ราคาฝัน # 06
...เป็นสองนาทีที่จินดารู้สึกเหมือนกับว่ามันยาวนานชั่วกัปชั่วกัลป์...
สถาปนิกหนุ่มผ่อนลมหายใจออกจนสุดปอดเมื่อพาร่างของตัวเองออกมาสู่อิสรภาพได้ในที่สุด
“วันนี้ขอบคุณมากนะครับที่อุตส่าห์ยกบัตรให้ผม” จินดากล่าวกับผู้บริหารคนดังที่เดินตามออกจากลิฟต์มาติดๆ เป็นเพราะยังรู้สึกเก้กังกับระยะห่างอันน้อยนิดเมื่อสักครู่อยู่ไม่หาย เขาจึงไม่ได้วางสายตาสบกับอีกฝ่ายนานนัก “ขับรถกลับบ้านดีๆครับ”
“เดี๋ยวสิ งานจบก็จะลากันเลยเหรอ?” ธีรชาติว่าเช่นนั้นพร้อมด้วยแสดงสีหน้าเหมือนกับว่าจินดาเพิ่งจะพูดอะไรไม่เข้าท่าออกมา
“..อ้าว..ก็..แล้วคุณจะไม่กลับบ้านหรือไง?..”
“กลับ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ มันเย็นแล้ว กินข้าวกันก่อนไหม?”
เรียวคิ้วได้รูปของคนฟังกระตุกเข้าหากันน้อยๆหลังจากประโยคของคนตรงหน้าจบลง “...อ่า...” จินดาหรี่ตาลงอย่างที่มักทำเป็นประจำยามต้องตัดสินใจก่อนจะค่อยๆทวนคำถามขึ้นมาเสียงเบา “...กินข้าวเหรอครับ?...”
เห็นดังนั้นคนมองก็เปล่งเสียงหัวเราะจากในลำคอ “คิดอะไรนักหนาคุณจิน? ผมชวนกินข้าว ไม่ได้ชวนไปลงทุน...หรือว่าหลังจากนี้คุณมีธุระที่อื่นอีก?”
“ก็เปล่าหรอก...” จินดาคลี่ยิ้มแห้ง คิดๆไปก็แปลกดีเหมือนกันที่เต็กโนเนมอย่างเขาถูกทายาทตระกูลอชิรญาคนนี้ชวนทานข้าวไปถึงสามครั้งสามคราวแล้ว “...เอ่อ...อย่างนี้ได้ไหม? มื้อนี้ให้ผมเป็นคนเลี้ยงคุณแล้วกันนะ ถือว่าเป็นการขอบคุณสำหรับบัตรเลคเชอร์ในวันนี้...”
.
.
.
จินดายกมือขึ้นเกาศีรษะแกรกๆเมื่อเห็นเมนูที่คุณไฮโซฯหมื่นล้านตรงหน้าเลือกสั่ง
“นี่คุณ สั่งอะไรก็ได้นะ ไม่ต้องกลัวว่าผมจะไม่มีตังค์จ่ายหรอก”
“ผมไม่ได้กลัว ผมอยากกินแบบนี้จริงๆ”
...เชื่อก็บ้าแล้ว...
แม้ว่าร้านอาหารที่จินดาเลือกในครั้งนี้จะไม่ใช่ร้านหรูหราสมฐานะคนถูกเลี้ยง แต่อย่างน้อยก็ดีพอที่จะไม่ให้ใครมาว่าได้ว่าเขาไม่ลงทุนเอาเสียเลย
...ราเม็งชามละเกือบๆสองร้อยบาทของร้านนี้มันแพงกว่าข้าวแกงที่ปกติจินดากินอยู่หลายเท่าก็จริง...
...แต่มันก็เป็นราคาที่คนวัยทำงานอย่างเขาสามารถจ่ายได้โดยไม่ลำบากอะไรมากมาย...
...แต่ดูเหมือนว่าเพื่อนร่วมโต๊ะในคราวนี้จะไม่ได้คิดแบบนั้นน่ะสิ...
“เพิ่มท็อปปิ้งอะไรหน่อยไหมอะ?” สถาปนิกหนุ่มถามย้ำอีกรอบ
เมื่อได้มองไปยังชามที่มีเพียงเส้น หน่อไม้ ต้นหอม และหมูย่างแผ่นบางๆอีกหนึ่งชิ้นของคนตรงหน้าแล้วเขาก็รู้สึกอดสูขึ้นมาชอบกล
...นี่มันเมนูลูกเมียน้อยหรือเปล่าวะเฮ้ย!?...
“ไม่ล่ะ แบบนี้ก็อร่อยดีอยู่แล้ว” ธีรชาติตอบเสียงนุ่มขณะฉีกตะเกียบในมือออกจากกันก่อนลงมือกินด้วยท่าทางสบายๆ สุดท้ายจินดาจึงทำได้เพียงหันไปสั่งเกี๊ยวซ่าเพิ่มอีกที่ด้วยความรู้สึกผิดเท่านั้น
...สงสัยหน้าตาเขาจะดูจนมากจริงๆ ธีรชาติถึงได้เลือกสั่งเมนูที่มันถูกที่สุดเท่าที่ร้านมีมากินแบบนี้...
