จะออกมาจากท้องพระโรงยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดของร่างสูงขณะเดินไปตามเส้นทางที่นำพาไปยังตำหนักใน

เรื่องไม่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์นั้นเขาเข้าใจดี แต่กับเชลย ทั้งที่ไม่ว่าจะเป็นคนจากแคว้นไหนที่เคยถูกจับตัวมา เสด็จพ่อไม่เคยก้าวก่ายการตัดสินใจของเขาเลยสักครั้ง แต่ทำไมครั้งนี้ถึงได้เจาะจงนักว่าไม่ให้ทำร้ายวังชอนซา ซ้ำยังทรงตรัสให้เขาดูแลเชลยเยี่ยงคนสำคัญเสียอีก

ศึกเมื่อสิบเจ็ดปีก่อนระหว่างเสด็จพ่อกับกษัตริย์เชินอัน มันเป็นอย่างไรกันแน่...

“องค์ชายใหญ่!” พลันเสียงหวานที่ดังลอยมาหยุดความคิดและช่วงจังหวะการเดินของชายหนุ่มได้ในทันที เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบคนร่างเล็ก บุตรชายของขุนนางคนสนิทของเสด็จพ่อกำลังวิ่งเข้ามาใกล้

รากไม้ตรงนั้น...

ไม่ต้องเสียเวลาร้องเตือนให้กับคนที่วิ่งตาหยีได้ระวัง จีรยงก็จัดการสาวเท้าเข้าใกล้แล้วรวบร่างเล็กบางนั้นได้ทันก่อนที่เจ้าตัวจะสะดุดรากไม้และล้มลงไปตามที่เขาคาดคิดไว้

“เหตุใดถึงได้วิ่งรีบร้อนอย่างนี้ ฮีอู”

“แหะ แหะ ก็หม่อมฉันดีใจนี่ เลยอยากจะมาแสดงความยินดีกับองค์ชายใหญ่เร็วๆ ในที่สุด ท่านก็จะได้เป็นรัชทายาทแล้วนะ!” คนตัวเล็กหัวเราะแก้เก้อในอ้อมแขนใหญ่ ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างให้กับประโยคสุดท้าย

เรื่องราวต่างๆ ในวัง หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นแม้เพียงเล็กน้อย ก็สามารถแพร่กระจายให้คนทั้งพระราชวังรับรู้ได้เร็วเสียยิ่งกว่าโรคระบาดเสียอีก

“เรื่องนั้นช่างเถอะ” จีรยงกวาดสายตามองชุดที่ร่างเล็กได้จัดการเปลี่ยนเป็นชุดคุณชายเช่นเดิมด้วยใบหน้าเรียบนิ่งอย่างปกติ ก่อนเลื่อนสายตาสบคนในวงแขน แล้วก้มกระซิบใกล้ใบหูคนฟัง “เรื่องที่เจ้าออกจากวัง คืนนี้ข้าจะทำโทษเจ้าให้หลาบจำจนไม่คิดจะทำผิดซ้ำอีก” ก่อนจะละใบหน้าออกมาแล้วเอ่ยต่อราวกับเมื่อครู่ไม่ได้หยอกเย้าอีกฝ่ายแม้แต่น้อย ทั้งที่ตอนนี้คนถูกเป่าลมร้อนใส่ใบหูหน้าแดงเถือกไปหมด “ไปรอข้าที่ตำหนัก เสร็จธุระเมื่อไหร่ข้าจะตามไป”

เมื่อพูดจบ จีรยงก็คลายวงแขนให้ร่างเล็กเป็นอิสระแล้วออกเดินต่อ โดยมีจุดมุ่งหมายคือตำหนักใน ‘โยกัน’
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

แม้ว่ากึมซองจะบอกยืนยันให้ฟังสักกี่ครั้ง ซอนอินก็ยังไม่อาจทำใจเชื่อได้ว่านี่คือตำหนักในที่อยู่ในส่วนของการดูแลขององค์ราชินี ด้วยเพราะขอบเขตของตำหนัก โยกัน นั้นราวกับถูกแบ่งแยกออกมาอย่างสันโดษคล้ายเป็นพื้นที่ที่ถูกตัดขาดออกจากส่วนอื่นๆ ภายในวังหลวง

ตัวตำหนักนั้นทำด้วยไม้เนื้อดีและถูกตกแต่งอย่างเรียบง่ายคล้ายกับตำหนักของซอนอินในเชินอัน ผิดก็แต่ที่ฮานึลจะเน้นการประดับผ้าแพรผืนบางสีแดงสลับกับสีขาวเกือบจะทุกส่วนของห้องหับ ทำให้ตำหนักไม้เรียบง่ายดูอ่อนโยนและสวยงามนุ่มนวลไม่น้อย

ในฐานะของเชลยแล้ว การได้อยู่ในตำหนักเป็นสัดส่วน ทั้งยังมีขอบกำแพงรอบตำหนักที่กว้างขวางพอควรเช่นนี้ก็นับว่าดีอยู่มาก ดังนั้นซอนอินจึงเลิกสนใจถึงสภาพแวดล้อมอื่นที่เงียบสงัดไร้ผู้คน

อย่างน้อย ก็ยังดีกว่าการอยู่ในคุกที่แม้แต่แสงแดดก็ยังไม่ได้เห็น

“ทรงจะทำสิ่งใดขอรับ วังชอนซา?”

“แค่นอนไม่ได้หรือไง?”

หากเป็นการนอนภายในห้อง กึมซองคงไม่ตื่นตกใจเช่นนี้ นั่นเพราะว่าร่างบางซึ่งมียศศักดิ์สูงส่งกลับเดินลิ่วออกไปยังผืนหญ้าใกล้กับศาลาริมสวนจำลอง แล้วล้มตัวลงนอนราบทั้งอย่างนั้น

นางกำนัลสองคนที่ถูกคัดเลือกให้เป็นผู้ดูแลวังชอนซาแสดงสีหน้าที่บอกได้ว่าไม่รู้จะทำอย่างไร จะเข้าไปบอกห้ามก็เห็นไม่สมควรด้วยเพราะตนเป็นแค่สาวใช้ แต่จะปล่อยไว้เช่นนี้ก็เห็นไม่สมควรอีก

“โทซอง เจ้าทำอะไรสักอย่างสิ หากองค์ชายใหญ่ทรงมาเห็นเข้า ข้ากับโซยอนต้องโดนว่าแน่”

นางกำนัล แบยอนอา ผู้เป็นพี่สาวของโซยอนสะกิดชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านข้างอย่างเป็นกังวล

“เฮ้ พี่ชาย ไม่คิดบ้างหรือว่าวังชอนซาทรงมีความสุขที่ได้ทำเช่นนั้น” กึมซองเอ่ยทักก่อนที่พี่ชายฝาแฝดผู้เงียบขรึมจะเดินเข้าไปใกล้เชลยคนสำคัญ

“เห็นหรือเปล่า สีหน้าของวังชอนซา ไม่ต่างจากนกที่ถูกปลดปล่อยออกจากกรงเลยสักนิด”

เมื่อมองตามอย่างที่คนเป็นน้องว่า โทซองก็เห็นพ้องต้องกันในทันที ร่างบางที่นอนอยู่นั้นสวมด้วยชุดสีขาวปลอดพลิ้วไหวต้องลมอ่อนๆ เส้นผมสีดำยาวตัดกับชุดที่สวมใส่แผ่ขยายไปบนผืนหญ้าสีเขียว ดวงหน้าใสสว่างภายใต้แสงแดดของยามเย็นขับให้ผิวขาวเป็นประกายระยิบ หากได้มองจากที่สูง สิ่งที่เห็นตรงหน้านี้คงไม่ต่างไปจากภาพวาดของหงส์ตัวงามที่กำลังแผ่ขยายปีกกว้างหยุดค้างอยู่บนผืนนภากว้างใหญ่ ปล่อยให้สายลมนำพาทิศทางไปอย่างไม่มีจุดหมาย

งดงาม สวยสง่า ทว่า กลับรู้สึกได้ถึงความอ้างว้าง...

โทซองเดินเข้าไปใกล้คนที่นอนหลับตาอยู่ที่พื้น เขาคุกเข่าข้างหนึ่งลงแล้วโน้มศีรษะเข้าไปใกล้ “องค์วังชอนซาทรงเข้าตำหนักเถิด เพิ่งเดินทางมาถึงร่างกายคงเหนื่อยล้า หากขาดตกบกพร่องสิ่งใดทรงสั่งกับนางกำนัลทั้งสองได้ทุกอย่าง”

ซอนอินเปิดเปลือกตาขึ้นพร้อมถอนหายใจเบา เขาเหลือบสายตาขึ้นมองใบหน้าเรียบเฉยของโทซองแล้วให้ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่เข้าใจ ว่าทำไมทั้งที่หน้าตาเหมือนกัน แต่โทซองกับกึมซองกลับให้ความรู้สึกที่ต่างกันออกไปอย่างสุดขั้วได้ขนาดนี้ “ข้าเป็นเชลยของพวกเจ้า ไหนเลยที่ข้าจะกล้าร้องขอสิ่งใด”

มือเรียวจัดการปัดเศษใบไม้ออกจากเสื้อผ้าแล้วลุกขึ้นยืน “สรุปแล้ว ขอเพียงยังอยู่ภายในกำแพงของตำหนักนี้ ข้าจะทำสิ่งใดก็ได้ใช่หรือไม่” ขณะที่เดินกลับเข้าตำหนัก ซอนอินก็เอ่ยถามผู้ติดตามคนสนิทของแม่ทัพที่เจ็ด ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่โต๊ะกลมกลางห้อง พร้อมทั้งยกมือขึ้นเท้าคางจ้องมองชายสองคนตรงหน้า

ระหว่างนั้นนางกำนัลสาวทั้งสองก็รีบเข้าครัวไปจัดการอาหารเย็นและน้ำชาร้อนๆ ให้กับวังชอนซา

“ขอเพียงไม่ออกไปด้านนอก วังชอนซาทรงทำสิ่งใดก็ได้ขอรับ” โทซองเป็นผู้ตอบ แต่ถึงแม้วังชอนซาคิดจะออกไปด้านนอกจริงก็ทำไม่ได้ ด้วยเพราะรอบกำแพงด้านนอกของตำหนักโยกันนั้นมีนายทหารฝีมือดีคอยยืนคุมอยู่หลายนาย

“ถึงแม้ว่าข้าจะฆ่าตัวตาย ก็ได้งั้นหรือ?”

“หากเจ้าทำจริงเช่นนั้น ข้ารับรองว่าร่างกายของเจ้าจะกลายเป็นอาหารชั้นเลิศให้กับนกกาเป็นแน่”

วาจาร้ายกาจดังมาจากคนที่เพิ่งก้าวพ้นธรณีประตูเข้ามาที่ด้านใน

“องค์ชายใหญ่” โทซองและกึมซองต่างก็รีบหลีกทางไปยืนด้านข้าง

จีรยงสาวเท้าเข้ามาใกล้กับโต๊ะกลางห้อง พลันเสียง ‘ปัง’ ของฝ่ามือใหญ่ที่ตบลงบนโต๊ะก็ดังขึ้น ตามติดด้วยมืออีกข้างที่เคลื่อนเข้าบีบปลายคางมนให้ดวงตากลมโตเงยขึ้นสบสายตา

“อย่าแม้แต่จะคิดเรื่องฆ่าตัวตาย ไม่เช่นนั้น...”

“หากข้าคิดแล้วเจ้าจะรู้หรือไง” ซอนอินพูดสวนขึ้นทันที มือขาวยกขึ้นปัดมือใหญ่ให้พ้นใบหน้า “หึ! อย่ามาทำท่าวางอำนาจกับข้าหน่อยเลย ที่เจ้าจับข้ามาก็เพราะต้องการให้ข้าเป็นตัวล่อให้เสด็จพ่อของข้ายอมทำศึกใช่ไหมล่ะ? แล้วถ้าหากข้าตาย เจ้าก็จะไม่มีเรื่องใดมาขู่ให้เชินอันยอมจำนนด้วยการรบอีก ดังนั้นเจ้าควรจะทำตัวดีๆ กับข้าหน่อยนะ เพราะยังไงเสีย ชีวิตของข้าก็สำคัญกับเจ้าเช่นกัน” ซอนอินจบคำพูดด้วยรอยยิ้มบางที่แสนยั่วยุอารมณ์คนฟังให้ยิ่งเกิดความไม่สบอารมณ์มากขึ้นไปอีก

“อ่ะ! ถวายบังคมองค์ชายใหญ่” ชาร้อนถูกวางลงที่โต๊ะ ก่อนที่สองสาวใช้จะค้อมศีรษะให้กับชายร่างสูง

“พวกเจ้าสองคนกลับไปยังห้องครัว วันนี้นอกจากน้ำชากานี้ อย่าให้ข้ารู้ว่าพวกเจ้าทำอาหารให้วังชอนซาทาน”

“เอ๊ะ?! ไม่ให้ทำอาหารถวายงั้นหรือเพคะ? แต่ว่าวังชอนซาทรง...”

“พวกเจ้าได้ยินที่ข้าสั่งแล้ว!!”

“อ่ะ ค่ะ รับทราบเพคะองค์ชายใหญ่”

โซยอนและยอนอาต่างรีบผลุนผลันกลับไปยังห้องครัวเพื่อดับเตาและเก็บข้าวของตามรับสั่งในทันที

จีรยงที่ยังไม่แม้แต่จะละสายตาไปจากดวงหน้าขาวที่เชิดสายตาท้าสู้ตั้งแต่ที่ สั่งความกับนางกำนัลเอื้อมมือไปรั้งข้อมือบางให้เจ้าของร่างนั้นขยับเข้ามา ใกล้ แรงขัดขืนเล็กๆ ที่มีของอีกฝ่ายไม่อาจทำให้ชายหนุ่มที่เจนจัดด้านการสู้รบออกศึกสะเทือนแม้ แต่น้อย

ซอนอินกัดฟันแน่น เม้มริมฝีปากจนขึ้นสีจัด นัยน์ตากลมโตวาวโรจน์แสดงออกถึงความไม่ยอมแพ้อย่างที่สุด

“จะทำอย่างไรนะ หากข้าอดอาหารทั้งวันไปแบบนี้ บางที วันพรุ่งข้าอาจจะหิวตายก็ได้ อึก!”

ลำคอเพรียวระหงถูกบีบรัดโดยฉับพลัน พร้อมกับที่ดวงตาคมเข้มจ้องลึกเข้ามาราวกับจะกลืนกินเจ้าของนัยน์ตาสวยให้จมหายไปในห้วงเหวลึกที่ดำมืด

“ข้าขอเตือนเจ้าอีกครั้ง คิมซอนอิน ไม่ว่าจะชีวิต ลมหายใจ หรือร่างกายของเจ้า ในเวลานี้ข้าเป็นผู้กำหนดทั้งหมด หากข้าไม่สั่งให้ตาย เจ้าก็ตายไม่ได้ และหากข้าสั่งให้เจ้าตาย แม้แต่เสียงที่เล็ดลอดออกมาจากลำคอนี้ เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์!”

นาน กว่าจะรู้สึกถึงอากาศเย็นๆ ที่แย่งกันพุ่งเข้าสู่ปอดทันทีที่ถูกปล่อยเป็นอิสระ ซอนอินหน้าแดงก่ำด้วยเพราะขาดอากาศหายใจชั่วเวลาหนึ่ง อีกทั้งความเจ็บที่ลำคอนั้นส่งผลให้ดวงหน้าซับสีเลือดจนทั่ว

“พวกเจ้าสองคน” เสียงทุ้มตวัดห้วนเรียกนางกำนัลสองพี่น้องที่เพิ่งเดินกลับเข้ามาที่ห้องรับแขก “หน้าที่ดูแลวังชอนซาเป็นของพวกเจ้า หากวันใดวังชอนซาฆ่าตัวตาย คงรู้นะว่าพวกเจ้าจะเป็นเช่นไร” คนพูดไม่แม้แต่จะเหลียวมองร่างโปร่งบางที่ยืนโงนเงนเพราะสมองขาดอากาศแม้แต่น้อย

โซยอนและยอนอาต่างมีสีหน้าซีดเผือดทันที ครั้งแรกที่ได้รับรู้ว่าพวกเธอถูกเลือกให้มาทำหน้าที่ดูแลวังชอนซา ซึ่งมีฐานะความจริงคือเชลยศึกขององค์ชายใหญ่ พวกเธอก็กังวลมากพออยู่แล้ว ด้วยใครๆ ต่างก็ทราบดีว่าเรื่องใดที่ขึ้นตรงต่อองค์ชายจีรยง นั่นย่อมหมายความว่างานนั้นๆ ต้องไม่มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น

เพราะไม่เช่นนั้น บทลงโทษที่ได้รับ ไม่แค่ปลิดลมหายใจ หากแต่ญาติพี่น้องอีกหลายชั่วโคตรก็จะถูกสังหารไม่ต่างกัน

นางกำนัลทั้งสองนึกถึงคำพูดของเหล่าเพื่อนร่วมงานที่เคยเล่าให้ฟังถึงคนที่ทำงานให้กับองค์ชายใหญ่ผิดพลาด แล้วก็ให้นึกกลัวขึ้นมา พวกนางรีบก้มหัวน้อมรับคำสั่งด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่นไม่น้อย

แล้วยิ่งมาเห็นนายเหนือหัวบีบลำคอของวังชอนซาราวกับจะกระชากลมหายใจให้หมดไปต่อหน้าแบบนี้ด้วยแล้ว

องค์ชายชองจีรยง ช่างเป็นคนที่น่ากลัวยิ่งนัก!

ขณะที่จีรยงกำลังเดินออกจากตำหนักไปพร้อมกับคนสนิททั้งสอง ซอนอินก็ยกมือขึ้นคลำลำคอตนเองเบาๆ ด้วยความเจ็บ ดวงตาสีนิลคู่โตมองตามหลังร่างสูงจนลับสายตาพลางครุ่นคิดถึงความรู้สึกตัว เองที่ไม่รู้ว่าทำไม ในอกมันถึงได้เกิดความรู้สึกแปลกๆ ที่ยากจะเข้าใจอย่างนี้

“วังชอนซา ทรงเจ็บมากไหมเพคะ ให้หม่อมฉันทายาให้นะเพคะ”

“เจ้าชื่ออะไร? อายุเท่าไหร่?”

“เอ๊ะ? อ่ะ หม่อมฉันชื่อ แบยอนอา อายุ 16 เพคะ”

“อืม ยอนอา...แล้วเจ้าล่ะ?”

“หม่อมฉันชื่อ แบโซยอนเพคะ เป็นน้องสาวของพี่ยอนอา อายุ 15 เพคะ”

“โซยอน ยอนอา พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าตำหนักนี้อยู่ส่วนไหนของพระราชวัง?”

หากให้พูดปากเปล่า ดูเหมือนจะอธิบายยากอยู่สักหน่อย นางกำนัลสาวทั้งสองนิ่งคิดก่อนจะเอ่ยตอบคำถามของร่างบาง พวกเธออธิบายประตูทางเข้าทางเหนือของวัง ไล่จนถึงประตูทั้งสี่ทิศจนครบ วังหลวงฮานึลจะแบ่งเป็นลำดับชั้นทั้งหมด สามชั้น นั่นคือ ส่วนวังต้น ส่วนวังกลาง และส่วนวังใน แม้ตำหนักในความดูแลขององค์ราชินีจะเรียกว่าส่วนใน แต่ความจริงแล้วสถานที่ส่วนในนั้นจะถูกกั้นบริเวณถัดมาจากส่วนกลางสุดของพระราชวัง ซึ่งเป็นส่วนขององค์กษัตริย์ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ซอนอินก็สรุปได้ว่า ที่ที่ตนอยู่นั้น น่าจะอยู่เกือบกลางสุดของราชวัง

...แย่ชะมัด แล้วอย่างนี้ ราชครูยองจูจะเข้ามาช่วยเขาได้อย่างไรกัน!

พอคิดถึงความจริงที่ตัวเองคงติดอยู่ในวังศัตรูอย่างไม่มีทางออกก็คอตกเดินดุ่มๆ เข้าห้องนอน ถึงเตียงสี่เสาที่ตั้งอยู่ริมซ้ายของห้องได้ก็ทิ้งตัวแปะข้างแก้มลงกับฟูกหนา ในหัวก็นึกย้อนไปถึงช่วงเวลาหลายอาทิตย์ที่ถูกจับตัวเดินทางมายังฮานึล นึกถึงสายตาคมคู่นั้นที่มองตรงมาที่เขาอย่างไร้ความรู้สึก

โธ่สวรรค์ ข้าไม่อยากอยู่ใกล้คนคนนั้นเลย ใจของข้านับวันก็ยิ่งไม่เข้าใจมากขึ้นทุกที เฮ้อ~

สีหน้าของซอนอินที่เปลี่ยนเป็นเศร้าสลดทำเอาสองสาวใช้หน้าแดงวาบไปกับความมีเสน่ห์ขององค์วังชอนซา ดูเอาเถิด ขนาดท่าทางการถอนหายใจยังน่ามองขนาดนี้ น่ากลัวว่า ระยะเวลาที่ได้อยู่รับใช้วังชอนซาของพวกนางคงยากจะรับมือเป็นแน่

 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-08-2016 14:39:00 โดย KimYoonBe »

ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
 

ในตอนสายของวันที่สามที่วังชอนซาได้เข้าพักในตำหนักโยกัน เสียงร้องของสาวใช้สองคนก็ดังขึ้นด้วยความตื่นกลัวต่อภาพตรงหน้า

“วังชอนซา ทรงลงมาเถิดเจ้าค่ะ!”

“นั่นสิเจ้าคะ รอให้โทซองกับกึมซองมาก่อนดีกว่านะเจ้าคะ!”

ที่ด้านหน้าตำหนัก ยอนอาและโซยอนต่างกุมมือไว้ที่หน้าอกด้วยความหวาดกลัว ในใจของพวกนางพร่ำสวดภาวนาไม่หยุด ด้วยกลัวว่าคนร่างบางที่กำลังยืนกางแขนหาจุดศูนย์ถ่วงอยู่บนหลังคาห้องครัวนั้นจะตกลงมา

“พวกเจ้าอย่าเสียงดังนักสิ! อีกนิดเดียวข้าก็จะเอื้อมถึงอยู่แล้ว!”

ลูกนกสีขาวที่ไม่รู้ว่าบินอย่างไรถึงได้มาหมดแรงเอากลางอากาศ พลัดตกลงบนหลังคาเสียดังลั่นจนคนที่กำลังนั่งดื่มชาในศาลาถึงกับสะดุ้งรีบวิ่งออกมาดู และนั่นเองที่เป็นต้นเหตุให้องค์วังชอนซาพุ่งตัวขึ้นไปบนหลังคาอยู่ในตอนนี้

“พี่ยอนอาทำอะไรสักอย่างสิ ถึงวังชอนซาทรงบอกว่าเป็นวรยุทธ แต่จากที่ดู ข้าไม่ค่อยเชื่อเลย”

ไม่ต้องให้น้องสาวบอก ยอนอาก็คิดเช่นเดียวกัน แม้จะกระโดดทีเดียวขึ้นไปบนหลังคาได้ แต่นั่นน่าจะเรียกว่าความบังเอิญมากกว่า ก็ดูอย่างในตอนนี้สิ ท่าทางแบบนั้น จะทรงตัวอยู่บนหลังคาได้นานเกินสองอึดใจหรือเปล่ายังไม่รู้เลย!

กำลังคิดหาทาง เสียงคนบนหลังคาก็ร้องตะโกนขึ้นว่าจับลูกนกได้แล้ว ยอนอาจึงรีบร้องเรียกให้เจ้านายของเธอลงมาที่พื้น พร้อมทั้งรู้สึกโล่งอก

“รีบลงมาเถิดเจ้าค่ะ หม่อมฉันกับโซยอนหัวใจจะวายอยู่แล้วนะเจ้าคะ”

“นั่นสิเจ้าคะ รีบๆ ลงมาเถิด”

ซอนอินขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่พอใจที่เห็นว่านางกำนัลสาวทั้งสองไม่เชื่อในฝีมือตนเอง ถึงจะไม่เรียกว่าเก่งเหมือนอย่างราชครูยองจูที่เป็นผู้สอนทุกอย่างให้กับเขา แต่ใช่ว่าเขาจะไร้น้ำยาซะเมื่อไหร่ล่ะ!

“รู้แล้วล่ะน่า พวกเจ้านี่ขี้โวยวายเสียจริง!”

มือบางกอบกุมตัวลูกนกไว้ด้วยความระมัดระวัง แต่ในขณะที่กำลังจะกระโดดลงไปยังพื้นเบื้องล่าง นัยน์ตาคู่สวยก็เหลือบเห็นแผ่นกระดาษเล็กๆ ผูกติดกับข้อเท้าของลูกนกไว้เสียก่อน และเมื่อจัดการเขี่ยแผ่นกระดาษออกมาดู เห็นหมึกสีแดงเล็กๆ ที่เพ่งมองดีๆ แล้วก็พบว่ามันเป็นตราสัญลักษณ์ชนเผ่าเชินอัน

นั่นหมายความว่า ราชครูยองจูกำลังจะมาช่วยเขาใช่ไหม!

ด้วยความดีใจ ทำให้ร่างบางเผลอปล่อยให้ความสมดุลในร่างกายสลายไป เป็นเหตุให้ร่างทั้งร่างเซไปทางขวาซึ่งเป็นแนวราบดิ่งของหลังคา ซ้ำปลายสุดขอบนั้นอยู่พ้นขอบเขตกำแพงของตำหนักโยกัน

“วังชอนซาทรงระวังเจ้าค่ะ!!!”

สิ้นเสียงของสาวใช้ทั้งสองคน เสียง ‘ฟุบ’ ของวัตถุตัดผ่านอากาศก็ดังขึ้น พร้อมกับที่ร่างของหงส์แสนงามหายลับไปนอกกำแพงเรียบร้อยแล้ว
 

ตุบ!


เปลือกตาบางหลับแน่นด้วยความกลัวเมื่อตกลงสู่พื้นเบื้องล่าง กำลังจะกรีดเสียงร้องด้วยความเจ็บ หากแต่ร่างกายกลับไม่ได้รู้สึกถึงความเจ็บแม้แต่น้อย ซ้ำยังไม่รู้สึกถึงพื้นดินด้วยซ้ำ!

ซอนอินค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ ในตอนนั้นเอง ถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าตนเองกำลังนอนทับใครบางคนอยู่

“ขะ ข้าขอโทษ! เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?!...โอ้ย!~” ทั้งที่เอ่ยปากถามคนใต้ร่าง แต่ตัวเองกลับร้องด้วยความเจ็บเสียนี่ สงสัยว่าตอนที่ตกลงมา แขนคงไปฟาดกับขอบกำแพง

“เจ้าต่างหาก เป็นอะไรหรือไม่” ชายหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายเอ่ยถามคนตัวเล็กกว่าอย่างเป็นห่วง เขาจับร่างบนตัวให้ลุกขึ้นยืนแล้วประคองสองไหล่บางไว้หลวมๆ ก่อนจะหันไปสั่งนายทหารรอบกำแพงตำหนักที่ตีวงเข้ามาดูอย่างตกใจให้กลับไป ประจำที่

“แย่ล่ะสิ เจ้าเลือดไหลด้วย ให้ข้าพาไปส่งในตำหนักแล้วกันนะ”

ซอนอินเงยหน้าขึ้นมองสบชายร่างสูงโปร่งด้วยน้ำตาคลอเบ้าอย่างซาบซึ้งในบุญคุณ แล้วพยักหน้ารับหงึกหงัก มือข้างหนึ่งยังคงกอบกุมลูกนกตัวน้อยไว้ไม่ยอมปล่อย รวมถึงแผ่นกระดาษเล็กๆ ในมืออีกข้างที่พยายามยัดมันเข้าไปในชายแขนเสื้ออย่างสุดความสามารถ

“อ๊ะ! องค์ชายรอง” นางกำนัลสาวที่เพิ่งวิ่งออกมาจากตำหนักร้องทักเสียงดังพร้อมน้อมกายต่ำถวายความเคารพ

“ไม่ต้องมากพิธีหรอก รีบไปเตรียมน้ำอุ่นกับผ้าสะอาดมา ข้าจะรีบทำแผลให้วังชอนซา”

“เอ๋ เจ้ารู้จักข้าด้วยหรือ?” ขนาดเขายังไม่รู้จักอีกฝ่ายเลย แต่ทำไมพ่อหนุ่มรูปหล่อหน้าตาดีถึงได้รู้จักเขากันเล่า?! ซอนอินเอ่ยถามพลางเดินตามแรงพยุงไปยังที่นั่งในห้องรับแขก

เจ้าของดวงหน้าเรียวคมยิ้มบางแล้วเอ่ยตอบเสียงนุ่ม “ไม่มีใครไม่รู้หรอกว่าในเพลานี้ ตำหนักโยกันคือสถานที่ต้อนรับองค์วังชอนซา”

เหอๆ ซอนอินยิ้มแหยๆ ให้กับบุรุษตรงหน้า ไอ้คำว่าสถานที่ต้อนรับเนี่ย มันดูไม่ค่อยจะน่าเชื่อถือสักเท่าไหร่เลยนะ

ไม่นานนัก ข้อศอกซ้ายของซอนอินก็ถูกพันผ้าสีขาวอย่างเรียบร้อย รวมถึงนกน้อยที่บาดเจ็บตรงปีกซ้ายถูกทายาและนำไปใส่ไว้ในกรงเรียบร้อยด้วยเช่นกัน

“จริงสิ เมื่อครู่ข้าได้ยินพวกนางเรียกว่าองค์ชายรอง? เจ้าเป็นน้องชายขององค์ชายชองจีรยงหรือ?” ระหว่างที่นั่งจ้องเจ้านกน้อยในกรงนอนพะงาบๆ ดวงหน้าขาวหมดจนก็หันไปหาชายหนุ่มในชุดสีฟ้าอ่อน

“ข้าเป็นน้องชายต่างมารดาของเสด็จพี่จีรยง ชื่อของข้าคือ ชองจีมุน”

“ชอง จีมุน...อื้ม! ข้ารู้สึกถูกชะตาเจ้ามากเลย ให้ข้าเรียกเจ้าว่า จีมุน ได้ไหม? ส่วนเจ้าก็เรียกข้าว่า ซอนอิน ตกลงตามนี้นะ!” สรุปเองเสร็จสรรพก็ระบายยิ้มกว้างให้กับคนตรงหน้า วินาทีแรกที่ซอนอินเห็นจีมุน ฝ่ายนั้นให้ความรู้สึกเหมือนกับราชครูยองจูไม่ผิด ทั้งรูปลักษณ์สูงสง่าอ่อนโยน ไม่ต้องบอกก็รู้ ว่าชายหนุ่มคนนี้เก่งเรื่องบุ๋นอย่างหาตัวจับยากอย่างแน่นอน

งดงามจริงๆ...แม้จะเคยได้ยินคำร่ำลือมามากมายนักถึงความสวยงามของวังชอนซา หากแต่เมื่อได้มาเห็นกับตาตัวเอง จีมุนก็ถึงกับทำอะไรไม่ถูก จู่ๆ หัวสมองก็ว่างเปล่าคิดอะไรไม่ออกเสียดื้อๆ

“นี่ จีมุน เจ้าจะมาหาข้าที่นี่บ่อยๆ ใช่หรือเปล่า?” เสียงหวานเอ่ยถามด้วยความคาดหวัง สามวันมานี้จีรยงคนบ้านั่นไม่โผล่มาให้เห็นนับว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก หากแต่การอยู่คนเดียวเงียบๆ มันก็น่าเบื่อ จะคุยอะไรกับสาวใช้ พวกนางก็ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรนอกไปจากเรื่องของสาวใช้ที่พวกนางเป็นอยู่นั่นแหละ
 

ขณะที่พยักหน้าตอบรับความต้องการของคนสวย จีมุนก็นึกขอบคุณสวรรค์นับพันครั้ง ที่ทำให้ตนได้มีโอกาสรู้จักกับคนตรงหน้านี้ เพราะหากไม่ใช่ความบังเอิญที่หงส์แสนงามตัวนี้ไม่พลัดตกลงมาจากฟากฟ้าให้เขาได้โอบอุ้ม เขาก็คงไม่มีทางคิดจะเข้ามาในตำหนักโยกันนี้อย่างแน่นอน
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-


จบตอน

ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
บทที่ 4



เมื่อดวงอาทิตย์ใกล้ลาลับเส้นขอบฟ้า ไอแสงอ่อนยามโพล้เพล้ก็ได้สาดส่องย้อมทุกสรรพสิ่งบนตรอกถนนซินชนให้กลายเป็นสีแดง ร้านรวงมากมายเริ่มพากันเก็บข้าวของ ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ข้างทางก็ไร้เพิงร้านค้า รวมถึงผู้คนที่เริ่มบางตา ช่วงเวลานี้ สถานที่ที่คึกคักจึงหนีไม่พ้นโรงเตี๊ยม ภัตตาคารอาหาร และหอเริงรมย์ทั้งหลาย

เนื่องจากเป็นเวลามื้อเย็น ภายในโรงเตี๊ยมชั้นหนึ่งของตันโย จึงเต็มไปด้วยลูกค้ามากมายที่ต่างจับจองโต๊ะเพื่อดื่มเหล้าสังสรรค์ เสียงพูดคุยดังจอแจสลับกับเสียงช้อนเสียงตะเกียบที่กระทบภาชนะจานชาม ที่ด้านหนึ่งของโถงชั้นล่างนั้น บุรุษต่างถิ่นในชุดคลุมสีขาวได้นั่งลงที่โต๊ะตัวริมสุด

“พี่ชายท่านนี้จะรับอะไรดีครับ?”

เด็กหนุ่มในร้านเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มสดใส เขาจดรายการอาหารเพียงสองอย่างจากชายร่างสูงตรงหน้าแล้วจึงเดินกลับไป

ปาร์คยองจู ถอนหายใจเบาเมื่อนึกถึงเรื่องหนักใจที่ยังหาหนทางแก้ไขไม่ได้ จะว่าไม่มีทางเลยมันก็ไม่ใช่ แต่การจะลงมือทำนั้นเสี่ยงต่อการถูกจับมากเกินไป การจะช่วยวังชอนซาออกมาจากวังหลวงฮานึล จะต้องไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ เกิดขึ้นทั้งสิน

ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าวังชอนซาถูกลักพาตัว แม้แต่คนของเชินอันเอง หากเรื่องนี้ถูกเปิดเผย ฮานึลจะไม่ไว้ชีวิตวังชอนซา ดังนั้นการที่องค์ราชินีส่งเขามายังฮานึลนั้นจึงเป็นเรื่องที่ผิดต่อข้อตกลงที่ชองจีรยงทิ้งข้อความไว้กับองค์กษัตริย์เชินอัน และเมื่อใดที่ทางฮานึลรู้ว่าเขากำลังเคลื่อนไหวเพื่อช่วยวังชอนซาแม้เพียงเล็กน้อย ก็เท่ากับว่าทางเชินอันไม่ยอมรับข้อเสนอจากฮานึล

เมื่อนั้น วังชอนซาจะต้องสิ้นลมหายใจ

และเขา ในฐานะราชครูของวังชอนซา จะไม่ยอมให้เรื่องนั้นเกิดขึ้นแน่

กระบี่เงินที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าถูกผู้เป็นเจ้าของบีบกระชับแน่น ความโกรธพวยพุ่งอยู่ในอกเมื่อนึกย้อนกลับไปในคืนที่ตนหลงกลกับดักที่ชองจีรยงวางไว้ สายสืบของเขาโดนต้มเสียจนไม่เหลือชิ้นดี จากข่าวว่าจะมีโจรจากฮานึลบุกเข้าวังทางทิศตะวันออก กลับกลายเป็นว่า ทั้งเวลาและสถานที่ที่ถูกบุกรุกเข้ามานั้นผิดเพี้ยนไปหมด พอรู้ตัวก็สายไปแล้วเมื่อเขากลับไปที่ตำหนักวังชอนซาก็พบเพียงความว่างเปล่า เหลือเพียงม้วนกระดาษข้อความที่วางทิ้งไว้บนเตียง

น่าแค้นใจนัก!

คำสบถนั้นดังก้องอยู่ในใจ ในเวลานี้มีแต่ความรู้สึกเจ็บแค้นคับแน่นอยู่เต็มอก ทั้งตัวเองที่สะเพร่า ทั้งชองจีรยงที่มีอายุน้อยกว่าตนแต่กลับทำให้คนอย่างเขาหลงกลเอาได้ แล้วนี่ก็ยังทำอะไรไม่ได้เลยนอกไปจากการส่งข่าวให้กับลูกศิษย์ได้รู้ว่าตนกำลังหาทางช่วยอยู่

ไม่รู้ว่าหลายวันที่ผ่านมานี้ ซอนอินจะเป็นอย่างไรบ้าง เด็กคนนั้นยิ่งชอบคิดว่าตัวเองเก่งอยู่ด้วย ทั้งที่ความจริงแล้วไม่ว่าเขาจะสอนอะไรไปก็ดูจะเป็นการเรียนรู้แบบขอไปทีเสียหมด หากไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นก่อนที่จะช่วยได้คงดี

ระหว่างที่คิดคาดการณ์ไปต่างๆ นาๆ อยู่นั้น เสียงจากกลุ่มคนที่โต๊ะด้านหน้าทางซ้ายก็ดังแทรกความคิด ความจริงแล้วคนกลุ่มนั้นพูดเสียงดังมาตั้งแต่ที่ยองจูเดินลงมาที่ชั้นล่างนี้แล้ว แต่เพราะสิ่งที่คนพวกนั้นพูดคุยกันเป็นเรื่องไม่น่าสนใจเลยแม้แต่น้อย คนเมาก็มักพูดเอะอะไปเรื่อย จะน่าสนใจก็ตรงประโยคล่าสุดนี่แหละ ที่ทำให้ร่างสูงเกร็งตัวขึ้นมาเล็กน้อยแล้วรวบรวมสติตั้งใจฟัง

“ฮ่าๆ ใช่ๆ ตอนที่ทัพหลวงกลับมา ข้าเองก็เห็นเหมือนกัน หูย พูดก็พูดเถ๊อะ คุณชายตระกูลคิมนี่สวยยิ่งกว่าผู้หญิงในหอนางรมย์อี๊ก! เอิ๊กกก” คนพูดตบโต๊ะป้าบใหญ่แล้วซัดเหล้าไปอีกหนึ่งจอก พร้อมกับหัวเราะร่วนลงคอ

“ใช่ๆ ข้าเห็นด้วย ยิ่งคนเล็กนี่สวยที่สุดแล้ว เห็นว่าองค์ชายใหญ่ถึงกับขอให้คุณชายฮีอูเข้ามาอยู่ในวังด้วยนะ”

“แน่นอนสิ! จะให้เทียวไปเทียวมาระหว่างบ้านขุนนางกับพระราชวังบ่อยๆ ได้อย่างไรเล่า เจ้าไม่รู้หรือไง ว่าคิมฮีอูน่ะ เป็นคนโปรดขององค์ชายใหญ่ยิ่งกว่าใครเลยนะ น้องสาวของข้าที่เป็นนางกำนัลในวังเล่าว่า ถึงแม้จะมีตำหนักให้คุณชายฮีอูเป็นส่วนตัว แต่เกือบทุกคืนองค์ชายใหญ่ก็จะเรียกหาให้คุณชายฮีอูไปนอนที่ตำหนักของพระองค์อยู่ตลอด”

ชายร่างท้วมที่นั่งกระดกเล่าอยู่เมื่อครู่พยักหน้าหงึกหงักไปตามที่เพื่อนร่วมโต๊ะเอ่ยบอก “ถูกต้องๆ เป็นข้า ข้าก็อยากให้อยู่ใกล้ๆ เหมือนกันนั่นล๊า~ คิดดูสิ ก็สวยซะขนาดนั้น นี่ๆ น่าเสียดายนะ ที่พวกเราไม่เห็นวังชอนซา ข้าล่ะอยากรู้นัก ว่าระหว่างคุณชายฮีอูที่วันนั้นแต่งเป็นหญิงแล้วถูกองค์ชายใหญ่อุ้มขึ้นซ้อนม้า กับวังชอนซาที่ใครๆ ต่างก็ล่ำลือว่างดงามราวกับองค์เทพ ผู้ใดจะสวยกว่ากัน”

“ข้าว่าไม่มีใครงามเท่าบุรุษแห่งฮานึลร๊อก ยังไงคุณชายฮีอูก็ครองใจข้าล่ะ”

“แต่ข้าว่าองค์วังชอนซาต้องงดงามกว่าไม่ผิดแน่ พวกเจ้าไม่รู้อะไร ข้าน่ะเคยถูกส่งไปขายของที่เชินอัน แล้วบังเอิญไปตรงกับวันที่เค้ามีพิธีอะไรสักอย่าง ข้านั่งหลบอยู่ข้างทาง แล้วขบวนแห่ก็เดินผ่านหน้า ข้ายังจำติดตาได้ถึงตอนนี้เลย ว่าใบหน้าขององค์ราชินีเชินอันที่อยู่ห่างไกลกับข้านั้นงดงามเพียงใด ช่างเป็นสตรีที่สวยสมฉายางามเพียงหนึ่งเดียวจริงๆ! ...ถึงแม้ว่าจะน่าเสียดายก็เถอะที่วังชอนซาใส่ผ้าคลุมปิดหน้า ข้าก็เลยไม่เห็น”

“แล้วอย่างไรเล่า แม่ลูกอาจไม่เหมือนกันก็ได้” คนที่นั่งตรงข้ามแย้งกลับ “แต่พูดก็พูดเถอะ นี่ก็หลายวันมาแล้วตั้งแต่ที่วังชอนซามาอยู่แคว้นเรา ทั้งที่งานเฉลิมฉลองแสดงความขอบคุณเรื่องไฟป่านั่นก็ผ่านมาแล้ว แต่ทางวังหลวงไม่เห็นเชิญองค์วังชอนซาออกมาให้พวกเราได้เห็นกันเลย...พวกเจ้าว่ามันแปลกไหม?”

จากการที่ดื่มสังสรรค์คุยเรื่องสัพเพเหระมั่วซั่วไปเรื่อยกลายเป็นนั่งหน้าเครียดคิ้วย่นกันไปทั้งโต๊ะ เป็นความจริงที่ว่าจนถึงบัดนี้พวกชาวบ้านก็ยังไม่มีโอกาสได้เห็นราชทูตแสนงามจากเชินอันแม้แต่น้อย พิธีแสดงความขอบคุณที่จัดอย่างยิ่งใหญ่เมื่อสามวันก่อนนั้นก็มีแต่พวกขุนนางคอยจัดการเพียงเท่านั้น

“คงไม่แปลกหรอกมั้ง วังชอนซาเป็นคนของเผ่าชินซอง ทุกคนก็รู้ว่าคนเผ่านี้น่ะเก็บตัวขนาดไหน อ๊ะ! จริงสิ!!” ชายตัวผอมซีดทุบกำปั้นลงกับฝ่ามือเมื่อนึกเรื่องดีๆ ขึ้นมาได้ “อีกไม่กี่วันก็จะมีพิธีแต่งตั้งองค์รัชทายาทแล้วนี่? ไม่แน่ว่า วันนั้นที่แท่นพิธีสาบาน องค์วังชอนซาอาจได้รับเกียรติ์ให้เข้าร่วมด้วยก็ได้นะ!!”

เสียงพูดคุยออกความเห็นกันอย่างครึกครื้นของชายกลุ่มนั้นยังคงดังต่อเนื่องไปอีกจนกระทั่งร่างสูงที่นั่งอยู่ด้านหลังนั้นลุกออกไปจากโต๊ะหลังทานอาหารเรียบร้อยแล้ว

ยองจูเดินกลับเข้าห้องพักที่อยู่ในโรงเตี๊ยมชั้นสาม เขาวางกระบี่คู่ใจลงกับโต๊ะข้างเตียง พลางทิ้งตัวลงนั่งบนฟูกนอน นัยน์ตาเรียวคมสีดำสนิทมองตรงไปข้างหน้าแน่นิ่ง ซึ่งสิ่งที่อยู่ตรงข้ามสายตานั้นคือโต๊ะกระจก

ในบานกระจกเงานั้นราวกับมีม่านหมอกบางๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้าของชายหนุ่มร่างสูงที่นั่งอยู่บนเตียง และเพียงชั่วเสี้ยววินาทีเมื่อไอควันสีจางนั้นมลายหายไป เนตรสีเพลิงก็จ้องตอบกลับมายังบานกระจกนั้น

โชคดีเสียจริงที่ตราหยกนั้นตกอยู่ในมือของคิมฮีอู

รอยยิ้มเฉียบบางระบายอยู่บนใบหน้าหล่อเหลา ตั้งแต่ที่พบว่าตราหยกที่ท่านพ่อมอบให้มาตั้งแต่ที่ตนได้รับแต่งตั้งให้เป็นราชครูนั้นหายไป มาจนถึงวันนี้เขาก็มั่นใจแล้วว่าได้ทำตกไปตอนที่ช่วยหญิงงามคนนั้น จากที่คิดว่าจะตัดใจเพราะถึงอย่างไรก็คงไม่ได้คืน กลับกลายเป็นว่าหญิงงามผู้นั้นที่ตนเห็นว่าองค์ชายชองจีรยงพาขึ้นซ้อนม้าไปวันนั้นกลับเป็นคุณชายที่อาศัยอยู่ในวังหลวงไปเสียนี่

ชนเผ่าชินซองนั้นมีความลึกลับมากมายที่ถูกซ่อนเก็บไว้ ความสามารถเหนือธรรมชาติคือวิชาลับที่คนภายนอกไม่อาจล่วงรู้ได้ แต่ละคนในเผ่าชินซองนั้นมีความพิเศษในตัวหลายรูปแบบแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด สำหรับปาร์คยองจู นอกจากความสามารถด้านการจำเป็นเลิศแล้ว การเรียนรู้ที่รวดเร็วก็นับเป็นความสามารถขั้นสูงที่หาจากคนรุ่นใหม่ได้ยาก ดังนั้นวิชาต่างๆ ที่ถูกสั่งสอนมาจากญาติผู้ใหญ่รุ่นเก่ามาตั้งแต่เด็ก ในเวลานี้ชายหนุ่มจึงถือเป็นผู้ที่เก่งกาจอันดับต้นของชนเผ่าเลยทีเดียว

แม้ยองจูจะมีอายุเพียงยี่สิบห้า แต่ความสามารถนั้นก็เป็นที่ประจักษ์ต่อยุทธภพไม่น้อย

นัยน์ตาสีแดงฉานที่ปรากฏอยู่นี้คือหนึ่งในวิชาที่ได้ฝึกฝนมา ตราหยกที่หายไปนั้นไม่ใช่แผ่นหยกธรรมดา แต่ยังมีไอบางอย่างที่แฝงเร้นไว้ นั่นทำให้ยองจูรู้ว่าวัตถุชิ้นนั้นอยู่กับใครคนหนึ่ง เขาสามารถรับรู้ได้ว่าตราหยกอยู่กับใครบางคนที่จับต้องของสิ่งนั้นอยู่บ่อยครั้งได้ เพราะหากใครคนนั้นมีความคุ้นเคยต่อแผ่นหยกนี้มากเท่าไหร่ การมีตัวตนของคนคนนั้นก็จะแสดงให้ผู้เป็นเจ้าของรับรู้ได้แม้กระทั่งตำแหน่งของคนคนนั้นว่าอยู่ที่ใด

หรือแม้กระทั่ง ล่วงรู้ความนึกคิดของอีกฝ่ายได้ หากว่าคนผู้นั้นมีความคุ้นเคยกับวัตถุเป็นอย่างมาก

แววตาสีเพลิงเปล่งประกายวาววาบอีกครั้งเมื่อเจ้าตัวพยายามมองให้เห็นความเป็นไปของผู้ที่มีตราหยกของตนติดตัว การรวมสมาธิขั้นสูงนี้เองที่ทำให้พลังธาตุในกายของร่างสูงเผยออกมามากกว่าปกติ ทั้งดวงตาสีแดง ทั้งไอควันสีจางที่หมุนวนอยู่รอบกาย สิ่งเหล่านี้บอกแน่ชัดว่า ปาร์คยองจูอยู่ในกลุ่มคนจำพวกธาตุไฟ

และในตอนนี้เขากำลังหวังว่าคิมฮีอูจะให้ความสนใจกับตราหยกมากกว่านี้อีกสักนิด บางที การช่วยวังชอนซาออกมาจากวังหลวงฮานึล คงไม่ยากนัก
 

...มากกว่านี้ คิมฮีอู สนใจให้มากกว่านี้สิ...
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

“คุณชายดูอะไรอยู่หรือคะ?” เสียงสาวใช้นันโซเอ่ยสดใสขณะวางของว่างลงที่โต๊ะในศาลากลางสวน “เอ๋ นี่มันตราหยกนี่คะ เป็นของผู้ใดกัน?”

ร่างเล็กพรูลมหายใจเบาแล้วเท้าคางจ้องมองวันตุเย็นเฉียบในมือ พลันในอกก็อุ่นวาบเมื่อนึกถึงดวงตาคมเข้มของบุรุษปริศนาผู้นั้นที่จ้องมองลงมาที่เขา ฮีอูกำหยกเย็นในมือแน่นแล้วหลับตาลง

อยากรู้จัก...

นั่นคือความปรารถนาในใจที่ก่อตัวขึ้นอย่างที่ฮีอูเองก็ไม่คิดว่าตัวเขาจะต้องการรู้จักชายหนุ่มผู้นั้นมากถึงเพียงนี้ เป็นครั้งแรกที่หัวใจสั่นไหวเพียงแค่ได้สบตา และเป็นครั้งแรก ที่เขานึกถึงชายอื่นอยู่ตลอดเวลา ทั้งที่ตลอดสิบเจ็ดปีที่ผ่านมา ชีวิตของเขามีเพียงองค์ชายชองจีรยงเท่านั้น

“ไม่เห็นจะเข้าใจเลย...”

“เอ๋? คุณชายว่าอะไรนะคะ?”

“เปล่า” ศีรษะกลมส่ายไปมา มือเล็กเอื้อมหยิบขนมสีหวานขึ้นทาน ก่อนจะมองซ้ายขวาหาเจ้าตัวซนที่เมื่อครู่ยังวิ่งไล่จับผีเสื้ออยู่ไม่ไกลเพื่อที่จะป้อนขนมให้ “อ๊ะ! อิงอิงหายไปไหน?!”

