ราคาฝัน # 15
ธีรชาติเบิกตากว้างขณะปรี่เข้ามาพยุงตัวคนซุ่มซ่ามที่ทำท่าจะทรุดแหล่มิทรุดแหล่ไว้โดยพลัน เลือดสีแดงสดปริมาณไม่น้อยที่ปรากฏสู่สายตาทำเอาเขาตื่นตัวสุดระดับ
ท่อนแขนแข็งแกร่งทั้งสองข้างสอดเข้าไปในตำแหน่งที่เหมาะแก่การรับน้ำหนัก นักธุรกิจคนดังช้อนตัวจินดาขึ้นจากพื้นก่อนจะรีบพากลับเข้าไปนั่งพักที่เก้าอี้ทางด้านใน
“ทำอีท่าไหนเนี่ย! ทำไมไม่ระวัง!” หลังจากวิ่งวุ่นหากล่องปฐมพยาบาลอยู่ครู่ธีรชาติก็สาวเท้าเข้ามาดูแผลให้คนเจ็บอีกครั้ง สุ้มเสียงที่เขาใช้ถามออกไปนั้นฟังดูไม่สบอารมณ์เอาเสียเลย
สถาปนิกหนุ่มนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวดพลางเหลือบสายตามองใบหน้าบึ้งตึงของอีกฝ่ายไปด้วย
...เขาไม่น่าซุ่มซ่าม...
...ไอ้เซรามิคนั่นท่าทางจะชิ้นละหลายตังค์เสียด้วยสิ...
“ขอโทษครับ” จินดากล่าวออกไปเพียงแผ่วเบา แต่คำของเขาก็ไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร
“แผลเยอะมากเลยจิน เศษชิ้นเล็กชิ้นน้อยมันฝังอยู่ในเนื้อเต็มไปหมด ต้องไปหาหมอแล้วล่ะแบบนี้ เอาออกเองไม่หมดแน่ๆ” ธีรชาติเงยหน้าขึ้นบอกเช่นนั้น “เดี๋ยวพี่พาไป รอแป๊บนะ”
ว่าแล้วชายหนุ่มทายาทตระกูลดังก็รีบวิ่งไปหยิบกุญแจรถและกระเป๋าสตางค์อย่างรวดเร็ว
“ไม่เป็นไรพี่ เดี๋ยวผมไปเอง” จินดาตะโกนบอกก่อนจะพยายามยันกายขึ้นจากเก้าอี้อีกครั้งด้วยกลัวว่าจะต้องรู้สึกอึดอัดใจไปมากกว่านี้
“สภาพนี้จะไปเองท่าไหน!?” ธีรชาติเดินกลับมาพร้อมกับของที่ต้องการ ใบหน้าคมคายดูถมึงทึงเหลือเกินในยามนี้ “ถ้าจะดื้อก็เลือกเวลานิดนึงนะจิน มานี่..พี่พาไป”
“เฮ้ยๆ...ไม่เอา” สถาปนิกหัวรั้นขืนตัวไว้เมื่ออีกฝ่ายตั้งท่าจะอุ้มเขาขึ้นในท่าเดียวกันกับเมื่อสักครู่ “ไม่ต้องอุ้ม..ผมยังเหลือขาอีกข้าง ผมพอเดินได้”
เมื่อได้ยินดังนั้นผู้บริหารหนุ่มก็ส่งเสียงจึกจักออกมาในทันที “เดินเองแล้วเมื่อไหร่จะถึงรถ?”
“แต่ว่ามัน...”
“ไม่อุ้มก็ไม่อุ้ม” ธีรชาติส่ายศีรษะไปมาอย่างนึกระอาใจก่อนจะค่อยๆย่อเข่าลงเบื้องหน้าคนดื้อ “ถ้าไม่ให้อุ้มก็ขึ้นมา”
พอสถานการณ์เป็นแบบนี้ในที่สุดจินดาจึงจำต้องทำตามแต่โดยดี
...อย่างไรขี่หลังก็คงดีกว่าโดนอุ้มแน่ๆล่ะ...