“...คุณรู้แล้วใช่ไหมว่าบอร์ดตัดสินใจเลือกคอนเซ็ปต์ของอาจารย์บุญฤทธิ์ไปพัฒนาต่อแล้วน่ะ” จู่ๆนักธุรกิจหนุ่มก็กล่าวออกมาเช่นนั้นเมื่อเห็นว่าบรรยากาศบนโต๊ะอาหารเริ่มจะเข้าที่เข้าทาง
ความโอชะที่จินดาควรได้รับจากราเม็งราคาร้อยเจ็ดสิบเก้าบาทอย่างเต็มที่ลดน้อยลงไปโดยพลันเมื่อเรื่องจี้ใจถูกนำขึ้นมากล่าวถึงแบบไม่มีการเผื่อเวลาให้ตั้งตัว
“...ทราบแล้วครับ...”
...ทราบมาตั้งแต่ตอนพรีเซ็นต์จบแล้วด้วยครับ...
...มึงหอยหลอดมากครับคุณธีรชาติ...
...หมดอร่อยเลยแม่ง!...
“นี่ อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ ผมพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะผมมีประเด็นนะ ใช่ว่าอยู่ดีๆจะย้ำให้คุณเจ็บใจเล่นเสียเมื่อไหร่” นักธุรกิจหนุ่มพูดราวกับอ่านใจคู่สนทนาออกอย่างทะลุปรุโปร่ง “ที่จริงเมื่อวันก่อนตอนที่ผมไปส่งคุณที่ห้อง...ผมแอบไปนั่งดูงานที่คุณทำทิ้งไว้ในห้องจนเข้าใจคอนเซ็ปต์ทั้งหมดแล้วล่ะ”
สิ่งที่ได้ฟังเรียกให้เรียวคิ้วของจินดาเลิกขึ้นน้อยๆด้วยความประหลาดใจ
“..คุณหมายถึง...พวกสเก็ทช์รกๆกับซากโมเดลในห้องผมน่ะนะ?..”
“ใช่ พวกนั้นแหละ”
“...แล้ว...มันเป็นยังไงเหรอครับ?”
“ก็...จะพูดยังไงดีล่ะ จริงๆเหตุผลหนึ่งที่ผมชวนคุณออกมาเจอกันวันนี้ก็เป็นเพราะว่าผมอยากจะขอโทษน่ะที่ผมไม่เคยเปิดโอกาสให้คุณได้พรีเซ็นต์จนจบเลยสักครั้ง”
จินดาชะงักงันไปในทันที คำขอโทษที่อีกฝ่ายกล่าวออกมาทำให้เขาวางตัวไม่ถูก
...ได้ยินอย่างนี้แล้วก็รู้สึกสับสนชอบกล...
...มันเหมือนมีของเหลวอุ่นวาบถูกเทลงมาผ่านคอหอยลงมาสู่ยวงเครื่องใน...
“...คุณไม่เห็นต้องขอโทษผมเลย คุณเป็นเจ้าของเงิน จะสั่งอะไรก็ไม่ผิดหรอก...”
“คุณจิน” สุ้มเสียงที่ผู้บริหารหนุ่มใช้ฟังดูเปลี่ยนไป ท่าทางของเขาดูจะจริงจังกว่าเมื่อครู่อยู่เล็กน้อย “คอนเซ็ปต์ของคุณมันดีกว่าที่ผมคิดไว้มาก”
จินดาขบแนวฟันบนลงมายังริมฝีปากสีระเรื่อแบบคนสุขภาพดีของตนเบาๆ กล้ามเนื้อส่วนต่างๆบนใบหน้าเริ่มออกอาการเกร็งขึ้นมาน้อยๆ
นักออกแบบผู้ถูกชมเชยไม่ได้กล่าวสิ่งใดกลับมา เขาเพียงแต่นั่งรอประโยคถัดไปของชายตรงหน้านิ่งๆเท่านั้น
“ผมพูดจริงๆนะ...” ธีรชาติเปิดปากขึ้นอีกครั้ง “...ผมชอบงานคุณ ถึงจะโดนบอร์ดปฏิเสธไปแต่ก็อย่าเสียความมั่นใจในความสามารถตัวเองซะล่ะ รู้ไหม?...”
ปลายคางได้รูปของจินดาถูกเจ้าตัวกดต่ำลง ศีรษะทุยมนนั่นผงกอยู่สองสามที “...ครับ...ขอบคุณมากครับ...”