ฮีอูลุกพรวดขึ้นอย่างตกใจ มือเล็กสอดแผ่นหยกเก็บไว้ในอกเสื้อแล้วหันไปสั่งให้นางกำนัลสาวออกไปหาดูที่ด้านหลังตำหนัก ส่วนตนก็วิ่งออกมายังด้านหน้าด้วยความร้อนใจ

เนื่องจากสองสามวันมานี้เมฆฟ้าครึ้มฝนอยู่บ่อยครั้ง เมื่อช่วงเช้าก็มีเม็ดฝนตกประปรายอยู่หลายชั่วยาม ทำให้ดินบริเวณแปลงสวนหย่อมชื้นแฉะไปทั่วตลอดแนวข้างทางเดิน คนตัวเล็กจึงสังเกตเห็นรอยเท้าของเจ้าสุนัขจิ้งจอกเล็กๆ ที่ย่ำเดินลงไปบนดินเหล่านั้น

“เจ้าหมูอ้วนหนีเที่ยวอีกแล้ว!”

เจ้าของร่างเล็กบางตีหน้าเข้มขัดกับความสวยหวานของเจ้าตัวได้น่ารักเสียจนนายทหารเวรยามแถวนั้นหน้าแดงกันไปหมด สิ้นเสียงบ่นถึงสัตว์เลี้ยงแสนรัก บุตรชายของคิมฮยอนจาก็มุ่งหน้าเดินตามรอยเท้าของจิ้งจอกหิมะไปอย่างรวดเร็ว

 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

เมื่อพูดถึงวังชอนซา ย่อมนึกถึงหงส์แสนงามในกรงทองล้ำค่า

ตั้งแต่เล็กที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้นำในลัทธิของเผ่าชินซอง ในนามของคิมซอนอินก็ถูกบดบังด้วยชื่อฐานะแห่งตัวแทนเทพเจ้าทงซก ตัวตนของเด็กหนุ่มถูกความหวังและความศรัทธาของชาวบ้านกัดกร่อนความเป็นอิสระในชีวิต จากที่เคยเป็นเพียงโอรสที่ร่าเริงสดใสราวกับหงส์ฟ้าแสนงามแห่งท้องนภาเชินอัน บัดนี้กลับเป็นเพียงความงดงามที่ถูกเก็บซ่อนไว้อย่างมิดชิดคล้ายนกน้อยในกรงทอง

เป็นความสวยงามในความเดียวดายที่อ้างว้าง

สูงสง่า ล้ำค่า แต่ทว่า สิ่งเหล่านั้นแลกมาด้วยชีวิตที่ไร้อิสระโดยสิ้นเชิง

ซอนอินไม่เคยต้องการสิ่งเหล่านั้นแม้แต่น้อย ไม่เคยหวังให้ใครมากมายที่ไม่รู้จักมาสนใจ ไม่ต้องการฐานะตำแหน่งที่สูงส่ง เขาก็แค่ต้องการชีวิตที่สงบสุขเหมือนเด็กคนอื่น มีช่วงเวลาในแต่ละวันผ่านไปกับการเล่นกับเพื่อนๆ มีความทรงจำดีๆ กับพ่อแม่ที่สร้างร่วมกัน นอนหลับไปบนตักที่แสนอบอุ่นของแม่ นั่งหน้ากระจกปล่อยให้แม่คอยสางผมให้ในตอนเช้า ได้รับคำชมเมื่อเรียนได้ดีจากผู้เป็นพ่อ ที่เขาต้องการมันก็แค่นั้น...

การเป็นวังชอนซาให้ผู้คนมากมายเคารพนับถือ หากไม่ใช่เพื่อคำร้องขอของแม่แล้ว ซอนอินไม่ยินยอมที่จะเดินไปในเส้นทางนี้อย่างแน่นอน

เพราะแม้ว่าจะมีใครต่อใครคอยให้ความสำคัญมากเพียงใด หากแต่ในความเป็นจริงแล้ว นอกจากราชครูยองจู ซอนอินกลับไม่รู้สึกถึงใครอยู่เคียงข้างเขาเลย

ในแต่ละวันที่ผ่านมา เมื่อใดก็ตามที่เขามีความทุกข์ มีเรื่องที่ไม่เข้าใจ คนที่อยู่เคียงข้างคอยอธิบายเรื่องราวต่างๆ คอยรับฟังความรู้สึกของเขาก็มีแต่ราชครูยองจูเท่านั้น

แล้วในเวลานี้ ในเวลาที่มีความรู้สึกที่ไม่เข้าใจมากมายผุดขึ้นมาอยู่นี่ล่ะ ใครกันจะอธิบายให้เขาฟัง!

“ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ข้าก็ยังไม่มีใคร” น้ำเสียงหวานฟังเศร้าหมองไม่แพ้สีหน้าของเจ้าตัวแม้แต่น้อย

ซอนอินเท้าคางลงกับขอบหน้าต่าง ริมฝีปากบางเม้มเป็นเส้นตรงด้วยความเคยชิน ปลายนิ้วเรียวยาวยื่นออกไปเกี่ยวปลายคางนกตัวน้อยที่ได้รับบาดเจ็บ ซอนอินนำกรงนกมาแขวนไว้ที่ขอบหน้าต่างเพื่อที่อากาศเย็นๆ จะได้คอยพัดผ่านอยู่ตลอด และเขาก็ยังเลือกที่จะแขวนกรงไว้ที่หน้าต่างห้องนอน เพื่อว่าเจ้านกน้อยจะได้ไม่เหงา เพราะส่วนใหญ่แล้วห้องนอนคือที่ที่เขาอยู่บ่อยที่สุด

“นี่ เจ้านกน้อย เมื่อไหร่คนที่ส่งเจ้ามาจะมาช่วยข้าเสียทีล่ะ?”
 

จิ๊บ~
 

“เจ้าก็ไม่รู้เหรอ?” ซอนอินตีความหมายจากหัวกลมๆ ของนกน้อยที่ส่ายไปมา ความจริงแล้วเขาไม่รู้หรอกว่าเจ้านกสื่อสารอะไรกับตน เพียงแต่หลายวันมานี้ นอกจากนกตัวนี้แล้ว ซอนอินก็ไม่รู้จะคุยกับใคร ความอัดอั้นในใจที่ไม่สามารถบอกใครได้มันทำให้เขารู้สึกดีที่อย่างน้อยก็ได้ระบายมันออกมากับสิ่งมีชีวิตตรงหน้านี้

ซอนอินเลื่อนมือที่เท้าคางลงราบไปกับขอบหน้าต่าง ตามติดด้วยการซ้อนใบหน้าแนบลงไป นัยน์ตาสุกสกาวจ้องมองนกในกรง “แล้วเจ้ารู้หรือไม่ ว่าเหตุใด ในหัวของข้าถึงมีแต่ภาพของเจ้าคนบ้าอำนาจผู้นั้นวนเวียนอยู่ทุกเวลา”

เมล็ดข้าวเปลือกถูกปลายนิ้วขาวหยิบป้อนให้ผู้ป่วยตัวเล็ก “มันไม่ควรจะเป็นเช่นนี้ คนผู้นั้นใจร้ายกับข้า เป็นคนลักพาตัวข้ามาที่นี่ แต่ข้าก็ยังนึกถึงเค้า...ข้าไม่เข้าใจเลย ไม่เข้าใจจริงๆ”
 

จิ๊บ~
 

“งั้นเหรอ เจ้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกันใช่ไหม” รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าสวย “นั่นสินะ ขนาดว่านี่มันเป็นความรู้สึกของข้า ข้าเองยังไม่เข้าใจมันเลย”

...ทำไมนะ ข้าถึงลืมแววตาคมกร้าวคู่นั้นไม่ได้ ทำไมน้ำเสียงทุ้มหนักของคนผู้นั้นถึงได้ดังก้องอยู่ในหัวเช่นนี้ ทำไมนะ ทำไม...

...เพราะอะไรกัน คิมซอนอิน เจ้าต้องบ้าไปแล้วไม่ผิดแน่...
 


ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2



“วังชอนซาเพคะ องค์ชายรองมาเยี่ยมเพคะ!”

“จีมุนมาเหรอ!!” ร่างบอบบางผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ข้างหน้าต่างแล้วออกไปยังห้องรับแขกอย่างรวดเร็ว ปลายเท้าเล็กที่ก้าวพ้นขอบระดับพื้นที่กั้นระหว่างทางเชื่อมทั้งสองห้องนั้นพลันสะดุดด้วยความรีบร้อนของเจ้าตัว ซอนอินถลาไปข้างหน้าอย่างไร้สมดุล ก่อนที่ร่างทั้งร่าง รวมถึงดวงหน้าสวยจะแปะตุบเข้ากับอกกว้างของร่างสูงที่รีบปราดเข้ามาโอบรับ

“ทำไมเจ้าถึงขยันหาเรื่องเจ็บตัวบ่อยเช่นนี้เล่า” เสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างไม่สบายใจนักกับคนในวงแขน ซ้ำยังตีหน้าเข้มขมวดคิ้วใส่คนสวยเสียอีก

“ข้าไม่ได้ขยันหาเรื่องเจ็บตัวนะ มันช่วยไม่ได้นี่ ชุดที่เจ้าส่งมาให้ข้ามันยาวเกินไปต่างหาก!” โทษชุดเสียอย่างนั้น!

สองสาวใช้พี่น้องปิดปากหัวเราะคิกกับท่าทางของผู้เป็นนาย แม้จะขำเรื่องความไม่ยอมใครของคนสวย แต่แท้จริงแล้วพวกนางกำลังรู้สึกยินดีที่วันนี้วังชอนซาได้ยิ้มแล้ว สำหรับเรื่องชุดที่วังชอนซาทรงสวมอยู่ยาวไปนั้น ไม่เป็นเรื่องจริงแม้แต่น้อย

เมื่อสองวันก่อนวังชอนซาทรงบ่นว่าชุดของฮานึลหลากสีเกินไป ซ้ำเนื้อผ้าก็ยังหนากว่าของเชินอันมากกว่า ใส่แล้วรู้สึกไม่คุ้นเคย ครั้นจะให้ใส่ชุดเดิมที่ติดตัวมาทุกวันก็ไม่ได้ โซยอนซึ่งมีความสามารถด้านการเย็บจึงสรรหาเนื้อผ้าที่ใกล้เคียงมาตัดเย็บให้กับนายคนสวย แต่ก็ยังใช้ไม่ได้อยู่ดี โชคดีที่องค์ชายรองได้ยินเรื่องนี้เข้า จึงอาสาหาผ้าจากเชินอันมาให้ แล้วยังให้นางในวังเป็นคนตัดเย็บให้อีกด้วย แล้วอย่างนี้จะเกิดข้อผิดพลาดได้เช่นไรเล่า

“ไหน ให้ข้าดูหน่อยสิ” จีมุนจับคนตัวเล็กหมุนเป็นวงกลมหนึ่งรอบ แล้วปราดสายตาตั้งแต่ใบหน้าหวานลงไปยังปลายเท้าที่ถูกห่อหุ้มด้วยรองเท้าผ้าสีขาว ก่อนจะวกกลับมายังดวงตากลมโต “ข้าว่าไม่ใช่เพราะเสื้อผ้าที่ยาวไปหรอก แต่เป็นเพราะเจ้าตัวสั้นลงต่างหาก!”

“ชองจีมุน เจ้า!!!” เมื่อฝ่ามือขาวเริ่มง้างขึ้น เสียงหลุดหัวเราะของสาวใช้ก็ดังก้องไปทั้งตำหนัก

ยอนอาและโซยอนต่างพากันเดินหลบฉากปล่อยให้นายทั้งสองวิ่งไล่กันอยู่เช่นนั้น เห็นว่าองค์ชายรองทรงชอบแหย่องค์วังชอนซาเช่นนี้แล้ว สำหรับสาวใช้ที่เข้าวังมานานอย่างพวกนางนับเป็นเรื่องหาดูได้ยากยิ่งนัก ไหนเลยที่องค์ชายชองจีมุนผู้เงียบขรึมจะมีอารมณ์ขันได้ถึงเพียงนี้ ทั้งยังเข้าหาวังชอนซา ซึ่งเป็นคนในปกครองขององค์ชายใหญ่อีกเล่า...หาดูได้ยากนัก!

เสียงเอะอะเริ่มเงียบลงเมื่อคนร่างบางหมดแรงกระแทกตัวลงนั่งที่โต๊ะกลมกลางห้อง ดวงหน้าสวยแดงก่ำไปด้วยความเหนื่อยหอบ หลังจากที่ดื่มน้ำชาไปหลายอึก ซอนอินก็คว้าพัดติดตัวของคนข้างกายขึ้นพัดอย่างไม่เกรงใจ

“ข้านึกว่าวันนี้เจ้าจะไม่มาหาข้าเสียอีก”

“พอดีมีเรื่องให้จัดการเยอะน่ะ” ระหว่างที่เอ่ยตอบ จีมุนก็ยื่นมือเข้าเกลี่ยซับเหงื่อข้างแก้มใสให้แผ่วเบา “เจ้ารู้เรื่องที่เสด็จพี่ของข้าจะเข้ารับพิธีแต่งตั้งเป็นรัชทายาทแล้วใช่ไหม?”

ซอนอินพยักหน้าหงึกหงัก จะไม่ให้รู้ได้อย่างไร ต่อให้เจ้าคนบ้านั่นไม่มาที่นี่ก็เถอะ แต่สาวใช้ในตำหนักนี้ทั้งสองคนก็พร่ำพูดให้เขาฟังอยู่บ่อยครั้งว่าองค์ชายใหญ่ของพวกนางดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ ไม่จบไม่สิ้นเสียที

“อ้อ ที่เจ้าไม่ค่อยมาหาข้าก็เพราะเรื่องนี้?”

“ใช่ เป็นเพราะเสด็จพ่อตัดสินใจกะทันหัน ทำให้ตอนนี้ในวังวุ่นวายน่าดูเชียวล่ะ”

“เห็นว่าพรุ่งนี้แล้วใช่ไหมที่จะจัดงาน?”

จีมุนพยักหน้าตอบพลางรับพัดคืน “ข้าหวังว่าเสด็จพี่จะพาเจ้าเข้าร่วมงาน”

“ไม่มีทาง” มือขาวสะบัดไปมาตรงหน้า “คนอย่างพี่ชายเจ้าไม่คิดเอาเชลยศึกอย่างข้าไปออกงานหรอก” เอาแค่ว่าหมอนั่นจะแวะมาดูเขาที่นี่ว่าตายหรือยังเป็นครั้งที่สองก่อนเถอะ

ซอนอินฟึดฟัดอยู่ในใจ พลันความคิดก็เรียกสติให้ดวงหน้าสวยเงยขึ้นอย่างตกใจ “อ๊ะ!! ข้าหมายความว่า...”

“ไม่ต้องปิดข้าหรอก ข้ารู้ว่าซอนอินมาฮานึลในฐานะอะไร”

“งะ งั้นเหรอ” ค่อยโล่งอกหน่อย เกิดสุ่มสี่สุ่มห้าเปิดเผยออกไป มีหวังเขาได้ตายด้วยน้ำมือของเจ้าคนบ้าอำนาจนั่นสมใจแน่ ซอนอินยกมือตบอกปลอบใจตัวเองเบาๆ ก่อนจะถูกจีมุนเชยคางขึ้นให้สบตา

จู่ๆ ใบหน้าคมก็เลื่อนเข้ามาใกล้ ทำเอาร่างบางหายใจติดขัดขึ้นมาฉับพลัน

“อะ...อะไร?”

“เจ้าร้องไห้บ่อยงั้นหรือ?”

ก็แค่สองสามวันมานี่เอง! ซอนอินนึกคำตอบอยู่ในใจ แต่กลับเอ่ยตอบปฏิเสธสีหน้าจริงจัง “ข้าไม่ได้ร้องไห้เสียหน่อย! อย่าคิดว่าข้าจะกลัวที่ถูกจับมาเป็นเชลยนะ!” แม้ว่ามันจะจริงก็เถอะ “...บุรุษเชินอันน่ะเข้มแข็งมากกว่าที่เจ้าจะจินตนาการได้เสียอีก!!” ว่าไปนั่น แต่กลับก้มหลบสายตาร่างสูงเสียอย่างนั้น

แนบเนียนมากเลยแบบนี้!

จีมุนยิ้มบางให้กับท่าทางของคนตัวเล็ก เขาเชยคางมนนั้นขึ้นอีกครั้งแล้วทอดเสียงนุ่ม “ข้าก็ไม่ได้ว่าอะไรเสียหน่อย เพียงแต่ที่ถามก็เพราะเป็นห่วง อย่างไรเสีย ข้าก็ยังเห็นเจ้าเป็นแขกของฮานึลนะซอนอิน”

เรียวคิ้วบางขมวดเข้าหากันให้กับความอ่อนโยนของคนตรงหน้า “เจ้านี่ แน่ใจเหรอว่าเป็นพี่น้องกับองค์ชายชองจีรยง?”
 
 

กว่าที่แขกของตำหนักโยกันจะลากลับ ก็ล่วงเข้าพลบค่ำแล้ว

ภายในห้องอาบน้ำที่ด้านหลังตำหนัก เวลานี้อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมหวานจากถังไม้โอ๊คขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง ภายในอ่างไม้นั้นคือร่างบอบบางผู้มีผิวพรรณเนียนละเอียดกำลังนอนแช่น้ำอยู่อย่างสบายใจ โดยมีสองสาวใช้คอยกวักน้ำเช็ดร่างกายปรนนิบัติอยู่ใกล้ๆ

ยอนอาและโซยอนค่อยๆ ใช้ผ้าลูบทำความสะอาดผิวกายนุ่มอย่างตั้งอกตั้งใจ นายของเธอผู้นี้ช่างมีผิวพรรณที่งดงามเสียจนพวกนางที่เป็นหญิงเองยังอาย ทั้งความนุ่มลื่นและความขาวสะอาดอมชมพูเช่นนี้ เรียกได้ว่าหากมีผู้ใดพบเห็นเป็นต้องตกตะลึงอย่างแน่นอน เหมือนกับพวกเธอเองที่เข้ามาสรงน้ำให้กับวังชอนซาครั้งแรก...ในตอนนั้น อึ้งเสียจนหน้าแดงเถือกไปหมด เกือบลืมไปแล้วว่าตัวเองอยู่ที่ใด

“พอแล้วล่ะ” ซอนอินเอ่ยบอกพลางดันตัวขึ้นยืน เมื่อก้าวออกมาจากอ่างไม้ ผ้าผืนใหญ่ก็ถูกหุ้มมาที่ตัวทันที

ในตอนนั้นเอง ที่เสียงทุ้มของใครคนหนึ่งดังขึ้น “พวกเจ้าออกไปให้หมด” พร้อมกันนั้น เจ้าของเรือนร่างสูงสง่าในชุดว่าราชการก็ก้าวเข้ามาอย่างไม่สนใจว่าคนภายในห้องกำลังทำสิ่งใดอยู่

“เพคะองค์ชายใหญ่” สองสาวใช้รีบทำความเคารพแล้วผละจากอย่างรวดเร็ว พวกนางได้แต่นึกขออภัยอยู่ในใจให้กับสายตาวิงวอนแกมร้องขอให้อยู่ด้วยกันของคนสวย...ขอโทษนะเพคะวังชอนซา~

“คนไร้มารยาท” เมื่อเหลือกันอยู่เพียงสองคน ซอนอินก็เอ่ยจิกกัดบุรุษหนุ่มตรงหน้า มือเรียวดึงกระชับผ้าผืนบางที่คลุมตัวอยู่ให้แน่นขึ้น พลางนึกก่นด่าในใจ เวลาไหนไม่รู้จักมา เจ้าคนสมควรตายทำไมถึงเลือกมาเอาตอนนี้เล่า!

เห็นร่างบางพยายามดึงผ้าปกปิดเรือนร่างเสียเหลือเกิน จีรยงก็จุดยิ้มที่มุมปาก เขาสาวเท้าเข้าใกล้เชลยแสนงามอย่างไม่ลังเล อีกฝ่ายก็ถอยกรูดไปติดกำแพงอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิดเช่นกัน

เมื่อสิ้นหนทางหนี ใบหน้าขาวหมดจดที่ระเรื่อสีแดงอ่อนๆ ก็เงยขึ้นค้อนสายตาใส่ “เจ้ามีอะไรก็ว่ามาสิ!”

สบตาได้เพียงอึดใจ ซอนอินก็ต้องเสหน้าหนีไปอีกทาง

อากับกิริยานั้นทำให้คนมองนึกชมความงามของคนร่างบางไม่น้อย ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ถือได้ว่าเป็นคนที่สวยงามอย่างไม่มีข้อติจริงๆ

น่าเสียดาย ที่คนสวยเช่นนี้กลับมีฐานะสูงเกินกว่าที่ใครจะคิดเอื้อม หากว่าคนผู้นี้เป็นเพียงสามัญชน หรือแค่โอรสกษัตริย์ธรรมดาแล้วล่ะก็ การใช้ความงามหลอกล่อให้ติดกับคงเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยากเย็น เสียก็แต่ตอนนี้กลับมีตำแหน่งวังชอนซาที่พวกนักบวชเคารพนับถือ เรื่องการใช้ร่างกายคงเป็นเรื่องผิดบาปมหันต์ต่อชนเผ่า

หึ! แต่สุดท้าย คนผู้นี้ก็เป็นดังนกในกำมือของข้า หากวันใดข้าคิดอยากจะลิ้มลองแล้วละก็ ข้าไม่สนหรอกว่าเจ้าจะเป็นใคร มีฐานะอะไร เมื่อข้าต้องการ เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ

จีรยงลากปลายนิ้วแตะลงที่ช่วงลำคอเพรียวระหงด้านข้างอย่างต้องการหยอกเย้าอีกฝ่าย เห็นท่าทางของร่างบางแล้วก็นึกอยากจะแกล้งขึ้นมา เขาพ่นเสียงรอดไรฟัน “เจ้าจะกลัวอะไรนัก ข้าไม่พิศวาสเจ้าหรอกนะ”

ก็ไม่ได้หวังให้พิศวาสเสียหน่อย! ซอนอินหันขวับกลับมาจ้องดวงตารัตติกาลอีกครั้ง ริมฝีปากสีสดเม้มแน่น รู้สึกเดือดดาลกับท่าทางอีกฝ่ายอย่างสุดแสน ต้องการอะไรก็รีบๆ พูดมาเสียที ไม่เห็นจะต้องมายื้อเวลากันอย่างนี้เลย!

“ไม่สิ ข้าว่า คงเป็นเจ้ามากกว่าที่พิศวาสข้า” สิ้นคำพูดหลงตัวเองอย่างไม่มียางอายแล้ว ริมฝีปากอุ่นก็แนบลงใกล้ใบหูเล็ก “ทรงทำสีหน้าเชิญชวนหม่อมฉันเสียเหลือเกินนะ องค์วังชอนซา”

สรรพนามที่ถูกเรียกเปลี่ยนไปนั้นทำให้หัวใจของคนฟังเต้นแทบไม่เป็นจังหวะ ไอร้อนที่เป่ารดอยู่ข้างแก้มยิ่งกระตุ้นให้เลือดสูบฉีดบริเวณนั้นมากยิ่งขึ้น มือที่กุมผ้าคลุมตัวอยู่คล้ายจะหมดแรง ความร้อนในตัวเกือบจะมีมากพอๆ กับไอควันร้อนภายในห้องอาบน้ำ

ซอนอินสูดหายใจเข้าลึกแล้วกลั้นใจหันไปสบดวงตาคม “เจ้ามีสิ่งใดก็ว่ามา หรือแค่จะมายั่วโมโหข้า?!!”

“ยั่วโมโหอะไรกัน หากเป็นยั่วยวนอารมณ์ละก็ใช่” ขาข้างหนึ่งของคนพูดแทรกเข้ากลางหว่างขาที่มีเพียงผ้าผืนบางปิดกั้นเรียวขาเล็กไว้เพียงเท่านั้น หน้าแข้งขององค์ชายใหญ่แห่งฮานึลจงใจเสียดสีเข้ากับส่วนกลางลำตัวของเชลยคนงาม

“เจ้าคนสารเลว! ถอยออกไปนะ!!” ดวงตากลมเบิกกว้างอย่างตื่นตกใจ สัดส่วนที่ไม่เคยถูกผู้อื่นแตะต้องกำลังถูกปลุกอารมณ์อย่างไร้เดียงสา มือบางข้างหนึ่งยกขึ้นดันอกแกร่งให้ออกห่างอย่างสั่นๆ

จีรยงยกยิ้มพอใจกับท่าทางหวาดกลัวของหงส์แสนงาม พอเห็นอย่างนี้แล้ว คิมซอนอินก็เหมือนกับลูกนกในกำมือของเขาจริงๆ นั่นแหละ!

ร่างสูงจงใจใช้ฝ่ามือหยาบกร้านแหวกผ้าคลุมสอดเข้าลูบหน้าท้องแบนราบ และช่วงเอวคอดจนร่างเล็กกว่าสั่นสะท้านไปทั้งกาย “นี่อย่างไรเล่าหลักฐาน เจ้าน่ะกำลังให้ท่าข้าอยู่ชัดๆ”

“หุบปาก อึก เดี๋ยวนี่นะ!!” ร่างบางตะโกนลั่นทั้งที่ลมหายใจสะดุดขาดห้วง แนวฟันขาวขบริมฝีปากตัวเองแน่นอย่างต้องการควบคุมร่างกายไม่ให้สั่นมากไปกว่านี้

“อ๊ะ!!!!” ซอนอินสะดุ้งเฮือกเมื่อถูกปลายนิ้วร้อนแตะโดนเนินอกข้างซ้าย

จีรยงกดปลายนิ้วลงบริเวณนั้นรุนแรง เสียงทุ้มดังก้องอยู่ใกล้ดวงหน้าแดงซ่าน “อย่าบังอาจขึ้นเสียงกับข้า!” เขาดันไหล่เนียนที่โผล่พ้นผ้าคลุมที่แทบหลุดลุ่ยติดกับกำแพงไม้อย่างไร้ความปราณี

ชายหนุ่มไม่สนใจเสียงหวานที่เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากสีแดงสดด้วยความเจ็บ “วันพรุ่งข้าจะมารับไปงานเลี้ยงตอนค่ำ จำเอาไว้ ไม่ว่าใครที่เข้ามาคุยกับเจ้า อย่าได้เปิดเผยว่าเจ้าเป็นเชลยเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าใจร้าย!”

แค่นี้ยังไม่เรียกว่าร้ายอีกหรือไงเจ้าคนน่ารังเกียจ!

“สายตาแบบนี้แปลว่าเข้าใจสินะ” ริมฝีปากหยักเผยยิ้มเยาะ ก่อนจะผละออกจากเรือนร่างบางแล้วใช้สายตาจ้องมองคนที่ยืนพิงกำแพงตัวสั่น ที่บัดนี้ทั่วทั้งเรือนกายชวนมองนั้นแดงก่ำไปหมด

สักอึดใจหนึ่งที่ดวงตากลมโตนั้นเชื่อมแสงเสียจนจีรยงเผลอจ้องมองอย่างไม่รู้ตัว กลิ่นหอมเย้ายวนจากผิวกายขาวก็คล้ายกับจะรุนแรงขึ้นกว่าในตอนแรก สีหน้าไม่ยอมแพ้แต่แฝงไว้ด้วยอารมณ์หวามไหวนั่นอีกเล่าที่ยั่วยวนคนมองได้ดีนัก โดยเฉพาะ ช่วงเรียวขาขาวที่โผล่พ้นชายผ้าอย่างใกล้สิ้นแรงนั้นก็เรียกสายตาของแม่ทัพหลวงที่เจ็ดให้จ้องมองได้ไม่ยาก

“ต้องการให้ข้าช่วยไหม?”

ช่วยกับผีน่ะสิ!

“มะ....ไม่ต้อง ข้ารู้แล้วที่เจ้าบอก แค่นี้ใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ออกไปได้แล้ว” ซอนอินเลือกที่จะไม่ใช้น้ำเสียงกระชากกับคนตรงหน้าอีก อันที่จริงถึงเขาจะอยากตะโกนด่าใส่มากแค่ไหน ในตอนนี้เขาทำไม่ได้ต่างหาก

แค่แรงยืนยังจะไม่มีอยู่แล้ว!

“ถ้าเช่นนั้น เชิญองค์วังชอนซาสรงน้ำต่อเถิด หม่อมฉันขอทูลลา”

วินาทีที่เงาของชองจีรยงหายลับไปจากฉากกั้นห้อง ซอนอินก็คว้าหินขัดตัวที่วางอยู่บนโต๊ะใกล้ๆ ขึ้นขว้างไปยังทิศทางนั้นสุดแรง “เลวที่สุด!!!!!”

ก่อนจะทรุดลงกับพื้นอย่างหมดแรง

“เกิดอะไรขึ้นเพคะวังชอนซา!” เสียงโครมครามที่ดังขึ้นเรียกให้สาวใช้สองคนที่คอยอยู่ด้านนอกทำท่าจะเข้ามาในห้องอาบน้ำ

“พวกเจ้าไม่ต้องเข้ามา!!”

“อ่ะ แต่ว่า...รับทราบเพคะ!” เสียงของโซยอนเงียบไปทันทีเมื่อโดนตวาดกลับมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เธอเองก็พอจะรู้แล้วว่านายของเธอเป็นอะไร
.
.
.

ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ข้าไม่เข้าใจเลย!

ทั้งความร้อนในกาย และยังไอความร้อนที่อบอวนอยู่รอบตัวยิ่งพัดพาความสงสัยให้ล่องลอยไปไกลอย่างไม่มีคำตอบ ความปรารถนาที่เกิดขึ้นนี้ยากที่คนอย่างคิมซอนอินซึ่งมีอายุเพียงสิบหกปีเศษจะเข้าใจ

เพราะไม่เคยอยู่ใกล้ใครอื่นนอกจากราชครูยองจู เพราะไม่เคยรู้จักเรื่องของการเติมเต็มในด้านความลุ่มหลงให้กับร่างกายตนเอง และเพราะนี่เป็นครั้งแรก สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาในเวลานี้จึงสร้างความยุ่งยากใจให้กับเจ้าของเรือนร่างบางไม่น้อย

ซอนอินมองหยาดน้ำสีขาวขุ่นในมือตนเองด้วยความสับสน ประสบการณ์ครั้งแรกในการช่วยตัวเองทำไมถึงได้แย่ขนาดนี้ ทำไมเขาถึงได้มีอารมณ์กับผู้ชายพรรค์นั้นได้ ไม่สิ ทำไมเขาถึงได้เกิดอารมณ์กับผู้ชายด้วยกันได้เล่า!!!
 

ย่ำแย่ที่สุด!
 
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-

จบตอน


ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2

บทที่ 5


ช่วงเวลาที่สาวใช้ของตำหนักโยกันพากันเข้านอนไปเกือบชั่วยามแล้วนั้น ร่างผอมบางของใครคนหนึ่งก็ย่องเงียบออกมายืนยืดเส้นยืดสาย บิดเอวไปมา ก่อนจะแหงนเงยใบหน้ารับสายลมเย็นของค่ำคืน โดยมีแสงสีนวลของจันทราอาบไล้ดวงหน้างดงามช่วยขับให้ผิวที่ขาวกระจ่างดูน่าหลงใหลมากยิ่งขึ้น

ซอนอินหลับตาแล้วสูดเอาอากาศสดชื่นเข้าเต็มปอด เฮ้อ~ ค่อยยังชั่ว หัวค่อยเย็นลงหน่อย!

หลังจากผ่านประสบการณ์สุดหฤหรรษ์เป็นครั้งแรกเมื่อตอนหัวค่ำ ไม่ว่าอย่างไรซอนอินก็ข่มตาให้หลับไม่ได้สักวินาที ทั้งใจ ทั้งความคิด ต่างก็ทรยศต่อต้านไม่ยอมหยุดพักเสียที สุดท้ายก็ได้แต่ต้องทนรอให้พวกยอนอากับโซยอนหลับไปก่อนกว่าจะได้ออกมาคิดอะไรคนเดียวอย่างนี้

ตั้งแต่เด็ก บ่อยครั้งที่ซอนอินมักนอนไม่หลับ และวิธีที่เขาเลือกใช้ฆ่าเวลานั้นก็คือการนอนเล่นบนหลังคา และในเวลานี้ เขาก็เลือกที่จะทำเช่นนั้น

เพียงแค่กระโดดครั้งเดียว ร่างบางในชุดสีขาวสะอาดก็ขึ้นไปอยู่บนหลังคาของตำหนัก

ซอนอินทรุดตัวลงนอนตามแนวราบของหลังคาอย่างไม่รีรอ นัยน์ตากลมโตส่องประกายระยิบยามที่ได้มองภาพเบื้องหน้า

ท้องฟ้าที่กว้างไกลสุดสายตา กลุ่มดาวมากมายที่เรียนอย่างไรเขาก็จำได้ไม่หมดเสียที เมฆที่ลอยเอื่อยราวกับไม่สนใจไยดีช่วงเวลาบนโลกที่ดำเนินไปในทุกทุกลมหายของทุกสรรพสิ่ง

เพียงแค่ได้มองภาพเหล่านี้ ซอนอินก็รู้สึกว่าใจของตนเองได้สงบลง ไม่ว่าจะมีเรื่องไม่สบายใจเรื่องใด หากได้มานอนมองท้องฟ้ายามค่ำคืนเช่นนี้แล้ว มันทำให้เขารู้สึกว่าเป็นอิสระทั้งความคิดและตัวเอง ราวกับทุกอย่างรอบกายล้วนไร้ค่า สิ่งที่มีอยู่ต่อหน้าของเขามีเพียงท้องฟ้าที่พร้อมจะรับฟังและมอบอ้อมกอดให้กับเขา

บางครั้ง ซอนอินก็เคยคิดว่า อาจจะเป็นอย่างที่ชาวบ้านเคยพูดไว้ ‘ผู้ที่เป็นตัวแทนของเทพเจ้าทงซก ก็เปรียบดังหงส์เพลิงแห่งทิศตะวันออก’ ดังนั้น ในเมื่อใครก็ตามถูกแต่งตั้งให้เป็นวังชอนซา นั่นก็เท่ากับว่าคนผู้นั้นก็ไม่ต่างจากนกที่บินอยู่บนท้องฟ้าแม้แต่น้อย

อุทิศตนเพื่อพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ อยู่อย่างโดดเดี่ยวเพื่อให้ใจเป็นบริสุทธิ์ ท้ายที่สุดแล้ว วังชอนซาก็มีเพียงแผ่นอัมพรไพศาลกว้างไกลนี้เท่านั้นที่คอยเป็นเพื่อนใจ แม้จะไปไม่ถึง หากแต่ใจก็ได้โบยบินไปยังดินแดนที่พร้อมจะให้แต่ความอิสระ

...ไม่ต่างอะไรกับนกในกรงที่ได้แต่รอวันโผบินไปสู่ท้องฟ้า
 

นึกๆ ดูแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้มานอนมองท้องฟ้าจากสถานที่อื่น นัยน์ตากลมโตเหลือบมองไปยังรอบๆ ภูมิทัศน์ของฮานึล แม้จะเป็นฟ้าเดียวกัน แต่ร่างบางกลับพบว่าฟ้าแห่งนี้ดูสวยงามกว่าฟ้าที่เชินอันอย่างไม่มีสาเหตุ

“ได้ยังไงกัน ทำไมเจ้าถึงได้ชมฟ้าของแคว้นอื่นเล่า!” ฝ่ามือบางยกขึ้นตบปากตัวเองไม่เบานักอย่างถี่ๆ พลันความคิดก็หวนถึงบ้านเกิดตนเองขึ้นมาจับใจ

นี่ก็ล่วงเข้าวันที่สิบแล้วที่มาอยู่ในวังหลวงของศัตรู ไม่รู้ว่าท่านพ่อและท่านแม่จะเป็นอย่างไรบ้าง ใช้กลอุบายต่อเวลากับฮานึลด้วยวิธีไหนเพื่อให้เขาอยู่อย่างมีลมหายใจเช่นตอนนี้ แล้ววิธีพวกนั้นจะยื้อเวลาได้สักเท่าไหร่กัน ...ชองจีรยงจะปล่อยให้เชินอันหาทางหลบเลี่ยงสงครามไปได้อีกสักกี่วัน

อ๊ะ! ดันไปนึกถึงเจ้าคนสมควรตายนั่นเสียได้! ซอนอินยกมือขึ้นตบแปะหน้าผากตัวเองอย่างเจ็บใจ อุตส่าห์หนีออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์เพื่อที่จะลืมเรื่องงี่เง่าเมื่อตอนหัวค่ำนั้นได้แล้วเชียว ในตอนนี้กลับนึกถึงใบหน้าของคนผู้นั้นขึ้นมาเสียได้!

 
“เหตุใดเจ้าถึงยังไม่กลับตำหนักอีก!!!”

หลอนไปแล้ว!

ซอนอินผุดลุกขึ้นนั่งทันทีที่ได้ยินเสียงทุ้มหนักตะโกนลั่นท่ามกลางความเงียบสงบของค่ำคืน มองรอบตัวก็ไม่เห็นมีใคร มานึกขึ้นได้ว่าคงจะมีผู้ใดปีนมานั่งบนหลังคานี้หรอกก็ยิ้มแห้งๆ ออกมากับตัวเอง ก่อนจะขยับตัวคลานสี่ขาไปใกล้ชายหลังคาของห้องครัว ขยับกายยื่นใบหน้าออกไปอีกนิด...เอ๋? นั่นมัน...
 

“ข้าถามว่าทำไมเจ้ายังไม่กลับตำหนักอีก!” คนที่ยืนตะโกนอยู่นั่นแทบจะเขย่าร่างเล็กๆ จนสั่นคลอนคล้ายเป็นโรคชัก

“ฮึก....อิงอิง....หม่อมฉันตามหาอิงอิงอยู่” ดวงหน้าแดงก่ำเงยขึ้นเล็กน้อยตามแรงมือใหญ่ที่จับปลายคาง เขาเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือสะอื้นไห้

“คนตั้งมากมายทำไมไม่ให้พวกเขาหา ทำไมเจ้าจะต้องออกมาตากลมตากน้ำค้างเองด้วย ชอบทำให้ข้าโกรธนักใช่ไหม คิมฮีอู!” แม้น้ำเสียงที่ใช้จะทุ้มกังวานอย่างน่ากลัว แต่คนร่างสูงกลับใช้สองมือประคองดวงหน้าขาวไว้อย่างทะนุถนอมพร้อมกับเกลี่ยซับหยดน้ำตาเม็ดใสให้แผ่วเบา

“ก็หม่อมฉัน...ฮึก รีบร้อนออกมา ใจก็กังวลกลัวว่าอิงอิงจะหายไป ฮึก...เดินตามรอยเท้าไปทั่ววัง รู้ตัวอีกทีฟ้าก็มืดแล้ว กำลังจะตัดใจกลับ ฮึก...องค์ชายใหญ่ก็เดินมาเอ็ดหม่อมฉันเสียก่อน ฮืออออ~” พร้อมกับเสียงร้องปล่อยโฮนั้น ร่างเล็กก็ซุกหน้าเข้าหาอกกว้างขององค์ชายใหญ่แล้วร้องไห้หนักหน่วง

ร่างที่สั่นเทิ้มอยู่แนบอกนั้นพาเอาอารมณ์คุกรุ่นของชายหนุ่มมลายหายไปเสียสิ้น อยากจะต่อว่ามากกว่านี้ก็ทำไม่ลง แค่เห็นน้ำตาที่ไหลออกมาเมื่อครู่ก็แทบทำอะไรไม่ถูกแล้ว

จีรยงถอนหายใจหงุดหงิดแล้วรวบแขนเข้ากับเรือนร่างเล็กบางแนบแน่นเพื่อใช้อ้อมกอดปลอบประโลมอย่างอ่อนโยน “เลิกร้องเสียที ยังไงวันนี้ก็กลับตำหนักก่อนเถิด แล้วข้าจะให้คนมาหาอิงอิงของเจ้าให้เอง”

“...ฮึก...ฮือออ” ศีรษะเล็กกลมพยักขึ้นลงอยู่กับอ้อมอกกว้าง ก่อนจะเงยดวงหน้าฉ่ำน้ำตาขึ้นสบสายตาคมเข้ม “ฮึก ...องค์ชายใหญ่ยังทรงสวมชุดว่าราชการอยู่อีกหรือ ดึกดื่นเช่นนี้แล้ว...ฮึก~”

คนตัวสูงกว่าอยากจะตอบกลับไปด้วยความโมโหว่า ก็เพราะใครกันถึงทำให้เขาไม่เป็นอันทำอะไรเมื่อพบว่าคนที่อยากจะเข้าไปกอดให้หายเหนื่อยกลับหายตัวไปเสียอย่างนี้ แต่พอเห็นดวงหน้าหวานนั้นเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งความเสียใจอย่างน่าสงสารแล้ว ชองจีรยงก็ได้แต่ทอดถอนใจเหนื่อยอ่อน แล้วว่า

“เรื่องชุดทรงของข้าเป็นหน้าที่ของเจ้าไม่ใช่หรือ” ใจความประโยคที่แฝงเร้นความหมายไว้อย่างไม่ปิดบังนั้นทำให้ดวงหน้าหวานซับสีเลือดแดงซ่านจนทั่ว แล้วยิ่งลามเรื่อยลงมายังลำคอเมื่อถูกประกบริมฝีปากอย่างนุ่มนวล

จูบลึกซึ้งอยู่ชั่วครู่ ริมฝีปากหยักได้รูปก็เคลื่อนเข้ากระซิบใกล้ใบหูเล็ก “กลับเถอะ ข้ารอให้เจ้าปรนนิบัติแทบไม่ไหวแล้ว”
 


วิญญาณของคิมซอนอินลอยออกจากร่างไปไกลแล้ว

ลับหลังของคนสองคนที่พากันเดินจากไปไกลแล้วนั้น ร่างบางบนหลังคาของตำหนักโยกันกลับยังนั่งนิ่งคล้ายหินรูปปั้นแกะสลักอยู่อีกหลายอึดใจ กว่าที่สติจะกลับมา

ถ้าเขาจำไม่ผิด หญิงงามที่เคยเห็นวันที่ถูกพาเข้าวังมา คือคนคนเดียวกับชายหนุ่มหน้าหวานผู้นั้นไม่ผิดแน่ ถ้าเช่นนั้น คนรักของชองจีรยงก็เป็นผู้ชายน่ะสิ?!!!

โอ้ สวรรค์ นี่หรือคือโลกภายนอกที่ข้าไม่รู้จัก?!

แผ่นหลังบางเอนราบลงกับกระเบื้องหลังคาอย่างอ่อนแรง มือขาวข้างหนึ่งยกขึ้นทาบหน้าอกตัวเองพลางจับเสียงหัวใจที่เต้นรัวแรงแทบจะทะลุออกมาเสียให้ได้ ภาพของคนสองคนที่ยืนแลกจูบกันเมื่อครู่นั้นทำให้อะไรบางอย่างในอกมันบีบรัดตัวอย่างแปลกประหลาด ความรู้สึกอิจฉาร่างเล็กของคนผู้นั้นก่อตัวขึ้นโดยไร้สาเหตุ

ซอนอินไม่เข้าใจเลยว่าทำไมตัวเองต้องอิจฉาคนผู้นั้นด้วย ไม่ใช่เรื่องเลยที่ชองจีรยงจะไปทำดีกับใครคนอื่นแล้วเขาต้องเก็บมาใส่ใจอย่างนี้ ไม่ใช่เรื่องเลยจริงๆ!

ใบหน้าเรียวสวยสะบัดไปมาอย่างต้องการไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป เจ้าคนร้ายกาจจะเป็นยังไงก็ช่าง ไม่เห็นต้องสนใจหรือใส่ใจแม้แต่น้อย นัยน์ตากลมโตฉายแววมุ่งมั่นกับความคิดตนเองอย่างเต็มที่ แต่ก็เพียงไม่นาน แผ่นอกบางก็กระเพื่อมขึ้นลงยามเจ้าของร่างถอนหายใจแผ่วเบา สายตาเลื่อนลอยไปยังหมู่ดาวบนท้องฟ้า
 

“ว่าแต่ ชองจีรยงกระซิบอะไรกับเด็กหนุ่มคนนั้นกันนะ?”
 

ไหนบอกจะไม่สนใจแล้วอย่างไรเล่าคิมซอนอิน!
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

เลวร้ายที่สุด!

คำบรรยายความรู้สึกนั้นดังก้องอยู่ในใจของร่างบางเป็นรอบที่สิบตั้งแต่เข้ามาในงานเลี้ยงเฉลิมฉลองพิธีแต่งตั้งองค์รัชทายาทแห่งแคว้นฮานึล

ซอนอินนั่งตีหน้านิ่งเฉยอยู่ที่ด้านหนึ่งของท้องพระโรงขนาดใหญ่ที่ถูกประดับประดาอย่างสวยหรู แขกเหรื่อมากมายต่างเสวนาคุยกันเสียงดัง ยกจอกชนจอกดื่มกินน้ำจัณฑ์กัน  ในสถานที่แห่งนี้นั้นถูกจัดแบ่งให้ขุนนางและแขกสำคัญนั่งอยู่โดยรอบเป็นวงกลม โดยที่ด้านหนึ่งจะถูกยกระดับให้สูงกว่าส่วนอื่นเนื่องจากเป็นที่ประทับของกษัตริย์และราชวงศานุวงศ์  ซึ่งองค์กษัตริย์นั้นอยู่แค่เพียงตอนเริ่มงานเท่านั้น พื้นที่ตรงกลางที่เว้นไว้นี้ก็เพื่อเป็นที่แสดงของคณะนางรำ และการแสดงอื่นๆ ที่น่าสนใจ

หากแต่ไม่ว่าจะสาวงามที่เผยผิวเนียนขาวของเนินสะโพก หรือหนุ่มผมยาวที่ควงไฟไว้ในมืออย่างน่าหวาดเสียว ไม่ว่าจะการแสดงอะไร กลับไม่เรียกความสนใจของคนสวยเลยได้แม้แต่อย่างเดียว

นอกไปจากคนที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากตนมากนัก

ไม่ใช่เพราะท่าทางเอาอกเอาใจกันไม่ห่างของกลุ่มสาวนางระบำสองสามคนที่คอยป้อนน้ำป้อนอาหารให้ร่างสูงนั่นหรอกนะที่เรียกสายตาของราชทูตคนงามไว้ได้อย่างนี้ แต่เพราะเจ้าคนที่เพิ่งได้รับอำนาจสูงสุดแห่งแคว้นฮานึลนี้ต่างหากเล่าที่ขยันส่งสายตามาจ้องมองเขาบ่อยเสียเหลือเกิน!

ชิ จะคลอเคลียกันก็ทำไปสิ ทำไมจะต้องคอยหันมามองเขาด้วย!

เขาเดาะลิ้นขัดใจพลางนึกรังเกียจคนผู้นั้นมากยิ่งขึ้น ตนก็มีคนรักอยู่แล้วยังจะหาความสำราญกับหญิงอื่นได้หน้าตาเฉย ไม่รู้จักมียางอายบ้างเลย ทำไมผู้ชายถึงชอบมีคนรักหลายๆ คนด้วยนะ มีคนเดียวไม่พอหรือไง โลภมากจริงๆ เลย!

ริมฝีปากบางเม้มแน่นยามที่มองไปยังพระมารดาของจีมุน ซึ่งเธอเป็นพระสนมเอกของกษัตริย์ฮานึล

...ดีนะ ที่เสด็จพ่อมีเพียงแม่ของข้าเพียงคนเดียว

แล้วนี่เมื่อไหร่จีมุนจะกลับมานะ ซอนอินเลื่อนสายตากลับแล้วชะเง้อคอมองผ่านผู้คนเพื่อหาคนที่ขอตัวไปต้อนรับราชทูตจากแคว้นใหญ่ฮีอูมันจาได้สักพักแล้ว

“องค์วังชอนซา ทรงทานอะไรบ้างสิพะย่ะค่ะ” เสียงของกึมซองดังอยู่ข้างหูทางฝั่งซ้าย พอจะหันไปทางด้านขวาก็เจอสายตานิ่งเฉยของโทซองมองกลับมา

“นี่! ข้าไม่หนีไปไหนหรอกน่า พวกเจ้าจะนั่งประกบซ้ายขวาข้าไปถึงเมื่อไหร่กัน?!” ซอนอินกัดฟันแล้วพูดเสียงต่ำให้พี่น้องฝาแฝดได้ยินกันส่วนตัว นอกจากจะไม่มีจีมุนนั่งเป็นเพื่อนแล้ว ยังต้องถูกสองคนนี้จ้องตาแทบไม่กระพริบอีก!

“ถึงจะตรัสเช่นนั้นก็เถิด แต่พวกหม่อมฉันต้องอยู่คอยถวายงานองค์วังชอนซาอย่างใกล้ชิดถึงจะถูกนะพะย่ะค่ะ” กึมซองเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มกว้าง เด็กหนุ่มคะยั้นคะยอลูกพลับที่ถูกแบ่งซีกแล้วส่งเข้าใกล้ริมฝีปากสีสดอยู่หลายครั้ง จนในที่สุดซอนอินก็ยอมอ้าปากรับแต่โดยดี

ขณะที่ย่นคิ้วขัดใจ ในปากยังเคี้ยวผลไม้หอมหวานหงุบหงับอยู่นั้น สายตาก็พลันไปสบกับรัชทายาทคนสำคัญอีกครั้ง

สิ่งที่ซอนอินเห็นคือ ร่างสูงที่โอบหญิงสาวร่างเล็กข้ามาหอมแก้มอย่างไม่สนใจสายตาผู้ใด ก่อนจะซุกไซ้จมูกเข้ากับลำคอของคนในอ้อมแขน ในจังหวะที่คนสวมกอดนั้นยื่นปลายลิ้นเข้าแตะผิวเนียนขาวบริเวณนั้นเอง ที่จู่ๆ สายตาคมก็ตวัดมาจ้องมองร่างบางที่หันมาสบตากันพอดี ริมฝีปากหยักยกยิ้มครั้งหนึ่งให้กับคนที่ลอบมองคล้ายจะยั่วอารมณ์ เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นแล้วแลบลิ้นเลียที่นิ้วกลางของตัวเองด้วยสีหน้าที่ดูก็รู้ว่าต้องการจะล้อเลียนคนสวยให้ได้อายกับเหตุการณ์ก่อนหน้า

 
ปัง!
 

