ราคาฝัน # 19
“เมื่อวานผมก็นอนมาทั้งวันแล้วนะพี่นะ วันนี้ขอทำงานบ้างไม่ได้เหรอ?” คนที่จนถึงป่านนี้ก็ยังถูกเจ้าของห้องบังคับให้เอนกายอยู่บนเตียงหลังกว้างเอ่ยท้วงขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง เรียวคิ้วได้รูปขมวดเข้าหากันจนแทบผูกเป็นปมได้ ซึ่งเมื่อเห็นดังนั้นธีรชาติก็ไม่รอช้า รีบยกนิ้วขึ้นจิ้มไปตรงรอยยับย่นเหนือสันจมูกโดยพลัน
“อย่าทำคิ้วขมวด เดี๋ยวหน้าแก่เร็วนะ” นักธุรกิจคนดังตักเตือนเสียงเข้ม “วันนี้จินยังมีไข้อยู่นิดหน่อย เดี๋ยวนอนพักอีกสักครึ่งวัน แล้วถ้าอยากทำงานบ่ายๆเราค่อยมาว่ากัน”
“อีกนิดนึงผมจะเรียกพี่ว่าพ่อแล้วเนี่ย”
“ก็ลองเรียกดูสิ พี่จะหยุดช่วยงานจินทันทีเลย”
“โธ่..”
“พอๆ เลิกชวนคุยได้แล้ว นอนซะ..พี่ไปทำเรนเดอร์ต่อดีกว่า” ว่าแล้วผู้บริหารหนุ่มก็ขยับนิ้วดีดกะโหลกคนหัวดื้อไปเสียหนึ่งที
...เวลาต้องจัดการกับคนไฟแรงนี่มันใช้พลังงานเยอะจริงๆเลย...
...บอกให้นอนเฉยๆไม่เอา รั้นจะลุกขึ้นมาทำงานท่าเดียว...
จินดายังคงนอนทำปากขมุบขมิบบ่นถึงความเข้มงวดของธีรชาติต่ออีกหน่อย พลางสายตาก็มองตามแผ่นหลังกว้างที่เคลื่อนพ้นกรอบประตูบานสวยออกไป
“นอนก็นอนวะ” ชายหนุ่มกล่าวเสียงเบาแม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครอื่นอยู่ในห้องแล้วก็ตามก่อนที่ในวินาทีถัดมาเปลือกตาเรียบเนียนจะค่อยๆหย่อนตัวลงปิดตามที่คุณเศรษฐีคนนั้นต้องการ
.
.
.
หลังจากผ่านไปนานหลายชั่วโมงในที่สุดจินดาก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นจากห้วงนิทราอีกครั้ง
...ใครบางคนกำลังคุยกับธีรชาติอยู่ข้างนอกนั่น...
...เสียงผู้หญิง...
สถาปนิกผู้ป่วยไข้กะพริบตาปริบๆขับไล่ความพร่ามัวออกจากทัศนวิสัยพลางใช้เวลาเดียวกันนี้เรียกสติกลับคืนสู่สมอง และเมื่อได้ลองตั้งใจฟังสาระสำคัญในบทสนทนาที่แว่วเข้าหูมาดีๆแล้วเขาก็เริ่มเข้าใจในสถานการณ์มากขึ้น
...เดาจากเสียง ผู้หญิงคนที่ว่าก็คงเป็นใบตอง รมิตาคนสวย...
...เคยได้ยินจากทีวีอยู่บ่อยๆ ทำไมจะจำไม่ได้...