นักธุรกิจทายาทตระกูลดังกระตุกหัวคิ้วเข้าหากันน้อยๆขณะพยายามสังเกตแววตาที่ถูกแอบซ่อนไว้ใต้เส้นผมของคนตรงหน้า
ชั่วขณะแรกธีรชาติดูไม่ออกหรอกว่าอีกฝ่ายนึกคิดเช่นไรกับสิ่งที่เขาสื่อสารออกไป หากแต่เพียงไม่ถึงสองวินาทีให้หลัง รอยบุ๋มที่ข้างแก้มของสถาปนิกผู้นี้ก็ทำให้เขาเผลอตัวเม้มริมฝีปากเข้าหากันน้อยๆ
...ดูเหมือนจินดาจะกำลังกลั้นยิ้ม...
...ลักยิ้มเล็กๆนั่นอย่างไรที่เป็นหลักฐาน...
ถุงใต้ตาของจินดาปูดโปนขึ้นเล็กน้อยเนื่องจากดวงตาเรียวรีคู่นั้นกำลังยิ้มอยู่เช่นกัน
ธีรชาติเป็นแฟนตัวยงของซีรีย์สืบสวนสอบสวนสัญชาติมะกันเรื่อง ‘Lie to Me’ ติดตามมาจนครบสามซีซั่นเพิ่งจะมีประสบการณ์ได้สังเกตไมโครเอ็กซ์เพรสชั่นของคู่สนทนาก็เดี๋ยวนี้เอง
“นี่...จะยิ้มก็ยิ้มสิ อายอะไร?”
ได้ยินดังนั้นนายจินดาก็เปล่งเสียงหัวเราะฮี่ๆลอดตามแนวฟันออกมาเพียงแผ่วเบา ก่อนจะยกมือขึ้นเกาหัวเกาหูด้วยท่าทาง
เหมือนเด็กซนๆคนหนึ่งที่กำลังเขินเวลาโดนผู้ใหญ่ชมจนไม่รู้จะเอามือเอาไม้ไปวางไว้ตรงไหน
...น่ารักดี...
จู่ๆคำนี้ก็ผุดขึ้นกลางห้วงความคิดของธีรชาติขณะที่เขายังคงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าอ่อนเยาว์นั่นไม่วางตา
...ถือเป็นเรื่องแปลกหรือเปล่านะที่เขาใช้คำๆนี้กับผู้ชายอายุยี่สิบเจ็ด?...
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
พิซซ่าขนาดใหญ่จำนวนสามถาดร่อยหรอลงไปอย่างรวดเร็วเมื่อผู้ที่มานั่งล้อมวงสวาปามพวกมันอยู่นี้คือเหล่าชายฉกรรจ์พลังงานสูงกันทั้งนั้น กลายเป็นธรรมเนียมของบรรดาสถาปนิกหนุ่มๆแห่งทอมทอมสตูฯไปแล้วที่จะต้องมาปักหลักแชร์มื้อเที่ยงร่วมกันอยู่ที่มุมหนึ่งภายในบริษัทหลังจากคืนที่ฟุตบอลคู่สำคัญเพิ่งจะเตะเสร็จไป โดยที่หัวข้อในการสนทนาจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากเรื่องของผลบอล
“กูเจ็บใจไอ้ลูกที่สองมาก!! อีกนี๊ดเดียวก็จะเซฟได้แล้ว แม่งเสือกแฉลบเข้าเฉ๊ย!” โกวิทกล่าวอย่างออกรสออกชาติก่อนจะส่งพิซซ่าในมือเข้าปากไปอีกคำโต
จินดาซึ่งเชียร์ทีมตรงข้ามหัวเราะชอบใจแล้วจึงปล่อยคำทับถมออกไปตามประสา ซึ่งหลังจากนั้นก็เกิดเป็นเสียงฮาครืนขึ้นจากพี่ๆน้องๆโดยรอบ
บรรยากาศแบบแมนๆคุยกันครัชดำเนินต่อไปเรื่อยจนกระทั่งเมื่อเสียงส้นรองเท้าของสตรีสักนางกระทบพื้นก๊อกๆเป็นจังหวะแสนเร่งรีบดังใกล้เข้ามา ท็อปปิกว่าด้วยเรื่องฟุตบอลก็ถึงคราวต้องหยุดชะงักลงไปกะทันหัน
“วิ่งทำไมอะแนท?” จินดาเอ่ยถามคนที่จู่ๆก็หอบหิ้วกล่องอาหารโลว์คาร์บสุดเฮลท์ตี้ของตัวเองมาหาพวกเขาที่กำลังยัดแผ่นแป้งหนานุ่มเข้าปากกันเป็นว่าเล่นถึงที่ “นั่งกินที่เคาน์เตอร์คนเดียวเหงาเหรอ?”