ซอนอินตบมือลงกับโต๊ะตรงหน้าเต็มแรง พาเอาองครักษ์จำเป็นทั้งสองคนสะดุ้งเล็กน้อย

“สงสัยจะมาผิดเวลา ดูเหมือนองค์วังชอนซาจะทรงกริ้วอยู่” เสียงทุ้มของบุคคลที่ยืนอยู่ด้านหน้าเรียกให้สายตาของคนที่อยู่ในอารมณ์ขุ่นมัวเงยขึ้นมอง

อืม...ใครอีกล่ะนี่?

ตอนที่เข้ามาในงาน ซอนอินจำแทบไม่ได้ว่าได้พูดคุยทักทายกับผู้ใดไปบ้าง จีรยงแนะนำเขาให้คนสำคัญจากแคว้นอื่นได้รู้จัก ดูเหมือนว่า ข่าวเรื่องวังชอนซาเดินทางมาเป็นราชทูตถึงฮานึลจะแพร่ออกไปกว้างไกลพอดู ดังนั้นในพิธีแต่งตั้งรัชทายาทเมื่อตอนเช้าที่ผ่านพ้นไปนั้น แทนที่แคว้นเมืองอื่นๆ จะส่งเพียงของกำนัลแก่ฮานึล กลับเลือกที่จะส่งตัวแทนคนสำคัญมายังพิธีแต่งตั้งรัชทายาท และอยู่พักแรมเพื่อแสดงความยินดีอีกครั้งในงานเลี้ยงค่ำคืนนี้...เหตุผลหลักก็เพื่อหวังได้พบเจอกับวังชอนซา

และเพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัยแก่ไพร่ฟ้า จีรยงจึงเลือกให้ซอนอินได้ออกมาพบผู้คนในงานเลี้ยงนี้ หากเหล่าขุนนางได้เห็นว่าวังชอนซามาฮานึลในฐานะใด ก็ไม่ต้องกลัวว่าชาวบ้านจะรู้ความจริงแล้วก่อความวุ่นวายในภายหน้า

ซอนอินเอียงคอเล็กน้อยเมื่อได้เห็นบุรูษรูปงามตรงหน้า

“ข้าคือ อันชิลฮยอน องค์ชายสามแห่งแคว้นพกซอ” เห็นแววตาสงสัยของคนสวยที่แสดงออกอย่างไร้เดียงสา ทำเอาหัวใจของคนมองกระตุกไหวไม่น้อย

.......แล้ว ยังไง?

ซอนอินเงียบรอให้อีกฝ่ายพูดต่อ จะแนะนำตัวเองก็เห็นว่าอีกฝ่ายคงรู้อยู่แล้วไม่จำเป็นต้องบอกอีก แล้วที่สำคัญ ขืนเขาพูดอะไรมากไปเดี๋ยวเจ้าแฝดสองพี่น้องนี่ก็จ้องจับผิดเขาให้ได้อึดอัด

ดวงหน้าหวานภายใต้แสงไฟสีนวลดูสวยราวกับภาพวาดจากปลายพู่กันของช่างฝีมือดีจนอยากจะมีเก็บไว้เป็นของตัวเองสักภาพ องค์ชายสามแห่งพกซอจุดรอยยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะสะบัดชายเสื้อแล้วทรุดกายลงนั่งใกล้ๆ ร่างบาง

“เป็นวาสนาของข้าที่ได้มีโอกาสเจอกับวังชอนซาผู้งดงาม ถ้าอย่างไร เรามาดื่มกันสักจอก ถือว่าให้ข้าได้แสดงความยินดีได้หรือไม่?” อันชิลฮยอนจัดการเทน้ำจัณฑ์ให้ด้วยตนเอง

กึมซองที่ดูเหตุการณ์อยู่แต่แรก เมื่อเห็นว่าซอนอินดูลังเลที่จะดื่มก็เอ่ยขัดอย่างนอบน้อมกับแขกเมือง

“ทูลองค์ชายสาม องค์วังชอนซาทรงไม่ใคร่ดื่มน้ำจัณฑ์มากนัก เห็นทีคงจะไม่ได้” เด็กหนุ่มว่าพลางเตรียมคว้าจอกเหล้าส่งคืนให้นางกำนัล แต่กลับถูกมือเรียวคว้าตัดหน้าไปก่อนเสียนี่

“ใครบอกว่าข้าจะไม่ดื่มกัน” ซอนอินตีหน้าเข้มใส่คนรู้ดี ก่อนจะหันไปยิ้มหวานให้กับบุรุษตรงหน้า “คิมซอนอินขอดื่มให้กับการพบกันของเรา”

กึมซองได้แต่อ้าปากค้างอย่างไม่เข้าใจ เขารู้ว่าองค์วังชอนซาไม่ชอบดื่มน้ำจัณฑ์ไม่ใช่เพราะเดาเอาเอง แต่เพราะเจ้าตัวเป็นคนบอกกับเขาตั้งแต่ที่ร่วมเดินทางในขบวนทัพแล้วต่างหากล่ะ แล้วทำไม เวลานี้กลับทรงนึกอยากดื่มเสียได้!~

ความสงสัยยังคงไม่หายไปจากหัวเมื่อเด็กหนุ่มเริ่มใช้นิ้วมือของแฝดผู้พี่นับจำนวนจอกเหล้าที่วังชอนซาทรงดื่มไม่หยุดราวกับกลืนน้ำเปล่า องค์ชายสามผู้นี้ก็ขยันหาเรื่องชวนคุยพลางรินน้ำจัณฑ์ไม่ขาดมือเสียเหลือเกิน

นานเข้า อาการของคนคออ่อนก็เริ่มเห็นผล

“คิก...ไว้ข้าได้กลับไปเมืองเกิดเมื่อไหร่ จะให้เสด็จพ่อเชิญท่านมาหาบ้าง อึก~ อ๊ะ แต่คงต้องรออีกนาน เอ๊ะ หรือไม่นาน อึ๊ก!~ ไม่สิๆ ข้าว่าบางทีข้าอาจจะไม่ได้กลับไปอีกแล้วล่ะ คิกๆ~” มือบางยกขึ้นปัดไปปัดมา พูดไปก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากไปด้วยความมึนเมา ดวงหน้าก็แดงซ่านลามไปจนถึงลำคอ

“เจ้าหมายความเช่นไร?”

“ไม่มีสิ่งใดหมายความเช่นไรหรอกองค์ชายสาม องค์วังชอนซาทรงเมามากแล้ว พูดจาเลอะเลือน หม่อมฉันว่าองค์ชายสามพอเท่านี้เถิด” จีมุนเอ่ยแทรกกลางวง เขาหันไปพยักหน้าให้กับกึมซองหนึ่งทีเป็นเชิงว่าเดี๋ยวทางนี้เขาจัดการเอง ก่อนจะหันไปหาโทซอง “ทูลเสด็จพี่ว่าข้าจะพาองค์วังชอนซากลับตำหนัก” จากนั้นจึงโอบคนร่างบางที่มีท่าทางใกล้สลบเต็มทีลุกขึ้นยืนแล้วพาเดินออกไปทางประตูด้านหลัง

อันชิลฮยอนส่งเสียงหึขึ้นจมูกเมื่อถูกจีมุนซึ่งมีอายุน้อยกว่าตนมากนักมาตัดหน้าพาคนงามไปเสียดื้อๆ เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ใบหน้าคมที่ราบเรียบเมื่อครู่พลันปรากฏรอยยิ้มร้าย เมื่อสายตานั้นได้สบเข้ากับชองจีรยง

ตลอดหนึ่งชั่วยามที่ผ่านมา ชิลฮยอนได้ถือวิสาสะแตะต้องผิวกายของราชทูตแห่งเชินอันอยู่หลายครั้ง แม้จะเป็นการสัมผัสแค่เพียงมือและท่อนแขนเรียวเท่านั้นก็ตาม หากแต่เพียงแค่นั้นเขากลับรู้สึกได้ถึงสายตาของใครคนหนึ่งที่จ้องมองมา และเมื่อรู้ว่าเป็นสายตาของผู้ใด ชิลฮยอนก็ยิ่งสนุกที่ได้หยอกเย้าฝ่ายนั้น เขายกยิ้มมุมปากทิ้งท้าย ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไปนั่งที่เดิมของตนเอง

งานเลี้ยงฉลองแต่งตั้งรัชทายาทยังคงดำเนินต่อไปอีกเกือบสองชั่วยาม ทว่า ภายในท้องพระโรงนั้นกลับเหลือเพียงพวกขุนนางและแขกภายนอกอีกไม่มากนัก ส่วนรัชทายาทนั้นได้ออกจากงานไปเมื่อหนึ่งชั่วยามที่แล้ว
 
 

ภายในตำหนักรัชทายาท แสงไฟยังคงเปิดสว่างแม้จะเป็นเวลายามสามแล้วก็ตาม

“ออกไปได้แล้ว”

เสียงทุ้มก้องกังวานนั้นดังออกมาจากห้องนอนใหญ่ ไม่นานนัก นางกำนัลที่ยืนรอถวายงานก็เห็นหญิงสาวในสภาพเสื้อผ้ายังสวมใส่ไม่เรียบร้อยดีสองสามคนรีบเดินออกมา

“ข้าว่า เจ้าไปบอกดีกว่า” กึมซองที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องนอนใหญ่ของผู้เป็นนายหันไปกระซิบกระซาบกับคนเป็นพี่

คนฟังขมวดคิ้วมุ่น “เจ้าเป็นคนรับข่าวมา เหตุใดไม่ทูลองค์รัชทายาทเอง”

“แต่เจ้าเป็นพี่ข้านี่?!”

“แล้วยังไง? หน้าที่ของเจ้า เจ้าก็ทำเองสิ” คนพูดไม่พูดเปล่า ซ้ำยังทำท่าจะเดินหนีไปเสียอีก เห็นอย่างนั้นแล้วคนเป็นน้องก็อยากจะหลั่งน้ำตาเสียให้ได้ สู้ให้ไปออกรบแบบหนึ่งต่อร้อยยังไม่น่ากลัวเท่าเข้าไปกราบทูลองค์รัชทายาทว่า คุณชายคิมฮีอูที่เมื่อเช้าบอกว่าจะแวะกลับไปที่บ้านหลังงานพิธีแต่งตั้งองค์รัชทายาทในตอนเช้าแล้วจะกลับมาอีกครั้งตอนค่ำนั้น ได้ส่งคนมาบอกเขาว่าขอเลื่อนวันกลับไปอีกสองวัน เนื่องจากพี่สาวคนโตเกิดป่วยร้ายแรงทำให้ต้องอยู่เฝ้าอาการ

เรื่องกราบทูลองค์รัชทายาทว่าคุณชายฮีอูยังไม่กลับเข้าวังหลวงนั้นจะไม่ร้ายแรงเลย หากไม่ใช่เพราะว่าตอนนี้นายเหนือหัวของเขากำลังอยู่ในอารมณ์กริ้วเช่นนี้

ยังยืนทำใจไม่ได้ เสียงทุ้มทรงอำนาจก็ดังลอดออกมาให้เด็กหนุ่มได้ใจหล่นวูบ “ใครอยู่ข้างนอกบ้าง ทำไมฮีอูยังไม่มาหาข้าอีก พวกเจ้าไปตามฮีอูมาหาข้าเดี๋ยวนี้!”

โธ่ คุณชายฮีอู เวลาเช่นนี้ จะมีใครฉุดอารมณ์องค์รัชทายาทให้เย็นลงได้เล่า...~

กึมซองถอนหายใจปลง ก้มหน้าก้มตาเดินเข้าไปรายงานนายเหนือหัวอย่างเตรียมใจรับอะไรก็ตามแต่ที่พระองค์จะทรงระบายความไม่สบอารมณ์ออกมา แต่นอกจากคำสบถเสียงดังแล้ว ก็ไม่มีอะไรมากกว่านั้น กึมซองกลับที่พักของตัวเองด้วยความโล่งใจ นึกแปลกใจหน่อยๆ ที่ไม่โดนลงโทษ อย่างเช่นว่า โทษฐานที่เจ้าไม่รู้จักบอกข้าให้เร็วกว่านี้ ไปตรวจผลคุมนักโทษในคุกฝั่งเหนือให้หมดแล้วนำมารายงานข้าวันพรุ่ง หรือเช่นว่า หน้าที่เฝ้าไข้เป็นของหมอไม่ใช่หรือไง ทำไมไม่ไปรับฮีอูกลับมาหาข้า แค่นี้เจ้าคิดไม่ได้หรือไง และอีกมากมายที่นายของเขาจะสรรหามาจนได้ เรียกได้ว่า หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคิมฮีอูแล้ว องค์รัชทายาทจะเป็นเดือดเป็นร้อนเสมอ

เอ...หรือว่าที่พระองค์ทรงกริ้วอยู่นี้ไม่ใช่เพราะว่าไม่เห็นคุณชายคิมฮีอูในงานตอนค่ำ แต่เป็นเพราะเรื่องอื่น?

แล้วมันเรื่องอะไรกัน??

คำถามนั้นยังไม่ได้รับคำตอบแม้เด็กหนุ่มจะเข้านอนแล้ว แต่ยูกึมซองคงไม่รู้ว่า แม้แต่เจ้าของอารมณ์โกรธเคืองที่เป็นอยู่นี้ก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เช่นกัน
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

เช้าวันรุ่งขึ้น ตำหนักโยกันได้เกิดความโกลาหลเมื่อนางกำนัลสาวสองพี่น้องตื่นมาพบว่าทั่วทั้งเรือนกายขององค์วังชอนซาเต็มไปด้วยผื่นแดงหนาน่ากลัว ซ้ำไม่ว่าจะเรียกอย่างไรร่างบางก็ไม่ตื่นอีกด้วย

ความถูกเรียนถึงหูขององค์รัชทายาทในเวลาต่อมาอย่างรวดเร็ว ไม่นานนัก หมอหลวงกว่าห้าคนก็เข้าทำการตรวจร่างกายวังชอนซาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ตรวจกันเพียงไม่นานผู้เฒ่าผมขาวก็คุยปรึกษาหารือ ก่อนจะพากันไปตรวจชีพจรร่างบนเตียงอีกครั้ง เป็นเช่นนี้อยู่ร่วมหนึ่งชั่วยาม พาเอาใจของนางกำนัลสาวเป็นกังวลอย่างที่สุด

รัชทายาทหนุ่มก้าวเข้ามาในตำหนักในตอนใกล้เที่ยง เขาอยู่ว่าราชกิจในตำแหน่งรัชทายาทเป็นวันแรกทำให้ต้องจัดการอะไรหลายอย่างกว่าจะเสร็จสิ้นถึงได้ปลีกตัวมาดูอาการเชลยคนสำคัญเอาในเวลานี้ได้

“เป็นอย่างไร?” จีรยงเอ่ยถามหมอหลวงที่คุกเข่ารอพบองค์รัชทายาทอยู่ที่หน้าประตู

“ทูลฝ่าบาท องค์วังชอนซาทรงเป็นโรคแพ้น้ำจัณฑ์พะย่ะค่ะ” หมอหลวงคนหนึ่งเอ่ยตอบนอบน้อม “...แต่ว่า”

“แต่ว่าอันใด?”

“แต่ว่าอาการที่องค์วังชอนซาเป็นนั้น พวกกระหม่อมไม่ใคร่เคยพบเห็น ตามปกติแล้ว คนที่แพ้น้ำจัณฑ์จะมีผืนขึ้นตามร่างกาย แต่นอกจากนั้นก็ไม่มีอาการอื่นใด ต่างจากองค์วังชอนซา นอกจากผืนแดงจะขึ้นรุนแรงแล้ว ยังทรงไม่ได้สติ มีอาการเพ้อ ซ้ำยังมีไข้สูงอีกด้วย และที่น่าแปลกปละหลาดกว่าสิ่งใด เอ่อ.....องค์รัชทายาททรงทอดพระเนตรด้วยองค์เองเถิดพะย่ะค่ะ”

เพียงแค่ชายหนุ่มพยักหน้า ทุกคนก็ขยับเปิดทางให้ร่างสูงได้เดินเข้าไปในห้องนอนโดยสะดวก

สิ่งแรกที่จีรยงรู้สึกถึงทันทีที่เปิดประตูเข้าไปคือความหอมหวานคล้ายกลิ่นของดอกมะลิที่ถูกปลูกอยูในสวนบ่อน้ำพุร้อน ทำไมถึงรู้สึกเช่นนั้นน่ะหรือ นั่นก็เพราะชายหนุ่มยังรู้สึกถึงไอความร้อนอุ่นๆ อบอวลไปทั่วทั้งห้อง โดยที่มาของทั้งสองอย่างนั้นเดาได้ไม่อยากว่ามาจากสิ่งใด

บนเตียงสี่เสา ม่านผืนสีแดงขาวถูกมัดไว้ทั้งสองด้าน เผยให้เห็นร่างบอบบางนอนคว่ำอยู่บนฟูกนอน ศรีษะตะแคงข้าง ริมฝีปากบางซีดหอบหายใจอ่อนแรง จีรยงจ้องมองชุดสีขาวที่ถูกเลื่อนลงถึงช่วงเอวคอด บนแผ่นหลังเนียนขาวนั้นมีผ้าชุบน้ำหมาดๆ ปิดคลุมไว้เพียงผืนเดียว

ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งแผ่วเบา คิ้วเข้มเกร็งเข้าหากันเมื่อรับรู้ถึงความร้อนที่เพิ่มมากขึ้นยามที่ได้อยู่ใกล้ร่างบนเตียง ปลายนิ้วเรียวยาวได้รูปเปิดผ้าชื้นน้ำนั้นออกเชื่องช้า ในวินาทีแรกที่เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ดวงตาคมที่ไม่เคยแสดงออกถึงสิ่งใดพลันปรากฏแวววาบขึ้นมาอย่างตื่นตลึง

จุดกึ่งกลางของแนวกระดูกสันหลังช่วงด้านบนของแผ่นหลังเปลือยเปล่านั้น ปรากฏภาพเรืองแสงคล้ายเกล็ดปลาสว่างวูบวาบสลับกับผิวเนื้อขาวเนียนละเอียด พอลองแตะลงบริเวณนั้น ความร้อนวูบหนึ่งก็แล่นเข้าหาจนต้องรีบดึงมือกลับออกมา

“วังชอนซาเป็นอะไร?” ใบหน้าคมหันกลับไปเอาคำตอบกับผู้เฒ่าทั้งห้าคน เห็นสีหน้าอึกอักแล้วก็เลือนสายตาจงใจมองไปยังแพทย์ประจำตัวของตน “ว่าอย่างไรจากึน ข้าถามว่าวังชอนซาเป็นอะไร?”

“กระหม่อม...ก็มิอาจทราบได้ สิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับเผ่าชินซอง แม้แต่นักพรตนอกรีตก็ไม่อาจล่วงรู้พะย่ะค่ะ”

“พวกเจ้าจะบอกว่า วังชอนซาเป็นโรคอะไรก็ไม่รู้งั้นหรือ!” หากมีข้อแม้บางอย่างของเชลยที่ตนไม่อาจล่วงรู้ได้ แล้วจะคุมตัวเชลยให้อยู่ในกำมือได้อย่างไร

ด้วยน้ำเสียงและสายตาที่วาวโรจน์ ทำให้ทั้งสาวใช้และหมอหลวงต่างรีบก้มหน้าก้มตาลง จากึนรีบเอ่ยตอบผู้เป็นนาย “กระหม่อมตรวจชีพจรขององค์วังชอนซาแล้ว คิดว่าเมื่อไข้ลดลง และอาการผืนแดงหายไป ความผิดปกตินี้ก็จักหายไปด้วยพะย่ะค่ะ”

“เมื่อใด?”

“เรื่องนี้...กระหม่อมก็ไม่แน่ใจพะย่ะค่ะ อาจสัก สองถึงสามวัน”

กว่าที่ตำหนักโยกันจะเงียบสงบลงก็เป็นเวลาช่วงบ่าย รัชทายาททรงกลับไปดูงานราชกิจจนถึงยามหนึ่ง พระองค์เปลี่ยนชุดทรงก่อนจะกลับมายังตำหนักโยกันอีกครั้งเพื่อดูอาการเชลยคนสำคัญ

ยอนอาและโซยอนทูลตอบอาการขององค์วังชอนซาว่ายังไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง ไม่ทรุดลงแต่ก็ไม่ดีขึ้น จากนั้นรัชทายาทหนุ่มก็ปัดมือเป็นเชิงให้สาวใช้ทั้งสองออกไปจากห้อง

จีรยงดึงผ้าชุบน้ำออกจากแผ่นหลังบางเปลือยเปล่า แล้วจัดการดึงสาบเสื้อใส่กลับให้กับเรือนร่างบนเตียง หากความร้อนที่เกิดขึ้นเกิดจากธาตุในกาย การช่วยบรรเทาความร้อนด้วยสิ่งอื่นก็ไม่ช่วยให้เกิดผลสิ่งใด เขาอุ้มร่างของซอนอินนอนหงายแล้วดึงผ้าห่มผืนบางขึ้นคลุม

เส้นผมสีดำยาวแผ่สยายยุ่งไปทั่วทั้งหมอน เขาปัดเกลี่ยเส้นผมบางให้พ้นดวงหน้าขาว ความนุ่มลื่นของผิวแก้มอุ่นยังผลให้ข้อนิ้วหนาไม่อาจละออกมาได้ในทันที

วังชอนซาเป็นบุรุษหนุ่มรูปงาม ข้อนี้จีรยงไม่เคยปฏิเสธ เพียงแต่ไม่ได้นึกอยากเป็นเจ้าของก็เท่านั้น

หากแต่ในเวลานี้ ยามที่ได้มองดวงหน้างดงามยามหลับใหล ความอ่อนหวานน่าทะนุถนอมอย่างที่เขาเคยเห็นเมื่อครั้งที่เจ้าตัวเคยล้มป่วยช่วงที่ออกเดินทางนั้นก็ทำให้เขานึกสนใจคนคนนี้ไม่น้อย

จีรยงไล้ปลายนิ้วแผ่วเบาไปตามดวงหน้าอุ่นนุ่ม เขาหยุดวนเวียนแถวริมฝีปากซีดบาง

“หึ เวลาที่เจ้าไม่ขึ้นเสียงกับข้า ริมฝีปากของเจ้าดูน่าหลงใหลมากทีเดียว ...คิมซอนอิน”

เสียงทุ้มที่เอ่ยเรียกนามจริงของคนบนเตียงค่อยแผ่วลง ก่อนที่ริมฝีปากหยักจะเข้าประทับกดลงแนบสนิท ลิ้นอุ่นเลาะเล็มดูดดึงกลีบปากบางหอมหวานหลายต่อหลายครั้งอย่างไม่อาจห้ามใจ
 

...พร้อมกับจูบที่เกิดขึ้นนั้น จีรยงไม่ทันได้สังเกตเลยว่า ตนเองได้ทำสิ่งใดลงไปกับเชลยผู้สูงศักดิ์
 
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

จบตอน

ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
บทที่ 6


ถนนซินชนในตอนกลางวันคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมาย เสียงร้องเร่ขายของจากร้านค้าข้างทางดังขึ้นอยู่เป็นระยะ ลานกว้างด้านหนึ่งกำลังเป็นจุดสนใจ ชาวบ้านพากันตีวงล้อมเพื่อรอดูกายกรรมของนักแสดงร่อนเร่ ไม่ไกลกันนั้นคือร้านขายยาชื่อดังที่ตั้งอยู่ตรงมุมถนน

“นันโซ เจ้ากลับไปก่อน เราอยากเดินเล่นคนเดียวอีกสักพัก” บุรุษร่างเล็กละสายตาจากกลุ่มคนตรงหน้าแล้วหันไปหาสาวใช้ผู้ติดตาม

“จะดีหรือคะคุณชาย ให้นันโซอยู่ด้วยเถอะค่ะ เกิดคุณชายเป็นอะไรไป...”

“เราจะเป็นอะไรได้? แค่เดินเที่ยวเล่น ไม่ได้ไปทำเรื่องอันตรายเสียหน่อย” คนหน้าหวานขมวดคิ้วยุ่ง “เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว แล้วก็นี่ เจ้าเอากลับไปให้ท่านแม่เร็วๆ เข้า บอกท่านด้วยว่าข้าเดินเล่นไม่นานนักหรอก” มือเล็กยื่นซองกระดาษที่บรรจุวัตถุดิบในการปรุงยาไว้จำนวนหนึ่งให้กับสาวใช้

จางนันโซรับของจากนายน้อยด้วยความกังวล เธอยังคงยืนมองแผ่นหลังเล็กบางเดินจากไปจนลับสายตา กว่าที่จะหันหลังเดินกลับบ้านตระกูลคิม ขุนนางข้าหลวงชื่อดังแห่งฮานึล

มีสิ่งหนึ่งในตอนนี้ที่คิมฮีอูยังหาคำตอบให้กับความสงสัยที่เกิดขึ้นไม่ได้ ร่างเล็กกำมือแน่นขณะเดินมุ่งหน้าไปยังทิศทางตรงข้ามกับกลุ่มคนมากมายที่รวมตัวกันดูการแสดงของนักกายกรรม

เมื่อวานนี้ ระหว่างที่ได้เข้าร่วมพิธีสาบานของรัชทายาท ฮีอูซึ่งนั่งอยู่ในกลุ่มของเหล่าขุนนางนั้นได้เห็นร่างสูงของใครคนหนึ่งยืนปะปนอยู่ในกลุ่มชาวบ้านที่เข้ามามุงดูพิธีนั้นด้วย เขาจำเอกลักษณ์ของบุรุษผู้นั้นได้ชัดเจน และยิ่งแน่ใจมากขึ้นเมื่อเขาได้เห็นแววตาคมคู่นั้นจ้องมองไปยังองค์รัชทายาท ก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังบริเวณรอบๆ ราวกับต้องการจะมองหาใครคนหนึ่ง

...เจ้าของตราหยกคนนี้ต้องการมองหาองค์วังชอนซาอย่างนั้นหรือ?

คำถามนั้นผุดขึ้นในใจของฮีอูอยู่ตลอดตั้งแต่เมื่อวาน หากแต่ความสงสัยของเรื่องนี้เขาหวังว่าจะได้รับคำตอบในไม่ช้าแล้ว

หลังเสร็จพิธีสาบานตนขององค์รัชทายาทในตอนเช้า ระหว่างที่ทุกคนเตรียมเดินทางกลับเข้าวัง ฮีอูได้บอกกับรัชทายาทไว้ก่อนแล้วว่าจะไปเยี่ยมพี่สาวที่ป่วยเป็นไข้หนัก ในตอนที่เดินทางกลับบ้านนั้นเองที่เขาได้เห็นชายร่างสูงคนนั้นอีกครั้ง และเพราะเหตุนั้น จนกว่าจะได้เจอชายคนนั้นอีก เขาถึงเลือกที่จะไม่เข้าวังในสองสามวันนี้ ฮีอูแน่ใจว่าคนร่างสูงจะต้องอาศัยอยู่ในเมืองหลวงนี้แน่

ร่างเล็กเดินเตร็ดเตร่จนเลยออกมาจากตรอกถนนซินชน ดวงตาเรียวรีกวาดมองทุ่งหญ้าเบื้องหน้าอย่างเลื่อนลอย ขณะที่ล้วงมือหยิบตราหยกในอกเสื้อ สายตาก็พลันไปสบกับอะไรบางอย่างอ้วนๆ กลมๆ กำลังมุดเข้ามุดออกอยู่บริเวณหลังพุ่มไม้ขนาดใหญ่ ถ้าดูไม่ผิด นั่นมัน...

“อิงอิง!!!” ร่างเล็กรีบถลาวิ่งเข้าไปหาเจ้าตัวกลมทันทีอย่างรวดเร็ว
 

พลั่ก!
 

“อ๊า!~” ฮีอูร้องลั่นด้วยความเจ็บ ตวัดสายตาไปมองสิ่งที่ทำให้สะดุดหกล้มก็พบกับท่อนขายาวของใครคนหนึ่ง และเมื่อเลื่อนสายตาขึ้นมองคนที่ตนล้มลงทับอยู่ก็พบหมวกสานวางปิดใบหน้าไว้มิดชิด ดูจากการแต่งตัวแล้วก็คงจะเป็นชาวสวนแถวนี้เป็นแน่

กว่าจะสำนึกได้ว่าตนกำลังนั่งทับร่างผู้อื่นอยู่ก็กินเวลานานพอดู

“ขะ...ขอโทษ” ร่างเล็กรีบเคลื่อนตัวไปนั่งแหมะข้างๆ ร่างสูงที่ยังคงนอนนิ่ง สองแขนเรียวยาวซ้อนทับไว้หลังศีรษะ ดูเหมือนว่าเขาจะมาขัดจังหวะการนอนเล่นของชายผู้นี้เข้าให้แล้ว

ใบหน้ากลมหันขวับไปจ้องสุนัขจิ้งจอกหิมะแล้วคว้าหมับมานั่งตัก จับยืดแก้มยุ้ยๆ ที่ปกคลุมไปด้วยขนนุ่มแล้วตีหน้ายุ่งพลางว่าด้วยน้ำเสียงแหบต่ำอย่างไม่ต้องการปลุกคนหลับ “เจ้าออกจากวังมาได้ยังไงห๊ะ! แล้วนี่ยังมาอยู่กับคนอื่นอีกด้วย เจ้านี่มันน่านัก!~” เน้นเสียงตอนท้ายแล้วจับสิ่งมีชีวิตตัวกลมหันหลังตีปับลงกับก้นนุ่มนิ่มไปสองที
 

หงิง~
 

“เจ็บแค่นี้ร้องซะดังเชียว เจ้าไม่รู้หรอกว่าเราเสียใจแค่ไหนที่เจ้าหนีหายไป ฮึก~” เขากอดสุนัขจิ้งจอกไว้แนบอก ถึงแม้จะเจอสัตว์เลี้ยงแสนรักแล้ว แต่คนตัวเล็กก็ยังอดร้องไห้ออกมาไม่ได้ เพราะอิงอิงสำคัญกับเขามาก ตั้งแต่ที่ต้องอยู่ในวังตามความต้องการขององค์รัชทายาทชองจีรยง ฮีอูก็ได้อิงอิงมาอยู่เป็นเพื่อนแก้เหงาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เรียกได้ว่า อิงอิงนับเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งของฮีอูเลยก็ว่าได้

ฮีอูยกหลังมือปาดน้ำตา เขาอุ้มอิงอิงแนบอกแล้วลุกขึ้นยืน ตัดใจว่าวันนี้คงต้องหยุดตามหาชายผู้นั้นไปก่อน สำคัญที่เขาเจอเจ้าหมูอ้วนแล้วทำให้อยากกลับบ้านเร็วๆ กลัวว่าถ้าปล่อยให้ออกเดินเล่นไปด้วยกันจะหายไปอีก

เพิ่งจะหมุนตัวเดินกลับออกมาจากหลังพุ่มไม้ใหญ่ได้ไม่ไกลเท่าไหร่ ก็เจอเข้ากับกลุ่มคนหน้าตาห่างไกลจากคำว่ามิตรสหายไปไกลหลายลี้ประมาณสามสี่คน ฮีอูรีบก้มหน้าแล้วเดินจ้ำอ้าวพยายามไม่สนใจคนพวกนั้น

เกือบจะเดินเลยอยู่แล้ว ไหล่เล็กกลับถูกมือหยาบใหญ่ตะปบลงมาจับให้หันหน้าไปมองเสียนี่ “เห๋? ลูกพี่ เราเจอของดีเข้าให้แล้ว”

“อะไรของแกวะ” ชายร่างใหญ่กำยำเอ่ยถามลูกน้องเสียงห้วน ในมือของเขามีถุงผ้าขนาดใหญ่มัดรวบไว้แน่นหนาพาดอยู่บนไหล่ “แกอย่ามาเสียเวลากับแค่ความใคร่ของแกให้มากนัก ของยังอยู่ในมือ เกิดพวกทหารตรวจมันตามมาทันได้จบแน่”

เหงื่อกาฬบนใบหน้าหวานแตกพลั่กเมื่อประมวลผลได้ว่าคนพวกนี้คือโจรอย่างไม่ต้องสงสัย

“เฮ้ย ลูกพี่ หันมาดูก่อนสิ ไอ้โกมิมันพูดถูกนะ เราเจอของดีเข้าให้แล้ว!!” ชายร่างสูงผอมที่เดินอยู่ระหว่างกลางกลุ่มตะโกนด้วยน้ำเสียงยินดี จนคนที่เดินนำอยู่จำใจต้องหันมามอง

หัวหน้ากลุ่มโจรที่กำลังถูกหมายจับราคาสูงลิ่วขมวดคิ้วหนาเข้าหากัน ยิ่งทำให้ใบหน้าที่มีรอยบากพาดผ่านตาข้างซ้ายไปยังแก้มข้างขวาดูน่ากลัวมากยิ่งขึ้นในสายตาของคนตัวเล็ก

ฮีอูกระชับอ้อมกอดให้อิงอิงแนบตัวมากยิ่งขึ้นด้วยอาการสั่นๆ หากจะถามว่าสิ่งใดที่คิมฮีอูไม่มีพรสวรรค์มากที่สุด คำตอบก็คือวิชาการต่อสู้นี่แหละ ขนาดที่ว่าองค์ชายชองจีรยงเป็นผู้สอนด้วยตัวเองก็ยังไม่ได้ผล

“คิมฮีอู ลูกชายคนเล็กของราชเลขาคิมฮยอนจาอย่างงั้นรึ? ดี! มาดูกันสิว่าตาแก่พวกนั้นจะทำยังไงหากลูกชายคนเล็กถูกโจรขืนใจ ฮ่าๆๆๆๆ” เสียงหัวเราะทุ้มหนักก้องสะท้อนในอกคนฟังจนเผลอหลุดเสียงร้องตอนที่โดนกระชากแขนรุนแรงให้ออกเดินตาม

“เดี๋ยวก่อนนะ ข้าได้ยินมาว่าคิมฮีอูเป็นคนโปรดขององค์รัชทายาทไม่ใช่หรือ? แล้วถ้าเราจับตัวเค้ามาอย่างนี้...”

“แกจะกลัวอะไรนักหนา หุบปากแล้วรีบขนของกลับเร็วๆ เข้า” คนที่ดูจะเป็นลูกไล่แสดงสีหน้าไม่เห็นด้วยกับพวกในกลุ่มทั้งสามคน แต่ก็ยอมเงียบแล้วออกเดินตามแต่โดยดี
 

บรู๊วววว!~
 

“อิงอิง!” ฮีอูพยายามใช้มือที่ว่างข้างหนึ่งกอดอิงอิงที่ดิ้นไปดิ้นมาซ้ำยังเห่าหอนขู่แง่งแยกเขี้ยวที่มีอันน้อยนิดใส่โจรหน้าโหดเสียอีก จะตายเร็วไม่รู้ตัวนะแบบนี้!

“แม่งเอ้ย จะร้องให้ทหารมันแห่มาหรือไงวะ จับมันหักคอซะ คืนนี้มีของกินแกล้มเหล้าชั้นดีแล้วพวกเรา ฮ่าๆ” คนที่จับยึดแขนของฮีอูให้เดินตามหันไปบอกเพื่อนในกลุ่มอย่างอารมณ์ดี

“ไม่นะ! ไม่ๆๆๆ” ฮีอูร้องลั่นพยายามยื้อสุนัขตัวเล็กกลับมาจากคนชั่ว

“ปล่อยสิวะ! โกมิจับมัดมือไปเลย โอ้ย!!!” เสียงร้องนั้นดังลั่นเมื่อโดนคนตัวเล็กก้มลงกัดท่อนแขนสุดแรง จนเจ้าของมือทำสุนัขจิ้งจอกขาวหลุดลงกับพื้น ความดีใจที่ได้ช่วยสัตว์เลี้ยงยังไม่ทันจะได้ก่อตัว ใบหน้าก็ถูกมือใหญ่ต่อยเข้าเต็มแรง ก่อนจะถูกต่อยซ้ำอีกทีที่หน้าท้องจนจุกไปหมด

“ฤทธิ์มากนักนะคุณหนู”

รสขมเฝื่อนของเลือดในปาก และความเจ็บที่ช่วงท้องทำให้หัวสมองของฮีอูเริ่มลางเลือน

“ชักช้าอะไรอยู่ได้วะ มีปัญหานักก็ฆ่าทิ้งไปเลย!” หัวหน้ากลุ่มหันกลับไปมองลูกน้องอย่างอารมณ์เสีย นอกจากจะปล้นของมาได้น้อยแล้ว ยังต้องมาโดนทหารไล่ตาม กว่าจะหลุดหนีออกมาได้ยังต้องมาเสียเวลากับเรื่องงี่เง่านี่อีก “พวกแกอยากได้มันนักก็รีบๆ ทำให้มันเงียบซะ แล้วรีบออกเดินทางได้แล้ว”

กลุ่มโจรเริ่มออกเดินอีกครั้ง แต่เมื่อคนพวกนั้นเดินถึงพุ่มไม้ใหญ่ หัวหน้ากลุ่มก็เตะโดนอะไรบางอย่างเข้า เขาสบถเสียงดังเมื่อเห็นว่าเป็นท่อนขาของใครคนหนึ่ง

ฮีอูที่สติเริ่มลางเลือนนึกขึ้นได้ว่ามีคนนอนอยู่ที่ตรงนั้น จะตะโกนเรียกให้ตื่นก็ดันถูกสันมือคนด้านหลังทุบหลังคอจนหมดสติไปเสียก่อน

เห็นว่าคนที่นอนอยู่ไม่ได้ขยับหรือพูดอะไรออกมา หัวหน้าโจรจึงไม่คิดใส่ใจ แต่เพียงแค่เดินไปสองก้าว เสียงทุ้มใต้หมวกฟางก็เอ่ยเรียบเรื่อยคล้ายคุยเรื่องลมฟ้าอากาศยามบ่าย

“เจ้าเหยียบเท้าข้า”

ใบหน้าที่มีรอยบากพาดผ่านหันไปมองเจ้าของเสียง แล้วหัวเราะลงคอ “หึ ข้าเหยียบเท้าเจ้าแล้วอย่างไร ข้าจะเหยียบอีกสักกี่สิบครั้งก็ยังได้” พูดแล้วก็หันกลับไปกดปลายเท้าใส่ท่อนขายาวอย่างไม่เกรงกลัว พาเอาลูกสมุนหัวเราะร่วนไปกับการกระทำของผู้นำ

“ไง หรืออยากมีเรื่องนักก็ลุกขึ้นมา ข้าจะสนองให้”

มือเรียวได้รูปของคนที่นอนราบอยู่บนผืนหญ้ายกขึ้นหยิบหมวกออกจากใบหน้าอย่างเชื่องช้า ก่อนจะค่อยดันตัวขึ้นนั่ง ทุกอิริยาบถเป็นไปอย่างเรียบเรื่อยราวกับไม่สะทกสะท้านสิ่งใด ทั้งที่แรงกดปลายเท้าของหัวหน้าโจรที่เหยียบท่อนขาของเขาอยู่นั้นแรงไม่ใช่น้อย

ปาร์คยองจู ปรายสายตามองกลุ่มคนตรงหน้าด้วยแววตาเฉยเมย เขาหยิบหมวกสานขึ้นสวมพลางว่า “ไม่ขอโทษก็ไม่เป็นไร แต่ช่วยปล่อยมือจากเด็กคนนั้นด้วย”

“มันพูดอะไรของมันวะ ฮ่าๆ ลูกพี่อย่าเสียเวลาคุยเลย” ชายร่างสูงผอมเอ่ยกลั้วหัวเราะ หาได้ดูไม่ว่าหัวหน้าของตนกำลังมีสีหน้าเช่นไร

หัวหน้าโจรกำมือแน่น ใช่ว่าเขาจะโง่จนสังเกตไม่ได้ว่าชายตรงหน้านั้นไม่ธรรมดา ถึงขนาดว่าแค่เขาออกแรง 2 ใน 3 หากเป็นคนทั่วไปกระดูกคงหักไปแล้ว แต่นี่นอกจากจะไม่สะทกสะท้าน ซ้ำเขายังรู้สึกได้ว่าขาข้างที่เหยียบอยู่นั้นชาหนึบไปหมดจนแทบขยับไม่ได้

“ปล่อยเด็กนั่นลง”

“ว่าไงนะลูกพี่?”

“ข้าบอกให้ปล่อยไงเล่า! เราไม่มีเวลามากนักหรอกนะ...ข้าสั่งก็ทำตามสิวะ!!!” โดนตวาดเสียดังลั่น ลูกน้องจึงจำยอมปล่อยร่างเล็กลงกับพื้นอย่างไม่เข้าใจ

ยองจูระบายยิ้มบางขัดกับสถานการณ์ “ขอบคุณ” ทันทีที่จบคำนั้น หัวหน้าโจรก็สามารถขยับขาได้ดังเดิม เขารีบชักเท้ากลับแล้วถอยหลังไปสองสามก้าว ก่อนหันไปสั่งลูกน้องเสียดังอย่างหงุดหงิด “กลับ!!”

“ทำไมล่ะลูกพี่?”

“นั่นสิ ไปยอมมันง่ายๆ ทำไม? ข้าไม่เห็นว่าเจ้าผมยาวนั่นมันจะทำอะไรเลยนะ ดูท่าทางจะอ่อนหัดด้วยซ้ำ!”

เสียงคำถามยังคงมีต่อไปเรื่อยๆ จนลับสายตาของชายหนุ่มที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม
 

หงิง~
 

สุนัขจิ้งจอกสีขาวหิมะครางหงิงอยู่ข้างๆ ร่างเล็กบางที่นอนสลบอยู่ตรงหน้าของร่างสูง ปลายลิ้นสีชมพูเลียไปทั่วทั้งดวงหน้าหวานของคนเป็นเจ้าของอย่างแสนรักแสนห่วง

“เปราะบางกว่าที่คิดนัก” ความหมายของคำนั้นชายหนุ่มไม่ได้เอ่ยถึงร่างกายของฮีอู หากแต่เขาพูดถึงจิตใจของเด็กอายุ 17 คนนี้ต่างหากที่เปราะบางเกินไป จิตใจที่ซื่อบริสุทธิ์พร้อมจะโอนเอียงตามการชักนำของผู้อื่นอยู่เสมอโดยไม่คิดถึงความต้องการของตนเองเท่าที่ควรนี้คือสิ่งที่ทำให้ยองจูใช้เวลาในการรับรู้ความนึกคิดของฮีอูได้ง่ายดายเหลือเกิน

ยองจูคิดอยู่แล้วว่าฮีอูจะต้องตามหาตัวเขาหลังจากที่ได้เห็นเขาเมื่อวานแน่ การมองให้เห็นถึงความนึกคิดของผู้อื่นไม่ใช่เรื่องง่าย แม้แต่การใช้ของเป็นตัวสื่อถึงกันก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้น ยองจูกลับพบว่า การจะมองให้เห็นถึงความนึกคิดของคิมฮีอูนั้นง่ายเกินกว่าที่เขาคาดไว้มาก

ความใสซื่อของคิมฮีอูนั้นต่างจากซอนอิน สำหรับซอนอินแล้ว เป็นเพราะถูกปิดกั้นจากโลกภายนอก สิ่งที่ลูกศิษย์ของเขาไม่รู้นั้นมีมากมาย แม้แต่เรื่องของตัวเองก็ตาม... แต่สำหรับคิมฮีอู ยองจูมองเห็นแต่เพียงความใสซื่อบริสุทธิ์จากส่วนลึกในจิตใจ ไม่ใช่เพราะสิ่งแวดล้อม แต่เป็นเพราะนิสัยของเจ้าตัวมากกว่าที่อ่อนไหวเปราะบางราวกับเด็กเล็กๆ

หึ...อย่างนี้ การจะหลอกใช้ฮีอูก็คงไม่ใช่เรื่องยากล่ะนะ

รอยยิ้มที่ยากจะคาดเดาปรากฏบนเรียวหน้าคม เขาช้อนร่างเล็กที่สลบไสลขึ้นอุ้ม ก่อนจะผิวปากเรียกให้สุนัขจิ้งจอกตัวเล็กเดินตาม โดยที่อิงอิงก็ว่านอนสอนง่ายยอมเดินตามชายหนุ่มร่างสูงไปอย่างไม่รีรอ
 

อืม...สัตว์เลี้ยงนิสัยเหมือนเจ้านายไม่มีผิด
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

ห้องทรงอักษรพลันเงียบลง เมื่อนายอากรชางซีกลับออกไปแล้ว รัชทายาทหนุ่มพรูลมหายใจเบาเมื่อยังคิดแก้ไขปัญหาชาวเกษตรที่อยู่ตามชายแดนและแถบภูเขาที่เกิดเพลิงกัลป์เมื่อหลายอาทิตย์ก่อนให้ดีไปกว่านี้ไม่ได้เสียที

เรียวนิ้วยาวได้รูปเคาะลงกับโต๊ะพลางครุ่นคิด ขณะที่อีกมือนั้นยังคงเปิดหนังสือเก่าแก่เพื่อศึกษาหาแนวทางการแก้ไขไปด้วย การปกครองของสองรุ่นที่แล้วยังอ่านได้ไม่ครบถ้วน เสียงของสาวใช้ที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าก็ดังขึ้นเอ่ยบอกว่าองครักษ์คนสนิทขอเข้าเฝ้า

“มีอะไร โทซอง”

“คุณชายฮีอูส่งคนมาบอกว่าจะยังไม่กลับเข้าวังเร็วๆ นี้ ทรงต้องการให้กระหม่อมไปตามไหมพะย่ะค่ะ?” คนพูดก้มหน้านิ่งรอรับคำสั่งอย่างนอบน้อม

“คิมฮโยซูเป็นอะไรมากหรือไง?”

“เห็นว่าเป็นไข้ป่าพะย่ะค่ะ”

“ถ้าเช่นนั้นก็ไม่เป็นไร ฮีอูไม่ค่อยได้กลับบ้าน บางทีข้าอาจจะเก็บตัวฮีอูไว้คนเดียวมากเกินไป พอได้เจอกับครอบครัวถึงได้อยากอยู่นานๆ” จีรยงปิดหนังสือพลางลุกขึ้นยืน “แล้ววังชอนซา ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”

เป็นเพราะเมื่อวานต้องเตรียมส่งราชทูตจากแคว้นเมืองใหญ่ต่างๆ กลับ แล้วยังต้องว่าราชกิจสำคัญในตอนบ่ายยาวไปจนถึงค่ำ ทำให้ไม่มีเวลาไปที่ตำหนักโยกัน และถึงต่อให้มีเวลาว่างหลังจากนั้น ก็ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้รัชทายาทหนุ่มไม่อาจไปเยี่ยมเชลยคนสำคัญได้

ในเวลานี้ ชองจีรยงยังไม่อาจทำใจยอมรับได้ว่า เศษเสี้ยวหนึ่งในใจของเขาเกิดความสนใจในตัวคิมซอนอิน เขาไม่อาจปล่อยให้ใจเกิดความรู้สึกใดๆ ต่อเชลยได้ เพราะหากแม้มีความสงสารหรืออะไรมากกว่านั้นเพียงน้อยนิด นั่นจะเป็นเรื่องร้ายแรงต่อการควบคุมเชลยให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ได้ ไม่ว่าอย่างไร คิมซอนอินจะต้องไม่มีผลใดๆ ต่อจิตใจของเขา

เมื่อสองวันก่อนที่เผลอจูบไปนั้น เขาไม่ทันได้ยั้งตัว เผลอปล่อยให้ความสวยงามของคนผู้นั้นดึงดูดเอาได้ มาคิดดูแล้ว วังชอนซาเป็นคนสวยหาใครเปรียบได้จริงๆ ซ้ำกลิ่นกายยังหอมราวกับดอกไม้กลีบขาวที่บานสะพรั่งในช่วงฤดูใบไม้ผลิ บุรุษผู้งดงามเช่นนี้ หากเข้าใกล้มากๆ ต่อให้เป็นคนใจแข็งสักเพียงไหน ก็อาจตกเป็นทาสเอาได้โดยไม่รู้ตัว ดูเอาจากงานฉลองพิธีแต่งตั้งรัชทายาทของเขาคืนนั้นก็ได้ ไม่ว่าแขกคนไหนต่างก็สนใจราชทูตแสนงามผู้นี้กันทั้งนั้น

แล้วกับคนอย่างเขาที่ชื่นชอบความสวยงามของหญิงนางโลมเป็นเรื่องปกติอยู่ทุกวี่วันอย่างนี้ น่ากลัวว่า หากเข้าใกล้คิมซอนอินมากเกินไปจะเผลอทำอะไรโดยไม่คิด ต่อให้คิดจะทำเพียงการบังคับขืนกอดที่ไร้ความรู้สึกพิเศษใดๆ ก็ตาม หากแต่เมื่อวันที่ได้ลิ้มรสจูบจากกลีบปากนุ่มหวานในวันนั้นแล้ว เขาก็รู้ได้ทันทีเลยว่า หากเขาได้กอดชายผู้นั้นเพียงสักครั้ง  ร่างกายของเขาไม่อาจเพียงพอในครั้งเดียวแน่ และหากการกอดคิมซอนอินคือสิ่งที่เขาต้องการจนขาดไม่ได้ ทุกอย่างที่วางแผนไว้ก็จะล่มไม่เป็นท่า

...ในเวลาเช่นนี้ คนที่จะช่วยเขาสลายความต้องการได้ก็มีเพียงฮีอูเท่านั้น ทว่า เวลานี้ฮีอูกลับไม่ได้อยู่เคียงข้างเขา

“เมื่อวานท่านหมอจากึนเข้าไปตรวจแต่เช้า พบว่าบนแผ่นหลังขององค์วังชอนซาทรงกลับเป็นปกติแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงพิษไข้ที่ยังไม่ค่อยทุเลาลงมากนักพะย่ะค่ะ”

จีรยงพยักหน้ารับ ขณะยกมือลูบริมฝีปากตัวเองเบาๆ พลางหันออกไปยังบานหน้าต่างที่เปิดโล่ง “ช่วงนี้เจ้ากับกึมซองไม่ต้องติดตามข้าไปทุกที่ คอยเฝ้าตำหนักโยกันไว้ มีเรื่องอะไรก็มาแจ้งข้า” ร่างสูงสง่าละสายตาจากผืนฟ้าสีส้มของยามเย็นหันกลับมามองเด็กหนุ่มร่างเพรียวบาง “แล้วเรื่องสายลับที่ลอบเข้าเมืองมา ไปถึงไหนแล้ว?”

