ราคาฝัน # 11
“จิน”
“ครับ?” นักออกแบบหนุ่มละสายตาออกจากหน้าจอแล็ปท็อปเพื่อหันไปตามเสียงเรียก
“มานี่เดี๋ยวได้ไหม? มีเรื่องจะถาม”
จินดาลุกไปหาธีรชาติอย่างว่าง่าย เขาหย่อนกายลงนั่งบนพื้นที่ว่างข้างๆกัน
“พี่งงตรงนี้ ดูแบบแล้วไม่เข้าใจ อธิบายหน่อยสิว่าต้องทำยังไงต่อ” ผู้บริหารนามสกุลดังเลื่อนกระดาษร่างที่จินดาเป็นคนสเก็ทช์เองกับมือไปให้เจ้าตัวดู ก่อนที่เขาจะจิ้มนิ้วลงไปชี้ในตำแหน่งที่กำลังเป็นปัญหา
“อ๋อ..เออ อันนี้ผมเขียนไม่รู้เรื่องเองแหละ งั้นเดี๋ยวผมทำให้พี่ดูก่อนหนึ่งชั้นนะ” ว่าแล้วสถาปนิกเจ้าของแบบก็รับคัตเตอร์จากมือนักธุรกิจหนุ่มมาก่อนเริ่มกรีดแผ่นโฟมลงไปด้วยท่าทีระมัดระวัง
...ก็จะไม่ให้ระวังได้อย่างไรในเมื่อวัสดุปูพื้นห้องนี้มันเป็นหินอ่อนสองสีที่เขารู้ดีว่าราคาของมันนั้นแพงขนาดไหน...
...กลัวเหลือเกินว่ากรีดไปกรีดมาแล้วคมมีดมันจะเลยแผ่นรองตัดเข้า...
ธีรชาติเหลือบสายตาขึ้นมองปลายลิ้นที่แลบผ่านกลีบปากออกมาน้อยๆของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกขบขัน
“นี่ ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้” นักธุรกิจหนุ่มกล่าวกลั้วหัวเราะ
“ไม่ได้หรอก เดี๋ยวไม่มีปัญญาชดใช้ค่าทำพื้นห้องพี่เป็นรอย”
พอได้ฟังดังนั้นคนเป็นเจ้าของห้องก็ส่ายศีรษะเบาๆทั้งที่รอยยิ้มก็ยังคงเปื้อนอยู่บนริมฝีปากและสองข้างแก้ม เขานั่งมองสีหน้าตั้งอกตั้งใจของอีกฝ่ายอยู่เช่นนั้นครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มรู้สึกว่าปอยผมที่ปรกลงมาจนเกือบจะทิ่มดวงตาเรียวรีคู่นั้นมันช่างเกะกะทัศนวิสัยเสียเหลือเกิน
ชายหนุ่มไม่ให้โอกาสตัวเองได้ไตร่ตรองนาน เขายื่นฝ่ามืออุ่นหนาออกไปจับผมปอยที่ว่าขึ้นทัดหูให้จินดาโดยไม่ทันได้คิดหน้าคิดหลังให้ดี
...สถาปนิกร่างสันทัดชะงักทุกความเคลื่อนไหวลงโดยพลัน...
จินดาหันมองธีรชาติด้วยสายตางุนงงระคนตกใจ ซึ่งนั่นก็ทำให้คนถูกมองเพิ่งตระหนักได้เดี๋ยวนี้เองว่าสิ่งที่ตนทำลงไปนั้นไม่ใช่สิ่งที่ผู้ชายมักปฏิบัติกับผู้ชายด้วยกันเลย
ธีรชาติดึงมือออกโดยปราศจากซึ่งคำอธิบายใดๆ เขาเพียงเบนสายตาลงมองแผ่นโฟมที่จินดากำลังตัดอยู่แทน
...แม้สีหน้าที่แสดงออกจะเรียบเฉยราวกับไม่รู้สึกรู้สา แต่ที่จริงในใจของเขากำลังปั่นป่วนอยู่พอดู...
ช่วงนี้จินดาไปๆมาๆคอนโดฯแห่งนี้อยู่เป็นประจำ นับตั้งแต่วันแรกที่หอบหิ้วงานจากบ้านเช่าหลังน้อยในซอยปรีดีมาปักหลักกันอยู่ที่นี่ก็ผ่านมาเป็นเวลาเกือบสัปดาห์แล้ว ซึ่งในระหว่างที่ได้ใช้เวลาร่วมกัน มีหลายครั้งหลายคราวที่ธีรชาติเผลอตัวแสดงท่าทีแปลกๆกับอีกฝ่ายจนก่อให้เกิดบรรยากาศชวนกระอักกระอ่วนแบบเดียวกับเมื่อสักครู่ขึ้น ซึ่งผู้บริหารหนุ่มก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองนักว่าถูกอะไรดลใจให้ทำเช่นนั้น
...ทั้งที่ปกติเขาเป็นพวกรักษาระยะห่างกับคนรอบข้างได้ดีมากแท้ๆ...
...แปลกจริง...