“เหงาอะไรล่ะพี่จิน! หนูขอยืมคอมฯแถวๆนี้ใช้สักเครื่องได้หรือเปล่า? โต๊ะใครก็ได้ค่ะ โอปป้าจะมาแล้ว นะๆๆ” เจ้าหล่อนว่าเช่นนั้นพร้อมแสดงท่าทางเหมือนคนกำลังจะตกรถตกเรือ “เครื่องที่เคาน์เตอร์มันกระตุกมากเลย ดูไม่รู้เรื่อง”
น้องแนทคนที่ว่านี้เป็นรีเซ็ปชั่นสาวน้อยน่ารักที่มีหน้าที่นั่งประจำเคาน์เตอร์ต้อนรับซึ่งอยู่ห่างจากเราเตอร์ไวไฟไปเป็นโยชน์ ได้ยินแล้วก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมอินเตอร์เน็ตมันถึงได้กระตุก
“นี่ไง โอปป้านั่งกันอยู่เป็นสิบ ดูซะสิแม่คุณ”
“โอ๊ยพี่จิน! เอาแต่เล่น!”
“เฮ้ยๆ อย่าเพิ่งตีกัน แนทไปใช้เครื่องพี่ก็ได้ไป” โกวิทเอ่ยปากแทรกเสียงหัวเราะชอบอกชอบใจของจินดาขึ้นมาพลางบุ้ยใบ้ปลายคางไปยังโต๊ะของตนที่อยู่ห่างไปเพียงไม่ถึงสองเมตร “เข้าได้เลย ไม่ได้ล็อกพาสเวิร์ด”
สาวเจ้าเอ่ยคำขอบคุณรุ่นพี่ผู้ใจดีแล้วจึงปรี่เข้าไปพิมพ์หาเว็บดูทีวีออนไลน์ในทันที ใช้เวลาอยู่เพียงไม่นานช่องข่าวบันเทิงก็ถูกเปิดขึ้นมาเต็มหน้าจอ
น้องแนทถอนหายใจดังเฮือกขณะทิ้งตัวลงพิงพนักด้วยความสบายอกสบายใจ “นึกว่าไม่ทันซะแล้ว” เธอว่าเช่นนั้น
“จะดูอะไรเนี่ย?” ใครคนหนึ่งในวงพิซซ่าเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นว่าสิ่งที่ฉายอยู่ในยามนี้เป็นเพียงข่าวซุบซิบดาราทั่วไป ไม่เห็นมีสิ่งใดชวนตื่นเต้น
“ต่อจากรายการนี้เขาจะถ่ายทอดสดงานมีตติ้งโอปป้าของหนู อีกไม่เกินห้านาทีก็มาแล้ว”
เป็นเพราะบรรยากาศถูกหญิงสาวชักนำให้เปลี่ยนไป ตอนนี้จึงกลายเป็นว่าพี่บ่าวไทยทั้งกลุ่มต้องมานั่งรอดูโอปป้าเกาหลีแทนการเม้าท์มอยเรื่องฟุตบอลเป็นเพื่อนเธอไปเสียแล้ว
...แล้วก็ตามประสาผู้ชาย ปากเสียได้เป็นปากเสีย...
“ไหนวะภาพสวีทหวานของมัน? นี่เขานั่งแดกบะหมี่กันอยู่ริมถนนเนี่ย สวีทยังไงกูถามหน่อย” หนึ่งในกลุ่มสถาปนิกหนุ่มเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าพิธีกรในจอคอมฯขยี้ประเด็นรักๆใคร่ๆของดาราจนเกินจริง
“นั่นน่ะสิ ตลก ปั่นกระแสเองชัดๆ”
“เอาล่ะค่ะ ที่นี้ก็มาถึงข่าวสุดท้ายของวันกันแล้ว” เสียงพิธีกรสาวประเภทสองลอยออกมาจากลำโพงตัวเล็กๆข้างหน้าจอ ซึ่งหลังจากที่เธอกล่าวเช่นนั้น ภาพของนักแสดงสาวคนหนึ่งที่จินดาจำได้ดีว่าเป็นนางเอกละครหลังข่าวก็ถูกตัดขึ้นมาให้พวกเขาได้เห็นหน้าชัดๆ
“ก่อนที่เราจะลากันไปดูบรรยากาศงานมีตติ้งที่ศูนย์ประชุมฯ ดิฉันต้องขอพูดถึงประเด็นของน้องใบตอง รมิตาสักนิดนึง คุณผู้ชมอาจจะเคยได้ยินมาบ้างแล้วเรื่องที่คนวงในเขาลือกันมาว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ของน้องใบตองกับไฮโซฯหนุ่มที่คบหาอยู่เริ่มจะไปได้ไม่สวย โดยคนใกล้ตัวของเธอเคยแอบกระซิบบอกนักข่าวในช่องเราว่าตอนนี้น้องใบตองได้เลิกกับแฟนมากว่าสามเดือนแล้ว จริงไม่จริงยังไงเราก็ยังไม่เคยมีโอกาสได้ถามจากเจ้าตัวสักที แต่เมื่อวานค่ะ เราไปเจอเธอที่งานอีเว้นท์หนึ่ง เลยต้องขอดึงตัวมาถามถึงเรื่องนี้สักหน่อย น้องใบตองจะว่ายังไงลองไปฟังคำตอบของเธอกันดูค่ะ...” บางทีจินดาก็เคยแอบสงสัยว่าพวกไฮโซฯนี่เขาแข่งกันหาแฟนเป็นดาราหรือเปล่านะ? ถึงจะไม่ได้ติดตามข่าวบันเทิงแต่เขาก็มักได้ยินมาว่าเดี๋ยวไฮโซฯคนนั้นเป็นแฟนกับนางเอกคนนี้บ้างล่ะ เดี๋ยวไฮโซฯคนนี้ก็เป็นแฟนกับนางร้ายคนนั้นบ้างล่ะ อยู่เสมอๆ
...ผู้ชายก็วาสนาดีที่ได้แฟนสวย...
