‘อยากได้บ้านแบบนี้สักหลัง’
นี่คือข้อความที่ธีรชาติทิ้งไว้บนแผ่นไม้เมื่อหกปีก่อนโดยไม่ได้ลงชื่อ
“นี่มันอาคารเรียน จะไปเหมือนบ้านได้ยังไง?
“ไม่สิ พี่หมายถึงว่าอยากได้บ้านที่มันให้ความรู้สึกคล้ายๆแบบนี้ ไม่ได้บอกว่าจะใช้ตึกเรียนอยู่แทนบ้านสักหน่อย” ธีรชาติว่าเช่นนั้นพลางขยับมือเคาะข้อนิ้วลงไปที่หน้าผากมนของอีกฝ่ายเพียงเบาๆ “วันก่อนพี่ไปเจอที่ดินแปลงนึงมา ราคาสมเหตุสมผลใช้ได้ ที่จริงทำเลมันก็เกือบๆหลุดออกไปทางชานเมืองแล้วล่ะ แต่ดูสงบดี เนื่อที่เยอะ ตอนนี้กำลังคิดอยู่ว่าจะซื้อมาปลูกบ้านดีหรือเปล่า พี่อยากได้บ้านโทนอบอุ่นๆแบบนี้แหละ อยู่คอนโดฯนานๆแล้วเริ่มเบื่อ อยากลงมาอยู่ใกล้ดินใกล้หญ้าบ้าง”
“อื้อหือ...นี่มันปัญหาเบสิกของคนเมืองที่เริ่มมีอายุแล้วชัดๆ”
“แหม พูดเหมือนตัวเองอายุห่างกับพี่สักยี่สิบสามสิบปี...นี่ ถ้าพี่ซื้อที่ดินแปลงนั้นมาจินช่วยออกแบบบ้านให้หน่อยได้ไหม? พี่จะจ้าง”
“ผมคิดค่าแบบแพงนะบอกไว้ก่อน”
ธีรชาติพ่นลมออกจมูกก่อนส่ายหน้าไปมา “ถ้าแพงมากก็แถมตัวเองมาด้วยแล้วกัน ออกแบบเสร็จก็ย้ายเข้ามาอยู่กับพี่เลย”
“จะไม่มีการแถมอะไรทั้งนั้น ผมเป็นเกรตเต็ก พี่ห้ามต่อรอง แพงคือแพง” คนพูดปั้นหน้าขึงขังก่อนจะพ่นเสียงหัวเราะออกมาหลังจากนั้น “ล้อเล่นๆ อย่างพี่ชาติแค่กระดิกนิ้วทีเดียวผมก็ทำให้ทุกอย่างแล้ว ฟรี ไม่คิดเงิน...ติดหนี้พี่ไว้เยอะเกิ๊น”
“ทุกอย่างเลยเหรอ?”
“..อ่า..ผมหมายถึงพวกงานเต็ก..นี่..อย่าดึงบทสนทนาไปทางนั้นบ่อยนักสิ..”
คิ้วหนาเข้มอันเป็นเอกลักษณ์ของผู้บริหารหนุ่มขมวดเข้าหากันน้อยๆ ทว่าริมฝีปากกลับเหยียดออกจนเกิดเป็นรอยยิ้มประหลาด “ทางไหน?”
“..ช..ช่างมันเถอะ..”
“ช่างก็ช่าง แต่เรื่องบ้านที่พูดถึงตะกี้น่ะพี่พูดจริงๆนะ ถ้าพี่ตัดสินใจซื้อที่เมื่อไหร่รบกวนจินช่วยมาดูให้หน่อย สร้างให้มันอบอุ่นจนพี่ไม่อยากออกจากบ้านเลยได้จะดีมาก”
“โอเค เดี๋ยวผมใส่เตาผิงไว้รอบบ้าน”
“อย่ากวนสิ”
จินดาแลบลิ้นปลิ้นตาจนคนมองนึกอยากดึงร่างเล็กๆนั่นเข้ามากอดรัดฟัดเหวี่ยงอีกสักที ธีรชาติยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นประคองท้ายทอยของอีกฝ่ายไว้อย่างเต็มไม้เต็มมือในขณะที่ดวงตาคู่คมก็วางจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าละไมชวนมองไม่วอกแวก
“..แล้วถ้าเป็นไปได้ จินออกแบบเผื่อตัวเองไว้ด้วยก็ดีนะ..” ผู้บริหารคนดังกล่าวโดยที่ยังคงค้างอิริยาบถไว้ในท่าเดิม “..ชอบพื้นที่แบบไหนก็ใส่เข้าไปในแบบได้เลย..”