เมื่อนายเหนือหัวเอ่ยเข้าประเด็นสำคัญ ใบหน้าเรียบนิ่งของโทซองก็แสดงสีหน้าจริงจัง ทั้งน้ำเสียงก็ยังเข้มขึ้น “กระหม่อมให้คนไปถามหาจากคนตรวจประตูเมืองแล้ว สายลับผู้นั้นเป็นคนของเชินอันไม่ผิดแน่ แต่ราวกับว่าพอทางเรารู้ตัว เบาะแสของสายลับผู้นั้นก็ไม่เหลือร่องรอยให้ตามหาแม้แต่น้อย”

เชินอันคงไม่คิดจะส่งคนด้อยฝีมือมา เพราะหากถูกฮานึลจับได้ นั่นก็เท่ากับว่าข้อตกลงเป็นอันโมฆะ และคิมซอนอินจะต้องตาย คนสำคัญขนาดนี้ไม่มีทางที่เชินอันจะยอมปล่อยไปง่ายๆ ...หึ จีรยงระบายรอยยิ้มเย็นขณะครุ่นคิด งั้นก็ลองมาดูกัน จนกว่าจะครบกำหนดวันที่เขายื่นเสนอไปเมื่ออาทิตย์ก่อน เขาจะจับสายลับนั่นได้ก่อนจะมีการทำสงครามหรือไม่

“สายลับยังอยู่ในเมืองหลวงแน่ ข้าต้องการให้ตามหาอย่างเงียบที่สุด ใช้คนของเราเท่านั้น อย่าให้ขุนนางข้าหลวงผู้ใดล่วงรู้ ข้าไม่อยากให้เหยื่อตื่นตกใจ”

“น้อมรับพะย่ะค่ะ”

เมื่อคนสนิทลับออกไปจากห้อง ร่างสูงสง่าก็เดินกลับตำหนักรัชทายาทพร้อมกับครุ่นคิดไปด้วยไม่หยุด ทั้งกำลังพล และม้า อาวุธรบ ทุกอย่างเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว ไม่ว่าอย่างไร สงครามระหว่างฮานึลและเชินอันจะต้องเกิดขึ้น แคว้นใหญ่ในแถบแผ่นดินตะวันออกแห่งนี้จะต้องมีเพียงแคว้นเดียวเท่านั้น
 

...ชัยชนะครั้งนี้จะต้องเป็นจุดเริ่มต้นในการขึ้นครองราชย์ของเขา
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
 

สามวันให้หลัง หงส์งามที่ถูกคุมขังในตำหนักโยกันได้ตื่นขึ้นจากพิษไข้ที่รุมเร้าในที่สุด

นางกำนัลสาวสองคนรีบร้องเรียกให้นายทหารหน้าตำหนักไปตามหมอหลวงมาตรวจเสียยกใหญ่ ไม่นานนัก หลังจากที่หมอหลวงจากึนทำการตรวจชีพจรและร่างกายขององค์วังชอนซาจนแน่ใจว่าไม่หลงเหลือไข้ใดๆ แล้ว ทั้งยอนอา และ โซยอนต่างก็พากันร้องไห้พร่ำขอบคุณเทพฟ้าดินเป็นการใหญ่

“ขอบคุณสวรรค์! องค์วังชอนซาทรงหายไข้เสียที ขอบคุณสวรรค์!!!!”

“พวกเจ้านี่นะ เสียงดังจริงๆ ไม่เห็นหรือไงว่าองค์วังชอนซาทรงยังไม่ฟื้นไข้ดีน่ะ แล้วนั่น ยังจะร้องไห้อีก ตกลงเจ้าดีใจหรือเสียใจกันแน่?” กึมซองเอ็ดสาวใช้ ทั้งที่ตัวเองก็เพิ่งก้มหัวขอบคุณท่านหมอเสียงดังลั่นไปเมื่อวินาทีก่อน

“ข้าต้องดีใจแน่อยู่แล้ว! เจ้านั่นแหละ ใครอนุญาตให้เข้ามาในห้องบรรทมขององค์วังชอนซากัน ออกไปได้แล้ว!” ยอนอาหันไปค้อนขวับใส่เด็กหนุ่ม

เสียงเอะอะเริ่มดังขึ้นเมื่อคนสองคนเริ่มต้นปะทะวาจากันอย่างเคยชิน จนไม่ทันสังเกตว่าร่างบางที่นั่งนิ่งอยู่บนเตียงนั้นยังมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก

โทซองถอนหายใจเหนื่อยอ่อนกับนิสัยของคนทั้งสองที่ว่างเมื่อไหร่เป็นต้องจิกกัดคำพูดกันเป็นเด็กๆ เขาคว้าคอน้องชายตัวแสบจนร่างที่เล็กกว่าปะทะเข้ากับแผ่นอกกว้างของตน มือข้างนั้นรีบยกขึ้นปิดริมฝีปากบางของแฝดผู้น้องที่คิดจะโวยวายอย่างรู้ทัน ก่อนหันไปมองโซยอน “ข้าว่าเจ้ารีบไปเตรียมยาต้มที่ท่านหมอสั่งดีกว่า ส่วนเจ้า ยอนอา เห็นหรือไม่ว่าองค์วังชอนซาทรงสีหน้าซีดเซียวนัก ข้าว่าเจ้าหายาดมหรือ...” ยังพูดไม่ทันขาดคำ ร่างบนเตียงก็โกงคออาเจียนออกมาอย่างฉับพลัน

“องค์วังชอนซาทรงเป็นอะไรเพคะ!!”

ยอนอารีบถลาไปรองรับแผ่นหลังบางให้เอนราบลงกับที่นอนดังเดิม เมื่อนายของเธออ้วกเอาน้ำออกมามากมายจนทั่วผืนผ้าผวยไปหมด เธอรีบดึงผ้านั้นออกทันที พร้อมกับวิญญาณการเป็นสาวใช้ได้กลับเข้าร่างอย่างที่ควรเป็น เธอรีบหันไปไล่ชายหนุ่มฝาแฝดให้ออกไปจากห้อง แล้วสั่งกำชับน้องสาวให้รีบต้มยาตามที่ท่านหมอสั่ง โดยตัวเธอก็รีบเปลี่ยนชุดทรงและเช็ดทำความสะอาดเรือนกายขาวไม่รอช้า

“รู้สึกเป็นอย่างไรบ้างเพคะ? ทรงอยากอาเจียนอีกหรือไม่เพคะ?” หลังจากเปลี่ยนชุดให้กับร่างบางแล้ว ยอนอาก็เอ่ยถามผู้เป็นนายอย่างเป็นห่วงขณะที่ยกผ้าห่มขึ้นคลุมร่างนั้นไปด้วย

ซอนอินขมวดคิ้วแล้วส่ายหน้าเบา ริมฝีปากสีชมพูเม้มแน่นพลางครุ่นคิดถึงสิ่งที่ยังคาใจ เขาเหลือบสายตามองสาวใช้ที่กำลังเก็บอ่างน้ำอยู่ข้างเตียงอย่างชั่งใจ ก่อนจะเอ่ยปากถามในที่สุด

“ยอนอา ระหว่างที่ข้าไม่ได้สติ มีใครมาหาข้าหรือไม่?”

“มีองค์ชายรอง กับองค์รัชทายาทเพคะ อ่ะ แล้วก็ เมื่อวานนี้ องค์กษัตริย์ฮวาจีทรงเสด็จมาที่นี่ด้วยเพคะ”

“กษัตริย์ฮวาจีอย่างนั้นหรือ?”

“ใช่เพคะ ทรงมาเยี่ยมองค์วังชอนซาด้วยองค์เองเลยเพคะ ทั้งยังถามไถ่อาการเสียถี่ยิบ ก่อนจะขออยู่เยี่ยมไข้องค์วังชอนซาเพียงลำพังเพคะ”

ซอนอินพยักหน้ารับ ก่อนจะโบกมือเป็นเชิงบอกว่าต้องการอยู่คนเดียว

“แต่ว่าทรงต้องทานยา...”

“ให้ข้าอยู่คนเดียว แล้วข้าจะเรียกเอง” เป็นครั้งแรกที่ยอนอาเห็นสีหน้าเคร่งเครียดขององค์วังชอนซา ซ้ำน้ำเสียงยังดูมีอำนาจมากกว่าทุกทีจนเธอทำได้เพียงก้มศีรษะน้อมรับอย่างไม่อาจขัดได้

เมื่อบานประตูห้องนอนปิดลง ซอนอินก็พลิกกายนอนตะแคงเข้าหากำแพงไม้ นิ้วเรียวแตะสัมผัสกลีบปากตนเอง

แม้ว่าไข้จะทำให้เขานอนเพ้อไม่ได้สติ แต่ถึงกระนั้น ซอนอินก็ยังรับรู้ว่าร่างกายตนเองถูกสัมผัสเช่นไร มันคล้ายกับว่าเขาไม่มีแรงที่จะลืมตาเพราะไข้ที่รุมเร้า ทำได้แต่เพียงนอนซมนิ่งอยู่บนเตียงเท่านั้น แล้วการที่มีใครคนหนึ่งมาถือวิสาสะฉวยโอกาสด้วยการจูบเขาทำไมเขาจะไม่รู้สึกล่ะ แล้วยัง...จูบนิ่งค้างนานถึงขนาดนั้น

เสียงทุ้มที่ดังแว่วอยู่ข้างหูของคนที่นั่งอยู่ข้างกายในเวลานั้นยังดังก้องในหัวใจ เสียงที่เป็นดังลูกศรที่พร้อมจะพุ่งตรงปลิดชีพคนตรงหน้าได้ทุกวินาที หากไม่ใช่เสียงของรัชทายาทชองจีรยงแล้ว จะเป็นใครได้?
 

“เวลาที่เจ้าไม่ขึ้นเสียงกับข้า ริมฝีปากของเจ้าดูน่าหลงใหลมากทีเดียว ...คิมซอนอิน”
 

เพียงแค่คิดถึงประโยคนั้น ใบหน้าก็ร้อนผ่าวไปหมด นี่กระมังที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เขารู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนไปหมดจนอาเจียนออกมาเมื่อครู่ เจ้าคนหยาบคายนั่นทำให้ใจของเขาหวั่นไหวได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ?

แล้วยังเรื่องในงานพิธีค่ำนั่นอีก ทำไมข้าต้องไม่สบอารมณ์ที่เห็นคนผู้นั้นไปยุ่งย่ามกับนางโลมพวกนั้นด้วย ทำไมข้าต้องนึกอิจฉาเด็กหนุ่มคนนั้นที่เป็นคนรักของคนผู้นั้นด้วย โอ้ย! ข้าปวดหัว ปวดท้อง ไปหมดแล้วนะ!!

ทำไมความรู้สึกที่ข้าไม่รู้จักและไม่เข้าใจมันถึงได้มีมากมายอย่างนี้!
 

“นั่นเพราะเจ้าชอบข้าไงล่ะ”
 

“ไม่มีทาง!!!” ทันเสียงในจินตนาการผุดขึ้นในสมอง ซอนอินก็ตะโกนลั่นด้วยความตกใจราวกับเห็นเจ้าตัวมาพูดเองต่อหน้า ทั้งที่มันเป็นแค่จินตนาการที่แว่บเข้ามาในสมองเพียงเท่านั้น

ซอนอินกอดตัวเองแน่น ราวกับว่าตอนนี้อยู่ในช่วงเหมันต์ฤดูท่ามกลางหิมะหนาวเย็นอย่างนั้นแหละ

ฮึ่ย! แค่คิดก็หนาวเยือกไปทั้งตัวแล้ว ไม่มีทางที่เขาจะชอบคนใจร้ายพรรค์นั้นได้เด็ดขาด!

ศีรษะเล็กที่ปกคลุมไปด้วยกลุ่มผมนุ่มสีดำยาวแผ่สยายไปทั่วหมอนเมื่อเจ้าตัวส่ายหน้าแรงๆ อย่างต้องการไล่ความคิดไร้สาระออกไป เขาลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงแล้วเอื้อมมือไปวักน้ำจากอ่างกระเบื้องข้างเตียงมาถูปากด้วยน้ำหนักมือที่ไม่เบานัก จนปากสีชมพูนั้นแดงช้ำไปหมด ก่อนจะตะโกนเรียกสาวใช้ให้เข้ามา

 
ชิ...ดื่มยาขมๆ ลบรสจูบของเจ้าคนใจร้ายนั่นให้ลืมๆ ไปซะก็สิ้นเรื่อง!
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

กลางดึก ภายในห้องบรรทมขององค์รัชทายาทอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมยั่วยวนจากผิวกายของหญิงนางโลมที่กำลังปรนนิบัติเจ้าของเรือนร่างสูงใหญ่บนเตียงอย่างเอาอกเอาใจ

หญิงงามหนึ่งในสองกำลังมอบความสุขให้แก่รัชทายาทหนุ่มด้วยการใช้ริมฝีปากปรนเปรอสัดส่วนกลางลำตัวของร่างสูงใหญ่อย่างรู้งาน ทว่า ความรื่นรมย์ที่ได้รับนั้นกลับไม่เป็นที่ต้องการได้ดีพอ ร่างสูงใหญ่ผลักหญิงผู้นั้นออกจากตัว ก่อนจะตวาดเสียงก้องอย่างไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก

“ออกไป!”

ตรัสเสียงห้วนเพียงคำเดียว หญิงนางโลมทั้งสองคนก็รีบกระวีกระวาดสวมเสื้อผ้าอย่างรีบร้อนแล้วทูลลาอย่างไม่รอช้าด้วยความหวาดกลัว

ร่างสูงที่มีเพียงเสื้อคลุมเนื้อแพรลื่นผืนบางสวมกายลุกขึ้นจากที่นอนตรงไปยังสระสรงที่ตั้งอยู่ด้านหลังสุดของตำหนักด้วยสีหน้าที่ยากเกินใครจะคาดเดา

ทันทีที่ร่างกายสัมผัสผืนน้ำที่เย็นเฉียบภายในสระสรงที่ทำจากหินก่อขึ้นโดยรอบขนาดใหญ่กว้างขวาง ฝ่ามือหยาบใหญ่ก็ไม่รอช้าที่จะกอบกุมสัดส่วนสำคัญที่ใกล้จะทานทนแทบไม่ไหวเพียงแค่นึกถึงใบหน้าของคนที่ตนเคยไปยั่วยุอารมณ์ฝ่ายนั้นถึงในห้องสรงน้ำ

แผ่นอกเปลือยเปล่ากำยำกระเพื่อมขึ้นลงพร้อมกับเสียงหอบหายใจหนักๆ ดังขึ้นอย่างกระชั้นถี่ยามที่ขีดความอดทนใกล้จะทานทนแทบไม่ไหวอีกต่อไป ระลอกคลื่นของน้ำในสระหินตีวงกระจายรุนแรงตามจังหวะการชักนำขึ้นลงที่บีบคั้นเค้นคลึงความร้อนผ่าวในมือภายใต้ผิวน้ำที่เย็นเฉียบอย่างรัวเร็ว จนในที่สุด ความสุขสมในอารมณ์ใคร่ขององค์รัชทายาทหนุ่มก็พวยพุ่งจนถึงที่สุด

ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นเสยเส้นผมที่ปรกลงให้พ้นใบหน้า เผยให้แสงจันทร์เบื้องบนทอแสงลงมาให้เห็นถึงดวงหน้าหล่อเหลาทรงเสน่ห์น่าเกรงขาม แม้ในยามที่ชายผู้นี้จะไม่ได้อยู่ในชุดทรงแสดงถึงยศถาบรรดาศักดิ์ก็ตาม

“ข้าต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ!” เสียงทุ้มสบถดังลั่น ขณะที่ถดกายไปพิงขอบหินข้างสระ ก่อนจะสอดมือลงกลับไปใต้น้ำแล้วกอบกุมสัดส่วนที่ยังแข็งขึงไว้อีกครั้ง

...และเป็นอีกครั้งที่ภาพในห้วงความคิดของชายหนุ่มยังคงเป็นภาพใบหน้าของคนคนเดิม

หากแต่ในครั้งนี้ นอกจากจะยังคิดถึงหงส์แสนงามแล้ว เสียงทุ้มยังเอ่ยแหบต่ำเพื่อเร่งฉุดอารมณ์ให้โบยบินไปกับความสุขสมให้เร็วมากขึ้นอย่างที่เจ้าตัวก็ไม่อาจปฏิเสธได้ถึงความต้องการที่เอ่อล้นขึ้นมานี้เลย
 

“คิมซอนอิน...อ่ะ....ซอนอิน...ซอน..อึก...อิน....ซอนอินอ่า....”
 

ท่ามกลางความเงียบในค่ำคืน เสียงทุ้มนั้นดังสะท้อนก้องไปทั่วสระสรงที่ตั้งอยู่ภายในตำหนักขององค์รัชทายาทอยู่หลายต่อหลายครั้ง

นี่ไม่ใช่คืนแรกที่เกิดความต้องการอย่างห้ามไม่อยู่เช่นนี้ ทว่า มันเริ่มขึ้นตั้งแต่ที่รัชทายาทหนุ่มได้เผลอจูบกับวังชอนซา เชลยของพระองค์ไปในวันนั้นแล้วต่างหาก...
 

และเพื่อจะหยุดความรู้สึกนี้ ชายหนุ่มควรจะทำเช่นไรกัน?
 
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 


 
จบตอน



ปล. ยังมีคนอ่านอยู่ใช่มั้ยคะ ฮ่าๆ

ออฟไลน์ mholic

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :o8:
สนุกเจ้าค่ะ. อัพบ่อยๆนะคะ เป็นกำลังใจให้
เนื้อหาตัวละครมีเหตุมีผล มีมิติดีค่ะ

ออฟไลน์ numberll

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
อ่าว ฮีอู เป็นคนรักของพระเอกรึเนี่ย นึกว่าเป็นน้องชายสะอีก  :a5:
รออ่านตอนต่อไปอยู่จ้า.. สนุกมาก..

ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
บทที่ 7


“จะออกไปอีกแล้วเหรอฮีอู?”

ท่าทีของคนเป็นแม่ที่เอ่ยทักเด็กหนุ่มร่างเล็กนั้นแฝงไว้ด้วยแววกังวลไม่น้อย ตั้งแต่เมื่อสามวันก่อนที่ลูกชายของเธอกลับมาบ้านในตอนค่ำทั้งที่ควรจะกลับมาเร็วกว่านั้น ถามไถ่ถึงได้รู้ว่าถูกโจรเถื่อนทำร้ายร่างกาย และที่กลับช้าก็เป็นเพราะคนที่ช่วยลูกชายของเธอไว้นั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสจึงต้องอยู่ดูแล แต่นี่มันก็เข้าวันที่สี่เข้าไปแล้ว ทำไมฮีอูยังจะต้องไปดูแลคนผู้นั้นอีก

แม้ว่าการตอบแทนบุญคุณในความช่วยเหลือนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่คิมโฮชอนก็ยังอดรู้สึกกังวลไม่ได้ อะไรบางอย่างเตือนเธอว่าการพบกันระหว่างลูกชายของเธอกับคนผู้นั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญธรรมดา ฮีอูไม่เคยปฏิเสธการกลับเข้าวังเลยสักครั้ง ทว่าครั้งนี้กลับต่างออกไป นอกจากจะยังไม่กลับเข้าวังตามกำหนดการเดิมแล้ว ลูกชายของเธอยังส่งคำร้องขอต่อองค์รัชทายาทว่าอยากพักอยู่ที่บ้านอีกสักพัก...นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นว่าฮีอูคิดตัดสินใจอะไรด้วยตนเอง

เช่นนั้นแล้ว สิ่งที่ผิดแปลกไปนี้ เธอก็สมควรที่จะไม่ไว้วางใจชายผู้นั้นไม่ใช่หรือ?

“ให้แม่ไปดูอาการเค้าด้วยดีไหม?”

คนที่เตรียมจะเดินออกจากประตูหันขวับไปหาผู้พูด “ไม่เป็นไรครับ” ศีรษะเล็กรีบส่ายปฏิเสธทันที มือที่ถือถุงกระดาษกำแน่นขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าของผู้เป็นแม่ฉายแววคล้ายการจับผิด “คือ...ผมหมายความว่า แค่ไปรักษาบาดแผลให้เท่านั้น ยังไงก็จะรีบกลับ ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”

“จำเป็นมากเลยหรือที่ลูกต้องไปรักษาให้ด้วยตัวเอง?”

“ขา...ขาของเค้าหักเพราะลูก ถ้าจะต้องไปให้หมอรักษาก็ต้องเดินไป ลูกแค่อยากตอบแทนเขาจนกว่าเขาจะหายดี ท่านแม่อย่าเพิ่งซักไซ้ลูกเลยนะครับ เรื่องของชายผู้นั้น ลูกเองก็ไม่ได้รู้อะไรมากนัก เพียงแต่ลูกเชื่อว่าเค้าไม่ใช่คนไม่ดี อีกทั้ง ตอนที่ลูกสลบไปนั้นเค้าก็คอยดูแลลูกอยู่ตลอดทั้งที่ตัวเองนั้นบาดเจ็บสาหัสกว่าลูกตั้งไม่รู้กี่เท่า” ฮีอูนึกไปถึงตอนที่ตนฟื้นขึ้นมาในกระท่อมไม้เล็กๆ เขาพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงเก่าๆ โดยมีคนร่างสูงนั่งอยู่ที่เก้าอี้ด้านข้าง ชายคนนั้นมีเลือดเปรอะไปทั่วทั้งตัว ที่ขาซ้ายและตามบาดแผลต่างๆ นั้นพันไว้ด้วยผ้าที่มัดไว้อย่างขอไปที บ่งบอกถึงคนที่ไม่ถนัดการปฐมพยาบาล

ฮีอูไม่รู้ว่าคนร่างสูงที่เขาตามหามาตลอดนั้นมาช่วยเขาไว้ได้อย่างไร แต่จะเพราะอะไรก็ช่าง เขาได้เจอกับชายคนนั้นแล้ว ซ้ำยังเป็นการเจอครั้งที่สองด้วยการช่วยชีวิตเขาไว้อีก

“แล้วจะรีบกลับมานะครับ” ร่างเล็กก้มหัวให้มารดา แล้วเดินออกจากประตูไปโดยไม่คิดจะอธิบายอะไรให้มากความมากไปกว่านั้น

ถึงจะบอกว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณ แต่ตัวฮีอูนั้นรู้ดีอยู่แก่ใจว่าเหตุผลที่แท้จริงแล้วเพราะเขาอยากรู้จักชายร่างสูงคนนั้นให้มากกว่าที่เป็นอยู่นี้

อยากรู้ทุกอย่างของคนผู้นั้น...

อยากรู้ ...ว่าเขาจะสามารถเข้าถึงใจของร่างสูงได้หรือไม่
 
 

ใช้เวลาในการเดินทางจากบ้านไปยังกระท่อมไม้ที่อยู่ห่างจากตัวเมืองหลวงไปทางทิศตะวันตกนานพอสมควร กว่าที่ร่างเล็กจะมายืนอยู่หน้าทางเข้าของป่าไม้ตรงเนินเขา

เมื่อเปิดประตูเข้าไปในกระท่อมไม้ ฮีอูก็พบกับสายตาคมจ้องตอบกลับมาในทันที คนที่นั่งอยู่บนเตียงดูเหมือนจะรอคอยให้ร่างเล็กมาถึงอยู่ทุกวินาที ดังนั้นเมื่อเห็นว่าใครมา ชายหนุ่มจึงยิ้มกว้างตอบกลับไปด้วยสีหน้าแสดงออกถึงความสุข

ฮีอูวางห่อยาและข้าวของลงบนโต๊ะไม้กลางห้อง แล้วเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง

“วันนี้เจ้ามาช้า” ขณะที่มือเล็กเริ่มทำการเปลี่ยนผ้าพันที่ท่อนแขน เสียงทุ้มก็เอ่ยคล้ายตัดพ้อ

เรียวคิ้วบางเลิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าบาดแผลยังไม่มีทีท่าว่าจะหายเลยแม้แต่น้อย เขาเงยหน้าจ้องมองดวงตาคมอย่างพินิจ ในขณะที่อีกคนก็ยังรอคอยคำตอบด้วยท่าทางไร้พิษภัย

สามวันที่ผ่านมาฮีอูใช้ยารักษาตามสูตรเฉพาะของที่บ้าน ซึ่งได้ผลดีเทียบเท่าการรักษาให้เชื้อพระวงศ์ เนื่องจากแม่และพ่อของฮีอูเป็นปรมาจารย์ด้านการปรุงยา ส่วนตัวเขาก็ได้รับการถ่ายทอดวิชานี้มาอย่างเชื้อไม่ทิ้งแถว ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการถูกฟันหรืออาการบวมช้ำ เขาก็สามารถรักษาให้หายได้ภายในเวลาไม่นาน แต่นี่ ผ่านมาตั้งสามวันแล้ว นอกจากเลือดจะยังไม่หยุดไหลซึม ปากแผลที่ถูกฟันยังไม่สมานกันเลยด้วยซ้ำ

ดวงตากลมโตจ้องลึกลงไปในแก้วตาสีดำสนิท อยากจะมองให้เห็นถึงสิ่งที่คนตรงหน้าเก็บซ่อนไว้ภายใต้แววตาคมกริบคู่นั้น ทว่า ไม่ว่าจะพยายามมองแค่ไหน สิ่งที่ฮีอูได้กลับมาคือความว่างเปล่าแต่เพียงเท่านั้น

“เราเห็นว่าร่างกายท่านยังไม่หายดีนัก น่าจะทานซุปไก่สมุนไพรที่ช่วยให้บาดแผลสมานเร็วขึ้น เราก็เลยแวะซื้อของที่ตลาดมา อาหารเที่ยงวันนี้ท่านต้องทานฝีมือเราแล้วล่ะ” ดวงหน้าหวานระบายยิ้มบาง “...หวังว่าท่านจะไม่รังเกียจนะ?”

“ไม่เลย เจ้าทำซุปเพื่อข้า มีหรือที่ข้าจะรังเกียจ?”

“เช่นนั้นก็ดี ถ้าอย่างนั้น เราเริ่มทำแผลเลยนะ เสร็จแล้วจะรีบไปทำอาหารให้ท่าน”

ดวงหน้าใสบริสุทธิ์เริ่มจับจ้องบาดแผลต่างๆ บนร่างกายของคนบนเตียง ยองจูมักแปลกใจเสมอที่เห็นว่าเด็กใสซื่อคนนี้จะมีสีหน้าจริงจังยามที่ทำการรักษาให้กับเขา ดูราวกับว่าเป็นคนละคนกับเวลาปกติโดยสิ้นเชิง

เมื่อหัวเข่าถูกเปลี่ยนผ้าที่พันดามคู่กับไม้ไว้เสร็จสิ้น ร่างเล็กก็เก็บอุปกรณ์ไว้ในกล่องดังเดิม ฮีอูจ้องมองท่อนขายาวที่เหยียดตรงนั้นด้วยความรู้สึกสับสน แน่นอนว่าเขารู้สึกซึ้งในบุญคุณครั้งนี้ที่ร่างสูงช่วยเขาไว้จนได้รับบาดเจ็บ แต่ที่ฮีอูไม่เข้าใจ คือวันที่ได้เจอกันครั้งแรก ชายผู้นี้น่าจะเก่งวรยุทธมากไม่ใช่หรือ แล้วทำไมกับแค่โจรเถื่อนพวกนั้นถึงได้พลาดพลั้งขนาดนี้?

ความสงสัยมากมายในโลกนี้เกิดขึ้นในใจของฮีอูอยู่บ่อยครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยคิดจะพยายามหาคำตอบ เพราะเรื่องใดก็ตามที่เกิดขึ้นรอบตัวของเขาล้วนไม่สำคัญเท่าความต้องการขององค์ชายชองจีรยง หากองค์รัชทายาทต้องการให้เขารับรู้ ก็จะทรงตรัสออกมาโดยที่เขาไม่จำเป็นต้องร้องขอหรือปฏิเสธ หากสิ่งใดไม่ควรรู้ เขาก็จะไม่เอ่ยถามให้อีกฝ่ายเกิดความรำคาญ ตั้งแต่เล็ก ฮีอูนั้นเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย เชื่อฟังผู้ใหญ่เป็นอย่างดี ท่านพ่อและท่านแม่เฝ้าบอกเขาอยู่เสมอว่าให้เชื่อฟังองค์ชายชองจีรยง ห้ามต่อต้าน ห้ามขัดขืน ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม หากเป็นสิ่งที่องค์ชายชองจีรยงต้องการ คิมฮีอูมีแต่ต้องยินยอมตามรับสั่งแต่เพียงเท่านั้น ตั้งแต่จำความได้ เพื่อนเล่นเพียงคนเดียวที่มีก็คือองค์ชายใหญ่ และเพราะตลอดมาสิ่งที่ได้รับจากเพื่อนผู้สูงศักดิ์คนนี้คือความอบอุ่นอ่อนโยน และความใจดี จิตใจของฮีอูจึงมีแต่จะจงรักภักดีต่อชายผู้นั้นอย่างไม่มีข้อแม้

ฮีอูกลายเป็นคนขององค์รัชทายาทชองจีรยงโดยสมบูรณ์ จะไม่มีวันหักหลัง ไม่มีวันคิดทรยศ สิ่งเหล่านี้ไม่เคยหายไปจากจิตใต้สำนึกของฮีอู เขายอมรับเหตุผลทั้งหมดนี้ด้วยใจบริสุทธิ์มาตั้งนานแล้ว ในชีวิตที่ผ่านมานี้ องค์รัชทายาทมีความหมายต่อเขามากที่สุด ...ฮีอูเชื่ออย่างนั้นมาตลอด 17 ปี

แต่ทว่า ครั้งนี้กลับต่างออกไป...

เป็นครั้งแรกที่หัวใจของฮีอูมีพื้นที่ไว้ให้ใครอีกคนที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อ เป็นครั้งแรกที่ฮีอูอยากหาคำตอบในความสงสัยที่เกิดขึ้นมากมายนี้อย่างที่ต้องแลกด้วยอะไรก็ยอมทั้งนั้น

“เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า?” อาการนิ่งเงียบของคนตัวเล็กทำให้ร่างสูงต้องเอ่ยถาม เพราะหากเป็นอย่างวันก่อนๆ ที่ผ่านมา ฮีอูจะชวนคุยมากกว่านี้ ...และยิ้มมากกว่านี้

มือเล็กทาบลงบนหัวเข่าซ้ายของชายหนุ่มแผ่วเบา “หากท่านไม่มาช่วยไว้ ป่านนี้เราคงถูกจับไปทำอะไรบ้างก็ไม่รู้ ท่านยอมเจ็บเพื่อเราถึงขนาดนี้ นั่นหมายความว่าเราเป็นหนี้ชีวิตท่าน ...จะเป็นอะไรไหม หากเราอยากรู้จักนามที่แท้จริงของผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเราไว้”

ราชครูหนุ่มในคราบชาวบ้านต่างเมืองจ้องมองดวงหน้าหวานของคนพูดเรียบนิ่ง ความจริงยองจูไม่ได้คิดจะปิดบังชื่อแต่อย่างใด แต่ถ้าไม่รู้ย่อมดีกว่า ดังนั้นเขาจึงเลี่ยงที่จะเอ่ยถึงชื่อตัวเอง อีกทั้งร่างเล็กไม่เคยเอ่ยปากถามตรงๆ ด้วยเพราะความเกรงใจที่ไม่คิดละลาบละล้วงความเป็นส่วนตัวของเขา แต่ในเมื่อคราวนี้เจ้าตัวถามออกมาโดยตรง ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะปิดบังอีก

“ยองจู”

“ยองจู...” ร่างเล็กทวนคำเสียงเบา จดจำคำเพียงสองคำนั้นให้ขึ้นใจ ...ยองจู

“เราเรียกท่านว่า ยองจูได้ไหม? เอ่อ...ถ้าไม่สะดวก เราไม่เรียกก็ได้” เมื่อคิดได้ว่าเป็นการก้าวก่ายอีกฝ่ายมากเกินไป เสียงเล็กก็รีบเอ่ยต่อท้ายประโยคด้วยสีหน้าสลดลง

“รู้ชื่อของข้าแล้ว ทำไมเจ้าจะเรียกไม่ได้ล่ะ?”

ดวงหน้าหวานรีบเงยขึ้นสบสายตาคมอย่างยินดี “เราเรียกท่านว่ายองจูได้จริงหรือ?!”

“ได้สิ” ระหว่างที่เอ่ยตอบไปนั้น ยองจูกลับรู้สึกแปลกใจตัวเองที่นึกเป็นสุขเพียงแค่เห็นคนตัวเล็กนั้นยิ้มได้เสียที

“ยองจู...ยองจู...” ฮีอูลองเรียกชื่อนั้นสองสามครั้ง แล้วก็รีบหันหน้าไปอีกทางพลางยกมือขึ้นสะบัดไปมาตรงหน้าอย่างต้องการไล่ความร้อนที่แล่นฉิวมาสุมอยู่ที่ผิวแก้มจนน่ากลัวว่าจะแดงเถือกลามไปถึงคอ ทั้งดีใจที่ได้เรียกชื่อของยองจู ทั้งเขินอายเวลาที่เรียกชื่อแล้วอีกฝ่ายก็ขานรับด้วยรอยยิ้ม อ่อย~ ทำไมเขาถึงเป็นไปได้ขนาดนี้เนี่ย!~

“อ๊ะ จริงสิ เราเรียกยองจูด้วยชื่อ งั้นยองจูก็เรียกเราว่าฮีอูนะ เราเคยบอกไปแล้วว่าชื่อคิมฮีอู จำได้ไหม?”

จำได้สิ จำได้แม่นเลยทั้งหน้าตาและชื่อ ยองจูตอบตนเองในใจ พลางพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มบาง

“ตอนนี้แผลก็ทำเสร็จแล้ว งั้นยองจูนอนพักผ่อนก่อนนะ เราจะไปทำอาหารให้ทาน”

“อืม...”

เมื่อร่างเล็กเดินออกจากประตูไป เสียงหัวเราะเบาๆ ก็หลุดออกมาจากริมฝีปากหนาได้รูปไม่ดังนัก นานเท่าไหร่แล้วที่ชีวิตของปาร์คยองจูไม่ได้เจอใครที่ร่าเริงเช่นนี้ นอกจากจะต้องมุมานะฝึกวิชาทั้งบุ๋นและบู้มาตั้งแต่ยังเล็ก ที่เหลือจากนั้นคือการเป็นราชครูที่ดีให้กับวังชอนซา อ่า...จริงสิ เขาอยู่กับซอนอินตั้งแต่ที่ฝ่ายนั้นยังเป็นแค่เด็กไร้เดียงสา แต่ทว่า ซอนอินกลับโดนสิ่งแวดล้อมผลักดันให้ไม่มีช่วงเวลาเหมือนอย่างเด็กคนอื่นๆ ไม่ได้เที่ยวเล่นอย่างที่เด็กในวัยนั้นสมควรได้รับโอกาส แม้ว่าตอนนี้ซอนอินจะอายุย่างเข้าปีที่ 17 แล้ว แต่ความเป็นเด็กยังคงถูกซุกซ่อนอยู่ในตัวไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่พยายามที่จะไม่แสดงมันออกมา โดยที่เจ้าตัวไม่ได้รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ คงเป็นเพราะเหตุนี้ ที่ทำให้ฮีอูและซอนอินที่อยู่ในวัยไล่เลี่ยกันมีความแตกต่างทางนิสัยอย่างนี้

ยองจูขยับกายลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง เขาเหม่อมองออกไปยังกรอบบานหน้าต่างด้านข้าง แหงนมองท้องฟ้าสีครามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด หากเป็นคนทั่วไป การเห็นก้อนเมฆที่ลอยเอื่อยอย่างสงบอยู่บนท้องนภาสดใสนี้คงไม่รู้สึกอะไร แต่สำหรับปาร์คยองจู ราชครูหนุ่มที่ถูกผู้เป็นพ่อเฝ้าสอนถึงการดูโหราศาสตร์ของเผ่าชินซองอยู่เกือบตลอดชีวิตนั้นเข้าใจดีถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

เดือน 7 กำลังจะใกล้เข้ามา มีเวลาไม่มากแล้ว ก่อนที่ตัวตนที่แท้จริงของวังชอนซาจะถูกเปิดเผย

...ไม่สิ ทุกอย่างมันสายไปแล้วตั้งแต่คืนวันที่ซอนอินโดนลักพาตัวไป สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ คือการพาซอนอินออกมาจากฮานึล ก่อนที่ทุกอย่างที่ชินซองพยายามปิดบังมาตลอดจะสูญเปล่า

สถานที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับซอนอินในเวลานี้ มีเพียงหุบเขาของชนเผ่าชินซองเท่านั้น

“นายท่าน” เสียงของชายชราเรียกให้ร่างสูงที่กำลังครุ่นคิดต้องหันไปมอง ที่ด้านนอกของตัวกระท่อม เมื่อมองจากบานหน้าต่างก็จะเห็นใครคนหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกล “...ที่ห้องครัว เด็กคนนั้นมาทำอาหารด้วยตัวเอง ข้าไม่สามารถทำอย่างที่ท่านบอกไว้ได้เหมือนวันก่อนๆ”

“อืม ข้ารู้แล้ว นี่ค่าจ้างสำหรับวันนี้ พรุ่งนี้ก็ขอให้มาเวลาเดิม เข้าใจนะ” เหรียญสีทองสองเหรียญถูกส่งให้ชายชราที่รีบยื่นมือออกมารับอย่างกระตือรือร้น “จำเอาไว้ด้วย ว่าเจ้าไม่เคยรู้จักข้า ไม่เคยเห็นอะไรในที่นี้ ...หากเจ้าปากพล่อยเมื่อใด คงรู้นะว่าจะเป็นอย่างไร”

“ข้าไม่เคยรู้จักท่าน ไม่เคยเห็นที่แห่งนี้ ข้าสาบาน ขอบคุณท่านมาก ขอบคุณที่ทำให้ข้ามีรายได้ไปรักษาลูกของข้า ขอบคุณ ขอบคุณ”

“ไปได้แล้ว”

ดวงตาคมมองตามแผ่นหลังของชายชราที่ค่อยๆ วิ่งออกไปทางเนินเขา ชายผู้นั้นคือคนที่เขาบอกกับฮีอูว่าเป็นเจ้าของกระท่อม และเป็นคนที่คอยทำอาหารให้กับเขาทุกมื้อ ดังนั้นที่ผ่านมาสามวัน เขาและฮีอูจะได้ทานอาหารเที่ยงด้วยกันจากฝีมือของชายแก่ผู้นั้น

มือหยาบใหญ่กำแผ่นหยกที่ฮีอูคืนเขาตั้งแต่เมื่อสามวันก่อนไว้ในมือแน่น ทุกอย่างกำลังจะเป็นไปตามแผน เขาจะไม่ยอมให้อะไรมาขวางทางเด็ดขาด

 
ครึ่งชั่วยามต่อมา ซุปไก่ร้อนๆ และกับข้าวอีกสองสามอย่างก็วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะไม้กลางห้อง ร่างเล็กยิ้มร่าขณะเดินเข้าไปประคองร่างสูงให้ลุกขึ้นมานั่งที่เก้าอี้

วงแขนเล็กกอดรอบเอวของคนที่ตัวสูงกว่า ทุลักทุเลเหมือนอย่างเคยที่ต้องพยายามประคองร่างของยองจูที่ทั้งสูงและหนักกว่าตนให้ก้าวเดินไปพร้อมกัน

“อ๊ะ!~”

เสียงเล็กอุทานลั่นเมื่อร่างทั้งร่างตกลงไปบนตักของร่างสูงที่เพิ่งจะหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ได้สำเร็จ วงแขนกว้างรวบคนตัวเล็กไว้แน่นด้วยกลัวว่าจะตกลงไปบนพื้น ทำให้ใบหน้าหวานจมลงกับอกอุ่นแนบสนิท

“เป็นอะไรหรือเปล่า?”

“มะ...ไม่เป็นไร” ฮีอูเอ่ยตอบผ่านแผ่นอกหนาด้วยเสียงอู้อี้ มือขาวยกขึ้นดันอีกฝ่ายไม่แรงนัก เพื่อละตัวเองออกมายืนหน้าแดงหูแดง ซ้ำหัวใจก็ยังเต้นไม่เป็นส่ำ

อาการเขินอายของคนตัวเล็กนั้นไม่อาจปิดบังอีกคนได้ ยองจูระบายยิ้มยามที่ยกมือขึ้นลูบผิวแก้มอุ่นร้อนนั้นแผ่วเบา “ข้าว่าวันนี้เจ้าแปลกไปจริงๆ นะ ไม่สบายหรือเปล่า ทำไมหน้าแดงอย่างนี้?”

“ฮีอู?...”

“อ่ะ ป่ะ...เปล่า เราไม่ได้เป็นอะไร” ดวงหน้าแดงซ่านส่ายรัวไปมา ก่อนที่เจ้าตัวจะรีบนั่งลงที่เก้าอี้ถัดจากร่างสูง มือเล็กรีบตักน้ำซุปให้กับคนป่วยทั้งที่ยังก้มหน้าหลบสายตาคม “ยองจูรีบทานดีกว่า เดี๋ยวเย็นหมด”

“อืม ฮีอูก็รีบทานเข้าเถิด”

บรรยากาศอบอุ่นบางเบาค่อยๆ โรยตัวลงมาเชื่องช้า ฮีอูลอบมองยองจูที่ทานอาหารฝีมือตนเองอย่างมีความสุข แอบยิ้มให้กับตัวเองไปก็หลายครั้ง ความรู้สึกของกระแสอุ่นซ่านที่เกิดขึ้นในอกนี้ทำให้เขามีความสุขยิ่งนัก แม้จะเคยรู้สึกดีกับสิ่งที่องค์ชายใหญ่เคยมอบให้ แต่สิ่งเหล่านั้นไม่เคยทำให้หัวใจของฮีอูปรวนแปรได้เท่ากับชายผู้นี้

...ใจของข้ากำลังมีความรักให้กับท่านใช่หรือเปล่า ยองจู...
 

“...ฮีอู ข้าวติดปากเจ้าแหนะ”

“.................”

“...ฮีอู” เป็นเพราะคนตัวเล็กเอาแต่นั่งเขี่ยข้าวในถ้วยอย่างคนเหม่อลอย ทำให้เจ้าของเสียงทุ้มต้องยื่นหน้าเข้าไปใกล้เพื่อเรียกซ้ำอีกครั้ง แต่ก็ยังเป็นเช่นเดิม ดูเหมือนว่าเจ้าตัวกำลังคิดเพลินเรื่องอะไรบางอย่างอยู่ “ถ้าอย่างนั้น ข้าเอาออกให้นะ” เสียงทุ้มกระซิบอยู่ใกล้ในระยะประชิด ทำให้ลมร้อนกระทบลงบนผิวแก้มนุ่ม ในจังหวะที่ปลายนิ้วเรียวยาวกำลังจะแตะดวงหน้าขาวนั้นเอง จู่ๆ ฮีอูก็หันขวับมาอย่างเพิ่งรู้สึกตัว

“อ่ะ!!”

ช่วงเวลาที่สองสายตาได้สบกัน ราวกับมีอะไรบางอย่างดึงดูดให้ไม่อาจละสายตาไปจากคนตรงหน้าได้ แววตาใสซื่อบริสุทธิ์ทำให้ร่างสูงหลงใหลอย่างไม่รู้ตัว ในขณะที่ดวงตาคมกริบที่ราวกับเป็นกระบี่ปลายแหลมกำลังฟาดฟันลงมาที่กลางใจคนมองนั้นทำให้เกิดความลุ่มหลงอย่างที่คนตัวเล็กรู้ตัวดีอยู่แล้วว่าตนพ่ายแพ้ให้กับชายผู้นี้อย่างสิ้นเชิง

ยามที่สายตายังสอดประสาน ปลายนิ้วอุ่นก็แตะแผ่วเบาเพื่อปัดเม็ดข้าวออกจากมุมปากบางสวย ใช้เวลาไม่นานที่จะปัดเม็ดข้าวเพียงสองเม็ดนั้น แต่กลับใช้เวลาเนิ่นนานที่ฝ่ามือหยาบไล้สัมผัสผิวแก้มนุ่มลื่นตรงหน้าอย่างไม่คิดจะถอยห่าง

ความอบอุ่นบนผิวแก้ม และดวงหน้าหล่อเหลาที่โน้มลงมาใกล้เรื่อยๆ ทำให้เปลือกตาบางค่อยๆ ปิดลงอย่างเชื่องช้า ทันทีที่ความมืดมิดครอบงำลงมา ริมฝีปากสีสดก็ถูกประกบทาบทับแนบสนิท

มือเล็กยกขึ้นเกาะเกี่ยวบ่ากว้างขณะที่ริมฝีปากยังคงบดเบียดเข้าหากันราวกับเป็นแม่เหล็กดึงดูดไม่ให้แยกจาก รสจูบเร่าร้อนดำเนินไปอย่างไม่เร่งรีบ ริมฝีปากหนาค่อยๆ สำรวจดูดดึงกลีบปากบางคล้ายต้องการลิ้มรสความหอมหวานให้คุ้มค่ามากที่สุด

“อึก...” ข้อนิ้วเล็กที่จับยึดบ่ากว้างเกร็งแน่นขึ้นยามที่ถูกเรียวลิ้นร้อนแทรกลึกเข้ามาในโพรงปาก เสียงหวานครางอื้ออึงในลำคอยามที่ต้องตอบรับการเกี่ยวกระหวัดปลายลิ้นเข้าหากัน หยาดน้ำใสเอ่อล้นผ่านทางริมฝีปากของกันและกันจนเกิดเสียงเปียกลื่นดังก้องสะท้อนในความเงียบสงบภายในกระท่อมไม้

นานเท่าไหร่ไม่อาจล่วงรู้ กว่าที่คนทั้งสองจะผละจูบออกจากกัน เจ้าของกลีบปากบวมช้ำสีสดหอบหายใจรัวถี่จนแผ่นอกกระเพื่อมน้อยๆ ดวงหน้าเล็กยังคงเค้าของความฉ่ำหวานทั้งดวงตาและผิวแก้ม ท่วงท่าที่แสนน่ารักจากร่างเล็กนั้นยังผลให้คนตัวสูงก้มใบหน้าลงใกล้แล้วประทับจูบมุมปากสีสวยนั้นอีกครั้งทิ้งท้าย

ในตอนนี้ ร่างสูงโปร่งหันกลับมาจัดการกับอาหารตรงหน้าอีกครั้งแล้ว แต่คนตัวเล็กกลับยังนั่งนิ่งไม่ไหวติง

“หากเจ้าไม่รีบทาน งั้นข้าจะป้อนเจ้าเองด้วยปากของข้านี่แหละ”

“เห๋?!!!”

“รู้สึกตัวเสียที” คนพูดปล่อยเสียงหัวเราะในคอแล้วระบายยิ้มกว้าง “ทานข้าวเถิด เกิดเจ้าเป็นอะไรขึ้นมา ใครจะช่วยดูแลข้าล่ะ”

“อ่ะ...อือ...” ก้มหน้างุดรับคำในคอ ตะเกียบในมือก็วนเขี่ยข้าวในถ้วยอยู่นานสองนานกว่าเจ้าตัวจะจับจังหวะหัวใจให้เป็นปกติได้ ถึงค่อยเริ่มทานข้าวจริงๆ จังๆ เสียที
 

แต่ถึงกระนั้น ฮีอูกลับพบว่า การกลืนข้าวให้ลงคอทั้งที่ตัวเองยังยิ้มไม่หุบอยู่แบบนี้ช่างเป็นเรื่องที่ทำได้ยากยิ่งนัก...
 
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 


ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2


เรื่องของนางสนมมากมายภายในวังหลวง เป็นที่รู้กันว่าเหล่าสาวงามแต่ละคนต่างก็ต้องการแก่งแย่งกันให้เป็นที่โปรดปรานขององค์กษัตริย์ ในหลายๆ แคว้นบนแผ่นดินนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นเช่นนี้ทั้งนั้น อย่างน้อยที่สุด นางสนมที่ได้รับแต่งตั้งไม่ว่าจะทางการเมืองหรือเป็นการแต่งตั้งเพราะผลประโยชน์ต่างๆ จะได้รับความเอ็นดูจากองค์กษัตริย์หนึ่งคืนเป็นอย่างต่ำ ไม่ว่าจะเป็นบุรุษผู้ใด หากเป็นเรื่องของหญิงงาม ล้วนหลงมัวเมาในอารมณ์ไม่ต่างกัน

ทว่า กลับยังมีกษัทตริย์อยู่พระองค์หนึ่ง ที่ไม่ใคร่การสุขสำราญกับบรรดาสาวงามเท่าใดนัก แต่เป็นเพราะหน้าที่และเพื่อให้คนที่สำคัญที่สุดในชีวิตได้ยอมรับสิ่งที่ตนเลือก พระองค์จึงตัดขาดความสัมพันธ์ที่มีต่อคนผู้นั้นแล้วขึ้นครองราชย์ปกครองแคว้นฮานึลอย่างห้าวหาญ

...แม้ว่าหัวใจจะอ่อนแอมากเพียงไรก็ตาม

การให้กำเนิดโอรสองค์แรก นับเป็นจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของการมีความสัมพันธ์ทางกายกับผู้อื่น กษัตริย์ชองฮวาจีทรงตั้งใจไว้เช่นนั้น ขอเพียงมีผู้สืบทอดบันลังก์ เรื่องที่เหลือต่อจากนี้ก็เพียงทุ่มเทให้กับบ้านเมืองจนสิ้นลมหายใจแล้วเท่านั้น การร่วมชีวิตกับราชินีที่เพียบพร้อมและจิตใจงดงามอย่างอึนจอง เพียงพอแล้วสำหรับพระองค์ แต่เรื่องทุกอย่างกลับไม่เป็นอย่างที่คิด ในคืนหนึ่งหลังจากที่มีการแต่งตั้งพระสนมชิมฮีวอน พระองค์ได้ให้กำเนิดโอรสองค์รองอีกหนึ่งองค์ด้วยความไม่ตั้งใจ หลังจากนั้นอีกหลายปีต่อมา ความสงบสุขที่พระองค์ปรารถนามาตลอดกลับไม่เป็นผล ความวุ่นวายภายในวังหลวงมีมากเกินกว่าที่จะควบคุมได้อย่างใจคิด ในคืนที่พระองค์ถูกลอบวางยาจากพิษดอกไม้อังฮวาเมื่อสองปีก่อนนั้นทำให้ทั่วทั้งวังเกิดโกลาหล และที่น่าเศร้าเสียใจที่สุด คือการพบหลักฐานว่าองค์ราชินีของพระองค์เป็นคนลอบวางยา ในวันประหาร ชองฮวาจี ไม่อาจช่วยเหลือภรรยาของตนได้เลย ทุกอย่างเป็นไปตามกฎระเบียบของวังหลวง แม้ตัวของพระองค์จะไม่เชื่อ แต่ก็ไม่มีหลักฐานใดๆ ยืนยันได้

นับตั้งแต่นั้น ไม่มีวันใดที่องค์กษัตริย์แห่งฮานึลไม่นึกเสียใจต่อพระมารดาของจีรยง อึนจองดีต่อพระองค์มากนัก ทั้งยังเป็นเพียงคนเดียวที่รู้เรื่องทุกอย่างของพระองค์ดีที่สุด นางไม่เคยได้รับความรักอย่างชู้สาวจากผู้เป็นพระสวามี แต่กระนั้น นางก็ยังรักและเข้าใจในชองฮวาจีมากกว่าใครทั้งหมด แม้อยากจะตอบแทนความรักที่มีให้นั้นมากเพียงใด ในตอนนี้ พระองค์กลับทำได้เพียงเลี้ยงดูบุตรชายของนางให้ดีที่สุดเท่านั้น

และเพราะความรักขององค์กษัตริย์ที่ทุ่มเทให้แต่เพียงโอรสองค์โตอย่างไม่ปิดบังนี้เอง ที่กำลังทำให้เรื่องในวังหลวงยุ่งยากมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
 

“เจ้าจะไปไหน จีมุน”

“เสด็จแม่...” ร่างสูงโปร่งหันกลับไปตามเสียงเรียก เด็กหนุ่มโค้งกายให้ผู้เป็นมารดาอย่างนอบน้อม ก่อนเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพตามนิสัย “ลูกกำลังจะไปที่ตำหนักโยกัน เสด็จแม่มีสิ่งใดจะคุยกับลูกหรือ?”