...ในขณะที่ผู้หญิงก็วาสนาดีที่ได้แฟนรวย...
...ไฮโซฯหนุ่มกับดาราสาวนี่กลายเป็นของคู่กันไปแล้วสินะ...
บนหน้าจอ ใบตอง รมิตากำลังถูกนักข่าวจากหลากหลายสำนักจ่อไมค์สัมภาษณ์ แสงแฟลชวิบวับถูกสาดใส่หน้าสวยๆของเธออยู่ไม่ได้ขาด
คำพูดติดปากของใบตอง รมิตาที่นายจินดาจำได้ขึ้นใจก็คือ ‘เพื่อนรักของตองคนนี้เขาชื่อลิงเกอร์ค่ะ’
ก็จะจำไม่ได้ได้อย่างไรในเมื่อตอนคิดคอนเซ็ปงานให้ลิงเกอร์คอร์ปฯเขาเล่นไล่เปิดดูโฆษณาทุกตัวของแบรนด์นี้ในยูทูปจนจำได้ขึ้นใจหมดแล้ว และที่จำแม่นที่สุดก็เห็นจะเป็นสโลแกนที่คุณพรีเซ็นเตอร์คนงามใช้พูดปิดท้ายในโฆษณาที่เธอขึ้นเขาลงห้วยไปกับสมาร์ทโฟนคู่ใจทุกๆเวอร์ชั่นนี่แหละ
การสัมภาษณ์ไม่มีอะไรน่าสนใจนักสำหรับเหล่าหนุ่มๆที่นั่งกันอยู่ตรงนี้ ใบตอง รมิตาถูกถามถึงเรื่องงานเป็นสิ่งแรกตามมารยาทที่นักข่าวพึงกระทำ แต่แล้วเมื่อประเด็นถูกเปลี่ยนไปสู่เรื่องราวส่วนตัวของเธอนั้น สายตาของทุกชีวิตที่นั่งกันอยู่หน้าคอมฯด้วยกันนี้ก็ต้องเพ่งไปยังหน้าจอเป็นตาเดียว
“อัพเดทชีวิตรักหน่อยค่ะน้องตอง?” เสียงนักข่าวถามนำขึ้นมา
หญิงสาวคลี่ยิ้มบางเบา ซึ่งจินดาพอจะมองเห็นแววกระอักกระอ่วนเจืออยู่ใต้รอยยิ้มสวยหวานนั่นได้บ้างนิดหน่อย
“ชีวิตรักเหรอคะ? ก็เรื่อยๆค่ะ ไม่มีอะไรหวือหวา”ในตอนนั้นเอง ภาพเล็กๆของชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลารายหนึ่งก็ถูกทางรายการตัดขึ้นมาแปะไว้บนที่ว่างในเฟรมเพื่อให้คนดูได้ตามทันว่าคนที่กำลังถูกกล่าวถึงนี้คือใคร
...เกิดเป็นเสียงฮือฮาขึ้นมาในหมู่สถาปนิกรอบวงพิซซ่าทันที...
“อ้าวเฮ้ย! นั่นมันคุณชาตินี่หว่า” โกวิทร้องขึ้นอย่างคาดไม่ถึง ในขณะที่จินดาเองก็ยกคิ้วทั้งสองข้างขึ้นสูงด้วยความประหลาดใจ
...นั่นมันรูปของธีรชาติ อชิรญาไม่ผิดแน่นอน...