“..พี่ชาติ..” ความหมายแฝงในประโยคเมื่อสักครู่ไม่ได้เข้าใจยากจนเกินไปนัก ประกายตาของจินดาวูบไหวไปตามแรงกวัดแกว่งในจิตใจ
“ก็ไม่ได้จะข้ามขั้นตอนหรืออะไรหรอกนะ ไม่ได้มั่นใจด้วยว่าสุดท้ายแล้วจินจะ..เอ่อ..เดินไปทางเดียวกับพี่หรือเปล่า พี่แค่คิดว่าถ้าบ้านหลังใหม่ของพี่มีพื้นที่แบบที่จินชอบอยู่ด้วยก็น่าจะดี เพราะเท่าที่เห็นจากตอนทำโปรเจ็คต์ พื้นที่แบบไหนที่จินชอบพี่เองก็ชอบเหมือนกัน..เพียงแต่มันจะดียิ่งไปกว่านั้นอีกถ้าสักวันหนึ่งจินได้เข้ามาเป็นผู้อาศัย..ช่วงเวลาที่ได้อยู่กับจินพี่มีความสุขมาก”
เกิดเป็นความสะท้านขึ้นในใจของคนฟัง จินดารู้สึกเหมือนกับว่าตอนนี้หัวเข่าของเขานั้นทำงานได้อย่างไร้ประสิทธิภาพเหลือเกิน ขามันจะอ่อนจะเปลี้ยพาให้ร่างทรงตัวยากไปเสียได้
ดวงตาสองคู่สบประสานกันโดยไม่มีฝ่ายใดคิดเบนความสนใจหนีไปไหน คนหนึ่งมองเพราะต้องการส่งผ่านความรู้สึก ส่วนอีกคนหนึ่งก็มองเพราะรู้สึกเหมือนถูกตรึงไว้กับที่
รอบกายของพวกเขาปราศจากความเคลื่อนไหว มีเพียงเสียงลมหวีดหวิวซึ่งดังมาจากภายนอกตัวอาคารเท่านั้นที่ทำให้คนทั้งสองรับรู้ได้ว่าเข็มนาฬิกายังคงไม่หยุดเดิน
...แล้วในที่สุดความปรารถนาที่แอบซ่อนอยู่ในใจของธีรชาติก็ถูกนำออกมาปฏิบัติในโลกแห่งความเป็นจริงจนได้...
สถาปนิกหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอไปอย่างแสนประหม่าในชั่วขณะที่ใบหน้าคมคายค่อยๆเคลื่อนเข้ามาใกล้ จะด้วยบรรยากาศพาไปหรืออะไรก็ไม่รู้ แต่จินดาสาบานได้ว่าตอนนี้แววตาของนักธุรกิจคนดังนั้นดูหวานเชื่อมมากจริงๆ
...มากเกินไปจนเขาจะตายเอา...
ฝ่ามือหนาใหญ่ซึ่งยังคงทาบทับอยู่ที่บริเวณท้ายทอยกลายเป็นอุปสรรคที่ทำให้จินดาไม่สามารถหันซ้ายหันขวาหรือผงะถอยหลังได้อย่างมีอิสระ
...รู้ดีว่าสิ่งใดกำลังจะเกิดขึ้น...
จินดาหลับตาปี๋เหมือนเด็กเห็นผี เนื้อตัวออกอาการสั่นขึ้นมาน้อยๆอย่างควบคุมไม่ได้
...แล้วในจังหวะที่ระยะห่างระหว่างริมฝีปากของพวกเขาเหลือเพียงไม่กี่เซนติเมตรนั้นเอง อาวุธชิ้นสุดท้ายที่เหลืออยู่ก็ถูกเรียกออกมาใช้งานได้อย่างทันท่วงที...
แทนที่จะรู้สึกถึงความนุ่มหยุ่นจากเนื้อหนัง ธีรชาติกลับต้องสัมผัสกลีบปากของจินดาผ่านความเย็นเยียบของกระดาษร่างแผ่นบางที่อีกฝ่ายยกขึ้นมาใช้ต่างปราการเสียอย่างนั้น
...เสียงกรอบแกรบที่ดังขึ้นจากกระดาษเจ้ากรรมส่งผลให้ความเคลิบเคลิ้มต้องดับมอดลงโดยพลัน...