“ตองเคยบอกว่าตองทำคีย์การ์ดหายก็เพราะตอนนั้นคิดว่าทำหายจริงๆ แต่ตอนนี้ตองหาเจอแล้วไงคะ พี่ชาติมองตองในแง่ร้ายเกินไปแล้ว” “ถ้างั้นพี่ขอมันคืนด้วย” ฟังดูเหมือนว่าธีรชาติกำลังไม่สบอารมณ์นัก
“ทำไมคะ? แค่จะไปมาหาสู่ก็ไม่ได้เลย? พี่ชาติลำบากใจมากเหรอที่ต้องเจอตอง?” “ใช่ครับ พี่ลำบากใจ” ผู้บริหารหนุ่มตอบโดยไม่มีการอ้อมค้อม สุ้มเสียงที่ใช้ฟังดูเข้มยิ่งกว่าตอนสั่งให้เขากินข้าวเช้าเมื่อวานเสียอีก
“นอกจากจะลำบากใจแล้วตอนนี้พี่ยังรู้สึกเหมือนกำลังโดนตองคุกคามความเป็นส่วนตัวด้วย มีอย่างที่ไหนบุกขึ้นมาถึงห้องไม่บอกไม่กล่าว ไลน์มาถามสักนิดก็ยังดีว่าสะดวกไหม แต่ตองก็ไม่ทำ” แว่วเสียงหัวเราะขึ้นจมูกดังมาจากฝ่ายหญิงสาว
“พูดอย่างกับเวลาตองไลน์หาแล้วพี่ชาติเคยเปิดอ่านอย่างนั้นแหละ” เธอว่าเช่นนั้นก่อนจะพาบทสนทนาเปลี่ยนทิศทางไปดื้อๆ
“ว่าแต่...กลับมาคราวนี้รู้สึกห้องพี่ชาติจะดูเปลี่ยนไปนะคะ ทำไมของเยอะจัง? เมื่อก่อนไม่เห็นเคยมีกองกระดาษวางเกลื่อนห้องแบบนี้ นู่นด้วย...ทำไมถึงมีหุ่นยนต์ล่ะ? หลานมาเล่นที่ห้องเหรอ?” นอนฟังมาถึงตรงนี้จินดาก็ได้แต่เหยียดปากยิ้มเจื่อนอยู่ในความเงียบ ก็ไอ้บรรดาข้าวของที่คุณดาราสาวพูดมาน่ะมันของๆเขาทั้งนั้นแหละ อุปกรณ์ทำโมเดลกับพวกกระดาษสเก็ทช์ถูกเขารวบเก็บไว้เป็นกองๆตามจุดต่างๆของห้อง ส่วนหุ่นยนต์ตัวที่ว่าก็คือกันดั้มตัวที่เขาและธีรชาติช่วยกันต่อเมื่อหลายวันก่อน ทั้งที่มันดูไม่เข้ากับเครื่องเรือนชิ้นใดในเพนต์เฮาส์สุดหรูแห่งนี้เลยแต่ผู้บริหารหนุ่มก็ยืนยันที่จะขอเอามันมาวางโชว์ไว้กลางห้อง
...ตลกดีไหมเล่า?...
ธีรชาติไม่ได้ตอบคำถามของหญิงสาว เขาเพียงแต่ส่งคำถามอื่นกลับไปให้เธอด้วยน้ำเสียงที่ถูกกดต่ำลงอีกนิด
“สรุปแล้ววันนี้ตองมาทำอะไร?” “ตองแวะมาเอากล่องเครื่องประดับค่ะ ลืมไว้ที่นี่ตั้งนานแล้ว” “เก็บไว้ตรงไหน เดี๋ยวพี่ไปเอาให้” “อยู่ในคลอเซ็ต แต่ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวตองไปหยิบเอง” เรื่องราวทางด้านนอกเป็นอย่างไรคนหลังประตูอย่างจินดาก็สุดจะคาดเดา ตอนนี้เขาได้ยินเพียงเสียงของธีรชาติที่กำลังร้องบอกเจ้าหล่อนว่า ‘อย่าเข้าไป’ ซึ่งหลังจากสิ้นประโยคปุ๊บ บานประตูก็ถูกเปิดออกปั๊บ
...ห้ามไม่ทันสินะ...
นากเอกสาวคนงามชะงักความเคลื่อนไหวลงในทันทีที่เธอได้ประจักษ์ว่าบนเตียงหลังกว้างที่เคยคุ้นนั้นมีใครบางคนจับจองมันไว้อยู่ ซึ่งฝ่ายจินดาที่รีบยันกายขึ้นนั่งเองก็มีทีท่ากระอักกระอ่วนไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย
“..ข..ขอโทษค่ะ ไม่ทราบว่ามีคนอยู่ในนี้” หญิงสาวกล่าวไม่เต็มเสียงกับคนแปลกหน้า ใบหน้าสวยหวานของเธอผินหาเจ้าของห้องที่ตอนนี้ได้แต่ยืนปั้นหน้าเข้มอยู่ทางด้านหลัง “..พี่ชาติน่าจะบอกตองก่อน..”