“โอ้โห แฟนเขาสวยจุงเบย” ใครสักคนในวงพูดขึ้นเช่นนั้น “หล่อ รวย แฟนสวย ชีวิตดี๊ดีย์”
“ป๋าไม่เห็นเคยบอกเลยว่าคุณชาติแกมีแฟนเป็นดารา” โกวิทหันไปกล่าวกับผู้เป็นนายที่นั่งอยู่ไม่ไกลกัน ซึ่งฝ่ายถูกถามก็สั่นศีรษะให้เขากลับมาในทันที
“กูรู้ที่ไหนเล่า เรื่องส่วนตัวเขา”
“มีวงในเขากระซิบมาว่าตอนนี้น้องใบตองเลิกกับไฮโซฯชาติมาได้สามเดือนแล้ว เรื่องราวเป็นยังไงคะ?” นักข่าวจี้ถามต่อ
“วงในคนไหนคะ?” นางเอกสาวส่งเสียงหัวเราะผ่านหน้าจอ
“จริงๆก็ไม่มีอะไรหรอกค่ะ คนคบกันมันก็ต้องมีกระทบกระทั่งกันบ้างเป็นธรรมดาเนอะ ตองมองว่าเป็นเรื่องปกติ”“แล้วสรุปคือใช้คำว่าเลิกได้หรือยัง?”“...อืม...ยังหรอกค่ะ เมื่อกี้ก่อนขึ้นเวทีพี่ชาติยังไลน์คุยกับตองอยู่เลย”“แต่มีตาดีแอบเห็นว่าเราไปไหนมาไหนกับพระเอกหน้าตี๋คนนึงอยู่บ่อยๆ ลือกันว่าเป็นหนุ่มคนใหม่ของใบตอง”“พระเอกหน้าตี๋ในวงการมีเยอะแยะออกนะ พูดถึงคนไหนเอ่ย?” ดาราสาวถามกลับพร้อมรอยยิ้มชวนมอง
“ที่จริงก็เป็นเพื่อนๆกันหมดนั่นแหละค่ะ ตองมีเพื่อนผู้ชายค่อนข้างเยอะ บางทีเวลาออกไปแฮงเอ้าท์กันคนก็ชอบตีความเป็นอย่างอื่น”นายจินดาพยักหน้าขึ้นลงหงึกๆเมื่อได้ฟังคำตอบของเจ้าหล่อน พลางในหัวก็พยายามจินตนาการไปถึงยามที่คนแบบธีรชาติใช้เวลาอยู่กับสาวสวยรายนี้
...นึกไม่ออกเลยแฮะว่าจะเป็นยังไง...
...ท่าทางไม่ใช่คนโรแมนติกแน่ๆล่ะบุคลิกอย่างนั้นน่ะ...
“ไงไอ้จิน มึงสนิทกับเขานี่ เคยเจอน้องใบตองอะไรนี่บ้างไหม?” จู่ๆคำถามที่ไม่คาดคิดก็ถูกส่งมาจากรุ่นพี่ที่นั่งอยู่ในวงเดียวกัน
จินดาหันหน้ามองผู้ถามทันที
“พูดเรื่องอะไรวะแม็ค?” คำถามนี้มาจากโกวิทที่กำลังปั้นหน้าไม่เข้าใจ
“ก็ไอ้จินมันสนิทกับคุณชาติไง มึงไม่รู้เหรอ?”
“สนิทอะไรล่ะพี่ ผมก็รู้พร้อมพวกพี่นี่แหละว่าเขามีแฟนเป็นดารา” จินดาตอบเสียงหนักแน่นพร้อมด้วยการส่ายหน้าดิก
“ไม่สนิทแล้วมึงไปข้างนอกด้วยกันมาสองคนได้’ไง?”
“เขาก็บอกพี่ไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าเขาบังเอิญมีบัตรเหลือ ก็เลยยกให้ผม แหม...งานเลคเชอร์ ไม่ต้องสนิทก็ไปดูด้วยกันได้ม้าง ไม่เหมือนไปเที่ยวห้างเที่ยวผับสักหน่อย”
ดูเหมือนว่าตอนนี้ประเด็นของนายจินดาเริ่มจะน่าสนใจกว่าใบตอง รมิตาในจอคอมฯนั่นสำหรับใครบางคนไปแล้ว
“...มึงไปดูเร็มกับคุณชาติเขามาเหรอ?...”
โกวิทเอ่ยถามขึ้นเมื่อประติดประต่อเรื่องราวในหัวจนพอจับใจความได้
คนถูกถามพยักหน้ารับเบาๆด้วยความรู้สึกประดักประเดิด ไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้ต่อหน้าคนเยอะๆเลยให้ตายสิ
“...ไม่เห็นเล่าให้กูฟังเลยนะ...”
“โห่พี่โก๋ ก็มันไม่ได้มีอะไรสำคัญ จะเล่าทำไมล่ะ?”
ได้ยินดังนั้นคนเป็นรุ่นพี่ก็เปล่งเสียงหัวเราะผ่านลำคอออกมาเบาๆ แล้วจึงเลือกที่จะสงบปากลงไปเลย
จินดาเผลอตัวเม้มริมฝีปากเข้าหากันน้อยๆ
...การปล่อยให้คนอื่นคิดว่าเขากับคุณนักธุรกิจผู้โด่งดังคนนั้นสนิทสนมกลมเกลียวกันคงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่...
...เดี๋ยวใครเขาจะหาว่าวัลลาบีเอาได้...
...ก็ไม่ได้มีเหตุให้ต้องไปสนิทกันสักหน่อยนี่...
ว่าแต่...พูดถึงธีรชาติขึ้นมาแล้วจินดาก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตนลืมทำบางอย่างไปเสียสนิท
“เอ้อป๋าครับ...พรุ่งนี้ผมขอลาวันนึงนะ”
“อ้าว มึงจะไปไหน?”
“มีธุระต้องไปทำนิดหน่อย”
“กูเคยบอกมึงแล้วไงว่าถ้าจะลากิจต้องลาล่วงหน้าอย่างน้อยสามวัน ไอ้ตูดจินเอ๊ย!”