ผู้บริหารหนุ่มค่อยๆถอนใบหน้าออกมาด้วยท่าทางเงอะงะ แววตาล่องลอยเหมือนกำลังใช้ชีวิตอยู่ในความฝันที่มีเมื่อสักครู่ตอนนี้หายวับไปแล้ว
“ขอโทษที...” เสียงทุ้มต่ำถูกเปล่งออกไปเพียงแผ่วเบาให้คนที่กำลังก้มหน้าก้มตาหลบอยู่หลังกระดาษร่างโปร่งแสงแผ่นเก่าได้ฟัง
“...ไม่เป็นไรครับ”
“เมื่อวานจินเพิ่งบอกให้พี่ใจเย็นอยู่หยกๆ...วันนี้ใจร้อนซะแล้ว ขอโทษจริงๆนะ ตกใจหรือเปล่า?”
“..ก..ก็นิดหน่อย..แต่ไม่เป็นไร..” สถาปนิกหน้าอ่อนยกนิ้วขึ้นเกาลงไปเบาๆที่ข้างแก้ม ท่าทางที่แสดงออกดูเคอะเขินไม่แพ้กัน
ที่จริงแล้วหากเมื่อกี้จินดาจะสะบัดตัวหนีหรือยันกายออกห่างก็คงทำได้ไม่ยากเย็นนัก แต่ชายหนุ่มไม่นึกอยากปฏิเสธสิ่งที่อีกฝ่ายตั้งใจจะมอบให้ด้วยอากัปกิริยาที่แข็งกระด้างจนเกินไป
...แม้ยังไม่พร้อมแต่ก็ไม่ได้แปลว่ารังเกียจ...
...และแม้จะไม่ตอบรับในตอนนี้แต่ก็ไม่ได้แปลว่าในอนาคตจะไม่ต้องการ...
...ก็ได้แต่หวังว่าการจูบกระดาษคงไม่ใช่ประสบการณ์ที่แย่เกินไปนักสำหรับธีรชาติ...
.
.
...ไอ้อาการที่เหมือนกับว่ามีก้อนอะไรตีขึ้นมาจุดที่คอหอยนี่มันไม่น่าพิสมัยเลยจริงๆ...
โกวิทหยุดฝีเท้าไว้เพียงแค่บริเวณปากทางเข้าตัวอาคาร ภาพที่ปรากฏชัดอยู่ตรงหน้าทำเอาสมองดับไปได้ง่ายๆ ความตั้งใจเพียงประการเดียวที่ทำให้เขาต้องออกมาเดินเตร็ดเตร่นอกเต๊นท์ยามวิกาลแบบนี้ก็เพื่อจะตามหาเจ้ารุ่นน้องตัวดีที่ยังไม่ยอมกลับเข้ามานอนเสียที เห็นว่าอยู่ต่างที่ต่างถิ่นซ้ำยังเป็นบนยอดเขาสูงชัน ก็อดห่วงไม่ได้ว่าจะไปประสบเหตุอันตรายใดเข้า
...ไม่ได้คาดคิดเลยจริงๆว่าจะต้องมาร่วมเป็นสักขีพยานในฉากรักหวานซึ้งโดยไม่ได้รับเชิญเช่นนี้...
...ไอ้โก๋จังหวะนรก...
...ฟังดูเป็นฉายาที่เหมาะกับตัวเขาดีเหลือเกิน...
สถาปนิกหนุ่มหันหลังกลับแล้วเดินขึ้นบันไดไปจนถึงยอดกระดานลื่นที่รุ่นน้องคนดีเป็นคนออกแบบไว้เองกับมือก่อนจะปล่อยให้ร่างกายหนาใหญ่ของตนค่อยๆไหลลงสู่เบื้องล่างตามแรงโน้มถ่วงของโลกอีกครั้ง
...อย่างน้อยก็ยังดีที่สายลมซึ่งตีเข้าปะทะใบหน้าช่วยปัดเป่าให้ความชื้นบริเวณขอบตาเหือดแห้งลงไปได้อย่างรวดเร็ว...
.
.
“..อ..เอ่อ..อยากเข้านอนหรือยัง?..” ผู้บริหารคนดังเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจนัก “..จะกลับไปที่เต๊นท์ตอนนี้เลยก็ได้นะ..”
“พี่ง่วงแล้วเหรอ?”
“เปล่าหรอก..แต่กลัวจินอึดอัด”
ลูกตาดำขลับในกรอบเรียวรีหลุบลงเล็กน้อยในขณะที่ศีรษะทุยมนก็ส่ายไปมาเบาๆ “ผมไม่ได้อึดอัด..อยู่เป็นเพื่อนพี่ต่อได้อีกนิด ไม่ต้องห่วง..”