...ผู้ชายอุ้มผู้ชายในท่านั้น ใครเห็นคงรู้สึกประหลาดใจพิลึก...
นักออกแบบหนุ่มวาดแขนยึดรอบบ่าธีรชาติไว้ด้วยท่าทางเก้กัง การที่เนื้อตัวสัมผัสโดนกันแนบแน่นอีกครั้งทำให้เขาอดนึกไปถึงท่านอนชวนจั๊กจี้เมื่อคืนไม่ได้...
.
.
.
เป็นเพราะพี่สาวกับพี่เขยเปิดบริษัทส่งออกและต้องบินไปติดต่องานที่ต่างประเทศอยู่บ่อยๆ โกวิทจึงมักได้รับมอบหมายให้ดูแลเจ้าหลานตัวดีวัยแปดขวบแทนอยู่เป็นประจำ
...วันนี้ก็เช่นกัน...
“ดีโน่ปวดท้อง..ฮึก..ดีโน่ปวดมากเลยคับน้าโก๋”
“รอหน่อยนะดีโน่ ใกล้ถึงโรงพยาบาลแล้ว” สถาปนิกหนุ่มผู้ซึ่งต้องกลายร่างเป็นคุณพ่อชั่วคราวขยับพวงมาลัยพารถเปลี่ยนเลนเพื่อหาช่องทางที่ดีที่สุดด้วยความร้อนใจ “ใกล้แล้วๆ”
จู่ๆเช้าวันนี้เจ้าหลานชายตัวน้อยก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกับการทำตัวงอพลางร้องไห้จ้าบอกว่าปวดท้องไม่หยุดปาก เมื่อลองถามไถ่ดูก็พอจะได้ความว่าเมื่อวานมีเพื่อนแอบซื้อส้มตำจากหน้าโรงเรียนมาแบ่งให้กิน สุดท้ายเขาจึงต้องรีบจับยัดเข้ารถพามาโรงพยาบาลทั้งที่ยังใส่ชุดนอนกันอยู่ทั้งน้าทั้งหลานแบบนี้แหละ
.
.
.
ปกติจินดาไม่ใช่คนใจเสาะ ช่วงชีวิตที่ผ่านมาก็ได้แผลได้รอยช้ำจากการใช้ชีวิตแบบอยู่ไม่สุขออกบ่อยไป แต่สำหรับเศษเซรามิคจำนวนนับสิบจุดที่ฝังอยู่ใต้ฝ่าเท้าในครั้งนี้มันเยอะเสียจนทำให้เขารู้สึกระบมไปหมด ซ้ำบางตำแหน่งก็ยังฝังอยู่ลึกสุดๆเสียด้วยสิ
สถาปนิกหนุ่มนั่งเกร็งตัวขณะที่พยาบาลและหมอประจำห้องฉุกเฉินช่วยกันคีบสิ่งแปลกปลอมออกจากเนื้อให้ทีละชิ้นด้วยความหวาดเสียว เขาเผลอกำมือเสียแน่นด้วยหวังว่าหากทำเช่นนั้นจะช่วยให้ความเจ็บปวดทุเลาลงไปได้บ้าง
ในระหว่างที่กำปั้นของจินดาเริ่มจะกระชับขึ้นเรื่อยๆ จู่ๆฝ่ามืออุ่นหนาของใครอีกคนที่ยืนอยู่ข้างกันก็สอดเข้ามาคลายความเขม็งให้
...นิ้วมือทั้งสิบของเขาและธีรชาติประสานกันอย่างแนบแน่นโดยการนำพาของอีกฝ่าย...
จินดาเงยหน้ามองเจ้าของสัมผัสก่อนจะต้องรู้สึกวูบโหวงขึ้นมาในช่องท้องอีกครั้งเมื่อได้พบกับสายตาเป็นมิตรแบบที่เขาไม่ได้เห็นมาหลายวัน
...ธีรชาติดูใจดีเหมือนอย่างที่เคยแล้ว...