“บอกแล้วฟังหรือเปล่าล่ะ?”
นางเอกคนดังยืนเก้กังคากรอบประตู ตอนนี้เธอไม่แน่ใจนักว่าควรทำตัวอย่างไรต่อ
“..อ..เอ่อ..ตามสบายนะครับ..ไม่ต้องสนใจผม..” จินดากล่าวขึ้นมาเช่นนั้น ก่อนจะเปล่งเสียงหัวเราะแห้งๆกลบบรรยากาศน่าอึดอัดที่กำลังปกคลุมไปทั่วห้อง
ดาราสาวค้อมหัวให้ผู้พูดเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจเดินต่อเข้าไปยังตู้เสื้อผ้าแบบวอล์คอินของธีรชาติอย่างคนที่คุ้นเคยผังห้องเป็นอย่างดี
...ดูจากท่าทางแล้วเดาได้ไม่ยากเลยว่าเธอเองก็คงเคยใช้ห้องๆนี้เป็นที่หลับที่นอนมาหลายต่อหลายครั้งเช่นกัน...
จินดากลืนน้ำลายเหนียวข้นที่ค้างอยู่ในปากตั้งแต่ตอนหลับลงคอไปพร้อมกับความรู้สึกแปลกพิกล ชายหนุ่มเบนสายตาออกจากเรือนร่างชวนมองของหญิงสาวไปหาธีรชาติที่ตอนนี้กำลังยืนกอดอกจังก้าทำคิ้วขมวดอยู่ที่หน้าประตูห้อง แต่ในทันทีที่ฝ่ายนั้นหันมาเห็นว่าตัวเองกำลังถูกเขาจับจ้อง สายตาที่ฉายชัดถึงแววไม่สบอารมณ์ก็ดูจะอ่อนลงโดยพลัน
...’ขอ-โทษ-นะ’...
แม้ไม่มีเสียง แต่จินดาก็อ่านปากของผู้บริหารคนดังออกได้อย่างง่ายดาย
สถาปนิกหนุ่มส่ายศีรษะไปมาเบาๆพร้อมรอยยิ้มเล็กๆที่ข้างมุมปากก่อนจะส่งภาษาใบ้กลับไปเช่นกันว่า ‘ไม่-เป็น-ไร’
เสียงกุกกักที่ดังมาจากในคลอเซ็ตเรียกให้จินดาหันหน้ากลับไปมองใบตอง รมิตาอีกครั้ง ดูเหมือนเธอจะหาของที่ต้องการเจอในที่สุด
...หากแต่...
เมื่อได้กล่องใส่เครื่องประดับสมใจแล้ว แทนที่จะรีบเดินออกมาหญิงสาวกลับหยุดยืนจ้องบรรดาเสื้อผ้าที่ถูกแขวนไว้เป็นตับอยู่บนราวด้วยสีหน้าประหลาด ดูคล้ายกับว่าเธอกำลังครุ่นคิด
...แม้ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่เห็นแบบนี้แล้วก็ไม่รู้ทำไมจินดาถึงได้รู้สึกหวั่นใจแปลกๆ...
.
.
.
“ผู้ชายคนนั้นใครเหรอคะ?” ใบตองเอ่ยถามขึ้นเมื่อประตูห้องนอนถูกปิดลงไปแล้ว ตอนนี้ตัวเธอและอดีตคนรักกลับมายืนกันอยู่ในห้องนั่งเล่นอีกครั้ง
“เพื่อนครับ” ธีรชาติตอบเพียงสั้นๆ สุ้มเสียงที่ใช้ฟังดูห้วนถ้วนไม่รื่นหูนัก
“ตองไม่คุ้นหน้าเลย”
“ก็เพิ่งรู้จักกัน”
“เพิ่งรู้จักแต่สนิทถึงขั้นพามานอนเล่นในห้องเลยเหรอ? ปกติพี่ชาติไม่ค่อยชอบให้ใครมารบกวนเวลาส่วนตัวนี่ ตองจำได้”
“ทุกอย่างมีข้อยกเว้น...ถ้าได้ของที่ต้องการแล้วก็กลับไปเถอะตอง พี่มีเรื่องต้องทำอีกเยอะ”
บรรยากาศรอบกายคนทั้งสองเงียบไปครู่หนึ่ง คนถูกไล่ไม่ยอมย้ายที่ไปไหน เจ้าหล่อนยังคงยืนยันที่จะเล่นเกมจ้องตากับชายหนุ่มอยู่อย่างเก่า
...สัญชาตญาณของเธอร้องบอกว่ามีบางสิ่งไม่ปกติกำลังเกิดขึ้นกับตัวธีรชาติ...