สถาปนิกรุ่นเล็กส่งเสียงหัวเราะออกมาแห้งๆด้วยความรู้สึกผิด “ขอโทษครับ ผมลืมไปเลยอะ แต่ป๋าไม่ต้องห่วงนะ ฟลอร์แปลนผมเสร็จภายในเย็นนี้แน่นอน พรุ่งนี้ป๋ามีใช้แน่ๆ”
“เออๆ รอบหน้าก็อย่าลืมแล้วกัน ถ้ามาลาปุบปับแบบนี้อีกกูไม่ให้มึงลาจริงๆแล้วนะโว๊ย”
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ดวงตาคู่ฉ่ำภายใต้แพมาสคาร่าหนาดำกำลังจับจ้องไปยังพ่อหนุ่มรูปหล่อที่ก่อนนี้เธอคิดว่าจะไม่มีโอกาสได้พบเขาอีกแล้วด้วยความรู้สึกหนักใจ
“บัวขอโทษนะคะ บัวให้คุณจินเข้าไปไม่ได้จริงๆ”
“แต่คุณบัวครับ ผมขอแค่สิบนาทีเอง ไม่เกินนี้แน่นอน สาบานได้เลย”
“โธ่...ถ้าบัวพาคุณจินเข้าไป บัวต้องโดนผู้ใหญ่ดุเอาแน่ๆเลยค่ะ วันนี้คุณจินกลับไปก่อนเถอะนะคะ ไว้บัวจะลองนัดให้อีกที”
ได้ฟังดังนั้นจินดาก็ส่ายศีรษะไปมาอย่างดื้อดึง ชายหนุ่มรู้ดีว่าหากเขาเป็นคนขอนัดเอง คิวของบรรดาผู้บริหารระดับสูงเหล่านี้ไม่มีทางตกมาถึงมือแน่ “คุณบัว ช่วยผมหน่อยนะ ผมขอร้อง สักครั้งนึง”
หญิงสาวผ่อนลมหายใจทิ้งไปเฮือกโต
...เจอเรื่องยากเข้าแล้วสิบัวเอ๋ย...
...ไม่น่าพลั้งปากบอกไปเลยจริงๆ...
“เอาอย่างนี้แล้วกันค่ะ” เธอกล่าวขึ้นมาอีกครั้งพร้อมด้วยการปั้นสีหน้าลำบากใจ “เดี๋ยวบัวจะลองเข้าไปถามคุณชาติให้ก่อน...คุณจินรอตรงนี้สักครู่นะคะ”
“ครับผม ขอบคุณมากนะครับ ขอบคุณจริงๆครับ”
เป้าหมายที่หญิงสาวมุ่งตรงไปคือห้องประชุมซึ่งยามนี้กำลังถูกใช้งานโดยเหล่าผู้บริหารนับสิบชีวิต แม้ว่าอาจารย์บุญฤทธิ์จะพรีเซ็นต์จบและกลับไปได้สักพักแล้ว แต่การประชุมก็ยังไม่สิ้นสุดลงเนื่องจากผู้บริหารเหล่านี้ยังต้องหารือภายในกันต่อ
เป็นความผิดของเธอเองแหละที่ไม่ฉุกคิดให้ดีก่อนจะแพร่งพรายข้อมูลอะไรให้คนนอกรู้ เมื่อสักสัปดาห์ก่อนจู่ๆจินดาก็ต่อสายเข้าเครื่องธีรชาติ แต่เขาติดประชุมอยู่เธอจึงเป็นผู้รับสายแทน สถาปนิกหนุ่มเอ่ยถามถึงกำหนดการเข้าพรีเซ็นต์แบบของอาจารย์บุญฤทธิ์ว่าเป็นวันไหนและกี่โมง ไม่รู้ว่าตอนนั้นเธอเมาน้ำหอมตัวเองหรืออะไรถึงได้ยอมตอบออกไปง่ายๆโดยไม่นึกสงสัยเลยว่าผู้ถามจะต้องการรู้ไปทำไม
...แหม ก็ใครจะไปคิดล่ะว่าเขาจะมาไม้นี้...
หญิงสาวค้อมตัวเดินผ่านหลังผู้บริหารหลายรายจนเข้าไปถึงตัวธีรชาติทั้งที่การประชุมก็ยังคงดำเนินต่อไป
“มีอะไรครับบัว?” นักธุรกิจหนุ่มกระซิบถาม สีหน้าไม่สู้ดีของเลขาฯส่วนตัวทำให้เขารู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาน้อยๆ
“คุณชาติคะ ตอนนี้คุณจินดามารออยู่ข้างหน้าค่ะ คุณเขาอยากจะมาขอพรีเซ็นต์งานตอนนี้เลยค่ะ เขาบอกเขาขอสิบนาที”
“ฮึ!? พรีเซ็นต์งาน?”