นักออกแบบผู้ซึ่งอยู่ในอารมณ์หม่นหมองมาเป็นสัปดาห์เกือบจะเผลอยิ้มออกมาอยู่แล้วเชียวถ้าไมใช่เพราะว่าเศษเซรามิคชิ้นใหญ่เพิ่งจะถูกคุณหมอคีบออกจากกลางฝ่าเท้าไปอีกชิ้นหนึ่ง ชายหนุ่มสะดุ้งตัวขึ้นน้อยๆด้วยความเจ็บปวดแล้วจึงละสายตาออกจากใบหน้าของผู้บริหารคนดังเพื่อหันกลับไปมองที่ปลายขาตัวเองต่อตามเดิม
“ปวดท้อง..ฮึก..” ในตอนนั้นเสียงร้องไห้งอแงของเด็กน้อยสักคนก็ดังเข้าหูทุกคนในบริเวณมา “..ฮึก..ดีโน่ปวดท้องคับ”
ไม่มีใครให้ความสนใจกับสิ่งที่ได้ยินมากนักเมื่อสถานที่แห่งนี้คือห้องฉุกเฉิน ไม่แปลกอะไรหรอกที่จะมีเด็กปวดท้องถูกพามาหาหมอ
พยาบาลพาเจ้าหนูคนที่ว่ามานอนลงที่เตียงข้างๆจินดา
“..จิน..”
เสียงเรียกนี้ต่างหากที่ดึงความสนใจจากทั้งตัวเจ้าของชื่อและคนที่มาด้วยกันไปได้อย่างง่ายดาย
จินดาและธีรชาติหันไปมองทางต้นเสียงโดยพลัน
“..อ..อ้าว พี่โก๋..” สถาปนิกหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจที่ได้เจอรุ่นพี่คนสนิทในสถานการณ์แบบนี้ ซึ่งทางฝ่ายนั้นเองก็ดูจะตกใจไม่แพ้กันเลย
...ไม่สิ...
...บางทีอาจตกใจมากกว่าเขาเสียอีก...
“อาการก่อนหน้านี้เป็นยังไงบ้างคะ?” คำถามจากหมอที่เดินเข้ามาดูอาการดีโน่ที่ข้างเตียงเรียกให้โกวิทต้องหันกลับไปให้ความสนใจกับหลานชายตัวน้อยอย่างช่วยไม่ได้ ความประหลาดใจที่ได้เจอรุ่นน้องคนดีในช่วงเวลาแบบนี้เป็นอันต้องถูกพับเก็บไว้ชั่วคราว
ตอนนี้ความเจ็บปวดตรงฝ่าเท้าไม่มีผลอะไรต่อจินดาอีกต่อไปแล้วเพราะความกังวลที่เกิดขึ้นในใจมันแทรกขึ้นมาแทนที่
...เจอใครไม่เจอ มาเจอคนที่บริษัท...
ฝ่ามือที่สอดประสานอย่างแนบแน่นอยู่กับมือของธีรชาติถูกนักออกแบบหนุ่มดึงออกแทบจะในทันทีที่ตั้งสติได้ ซึ่งเมื่อจินดาทำเช่นนั้นนักธุรกิจคนดังจึงได้แต่ก้มลงมองใบหน้าอ่อนใสที่ตอนนี้เจือแวววิตกด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์เงียบๆเท่านั้น
.
.
.