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
จินดายิ้มร่าขณะเดินผ่านกรอบประตูกลับเข้าเพนต์เฮาส์กลางย่านทองหล่อมาอีกครั้งโดยที่ทางด้านหลังก็มีคนเป็นเจ้าของห้องเดินตามมาพร้อมรอยยิ้มที่ดูจะกว้างยิ่งกว่าเสียด้วยซ้ำ
“รู้สึกตัวเบาขึ้นเยอะเลยอะพี่ ผมไม่ได้รู้สึกแบบนี้มาหลายอาทิตย์แล้ว”
“นั่นน่ะสิ พี่ก็เหมือนกัน”
...ผลการพรีเซ็นต์ในวันนี้สวยงามดีทีเดียว...
หลังจากที่การนำเสนอโปรเจ็คต์ในรอบผ่านๆมาเป็นไปอย่างอึมครึมไม่ต่างจากครั้งแรกนัก ในที่สุดวันนี้ฟีดแบ็คก็เริ่มเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น มีผู้บริหารหลายรายเอนเอียงความชอบมาทางดีไซน์ของจินดาบ้างแล้ว
“คืนนี้พี่ว่าเราพักกันสักคืนไหม? แล้วพรุ่งนี้ค่อยตื่นมาลุยงานกันต่อ ยังไงก็มีเวลาทั้งวันอยู่แล้ว”
สถาปนิกหนุ่มนิ่งคิดไปครู่ และเพราะเห็นว่าเป็นคืนวันศุกร์ สุดท้ายแม้กระทั่งคนบ้างานอย่างเขาก็ยังยอมพยักหน้ารับเบาๆ “ถ้าอย่างนั้นคืนนี้ผมกลับไปนอนที่ห้องตัวเองแล้วกันนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้มาหาใหม่”
คิ้วหนาเข้มของคนฟังกระตุกเข้าหากันน้อยๆ “จะเทียวไปเทียวกลับทำไม? ไหนๆก็มาถึงที่นี่แล้ว นอนที่นี่สิ”
“แล้วผมไม่รบกวนพี่เหรอ? พี่จะได้มีเวลาส่วนตัวบ้างไง ช่วงนี้ผมมาอาศัยห้องพี่แทบทุกวันเลย”
“ไม่รบกวน” ธีรชาติตอบหนักแน่น “มีจินอยู่เป็นเพื่อน สนุกกว่าอยู่คนเดียวตั้งเยอะ...ไปๆ ไปอาบน้ำเถอะ”
นักธุรกิจหนุ่มออกแรงรุนหลังแขกคนสำคัญให้ตรงไปยังห้องน้ำโดยไม่ได้รู้เลยว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังลอบอมยิ้มให้กับถ้อยคำเมื่อสักครู่ของตนอยู่ในความเงียบ
...’มีจินอยู่เป็นเพื่อน สนุกกว่าอยู่คนเดียวตั้งเยอะ’...
ก่อนหน้านี้เคยแอบกังวลอยู่บ้างเหมือนกันว่าคนรักสันโดษอย่างธีรชาติจะรู้สึกไม่สะดวกใจที่ต้องใช้เวลาอยู่กับเขานานๆบ้างหรือเปล่า แต่พอได้ยินแบบนี้แล้วก็ค่อยโล่งใจหน่อย
.
.
.
ผ้าขนหนูผืนน้อยถูกขยับซับความชื้นออกจากเส้นผมของคนที่เพิ่งเดินออกจากห้องน้ำมา เมื่อหันมองไปรอบบริเวณแล้วไม่พบวี่แววของธีรชาติ กอปรกับเสียงน้ำไหลที่ดังมาจากห้องน้ำอีกห้องก็ทำให้จินดาได้รู้ว่าตอนนี้นักธุรกิจคนดังกำลังชำระร่างกายอยู่
สถาปนิกหนุ่มตรงไปยังกีต้าร์โปร่งตัวสวยที่เห็นวางนิ่งอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้องตั้งแต่วันแรกที่มาเหยียบที่นี่ เขายกมันติดมือออกไปนั่งรับลมที่ระเบียงด้วยอิริยาบถแสนเย็นใจ
...เพนต์เฮาส์ก็ดีอย่างนี้...
...ระเบียงกว้างอย่างกับสนามเด็กเล่น...
เวลาอยู่ที่บ้านเช่าเขาไม่เคยได้หยิบกีต้าร์ของตัวเองออกมาเล่นเพราะรู้ว่าผนังห้องมันบาง ไม่อยากจะให้เสียงดนตรีของตัวเองมันรบกวนชาวบ้านชาวช่องเขา
จินดาเอนกายลงกับเก้าอี้หวายเทียมก่อนเริ่มขยับนิ้วสร้างเสียงเพลงอย่างสบายอารมณ์ การได้มานั่งเล่นกีต้าร์คลอเสียงลมหวีดหวิวแบบนี้มันช่างผ่อนคลายดีเหลือเกิน
ค่ำคืนของสถาปนิกไฟแรงดำเนินไปเช่นนั้นอยู่นานหลายนาทีกว่าที่ใครอีกคนจะออกมาแจมด้วย
ธีรชาติที่ตอนนี้เปลี่ยนมาอยู่ในชุดนอนแล้วเดินเข้ามาหย่อนกายลงนั่งข้างๆกันพร้อมด้วยเบียร์นอกสองกระป๋อง
“ไม่ยักรู้ว่าจินเล่นกีต้าร์เป็นด้วย”
“เห็นอย่างนี้สมัยเรียนผมเคยมีวงเชียวนา เล่นปิดงานรับน้องทุกปีเลย แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้เล่นแล้ว ฝีมืออาจจะตกไปบ้าง” จินดากล่าวโดยที่นิ้วมือก็ยังเกาสายทั้งหกไม่หยุด “แล้วพี่ล่ะ เล่นมานาน’ยัง?”