เสียงอุทานที่ดูจะดังไปสักนิดของธีรชาติส่งผลให้การหารือบนโต๊ะมีอันต้องสะดุดลง สายตาหลายคู่หันมามองชายหนุ่มหญิงสาวที่กำลังป้องปากคุยกันด้วยความสนอกสนใจ
“งานอะไร? ใครนัดเขามา?” ผู้บริหารนามสกุลดังถามออกมาเช่นนั้นพลางนิ่วหน้าราวกับนักพนันเสียม้า
.
.
.
จินดาชะเง้อมองลอดกระจกโปร่งแสงแต่ไม่โปร่งใสเข้าไปยังเงาลางๆขอผู้คนที่นั่งกันอยู่ในห้องประชุม ในที่สุดเขาก็ได้รู้สักทีว่าคนเหล่านี้ประชุมกันอยู่ที่ห้องไหน
...นี่แหละ โอกาสแก้ตัวเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่...
เหตุผลอันแสนง่ายดายที่ทำให้จินดาตัดสินใจเลือกที่จะเดิมดุ่มๆเข้าออฟฟิศลิงเกอร์คอร์ปฯมาในวันนี้ก็เป็นเพราะกำหนดการพรีเซ็นต์งานของอาจารย์บุญฤทธิ์นั่นเอง ใช่ว่าเขาอยากจะนำผลงานมาเปรียบชนิดสดๆร้อนๆหรืออะไร เพียงแต่ชายหนุ่มคิดว่าผู้ร่วมประชุมชุดนี้ก็คือกลุ่มคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการดูแลโปรเจ็คต์สำนักงานใหญ่ทั้งหมดนั่นเอง
...หากวันนี้โน้มน้าวได้สำเร็จ ก็ถือว่าอนาคตสดใส...
จากตรงนี้จินดาสามารถมองเห็นตำแหน่งที่ร่างสะโอดสะองของคุณเลขาฯคนสวยเข้าไปหยุดเจรจากับเงาของคนที่น่าจะเป็นธีรชาติได้ค่อนข้างชัด
...ดูเหมือนว่าตอนนี้นายธีรชาติกำลังจะลุกขึ้นจากที่นั่ง...
มาอีหรอบนี้จินดาก็สามารถจินตนาการต่อได้ทันทีว่าอีกเดี๋ยวผู้บริหารหนุ่มต้องเดินออกมาไล่เขากลับไปอย่างแน่นอน
สถาปนิกหนุ่มผู้ไฟแรงจนเกินพอดีหลับหูหลับตารวบรวมความกล้าก่อนจะถือวิสาสะชิงผลักประตูเข้าไปเสียก่อนที่อีกฝ่ายจะทันได้ออกมา
...ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มซึ่งถูกปั้นแต่งมาเป็นอย่างดีแล้วโผล่เข้าไปให้ผู้คนด้านในได้ยลเป็นลำดับแรก...
“สวัสดีครับทุกท่าน” จินดากล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงที่แสนจะสุภาพเรียบร้อย การปรากฏตัวของเขาสร้างความงุนงงให้เหล่าผู้บริหารได้ดีเหลือเกิน
“คุณ!” ธีรชาติร้องขึ้นพลางส่งสายตาตำหนิติเตียนมาทางเขาโดยพลัน
ทุกสิ่งเป็นไปตามที่จินดาคาดการณ์ไว้ เหล่าผู้ร่วมประชุมคนอื่นๆพากันตั้งคำถามว่าสถาปนิกเบอร์เล็กจ้อยจากบริษัทที่ไม่ถูกเลือกอย่างเขาเข้ามายืนทำอะไรอยู่ที่นี่ในตอนนี้
“ก่อนอื่นผมต้องขออภัยทุกท่านก่อนเลยนะครับที่จู่ๆก็เข้ามาขัดจังหวะการประชุม แต่ผมมีสิ่งดีๆจะมานำเสนอครับ ขอแค่สิบนาทีเท่านั้น แล้วผมจะไม่รบกวนเวลาอีกเลย”
จบประโยคของจินดา ฝ่ามือหนาใหญ่ของธีรชาติก็ถูกเจ้าตัวยกขึ้นกุมขมับในทันที
...แค่จู่ๆก็โผล่มาโดยไม่ได้รับเชิญก็นับว่าเป็นการกระทำที่แย่มากแล้ว...
...นี่ยังจะมาทำตัวเหมือนเป็นเซลล์ขายตรงอีก...
...ตกลงว่าจะมาขายแบบหรือขายเครื่องกรองน้ำกันแน่ล่ะนี่?...
ถ้าธีรชาติรู้มาก่อนว่าจินดาเป็นคนดันทุรังถึงขนาดนี้ รับรองได้เลยว่าวันนั้นเขาจะไม่ปริปากชมออกไปให้ใครได้สำคัญตัวผิดแน่นอน
TBC.
รายละเอียดรวมเล่มราคาฝัน ท่านใดสนใจลองเข้าไปดูกันนะคะ :http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57030.msg3540853#msg3540853