ผลสรุปจากปากคุณหมอคือดีโน่อาหารเป็นพิษและต้องแอดมิทดูอาการอยู่ที่นี่หนึ่งคืนและตอนนี้หนูน้อยก็ถูกพยาบาลเข็นขึ้นไปรอที่ห้องพักคนไข้ก่อนแล้ว
เมื่อโกวิทจัดการเรื่องเอกสารทั้งหมดทั้งปวงจนเรียบร้อยเขาจึงถือโอกาสนี้เดินย้อนเข้าไปในห้องฉุกเฉินอีกครั้ง
“สวัสดีครับคุณชาติ” ชายหนุ่มเอ่ยทักคนที่ไม่น่าจะมาอยู่ตรงนี้กับรุ่นน้องของเขาก่อนเป็นลำดับแรก “บังเอิญมากเลยครับที่ได้เจอกันที่นี่”
“จริงด้วย เด็กผู้ชายคนเมื่อกี้นั่นหลานเหรอครับ? อาการดีขึ้นหรือยัง?”
“ใช่ครับ หลานผมเอง ตอนนี้แกเริ่มสงบลงบ้างแล้วล่ะ” เมื่อบอกกล่าวจนพอได้ใจความโกวิทก็หันไปหาคนที่นั่งยิ้มเจื่อนมองเขามาจากบนเตียง “เท้าไปโดน’ไรมาวะมึง?” เขาเอ่ยถามเพียงสั้นๆพลางเบนสายตามองไปยังคุณพยาบาลคนสวยที่กำลังพันผ้าปิดแผลให้เจ้ารุ่นน้องตัวดีอยู่อย่างตั้งอกตั้งใจ
“เหยียบเศษของแตก...หลายแผลเลยพี่”
“ไอ้ซุ่มซ่าม” โกวิทว่าเช่นนั้นพลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นจับศีรษะทุยมนของคนเจ็บโยกไปโยกมาเบาๆโดยที่ผู้บริหารคนดังเองก็ยังยืนมองอยู่ไม่ห่าง “ว่าแต่...นี่มึงมากับคุณชาติได้ยังไงเนี่ย?”
...คำถามที่จินดานึกกลัวมาตั้งแต่แรกถูกโกวิทส่งออกมาจนได้...
สถาปนิกรุ่นเล็กออกอาการอึกอักขึ้นมาแม้ว่าจะพยายามควบคุมตัวเองแล้วก็ตามที “..แค่บังเอิญน่ะพี่..เรื่องมันยาว..”
“อ๋อเหรอ งั้นไว้ค่อยเล่าทีหลังก็ได้..รบกวนคุณชาติแย่เลยนะครับแบบนี้”
“ก็ไม่ได้หนักหนาอะไรหรอกครับ เรื่องเล็กน้อย” ธีรชาติตอบกลับพร้อมรอยยิ้มเชื่อมไมตรี
“..ล..แล้วดีโน่ไปไหนแล้วอะพี่?..”
“โดนจับแอดมิท ตอนนี้พยาบาลพาขึ้นไปที่ห้องแล้ว”
“อ้าว แล้วพี่ไม่ต้องดูหลานเหรอ?”
“ก็เดี๋ยวไปเนี่ย กูเพิ่งจัดการเรื่องเบิกประกันเสร็จ...นี่ถ้าไม่ต้องอยู่เฝ้าดีโน่นะกูขับรถไปส่งมึงแล้ว ตั้งใจจะกลับยังไง? แท็กซี่ไหม? เดี๋ยวกูเรียกให้”
“..เอ่อ...แท็กซี่ก็ดีเหมื..อ...”
“เดี๋ยวผมไปส่งเขาเองครับ” ธีรชาติชิงพูดขึ้นมาตั้งแต่ประโยคของจินดายังไม่จบลงด้วยน้ำเสียงหนักแน่น สายตาของเขาเหลือบสบกับคนเจ็บครู่หนึ่งก่อนจะเบนกลับมาหาบุคคลที่สามอีกครั้ง “ที่อยู่ของผมกับจินใกล้กันนิดเดียว คุณโก๋ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ..จะดูแลให้”
เมื่อได้ยินดังนั้นโกวิทก็เผลอตัวขบแนวฟันลงบนริมฝีปากเบาๆ
...น่าหงุดหงิดเหลือเกินที่เขาไม่อยู่ในฐานะที่จะเจ้ากี้เจ้าการกับชีวิตของจินดาไปมากกว่าการถามไถ่เช่นนี้ได้...