“ตำหนักโยกัน? ที่ที่วังชอนซาพักอยู่น่ะหรือ?”

“ใช่พะย่ะค่ะ”

เรียวคิ้วบางที่ผ่านการดูแลมาอย่างดีเลิกขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากสีแดงสดตัดกับผิวหน้าขาวราวหิมะขยับเอ่ยวาจา “เสด็จพ่อตรัสกับแม่ว่า วังชอนซาผู้นี้อยู่ในความดูแลขององค์รัชทายาทไม่ใช่หรือ? แล้วเหตุใด เจ้าถึงไปยุ่งกับคนของพี่ชายเจ้า ทั้งที่แม่เคยบอกตั้งไม่รู้กี่ครั้งว่าอย่าหาเรื่องให้เสด็จพ่อเคืองพระทัย!”

จีมุนก้มหน้านิ่ง เขารู้ดีว่าแม่ของเขาต้องการให้เขาเอาอกเอาใจเสด็จพ่อ พยายามทำทุกอย่างให้เสด็จพ่อเชื่อใจเพื่อที่ตนเองจะได้เป็นผู้ถูกเลือกให้ครองบัลลังก์ ทั้งที่ทั้งเขาและแม่ก็รู้อยู่เต็มอกว่าไม่มีทางเป็นไปได้ เสด็จพี่มีความสามารถมากกว่าเขามากมายนัก อีกทั้ง ลูกสนมอย่างเขามีหรือจะกล้าเทียบเสด็จพี่ที่เป็นถึงโอรสขององค์ราชินี ไม่ว่าจะมองอย่างไร การที่เสด็จพ่อเอ็นดูเขาอย่างทุกวันนี้ก็นับว่าดีมากแล้ว

สิ่งที่เป็นของเสด็จพี่ ไม่มีวันที่เขาจะแย่งมาได้ จีมุนรู้ดี แต่เฉพาะกับเรื่องของคนคนนี้ ที่เขาทนยอมมองผ่านไปไม่ได้

“ลูกไม่สนว่าวังชอนซาจะเป็นคนของใคร ตราบใดที่ลูกสนใจเค้า ลูกก็จะทำตามหัวใจของลูก”

“ชองจีมุน! เจ้าหมายความเช่นไร!!!!” ดวงตาของสนมเอกเบิกกว้างราวกับได้ยินเรื่องร้ายแรงที่สุดในชีวิต

“เสด็จแม่เข้าพระทัยถูกแล้ว ถึงแม้เสด็จพี่จะเป็นคนดูแลวังชอนซาตลอดเวลาที่อยู่ฮานึล แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ‘ตัวของวังชอนซา’ เป็นของเสด็จพี่ ดังนั้นลูกย่อมมีสิทธิ์ที่จะเข้าหาวังชอนซาอย่างบริสุทธิ์ใจ”

จีมุนโน้มกายลงต่ำกล่าวลาผู้เป็นมารดาแล้วหันกลับเดินต่อไปโดยไม่คิดจะหยุดฟังสิ่งใดอีก

“ชองจีมุน!! เจ้า!!....”
 
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

หลังเสร็จว่าราชกิจ รัชทายาทหนุ่มใช้เวลากว่าครึ่งชั่วยามเพียงเพื่อตัดสินใจว่าจะไปเยี่ยมเยือนเชลยคนสำคัญดีหรือไม่ ใจหนึ่งของชายหนุ่มนั้นอยากเห็นดวงหน้างดงามของวังชอนซาสักเศษเสี้ยวของชั่วยามก็ยังดี หากแต่อีกใจหนึ่งของเขากลับร้องเตือนว่าไม่สมควรทำตามใจตนเองเช่นนี้

ทว่า จนแล้วจนรอด จีรยงก็ต้องยอมสิโรราบให้กับความต้องการในส่วนลึกของจิตใจ

ร่างสูงสง่าลุกขึ้นยืนในห้องโถงที่กว้างใหญ่เงียบสงัด นิ่งค้างอยู่บนแท่นประทับเพียงชั่วครู่ ก่อนจะออกเดินจากโถงว่าราชการ ตรงไปยังสถานที่ที่มีใครบางคนในห้วงความคิดพักอาศัยอยู่

...องค์รัชทายาทหนุ่มเพียงหวัง ว่าความหลงใหลนี้ จะเป็นเพียงอารมณ์ชั่วครั้งชั่วคราว เพราะในเวลานี้พระองค์ไม่มีฮีอูคอยเติมเต็มให้อยู่ข้างพระวรกายดังเช่นที่เคย
 
 

“อ่ะ ถวายบัง.....” เสียงถวายความเคารพต่อองค์รัชทายาทยังหลุดออกจากปากข้ารับใช้ได้ไม่ครบประโยค มือใหญ่ก็รีบโบกปัดบอกให้เงียบ แล้วเดินผ่านสาวใช้ทั้งสองคนเข้าไปยังด้านในของตำหนักโยกันอย่างเงียบเสียง

 
ยามบ่ายแก่ๆ ซอนอินเลือกที่จะนั่งรับลมเล่นอยู่ริมหน้าต่างในห้องนอน เขาแกะเมล็ดทานตะวันป้อนให้เจ้านกน้อยในกรงไปพลาง แกะยัดเข้าปากตัวเองไปพลาง ฟังเสียงธรรมชาติไปพลาง  รื่นรมย์อะไรอย่างนี้เนี่ย~

ก็ไม่ใช่ว่ามีความสุขดีอะไรมากมายหรอกนะ แต่จะให้กระตือรือร้นให้เปลืองแรงไปไย ในเมื่อไม่มีหนทางให้หลบหนีเลยสักนิด อยู่ในวังหลวงฮานึลมาเป็นเดือนแล้ว ยังไม่มีข่าวอะไรคืบหน้าจากภายนอกเลยสักอย่าง ราชครูปาร์คก็หายเข้ากลีบเมฆ ทิ้งไว้แต่เจ้านกในกรงตัวนี้เท่านั้น

“ชิชะ เจ้านี่รู้มากจริงนะ รู้แล้วๆ ...โซยอน เจ้าไปเอาเมล็ดทานตะวันมาให้ข้าอีกถุงสิ” กำลังครึ้มอกครึ้มใจ คิดอะไรเรื่อยเปื่อย ปากแหลมๆ ของนกน้อยก็จิกลงมาที่นิ้วเป็นเชิงบอกว่าอยากกินอีก ทำเอาคนสวยต้องขมวดคิ้วยุ่งร้องสั่งสาวใช้ที่นั่งอยู่ด้านนอกตัวห้อง

ดวงหน้าเรียวสวยแยกเขี้ยวใส่สิ่งมีชีวิตในกรงคล้ายการเย้าแหย่ “ข้าเป็นนายเจ้า หรือเจ้าเป็นนายข้ากันแน่ หืม!~~~~” ปลายนิ้วเรียวขยี้ปอยขนบนหัวกลมเล็กจ้อยอย่างหมั่นเขี้ยว

“เฮ้อ~ ข้าเริ่มเบื่อจริงๆ แล้วนะ วันๆ คุยแต่กับเจ้า อีกไม่นานข้าต้องเป็นบ้าตายแน่”

ศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีดำยาวสลวยเอนซบท่อนแขนที่ทาบอยู่กับขอบหน้าต่าง ดวงตากลมโตจ้องมองเม็ดตาสุกใสของนกน้อยแล้วให้ถอนหายใจเบา

“ข้ารู้น่า เจ้าสงสัยใช่ไหมล่ะว่าทำไมพักนี้ข้าถึงสติแตกต้องมานั่งคุยกับเจ้าบ่อยๆ”
 

จิ๊บ!~
 

“รู้ดีอีกแล้ว เฮ้อ~ ความจริงข้าก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันแหละ รู้แต่ว่าตอนนี้ข้ามีความสุขนิดๆ แหละ หุหุ” พูดไปแล้วก็นึกมึนกับตัวเองว่าคงเข้าขั้นคนเสียสติไม่น้อยที่มานั่งระบายความในใจกับสัตว์มีปีกตัวเท่าฝ่ามือ แต่จะให้เขาไปพูดแบบนี้กับใครได้เล่า จะให้บอกใครได้ว่าที่ยิ้มบ้ายิ้มบอได้ทั้งวันแบบนี้มันเพราะจูบแรกที่ถูกชิงไปในคืนนั้น

ในทีแรก ซอนอินไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงลืมรสสัมผัสในตอนนั้นไม่ได้เสียที ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ แถมยังปวดหัวเข้าอีก จนแล้วจนรอด พอลองปล่อยให้ใจตัวเองเป็นผู้คิด ถึงได้รู้ว่า ทุกครั้งยามที่นึกถึงใบหน้าของคนผู้นั้น หัวใจก็จะเต้นรัวเร็วไม่เป็นจังหวะ ซ้ำความร้อนในร่างกายยังพุ่งพล่านลามไปทั้งหน้าทั้งคออีก

แม้จะไม่รู้ว่าอาการพวกนั้นหมายถึงอะไร แต่ที่แน่ๆ ซอนอินรู้ว่า ยามที่คิดถึงชองจีรยง มันเป็นความรู้สึกที่ดี

“นี่เจ้านกน้อย เจ้าว่าเวลาที่ชองจีรยงทำหน้าแบบนี้ ใจจริงแล้วจะเป็นอย่างที่ข้าเห็นหรือเปล่า?” ศีรษะเล็กยกขึ้นจากท่อนแขน ซอนอินทำหน้าเลียนแบบเจ้าของชื่อด้วยการใช้นิ้วดันหางคิ้วให้ชี้สูง แล้วปั้นหน้าเข้มดุน่าเกรงขาม

“ฮ่าๆ เจ้ายังกลัวเลยใช่ไหมล่ะ” เสียงหวานใสหัวเราะร่วนเมื่อเห็นนกน้อยตีปีกพับๆ บินว่อนไปทั่วกรง

ซอนอินระบายยิ้มบาง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าเซื่องซึม “...ข้าว่า ชองจีรยงเป็นคนตรงไปตรงมา สิ่งที่ข้าเห็น ย่อมตรงกับใจของคนผู้นั้นไม่ผิดแน่ เค้าเกลียดข้าเช่นไร ย่อมต้องการแกล้งข้ามากเท่านั้น ถ้าใจของข้าไม่คล้อยตามก็ดีสิ ข้าจะได้ไม่ต้องรู้สึกเจ็บอย่างนี้”

ดวงหน้าหวานเศร้าแนบซบลงกับท่อนแขนอีกครั้ง ปลายนิ้วแตะผะแผ่วบนริมฝีปากตัวเองอย่างเลื่อนลอย “...ข้าอยากกลับบ้านมากเลย ที่นี่มีแต่เรื่องที่ข้าไม่เข้าใจ คนพวกนั้นต้องการอะไรจากข้า ถ้าแค่เรื่องสงคราม ไม่เห็นจำเป็นต้องสนใจข้าเลย แค่จับข้ามาขังก็น่าจะพอใจแล้ว ทำไมจะต้องเข้ามาทำให้ใจของข้ารู้สึกแปลกประหลาดอย่างนี้ด้วย”

“...ไม่คิดจะให้ข้าอยู่อย่างเป็นสุขสินะ เชลยย่อมต้องโดนทรมาน ถ้าเช่นนั้น จับข้าไปขังไว้ในคุกเสียก็สิ้นเรื่อง” ซอนอินเอ่ยเสียงแผ่วขณะที่เปลือกตาค่อยๆ หรี่ลง

ความรู้สึกที่แจ่มชัดในใจนี้ส่งผลให้ร่างบางรู้ตัวว่าตนเองกำลังถลำลึกไปอย่างไม่ทันได้รู้ตัว จะห้ามก็ไม่ทันเสียแล้ว ในเมื่อทุกอย่างที่เกี่ยวกับชองจีรยงกำลังทำให้ใจของเขาหวั่นไหวจนยากจะเข้าใจ ทั้งคนรักของคนผู้นั้น ทั้งการที่มีหญิงนางโลมล้อมหน้าล้อมหลัง เพียงแค่เห็นก็นึกฉุนนึกอิจฉาคนพวกนั้นไปหมด

เหตุผลเดียวที่ชองจีรยงเข้าใกล้เขาอย่างเช่นจูบในวันนั้น มันก็เป็นเพียงการกระทำที่ไม่มีความรู้สึกพิเศษใดๆ ต่อเขา นอกไปเสียจากความชิงชังต่อโอรสของแคว้นศัตรู

ทั้งคิมซอนอิน ทั้งวังชอนซา ไม่ว่าจะตำแหน่งใด ก็ไม่อยู่ในสายตาของชองจีรยงแม้แต่น้อย

สายลมเย็นยามบ่ายแก่ๆ พัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างบางเบา ฉุดดึงให้คนร่างบางคล้อยหลับไปอย่างง่ายดายโดยที่เจ้าตัวลืมเรื่องเมล็ดทานตะวันไปเสียสนิท

 
จิ๊บๆ!~

 
“ชู่ว...” ร่างสูงสง่าในชุดว่าราชการขยับออกจากมุมห้องที่อับแสงหลังจากที่ยืนหลบอยู่นานสองนานแล้ว เขาเดินก้าวไปใกล้บานหน้าต่างแล้วยกนิ้วขึ้นส่งสัญญาณเป็นเชิงบอกให้นกน้อยเงียบเสียงซะ พร้อมทั้งเทเมล็ดทานตะวันกว่าครึ่งถุงลงไปในกระบวยไม้ภายในกรงนก

รูปหน้าคมเข้มก้มลงมองสีหน้ายามหลับของเชลยคนสวย ริมฝีปากหยักหนายกยิ้มบางยามที่นึกไปถึงถ้อยคำของคนร่างบางเมื่อครู่ ไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟัง แต่เพราะอีกคนเล่นเอ่ยความในใจออกมาเสียขนาดนั้น ทำให้เขาเกิดความสนใจจึงได้แต่ยืนเงียบหลบอยู่ที่มุมห้อง

...หึ ช่างเป็นหงส์แสนงามที่น่าสนใจนัก

ข้อนิ้วหนาเกลี่ยปอยผมที่ปรกลงมาให้พ้นดวงหน้าเรียวสวยอย่างเบามือ ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าผมของร่างบางนั้นยาวเกินพอดี แม้เจ้าตัวจะมัดรวบครึ่งศีรษะไว้จำนวนหนึ่งแล้วก็ตาม

จีรยงยกยิ้มที่มุมปากอย่างคนที่เพิ่งนึกเรื่องดีๆ ได้ เขาเดินไปหยิบหวีที่หน้ากระจก แล้วพาตัวเองกลับมายืนที่เดิม มือใหญ่ค่อยๆ คลายปมมวยที่มัดอยู่บนศีรษะเล็กอย่างเบามือ เขาจัดการสางเส้นผมนุ่มลื่นดุจแพรไหมเนื้อดีให้แผ่สยายเรียงตัวยาวลงมาอย่างสวยงาม ก่อนจะเริ่มจับนั่นม้วนนี่อย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรก

 
กว่าที่องค์รัชทายาทจะเสด็จกลับ ก็ครึ่งชั่วยามหลังจากนั้น นางกำนัลสาวทั้งสอง และองครักษ์ฝาแฝดน้อมกายต่ำถวายบังคมลาอย่างนอบน้อม แต่ทันทีที่นายเหนือหัวเดินลับหายไปจากประตูทางเข้าของตำหนักโยกัน เด็กหนุ่มตัวเล็กก็โพลงขึ้นเสียงดัง

“พวกเจ้าเห็นอย่างที่ข้าเห็นหรือเปล่า?!! อ่ะ!!!!”

ก่อนจะตามมาด้วยแรงฝ่ามือใหญ่ที่เสยเข้ากลางหัว

“พี่ใหญ่ตบหัวข้าทำไม?!!” ร่างเล็กบางคลำหัวป้อยน้ำตาซึม

“ก็เพราะเจ้าเสียงดังน่ะสิ! ไม่เห็นหรืออย่างไรว่าองค์วังชอนซาทรงบรรทมอยู่น่ะ!” เป็นยอนอาที่ตอบข้อสงสัยให้กับเด็กหนุ่มได้เข้าใจ

“อ่าๆ ข้ารู้แล้วๆ ...แต่มันน่าแปลกใจนี่น่า ข้าไม่เคยเห็น พระพักตร์อ่อนโยนเช่นนั้นขององค์รัชทายาทเลยนะ จะให้ถูก ก็ไม่เคยเห็นเลยตั้งแต่ที่องค์ราชินีสิ้นพระชนม์  ...เนาะ พี่ใหญ่” ท้ายประโยค ดวงหน้าใสหันไปขอความเห็นกับแฝดผู้พี่อย่างต้องการหาแนวร่วม แต่ดูจากสีหน้านิ่งเฉยเรียบสนิทแล้ว กึมซองก็ได้คำตอบแบบที่ไม่ต้องเสียเวลาถามซ้ำสอง

“กึมซอง ทำไมเจ้าถึงได้ช่างสอดรู้นักนะ เป็นนายทหารต้องรู้จักกฎระเบียบอย่างเคร่งครัดไม่ใช่หรืออย่างไร ดูอย่างพี่ชายเจ้าสิ นิ่งขรึมสมกับเป็นองครักษ์ขององค์รัชทายาท ส่วนเจ้านี่นะ ข้าไม่เข้าใจเล้ยว่ามาอยู่ตำแหน่งเดียวกับโทซองได้อย่างไร”

“น้อยๆ หน่อยแม่นางดีเลิศประเสริฐศรีทุกสิ่งอย่าง เห็นข้าเป็นอย่างนี้ ขอบอกว่าเรื่องสอดแนม หลอกล่อ ปล้นสวาทนี่ไม่มีใครเก่งเกินข้า อย่างพี่ใหญ่น่ะ ยังสู้ข้าไม่ได้ครึ่งเลย!! อ่ะ...!!!” ยังอวดสรรพคุณตนเองไม่จบดี คนที่ถูกปรามาสก็รวบเอวเล็กบางของน้องชายขึ้นพาดบ่าอย่างง่ายดาย

โทซองถอนหายใจเบาพลางว่า “หากเจ้ามีดีแค่หน้าตา ก็อย่าใช้ให้มันพร่ำเพรื่อนัก หัดรู้ใจคนอื่นเสียบ้าง เอาแต่สอดรู้เรื่องไม่เป็นเรื่อง”

“อ๊า~ ปล่อยข้าลงนะพี่ใหญ่~ แล้วรู้ใจคนอื่นนี่ใคร? อะไรของเจ้า ทำไมพูดอะไรข้าไม่เห็นเข้าใจ??!~” มือเล็กทุบอักๆ ลงบนแผ่นหลังกว้างขณะที่คนเป็นพี่ก็ได้แต่ส่ายหัวอย่างเอือมระอา

“ฮ่าๆ” สาวใช้สองพี่น้องต่างลอบมองตากัน ก่อนจะปล่อยเสียงหัวเราะให้กับคู่ฝาแฝดที่ต่างกันคนละขั้ว

“อ่ะ จริงสิ พี่ยอนอา พวกเราลืมทูลองค์รัชทายาทเลย ว่าองค์ชายรองแวะมาที่นี่ตอนที่พระองค์กำลังสางเส้นผมให้กับวังชอนซา”

ยอนอาหันขวับไปจ้องหน้าน้องสาวทันที ก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง “เลยตามเลยแล้วกัน” จะมาหรือไม่มาก็มีค่าเท่ากัน ในเมื่อองค์ชายรองเดินเข้าไปในตำหนัก แต่กลับไม่ได้เข้าไปในห้องบรรทม เพียงแต่ยืนมองภาพในห้องนั้นอยู่ชั่วครู่แล้วก็เดินกลับออกมาเสียอย่างนั้น

 
 
อาหารมื้อเย็นใกล้จะตั้งโต๊ะ คนที่นอนขดอยู่บนเตียงตั้งแต่ท้องฟ้ายังสว่างเพิ่งจะเริ่มขยับกายบิดไปมาด้วยอาการสะลึมสะลือ เรือนร่างบอบบางพาตัวเองลุกขึ้นนั่งขยี้ตาด้วยสีหน้ามึนงง

“ตื่นแล้วหรือเพคะ? ทรงหิวหรือยังเพคะ โซยอนใกล้จะตั้งสำรับแล้ว รอสักครู่นะเพคะ”

“อือ~ ยอนอา?...ทำไมข้ามานอนบนเตียงได้ล่ะ?” จำได้ว่าฟุบหลับที่ขอบหน้าต่าง แล้วทำไมถึงตื่นมาบนเตียงละนี่? ขณะที่รับผ้าชุบน้ำจากสาวใช้มาเช็ดหน้าเช็ดตา พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างที่พาดผ่านไหล่มากองอยู่ด้านหน้า

“อ้อ ตอนที่องค์วังชอนซาทรงหลับ องค์....” จู่ๆ เสียงหวานของคนบนเตียงก็ร้องดังลั่นกลบเสียงของคนที่กำลังเอ่ยตอบเสียมิด ทำเอานางกำนัลยอนอาถึงกับผงะไปด้านหลังเล็กน้อยด้วยความตกใจ
 
 

“ใครบังอาจมาถักเปียให้ข้า?!!!!!!!!!”
 
 
...เป็นเรื่องปกติที่ คิมซอนอิน โอรสองค์โตแห่งเชินอันจะหงุดหงิดเช่นนี้ ในเมื่อ การถักเปียในยุคสมัยนี้ มีแต่พวกผู้หญิงเท่านั้นแหละ!!
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-

จบตอน

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2

บทที่ 8


เป็นเวลากว่าครึ่งวันที่คนสวยบนเตียงเอาแต่นั่งบิดแพรพกในมือไปมา สลับกับการบ่นงึมงำคล้ายกำลังสวดมนต์ดำสาปแช่งเจ้าของผืนผ้าแพรพกเนื้อดีที่มีลวดลายการปักบรรจงประณีตบ่งบอกสถานะของเจ้าของผู้สูงส่ง

เป็นใครจะทนได้? ถูกดูหมิ่นว่าเป็นผู้หญิงเช่นนี้น่ะ!!

ดวงตากลมโตสีดำสนิทจ้องมองผืนผ้าในมือแล้วก็ให้หงุดหงิดจนต้องก้มลงกัดทึ้งเสียเต็มแรง ภาพของหงส์ตัวเล็กที่กำลังฟัดนัวเนียกับผ้าแพรในมืออยู่บนเตียงนั้น ยังผลให้ข้ารับใช้ทั้งสองคนที่ยืนชะเง้อคอมองอยู่ที่ขอบประตูห้องต้องปิดปากหัวเราะคิกอย่างควบคุมไม่อยู่

จะไม่ให้นางกำนัลสาวทั้งสองหัวเราะได้อย่างไรกันเล่า ในเมื่อตั้งแต่เย็นวานที่นายของพวกเธอตื่นขึ้นมาพบว่าถูกองค์รัชทายาทถักเปียให้นั้นหงุดหงิดจนหน้าแดงหูแดงเสียขนาดนั้น ทั้งยังโกรธจัดจนไม่ยอมทานข้าว เอาแต่นั่งสะบัดแพรพกที่องค์รัชทายาทหยิบออกจากอกเสื้อของพระองค์มาใช้มัดปลายผมให้กับองค์วังชอนซา ทันทีที่แกะเปียออกได้ เจ้านายคนสวยก็นั่งวุ่นวายอยู่กับของสิ่งนั้นมาตลอด โชคยังดีที่เมื่อตอนเช้าทรงหิวจนยอมทานข้าวแต่โดยดี ไม่อย่างนั้นจากเรื่องสนุก คงได้กลายเป็นเรื่องทุกข์เป็นแน่

“พี่ว่าวันนี้องค์รัชทายาทจะเสด็จมาหรือเปล่า?” เสียงของโซยอนกระซิบเบา

“มีแต่สวรรค์เท่านั้นแหละที่รู้”

เนื่องจากวันนี้โทซองและกึมซองมีภารกิจที่ต้องออกนอกวัง ทำให้ไม่มีผู้ใดมาพูดขัดสองสาวให้เสียอารมณ์ ขณะที่กำนัลสองพี่น้องยังคงยืนซุบซิบกันอยู่นั้นเอง เสียงของนายทหารเวรยามหน้าตำหนักโยกันก็ดังขึ้น ร้องบอกว่าองค์รัชทายาทกำลังเสด็จมา

“ถวายพระพรเพคะองค์รัชทายาท”

จีรยงเพียงแค่พยักหน้ารับเล็กน้อย ก่อนเอ่ยถามพลางเดินเข้าไปในตัวตำหนัก

“วังชอนซาทานอาหารกลางวันหรือยัง?”

“ทูลฝ่าบาท องค์วังชอนซาทรงยังไม่ได้เสวยเลยเพคะ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ดี พวกเจ้าไปเตรียมสำรับให้พร้อม ข้าจะทานที่ตำหนักโยกัน” คนพูดจุดยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก ก่อนจะรีบสาวเท้าพาร่างสูงสง่าของตนเองเข้าไปในห้องนอนตามที่สาวใช้ทั้งสองบอกว่าคนร่างบางอยู่ในนั้น

เมื่อก้าวพ้นประตูเข้าไป สิ่งแรกที่เห็นคือภาพของคนตัวเล็กนั่งหน้ามุ่ยอยู่บนเตียงสี่เสา สองมือจับขยุ้มอะไรบางอย่าง ดวงตากลมโตเป็นประกายนั้นก็จ้องมองของในมือราวกับจะกินเลือดกินเนื้อเสียให้ได้ ซ้ำริมฝีปากบางสีสดยังเอาแต่ขยับพึมพำ บ้างก็ขบเม้มเป็นเส้นตรง ชวนมองไม่น้อย

ดูท่าคนบนเตียงจะหมกมุ่นอยู่กับแพรพกในมือมากเกินไป ถึงเพิ่งมารู้สึกตัวว่ามีใครบางคนเดินเข้ามาในห้องก็ตอนที่ฝ่ายนั้นทิ้งตัวลงนั่งที่ขอบเตียง ทั้งยังยกยิ้มน่าโมโหให้อีก!

“เจ้า! มาที่นี่ได้ยังไง!!” ดวงตากลมโตยิ่งเบิกกว้างมากขึ้นราวกับตุ๊กตา

“ที่นี่วังหลวงของข้า”

คำตอบง่ายๆ บวกกับท่าทางสบายๆ อย่างไม่สะทกสะท้านกับการมานั่งที่เตียงผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นทำเอาคนสวยยิ่งเกิดอาการเดือดจัด

แต่ที่ยิ่งทำให้เดือดจนเส้นเลือดแทบจะปุดๆ ออกมาอยู่รอมร่อคือรอยยิ้มเจ้าเล่ห์นี่ต่างหาก!

ริมฝีปากสีแดงเม้มแน่น ดวงหน้าสวยเชิดขึ้นเล็กน้อย “เจ้ามาก็ดี! ข้ามีเรื่องที่ต้องจัดการกับเจ้าอยู่พอดี” ร่างบางขยับถอยไปติดกับหัวเตียงเล็กน้อยแล้วยืดแผ่นหลังตั้งตรง มือขาวหยิบแพรพกขึ้นชูต่อหน้าองค์รัชทายาทแห่งฮานึล “เจ้ามีสิทธิ์อะไรมายุ่งวุ่นวายกับผมของข้า?! ข้าไม่ยักรู้ว่า องค์รัชทายาทแห่งฮานึล จะไร้มารยาทได้เช่นนี้!!!”

ไหล่กว้างยักขึ้นเล็กน้อยราวกับไม่ใช่ปัญหาใหญ่ที่ต้องแก้ไข จีรยงเอื้อมมือขึ้นหมายจะคว้าแพรพกของตนคืน แต่พอเห็นท่าทางของร่างบางที่สะดุ้งถดกายหนีไปสองคืบก็นึกสนุก เขาละมือลงต่ำแล้วคว้าข้อมือขาวไว้แทน ก่อนออกแรงกระชากร่างบางที่ไม่ทันได้ขัดขืนให้ขยับเข้ามาใกล้

“ปล่อยข้านะ!!”

เห็นมือบางอีกข้างเตรียมยกฟาดลงมา จีรยงก็รีบรวบมือข้างนั้นมากำไว้รวมกันด้วยมือเพียงข้างเดียวของเขา

“อ่ะ! ข้าบอกให้ปล่อยไงล่ะ!! ปล่อยข้านะเจ้าคนไร้มารยาท!!”

นอกจากจะไม่ปล่อยแล้ว คนร่างสูงยังสอดวงแขนตวัดรอบเอวเล็กให้เจ้าของร่างลอยตุบมานั่งดิ้นขลุกขลักอยู่บนตักได้อย่างไม่ยากเย็น

เมื่อตกอยู่ในอ้อมแขนและอ้อมอกของรัชทายาทหนุ่มอย่างสมบูรณ์แบบ ผู้เป็นเชลยต่างแคว้นก็ยิ่งดีดดิ้นอย่างเอาตัวรอดมากขึ้นเป็นเท่าตัวโดยไร้ความหมาย เพราะนอกจะไม่เกิดผลอันใดแล้ว ยังส่งผลให้วงแขนกว้างกอดรัดตนมากขึ้นเท่านั้น

“ปล่อยข้า!! อย่าเห็นว่าข้าเป็นเชลยแล้วเจ้าจะมาทำแบบนี้กับข้าได้นะ!!! ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้เจ้าคนไร้สำนึก!!!!”

“ชู่ว์” ใบหน้าคมก้มลงกระซิบใกล้ใบหูเล็ก ลมหายใจอุ่นร้อนตกกระทบซอกคอขาวยามที่คนด้านหลังเอื้อนเอ่ยราวกระซิบ ทำให้ร่างเล็กกว่าแข็งทื่อขึ้นมาอย่างฉับพลัน “ข้าย่อมต้องเห็นว่าเจ้าเป็นเชลยของข้า และสิทธิ์ของข้าย่อมมีในตัวเจ้าทุกประการ”

จีรยงเกี่ยวข้อนิ้วเข้ากับเรือนผมนุ่มที่คลอเคลียลำคอเพรียวระหงของคนที่ยังนั่งนิ่งตัวแข็งอยู่บนตัก “ไหนเจ้าลองบอกข้าสิว่า คนที่เป็นเชลย มีสิทธิ์เรียกร้องสิ่งใดได้?” สิ้นคำพูดนั้น สันจมูกโด่งก็ขยับเข้าใกล้ซอกคอขาวเนียน ก่อนจะสูดดมผิวเนื้อนุ่มหอมบริเวณนั้นอย่างถือวิสาสะ

ร่างที่นิ่งค้างอยู่เมื่อครู่พลันสะดุ้งเฮือก ซอนอินขืนแรงอีกครั้งราวกับเพิ่งได้สติ “เจ้าจะทำอะไร! หยุดนะ!!” สองแขนไม่อาจขยับได้ ศีรษะเล็กจึงทำได้เพียงเอียงหลบไปด้านข้างอย่างสุดกำลัง เพื่อหลีกหนีริมฝีปากอุ่นที่เริ่มคลอเคลียแตะผะแผ่วสัมผัสเน้นย้ำลงมามากขึ้น

“หยุดนะ!! ปล่อยข้า! ปล่อยข้าสิ!!”

ริมฝีปากหยักผละออก หลังมือใหญ่ข้างหนึ่งแนบลงกับผิวแก้มสีแดงปลั่งจากอารมณ์ของเจ้าตัว น้ำเสียงทุ้มเอ่ยเรียบเรื่อย “เจ้าอย่าดิ้นให้มากนักเลย เจ้าชอบให้ข้าสัมผัสไม่ใช่หรือไง?”

ดวงหน้าสวยแดงวาบยิ่งกว่าเดิม ศีรษะเล็กหันขวับไปหาคนพูดอย่างรวดเร็ว “ข้าไม่……..!!!” คำปฏิเสธที่เหลือดูเหมือนจะกลืนหายลงไปในลำคออย่างช่วยไม่ได้ เมื่อดวงตาคมกริบที่แสนเย็นชาแต่กลับแฝงไว้ด้วยความน่าหลงใหลจ้องตอบกลับมาในระยะที่มีเพียงลมหายใจกั้น

ซอนอินรู้สึกได้ว่าก้อนเนื้อในอกกำลังเต้นรัวแรงจนแทบจะทะลุออกมา เสียงหัวใจดังสะท้อนก้องอยู่ในโสตประสาทจนน่ากลัวว่าอีกคนจะได้ยิน

“เจ้าไม่สิ่งใด?” เสียงทุ้มเอ่ยแผ่วเบา แต่กระนั้นเมื่อระยะห่างมีเพียงแค่อากาศกั้น คนสวยจึงได้ยินชัดเจน แต่ทว่า กลับให้คำตอบแก่องค์รัชทายาทแห่งฮานึลไม่ได้แม้แต่น้อย

ข้าไม่สิ่งใดล่ะ? ...ซอนอินทวนคำถามนั้นในใจซ้ำไปซ้ำมา ตัวเขาไม่ต้องการสิ่งใดจากคนตรงหน้านี้งั้นหรือ?

ไม่ต้องการแม้แต่สัมผัสที่แสนอบอุ่นนี้หรือ?...

ไม่ใช่ ต่อให้รู้ว่าเป็นแค่เรื่องสนุกของอีกฝ่าย ...ซอนอินก็ต้องการ

มือที่ลูบไล้ผิวแก้มนุ่มเลื่อนลงที่ริมฝีปากสีสด ปลายนิ้วหนากดน้ำหนักลงบนกลีบปากบางเล็กน้อย “หากเจ้าไม่ตอบ ข้าจะถือว่าเจ้ายอมรับสิ่งที่ข้าพูดไป”

จีรยงเคลื่อนหน้าเข้าใกล้มากขึ้น ริมฝีปากบางที่เม้มแน่นเป็นเส้นตรงที่เห็นอยู่นี้ดึงดูดให้เขาอยากสัมผัสจนทนแทบทนไม่ไหว หากแต่ในจังหวะนั้นเอง เสียงหวานก็เอ่ยขึ้น

“ข้าไม่ชอบที่เจ้าสัมผัสข้า ปล่อยข้าได้หรือยัง องค์รัชทายาท?”

เรียวคิ้วหนาเลิกขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าเรียบเฉยขององค์รัชทายาทหนุ่มไม่ได้แปรเปลี่ยนไปจากเดิมแม้แต่น้อย เขาเพียงแต่จับยึดปลายคางมนของคนที่ก้มหน้าให้เงยขึ้นสบสายตา

“ผู้ใดสนว่าเจ้าจะคิดเช่นไร?” วาจาที่เอ่ยออกมาจากคนที่กำลังจะได้เป็นกษัตริย์นั้นทรงพลังไปด้วยอำนาจ แม้น้ำเสียงนั้นจะไม่ได้ฟังดูคุกคามบังคับแต่อย่างใด แต่ซอนอินกลับรู้สึกว่าทุกคำพูดที่เอ่ยออกจากปากของบุรุษผู้นี้นั้นมีอะไรบางอย่างที่ทำให้คนฟังไม่อาจปฏิเสธหรือต่อต้านสิ่งใดได้เลย

“ข้าเคยบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าเจ้าเป็นของข้า ตราบใดที่เจ้าอยู่ในฮานึล ทุกสิ่งทุกอย่างของเจ้า เป็นของข้า”

ในเวลานี้ ต่อให้มือทั้งสองไม่ได้ถูกพันธนาการด้วยมือใหญ่ ซอนอินก็ไม่อาจผลักไสหรือต่อต้านได้อีกต่อไป ทันทีที่ริมฝีปากถูกครอบครองด้วยรสจูบอุ่นร้อนที่มาพร้อมกับความหอมหวานนั้นได้ฉุดดึงอารมณ์ของเขาให้หวั่นไหวคล้อยตาม ยากจะปฏิเสธ แต่กลับง่ายที่จะทำให้ร่างทั้งร่างรวมถึงหัวใจโอนอ่อนอย่างว่าง่าย

ครั้งแรกที่ซอนอินรู้จักสิ่งที่เรียกว่าจูบจากคนตรงหน้านั้นเป็นเพียงความทรงจำที่ลางเลือน ในเวลานี้เขาได้รับรู้อย่างชัดเจนแล้วว่าครั้งนั้นมันไม่ใช่ การแตะสัมผัสเพียงผิวเผินไม่อาจเรียกว่าจูบได้อย่างเช่นในตอนนี้

ริมฝีปากที่บดเบียดเข้าหาอย่างรุกเร้าทำให้คนร่างบางยิ่งทำอะไรไม่ถูก ร่างกายสั่นสะท้านน้อยๆ อยู่บนตักกว้าง ลมหายใจสะดุดขาดห้วงเมื่อในที่สุดโพลงปากก็ถูกรุกล้ำเข้ามา

“อื้อ...อือ........”

แนวฟันขาวถูกเรียวลิ้นหนาสำรวจซอนเซาะจนทั่ว เสียงอื้ออึงในลำคออย่างคนที่ไม่มีประสบการณ์ในการถูกช่วงชิงลมหายใจไปเช่นนี้ยิ่งกระตุ้นให้ร่างสูงอยากเสพสุขความหอมหวานจากคนตรงหน้ามากยิ่งขึ้น จีรยงดูดคลึงลิ้นเล็กที่คอยแต่จะหลีกหนี ไล่ต้อนด้วยความเพลิดเพลินราวกับราชสีห์ที่ต้องการจะเล่นไล่จับกับเหยื่อตัวน้อย ที่พอเหนื่อยเมื่อใด กรงเล็บแหลมคมทั้งหมดก็พร้อมที่จะขย้ำเหยื่อให้ยอมสิโรราบอยู่ภายใต้ร่างกายของตนได้อย่างไม่ยากเย็น

และก็เป็นเช่นนั้น ไม่นานนัก จากคนที่เป็นฝ่ายหลีกหนีกลับเป็นฝ่ายไล่หา องค์รัชทายาทหนุ่มนั้นเป็นผู้เจนจัดในเรื่องเล้าโลมเป็นอย่างดี ดังนั้นวิธีการที่ใช้กับคนตรงหน้าจึงได้ผลแทบจะในทันที การปลุกอารมณ์ให้อีกฝ่ายเคลิบเคลิ้มนั้นยังผลให้ไม่อาจต่อต้าน และยิ่งไม่อาจยอมให้หยุดได้ เพียงแค่เขาดึงลิ้นกลับแล้วขบกัดริมฝีปากบางนุ่มทั้งบนล่างอย่างหยอกเย้าเล่นอยู่เพียงครู่ ลิ้นเล็กกลับเป็นฝ่ายหาโอกาสเรียกร้องเชิญชวนให้เข้าหาอีกครั้ง

ครั้งที่สองของการแลกจูบที่ยาวนานได้เริ่มขึ้น ทว่าคราวนี้ต่างจากครั้งแรก ร่างบางยอมไล่ตามคนที่มีอำนาจมากกว่าแต่โดยดี ซ้ำยังตอบรับได้หวานล้ำจนนัยน์ตาเรียวคมดุจรัตติกาลที่เฉยชาปรากฏประกายแววตาที่แปลกไป หากซอนอินไม่ได้หลับตาอย่างในตอนนี้ เขาคงได้เห็นรอยยิ้มในดวงตาคมคู่นั้นขององค์รัชทายาทหนุ่ม

“อือ อือ...อึ...อืออออ”

ผลพวงจากการจูบดูดดื่มอย่างไม่เว้นจังหวะ คือปอดเล็กของคนที่ไม่เคยจูบใครเริ่มโหยหาอากาศจนเสียงหวานร้องครางเครือด้วยความทรมานที่แฝงไว้ด้วยความสุขสม เรือนกายบอบบางที่เกร็งขึ้นทำให้เจ้าของอ้อมกอดรู้ว่าเวลาของอาหารเรียกน้ำย่อยได้หมดลงแล้ว

จีรยงผละจูบจากคนตรงหน้าอย่างแสนเสียดาย หยาดน้ำใสที่เชื่อมโยงกันถูกริมฝีปากอุ่นแนบซับตามมุมปากให้คนที่นั่งหอบหายใจหนักหน่วงอย่างแผ่วเบา ก่อนจะละใบหน้าออกมาจ้องมองดวงหน้าหวานที่ซับสีเลือดจนทั่ว ดวงตากลมโตคู่นั้นเล่าก็เชื่อมแสงเสียจนไม่อยากจะคลาดสายตาไปไหน

ขณะที่นั่งมองคนที่ยังจับจังหวะหายใจไม่ได้ ริมฝีปากหยักก็เกิดแห้งผากจนต้องส่งลิ้นเข้าช่วยเลีย แต่ไม่ว่าอย่างไร ดูเหมือนว่าเขายังต้องการความชุ่มชื้นจากริมฝีปากหวานฉ่ำนั้นอีกครั้ง

ร่างสูงไม่รอให้ความคิดแล่นไปไหนอีก เขาก้มลงมอบจูบให้ร่างบางอีกครั้ง จูบซ้ำๆ โดยไม่ฟังความเห็นอื่นใด ไม่สนมือเล็กที่เริ่มบิดไปมาอย่างต้องการปฏิเสธ ไม่สนเสียงอื้ออึงร้องขออากาศจนน้ำตาเม็ดใสคลอปริ่มอยู่ในดวงตาคู่สวย เขาเพียงแต่เน้นย้ำจูบหนักๆ ดูดคลึง ขบกัด แนบสัมผัสเข้าหาแล้วผละออกไม่ถึงอึดใจ ก่อนจะเริ่มจูบลึกล้ำอีกครั้ง...และอีกครั้ง

ภายในห้องที่เงียบสงบ เสียงจูบเร่าร้อนดังสะท้อนอยู่ภายในห้องที่มีไอแดดอุ่นๆ ส่องไล่เข้ามา ย้อมร่างสองร่างที่นั่งอยู่บนเตียงให้กลายเป็นสีทองสว่างไสวเป็นประกายระยิบ ขับให้มวลอากาศโดยรอบดูอ่อนโยนและอบอุ่น เฉกเช่นอากาศในช่วงฤดูใบไม้ผลิ

จวบจนกระทั่งหนำพระทัยขององค์รัชทายาทแห่งฮานึลในจูบครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่อาจทราบได้นั่นแหละ คนร่างเล็กถึงได้เริ่มหายใจได้อย่างเป็นอิสระ

ปากสีแดงสดบวมเจ่อเพราะถูกฟันคมขบกัดไปไม่รู้กี่ครั้ง น่ากลัวว่าริมฝีปากล่างจะแตกด้วยซ้ำ แต่เพราะจูบที่ไม่รู้จักพอของร่างสูงถึงได้ทำให้เลือดหยุดไหลไปนานแล้ว

“ปล่อย...ปล่อยข้าได้หรือยัง?” หลังจากที่นิ่งเงียบจ้องตากันอยู่นาน เสียงหวานก็เอ่ยอึกอักทำตัวไม่ถูก

“เหตุใดข้าต้องฟังเจ้า?” วงแขนกว้างกอดแน่นขึ้น

ซอนอินก้มหน้าหลบทุกความรู้สึกจากคนตรงหน้าและของตัวเอง ริมฝีปากสีสวยเม้มแน่นอย่างเคยชิน ทว่าก็ต้องร้อง ‘อ่ะ’ ออกมาทันทีที่ทำเช่นนั้น ด้วยเพราะความเจ็บจากการถูกขบกัดอย่างไม่ปราณีเมื่อครู่

“ให้ข้าดูหน่อย” จีรยงจับปลายคางมนให้เงยขึ้น แต่อีกฝ่ายขืนแรง พร้อมส่ายศีรษะรัวจนเรือนผมดำขลับขยับเป็นลอนคลื่นสวย

ใครจะยอมให้ดูกัน? ...ซอนอินนึกฉุนในใจ แค่นี้ก็อายจะแย่อยู่แล้ว จูบเมื่อครู่เขาต้องทำอะไรหน้าไม่อายไปนับไม่ถ้วนแน่ๆ วิธีการต่อกรอะไรก็ไม่มี เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เคยจูบกับใคร คิดแล้วก็น่าขายหน้านัก!

“จะเงยหน้าขึ้นดีๆ หรือจะให้ข้ากดเจ้าลงบนเตียง?” คำขู่นั้นได้ผลชะงัด ซอนอินรีบเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ยังไม่ทันที่จีรยงจะได้ตรวจดูริมฝีปากบาง เสียงของยอนอาที่เดินก้มหน้าก้มตาอย่างนอบน้อมเข้ามาในห้องก็ดังขึ้น

“ทูลฝ่าบาท สำรับเตรียมพร้อมแล้วเพคะ....อ่ะ...” เด็กสาวเกือบสะดุดคำพูดตนเองเมื่อเงยหน้าขึ้นพบว่าวังชอนซาคนสวยของเธอนั่งอยู่บนตักขององค์รัชทายาท ซ้ำยังอยู่ในวงแขนของพระองค์เสียแนบแน่น

จีรยงพยักหน้ารับ ก่อนจะหันมองคนบนตัก ที่ตอนนี้ก้มหน้างุดหลบสาวใช้ด้วยความเขินอาย เขาคลายวงแขนออกจากเรือนร่างหอมกรุ่น เพราะหากเขายังยึดร่างนั้นไว้นานกว่านี้ จากทานอาหารกลางวัน คงได้ทานหงส์แสนงามตัวนี้เป็นแน่

ซอนอินรีบลุกขึ้นยืนทันทีที่เป็นอิสระ และโดยไม่พูดอะไร ร่างบางก็รีบเดินปุบปับออกไปจากห้องโดยไม่เงยหน้าสบตาใครทั้งนั้น
 

ตามความเห็นของนางกำนัลสาวแห่งตำหนักโยกันแล้ว การที่อาหารกลางวันมื้อนี้มีองค์รัชทายาทมาเป็นแขกของตำหนัก ช่างเป็นเรื่องเหลือเชื่อยิ่งกว่าเรื่องใดทั้งหมดในวังหลวง แต่ทว่า ที่น่าแปลกมากกว่านั้น คือบรรยากาศแปลกๆ ระหว่าง องค์รัชทายาท กับ องค์วังชอนซา นี่สิที่พวกเธอเดาไม่ออกเลยว่า ท่าทางเคอะเขินของเชลยคนสวย กับท่าทางนิ่งเฉยเรียบสนิทของนายเหนือหัว จะเรียกว่า ‘อบอุ่น’ หรือ ‘อบอ้าว’ กันแน่?
 

ทว่า นางกำนัลทั้งสองกลับพบว่ายังมีเรื่องแปลกประหลาดมากกว่านั้น เพราะในวันต่อมา องค์รัชทายาทก็ยังทรงเสด็จมาที่ตำหนักโยกันอีกครั้งเพื่อร่วมทานอาหารกลางวันกับองค์วังชอนซา และอีกครั้งในตอนเย็น...
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

ผ้าสะอาดสีขาวถูกพันรอบหัวเข่าที่มีไม้ดามยาวจนถึงหน้าแข้งจนแน่นสนิท มือเล็กจัดแจงเก็บอุปกรณ์รักษาบาดแผลลงในกล่องไม้อย่างคล่องแคล่ว

“เป็นอะไรไป วันนี้เจ้าดูเงียบๆ นะฮีอู”

ดวงหน้าเล็กเงยขึ้นสบสายตาคม ก่อนจะเลื่อนลงมองตามบาดแผลบนเรือนร่างสูงที่ตนเพิ่งทำความสะอาดให้ ถึงจะผ่านมาร่วม 10 วันแล้ว แต่บาดแผลก็ยังไม่หายเสียที ฮีอูไม่เข้าใจเลยว่าทำไม

“ยองจู อีกไม่กี่วันเราคงมารักษาให้ท่านไม่ได้อีกแล้ว”

“ทำไมล่ะ?” คนบนเตียงแสดงสีหน้าผิดหวังออกมาอย่างชัดเจน

“ข้าต้องกลับเข้าวังหลวง”

“วัง?”