...เป็นบางสิ่งที่ชวนวิตกยิ่งกว่าการได้รู้ว่าธีรชาติมีผู้หญิงคนใหม่ข้างกายเสียอีก...
“...ตองเห็นในคลอเซ็ตมีเสื้อของคนอื่นแขวนปนอยู่ด้วยตั้งหลายตัว...ใช่ของเพื่อนพี่ชาติคนเมื่อกี้หรือเปล่าคะ?...” หญิงสาวเอ่ยถามออกมาทั้งที่ในใจรู้สึกโหวงๆคล้ายตกจากที่สูง
“ใช่”
เกิดเป็นความเงียบขึ้นปกคลุมไปทั่วบริเวณอีกครั้ง
รมิตายืนขบริมฝีปากสีสดนิ่งๆพลางพยายามจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของชายซึ่งได้ชื่อว่าเป็นแฟนเก่า เรียวคิ้วที่ได้รับการแต่งแต้มมาเป็นอย่างดีขมวดตัวเข้าหากันจนเสียรูป
“..เขาเป็น..
เพื่อนใช่ไหมคะ?..” เจ้าหล่อนเปิดปากถามย้ำพร้อมส่งแววตาวูบไหวออกไปให้คนถูกถามต้องรู้สึกลำบากใจเสียยิ่งกว่าเก่า
ธีรชาติหลุบตาหนีลงมองพื้นก่อนจะพยักหน้าตอบออกไปเบาๆ
...ชายหนุ่มรู้ดีถึงความหมายที่แฝงอยู่ในคำถามข้อเมื่อสักครู่ของคนตรงหน้า...
...เขารู้ดีว่าตอนนี้ในหัวเธอกำลังคิดอะไรอยู่...
“ที่มีเสื้อเขาในห้องพี่ชาติหลายตัวเพราะเขามาค้างที่นี่บ่อยเหรอคะ?”
คราวนี้ผู้บริหารหนุ่มพยักหน้ารับอีกครั้ง
“ทำไมถึงมาค้างบ่อยคะ?”
“เรื่องงาน...ตอง พี่บอกแล้วว่าพี่มีอย่างอื่นต้องทำ กลับไปเถอะ”
“งานอะไรเหรอคะ? ร้อยวันพันปีตองไม่เคยเห็นพี่ชาติพาใครที่ออฟฟิศขึ้นมาทำงานที่นี่ แล้วที่จริงเพนต์เฮาส์พี่ชาติก็มีห้องนอนให้แขกพักอีกตั้งหลายห้อง ทำไมถึงให้เขานอนในห้องส่วนตัวล่ะ...
ดูแปลกๆไหม?”