“ก็..ตั้งแต่สมัยเรียนเหมือนกัน แต่พี่เล่นไม่ค่อยเก่งหรอก แค่มีติดบ้านไว้แก้เซ็งเท่านั้นแหละ” ผู้บริหารทายาทตระกูลดังยกสองมือขึ้นประสานกันไว้ที่ท้ายทอยขณะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ “จินเล่นให้พี่ฟังสักเพลงสิ”
“เอาเพลงอะไรดี”
“อะไรก็ได้ที่จินถนัด...ร้องด้วยนะ จะนอนฟัง”
“โธ่ เมื่อก่อนผมเป็นมือกีต้าร์ไม่ใช่นักร้องนำ ผมร้องเพลงไม่ค่อยเพราะหรอก”
“ร้องไปเถอะน่า”
เมื่อถูกคะยั้นคะยอมาแบบนั้น ในที่สุดจินดาก็ยอมทำตามคำขอ
นักออกแบบหนุ่มดีดเพลงเก่าซึ่งธีรชาติจำได้ว่าเป็นเพลงที่เคยฮิตในปลายยุคเก้าศูนย์ เสียงของจินฟังดูคล้ายจั๊ก ชวิน นักร้องเจ้าของเพลง
...ไหนว่าร้องเพลงไม่ค่อยเพราะ...
...ละมุนหูดีจะตาย...
เสี้ยวหน้าด้านข้างของจินดาในยามนี้ดูเข้ากับจังหวะเนิบช้าของดนตรีที่เจ้าตัวกำลังบรรเลงได้เป็นอย่างดี ดูแล้วก็รู้สึกว่าสบายตายิ่งกว่าภาพวิวทางทิศใด
เป็นเพราะอยู่บนชั้นสูงสุดของอาคาร สายลมที่พัดพรางกายคนทั้งคู่จึงแรงจนทำให้รู้สึกหนาวได้ เส้นผมดำขลับของสถาปนิกร่างเล็กปลิวไสวระผิวสีน้ำนมข้าว
ปกติธีรชาติไม่ใช่คนคลั่งขาว สเป็คผู้หญิงที่ชอบออกจะเป็นแนวคมเข้มเสียด้วยซ้ำ
...เพียงแต่...
...เขาคิดว่าผิวสีนี้กับเครื่องหน้าแต่ละส่วนของจินดามันช่างดูเข้ากันได้ดีเหลือเกิน...
ผู้บริหารหนุ่มยันกายขึ้นจากเก้าอี้ก่อนเดินหายกลับเข้าห้องไป จินดาหันมองเพียงนิดแต่ก็ไม่ได้หยุดร้องหยุดเล่นลงแต่อย่างใด
...แล้วภายในเวลาแค่ไม่กี่ชั่วอึดใจธีรชาติก็เดินกลับมา...
จินดารู้สึกได้ถึงน้ำหนักของเสื้อตัวหนึ่งที่ถูกวางคลุมลงมาตรงไหล่ ก่อนที่เพียงเสี้ยวพริบตาถัดมาสถาปนิกหนุ่มจะต้องสะดุ้งตัวขึ้นน้อยๆเมื่อธีรชาติยกเอาฮู้ดของเสื้อตัวที่ว่าขึ้นมาคลุมศีรษะให้
...แล้วจากนั้นฝ่ามืออุ่นหนาก็จับเข้าที่กลางกระหม่อมของเขาอย่างเต็มไม้เต็มมือพลางออกแรงโยกไปมาเบาๆ...
...เสียงดนตรีหยุดลงในตอนนั้นเอง...
สัมผัสจากคนเป็นเจ้าของห้องทำให้จินดาเผลอตัวหดคอลงเล็กน้อยก่อนเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาเรียวรีกระพริบปริบๆอยู่สองถึงสามทีจนอีกฝ่ายต้องค่อยๆยกมือออกด้วยท่าทีเก้กัง
“ขอโทษที...เล่นต่อไปสิ กำลังเพราะเลย”
ธีรชาติทิ้งตัวกลับลงไปบนเก้าอี้ตัวเดิมแล้วเบนสายตาขึ้นมองผืนฟ้าสีเข้มแทนการสบตากับจินดา
...ก็แค่เห็นว่าแขกคนสำคัญนั้นขี้หนาว ก็เลยเอาเสื้อมาคลุมให้...
...มีอะไรผิดแปลกตรงไหนกัน?...
.
.
.