ฮีอูพยักหน้ารับช้าๆ เขาไม่เคยบอกยองจูว่าตนเองเป็นใคร มีฐานะอะไร แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เขาไม่ได้คิดจะไม่บอก แต่เพราะมันไม่สำคัญอะไร เขาจะเป็นใครก็ช่าง แค่ยองจูรู้ว่า คิมฮีอู คนนี้มีความรู้สึกเช่นไรต่อฝ่ายนั้นก็เพียงพอแล้ว แต่ที่เป็นปัญหา คือเรื่องอื่นต่างหาก

“รู้ไหมยองจู เราไม่สบายใจเลยที่ต้องทิ้งท่านไว้คนเดียวทั้งที่ท่านยังไม่หายดี”

สีหน้าเศร้าหมองของร่างเล็ก ทำให้คนบนเตียงต้องเอื้อมมือเข้าลูบแผ่วเบาอย่างอ่อนโยน “เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก ข้าดูแลตัวเองได้ ข้าแค่อยากอ้อนเจ้าถึงได้ทำตัวเสาะแสะไม่ยอมทำแผลเอง”

คำสารภาพทำเอาผิวแก้มคนฟังแดงระเรื่อ แต่ก็ยิ่งทำให้ดวงหน้าสวยเศร้าหมองลงถนัดตา

“มานี่มา” มือใหญ่ยกขึ้นเป็นเชิงเรียกให้ร่างเล็กลุกจากเก้าอี้ข้างเตียงมานั่งลงบนที่นอนใกล้กัน ซึ่งฮีอูก็ไม่อิดออด เขาทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย วงแขนใหญ่โอบร่างเล็กบางเข้าแนบตัว ก่อนจะจูบลงบนหน้าผากมน

“เจ้าไม่ได้ไปแล้วจะไม่กลับมาใช่ไหม?”

“เราจะกลับมาหาท่านแน่นอนยองจู” แม้จะไม่มั่นใจกับอิสระที่ต้องการ แต่ศีรษะเล็กก็พยักขึ้นลงหนักแน่น

“ถ้าเช่นนั้นก็อย่าทำหน้าเศร้าอย่างนี้อีกเลย ข้าเองก็จะรอเจ้า ...รออย่างใจจดจ่อเลยล่ะ” พูดแล้วก็ฉีกยิ้มกว้างให้คนในวงแขน “แต่ก่อนที่เจ้าจะเข้าวัง เจ้าห้ามทำหน้าเศร้าอีกนะ เจ้าต้องยิ้มมากๆ เพราะข้าชอบรอยยิ้มของเจ้าที่สุด”

“ได้ ข้าจะยิ้ม” ริมฝีปากระบายยิ้มกว้างทันที ก่อนที่ร่างเล็กจะพลิกกายหันไปโผเข้ากอดรอบคอคนตัวสูง ซบใบหน้าลงกับลาดไหล่แกร่ง “ยองจู....”

“หืม?” ขานรับพร้อมกับโอบกอดเอวเล็กคอดไว้หลวมๆ

“ท่าน.......” เสียงเล็กกลืนหายไปกับบรรยากาศอ่อนหวานนุ่มนวล ฮีอูสูดกลิ่นกายของคนร่างสูงราวกับต้องการที่จะจดจำตัวตนของคนผู้นี้ไว้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

“...มีอะไร ฮีอู?”

“....อือ เปล่า ...ขออยู่อย่างนี้อีกสักพักได้ไหม?”

“ได้สิ อยู่อย่างนี้นานๆ ก็ได้”

ขณะที่มอบอ้อมกอดให้กันและกัน ในใจของฮีอูนั้นกลับไม่ได้รู้สึกอบอุ่นเท่าใดนัก เรื่องบางอย่างกำลังทำให้ก้อนเนื้อในอกรู้สึกหนาวเยือกจนแทบจะชาด้านไร้ความรู้สึก

แน่นอน ใจของเขามีความรู้สึกในคำว่ารักกับยองจู แต่อีกด้าน กลับไม่อาจเชื่อสนิทใจได้ว่าสิ่งที่ตนรู้สึกจากอีกฝ่ายนั้น จะเป็นเหมือนกันหรือไม่

“ยองจู...เราชอบท่าน” จู่ๆ เสียงเล็กก็เอ่ยผ่านไหล่กว้าง มือขาวจับยึดเสื้อของร่างสูงแน่นขึ้นยามที่เอ่ยประโยคต่อมา “เราชอบท่านทันทีที่ได้เจอครั้งแรก เรารู้ว่าท่านไม่เหมือนคนอื่น ไม่ใช่ใครที่จะเข้าหาได้ง่ายๆ ดังนั้น...”

ดวงหน้าหวานละออกมาเพื่อมองให้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายได้ชัดถนัด

“...เรามีโอกาสที่จะเสียท่านไปใช่หรือไม่?”

คำถามและสีหน้าแสนบริสุทธิ์นั้นตรึงสายตาคมให้จ้องมองนิ่งค้าง เขาไม่อาจเอ่ยตอบอะไรได้ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ยองจูไม่อาจบอกความจริงที่จะทำให้ร่างเล็กเสียใจ และไม่อาจบอกคำโกหกที่จะทำคนตรงหน้าต้องพบกับความผิดหวังได้

“หลับตาเสีย ฮีอู” เสียงทุ้มที่เอ่ยไม่ใช่คำสั่งจริงจัง แต่คนร่างเล็กก็ทำตามแต่โดยดี

เมื่อไม่อาจบอกสิ่งใดได้ ยองจูจึงเลือกใช้จูบตอบคำถามนั้นแทน
 

...ราชครูหนุ่มไม่รู้เลยว่า ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่ความรู้สึกของคิมฮีอูมีผลกับเขาถึงขนาดนี้?...
 
 

ทันทีที่ร่างเล็กหายลับไปจากบานประตูในตอนเย็น ร่างสูงบนเตียงก็ถลกผ้าห่มออกจากตัว แล้วหยัดกายลุกขึ้นนั่ง เปลือกตาหนาปิดลง ก่อนจะลืมขึ้นอีกครั้งเผยให้เห็นนัยน์ตาสีแดงฉานที่ไม่มีเค้าแววตาคมยามรัตติกาลเช่นเดิมให้เห็นแม้แต่น้อย

ไอควันสีจางแผ่ขยายออกจากร่างของชายหนุ่มเป็นวงกว้าง มือเรียวยาวข้างหนึ่งแตะลงบนขาข้างที่หัก ก่อนจะผละออก แล้วปล่อยให้หมอกควันโอบล้อมรอบกายจนมิด และเมื่อกลุ่มควันเหล่านั้นหายไป รวมถึงเนตรสีเพลิง ร่างสูงโปร่งก็ลุกขึ้นจากเตียง แล้วเดินไปนั่งลงบนโต๊ะกลางห้องราวกับอาการขาหักไม่เคยเกิดขึ้น และตามร่างกายก็ไม่เคยมีบาดแผลใดๆ ทั้งสิ้น

ยองจูล้วงหยิบแผ่นกระดาษในอกเสื้อขึ้นมากางลงบนโต๊ะ เขากวาดสายตามองข้อความที่เพิ่งได้รับจากชนเผ่าชินซองอย่างละเอียดอีกครั้งหลังจากที่ได้ดูไปเมื่อตอนเช้า ก่อนที่ฮีอูจะมา

ใช้เวลาทำความเข้าใจกับจดหมายไม่นาน ก่อนจะหยิบแผ่นกระดาษนั้นขึ้น แล้วปล่อยให้เปลวเพลิงบนฝ่ามือเผาไหม้แผ่นกระดาษนั้นจนเหลือแต่เศษเถ้าธุลี

ร่างสูงลุกขึ้นจากโต๊ะตัวเดิมแล้วเดินไปหยุดยืนอยู่ริมหน้าต่าง เขาเหม่อมองออกไปยังท้องนภาที่กว้างใหญ่ไพศาล ทุกสรรพสิ่งภายใต้ผืนอัมพรนี้ ไม่มีสิ่งใดที่ถูกต้องอย่างบริสุทธิ์ เช่นเดียวกับไม่มีสิ่งใดบนผืนแผ่นดินนี้ที่คงอยู่อย่างยั่งยืน
 

ปาร์คยองจู ไม่เคยรู้สึกผิดในสิ่งที่ตนตัดสินใจทำลงไปแม้สักครั้ง
 

...ทว่า ครั้งนี้กลับไม่ใช่
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-

 
“กำลังนั่งนับเงินเดือนอยู่หรือไง ยอนอา?” เสียงเจ้าเล่ห์ดังขึ้นอยู่เหนือศีรษะเจ้าของชื่อที่กำลังนั่งซักผ้าอยู่ที่ด้านหลังของตำหนัก

“นับเงินบ้าอะไรล่ะ!” เด็กสาวตวาดแว้ด ก่อนจะรีบตักน้ำล้างมือแล้วลุกขึ้นยืนจ้องมองเด็กหนุ่มร่างเล็กบาง “นี่กึมซอง เจ้ารู้หรือเปล่าตอนที่พวกเจ้าไม่อยู่ องค์รัชทายาททรงมาที่นี่ได้สี่วันแล้ว มาทั้งกลางวันทั้งตอนเย็นเลยด้วย ข้าลองมานั่งนับดู ก็ประมาณ 7-8 ครั้งแหน่ะ!!”

คนฟังขมวดคิ้วมุ่น “ทรงมาทำสิ่งใด?” หากเป็นการเย้าแหย่องค์วังชอนซา ก็ไม่น่าจะมาทุกวันเช่นนี้?

“ทรงมาเสวยอาหารกลางวัน และอาหารเย็น”

“กับวังชอนซา?”

“แล้วยังจะมีผู้ใด? ฝ่าบาทคงนั่งร่วมโต๊ะกับข้าหรอกนะ”

“เหอๆ” กึมซองหัวเราะฝืดในคอที่โดนย้อนกลับ

“นี่ เจ้าว่าเป็นเพราะเหตุใด?...เจ้ารู้เหรอ?!” เห็นหน้าตาเด็กหนุ่มฉายชัดว่ารู้ดี ยอนอาก็รีบรบเร้า “ว่าอย่างไร? เจ้ารู้อะไรก็พูดมาสิ!!”

“ก็เพราะ......” กึมซองเว้นจังหวะ ทำให้เด็กสาวยิ่งตื่นเต้น เธอกระตุกชายแขนเสื้อเด็กหนุ่มรุนแรงให้บอกเสียที “เฮ้อ~ เจ้านี่นะ ว่าแต่ข้าชอบสอดรู้ เจ้าเองก็ไม่ต่างจากข้าหรอก ...ข้าจะบอกให้ก็ได้ เรื่องนี้น่ะนะ ต่อให้เป็นคนทื่อๆ อย่างโทซองยังรู้เลย”

แม้คิดอยากจะเถียงว่าคนที่ทื่อจนซื่อบื้อน่ะไม่ใช่โทซอง แต่เป็นกึมซองนั่นแหละที่ไม่เคยรับรู้ความรู้สึกที่แท้จริงของแฝดผู้พี่เลยสักนิด แต่นางก็กลืนคำโต้เถียงลงคอ เพราะตอนนี้สิ่งที่อยากรู้สมควรต้องได้รับความกระจ่างโดยเร็ว “อย่ามาเล่นลิ้นมากนัก บอกข้าเสียทีสิ!!”

“ก็ฝ่าบาททรงสนใจวังชอนซาอย่างไรเล่า”

ยอนอาย่นคิ้ว “แต่ฝ่าบาททรงมีคุณชายฮีอู?”

“ไม่เห็นจะแปลก ก็เพราะคุณชายฮีอูผู้น่ารักอยู่นอกวังตั้งหลายวัน”

“.........................”

ประโยคของเด็กหนุ่มไหลเข้าสู่กระบวนการคิดของนางกำนัลน้อย ยอนอาขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยท่าทางผิดหวังอย่างไม่ปิดบัง “ถ้าเช่นนั้น หากคุณชายฮีอูกลับมา ฝ่าบาทก็จะทรงเลิกสนใจองค์วังชอนซาของข้างั้นหรือ?” คำว่า ‘ของข้า’ ที่เอ่ยออกจากปากนางนั้น เปรียบราวกับนางให้ความภักดีต่อวังชอนซาอย่างจริงใจ

“แล้วเจ้ามีปัญหาอะไรหรือไง?”

“ข้าก็แค่เสียดาย องค์วังชอนซาทรงงดงามถึงขนาดนี้ ข้าไม่อยากให้คนผู้นั้นต้องเศร้าใจ” เพียงแค่ดูก็รู้ ว่านายของเธอนั้นหลงรักองค์รัชทายาทเข้าให้แล้ว ในทีแรก เธอนึกสนับสนุนองค์ชายรอง แต่ดูจากปฏิกิริยาแล้ว ทุกครั้งที่องค์รัชทายาททรงมาเยี่ยม องค์วังชอนซาจะดูมีความสุขมากกว่า แม้ว่าตอนอยู่กับองค์ชายรองจะทรงยิ้มและหัวเราะมากกว่าก็ตาม แต่บรรยากาศมันต่างกัน ต่อหน้าฝ่าบาท ผิวแก้มขององค์วังชอนซาจะขึ้นสีระเรื่อชวนมอง ดวงตาเป็นประกายสดใส ดูแล้ว ก็ราวกับคนที่กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความรักนั่นแหละ!

“แต่ช่างเถอะ ยังไงตอนนี้คุณชายฮีอูก็ยังไม่กลับมา”

“ใครบอกเจ้า ข้าเพิ่งไปรับคุณชายกลับมาหลังเสร็จภารกิจที่นอกวังเมื่อครู่เอง”
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

จบตอน


ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
คนรักองค์รัชทายาทมาแล้ววววว :ling3: :ling3: :ling3:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
บทที่ 9


ศาลาเล็กๆ ภายในสวนจำลองของตำหนักโยกันถูกจับจองด้วยสองบุรุษหนุ่ม คนหนึ่งคือโอรสองค์รองแห่งฮานึล ส่วนอีกคน คือโอรสองค์โตแห่งเชินอัน

บนโต๊ะไม้กลางศาลานั้นเต็มไปด้วยขนมหวานสีสันมากมาย นางกำนัลโซยอนผู้เชี่ยวชาญทางด้านการทำอาหารได้พิถีพิถันบรรจงทุกชิ้นอย่างตั้งอกตั้งใจ นางรู้ว่าขนมชนิดไหนที่วังชอนซาโปรดและไม่โปรด ดังนั้น บนโต๊ะจึงมีแต่ขนมหวานที่ร่างบางไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ทั้งนั้น

ทั้งที่เป็นเช่นนั้น แต่ในวันนี้ดูเหมือนนายของเธอจะไม่ชอบการทานขนมอย่างที่ควรเป็น

ไม่ใช่แต่นางกำนัลน้อยทั้งสองที่ดูเป็นกังวลใจ แม้แต่จีมุนเองที่รู้ว่าซอนอินชอบทานขนมมากแค่ไหนยังเห็นถึงความผิดแปลกนี้

ร่างสูงโปร่งบอกให้สาวใช้ทั้งสองคนกลับเข้าตำหนัก เขาลุกขึ้นเดินเข้าไปใกล้ร่างบางที่ยืนพิงรั้วศาลา ใบหน้าหวานหม่นหมองทำเอาหัวใจของคนมองรู้สึกปวดแปลบตามไปด้วย

“ซอนอิน...” คำปลอบใจ หรืออะไรก็ตามแต่ที่ชายหนุ่มเตรียมจะพูดกับคนตัวเล็กกว่านั้นเงียบหายไป เมื่อร่างบางหันกลับมาหาอย่างกะทันหัน พร้อมกับเสียงหวานที่เอ่ยขึ้น

“พี่ชายของเจ้าทำให้ข้ารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนโง่” คนพูดไม่ได้สบตาอีกฝ่าย เขาเพียงแต่เหม่อมองเลยออกไปยังบริเวณด้านข้างของตัวตำหนักที่มีบ่อน้ำตั้งอยู่

“แต่ที่ยิ่งกว่านั้น เป็นข้าเองที่ยอมโง่เพื่อคนผู้นั้น ทั้งที่รู้ แต่ข้าก็ไม่สนใจ” น้ำเสียงที่เคยนุ่มนวลแว่วหวาน ในเวลานี้กลับเต็มไปด้วยความเศร้าที่กัดกินหัวใจของคนพูดจนเป็นบาดแผลที่ยากจะรักษา ซอนอินเลื่อนสายตาขึ้นสบกับนัยน์ตาเรียวคมที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนของจีมุน “...เจ้าก็คิดว่าข้าโง่สินะ?”

“ไม่มีคำว่าโง่สำหรับหัวใจของมนุษย์” มือเรียวยาวเกี่ยวเส้นผมสีดำนุ่มลื่นของคนตรงหน้าอย่างเอ็นดู ยิ่งอยู่ใกล้คนคนนี้มากเท่าไหร่ จีมุนก็เห็นแต่ความเป็นเด็กที่ไร้มลทินของซอนอินมากเท่านั้น “ซอนอิน ข้าไม่อยากเห็นเจ้ามีสีหน้าอย่างนี้เลย หากความรู้สึกของซอนอินที่มีต่อเสด็จพี่เพิ่งเริ่มต้นขึ้น ถ้าเช่นนั้น เจ้าหยุดมันเสียตอนนี้จะได้ไหม?”

มือของคนพูดเลื่อนลงกอบกุมมือเล็กทั้งสองไว้ “หยุดความรู้สึกไว้ก่อนที่ซอนอินจะเจ็บไปมากกว่านี้” จีมุนจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโตของซอนอิน “ตั้งแต่ที่ข้าจำความได้ ไม่ว่าเมื่อไหร่ สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของเสด็จพี่ก็คือ คิมฮีอู ดังนั้น สิ่งที่เสด็จพี่ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างที่ผ่านมาสามสี่วันก่อนนั้น มันทำให้ข้ารู้สึกปวดใจทุกครั้ง เพราะข้ารู้ว่า สักวัน เจ้าจะต้องเจ็บเพราะพี่ชายของข้า”

จีมุนกระชับมือเล็กที่กอบกุมอยู่ให้แน่นขึ้น

“ข้าชอบเจ้าซอนอิน และข้าก็ไม่ได้หวังที่จะเห็นเจ้าเจ็บ...หัวใจของเจ้า ให้เป็นข้าได้ไหม?”

คำสารภาพอย่างตรงไปตรงมาทำเอาร่างบางเบิกตาโตอย่างตะลึง ด้วยไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะมีความรู้สึกเช่นนั้นกับตน ซอนอินไม่เคยมองจีมุนมากไปกว่าเพื่อนที่ถูกใจ และแน่นอน ซอนอินไม่เคยมองชองจีรยงมากไปกว่าคนใจร้ายที่จับตนมาเป็นเชลย ถึงจะมีความรู้สึกพิเศษกับคนผู้นั้นมากแค่ไหน แต่ซอนอินก็ยังไม่เข้าใจมันดีพอ รู้แค่ว่าชอบสัมผัสของคนผู้นั้น และไม่ชอบที่คนผู้นั้นไปสัมผัสใครคนอื่น นั่นเพราะซอนอินไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่า ความรัก

ที่รู้สึกเสียใจอยู่ตอนนี้ ก็เพราะสิ่งที่เรียกว่าของเล่นชั่วครั้งชั่วคราว จีรยงเห็นเขาเป็นนางบำเรอหรืออย่างไรกัน ถึงได้คิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไป ไม่สนใจความรู้สึกของเขาแม้แต่น้อย พอคนคนนั้นไม่อยู่ ก็มายุ่งวุ่นวายกับเขา และพอคนคนนั้นกลับมา ก็ไม่คิดจะมาให้เขาเห็นหน้าเลยสักครั้ง

ทว่า สิ่งเหล่านั้นทั้งหมด ซอนอินรู้ดีอยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจแต่ก็ยังยอมปล่อยไปตามความต้องการของตัวเอง แต่ไรมา จีรยงไม่เคยชอบหรือสนใจเขาอยู่แล้ว ซ้ำยังเกลียดกันด้วยซ้ำ รุนแรงกับเขา ไม่เคยคิดจะพูดดีด้วยเลย แต่เพราะอย่างนั้น พอจีรยงมาทำดีด้วย อ่อนโยนด้วย เขาถึงได้หลงใหลไปกับสิ่งเหล่านั้น ผลสุดท้ายที่เขาเจ็บเช่นนี้ มันก็สมควรแล้ว

หึ คิมซอนอิน เจ้าเป็นเชลยให้ฮานึลไม่พอ เจ้ายังจะเป็นของเล่นยามว่างให้กับชองจีรยงอีกด้วย

อาการเงียบไปของร่างเล็กยังผลให้อีกคนจุดรอยยิ้มบาง เห็นสีหน้าว่าไม่เคยคิดอะไรกับเขาถึงขั้นนั้นแล้วก็ได้แต่นึกผิดหวังเล็กๆ ในใจ ยิ่งเห็นว่าซอนอินแสดงออกถึงความไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ดีนัก เขาก็ยิ่งไม่อาจปล่อยซอนอินไปให้ใครอื่นได้มากเท่านั้น หากจะมีใครสักคนที่ได้ครอบครองหัวใจที่ทั้งสวยงามและใสบริสุทธิ์ของคนคนนี้ ก็อยากจะให้เป็นเขาเพียงคนเดียวที่ได้เป็นเจ้าของ

“ทานขนมกันดีกว่านะ เดี๋ยวจะชืดไปเสียหมด”

“อ่ะ อื้อ!” ซอนอินรีบตอบรับทันทีเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่องพูด เขานั่งลงตามแรงจูงของจีมุน เสียงพูดคุยเบาๆ และเสียงหัวเราะลอยเอื่อยออกมาจากศาลาตลอดทั้งช่วงบ่าย ระหว่างที่นั่งพูดคุยกันนั้น ซอนอินก็นึกขอบคุณสวรรค์ที่ส่งจีมุนมาอยู่ที่ฮานึล ไม่อย่างนั้นเขาคงได้เหงาตายแน่ อย่างน้อย จีมุนก็ทำให้เขาสบายใจทุกครั้งที่อยู่ด้วย

แต่ว่าเรื่องที่จีมุนชอบเขานี่สิ อืม...มันยังไงกันนะ?
 

หากจะให้นั่งนับวันกันจริงๆ จังๆ แล้วล่ะก็ ซอนอินสามารถตอบได้ทันทีเลยว่าชองจีรยงหายไปจากตำหนักโยกันทั้งที่ก่อนหน้านี้มาบ่อยถึงขนาดนั้นไปแล้วราวๆ 5 วันไม่ขาดไม่เกิน ที่ตอบได้ชัดเจนเช่นนี้ เพราะซอนอินเองนั่นแหละที่คาดหวังอยู่ทุกวี่วันว่าจะได้เจอกับคนผู้นั้น เมื่อตอนบ่ายแก่ๆ หลังจากที่จีมุนกลับไปแล้ว ซอนอินก็มานั่งแหมะอยู่ในห้องนอนริมหน้าต่างเช่นเดิมเพื่อคุยกับเจ้านกตัวน้อย ดูท่าว่า พอกลับไปเชินอันเมื่อใด เขาคงได้ภาษานกมาเพิ่มแน่ๆ

นั่งเล่นอยู่ไม่นาน ท้องฟ้าก็เข้ายามสิบ ช่วงหัวค่ำเช่นนี้คือช่วงเวลาที่ตำหนักโยกันเตรียมสำรับอาหารเย็น ซอนอินที่นั่งเอื่อยอยู่ริมหน้าต่างนานสองนานจึงลุกขึ้นบิดกายไล่ความเมื่อยตามร่างกายออกไป เขาเดินออกจากห้องไปด้วยท่วงท่าเรียบเรื่อยอย่างคนที่ไม่มีแก่ใจจะทำอะไรทั้งนั้น

“วังชอนซา...”

เสียงเล็กๆ ที่เอ่ยเรียกนั้นทำเอาดวงหน้าสวยของคนที่ก้มหน้าก้มตาเดินรีบผงกขึ้นมองเจ้าของเสียงทันที ดวงตาสีนิลมองสบกับชายหนุ่มรูปร่างเล็กบาง ส่วนสูงน่าจะไม่ต่างจากเขามากนัก แต่ก็ยังเรียกว่าตัวเล็กกว่าเขา ไม่ต้องใช้เวลาคิดนานนักว่าคนคนนี้เป็นใคร ซอนอินก็รู้ในทันที

“คุณชายฮีอู?”

รอยยิ้มบางที่ฉายอยู่บนใบหน้าหวานนั้นแทนความหมายว่าคนร่างบางเข้าใจถูกแล้ว ฮีอูเดินเข้าไปใกล้ผู้ที่เป็นเจ้าของตำหนักอยู่ในตอนนี้

“ให้หม่อมฉันร่วมโต๊ะกับท่านได้หรือไม่องค์วังชอนซา?”

ความตกตื่นและความมึนงงยังไม่ทันจะได้จางหายที่เห็นคนตรงหน้า คำถามแบบสายฟ้าแลบก็พุ่งตรงมาเสียนี่ ซอนอินอึกอักเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าขึ้นลงพร้อมรอยยิ้มสวยที่มีให้ฝ่ายนั้น ทั้งที่ในใจแทบจะยิ้มไม่ออกเลยสักนิด

บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเป็นไปอย่างเงียบเชียบเสียยิ่งกว่าตอนทานคนเดียว เพราะซอนอินมักจะหาเรื่องชวนนางกำนัลสาวทั้งสองคุยเล่นเสมอ แต่ตอนนี้กลับไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคน

เนื้อไก่ต้มที่ถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กๆ ในถ้วยส่วนตัวของซอนอินยังไม่ลดลงแม้แต่น้อย เนื่องจากซอนอินเป็นคนชอบทานไก่ต้มมากเป็นพิเศษ นางกำนัลน้อยนั้นรู้ดีว่านายของเธอจะต้องวุ่นวายกับการฉีกไก่ไว้เยอะๆ ก่อนแล้วค่อยทาน นางจึงจัดการไว้ให้เสร็จสรรพเช่นนี้จนเป็นเรื่องปกติ แต่ตอนนี้นายของเธอไม่ได้สนใจอาหารจานโปรดนั้นแม้แต่น้อย

ในขณะที่ซอนอินยังกลืนอะไรไม่ค่อยลง ฮีอูกลับทานอาหารได้อย่างไม่มีสะดุด ทั้งสองคนใช้เวลาอยู่บนโต๊ะอาหารไม่นานนัก เมื่อเห็นคนตัวเล็กทานเสร็จ ซอนอินก็บอกให้นางกำนัลเก็บสำรับทันที เพราะต่อให้นั่งต่อไป ตนก็ทานอะไรไม่ลงอยู่ดี

“ไม่ทราบว่า คุณชายฮีอูมาหาข้า มีเรื่องอะไรกับข้างั้นหรือ?” เป็นซอนอินที่หมดความอดทนต่อบรรยากาศที่แสนอึดอัดก่อน

คนถูกถามละสายตาจากเชิงเทียนที่มุมห้องแล้วมองสบนัยน์ตาคู่สวยของคนตรงหน้า “เราออกไปเดินเล่นข้างนอกกันไหม?”

ซอนอินย่นคิ้วเข้าหากันทันทีเมื่อถูกชวนไปเดินเล่น “เอ่อ...คือ ข้าออกไปไม่ได้หรอก” ขณะที่เอ่ยตอบ ในใจก็ลุ้นว่าคนตัวเล็กคนนี้จะรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับตนบ้างนอกเหนือไปจากการเป็นราชทูตที่ถูกดูแลอย่างดีด้วยการมีทหารเวรยามเฝ้าอยู่รอบรั้วตำหนักอย่างแน่นหนา...จนเกินพอดีเช่นนี้

แน่นอนว่าฮีอูรู้ตั้งแต่แรกแล้ว จากตำแหน่งที่เป็นถึงคนสนิทของชองจีรยง ใครเล่าจะกล้าไม่ตอบความจริงเมื่อครั้งที่ฮีอูเอ่ยถามทหารม้าเร็วเมื่อคราวนั้น

“แค่ตรงสวนจำลองของตำหนักนี้ก็ได้” ฮีอูไม่ได้แสดงสีหน้าเอะใจต่อคำตอบที่แฝงความนัยไว้ของอีกฝ่าย เขาระบายยิ้มที่ซอนอินคิดว่ามันช่างดูนุ่มนวลที่สุดเท่าที่เคยเห็นให้ แล้วออกเดินนำหน้าเมื่อเจ้าของตำหนักพยักหน้าน้อยๆ

ถึงจะบอกว่าเป็นการเดินเล่น แต่เพราะสวนจำลองในตำหนักโยกันนั้นเล็กนิดเดียว สระบัวนั้นก็เป็นเพียงบ่อน้ำตื้นที่กว้างกว่าศาลาริมสระไม่มากมายนัก แต่ก็ยังมีที่กว้างพอที่ปลาสีส้มตัวใหญ่สองตัวจะแหวกว่ายได้อย่างสบาย ทั้งสองคนจึงลงเอยด้วยการนั่งรับลมเย็นภายในศาลา

ซอนอินรู้สึกเกร็งไปทั้งตัวยามที่ดวงตาเรียวเล็กจ้องมองตนอย่างจงใจ ถึงจะไม่ใช่สายตาคุกคาม ซ้ำยังเป็นสายตาใสซื่อด้วยซ้ำ แต่ซอนอินเดาไม่ออกเลยว่าคนตรงหน้าต้องการสิ่งใด หรือคิดอะไรอยู่

“ท่านงดงามจริงๆ องค์วังชอนซา”

“เอ๋?” ถูกชมเอาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ซอนอินถึงกับงงทำตัวไม่ถูก

ฮีอูมองปฏิกิริยาของอีกฝ่ายแล้วก็ยิ้มให้กับท่าทางน่ารักนั้น เขาพอจะรู้จากใครหลายคนว่าคิมซอนอิน โอรสองค์โตแห่งเชินอันนั้นมีรูปโฉมงดงามเพียงใด แต่หากจะให้ฟังเพียงอย่างเดียว คงเทียบไม่ได้เลยกับการได้เห็นด้วยตนเอง ไม่ใช่แค่งดงาม หากแต่ยังสวยราวกับรูปภาพสรรค์สร้างจากจิตรกรฝีมือดีที่มีปณิธานถึงความหมายของภาพเป็นทูตสวรรค์ผู้มีความงามหาใดเปรียบ

ดวงตากลมโตราวกับเนตรที่เปล่งประกายของหงส์แสนงามผู้ร่ายรำอยู่บนผืนทิฆัมพรอันกว้างใหญ่ไพศาล รูปร่างบอบบางชวนให้ผู้พบเห็นอยากปกป้องไว้ด้วยชีวิต หรือแม้กระทั่งบอบบางจนอยากจะทำลายลงด้วยมือของผู้ที่พบเจอ เรียกได้ว่า คิมซอนอินผู้นี้ มีความงามอย่างหาใครเปรียบได้จริงๆ

ร่างเล็กจ้องมองวังชอนซาด้วยสายตาชื่นชม หากแต่ในใจของเด็กหนุ่มแล้วกำลังกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดจากก้อนเนื้อที่บีบรัดเข้าหากันอย่างสุดแสน

...มิน่าเล่า คนผู้นั้นถึงได้ยอมทำทุกอย่างเพื่อช่วยคนคนนี้...

...ยอมทำแม้ว่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าเขาจะรู้สึกเช่นไรหากรับรู้ความจริง...
 

...ยองจู ท่านไม่เคยชอบเราเลยใช่ไหม?...
 

“เอ่อ...เจ้าทำข้าอายนะ” ซอนอินหัวเราะแก้เก้อ มือเรียวภายใต้ชายเสื้อสีขาวยกขึ้นเกาหัวอย่างวางตัวไม่ถูก “ความจริงแล้วควรจะเป็นข้าที่ต้องชมว่าเจ้าเป็นบุรุษผู้งดงามมากกว่า ข้าไม่เคยเห็นชายคนไหนน่ารักได้เท่าเจ้าเลยนะ!” ซอนอินพูดความจริงอย่างที่สุด จากสายตาของเขา ฮีอูเป็นผู้ชายที่ดูไม่ออกเลยว่าตามจริงแล้วอาจเป็นผู้หญิงก็ได้! ก็ทั้งรูปร่างเล็กบาง เอวเล็กนิดเดียว ซ้ำใบหน้ายังหวานเสียขนาดนี้...ก็ถูกต้องแล้วล่ะที่คนปากร้ายผู้นั้นจะมีเพียงคนผู้นี้ในใจ พอนึกถึงตรงนี้ ในอกของซอนอินก็รู้สึกเหมือนมีอะไรแล่นผ่านให้รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา

จังหวะที่คนทั้งสองกำลังตกอยู่ในห้วงความรู้สึกของตนเองอย่างไม่รู้ตัวนั้น ร่างสูงของใครคนหนึ่งได้เดินเข้ามาในเขตตำหนักโยกันพร้อมทหารติดตามอีกจำนวนหนึ่ง

แสงไฟจากโคมถือของทหารสองนายที่เดินนำหน้าทำให้คนในศาลารู้สึกตัว

ซอนอินรีบหันไปมองยังทิศทางนั้นทันทีด้วยรู้ว่าเสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามามากมายนั้นเป็นขบวนผู้ติดตามของใคร และก็จริงดั่งใจคิด ชองจีรยงกำลังเดินเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว เร็วเสียจนน่าจะเรียกว่ารีบร้อนเสียมากกว่า

“ไม่ยักรู้ว่าเจ้าอยากมาหาวังชอนซา คิมฮีอู” น้ำเสียงทุ้มฟังเรียบนิ่ง เยือกเย็น

ร่างสูงหยุดยืนอยู่ห่างจากศาลาไม่มากนัก เขาเหลือบสายตามองซอนอินเพียงแวบเดียว ก่อนจะเดินเข้าไปจับมือของฮีอูให้ลุกขึ้นยืน “ค่ำมืดแล้ว เหตุใดเจ้ายังมานั่งเล่นอยู่ที่นี่”

ดูเหมือนฮีอูจะรู้อยู่แล้วว่าร่างสูงต้องมาตามหาจึงไม่ได้แสดงท่าทีตกใจแม้แต่น้อย เขาเงยหน้าขึ้นมององค์รัชทายาทผู้เป็นดั่งทุกสิ่งของชีวิตเสมอมา ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใส “หม่อมฉันสงสัยว่าผู้ที่องค์รัชทายาทถึงกับแวะเวียนมาหาไม่ขาดในช่วงที่หม่อมฉันไม่อยู่จะเป็นคนเช่นไร จึงได้มาที่ตำหนักนี้ แต่ยังไม่ได้คุยอะไรมากนัก ฝ่าบาทก็มาเสียก่อน”

จีรยงหันไปมองคนร่างบางที่นั่งนิ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ “แล้วเจ้าว่าเป็นเช่นไรล่ะ ฮีอู?”

“วังชอนซาเป็นคนสวย” ฮีอูตอบทันทีพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ

“แล้วยังไงอีก” ดวงตาคมยังไม่ละไปจากดวงหน้าสวยของหงส์งามที่ตีสีหน้าเรียบนิ่งอย่างไม่สมกับเป็นเจ้าตัว

“หากหม่อมฉันเป็นฝ่าบาท หม่อมฉันจะต้องชอบวังชอนซาเป็นแน่”

“เหลวไหล” ใบหน้าขององค์รัชทายาทหันกลับมามองคนตัวเล็กข้างกาย เขาวาดวงแขนโอบเอวคอดให้เข้ามาใกล้แล้วก้มใบหน้าเข้าประชิดปลายจมูกได้รูป “เหตุใดข้าต้องชอบผู้อื่น ในเมื่อข้ามีเจ้าอยู่แล้วทั้งคน?”

ฮีอูไม่ได้เอ่ยอะไรต่อจากนั้น หรืออันที่จริง เพราะเขาไม่สามารถเอ่ยอะไรได้อีกในเมื่อริมฝีปากถูกครอบครองแนบสนิทจากคนตัวสูง

ราวกับถูกสาดด้วยน้ำที่เย็นเฉียบ ซอนอินคว้าขอบเก้าอี้ไว้เป็นหลักยึดไม่ให้รู้สึกหน้ามืดไปเสียก่อน เรี่ยวแรงเหมือนจะหายไปอย่างไร้สาเหตุ ทั้งที่ในใจกำลังรู้สึกหวั่นไหวและสับสน แต่เมื่อดวงหน้าขององค์รัชทายาทผละจากคนข้างกายแล้วหันมาทางเขา ซอนอินก็ตีสีหน้าเรียบนิ่งจ้องสายตาตอบกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน ซ้ำยังยิ้มให้คนทั้งคู่อีกด้วย

“หากพวกเจ้าสองคนอยากจะอยู่ดูดาวบนฟ้าที่นี่ ก็เชิญตามสบายนะ ข้าต้องขอตัวก่อน”



ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2

จีรยงแทบจะกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ตอนที่ร่างบางเดินกลับเข้าไปในตำหนัก ต่อให้แสร้งตีหน้าเรียบอย่างไร เขาก็ดูออกว่าเชลยของเขากำลังรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก ดูจากอาการเม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรงนั่นอย่างไรเล่า!

ด้วยความที่นึกถึงหน้าสวยๆ นั้นจะดูน่ามองมากแค่ไหนเมื่อเจ้าตัวแสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์ ทำให้ริมฝีปากหยักเผลอยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

ขณะที่ฮีอูจ้องมองรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลานั้นไม่วางตา ความคิดบางอย่างก็แล่นเข้ามาในหัว ใช่ว่าเขาจะคิดไปเองว่าองค์รัชทายาทจะสนใจวังชอนซา เพราะเขาไม่เคยเห็นว่าคนคนนี้จะให้ความสนใจหญิงงามหรือเด็กหนุ่มคนใดถึงขนาดต้องไปหาติดกันทุกวัน ที่มาที่นี่ก็เพื่อให้ความมั่นใจกับตัวเองเท่านั้น

ไม่รู้ว่า องค์รัชทายาท จะทรงรู้สึกตัวไหมนะ ว่าพระองค์กำลังรู้สึกเช่นไรต่อวังชอนซา...
 

หลังจากที่ได้แกล้งหงส์งามอย่างพออกพอใจแล้ว จีรยงก็พาฮีอูกลับมายังตำหนักของตน

ขณะที่โอบกอดร่างเล็กไว้ในอ้อมแขนด้วยร่างกายเปลือยเปล่าที่แนบสนิทกัน เสียงทุ้มที่ไม่มีเค้าของความเหนื่อยทั้งที่ปลดปล่อยในร่างกายหอมหวานของคนในวงแขนไปแล้วถึงสามครั้งได้เอ่ยผ่านความมืดสลัวภายในห้อง

“ทำไมเจ้าถึงคิดว่าข้าจะชอบวังชอนซา?”

ดวงหน้าหวานเชื่อมแสงยามเหนื่อยอ่อนต่อกิจกรรมเมื่อครู่แนบซบอยู่กับอกหนา โดยมีมือใหญ่ลูบเส้นผมของเขาเบาๆ อย่างอ่อนโยนเช่นทุกครั้ง “หากฝ่าบาทไม่พอพระทัย หม่อมฉันจะไม่พูดถึงเรื่องนั้นอีก”

“เจ้าไม่ได้ตอบคำถามข้า ตอนนี้ข้าอยากฟังความเห็นของเจ้า”

วงแขนเล็กที่โอบกอดเอวหนาเลื่อนขึ้นมายังบริเวณแผงอกกว้าง ฝ่ามือเล็กวางทาบอยู่ที่ตรงนั้น “พระองค์ชอบพอใครเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะหญิงงามพวกนั้น หรือแม้แต่หม่อมฉันเอง...”

“เจ้าไม่เหมือนคนพวกนั้น ฮีอู”

รอยยิ้มบางฝืนระบายในความมืดเมื่อถูกเสียงทุ้มเอ่ยแทรก “...หม่อมฉันอาจไม่เหมือนคนพวกนั้น แต่กับวังชอนซา ฝ่าบาทจะทรงคิดเช่นไร?”

“เจ้าต้องการจะพูดอะไรกันแน่?” เสียงทุ้มฟังห้วนจัด ร่างสูงที่นั่งเอนพิงหัวเตียงอยู่นั้นจับให้คนตัวเล็กลุกขึ้นนั่งหันหน้าเข้าหากัน

ฮีอูมองสบสายเนตรคมกร้าวดุจสายตาของมังกรที่น่ากลัว หากแต่สำหรับฮีอู คนตรงหน้านี้มีแต่ความอ่อนโยนและใจดีต่อตนเสมอมาเพียงเท่านั้น “ตั้งแต่เด็ก หม่อมฉันและฝ่าบาทถูกจับให้อยู่ด้วยกันเสมอ ฝ่าบาทเคยคิดบ้างไหมว่า ในวันข้างหน้า ฝ่าบาทจะต้องอภิเษกสมรส หรือเจอคนที่พระองค์อยากจะมอบทุกสิ่งทุกอย่างของพระองค์ให้กับคนผู้นั้น แม้กระทั่งหัวใจของพระองค์ก็ตาม”

“ข้าไม่มีวันปล่อยเจ้า คิมฮีอู” จีรยงจ้องร่างเล็กเขม็งด้วยรู้ความหมายถึงสิ่งที่ได้ฟัง ที่พูดออกมาทั้งหมดก็เพราะคนตรงหน้าอยากจะให้เขาปล่อยมืออย่างนั้นสินะ

...คิดจะให้ข้าปล่อยเจ้าไปให้คนอื่นที่ไม่ใช่ข้าน่ะหรือ? ข้าไม่มีวันยอม!

ร่างสูงใหญ่ดันคนตัวเล็กกว่าลงกับเตียงอีกครั้ง รัชทายาทหนุ่มเคลื่อนกายขึ้นทาบทับเรือนกายบอบบางนั้นอย่างไร้ความอ่อนโยนเช่นเมื่อหัวค่ำ เขากดริมฝีปากฝังรอยขบกัดลงกับลาดไหล่เล็กจนเกิดรอยเลือดซิบ ราวกับจะตอกย้ำตราตรึงให้เจ้าของร่างนั้นได้รู้ว่าใครกันที่เป็นเจ้าของร่างกายนี้ ฝ่ามือหยาบหนาจับข้อเท้าเล็กยกขึ้นพาดบ่าแล้วยัดเหยียดความต้องการเข้าสู่ช่องทางบวมช้ำภายในคราวเดียวโดยไม่สนว่าอีกฝ่ายจะเจ็บหรือไม่

“ฮึก!! อ๊า!!!”

ฮีอูกรี๊ดร้องด้วยความเจ็บที่แล่นปราดจากเบื้องล่างไปสู่ทุกเส้นประสาททั่วทั้งกาย ดวงตาหวานเอ่อคลอเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาเม็ดใส มือเล็กไร้เรี่ยวแรง สมองพร่าเลือนด้วยความปั่นป่วนที่พลุ่งพล่าน ยามที่ร่างกายถูกชักนำไปอย่างไม่สิ้นสุด ก่อนสติจะหลุดลอย เสียงทุ้มประโยคสุดท้ายก็ได้บาดลึกลงไปในหัวใจของเขาเป็นแผลฉกรรจ์ที่ไม่มีทางรักษา

 
“เจ้าเป็นของข้า คิมฮีอูเกิดมาเพื่อเป็นของของข้า ผู้ใดก็ไม่มีสิทธิ์ครอบครองเจ้านอกจากข้า จำเอาไว้!!!”
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

วันรุ่งขึ้น หลังเสร็จว่าราชกิจกับเหล่าขุนนางฝ่ายต่างๆ รัชทายาทหนุ่มก็ได้เรียกให้องครักษ์ยูโทซองมายังห้องทรงอักษรเพื่อรายงานผลของการติดตามสายลับของเชินอัน

โทซองเอ่ยถึงสายลับคนหนึ่งที่เข้าเขตฮานึลคนล่าสุด ก่อนหน้านั้นไม่มีเคยหาตัวผู้ที่ลักลอบเข้ามาได้เลย ดังนั้นการจับคนผู้นี้ได้จึงถือเป็นเบาะแสสำคัญที่จะใช้ตามรอยพวกแรกเจอ แต่โทซองกลับไม่ได้ความอะไรจากชายต่างแคว้นผู้นั้นแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเจอช้าไป ชายคนนั้นเพียงแค่นำสารมาส่งกับใครคนหนึ่งได้สำเร็จแล้ว เมื่อเขาถามอย่างคาดคั้น คนผู้นั้นก็วิ่งเข้าหาดาบของทหารเพื่อปลิดชีพตัวเองตายไปเสียก่อน

“...แต่กระหม่อมยังสงสัย” สีหน้าของเด็กหนุ่มเคร่งเครียดขึ้นมาเล็กน้อย “ตอนที่กระหม่อมกับกึมซองไปรับคุณชายฮีอูที่บ้านตระกูลคิม กระหม่อมได้ไถ่ถามอาการของคิมฮโยซูว่าเป็นเช่นไรบ้างแล้ว ท่านหญิงคิมเธอบอกว่าลูกสาวของนางหายเป็นปกติได้หลายวันแล้ว กระหม่อมไม่เข้าใจว่า เหตุใดคุณชายฮีอูถึงประสงค์กลับวังช้านักจึงเผลอถามนางออกไปตรงๆ ไม่นึกว่าท่านหญิงคิมจะคิดวิตกเรื่องนี้เช่นกัน ทำให้กระหม่อมได้รู้ว่าคุณชายฮีอูถูกปองร้าย และคนที่มาช่วยคุณชายไว้ก็คือสาเหตุที่ทำให้คุณชายปฏิเสธจะกลับเข้าวังตามกำหนดการเดิม”

“คนผู้นั้นเป็นใคร”

“กระหม่อมไม่ทราบพะย่ะค่ะ คุณชายฮีอูไม่ได้บอกอะไรกับท่านหญิงคิมเลย...นอกไปจากรู้ว่า ชายคนนั้นเป็นคนต่างแคว้นพะย่ะค่ะ”

“เชินอัน” สุรเสียงทุ้มหลุดออกจากริมฝีปากหนาทันทีที่ได้ยินคำบอกเล่าขององครักษ์คนสนิท ร่างสูงสง่าลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เขาเดินไปหยุดยืนอยู่ตรงบานหน้าต่าง ใบหน้าคมเคร่งเครียดขึ้นอย่างใช้ความคิด

จากที่เคยสืบรู้มา ราชครูปาร์คยองจูผู้เป็นคนดูแลวังชอนซานั้นแต่เดิมเป็นคนของชนเผ่าชินซองซึ่งอยู่อย่างสันโดษในหุบเขาแทบชายแดนของเชินอัน ถึงจะเรียกไม่ได้ว่าชินซองอยู่ในความปกครองของเชินอันเต็มตัว แต่จากที่องค์ราชินีของเชินอันนั้นเป็นลูกสาวของหัวหน้าเผ่าชินซอง ทำให้ในตอนนี้ชินซองและเชินอัน ถือเป็นคนแคว้นเดียวกัน กระนั้นแล้ว คนส่วนใหญ่ก็ยังไม่มีใครทราบความเป็นอยู่ของชนเผ่าชินซองมากไปกว่าเรื่องทั่วไปในการดำเนินชีวิต ความลับมากมายของคนในหุบเขาชินซองนั้นยังคงเป็นปริศนาแก่คนภายนอกจนถึงบัดนี้

คนที่ลักลอบเข้าฮานึลมา คงไม่ใช่ใครอื่นนอกจากปาร์คยองจู จีรยงให้คำตอบกับตัวเองอย่างมั่นใจ ถ้าอย่างนั้นแล้ว ความสามารถที่ฝ่ายนั้นถนัดล่ะคืออะไร? เข้าหาฮีอูเพื่ออะไรกัน หากจะใช้วิธีลักพาตัวเพื่อแลกเปลี่ยนเชลยฝ่ายนั้นก็ย่อมทำได้ แต่อาจต้องเสี่ยงกับข้อตกลงการทำศึก หรือเพราะหนทางการหลบหนีโดยมีอีกคนเป็นภาระนั้นไม่ง่ายดายนักฝ่ายนั้นถึงได้ไม่เลือกใช้วิธีนี้ ...ยิ่งคิด องค์รัชทายาทหนุ่มก็ยิ่งมองไม่เห็นถึงคำตอบ

...คนผู้นั้นต้องการจะทำอะไรกันแน่...

ไม่สิ ราชครูนั่นต้องทำอะไรบางอย่างกับฮีอูไม่ผิดแน่ แต่มันคืออะไรกัน เพียงแค่คิดว่าคนสำคัญถูกใช้เป็นเหยื่อล่อ รัชทายาทหนุ่มก็รู้สึกทนไม่ได้ ยิ่งคิดถึงคำพูดของฮีอูเมื่อคืนด้วยแล้ว เขาก็ยิ่งปล่อยไปไม่ได้!
 