“คุณชาติ..ใจดีมากเลยครับ ผมต้องขอบคุณแทนมันด้วย” สุดท้ายโกวิทก็พูดได้เพียงเท่านี้ “ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวขึ้นไปอยู่เป็นเพื่อนหลานก่อนนะครับ..กูไปนะไอ้จิน”
...เมื่อครู่เขาเห็น...
...เห็นเป็นอย่างดีเชียวล่ะว่าในตอนแรกที่เขาเข้ามาถึงห้องฉุกเฉินแห่งนี้มือของคนทั้งสองเกาะกุมกันแนบแน่นเพียงใด...
...หากไม่ใช้เพราะถูกหมอเรียก ไม่แน่ว่าเขาอาจเผลอเดินไปดึงมันออกโดยไม่รู้ตัวแล้วก็ได้...
และนอกจากเรื่องนั้นโกวิทก็ยังจำได้ดีอีกด้วยว่าเสื้อผ้าที่รุ่นน้องคนดีสวมใส่อยู่นั้นคือชุดทำงานชุดเดียวกันกับที่มันใส่ไปออฟฟิศเมื่อวาน
...การที่จินดาโผล่มาอยู่กับธีรชาติตั้งแต่เก้าโมงเช้าโดยที่ไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าแบบนี้นี่จะคิดได้สักกี่แบบกันหนอ?...
...ยังไม่รู้หรอกว่าอะไรเป็นอะไร รู้เพียงอย่างเดียวว่าเขาไม่อยากให้รุ่นน้องใช้เวลากับธีรชาติไปมากกว่านี้เลย...
โกวิทค่อยๆขยับกายเข้าไปหาคนบนเตียงก่อนจะทำในสิ่งที่เขาไม่ค่อยมีโอกาสได้ทำบ่อยนัก
ชายหนุ่มสวมกอดคนเจ็บไว้เพียงหลวมๆหากแต่เนิ่นนาน ฝ่ามือหนาใหญ่ยกขึ้นลูบเส้นผมนุ่มลื่นอีกครั้ง
ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าทำให้ธีรชาติเผลอเบิกตากว้าง ส่วนจินดาซึ่งไม่ค่อยเข้าใจในการกระทำของรุ่นพี่คนสนิทนักก็ได้แต่คลี่ยิ้มออกมาพลางตบหลังอีกฝ่ายปุๆ “อารมณ์ไหนวะเนี่ยพี่?”
“หายไวๆนะมึง” โกวิทกล่าวคำอวยพรที่ข้างหูของอีกฝ่ายเพียงแผ่วเบาแล้วจึงผละร่างออกมาทั้งที่ยังกอดไม่เต็มอิ่ม “กูไปละ”
“เจอกันพี่”
ก่อนจะเดินออกจากที่ตรงนั้นมา โกวิทจงใจเบนสายตาสบกับธีรชาตินิ่งๆราวกับมีเรื่องอยากส่งผ่าน รอยยิ้มที่เคยมีให้ในช่วงแรกเลือนหายจากใบหน้าครึ้มหนวดครึ้มเคราไปจนเกลี้ยงแล้ว
คิ้วหนาเข้มอันเป็นเอกลักษณ์ของผู้บริหารหนุ่มกระตุกเข้าหากันขณะจ้องตอบกลับไป
...ทั้งที่ปราศจากซึ่งถ้อยคำ แต่ก็น่าประหลาดเหลือเกินที่ดูเหมือนว่าชายทั้งสองจะเข้าใจกระแสจากแววตาของกันและกันได้เป็นอย่างดี...
...เห็นจะมีก็แต่จินดาที่กำลังหันไปกล่าวคำขอบคุณกับพยาบาลสาวเท่านั้นที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับเขาเลย...
.
.
.