ได้ฟังดังนั้นคนเป็นเจ้าของคำถามก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ “โอเค..ค่อยยังชั่ว นึกว่าจะโดนแจกใบแดงซะแล้ว”
“..เวอร์..”
“ไม่ได้เวอร์ พี่กลัวโดนตัดสิทธิ์จริงๆ..อืม..ถ้ายังไม่ง่วง งั้นเราไปเขียนอะไรทิ้งไว้บนแผ่นไม้พวกนี้หน่อยไหม? ไหนๆพรุ่งนี้ก็จะกลับกรุงเทพฯกันแล้ว”
“เอาสิ...แผ่นไหนดี พี่เลือกเลย แต่จำให้ได้ด้วยนะ กลับมาดูคราวหน้าจะได้ไม่ต้องเดินหาอีก”
ใช้เวลาอยู่เพียงไม่นานธีรชาติก็เลือกไม้แผ่นที่ต้องการได้ แท่งเหล็กที่ถูกจัดเตรียมไว้สำหรับใช้ขูดเนื้อไม้คืออุปกรณ์ที่เศรษฐีหนุ่มหยิบขึ้นมาเตรียมบันทึกความทรงจำ
จินดาอมยิ้มมองคนข้างกายที่ตอนนี้กำลังก้มหน้าก้มตาขีดเขียนบางสิ่งลงไปบนแผ่นไม้เนื้ออ่อนอย่างตั้งอกตั้งใจ แม้เขาจะไม่ได้แสดงท่าทีกระตือรือร้นมากจนเกินไปนัก แต่ที่จริงแล้วในใจก็แอบลุ้นอยู่เหมือนกันว่าอีกฝ่ายจะสลักข้อความแบบไหนไว้ที่นี่
...‘I’m here with my Jinda. TRC 06/06/2016’...
“ ‘มายจินดา’? ผมไปเป็นของพี่ตั้งแต่ตอนไหน?” คนเป็นเจ้าของชื่อเอ่ยท้วงขึ้นมาทันทีที่ข้อความบนแผ่นไม้ถูกเขียนจนเสร็จสมบูรณ์
“เป็นในจินตนาการพี่มาตั้งนานแล้ว..ทำไม? ไม่ชอบเหรอ? จะให้ลบไหมล่ะ?” ว่าแล้วธีรชาติก็ตั้งท่าจะจรดปลายแท่งเหล็กลงไปที่ตัวอักษร m และ y ในข้อความ หากแต่มือของเขากลับถูกจับให้หยุดเคลื่อนไหวไว้เสียก่อน
“ไม่ต้องหรอก ปล่อยไว้อย่างนี้แหละ”
“แหม ใจดีจัง..อนุญาตให้พี่เป็นเจ้าของด้วย”
“เปล่า ผมแค่คิดว่าถ้ามีรอยขีดฆ่าแล้วมันจะไม่สวย ไม่ได้อนุญาต”
“โธ่...” นักธุรกิจหนุ่มเป่าลมผ่านปากระบายความเสียอกเสียดายออกมาเบาๆก่อนจะจับเจ้าแท่งโลหะยัดใส่มือจินดาไปด้วยท่าทางแสร้งว่าปั้นปึ่ง “เอ้า! เอาไปเขียนบ้างไป”
จินดาหัวเราะร่วนขณะรับอุปกรณ์มาไว้ในมือ
“เขียน-ภา-ษา-ไทย-ไม่-เป็น-เหรอ” ธีรชาติอ่านข้อความของจินดาทีละคำตามลำดับการขีดเขียน จนเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหยุดมือลงไปแล้วคิ้วหนาเข้มก็กระตุกเข้าหาน้อยๆ “นี่...ใจคอจะเขียนแค่นี้จริงเหรอ?”
ข้อความของจินดาจบลงเท่าที่เมื่อสักครู่ธีรชาติอ่านออกเสียงไปนั่นแหละ จะมีเพิ่มมาอีกหน่อยก็เพียงลูกศรเล็กๆที่ถูกโยงปลายชี้ไปยังประโยคภาษาอังกฤษที่ผู้บริหารคนดังเขียนไว้ก่อนหน้านี้เท่านั้น
“แค่นี้แหละ เมื่อยมือแล้ว”
“อะไรกัน? น่าผิดหวังจัง..นอกจากกวนประสาทแล้วยังไม่โรแมนติกอีก ตอนแรกก็นึกว่าจะเขียนอะไรที่พี่อ่านแล้วเข่าอ่อนซะอีก”
“อยากเข่าอ่อนเดี๋ยวผมเตะเจาะยางให้เอาไหมอะ?” คนถูกค่อนขอดกล่าวกลั้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “เอาให้ต้องคลานลงจากดอยเลยดีไหม?”