“คอยให้คนเฝ้าไว้ หากเชินอันส่งใครมาอีก คราวนี้อย่าให้พลาด เจ้าออกไปได้แล้ว” หลังจากที่สั่งความเสร็จ ร่างสูงก็เดินกลับไปตรวจรายงานบนโต๊ะอีกครั้ง คล้อยบ่าย การตรวจรายงานจากเหล่าขุนนางตามสาขาต่างๆ ก็ได้สิ้นสุดลง จีรยงมุ่งหน้าออกจากห้องทรงอักษรโดยมีจุดหมายเป็นตำหนักโยกัน

เป็นเพราะชายหนุ่มร่างสูงนั้นห่างหายจากการมาเยี่ยมเยือนเชลยคนสวยเสียหลายวัน พอเขาปรากฏตัว คนในตำหนักจึงแสดงท่าทางไม่คาดคิดมาก่อน นางกำนัลน้อยทั้งสองรีบถวายความเคารพก่อนจะพากันไปจัดเตรียมน้ำชาให้กับแขกคนสำคัญ โดยที่ร่างบางเจ้าของตำหนักในเวลานี้นั้นยังไม่เอ่ยคำทักทายต่อคนตรงหน้าแต่อย่างใด

เรียวคิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อยกับท่าทางนิ่งเฉยของอีกฝ่าย จีรยงเดินเข้าใกล้ร่างบางอย่างต้องการดูปฏิกิริยาตอบโต้ แต่ซอนอินก็ไม่ได้ขยับถอยแต่อย่างใด ริมฝีปากหยักยกยิ้มเล็กน้อยอย่างนึกสนุกที่จะได้เห็นว่าคนสวยจะทำอย่างไรหากเขารุกมากกว่านี้

“อ่ะ” ซอนอินร้องออกมาอย่างตกใจ ถูกฉุดให้จมอยู่ในอ้อมกอดอย่างกะทันหัน เป็นใครก็คงทนเฉยไม่ได้ ซอนอินพยายามขืนกายออกจากวงแขน ใช้ทั้งหน้าผากทั้งมือพยายามดันอกกว้างให้ออกห่าง

ดูแล้วก็เหมือนเด็กขี้งอนที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้กับคนชอบแกล้งอย่างไรอย่างนั้น

จีรยงดูจะพอใจกับการตอบสนองครั้งนี้ของหงส์งามไม่น้อย แต่ก็ยังไม่มากพอ เขารวบเอวบางเข้าแนบมากขึ้นพลางก้มลงกระซิบใกล้ใบหูนุ่มให้ผิวแก้มเนียนแดงปลั่งขึ้นสีจัด

“เหตุใดองค์วังชอนซาทรงเย็นชากับหม่อมฉันถึงขนาดนี้เล่า?” จีรยงยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบผิวแก้มแดงของคนที่ก้มหน้าชิดอกของเขาอย่างหยอกเย้า “...หรือที่ผ่านมา หม่อมฉันกับท่านยังสนิทกันไม่มากพอ?” ขณะที่พูด มือข้างที่ลูบผิวแก้มอยู่เมื่อครู่นั้นได้เลื่อนลงยังช่วงเอวคอด วนเวียนอยู่แถวสะโพกมนเพียงครู่ ก่อนที่มือหนาข้างนั้นจะสอดผ่านเข้ารอยแยกของอาภรณ์สีขาวบริเวณต้นขาเนียนลื่น

“ปล่อย!” คำแรกที่เอ่ยออกมานั้นเจือไปด้วยน้ำเสียงที่แข็งกระด้าง หากแต่ก็ยังฟังหวานหูคนร่างสูง

“แน่ใจนะว่าเจ้าต้องการให้ข้าปล่อย?” สรรพนามที่ถูกเปลี่ยนมาเรียกเช่นเดิมนั้นมาพร้อมกับน้ำเสียงที่ทรงอำนาจต่างจากการเย้าแหย่ในประโยคแรก ร่างสูงเพิ่มน้ำหนักลงกับต้นขานุ่มมือใต้อาภรณ์นั้นมากขึ้น จนร่างบางสั่นน้อยๆ

“เอามือของเจ้าออกไปนะ!” ปลายเสียงหวานสั่นจนรู้สึกได้ มือเล็กกำเสื้อคนตรงหน้าแน่นอย่างต้องการบังคับร่างกายไม่ให้คล้อยตาม แค่จูบธรรมดาก็จะแย่อยู่แล้ว หากจีรยงยังสัมผัสเขามากกว่านี้ไม่พ้นสุดท้ายคงเป็นเขาเองที่ปฏิเสธคนคนนี้ไม่ได้

เอาเข้าจริง เวลานี้ซอนอินก็ปฏิเสธชองจีรยงไม่ได้อยู่แล้ว ที่ไม่อยากจะยุ่งด้วยอีกก็เพราะกลัวว่าหากนานวันเข้า ความรู้สึกของเขาจะยิ่งน่ากลัวมากขึ้น หากการโอนอ่อนคล้อยตาม แปรเปลี่ยนเป็นความต้องการจนขาดไม่ได้ วันนั้นคิมซอนอินคงได้เจอความเจ็บปวดครั้งใหญ่แน่

ถ้าคิดจะทรมานกัน ขอเป็นแค่ร่างกาย ไม่ใช่หัวใจได้ไหม...

“เป็นอะไรไป? นึกกลัวขึ้นมาหรือไง?” จีรยงมองคนที่หยุดขัดขืนในวงแขน เขาละมือออกจากต้นขานุ่มแล้วจับปลายคางมนให้เงยขึ้นสบตา ทว่าดวงตาสวยไม่จ้องมองตอบ “หรือเจ้ากำลังคิดว่าข้าสนใจเจ้าจริงๆ ถึงได้ยอมยืนนิ่งอย่างนี้?”

คำพูดนั้นทำให้นัยน์ตาสีนิลตวัดมองอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากบางเม้มแน่นก่อนจะเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเดือดดาล “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เคยแม้แต่จะชายตาแลเชลยต่างแคว้นอย่างข้า แต่ก็อย่างที่เจ้าเคยบอก ข้าจะทำอะไรได้ในเมื่อมันเป็นความต้องการของเจ้า บอกไว้ก่อนเลยนะชองจีรยง ต่อให้เจ้าทรมานข้าแค่ไหน ข้าก็ไม่รู้สึกรู้สากับสิ่งที่เจ้าทำแม้แต่น้อย เพราะข้ารู้ดีว่าคนอย่างเจ้ามันร้ายกาจและต่ำช้าแค่ไหน!!” ออกจะพูดเกินไปสักนิด แต่ตอนนี้ซอนอินไม่สนอะไรทั้งนั้นนอกไปจากความโมโหที่มีต่อคนตรงหน้า

จีรยงรู้ว่าเขารู้สึกอย่างไรถึงได้แกล้งกันอย่างนี้ รู้ว่าเขาไม่อาจปฏิเสธมือคู่นั้นได้แต่ก็ยังแกล้งไม่สิ้นสุด อยากจะให้เชลยคนนี้ยอมศิโรราบถึงขั้นไหนกันคนผู้นี้ถึงจะพอใจ? ต้องยกร่างกายและวิญญาณให้เลยไหมถึงจะสมใจอยาก ถ้าอย่างนั้นก็ฆ่ากันไปเลยสิ! จะศึกสงครามหรือเชินอันเขาก็ไม่สนทั้งนั้น ที่ผ่านมาทั้งชีวิตตัวเขาก็ไม่ได้มีความสุขอะไรอยู่แล้ว เสด็จแม่มีน้องชายอยู่แล้วทั้งคน ยังจะต้องการลูกที่ตัวเองขังลืมไว้ที่วังหลังอีกทำไม อย่างไรเสียสุดท้ายแล้วคนที่จะปกครองเชินอันก็ไม่ใช่นักบวชอย่างวังชอนซา ตำแหน่งงี่เง่าที่เขาเป็นอยู่นี่อยู่ดี!

ความเสียใจและความโกรธตีกันจนยุ่งไปหมด อดีตและปัจจุบันกำลังทำให้คนที่ไม่เคยเจอเหตุการณ์ความวุ่นวายจากโลกภายนอกรู้สึกสับสนจนคิดอะไรไม่ออก อยู่ที่เชินอันก็ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไร อยู่ที่ฮานึลก็เป็นแค่เชลยศึกไร้อำนาจ ถูกใครต่อใครกำหนดหนทางชีวิตที่ตนไม่ต้องการแม้แต่น้อย ไม่คิดจะถามความเห็นของเขา ไม่สนใจความต้องการที่แท้จริง ชีวิตที่ไร้อิสระอย่างนี้จะมีค่าให้รักษาไว้อีกทำไม

ทุกคนใช้เขาเป็นเครี่องมือในการไขว่คว้าความต้องการของตนเอง เขาเป็นวังชอนซาให้เสด็จแม่ก็เพราะเสด็จแม่อยากให้ชนเผ่ามีผู้สืบทอด เขาถูกจับมาฮานึลก็เพราะชองจีรยงต้องการทำศึกกับเชินอัน

ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว มันก็คงไม่ผิดนักหากเขาจะทำลายความต้องการพวกนั้น

...พอเสียที ทั้งความเหงาจากครอบครัว ความเจ็บปวดจากชองจีรยง ในตอนนี้ตัวเขาเป็นอะไรไปแล้วกันแน่ ซอนอินยังไม่อาจเข้าใจด้วยซ้ำ รู้เพียงแต่ว่า หากเขายังมีลมหายใจต่อไป วันข้างหน้า หัวใจของเขาจะต้องเจ็บปวดอย่างสุดแสนจากความรู้สึกที่เขาไม่รู้จักพวกนี้เป็นแน่

หัวใจของเขากำลังจะถูกครอบงำด้วยผู้ชายคนนี้...
 

“ไม่รู้สึกรู้สางั้นหรือ? ดี! งั้นเจ้าอย่ามาเสียใจภายหลังแล้วกัน!!” สิ้นเสียงทุ้มที่ตะโกนก้อง ข้อมือบางก็ถูกฉุดกระชากไปทางห้องนอนในทันที ท่ามกลางความตกตื่นของนางกำนัลสาวที่รีบวิ่งเข้ามาดูเพราะสุรเสียงดังกังวานเมื่อครู่ จีรยงก็หันไปตวาดเสียงดังไม่ให้ใครเข้ามายุ่ง ก่อนจะกระแทกประตูปิดโดยแรง

ซอนอินถูกจับโยนลงบนเตียงอย่างรุนแรง จนร่างบอบบางนั้นกระแทกไปด้านข้างชนกับกำแพงห้อง มือเรียวทั้งสองข้างกำผ้าปูเตียงแน่น ขณะที่สายตาฉายแววไหวระริกด้วยความกลัวจ้องมองร่างสูงใหญ่ที่ค่อยๆ เคลื่อนกายเข้ามาใกล้ จนเงาร่างของคนผู้นั้นทาบทับลงมาบนตัวของเขา ราวกับว่า ไม่มีทางใดที่เขาจะหนีพ้นเงื้อมมือของรัชทายาทแห่งฮานึลได้เลย

 
“เจ้าว่าง่ายอย่างนี้ก็ดี เพราะข้าต้องการให้เจ้าเจ็บปวดทั้งตัวและหัวใจ ให้ราชครูงี่เง่านั่นได้รู้ว่า กล้าเล่นกับคนของข้า ข้าก็จะเล่นกับคนที่มันเป็นห่วงที่สุดเหมือนกัน!!!”
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 


จบตอน

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-08-2016 13:40:51 โดย KimYoonBe »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
 :mew4: :mew4: :mew4: :mew4: :mew4: :mew4:
เราจะรอวันวังชอนซาเอาคืนจีรยง
 :fire: :fire: :fire: :fire: :fire: :fire: :fire: :fire:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:




ออฟไลน์ mholic

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :z6: แล้วองค์รัชทายาทจะรู้ซึ้ง
ถ้านางเอกท้องได้คงจะสนุกพิลึกกกก  :laugh:

ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
บทที่ 10(NC)


ข้อมือขาวทั้งสองข้างถูกมัดด้วยผ้าคาดเอว ปลายสุดของผ้านั้นผูกแน่นกับหัวเตียงขึงร่างบอบบางไว้ไม่ให้ขยับหนี เรียวขาขาวภายใต้อาภรณ์ที่ถูกกระชากออกหลุดลุ่ยจนเปิดเผยเรือนกายผุดผ่องนั้นพยายามต่อต้านร่างสูงใหญ่ที่ขึ้นคร่อมอยู่ด้านบนให้ออกห่างอย่างสุดกำลัง

ท่าทางปัดป้องตัวเองที่ไร้ความหมายของหงส์งามนำพาให้องค์รัชทายาทหนุ่มปล่อยเสียงหัวเราะทุ้มห้าวดังก้องไปทั่วทั้งห้อง ดวงเนตรคมกร้าวโลมไล้เรือนกายขาวนวลอย่างหยาบโลน

“เมื่อครู่เจ้ายังยอมนอนเฉยอยู่แท้ๆ ตอนนี้นึกกลัวขึ้นมาแล้วหรืออย่างไร?”

ซอนอินกัดฟันแน่นเงยขึ้นสบสายตาคนด้านบน รอยยิ้มเย้ยหยันกับดวงตาคมกริบที่จ้องมองลงมานั้นเต็มไปด้วยราคะอันรุนแรงที่มีต่อร่างกายของเขา เป็นสายตาที่เขาไม่เคยรู้จัก และเป็นสายตาที่ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวต่อสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ไม่ว่าชองจีรยงจะทำอะไรกับเขา จะเป็นการทรมานร่างกายด้วยวิธีใดก็ตาม ในตอนนี้ซอนอินสัมผัสถึงกลิ่นอารมณ์ตัณหาได้อย่างไม่ต้องให้ใครมาบอก สิ่งที่เขาไม่รู้จักคือเรื่องพวกนี้ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร

ทว่า อย่างไรแล้ว สำหรับซอนอิน เรื่องบนเตียงเป็นเรื่องที่แปลกใหม่สำหรับตนที่เป็นผู้นำชนเผ่าและถือคำสัตย์ด้วยกายบริสุทธิ์ต่อแท่นบูชาทุกครั้งที่มีพิธีสวดสรรเสริญเทพเจ้า ทุกคนล้วนแล้วแต่หลีกเลี่ยงความแปดเปื้อนเช่นนี้ให้แก่วังชอนซามิให้ได้รับรู้ จำกัดการเปิดเผยใบหน้าต่อปวงชน มีวิถีชีวิตเพียงตำหนักในวังหลัง เก็บเนื้อเก็บตัวโดยแม้แต่ราชครูยองจูเองยังไม่เคยแตะต้องตัวเขาหากไม่จำเป็นเลยสักครั้ง แล้วการที่มาถูกชองจีรยงคร่อมทับไว้อย่างนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่ซอนอินจะไม่รู้สึกหวาดกลัว

แต่ถึงกระนั้น เขาก็ไม่มีทางเผยความกลัวให้คนกักขฬะผู้นี้ได้เห็นเป็นอันขาด

“เหตุใดข้าต้องกลัวเจ้า? นอกเสียจากว่าข้าจะขยะแขยงเจ้ามากจนทนไม่ได้ก็เท่านั้น อึก!!!” พลันลำคอเพรียวถูกบีบรัดโดยแรง ไม่มีการผ่อนแรงแม้แต่น้อย ลมหายใจที่ถูกตัดขาดทำให้เรี่ยวแรงที่มีน้อยนิดหมดไปด้วย

“ปากกล้าดีนี่ วังชอนซา” ใบหน้าคมโน้มลงมาใกล้ เขาแสยะยิ้มใส่ดวงตาฉ่ำน้ำเพราะขาดอากาศหายใจ มือหยาบจากการจับดาบมาตลอดช่วงชีวิตลากไล้ไปบนผิวแก้มนุ่ม “ผิวพรรณเจ้าดีกว่าพวกหญิงนางโลมเสียอีก แต่น่าเสียดาย ที่ความงามของเจ้าจะต้องกลายเป็นของข้า ฮึ มาดูกันซิว่า หลังจากที่นักบวชอย่างเจ้าถูกข้าช่วงชิงความบริสุทธิ์ไปแล้ว ยังจะมีผู้ใดให้ความเคารพเจ้าได้อีก” จีรยงยิ้มเยียบเย็นพลางผ่อนแรงที่บีบรัดลำคอ ก่อนเปลี่ยนเป็นลูบไล้แผ่วเบา

“ข้าว่า คนที่เจ้าจะต้องขยะแขยงจนทนไม่ไหว คงไม่ใช่ข้า แต่เป็นตัวเจ้าเองเสียมากกว่า คิมซอนอิน”

สิ้นคำพูดนั้น ยอดอกสีอ่อนก็ถูกดึงขึ้น ก่อนจะถูกบีบเคล้นคลึงรุนแรง

“อ่ะ!!!!”

ความรู้สึกที่ซอนอินไม่รู้จักเข้าจู่โจมร่างกายของเขาพร้อมกับความเจ็บปวดตรงบริเวณที่ถูกสัมผัสอย่างฉับพลัน ราวกับมีหัวใจอีกสองดวงเต้นกระหน่ำอยู่ที่เนินอกทั้งสองข้าง ไม่เคยเห็นปฏิกิริยาของตนเองแปลกประหลาดไปได้ถึงเพียงนี้ เพียงแค่ถูกนิ้วแข็งคู่นั้นบีบสัมผัส เนินเนื้อเม็ดเล็กก็เต้นตุบชูชันขึ้นมาคล้ายไม่ใช่ร่างกายตนเอง เมื่อทนมองความผิดแปลกที่เกิดขึ้นไม่ได้ ดวงหน้าสวยก็เบือนหนีไปด้านข้าง เปิดทางให้ริมฝีปากร้อนระอุดุจแสงอาทิตย์ที่แตกต่างจากท่าทีการพูดที่แสนเยียบเย็นราวภูเขาน้ำแข็งได้กดแนบประทับลงมาที่ซอกคอขาว

ซี่ฟันคมขบกัดผิวนุ่มบนลำคอที่สั่นเทิ้ม ลากปลายลิ้นวนเวียนสองสามครั้ง ก่อนจะกดน้ำหนักลงไปแล้วฝังคมเขี้ยวทิ้งไว้เป็นวงกว้างราวกับราชสีห์ตีตราเหยื่อตัวน้อยให้ได้รู้ถึงชะตากรรมว่าไม่มีทางใดที่จะหนีรอดไปได้

เลือดสีแดงไหลซึมออกมาจากช่วงคอขาว ความเจ็บนั้นมีมากจนเสียงหวานร้องลั่นออกมา

ร่างสูงยืดแผ่นหลังขึ้นตรง เขาลูบเบาๆ ไปบนบาดแผลสดอย่างนุ่มนวล อ่อนโยน ทว่าสิ่งที่รัชทายาทหนุ่มได้เอ่ยออกมาขณะปลดอาภรณ์ตัวเองออกนั้นกลับเป็นดั่งมีดแหลมคมที่กำลังกรีดลึกลงบนเรือนร่างบอบบางก็ไม่ปาน “แม้ว่าร่างกายเจ้าจะยั่วกิเลสข้าได้มากเพียงไรก็ตาม แต่อย่าได้คิดว่าข้าจะพิศวาสเจ้า ในเมื่อเจ้าเป็นเชลยศึกของข้า การจะเล่นกับเหยื่อ ย่อมต้องเล่นให้ถึงที่สุด ...เจ้าว่าเช่นนั้นไหม? องค์วังชอนซา”

น่ากลัว... รอยยิ้มช่างน่ากลัวนัก ซอนอินจ้องมองคนที่นั่งคร่อมตนและกำลังปลดเสื้อผ้าออกอย่างเชื่องช้าด้วยความรู้สึกที่หวาดกลัวอย่างแท้จริง ชองจีรยงในเวลานี้ ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ร้ายที่สนุกกับการล่าเหยื่อเลยแม้แต่น้อย

เพียงแค่ได้เห็นแผ่นอกกำยำเปลือยเปล่าปรากฏแก่สายตา ซอนอินก็ทนมองไม่ได้แล้ว นับประสาอะไรกับสัดส่วนที่แสดงถึงความปรารถนาของอีกฝ่ายในเวลานี้กันเล่า คนตัวเล็กรีบหลับตาแน่นหลีกหนีภาพเหล่านั้นทันที

อากัปกิริยาของคนสวยนั้นทำเอาจีรยงอดจะนึกขันขึ้นมาไม่ได้ บนแผ่นดินนี้ยังจะมีคนที่ไร้เดียงสาต่อการร่วมสัมพันธ์ทั้งที่อายุก็ไม่ใช่น้อยแล้วอีกหรือ ต่อให้คิดว่าเป็นวังชอนซาที่ถือศีลด้วยกายบริสุทธิ์ก็เถอะ แต่ท่าทางที่เห็นอยู่ตอนนี้ เป็นสิ่งที่รัชทายาทหนุ่มไม่คิดมาก่อนว่าจะไร้ประสบการณ์ได้ถึงเพียงนี้

แน่นอนว่าจีรยงไม่รู้ว่าการรุกซอนอินในห้องสรงน้ำคืนวันนั้นจะเป็นครั้งแรกที่ซอนอินรู้จัก ‘การช่วยตัวเอง’ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ในเวลานี้ ซอนอินจะดูตื่นกลัวกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น

น่าสนุกนัก! จีรยงจ้องมองผิวแก้มแดงปลั่งราวกับเด็กสาวแรกรุ่น ก่อนจะไล้สายตาลงตามเรือนกายขาวหมดจดตรงหน้า ก่อนหน้านี้เขากำลังเดือดจัด อารมณ์คุกรุ่นจนไม่ทันได้มองอย่างละเอียดว่าหงส์ตัวนี้นั้นมีความสวยงามเพียงใด ...ใช่ สวยงาม เขาไม่ปฏิเสธว่าคิมซอนอินมีรูปโฉมงดงามมากกว่าใครเท่าที่เขาเคยได้เห็นมา

มือใหญ่เกี่ยวอาภรณ์สีขาวที่ปกปิดช่วงล่างอย่างหมิ่นเหม่นั่นออก ทำเอาคนที่นอนหลับตาอยู่สะดุ้งเฮือก พยายามบิดกายหนีสายตาคมที่กำลังจ้องมองด้วยความอับอายอย่างที่สุดที่ตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบถึงเพียงนี้

จีรยงจับกดเรียวขาเล็กด้วยหน้าแข้งของตน ...หึ แค่ได้เห็น อารมณ์ของเขาก็แทบจะถึงจุดแล้ว เป็นร่างกายที่ปลุกอารมณ์ในเพศรสได้ดียิ่งนัก

“หยุดนะ! อย่ามอง!!!!” เงียบมาตั้งนาน กลับมาตะโกนขัดขืนเอาตอนนี้

“หน้าบางเสียจริงนะ แต่ข้ารับประกันได้ว่า อีกเดี๋ยว เจ้าจะหน้าบางน้อยลงกว่านี้เยอะ”

“เจ้า...เจ้าจะทำอะไร”

“ทำให้เจ้ากลายเป็นผู้หญิงของข้าน่ะสิ” ทั้งที่พูดคำน่าเกลียดออกมาแท้ๆ แต่เจ้าตัวกลับยิ้มกว้างราวกับพูดเรื่องดินฟ้าอากาศได้น่าโมโหเป็นที่สุดในสายตาของซอนอิน

“ชองจีรยง! เจ้ามันต่ำช้าที่สุด!! เจ้ามันทุเรศ!!! เจ้ามัน...อื้อๆๆๆๆๆ”

จูบหนักๆ ถูกประกบลงมา ดวงตากลมโตเบิกกว้างกลอกกลิ้งซ้ายทีขวาทีอย่างทำอะไรไม่ได้ นานเข้าก็ได้แต่ปิดเปลือกตาลงเมื่อเรียวลิ้นนั้นถูกเกี่ยวกระหวัดจนหูอื้อตาพร่า จะคิดอะไรก็ดูเหมือนจะบินหนีออกไปหมดพร้อมเสียงจูบที่ดังก้องอยู่ในหูเพียงเท่านั้น

“ข้าจะไม่ปิดปากเจ้าหรอกนะ ดังนั้น เจ้าจะร้องห้ามก็ดี ร้องด่าข้าก็ดี จะร้องดังแค่ไหนข้าก็พร้อมจะรับฟังทั้งนั้น ยิ่งถ้าเจ้าร้องครวญครางด้วยแล้วละก็ ข้ายิ่งยินดีจะรับฟังและทำตามที่เจ้าร้องขอแต่โดยดีเชียวล่ะ!”

“ข้าไม่มีวันร้องครวญคราง! เจ้าอย่าได้ฝัน... อ่ะ อื๊อออออออ” ยังไม่ทันขาดคำ คนสวยก็เผลอหลุดเสียงหวานออกมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว

จีรยงบดจูบลงกับหน้าท้องแบนราบใต้สะดืออย่างไม่เบานัก ยิ่งลิ้นร้อนลากลงต่ำมากเท่าไหร่ ร่างบางก็ยิ่งสั่นเทิ้มไปทั่วทั้งสรรพางกาย ความรู้สึกราวถูกฉุดลงสู่ห้วงเหวสูงชันท่วมท้นขึ้นมาจากแนวสันหลัง ก่อนกระจ่ายไปทั่วทั้งร่าง จุดบนหน้าอกที่ถูกปลายนิ้วหยาบกดคลึงนั้นตอบสนองจนแข็งขึงสู้รับการสัมผัสอย่างที่ซอนอินไม่อาจห้ามความรู้สึกแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นนี้ได้เลย

ทั้งที่เป็นร่างกายของตนเองแท้ๆ แต่ตอนนี้เขากลับไม่เข้าใจร่างกายนี้เลยสักนิดเดียว!

ท่ามกลางความสับสนที่ก่อตัวขึ้นนั้น ความรู้สึกบางอย่างจากส่วนลึกภายในร่างกายของซอนอินก็แล่นปราดขึ้นมาตามกระดูกสันหลัง ราวสายฟ้าที่ฟาดผ่านลงมาอย่างฉับพลัน

“หึ นักบวชอย่างเจ้าก็ความรู้สึกไวเหมือนกันนี่?”

“ม...ไม่ใช่!!!.......”

ซอนอินตะโกนกลับด้วยความอับอายและความโกรธที่ถูกคำพูดของคนตรงหน้ากลั่นแกล้งไม่สิ้นสุด

“ใช่หรือไม่ใช่ เจ้าก็ดูเอาเองแล้วกัน” ทันทีที่สัดส่วนที่เพิ่งตื่นตัวถูกกอบกุมด้วยมือหยาบใหญ่ เสียงหวานก็กระตุกครางออกมา รัชทายาทหนุ่มยกยิ้มชั่วร้าย ก่อนจะเริ่มขยับมือช้าๆ

“ฮ๊ะ อ่ะ!!! อื้อออออ”

“ว่าอย่างไรเล่าองค์วังชอนซา ยังจะบอกว่าไม่ใช่อีกหรือ?”

เส้นผมสีดำยาวยุ่งเหยิงแผ่สยายไปทั่วเตียง ดวงหน้าแดงก่ำแหงนเงยขึ้นสูงอย่างควบคุมไม่ได้ เรียวขาขาวถูกจับแยกออกกว้าง จีรยงละมือลงจับต้นขานุ่มไว้แล้วเอ่ยเย้าให้เจ้าตัวได้เห็นถึงส่วนไวสัมผัสนั้นกำลังชูชันขึ้นมาจนหยาดน้ำใสเปียกชุ่มอยู่ตรงส่วนปลาย ซอนอินแทบอยากจะร้องไห้ออกมาด้วยความรู้สึกมากมายที่หมุนวนเป็นมวลสารอยู่ภายในท้องน้อย แน่นอนว่าประสบการณ์การช่วยตัวเองนั้นเคยผ่านมาแล้ว แต่การถูกมือของคนอื่นมาจับต้องจนเกิดความรู้สึกและอารมณ์ได้อย่างนี้มันเกินจะทนรับไหว

แม้ร่างกายของบุรุษเพศจะตอบสนองรุนแรงและรวดเร็วด้วยการกระตุ้นนั้นเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับซอนอินแล้ว ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ทำใจกับเรื่องนี้ไม่ได้ มันเหมือนราวกับว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่ของตนอีกต่อไปแล้ว ซอนอินไม่สามารถควบคุมร่างกายนี้ได้เลยแม้แต่น้อย

น้ำตาเม็ดใสบนดวงหน้าแดงซ่านของซอนอินนั้นกระตุ้นอารมณ์ของคนมองให้เกิดอารมณ์อยากจะบีบบังคับทุกอย่างมาไว้ในครอบครองโดยเร็ว จีรยงขบกรามอย่างนึกฉุนเมื่อพบว่าร่างกายของเขาดูจะตื่นตัวและต้องการเชลยคนนี้มากกว่าที่ตนคิดไว้ ด้วยความที่ไม่ต้องการให้เชลยแห่งเชินอันมาเป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์อยู่เหนือการควบคุมของตน ดังนั้นความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นในจิตใจของรัชทายาทหนุ่มอยู่นี้นั้นจึงสร้างความไม่สบอารมณ์แก่เจ้าตัวอย่างที่สุด

แววตาคมแข็งกร้าวขึ้นมาทันทีอย่างเห็นได้ชัด ร่องรอยของการนึกสนุกที่เผลอไผลเมื่อครู่แปรเปลี่ยนกลับไปเป็นสายตาที่เย็นชาเช่นเดิม จีรยงปลุกเร้าสัดส่วนกลางลำตัวของร่างบางอีกครั้ง

สัมผัสจากฝ่ามือร้อนที่เปลี่ยนไปทำให้ซอนอินรู้สึกทรมานยิ่งกว่าเดิม ทั้งจังหวะและแรงมือเต็มไปด้วยความหนักหน่วง ไม่มีความอ่อนโยนเลยแม้สักนิด และในที่สุด การกระตุ้นปลุกเร้านั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นกระแสคลื่นความเร่าร้อนที่แผ่กระจ่ายไปทั่วทั้งเรือนร่าง ทุกจังหวะที่ความรู้สึกพุ่งขึ้นสูง สะโพกของซอนอินก็ขยับสูงขึ้นด้วยเช่นกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ ไม่นานนัก ของเหลวอุ่นร้อนจากส่วนลึกสุดของร่างกายก็เอ่อท่วมท้นออกมา พร้อมกับที่เรือนร่างบางบิดเร่ากระตุกเกร็ง

“ฮึก... ฮ๊ะ!!”

ซอนอินรู้สึกเหมือนในหัวขาวโพลนไปหมดในช่วงเวลาสั้นๆ ซ้ำร่างกายก็เหมือนจะไร้เรี่ยวแรง ก่อนจะได้สติที่มีเพียงน้อยนิดเพื่อพบว่าทั่วทั้งหน้าท้องของตนนั้นเต็มไปด้วยหยาดน้ำเหนียวข้นสีขาวขุ่น

ความอับอายแผ่กระจ่ายไปทั่วทั้งดวงหน้าสวย ซอนอินหอบหายใจจนแผ่นอกบางสะท้อนขึ้นลง

สะโพกเล็กถูกตรึงไว้ด้วยเข่าที่แทรกระหว่างขาทั้งสองข้าง ก่อนจะถูกมือใหญ่จับเรียวขานั้นแยกออกกว้าง จีรยงรั้งต้นขาข้างหนึ่งของซอนอินขึ้นเพื่อให้เรียวนิ้วยาวได้สำรวจช่องทางคับแน่นได้สะดวก หยาดน้ำสีขาวขุ่นที่ไหลล้นลงมาถึงด้านหลังช่วยอำนวยความสะดวกให้ แต่มันก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้ซอนอินไม่รู้สึกเจ็บได้เลย

“ม...ไม่ ฮึก....เจ็บ...อย่า!!”

ศีรษะเล็กส่ายไปมา ความรู้สึกแปลกประหลาดก่อตัวขึ้นอีกครั้งแล้ว ในที่ที่เขาเองยังไม่เคยได้เห็นสักครั้ง คนตรงหน้ากลับสัมผัสมันอย่างกับเป็นเรื่องปกติ ซ้ำยังสอดปลายนิ้วรุกล้ำเข้ามาจนนึกอยากจะอาเจียนด้วยความที่ไม่เคยถูกกระทำเช่นนี้มาก่อน แต่ที่แย่ยิ่งกว่าสิ่งใด คือความรู้สึกเสียวซ่านที่เกิดขึ้น นอกจากความเจ็บที่มีแล้ว ซอนอินยังรู้สึกเหมือนร่างกายต้องการสัมผัสพวกนั้นมากกว่านี้ ทั้งภายในและภายนอกล้วนเป็นไปตามการควบคุมของร่างสูงทั้งสิ้น

นี่เขาเป็นอะไรไปกันแน่?! ตัวเขากำลังถูกทำลายศักดิ์ศรี ร่างกายถูกกระทำราวกับเป็นพวกหญิงในหอนางโลมแล้วทำไม เขาถึงเกิดความรู้สึกยินดีกับสัมผัสของชองจีรยงได้ถึงเพียงนี้ ร่างกายนี้เป็นอะไรไปแล้ว ทำไมเขาถึงไม่สามารถควบคุมมันได้เลย นี่เขากำลังสุขสมกับความอัปยศที่เกิดขึ้นงั้นหรือ?

ซอนอินเบี่ยงหน้าเอนซบกับฟูกนอน น้ำตามากมายจากความรู้สึกที่ไม่มีวันเข้าใจไหลทะลักออกมาจากดวงตาคู่สวย เปลือกตาบางปิดลงอย่างไม่อาจทนเห็นสภาพร่างกายที่ทรยศได้อีกแล้ว รวมถึงริมฝีปากบางที่ถูกซี่ฟันเล็กปิดผนึกไว้เพื่อไม่ให้ตนได้เผลอร้องออกมาอีก แม้ร่างกายจะรู้สึกดีแค่ไหน แต่ในความเป็นจริง ในส่วนลึกสุดของหัวใจ ซอนอินรับรู้เพียงความเจ็บปวดและความทรมานแต่เพียงเท่านั้น

เห็นคนใต้อาณัติมีท่าทางต่อต้าน ร่างสูงก็ถอนนิ้วออกจากส่วนลึกล้ำ จับเข่าทั้งสองข้างงอขึ้นจนชิดแผ่นอกบางเรียบ ยกสะโพกเล็กให้ลอยขึ้นสูง ก่อนจะแทรกกายร้อนผ่าวเข้าไปในคราวเดียวอย่างไม่สนใจว่าในที่ตรงนั้นจะพร้อมรับได้หรือไม่

“ฮึก!! อ๊า!!!!!!” ริมฝีปากบางชุ่มไปด้วยเลือดสีแดงสด ซอนอินทนเก็บเสียงไว้แล้ว แต่ก็ไม่ได้ผล เขากรีดเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทรมาน

รัชทายาทหนุ่มดันตัวเองเข้าสู่ภายในอันอบอุ่นมากยิ่งขึ้น และได้พบว่า เชลยแสนงามคนนี้นั้นมีอะไรบางอย่างที่สามารถกระตุ้นความต้องการของเขาได้ไม่เหมือนกับใครคนอื่น เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกอยากจะปลดปล่อยออกมาโดยไม่ต้องเสียเวลาปลุกอารมณ์เลยแม้แต่น้อย

ทว่า ตัวของวังชอนซานั้นไม่สามารถรองรับเขาได้ทั้งหมด เพียงแค่ครึ่งหนึ่ง ส่วนนั้นก็บีบรัดแน่นเหลือเกิน ความอึดอัดก่อตัวขึ้นบริเวณหน้าท้องแข็งแกร่ง คิ้วเข้มขมวดยุ่งเมื่อความต้องการทวีความรุนแรงมากขึ้น รู้ดีว่าร่างกายบอบบางนี้ยังไม่สามารถตอบรับความปรารถนาของตนได้ แต่ก็ไม่อาจทนได้อีกต่อไปแล้ว เสน่ห์และความยั่วยวนอย่างไร้เดียงสาของคิมซอนอินปลุกตัณหาและราคะของมังกรตัวใหญ่ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของท้องนภาแห่งฮานึลให้ขึ้นตื่นขึ้นได้อย่างที่เจ้าตัวไม่ได้รู้สึกเช่นนี้มานานนักหนา

หรืออาจจะเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ ที่จีรยงไม่อาจควบคุมตัวเองได้เช่นนี้

เขากดกายแทรกลึกฝืนความคับแคบที่บีบรัดแน่น ทันทีที่ผิวเนื้อนุ่มอ่อนบางถูกขยายอย่างไร้ความอ่อนโยน เลือดสีแดงสดก็ไหลซึมออกจากส่วนที่ปริแยกฉีกขาดลงตามผิวเนื้อขาวนวล พร้อมกับเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดจากคนร่างบาง

“อ๊า!!!!!”

หยดน้ำตามากมายเอ่อทะลักออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ความเจ็บจากส่วนล่างด้านหลังทำให้เรือนกายบางสั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่อยู่ เรียวขาเล็กสั่นระริกด้วยความเจ็บอย่างหาที่สุดไม่ได้ ซอนอินรู้สึกเหมือนถูกฉุดกระชากร่างกายออกเป็นสองซีก บาดแผลในส่วนลับสายตาค่อยๆ พรากสติที่ลางเลือนไปอย่างช้าๆ

เจ็บจนทนไม่ไหว... ซอนอินได้ยินเสียงความเจ็บปวดประท้วงขึ้นมาดังก้องอยู่ในหัว ทุกจังหวะที่ถูกความร้อนรุ่มดึงดันเข้ามา ราวกับเส้นประสาทแต่ละเส้นขาดผึ่งออกจากกัน ความว่างเปล่าและหมอกควันค่อยๆ โรยตัวกดทับลงมาจนรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก ไม่ว่าจะพยายามไขว่คว้าหาอากาศอย่างไร ก็ดูเหมือนจะไร้หนทาง ไม่นานนัก เมื่อความปรารถนาของคนด้านบนได้เข้ามาจนลึกสุด ซอนอินก็เห็นเพียงความว่างเปล่าตรงหน้า ก่อนหมดสติไปทั้งอย่างนั้น
 

ท่ามกลางมวลอากาศแสนอึดอัดและกลิ่นหอมหวานรุนแรงในรสเพศแผ่กำจ่ายไปทั่วห้อง ร่างสูงใหญ่ของรัชทายาทหนุ่มแห่งฮานึลก็ได้ใช้ความเหนืออำนาจในทุกอย่างที่มีครอบครองย่ำยีร่างบอบบางของบุตรชายองค์โตแห่งเชินอันที่สลบไสลอย่างไม่รู้จบ ครอบครองครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งเลือดสีแดงที่ไหลซึมไม่หยุด ทั้งหยาดหยดแห่งกามารมณ์ที่ล้นทะลักจากการปลดปล่อยในกายเย้ายวน ล้วนแล้วแต่ยิ่งเพิ่มอารมณ์รุนแรงแก่ชายหนุ่มได้มากพอที่จะไม่สนใจว่าคนเบื้องล่างของตนนั้นจะสลบและตื่นขึ้นเพราะความเจ็บไปแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

จวบจนกระทั่งความมืดมิดของท้องฟ้าครอบงำให้ทุกสิ่งภายในห้องให้จมอยู่ในความมืดสลัว เสียงนกน้อยตัวเล็กในกรงร้องระงมเพราะล่วงเลยเวลาการให้อาหารมาเกือบชั่วยามแล้ว

จีรยงเหยียดร่างโถมกายเข้าหาซอนอินที่นอนหมดสติเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนถอนกายออกมา แผ่นอกหนากระเพื่อมหอบหายใจหนักหน่วง เขามองดูช่องทางบวมช้ำที่มีบาดแผลฉีกขาดน่ากลัว เลือดสีสดที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ ไหลผ่านตามร่องลืบและโคนขาขาวเนียนด้านใน

ต่อให้เป็นหญิงบริสุทธิ์ก็ไม่น่าจะบอบบางถึงเพียงนี้...

หลังจัดแจงเสื้อผ้าของตนเรียบร้อยแล้ว จีรยงก็นั่งลงที่ขอบเตียง เขามองเรือนร่างขาวอมชมพูระเรื่อสีจัดเกือบทุกจุดที่ถูกเขาแตะต้อง ก่อนจะปลดผ้าออกจากข้อมือเล็ก ในตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งเห็นว่า แม้แต่ข้อมือของซอนอินก็บอบบางไม่แพ้ส่วนอื่นของร่างกาย รอยช้ำแดงอมม่วงนั้นน่ากลัวเกินไปเพียงเพราะผ้าที่มัดรวบไว้ ไหนยังจะรอยกัดของเขาที่ลำคอนั่นอีกเล่า ที่ถึงตอนนี้แล้วก็ยังจะมีเลือดซึมออกมา แม้แต่ริมฝีปากบวมช้ำที่เจ้าตัวกัดจนเลือดออกนั่นอีก

เห็นอย่างนั้น จีรยงก็อดคิดไม่ได้ว่าตนเองคงจะรุนแรงมากเกินไปจริงๆ หรือเพราะคิมซอนอินคนนี้มีร่างกายที่อ่อนแอมากเกินไปกันแน่

เป็นบุรุษแท้ๆ แต่กลับอ่อนปวกเปียกเสียยิ่งกว่าอิสตรี ซ้ำยังมีร่างกายที่เชิญชวนเพศเดียวกันเสียอีก ไม่สิ ต่อให้เป็นหญิงใดมาเห็นก็คงอดคิดไม่ได้ว่าอยากได้คนผู้นี้ไว้ในครอบครองเป็นแน่

...หากเขาได้คนที่สวยงามเช่นนี้มาไว้ข้างกายล่ะก็ คงน่ายินดีไม่น้อย

ข้อนิ้วหนาถูกยื่นออกไปซับหยดน้ำใสที่หางตาบาง ก่อนจะหยุดชะงัก จีรยงลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เรียวคิ้วเข้มกดลงด้วยความหงุดหงิดอีกครั้ง เมื่อครู่เขาเผลอคิดไปได้อย่างไรว่าอยากได้เชลยศึกผู้นี้มาไว้ข้างกาย ถึงจะสวยงามเพียงใด แต่ก็เป็นเพียงแค่คนในแคว้นศัตรู ...หากจะได้มาครอบครองนั้นไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่จะให้ความสำคัญไม่ได้ คิมซอนอินจะต้องเป็นเพียงของเล่นสำหรับเขา

โอรสแห่งเชินอันผู้นี้จะเป็นได้ก็แค่ที่ระบายความใคร่ของรัชทายาทแห่งฮานึลเท่านั้น!
 

“ความสวยงามของเจ้า ไม่มีค่าอันใดสำหรับข้าแม้แต่น้อย คิมซอนอิน”
 

จีรยงเดินจากคนบนเตียงไปอย่างไม่เหลียวมองอีกเป็นครั้งที่สอง เขาทิ้งร่างบอบช้ำไว้บนเตียงนั้นโดยไม่แม้แต่จะหาผ้ามาปกปิดร่างกายที่เต็มไปด้วยร่องรอยแห่งการร่วมสัมพันธ์ เขากระแทกประตูออก เดินผ่านสาวใช้ทั้งสองที่รีบลุกลี้ลุกลนถอยห่างจากประตูห้องของคนเป็นนายไปโค้งกายต่ำอยู่ที่ผนังกำแพง

หลังส่งองค์รัชทายาทกลับที่หน้าตำหนักแล้ว นางกำนัลน้อยก็รีบรุดกลับเข้าห้องบรรทมของวังชอนซาอย่างรวดเร็ว และเมื่อได้เห็นภาพเบื้องหน้า ทั้งยอนอา และโซยอนต่างก็ยกมือขึ้นปิดปากด้วยความตกตะลึง สภาพของซอนอินที่พวกนางได้เห็นนั้นช่างน่าเวทนานัก ยามที่ได้ฟังเสียงหวานร้องครวญครางอย่างทรมานอยู่ด้านนอก พวกนางก็รู้สึกใจเสียมากพออยู่แล้ว ยิ่งได้มาเห็นว่านายของตนถูกย่ำยีจนสลบและมีบาดแผลน่ากลัวจนเลือดสีแดงซึมเป็นวงกว้างบนผ้าปูก็ยิ่งรู้สึกหวาดหวั่นใจอย่างที่สุด

“โธ่ องค์วังชอนซา...” ยอนอาครางในคอด้วยสีหน้าเจ็บปวดไม่แพ้น้องสาว ก่อนจะพากันเข้าไปประคองร่างหมดสตินั้นออกจากกองผ้าที่เปรอะเปื้อน โชคยังดีที่ระหว่างนั้นกึมซองได้มาที่ตำหนักโยกัน เด็กหนุ่มจึงเข้าช่วยสองพี่น้องทำความสะอาดเรือนกายของวังชอนซาได้สะดวกขึ้น

 
ทว่า เด็กทั้งสามกลับพบว่าบาดแผลที่เกิดขึ้นนั้น ร้ายแรงกว่าที่พวกเขาคิดไว้มากนัก...
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2


“อึก!”

“เป็นอะไรหรือเปล่าฮีอู?” จีมุนเอ่ยถามพลางเดินเข้าไปประคองร่างเล็กที่อยู่ๆ ก็มีสีหน้าท่าทางเหมือนกำลังจะอาเจียน

จีมุนเพิ่งกลับจากห้องเก็บหนังสือประวัติศาสตร์เผอิญเจอกับฮีอูที่ออกมาเดินเล่นกับเจ้าอิงอิงตัวน้อยที่สวนกลางของวังหลวง พวกเขาจึงพากันเดินกลับมาด้วยกัน

ศีรษะเล็กส่ายเบาๆ ก่อนจะระบายยิ้มกว้างให้คนตัวสูงได้วางใจ ฮีอูผิวปากเรียกอิงอิงที่เอาแต่วิ่งวนเป็นวงกลมไล่งับผีเสื้อกลางคืนให้เข้ามาใกล้ ก่อนจะเอื้อมมือลงยกเจ้าตัวกลมขึ้นอุ้มแนบอก

“องค์ชายไม่ต้องมาส่งหม่อมฉันแล้วก็ได้ ฟ้ามืดแล้ว เกิดพระสนมทรงเรียกหาจะเกิดเรื่อง อีกอย่าง หม่อมฉันคิดว่าจะเดินเล่นต่ออีกสักหน่อย องค์ชายกลับไปก่อนเถิด”

“แต่สีหน้าเจ้าดูแย่ๆ นะ ข้าว่า เจ้าควรจะรีบกลับตำหนัก”

“อีกประเดี๋ยวก็จะกลับแล้วล่ะ” ฮีอูเอ่ยย้ำหนักแน่นอีกครั้งว่าตนไม่เป็นอะไรจริงๆ ก่อนโค้งกายให้องค์ชายเมื่อฝ่ายนั้นตัดสินใจเดินแยกไปอีกทางเพื่อไปยังตำหนักของพระสนมฮีวอนผู้เป็นพระมารดา

ฮีอูเดินเอื่อยอยู่ตรงบริเวณสระบัวขนาดใหญ่ในส่วนหน้าก่อนจะเข้าถึงตำหนักของตน อาการปวดแปลบเกิดขึ้นอีกครั้งจนต้องยกมือขึ้นปิดปาก เขาปล่อยให้สุนัขจิ้งจอกตัวน้อยได้วิ่งเล่นอยู่ใกล้ๆ ก่อนจะย่อกายลงนั่งกอดเข่าอยู่บนสะพานไม้ที่ยื่นออกไปในสระน้ำ

มือเล็กที่ปิดทับริมฝีปากและปลายจมูกอยู่เมื่อครู่ขยับหงายออกเบื้องหน้า แสงจันทร์อ่อนๆ ที่ส่องกระทบลงมาทำให้ดวงตาเรียวเล็กได้เห็นคราบเลือดสีแดงเหนียวข้นอยู่บนฝ่ามือขาวของตน

ฮีอูล้วงหยิบแพรพกขึ้นซับเลือดทั้งที่มือและที่ปลายจมูก เขากดหน้าอกที่พลันเกิดรู้สึกอึดอัดเหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นบีบก้อนเนื้อหัวใจให้แหลกสลายด้วยสีหน้าเจ็บปวดทรมาน ร่างเล็กๆ สั่นสะท้านอย่างเจ็บปวดต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ทว่า ความเจ็บปวดสุดจะทนได้นั้นก็พลันหายไปในเวลาต่อมาอย่างรวดเร็ว

“พิษกำลังออกฤทธิ์แล้วสินะ” เสียงเล็กพึมพำเบาๆ กับตัวเอง ฮีอูซุกแพรพกที่เปื้อนเลือดกลับเข้าอกเสื้อ เขาเว้นจังหวะบังคับลมหายใจให้เป็นปกติ พลางคิดย้อนกลับไปถึงบุคคลที่เป็นผู้แพร่พิษร้ายแรงนี้แก่ร่างกายของตน
 

แต่ไรมา ฮีอูมักจะได้เรียนเรื่องการปรุงยาจากผู้เป็นแม่ตั้งแต่เล็ก ทั้งยารักษาโรคภัยทั้งภายในและภายนอก รวมถึงยาพิษบางประเภทที่แม่ของเขาสอนไว้เพื่อให้เป็นอีกหนทางหนึ่งในการป้องกันตัวเอง ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ฮีอูจะจับผิดสังเกตต่อปฏิกิริยาการรักษาให้กับชายผู้นั้นได้

ราวๆ สามวันที่ฮีอูเอะใจเรื่องบาดแผลของยองจูที่ตนเป็นผู้รักษา เขาไม่รู้ว่ายองจูต้องการอะไรถึงต้องหลอกเขาอย่างนี้ ด้วยความอยากรู้ และเพราะเป็นยองจู ฮีอูจึงทำเป็นไม่สนใจสิ่งหลอกลวงเหล่านั้น จนกระทั่งในวันหนึ่ง เขาบังเอิญเห็นซองยาบางอย่างตกอยู่ที่ด้านหลังของกระท่อมไม้แห่งนั้น เมื่อตรวจดูถึงได้รู้ว่ามันเป็นสมุนไพรบางอย่างที่ตนไม่รู้จัก ในตอนนั้นเองที่ได้รู้ว่า ในทุกวันที่ได้ทานอาหารเที่ยงกับยองจู ชายชราที่อ้างว่าเป็นเจ้าของกระท่อมนั้นจะเทผงยาพวกนี้ลงในหม้อน้ำแกง ...เพื่อให้เขาได้ทานมันอย่างต่อเนื่องทุกวัน

ครั้งที่ฮีอูอาสาเป็นคนทำกับข้าว ยองจูไม่ได้แสดงท่าทีเปลี่ยนไปแต่อย่างใด ทว่า ในตอนกลางคืนของวันนั้น ฮีอูถึงได้รู้ว่า ตนโดนยองจูล่อลวงให้ทานยาพิษนั้นผ่านทางจูบของอีกฝ่าย

แต่ถึงจะรู้อย่างนั้นแล้ว ฮีอูก็ยังคงทำเป็นไม่สนใจ ไม่ว่ายองจูจะต้องการอะไรจากเขา ฮีอูก็ไม่สนทั้งนั้น เพราะสิ่งเดียวที่ฮีอูต้องการ คือการได้อยู่ใกล้ชิดกับยองจู แม้จะรู้ว่าโดนหลอกให้ทานยาพิษพวกนั้นในทุกๆ วันอย่างต่อเนื่องก็ตาม

ทว่า สิ่งที่ทำให้ฮีอูรู้สึกเสียใจกลับไม่ใช่การโดนหลอกด้วยยาพิษ แต่กลับเป็นเพราะเหตุผลที่ฝ่ายนั้นกระทำกับตน ทุกอย่างที่ยองจูทำก็เพื่อต้องการช่วยวังชอนซา ยองจูเป็นคนของเชินอัน เรื่องนี้เขารู้ได้จากตราหยกของคนผู้นั้นที่เขาได้ทำการประทับลงบนหมึกขี้ผึ้งให้เถ้าแก่ที่รู้จักกันเป็นคนตรวจสอบให้ แม้จะเป็นสัญลักษณ์ของเผ่าชินซอง แต่ใครๆ ก็รู้ว่าในเวลานี้ ชินซองเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นเชินอัน และเหตุผลเดียวที่ยองจูทำทั้งหมด ก็มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น คือการช่วยวังชอนซาออกมาจากฮานึล

การใช้ยาพิษกับศัตรูนั้นฮีอูพอเข้าใจ แต่ถึงกับหลอกลวงความรู้สึกของเขาถึงเพียงนี้นั้นมันทำให้ฮีอูเสียใจจนเจ็บปวดไปหมดทั้งหัวใจ ยิ่งคิดว่ายองจูอาจจะมีความรู้สึกดีๆ ต่อวังชอนซาด้วยแล้ว ฮีอูก็ยิ่งรู้สึกเจ็บร้าวในอกอย่างสุดแสน

บุรุษคนแรกที่ทำให้รู้จักคำว่ารัก กลับเป็นคนที่หลอกลวงเขาทุกสิ่งทุกอย่าง

หากไม่ใช่ยองจู หากไม่ใช่เพราะหัวใจดวงนี้ที่รักคนผู้นั้น ฮีอูจะไม่มีวันปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นเครื่องมือการแลกเปลี่ยนเชลยทั้งที่รู้อยู่แก่ใจนี้เลย
 

“เพื่ออะไรกัน...” ดวงหน้างดงามที่จ้องมองผืนน้ำนิ่งสงบนั้นเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาแห่งความเศร้าโศก เสียงเล็กๆ ที่เอ่ยออกมานั้นสั่นเครือไม่แพ้ร่างกาย หากแต่รอยยิ้มบางนั้นกลับปรากฏขึ้นบนผิวน้ำตรงหน้า

ฮีอูยิ้มขืนใส่เงาของตัวเอง “ทั้งหมดที่เรายอมเพื่อความต้องการของท่าน เราทำไปเพื่ออะไร สิ่งที่เราได้รับมีเพียงความหลอกลวง แต่สิ่งที่เราต้องเสียสละกลับเป็นชีวิตของเรา ...วังชอนซาสำคัญกับท่านถึงขนาดต้องแลกด้วยชีวิตของเราเลยอย่างนั้นหรือ? ท่านไม่คิดว่ามันใจร้ายเกินไปสำหรับเราเลยใช่ไหม ความรักของเราที่มอบให้ท่านไม่มีค่าเลยใช่หรือเปล่า ยองจู...”