“ตอง พอได้แล้ว”
“พี่ชาติก็แค่ตอบตองมา ยากอะไร? ไม่เสียเวลามากนักหรอก”
ในขณะที่บทสนทนากำลังไต่ระดับความน่าอึดอัดขึ้นไปเรื่อยๆนั้นเอง บานประตูที่เพิ่งจะถูกปิดลงไปได้ไม่กี่นาทีก็ถูกเปิดออกมาอีกครั้ง ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้นธีรชาติและรมิตาต่างก็หยุดปากตัวเองไว้ทันควัน
ร่างกายขนาดสัดทัดของจินดาที่ตอนนี้เปลี่ยนจากชุดนอนมาใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์เรียบร้อยแล้วเดินโงนเงนออกมาพร้อมด้วยสีหน้าอิหลักอิเหลื่อ “..อ่า..ขอโทษที่ขัดจังหวะครับ พอดีผมจะออกไปข้างนอก..ตามสบายนะครับ..” ชายหนุ่มว่าเช่นนั้นก่อนจะค้อมหัวลงน้อยๆแล้วรีบเดินออกไปทางประตูห้อง
“เดี๋ยวสิจิน จะไปไหน?” ธีรชาติร้องเรียกก่อนจะสาวเท้าตามเข้าไปใกล้ตัว ทิ้งให้นางเอกคนดังได้แต่ยืนทอดสายตาติดตามสถานการณ์เงียบๆอยู่เพียงผู้เดียว
“ว่าจะลงไปหาอะไรกินหน่อย เดี๋ยวกลับมา”
“เฮ้ย ไม่เอาสิ ป่วยอยู่ อย่าเพิ่งออกไปข้างนอกเลย”
“ไม่ได้ป่วยขนาดนั้น นี่ก็ใกล้หายแล้ว...อยู่แค่ใต้ตึกนี่แหละ สบายมาก” สถาปนิกหนุ่มคลี่ยิ้มยืนยันคำพูด
“อยากกินอะไรก็บอก เดี๋ยวพี่ลงไปซื้อให้”
“ไม่ต้องหรอกน่า พี่กลับไปคุยกับคุณใบตองต่อเหอะ เกรงใจเขา...ไปละนะ บาย” จบประโยคจินดาก็ไม่รอให้อีกฝ่ายได้กล่าวคำทัดทานอะไรขึ้นมาอีก เขารีบตรงดิ่งหายออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เพนต์เฮาส์ทั้งยูนิตจึงเหลือเพียงอดีตคู่รักยืนกันอยู่สองชีวิตเท่านั้น
แม้จะไม่ได้ยินทุกคำพูดเนื่องด้วยระยะการยืนที่ห่างออกมาพอประมาณ แต่รมิตาก็หูดีจนได้ยินมากพอให้จับใจความได้ว่าเมื่อครู่พวกเขาคุยอะไรกัน
...ตอนนี้ใบหน้าราคาเรือนแสนของเธอชาไปหมด...
ธีรชาติหันกลับมา สีหน้าแววตาที่ส่งมาให้เธอนั้นเย็นชาต่างจากตอนที่ปรี่เข้าไปถามไถ่ผู้ชายคนเมื่อกี้ลิบลับ
“ตอง หมดธุระแล้วก็กลับไปได้ไหม? ที่นี่ไม่ใช่ที่ของตองแล้วนะ อย่าลืมสิ” ผู้บริหารคนดังกล่าวออกมาโดยไม่มีการอ้อมค้อม “พี่ไม่สะดวกใจให้ตองอยู่ที่นี่”
“เกรงใจเพื่อนเหรอคะ?”
“กลับไปได้แล้วตอง”
“พี่ชาติดูแลเพื่อนคนเมื่อกี้ดีจังเลยค่ะ เลี้ยงดูปูเสื่อดียิ่งกว่าตอนที่คบกับตองอีก”
ธีรชาติยกมือขึ้นบีบนวดไปมาที่ข้างขมับพลางผ่อนลมหายใจห้วงยาวผ่านปลายจมูก
“เป็นความสัมพันธ์ที่น่าติดตามนะคะตองว่า ไม่อยากเชื่อว่าพี่ชาติจะมีความสัมพันธ์แบบนี้กับเพื่อนผู้ชายที่ไหนได้...ตองตกใจหมดเลย”
“ตอง” ชายหนุ่มเอ่ยปรามหญิงสาวเสียงเข้ม ไม่ได้ตวาด ไม่ได้ทำเสียงดัง แต่ฟังดูก็รู้ว่าเขากำลังไม่พอใจอย่างถึงที่สุด
“กลับ-ไป-ได้-แล้ว” คนถูกไล่สูดลมหายใจเข้าจนอกพองขึ้น ใบตอง รมิตาวางสายตาจับจ้องไปที่ใบหน้าคมคายของอดีตคนรักนิ่งๆอยู่ครู่ แล้วในที่สุดหลังจากพยายามกดเก็บความรู้สึกอยู่นานเธอก็ยอมพยักหน้าลงเบาๆ
“กลับก็กลับค่ะ” หญิงสาวกระชับกระเป๋าสะพายใบสวยบ่นบ่าก่อนจะเริ่มก้าวเดินไปทางประตูตามที่คนเป็นเจ้าของห้องต้องการ
“เดี๋ยว” ธีรชาติรั้งไว้อีกครั้ง
“อะไรคะ?”
“ขอคีย์การ์ดคืนด้วยครับ”
.
.
.