“หึ..ทำลงก็เอา”
“โอ้โห มีประชดประชันอีก ผมล้อเล่นน่า..ไปๆ เขียนเสร็จแล้วก็แยกย้ายดีกว่า อีกแป๊บนึงจะเที่ยงคืนแล้ว กลับเต๊นท์ช้าเกินเดี๋ยวพี่โก๋สงสัยเอา”
ธีรชาติกลิ้งตาปะหลับปะเหลือกเป็นเด็กๆ แต่กระนั้นก็ยังยอมยันกายขึ้นจากพื้นตามคำของจินดาแต่โดยดี “แยกย้ายก็แยกย้าย งั้นพี่ปิดไฟแล้วนะ พร้อมหรือยัง?”
“อ๊ะ..เดี๋ยว ยังไม่ต้องปิดหรอก เดี๋ยวผมอยู่ที่นี่ต่ออีกนิด พี่ออกไปก่อนได้เลย”
“จะอยู่ทำอะไรคนเดียว?”
“ไม่ได้จะทำอะไร แค่ไม่อยากออกไปพร้อมกัน..เดี๋ยวใครมาเห็นแล้วจะตอบลำบากน่ะ”
เมื่อได้ฟังเหตุผลดังนั้นธีรชาติก็พยักหน้าเบาๆ ถ้อยคำราตรีสวัสดิ์ถูกเอ่ยออกมาเป็นการปิดท้ายค่ำคืนก่อนในที่สุดทั้งอาคารจะเหลือเพียงจินดายืนอยู่เพียงลำพัง
สถาปนิกหนุ่มรอจนแน่ในว่าอีกฝ่ายเดินไปจนถึงทางออกแล้วจริงๆจึงหันกลับไปที่แผ่นไม้แผ่นเดิม แท่งเหล็กถูกหยิบขึ้นมาถือไว้ในท่าที่เหมาะมือ
...รอยยิ้มเล็กๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าอ่อนใส สีระเรื่อของโลหิตที่สูบฉีดขึ้นมาตามเส้นเลือดแผ่กระจายไปทั่วสองข้างแก้มอีกครั้ง...
.
.
...ว่าแล้ว...
ธีรชาติแทบจะดีดนิ้วดังเปาะตอนที่ได้เห็นจินดาเริ่มจรดปลายแท่งโลหะลงกับแผ่นไม้อีกครั้ง
...เดาออกหรอกน่าว่าคนที่เป็นถึงต้นคิดให้สร้างเจ้าแผงไม้สลักความทรงจำนี่ขึ้นมาไม่มีทางเขียนข้อความในค่ำคืนแบบนี้ไว้เพียงแค่นั้นแน่...
ชายหนุ่มเจ้าของร่างกายสูงใหญ่อดทนยืนรออยู่ในมุมมืดจนกระทั่งไฟในอาคารดับลงและจินดาไถลตัวหายลับจากยอดกระดานลื่นไปแล้วถึงได้ยอมเดินตรงกลับไปดูข้อความบนไม้แผ่นสำคัญโดยมีเพียงแสงไฟดวงน้อยจากโทรศัพท์มือถือเป็นตัวช่วยในการมองทางเท่านั้น
...‘JD-TRC XO -//////- 06/06/2016’...
ตัวอักษรและสัญลักษณ์ที่เป็นเหมือนโค้ดลับเหล่านี้คือสิ่งที่พ่อสถาปนิกคนดีสลักเพิ่มขึ้นมา
ธีรชาติคลี่ยิ้มเสียเต็มแก้ม
...เขาแปลออกนะ...
...ถึงไม่ใช่วัยรุ่นแต่ก็เข้าใจความหมายของไอ้สัญลักษณ์ ‘XO -//////-‘ ที่จินดาเขียนไว้ได้เป็นอย่างดี...
...JD จินดา...
...TRC ธีรชาติ...
...X จูบ...
...O กอด...
...-//////- เขิน...
...06/06/2016 วันที่หกเดือนหกปีสองศูนย์หนึ่งหก...
...รวมกันเป็น ‘จินดา ธีรชาติ จูบ กอด เขิน วันที่หกเดือนหกปีสองศูนย์หนึ่งหก’...
TBC.
รายละเอียดรวมเล่มราคาฝัน ท่านใดสนใจลองเข้าไปดูกันนะคะ :http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57030.msg3540853#msg3540853