ดวงหน้าเล็กซุกลงกับท่อนแขนที่ยกขึ้นกอดเข่า เสียงสะอื้นดังแผ่วเบาในอากาศที่เย็นเฉียบ สุนัขจิ้งจอกหิมะขยับกายเข้าใกล้เจ้าของ ก่อนจะบดเบียดตัวเองเข้ากับแผ่นหลังที่สั่นสะท้านอย่างต้องการปลอบ
 

...ยองจู ท่านคิดว่าองค์ชายใหญ่จะทรงยอมแลกชีวิตเรากับเชลยศึกที่แสนสำคัญอย่างนั้นหรือ ชีวิตของเราไม่ได้สำคัญถึงเพียงนั้นเลยแม้แต่น้อย แม้องค์ชายใหญ่จะลุ่มหลงในตัวของเรา แต่หากเป็นเรื่องของบ้านเมืองแล้ว ไม่พ้นที่ชีวิตของเราจะต้องจากไปอย่างสูญเปล่า
 

“ฮึก...ถึงตอนนั้นแล้ว ท่านจะรู้สึกผิดต่อเราไหม ท่านจะเกิดความรู้สึกเสียดายที่เราตายไปหรือเปล่า ยองจู... ฮึก....ฮือ......”
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-

จบตอน

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ lovewannabe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
ตอนแรก ยอมรับว่าสับสน ตัวละครเยอะ ตอนนี้เริ่ม จัดระเบียบความเข้าใจพอได้แล้ว สงสาร ท่านซอนอินอ่ะ รัชทยาท แลดูแปรปรวนชอบกล 

ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
   

บทที่ 11


 

“ฮึก! อึก!!!!”
 
“อ้วกออกมาอีกเพคะ!! อย่าฝืนนะเพคะ!!”
 
เสียงนางกำนัลน้อยสองคนดังโหวกเหวกอยู่ภายในห้องบรรทมของตำหนักโยกัน กระโถนหินเคลือบลวดลายวิจิตรถูกขยับเข้าจ่อริมฝีปากบางซีดอีกครั้งเมื่อคนร่างบางบนเตียงมีอาการสำรอกของเหลวในท้องรุนแรง
 
ยอนอาซึ่งนั่งคุกเข่าอยู่บนเตียงกดน้ำหนักมือลงไปบนแผ่นหลังบางแล้วลูบขึ้นด้วยความกังวล พลางเอ่ยปากบอกคนเป็นนายไม่หยุดว่าให้อ้วกเอาสิ่งที่ตีตื้นขึ้นมาจากช่องท้องออกเสียให้หมด อย่าฝืนทนไว้ ไม่อย่างนั้นทั้งไข้ ทั้งอาการคลื่นไส้ก็จะไม่หายไปเสียที
 
สองวันเต็มมาแล้วตั้งแต่คืนที่องค์รัชทายาทได้ข่มเหงวังชอนซาอย่างทารุณ เป็นสองวันเต็มที่ซอนอินมีไข้หนักรุมเร้า เนื้อตัวร้อนเป็นไฟ คลื่นไส้อยู่ทุกๆ สองชั่วยาม หน้าซีดและเหงื่อผุดตามผิวเนื้อแทบทุกที่ อีกทั้งบาดแผลในส่วนลับก็ยังไม่หายสนิท นางกำนัลทั้งสองพยายามขอร้องกึมซองให้ทูลองค์ชายใหญ่โปรดส่งแพทย์หลวงมาดูอาการบ้างสักคน แต่ก็ไร้ผลเมื่อในเวลานี้ ไม่ว่าจะแพทย์หลวงหรือหมอเกือบทุกคนในเมืองหลวงถูกเรียกตัวให้ไปยังตำหนักรัชทายาทแทบทั้งสิ้น ซ้ำเวลานี้ แม้แต่ตัวกึมซองเองก็ยังเข้าหน้านายเหนือหัวของตนไม่ติดเลยด้วยซ้ำ
 
ว่ากันว่า...คุณชายฮีอูเป็นโรคประหลาด กระอักเลือดจนน่ากลัวว่าจะหมดตัวไปทั้งอย่างนั้น ซ้ำยังไม่ได้สติ รู้สึกตัวทีก็พ่นเลือดเหนียวข้นออกมาอยู่เช่นนั้นแทบทุกครั้ง ไม่ว่าจะหมอเทวดาคนใดก็หาสาเหตุไม่ได้เลยสักคน จนกระทั้งมีชายชราคนหนึ่งซึ่งเป็นนักพรตยาสมุนไพรอาศัยอยู่แทบปลายเขาถูกจับมาที่วังหลวงนั้นได้บอกว่าอาจเป็นพิษชนิดหนึ่งที่ไม่มียารักษาก็เป็นได้ หลังจากนั้นไม่พ้นหนึ่งชั่วยาม นักพรตชราผู้นั้นก็ถูกสั่งประหารทันที
 
...นั่นเป็นตอนที่กึมซองกำลังจะเข้าไปขอร้องนายของตนให้เชิญหมอไปดูอาการวังชอนซาเป็นครั้งที่สองพอดี ได้เห็นอย่างนั้นแล้วก็ไม่กล้า ทั้งสุรเสียง ทั้งสีหน้าและแววตาขององค์รัชทายาทน่าเกรงขามเสียยิ่งกว่าตอนที่พระองค์ออกคำสั่งตีข้าศึกเสียอีก โทซองเองก็ส่ายหน้าว่าไม่ควรเข้าไปตอนนี้ เพราะนอกจากจะไม่ได้ตามที่ร้องขอแล้ว วังชอนซาอาจจะโดนพระอารมณ์ของนายเหนือหัวกริ้วใส่เสียเปล่าๆ
 
ครั้งแรกก็โดนตะวาดใส่ หากขอร้องอีกครั้ง คงไม่ใช่แค่เขาจะได้รับโทษขั้นพื้นฐานแน่ กึมซองเองก็อยากช่วยวังชอนซา แต่ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร ที่โทซองบอกมานั่นก็มีส่วนถูก อารมณ์ขององค์รัชทายาทเพลานี้น่ากลัวเกินกว่าที่จะสนใจคนที่เป็นเพียงเชลยศึก แค่ตอนนี้ก็นับว่าดีแล้วที่พระองค์ไม่ไประบายอารมณ์ใส่ร่างกายบอบช้ำนั้นอีกครั้ง ครั้นจะไปหาองค์ชายรองให้หาทางช่วยเหลือ ด้วยตำแหน่งที่เป็นถึงพระเชษฐา แต่ก็ต้องพบกับความผิดหวัง องค์กษัตริย์เพิ่งออกรับสั่งให้องค์ชายจีมุนเป็นตัวแทนไปยังแคว้นพกซอเพื่อเจราการค้าทางน่านน้ำทะเลเมื่อวันก่อน
 
สิ่งที่เหลืออยู่สำหรับคนในตำหนักโยกันตอนนี้มีเพียงการประคับประคองร่างกายของวังชอนซาไปอย่างตามมีตามเกิดเท่านั้น
 
ซอนอินโก่งคอเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะทรุดฮวบลงกับหมอนใบใหญ่ที่ตั้งพิงหัวเตียงเอาไว้ เขาหอบหายใจหนัก รู้สึกเหมือนอะไรในหัวกำลังจะระเบิดเสียให้ได้ ความร้อนในกายก็เพิ่มขึ้นจนรู้สึกหน้ามืดไปหมด
 
“โซยอนไปเปลี่ยนน้ำมาใหม่ เร็วเข้า” ยอนอาหันไปสั่งความน้องสาว ก่อนจะใช้ผ้าที่พึ่งบิดน้ำหมาดๆ เมื่อครู่เช็ดไปตามใบหน้าชื้นเหงื่อ เรียวคิ้วบางของนางขมวดยุ่งเมื่อพบว่าอุณหภูมิจากตัวของวังชอนซานั้นสูงมากขึ้นจนน่ากลัว ไม่ใช่แค่ร้อนราวกับไฟ แต่นี่ราวกับร่างทั้งร่างของวังชอนซากำลังจะมอดไหม้เสียอย่างนั้น
 
ขณะที่นางกำนัลซับผ้าไปตามใบหน้าซีดขาว ลมหายใจร้อนระอุก็พ่นออกจากริมฝีปากซีดไม่หยุด นัยน์ตาสีสวยปรือปรอยอย่างเหนื่อยอ่อน ตั้งแต่เกิดมา ซอนอินไม่เคยรู้สึกว่าร่างกายตนเองอึดอัดได้เท่านี้มาก่อน อาจจะมีบ้างหากเขาแอบดื่มน้ำจัณฑ์ตอนที่ราชครูยองจูเผลอ แล้วก็เกิดอาการแพ้ หรือจะเป็นตอนที่ถูกองค์ชายสามแห่งพกซอชวนดื่มน้ำจัณฑ์ในงานเลี้ยงนั่น แม้จะรู้สึกว่าแพ้มากกว่าที่ผ่านมา แต่ครั้งนี้กลับรู้สึกแย่กว่ามากไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเท่า
 
เหมือนมีอะไรที่ร้อนมากๆ อยู่ในร่างกาย และมันก็กำลังพยายามขยายตัวระเบิดออกมาอย่างสุดกำลัง
 
...คิดแล้ว ก็อยากอาเจียนอีกรอบ
 
ไม่ทันไร ซอนอินก็ต้องรีบคว้าโถกระเบื้องมาจากโต๊ะข้างเตียงอีกครั้ง
 

 
หลังทำความสะอาดผิวเนียนละเอียดอย่างทะนุถนอมแล้ว นางกำนัลสาวจึงเริ่มแต่งตัวให้ผู้เป็นนายอย่างเบามือที่สุดเพื่อไม่ให้ไปกระทบกระเทือนบาดแผลตามจุดต่างๆ บนเรือนกายขาวที่เต็มไปด้วยผื่นสีแดงเข้ม และร่องรอยของการถูกขบกัดจนได้เลือด ตามข้อมือยังคงมีผิวฟกช้ำให้เห็นสะดุดตา
 
“เอ๋? นี่มัน เหมือนตอนนั้นเลย...” เสียงอุทานลอยๆ ของโซยอนเรียกให้คนเป็นพี่สาวที่กำลังเตรียมเสื้อตัวในสวมให้กับร่างบางต้องอ้อมไปมองตามสายตาของน้องสาว
 
ที่แผ่นหลังบางนั้น ตรงจุดกึ่งกลางของแนวกระดูกสันหลังช่วงบนปรากฏเนื้อผิวคล้ายเกล็ดปลาเรืองแสงสีเงิน เมื่อลองลูบลงไปเบาๆ กลับรู้สึกเพียงผิวเนื้อที่นุ่มลื่นไม่ต่างจากส่วนอื่นๆ สองสาวยิ่งพากันกังวลหนัก
 
“องค์วังชอนซาทรงเจ็บหรือไม่เพคะ?” ยอนอาเอ่ยถามพลางลูบเบาๆ ลงบนแผ่นหลังเปลือยเปล่าที่ปรากฏรอยประหลาด
 
ซอนอินเพียงแค่ส่ายศีรษะตอบ เขารู้สึกเหนื่อยจนแม้แต่จะออกเสียงพูดยังต้องหอบหายใจเข้าลึก อีกทั้งตอนนี้เขายังปวดหัวจนนึกอะไรไม่ออกแล้ว ...อยากจะนอนหลับเร็วๆ
 
...หลับไปตลอดกาลได้เลยยิ่งดี
 
ยาสมุนไพรสามัญถูกดื่มรวดเดียวหมดถ้วย ซอนอินเอนตัวลงนอนหลังจากนั้นแทบจะทันที ปล่อยให้นางกำนัลทั้งสองคอยซับเหงื่อให้อย่างที่เขาก็ห้ามพวกนางไม่ได้ แม้ว่าจะต้องอดหลับอดนอนมาดูแลเขาอย่างนี้อยู่ตลอดคืนก็ตาม
 

 

“ครานี้องค์รัชทายาททรงทำเกินไปจริงๆ” ยอนอาเอ่ยเสียงไม่พอใจเท่าใดนัก คนเป็นน้องก็พยักหน้าหนักๆ อย่างเห็นด้วย พลางว่า “ใช่ แม้แต่จะส่งท่านหมอมาสักคนยังไม่ทรงอนุญาต”
 
“...ไม่รู้ว่าคุณชายฮีอูเป็นอะไรมากหรือเปล่า พระองค์ถึงได้ไม่คิดจะเหลียวแลองค์วังชอนซาของพวกเราเลยแม้แต่น้อย ข้าล่ะอยากจะรู้นัก กับแค่หมอเพียงคนเดียว ไยพระองค์ถึงพระทัยดำได้ลงคอเช่นนี้!” ว่าแล้วยอนอาก็อดจะเกิดความไม่ชอบใจต่อทั้งองค์รัชทายาทและคุณชายฮีอูไม่ได้ แม้เธอจะเข้าใจดีว่าคุณชายฮีอูไม่มีสิทธิ์ตัดสินเรื่องใดก็ตามในความต้องการขององค์รัชทายาท แต่ด้วยความเห็นอกเห็นใจต่อวังชอนซาที่เธอมีมากกว่า ก็อดจะพาดพิงไปด้วยไม่ได้
 

 
ก็มันน่าไหมเล่า อีกคนมีแพทย์ล้อมหน้าล้อมหลัง ในขณะที่อีกคนได้แต่นอนซมไข้อยู่อย่างนี้น่ะ!
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
สองวันมาแล้วที่อารมณ์ของมังกรหนุ่มแห่งฮานึลร้อนรุ่มราวกับไฟกัลป์ที่ยากจะมอดดับ ทุกอย่างรอบตัวดูจะพร้อมใจกันทำให้อารมณ์ของรัชทายาทชองจีรยงระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ
 
หมอหลวงจากึนตรวจดูชีพจรของร่างเล็กบนเตียงที่นอนหมดสติอย่างอับจนหนทาง ตนซึ่งศึกษาศาสตร์ทางการแพทย์มาเป็นเวลายาวนานกว่าค่อนชีวิต ยังไม่เคยพบเห็นอาการที่คุณชายฮีอูเป็นอยู่นี้เลย พิษร้ายกาจที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายนี้รุนแรงและน่ากลัวมาก วิธีรักษานั้นแทบจะไม่มีอยู่ในตำราและความรู้ของเขาแม้แต่น้อย แค่วิธีจะหยุดยั้งยังหาหนทางไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เวลานี้ นอกจากจะคอยตรวจสอบชีพจรอยู่เป็นระยะแล้ว จากึนก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้อย่างสัตย์จริง
 
“เป็นอย่างไรบ้าง?” ทันทีที่เห็นว่าหมอหลวงละมือออกจากแอ่งชีพจรบนข้อมือเล็ก จีรยงซึ่งนั่งอยู่ไม่ห่างร่างบนเตียงก็รีบเอ่ยถาม
 
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมขอตอบตามตรงว่า พิษที่คุณชายฮีอูได้รับเข้าไป เป็นพิษที่กระหม่อมไม่รู้จัก และไม่สามารถหาวิธีหยุดยั้งได้จริงๆ”
 
จบประโยคนั้น เครื่องเรือนบนโต๊ะข้างเตียงได้ถูกปัดลงบนพื้นเสียงดังสนั่น เหล่าแพทย์ที่นั่งคุกเข่าก้มหน้าอยู่เกือบสิบคนพากันสะดุ้งตกใจ
 
“ข้าไม่ต้องการคำว่าไม่รู้ของพวกเจ้า!! หากฮีอูเป็นอะไรไป พวกเจ้าทุกคนจะต้องถูกประหารทั้งหมด!!!” สุรเสียงคมกร้าวดังกังวานไปทั่วทั้งห้อง มวลอากาศหนาหนักกดทับหัวใจของคนฟังทุกดวง หมอทุกคนในที่นี้ต่างรู้ว่าไม่มีหนทางใดจะรักษา ดังนั้นสิ่งที่รออยู่ก็มีเพียงความตายของพวกเขาเท่านั้น
 
รัชทายาทหนุ่มสบถเสียงดังเป็นคำรบด้วยความกริ้วโกรธรุนแรง เขาตวาดไล่ทุกคนออกไปจากห้อง สั่งความเสียงดังให้แต่ละคนไปค้นหาวิธีรักษามาให้ได้ก่อนหมดวันพรุ่ง ไม่เช่นนั้นก็เตรียมตัวรับโทษประหาร
 
หลังบานประตูไม้ถูกปิดลง ภายในห้องบรรทมตกอยู่ในความเงียบสงัด
 
จีรยงรู้ดีว่าการทำร้ายตัวเองเป็นเรื่องโง่เขลา เขาจึงเลือกระงับอารมณ์ของตนเองด้วยการต่อยเข้ากับกำแพงเพียงแค่สองสามครั้งให้คลายความโกรธลง เขาเดินกลับมานั่งลงที่ข้างกายร่างเล็กบาง มือหนาลูบไล้ใบหน้าซีดฮีมินวอย่างหวงแหน ฮีอูที่เป็นอย่างนี้ทำให้หัวใจของรัชทายาทหนุ่มเจ็บร้าวไปหมด ตั้งแต่เมื่อสองวันก่อนที่จู่ๆ ฮีอูก็ล้มลงต่อหน้า หัวใจของเขาก็มีแต่ความรู้สึกวูบโหวงอยู่เช่นนั้นมาโดยตลอด
 
ฮีอูเป็นคนของเขา เป็นเพียงคนเดียวที่เขาจะได้ถือสิทธิ์ครอบครองทุกอย่าง
 
ทั้งร่างกาย หัวใจ และชีวิต ทุกอย่างของคิมฮีอูจะต้องเป็นไปตามที่เขาต้องการเพียงเท่านั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมา สิ่งเหล่านั้นคือทุกอย่างที่รัชทายาทหนุ่มรับรู้
 
จนกระทั้งถึงวินาทีนี้ สิ่งเดียวที่มีอยู่ในความรู้สึกของจีรยงในตอนนี้มีเพียงความรู้สึกที่เรียกได้เพียงอย่างเดียวว่า รัก เท่านั้น ...ฮีอูเป็นมากกว่าคนสนิทขององค์ชายใหญ่ ฮีอูเป็นมากกว่าทุกความรู้สึกของเขา จีรยงเพิ่งได้เข้าใจก็วันนี้
 
มือหนาไล้ข้างแก้มเย็นชืดเบาๆ ก่อนสันจมูกโด่งจะนาบลงในที่ตรงนั้น
 

 
“ข้าไม่มีวันยอมเสียเจ้าไปเด็ดขาด คิมฮีอู”
 

 
วาจาที่ดังก้องอยู่ใกล้ใบหูตอกย้ำให้ก้อนเนื้อในอกของร่างเล็กบีบรัดแน่นจนรู้สึกเจ็บ คำผูกมัดขององค์รัชทายาทส่งผลให้หยาดน้ำใสไหลรื้นลงจากขอบตาบาง แม้ว่าฮีอูจะไม่รู้สึกตัวก็ตาม
 

 

 
ในตอนค่ำของคืนนั้น จีรยงยังคงอยู่ตรวจราชกิจภายในห้องทรงอักษร เนื่องจากในตอนกลางวัน เขามักจะใช้เวลาทั้งหมดไปกับการเฝ้าอินอู หากงานที่คั่งค้างก็ยังมีให้จัดการอยู่ตลอด
 
“ฝ่าบาท” โทซองรีบร้อนเดินเข้ามาจนคนเป็นนายต้องหยุดมือวางพู่กันลง แล้วเงยหน้าขึ้นมององครักษ์คนสนิทด้วยเรียวคิ้วกดลึก บ่งบอกถึงความหงุดหงิดใจของเจ้าตัวที่ถูกขัดเวลาการตรวจราชกิจ
 
“ลุกขึ้น มีอะไรก็รีบว่ามา”
 
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” ร่างสูงสง่าของนักรบหนุ่มยืดตัวขึ้นตรง ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้โต๊ะไม้เนื้อดีตรงหน้าแล้ววางเศษกระดาษที่พับปิดยู่ยี่ลงตรงหน้า
 
“สาส์นจากราชครูปาร์คยองจูพะย่ะค่ะ นายทหารยามหน้าประตูแวซอเป็นคนนำมา บอกว่ากระดาษแผ่นนี้ถูกผูกติดกับลูกศรที่ยิงเข้ามาจากเงามืดทางป่าด้านหลัง บนหน้ากระดาษถูกเขียนถึงฝ่าบาทพะย่ะค่ะ”
 
แผ่นกระดาษสีหมอกถูกคลี่ออกพอดีกับที่โทซองเอ่ยจบประโยค แววเนตรคมกวาดมองข้อความบนเนื้อกระดาษ ก่อนจะกำของในมือแน่นด้วยความโกรธอย่างหาที่สุดไม่ได้
 
ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นจากโต๊ะอย่างรวดเร็ว
 
“ฝ่าบาทจะไปที่ใดพะย่ะค่ะ?” โทซองตะโกนถามพลางรีบหมุนกายเดินตามผู้เป็นนายออกจากห้องอังษรโดยไว หนทางที่คนข้างหน้าก้าวเดินไปนั้น เริ่มชี้ชัดให้เด็กหนุ่มหน้าถอดสีขึ้นมาเรื่อยๆ
 
ดึกดื่นเช่นนี้ พระองค์คิดจะไปที่ตำหนักโยกันทำไม?
 
ความสงสัยและความกังวลของโทซองดำเนินไปได้ไม่นาน ประตูตำหนักโยกันก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้าแล้ว
 



ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2



แสงไฟสว่างจากภายในบอกให้ผู้ที่มาเยือนรู้ว่าคนในตำหนักยังไม่เข้านอน รัชทายาทหนุ่มไม่สนใจที่จะรอให้ใครออกมาต้อนรับ เขาผลักบานประตูไม้เข้าไปด้วยจังหวะที่เร่งรีบเช่นเดียวกับที่พระองค์เดินมา
 
“อ่ะ ถวายพระพรองค์รัชทายาท” โซยอนซึ่งเห็นผู้มาเยือนก่อนรีบโค้งกายถวายอย่างรวดเร็ว ทว่า ร่างสูงไม่แม้แต่จะชายตามองหรือหยุดเดินแม้แต่น้อย เด็กสาวจึงรีบหันไปส่งสายตาถามเอากับเด็กหนุ่มที่เดินตามเข้ามาติดๆ แต่กลับได้เพียงการส่ายหน้าอย่างไร้หนทางอธิบายตอบกลับมา
 
“หลบไป!!!!” เสียงทุ้มที่ดังก้องพาเอาโซยอนสะดุ้งวาบ เด็กสาวรีบวิ่งไปตามทางเดินที่นำพาไปยังห้องบรรทมของวังชอนซาโดยไว ที่หน้าประตูทางเข้าห้องนั้น พี่สาวของเธอกำลังนั่งคุกเข่าแล้วส่ายศีรษะไปมาราวกับเป็นคนไร้สติ
 
“ไม่เพคะ!”
 
“เจ้าเป็นใครถึงกล้ามาขัดคำสั่งของข้า!!! ข้าสั่งให้หลบไป!!!!” ในตอนนี้ แม้แต่คำว่ากริ้วคงยังน้อยไปกับท่าทีขององค์รัชทายาท ดูจากอารมณ์ของนายเหนือหัวแล้ว โทซองจึงรีบเข้าไปฉุดให้ยอนอาลุกขึ้นแล้วดึงหลบออกมาด้านข้าง เกือบจะพอดีกับที่พระหัตถ์ของรัชทายาทหนุ่มคว้าจับกระบี่ที่บั้นเอว
 
เมื่อไม่มีใครมานั่งขวางทางอีก จีรยงจึงกระแทกประตูแล้วก้าวเข้าไปในห้อง พร้อมสั่งความกับโทซองเสียงห้วน “อย่าให้ใครเข้ามา”
 
สิ่งแรกที่ลอยแตะจมูกคือกลิ่นยาสมุนไพร และกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้สีขาวอย่างที่เขาเคยได้สัมผัสเมื่อครั้งก่อนที่คนร่างบางป่วย รวมถึงไอความร้อนจ่างๆ ที่ตอนนี้มีอุณหภูมิสูงกว่าคราวที่แล้วมากนัก
 
บนเตียงสี่เสา ร่างบางในชุดสีขาวของชนเผ่าชินซองกำลังนอนหอบหายใจหนักหน่วงอยู่ภายใต้ผืนผ้าห่ม เปลือกตาบางปิดสนิท แต่เรียวคิ้วโก่งบางนั้นกลับขดเข้าหากันคล้ายกำลังทรมานกับอะไรบางอย่างอยู่
 
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ จีรยงถึงได้รู้ว่าความร้อนรอบๆ ห้อง ยังเทียบไม่ได้กับไอร้อนที่แผ่ออกมาจากตัวของคนบนเตียงในระยะใกล้เช่นนี้ ตามใบหน้าและไรผมมีเม็ดเหงื่อใสๆ ผุดพรายอยู่ทั่วไปหมด ริมฝีปากที่เคยเป็นสีชมพูสวยตอนนี้ซีดจัดไร้สีเลือด ดวงหน้าก็ขาวซีดไปหมดราวกับกระดาษ
 
แต่ก่อนที่ความรู้สึกเป็นห่วงต่ออาการของคนตรงหน้าที่เป็นไข้หนักกว่าที่ตนคาดไว้จะเกิดขึ้น ข้อความจากแผ่นกระดาษที่เพิ่งได้อ่านมาก็ได้กระตุ้นหยุดทุกความคิดไว้เพียงเท่านั้น
 
จีรยงกำมือแน่น ก่อนจะคลายออกแล้วยื่นเข้าไปกระชากอกเสื้อคนบนเตียงให้รู้สึกตัว
 
“ตื่นเดี๋ยวนี้! ข้าสั่งให้เจ้าตื่น!! ลืมตาขึ้นมาคิมซอนอิน!!!” แรงกระชากบวกกับเสียงทุ้มใหญ่ที่ตะคอกอยู่ตรงหน้าส่งผลให้เปลือกตาบางของคนที่เพิ่งได้นอนพักผ่อนปรือปรอยขึ้นมาเล็กน้อย
 
เสียงเอะอะโวยวายจากหน้าห้อง และภาพร่างสูงใหญ่ของคนที่อยู่เหนือร่างกายในขณะนี้ทำให้สมองของซอนอินทำงานหนักอย่างมึนงง พิษไข้ที่รุมเร้าแต่เดิมนั้นมากพอจะรับไหวอยู่แล้ว ยังจะมีเรื่องอะไรให้ต้องดิ้นรนหลีกหนีอีกหรือ
 
“ชองจีรยง...” พูดได้แค่นั้น ซอนอินก็ต้องหลับตาแน่นเมื่ออาการปวดศีรษะแล่นปราดเข้ามาถึงเส้นประสาทจนรู้สึกเจ็บ
 
ริมฝีปากบางเม้มแน่น หอบหายใจหนัก มือไร้เรียวแรงค่อยๆ เอื้อมขึ้นจับข้อมือหนา ดวงตาสีดำเป็นประกายสวยหรี่ปรือจ้องมองแววเนตรคมเข้มดุจภูติแห่งราตรีด้วยท่าทางอ่อนแรง “หากเจ้าจะฆ่าข้า ก็รีบๆ ทำเสียที...”
 
“คิดว่าข้าไม่กล้าหรือ!!!” จีรยงตะคอกกลับเสียงดัง เขากดกระแทกร่างบางลงกับที่นอนอย่างรุนแรง
 
“อึก” แรงกระแทกทำให้ซอนอินรู้สึกจุกที่หน้าอกไปหมด
 
จีรยงจ้องมองสีหน้าเจ็บปวดของคนใต้ร่าง ลมหายใจร้อนระอุที่อีกฝ่ายหอบหายใจออกมาไม่อาจหยุดยั้งความโกรธของเขาที่ก่อตัวขึ้นได้ แม้ว่าคนตรงหน้านี้จะเจ็บสักเพียงไหน หากแต่ยังเทียบไม่ได้กับใครอีกคนที่กำลังนอนรอความตายอยู่บนเตียงของเขา
 
เพียงแค่นึกถึงใบหน้าที่ซีดฮีมินว และเลือดเหนียวข้นมากมาย แววคมกร้าวก็ฉายชัดขึ้นในม่านตาของรัชทายาทหนุ่ม
 
“บอกข้ามาคิมซอนอิน ปาร์คยองจูอยู่ที่ไหน!” จีรยงกดไหล่บางนาบลงกับที่นอน มืออีกข้างบีบกรามข้างแก้มร้อนให้เงยหน้าขึ้นสบตา
 
ปาร์คยองจู? ...ราชครูปาร์คยองจูน่ะหรือ? คำถามที่ได้ยินทำให้ซอนอินจับต้นชนปลายไม่ถูก ในเมื่อเขาไม่ได้รับการติดต่อจากราชครูปาร์คเลย แล้วเหตุใดชองจีรยงถึงถามหาราชครูปาร์คกับเขา
 
...นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?
 
เห็นสีหน้าไม่เข้าใจของคนใต้ร่าง จีรยงก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้น “บอกข้ามาว่าปาร์คยองจูอยู่ที่ไหน!!!” แรงมือที่เพิ่มขึ้นทำให้ซอนอินรู้สึกเจ็บไปทั้งใบหน้า
 
“...ไม่ ไม่รู้ ข้าไม่รู้”
 
“อย่ามาต่อเวลากับข้า อย่าคิดว่าข้าไม่กล้าทำอะไรเจ้านะคิมซอนอิน!!” จีรยงกดน้ำหนักมือบีบให้ดวงหน้าหวานต้องทรมานมากยิ่งขึ้น “เพราะหากฮีอูเป็นอะไรไปล่ะก็ ไม่ใช่แค่เจ้าที่ต้องรับผิดชอบ แต่ข้าจะทำลายทุกอย่างของเชินอันให้พินาศ!”
 
เชินอัน...ไม่ใช่สิ่งที่ซอนอินสนใจแม้แต่น้อย แต่กับชื่อของใครอีกคนที่ร่างสูงเอ่ยถึง มันมากพอที่จะทำให้หัวใจของเขาเจ็บแปลบราวกับถูกเข็มนับพันเล่มทิ่มแทงเข้ามาไม่หยุด
 
เจ็บ...กับคำพูดที่ไม่เคยเห็นความสำคัญของตน
 
เจ็บ...กับความเป็นจริงที่ตัวเองเป็นได้แค่เชลยศึก
 
เจ็บ...กับความห่วงใยที่ไม่ได้มีไว้เพื่อเขาคนนี้
 
นามของ คิมฮีอู มีค่ามากพอที่จะทำให้เขายอมตายเสียยังดีกว่าทนเห็นความรู้สึกของชองจีรยงที่มีต่อคนผู้นั้น
 
ใครจะสนเรื่องศึกสงคราม ใครจะสนเรื่องตำแหน่งของวังชอนซา ใครจะสนว่าคิมซอนอินจะอยากมีชีวิตอยู่หรือไม่ ...ไม่อีกแล้ว เขาไม่อยากฟังคนทั้งแผ่นดินพูดอะไรอีก ไม่อยากได้ยินเสียงสรรเสริญของคนที่ไม่รู้จัก ไม่อยากสนใจความต้องการของชนเผ่า ไม่อยากรอวันที่แม่จะหันมาสนใจ ...ไม่ว่าตอนนี้ราชครูกำลังจะพยายามช่วยเหลืออะไรเขาอยู่ก็ตามแต่ เขาไม่ต้องการมันอีกแล้ว
 
หลังจากที่รู้ว่าหัวใจตกเป็นทาสของรัชทายาทแห่งฮานึล ซอนอินก็ไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น ถ้าจะรอดไปโดยไม่มีคนผู้นี้อยู่ข้างกาย สู้เขาตายไปด้วยมือของชองจีรยงเสียตอนนี้ยังดีกว่า
 
เพราะถึงอย่างไร ไม่นาน เขาจะต้องตายเพราะหัวใจของตัวเองเป็นแน่
 
ความรู้สึกที่ก่อตัวถาโถมเข้ามาหนักหน่วงจนทำให้ซอนอินรู้สึกว่าร่างกายเหมือนถูกกดทับด้วยเหล็กหนาหนักที่มองไม่เห็น ลมหายใจที่ยากจะไขว่คว้าแต่แรกก็ยิ่งเหมือนค่อยๆ ห่างไกลออกไปทุกขณะ ความร้อนในกายราวกับใกล้ถึงจุดเดือดที่พร้อมจะปะทุออกมาเผาผลาญทั้งตัวและหัวใจให้หลอมละลายหมดสิ้นทุกความรู้สึกไปเสียสิ้น
 
จะตาย...
 
“...ข้าไม่รู้ว่าราชครูปาร์คอยู่ที่ไหน แต่ถ้าเจ้าไม่เชื่อ จะฆ่าข้าตอนนี้เลยก็ตามใจเจ้า...อึก!........” ลมหายใจพลันถูกปิดกันด้วยมือหยาบใหญ่ที่กดทับลงรอบลำคอ
 
มืออ่อนแรงที่จับยึดข้อมือร่างสูงไว้สั่นน้อยๆ ซอนอินหลับตาแน่น แต่ละเสี้ยววินาทีที่ผ่านไปช่างยาวนานเหลือเกินในความรู้สึกของซอนอิน นำหนักที่บีบรัดอยู่รอบคอไม่มีทีท่าว่าจะคลายลงแม้แต่น้อย
 
ในตอนที่คิดว่าจะต้องตายแล้วแน่ๆ มือคู่นั้นก็ผละออก
 
แผ่นอกบางกระเพื่อมขึ้นลงหนักหน่วงทันทีที่หลอดลมได้รับอิสระ ซอนอินไอออกมาไม่หยุด รู้สึกแสบลำคอไปหมด อาการคลื่นไส้ก็เริ่มตีตื้นขึ้นมาอีกครั้งจนต้องโก่งคอไปด้านข้าง หากแต่ก็มีเพียงน้ำใสเหนียวหนืดออกมาจากริมฝีปากบางซีดเท่านั้น เมื่อตลอดสองวันที่ผ่านมาซอนอินไม่อาจทานอะไรได้เลยสักอย่าง
 
เส้นผมสีดำยาวแผ่สยายยุ่งไปทั่วเตียง ร่างบอบบางขดตัวกอดรอบท้องที่กำลังปั่นป่วนจนปวดไปหมดแน่น ขณะที่ร่างสูงลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปยังโต๊ะกระจกอีกมุมหนึ่งของห้อง ก่อนจะเดินกลับมาพร้อมกับแท่งหยกสำหรับบดแป้งผงในมือ
 
โดยไม่พูดอะไร จีรยงจับยึดข้อมือขาวรวบเข้าหากันด้วยปลายผ้าห่ม เขาใช้ที่เหลืออีกด้านผูกมันเข้ากับขื่อด้านบนของเตียง ทำให้ช่วงบนของร่างบางนั้นลอยสูงขึ้นจากที่นอน
 
“จะทำอะไร...” เสียงแหบพร่าเอ่ยถาม ทั้งที่รู้ดีอยู่แล้วว่าอีกคนคงไม่สนใจจะฟัง
 
ซอนอินมองดูผ้าคาดเอวที่ถูกปลดออก อาภรณ์ถูกแหวกออกไปด้านข้าง ขาเปลือยเปล่าทั้งสองข้างของตนถูกแยกออกกว้าง ผ้าม่านหน้าเตียงถูกกระชากหลุดอย่างไม่ยากเย็น ก่อนถูกนำมาสอดเข้าใต้ข้อพับเข่า เมื่อขาถูกงอพับเข้าหาตัว ปลายผ้าใต้เข่าทั้งสองข้างก็ถูกผูกมัดกับขื่อของเตียงไว้เช่นเดียวกับข้อมือ ยกสะโพกบางให้สูงขึ้นเล็กน้อย ในตอนนี้ ร่างอ่อนแรงของซอนอินเกือบจะลอยอยู่รอมร่อ
 
ท่วงท่าที่ถูกจับแยกขาออก รวมถึงเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ย นำพามาแต่ความอับอายและความสมเพชให้แก่ซอนอินแทบทั้งสิ้น แล้วยิ่งอีกฝ่ายกำลังรุกล้ำช่องทางบอบช้ำด้วยแท่งหยกเย็นเหยียบเช่นนี้...
 
“ฮึก!!” ซอนอินกัดริมฝีปากแน่นจนรู้สึกถึงคาวเลือด ข้อมือที่ถูกมัดรู้สึกเจ็บไปหมดเพราะรอยช้ำเก่ายังไม่หายดี แค่ขยับนิดหน่อยน้ำตาก็ไหลรื้นออกมาแล้ว ซ้ำช่วงล่างยังถูกยัดเยียดวัตถุแปลกปลอมเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ อีก ช่องทางคับแคบถูกฝืนบังคับให้เปิดรับอย่างฝืนธรรมชาติ
 
“ฮึก! เฮือก!!! เจ็บ ไม่....ไม่เอา......!!!” ยากจะหยุดร้องขอ ความรุนแรงตรงส่วนลับสายตานั้นเจ็บเกินกว่าที่ซอนอินจะยอมนิ่งเงียบได้ ความหยาบใหญ่ที่เย็นเฉียบนั้นส่งผลให้ผนังอ่อนนุ่มรู้สึกระคายเคือง ช่องทางที่ปริแยกออกจากกันอย่างกะทันหันทำให้บาดแผลเก่าที่ยังไม่หายดีฉีกขาดอีกครั้ง เลือดสีสดไหลซึมออกมา และเพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่คนร่างสูงดันแท่งหยกในมือให้เข้าไปลึกมากยิ่งขึ้น
 
“ไม่เอาแล้ว...หยุด...พอที เจ็บ...ฮึก.....ไม่.......”
 
“ยังหรอก แค่นี้ยังไม่พอ เจ้าจะต้องเจ็บมากกว่านี้คิมซอนอิน!!!” จีรยงกดแท่งหยกไปจนเกือบสุดปลาย
 
ซอนอินกรีดร้องออกมาทันที ท่อนขาเรียวบางที่ถูกพาดห้อยสูงสั่นไม่หยุด ไม่ต่างจากเสียงแหบแห้งที่วอนขออย่างน่าสงสาร ก่อนที่ศีรษะเล็กจะหมดแรงหงายเงยลอยอยู่กลางอากาศอยู่เช่นนั้น ทว่า หยดน้ำตายังคงไหลรินลงมาไม่หยุดราวกับสายน้ำ
 

 
...เจ็บจนทนไม่ไหว ...เขาที่ทำอะไรไม่ได้เลยแบบนี้ ก็มีแต่ความเจ็บปวดรออยู่ตรงหน้าเท่านั้น
 
...บางที เขาอาจจะถูกทรมานจนตายก็ได้
 
นั่นสินะ ชองจีรยงต้องการให้เขาตาย ...นั่นเป็นสิ่งที่เขาควรจะยอมรับ อยู่อย่างไร้ค่าก็ไม่มีอะไรดีขึ้น เป็นแบบนี้แหละดีแล้ว ตายไปทั้งแบบนี้แหละ...
 
...ตายด้วยความต้องการขององค์รัชทายาทแห่งฮานึลอย่างเต็มใจ
 

 
หึ จะว่าน่าขัน หรือน่าสมเพชดีนะ คิมซอนอิน...
 
 

 
เกือบสองชั่วยามที่ร่างสูงของรัชทายาทหนุ่มนั่งมองร่างบอบบางที่ถูกตนจับมัดลอยตัวอยู่บนเตียงเช่นนั้นโดยไม่พูดหรือทำอะไร ...ทั้งน้ำตา หยดเลือด ชายหนุ่มได้แต่นั่งมองมันไหลออกมาจากกายของคนที่เป็นถึงวังชอนซาเพียงเท่านั้น
 
ไม่ได้รู้สึกอยากจะช่วย เพราะสิ่งที่เขาทำลงไปมันสมควรแล้วกับที่ฮีอูได้รับ แต่เพราะอะไร...เพราะอะไรเขาถึงรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง เพราะอะไรเขาถึงรู้สึกไม่สบายใจเช่นนี้
 
คิมซอนอินเป็นเพียงเชลยของแคว้นศัตรู ต่อให้เขาทรมานมากกว่านี้ มันก็สมควรแล้ว ไม่มีอะไรที่ต้องกังวลเคลือบแคลงใจแม้แต้น้อย ต่อให้เขาปล่อยให้คนผู้นี้ตายไปจริงๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอันใดเลย
 
“หากไม่ใช่เพราะฮีอู ข้าจะต้องฆ่าเจ้าได้อย่างใจต้องการแน่” เสียงทุ้มเอ่ยบอกตัวเองราวกับต้องการหาเหตุผลมาปิดกั้นความรู้สึกบางอย่างของตนเอาไว้ ราวกับจะบอกว่าที่ตนฆ่าคนผู้นี้ไม่ได้ก็เพราะข้อต่อรองจากราชครูปาร์คยองจูที่ต้องการให้เขาแลกตัววังชอนซา กับยาถอนพิษที่ฮีอูได้รับ
 
อรุณรุ่งของวันใหม่กำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่นาน จีรยงหันไปมองนกตัวน้อยที่ตีปีกบินว่อนอยู่ในกรงราวกับกำลังต่อว่าตนที่ทำร้ายร่างกายเจ้านายคนสำคัญ ก่อนจะหันกลับมายังร่างไร้สติบนเตียงอีกครั้ง
 
แท่งหยกถูกดึงออกจากส่วนลับ ทันทีที่ส่วนปลายหลุดพ้น เลือดสีแดงก็ทะลักไหลลงตามร่องหลืบหยดลงบนผ้าปูสีขาวซ้ำกับรอยเลือดแห้งกรังก่อนหน้า
 
จีรยงปลดสิ่งที่พันธนาการร่างบางออกจนหมด จับอาภรณ์รวบเข้าหากันอย่างขอไปที คว้าผ้าคลุมเตียงที่ผับซ้อนทับกันอยู่บนโต๊ะปลายเตียงขึ้นมาห่อหุ้มร่างของเชลยตลอดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ก่อนจะรวบร่างบางที่ยังหมดสติขึ้นพาดบ่าแล้วก้าวเดินออกจากห้อง
 
ทันทีที่เห็นองค์รัชทายาทออกมาโดยมีร่างของวังชอนซาสลบไสลอยู่บนบ่ากว้างของนายเหนือหัว นางกำนัลสาวทั้งสองก็ได้แต่สะอึกสะอื้นออกมาอย่างทำอะไรไม่ได้
 
“ฝ่าบาท พระองค์ ฮึก พระองค์จะพาองค์วังชอนซาไปที่ใดเพคะ?” ยอนอาสะอึกสะอื้นก้มหน้าถามตัวสั่น
 
“ฝ่าบาท ทรงจะทำสิ่งใดกับวังชอนซาพะย่ะค่ะ?” กึมซองที่ตามพี่ชายมาเมื่อหลายชั่วยามก่อนก็อดจะเอ่ยถามด้วยความสงสัยไม่ได้ เด็กหนุ่มเหลือบสายตามองร่างใต้ผ้าผืนหนาอย่างเป็นกังวล แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่กับวังชอนซามากเท่าเด็กสาวทั้งสองคน แต่ก็อดรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาไม่ได้
 
แต่แทนที่จะได้คำตอบ เด็กหนุ่มกลับได้คำสั่งกลับมาแทน
 
“กึมซอง เจ้าไปบอกหมอหลวงจากึนให้มาหาข้าที่นี่ ส่วนโทซอง เจ้าไปจัดเตรียมรถม้ามาให้ข้าเท่าที่จะเร็วได้” ในคราแรก ทุกคนรู้สึกโล่งอกด้วยนึกว่าจะให้หมอจากึนมาดูอาการของวังชอนซา แต่พอรัชทายาทหนุ่มเอ่ยสั่งความเรื่องรถม้า ก็มีแต่ความสงสัยงุนงงแก่ข้ารับใช้กันถ้วนหน้า
 
“ฝ่าบาท...” โทซองเปรยขึ้น ยังไม่ทันจะได้เอ่ยถาม รัชทายาทหนุ่มก็ตรัสขัดเอาเสียก่อน ทำให้แฝดทั้งสองคนจำยอมที่จะต้องหยุดความสงสัยไว้เพียงเท่านั้น
 
“ได้ยินที่ข้าสั่งหรือไม่?!”
 
“น้อมรับพะย่ะค่ะ!”
 

 
ภายในเวลาเพียงครึ่งก้านธูป ขบวนรถม้าเล็กๆ ก็ถูดจัดเตรียมพร้อมอยู่ที่ด้านหน้าของตำหนักโยกัน พร้อมกับหมอหลวงจากึนที่ถูกเรียกตัวมาอย่างกะทันหันแต่เช้าตรู่
 
ท่ามกลางความสงสัยของทุกคน ร่างของวังชอนซาก็ถูกวางลงในรถม้าที่ว่างเปล่า จีรยงปิดบานไม้ตามด้วยผืนผ้าหน้ารถม้าลง ก่อนหันไปหาเหล่าข้ารับใช้
 

 
“ข้าจะแลกตัววังชอนซากับยาถอนพิษที่ฮีอูได้รับ จากึน เจ้าต้องไปกับข้าเพื่อตรวจดูว่ายาถอนพิษเป็นของจริงหรือไม่ ส่วนเจ้า โทซอง กึมซอง ข้าต้องการให้พวกเจ้าคอยตามขบวนรถม้าไปอย่างลับๆ หากเห็นว่าเป็นกับดัก ข้าอนุญาตให้เจ้าออกคำสั่งกับกองทัพส่วนตัวของข้าได้เลย”
 
“ฝ่าบาท แต่หากมันเป็นกลลวง หากฝ่าบาททรงนำรถม้าที่มีเพียงพระองค์ ท่านหมอจากึน และวังชอนซาไปเพียงเท่านี้ ต่อให้กระหม่อมเรียกทัพยอดฝีมือมาก็อาจจะไม่ทัน...” โทซองพลันขมวดคิ้วยุ่งทันที เกือบจะพร้อมๆ กับแฝดผู้น้อง เมื่อเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด สำหรับเด็กหนุ่มทั้งสองแล้ว ระหว่างชีวิตของวังชอนซากับองค์รัชทายาทแห่งฮานึล พวกเขาก็เลือกที่จะอยู่ข้างผู้เป็นนายมาตั้งแต่เกิดเพียงผู้เดียว ชีวิตขององค์รัชทายาทชองจีรยงสำคัญเป็นอันดับแรกสำหรับยูโทซองและยูกึมซอง
 
“...ตราบใดที่คิมซอนอินยังอยู่กับข้า ราชครูนั่นคงไม่ยอมลงมือทำอะไรแน่ แต่จะประมาทไม่ได้ จนกว่าข้าจะแน่ใจเรื่องยาถอนพิษ ชีวิตของโอรสแห่งเชินอันจะต้องอยู่ภายใต้กำมือของข้า”
 
“ถ้าเช่นนั้น กระหม่อมจะรีบไปเตรียมตัว ฝ่าบาทจะทรงออกเดินทางเมื่อใดพะย่ะค่ะ?”
 
“ก่อนฟ้าเปิด เราจะต้องไปถึงหุบเขาพยอนซู”
 

 
นั่นหมายความว่า ภายในเวลาหนึ่งชั่วยาม พวกเขาทั้งหมดจะต้องไปถึงจุดนัดหมาย ไม่เช่นนั้น ข้อแลกเปลี่ยนที่ราชครูปาร์คยองจูเสนอไว้เป็นอันจบลง และหากยาถอนพิษเป็นกลลวง นั่นก็เท่ากับว่า ฮีอูจะต้องตาย ไม่ว่าจะทางใดก็ตาม รัชทายาทหนุ่มเหลือหนทางให้เลือกไม่มากนัก
 

 

หากสุดท้ายแล้วฮีอูจะต้องตาย
 
ชองจีรยงก็สาบานได้เลยว่า คิมซอนอินจะต้องตายเช่นกัน...
 

 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

จบตอน
 

ออฟไลน์ magic-moon

  • magKapleVE
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
    • Freedom of meetups, no obligations
ไอ้.....................ห่านจิก ขอบทลงโทษที่เหมาะสมแก่ไอ้........... ด้วยค่ะ ขอให้ราชครูคู่กับฮีอูนะ

ออฟไลน์ magic-moon

  • magKapleVE
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
    • Freedom of meetups, no obligations
โอยๆๆๆๆ กลับมาอีกรอบ โอยยยยยยยยยยย โมโหอ่ะะะะะะะะ ไอ้ฟ่วยยยยยนนน #กรีดร้อง อย่าถือสาตนอ่านบ้าๆแบบเราเลยนะ 555 ขอจบแบบงามๆนะคะ หมายถึงงามอย่างสาสม แต่ช่างเถอะ เราเชื่อใจคนเขียนค่ะ หึยยยยๆ แต่แบบอารมณ์ค้างมากอ่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด