ราคาฝัน # 28
ดวงตาลุ่มลึกคู่ที่ถูกล้อมกรอบไว้ด้วยเนื้อหนังเหี่ยวย่นตามอายุสังขารเหลือบมองไปยังท่อนขาทั้งสองข้างของคนเป็นลูกชายซึ่งนั่งอยู่ข้างกันในขณะที่โสตประสาทก็ยังคงเปิดรับข้อมูลที่เจ้าหนุ่มสถาปนิกกำลังสาธยายอยู่บริเวณหัวโต๊ะไปด้วยอย่างต่อเนื่อง
...ไม่ปกติเท่าไหร่...
ชายสูงวัยยื่นมือออกไปวางลงเบาๆบนหน้าขาข้างหนึ่งของธีรชาติ ซึ่งสัมผัสนี้ก็เป็นผลให้อาการสั่นขาไม่น่าดูที่มีมาตั้งแต่เมื่อครู่ของชายหนุ่มหยุดลงโดยพลัน แต่แม้กระนั้นสายตาของผู้เป็นพ่อก็ยังไม่ละหนีจากอากัปกิริยาของลูกไปที่อื่น
โดยปกติแล้วธีรชาติจัดได้ว่าเป็นคนบุคลิกดีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ซึ่งสาเหตุสำคัญก็เป็นเพราะได้รับการอบรมสั่งสอนจากจรัสและภรรยามาเป็นอย่างดี ดังนั้นเมื่อได้เห็นท่าทางหลุกหลิกผิดจริตเช่นนี้แล้วเขาจึงรู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
...ดูเหมือนว่าธีรชาติจะกำลังลุ้นไปกับการนำเสนอผลงานของเด็กคนนั้นเสียจนนั่งแทบไม่ติดที่...
...ไม่เพียงแต่ลอบสั่นขาอยู่ใต้โต๊ะ หากแต่ข้างขมับยังมีหยาดเหงื่อเกาะพราว ซ้ำฝ่ามือทั้งสองข้างก็ยังกุมกันไว้แน่นจนสามารถมองเห็นเส้นเอ็นปูดโปนได้อย่างชัดเจน...
“..จะเห็นว่าในโครงข่ายส่วนนี้ผมไม่ได้จัดวางแต่ละฟังก์ชั่นให้แยกขาดจากกันชัดเจนเหมือนในบริเวณทั่วๆไป พื้นที่สำหรับผู้ให้บริการและผู้รับบริการกระจายตัวปะปนกันอยู่ทั่ว ถ้าหากมองเผินๆอาจจะรู้สึกว่าสับสนวุ่นวาย ใช้งานยาก แต่ด้วยเทคโนโลยีการเชื่อมต่อของลิงเกอร์ฯจะทำให้ระบบเกิดขึ้นได้ง่ายมากครับ ยกตัวอย่างเช่นการจัดวางระบบแบบในไดอะแกรมนี้..”
เจ้าสัวจรัสดึงสายตากลับไปยังแผนภาพสามมิติที่พ่อสถาปนิกไฟแรงกำลังกล่าวถึงอีกครั้ง
น่าเสียดายที่เขาพลาดการพรีเซ็นต์ในครั้งก่อนๆของเจ้าหนูนี่ไป เพิ่งจะมาเข้าใจความรู้สึกเจ้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนก็คราวนี้เองว่าทำไมถึงออกตัวเชียร์มวยรองรุนแรงนัก
“..การยอมทำลายระเบียบของการจัดวางพื้นที่ไปบ้างจะทำให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ใหม่ที่หาไม่ได้จากจากเวิร์คสเตชั่นอื่น เป็นประสบการณ์ที่เป็นมิตรกับพฤติกรรมโดยธรรมชาติของมนุษย์มากกว่าเก่า สิ่งนี้เน้นย้ำว่าโลกเราเดินมาถึงยุคซึ่งเทคโนโลยีการสื่อสารมีประสิทธิภาพมากพอที่จะเอื้ออำนวยให้เราปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมได้อย่างเป็นอิสระแล้ว..”
...น้ำเสียงและแววตาน่าสนใจ...
ยังจำท่าทีเจียมเนื้อเจียมตัวและดูขาดความมั่นใจของนายจินดาคนที่เคยเจอกันเมื่อสักเดือนสองเดือนก่อนได้เป็นอย่างดี เพราะเหตุนั้นจรัสจึงไม่เคยนึกเลยสักครั้งว่าลีลายามขึ้นสังเวียนของพ่อสถาปนิกหนุ่มจะดูมีพลังได้มากถึงขนาดนี้
ชายสูงวัยมองเห็นพัฒนาการในเนื้องานได้อย่างชัดเจนหากเทียบกับสิ่งที่ธีรชาติเคยนำมาเสนอให้ฟังเมื่อหลายเดือนก่อน หลายแง่มุมดูจับต้องได้มากกว่าดีไซน์เมื่อครั้งนั้นหลายเท่า แต่ในขณะเดียวกันแก่นคอนเซ็ปต์แปลกใหม่ที่ฟังแล้วชวนตื่นเต้นก็ยังถูกคงรูปไว้เหมือนเดิม
...คุณภาพจัดได้ว่าดีมากๆสำหรับการเป็นผลงานของคนที่มีประสบการณ์ทำงานเพียงไม่กี่ปี...
...นี่ถ้าหากว่าเขามีบริษัทออกแบบสถาปัตยกรรมเป็นหนึ่งในธุรกิจคงไม่รอช้ารีบทาบทามนายจินดาคนนี้ให้มาร่วมงานกันอย่างแน่นอน...
“ไอ้หนุ่มนี่มันเต็กสายคลั่งยูโทเปียชัดๆ..” สุ้มเสียงแหบต่ำอันเป็นเอกลักษณ์ของสถาปนิกชื่อก้องวงการที่นั่งติดกับอีกข้างของจรัสดังขึ้นเจือเสียงหัวเราะเบาๆจากลำคอในตอนนั้นเอง “..ผมไม่ค่อยเจอคนพวกนี้ในเมืองไทยเท่าไหร่นะ”
“คืออะไร?”
“ก็แบบที่คุณจรัสเห็นนี่แหละ ทะเยอทะยาน..อยากจะออกแบบวิธีการใช้ชีวิตให้ชาวบ้านชาวช่องเขาใหม่..สงสัยอยากครองโลก”
“แล้วมันดีหรือเปล่า?”
สิ้นคำถามของเจ้าสัวผู้ยิ่งใหญ่รอยยิ้มเข้าใจยากก็ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของสถาปนิกคนดัง “..ผมก็ต้องถามกลับว่าคุณจรัสหมายถึงดีกับใคร?...ตัวคนออกแบบเอง? ผู้ใช้งาน? หรือว่านายทุนล่ะครับ?..”
.
.
ทันทีที่ประตูบานสวยของห้องทำงานส่วนตัวอันคุ้นเคยปิดลงไปเสียงถอนหายใจจากชายหนุ่มทั้งสองก็ดังขึ้นตีกันโดยพลัน
“จบสักที!” จินดาโพล่งออกมาเช่นนั้นด้วยท่าทางอัดอั้นจนคนมองอดรู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อยตามไปด้วยไม่ได้ “นึกว่าจะขาดใจตายอยู่ในห้องประชุมซะแล้ว!”
“ดีใจด้วยนะที่ทุกอย่างผ่านไปได้อย่างราบรื่น”
“อย่าเพิ่งพี่ อย่าเพิ่ง..ยังดีใจกับผมเร็วไป ต้องรอให้ผลจากบอร์ดออกก่อนถึงจะรู้ว่าควรดีใจหรือเสียใจ”
“ไม่ว่าผลจะออกมาแบบไหน อย่างน้อยจินก็ควรดีใจที่เข็นงานออกมาเป็นรูปเป็นร่างได้ขนาดนี้ พี่ถือว่าจินทำสำเร็จไปแล้วระดับหนึ่งนะ คิดคนเดียวทำคนเดียวมาเป็นเดือนๆ มาถึงนี่ได้ก็เจ๋งมากแล้วล่ะ”
“คนเดียวที่ไหนเล่า มีทั้งน้องๆในทีม มีทั้งพี่โก๋ มีทั้งป๋า..” สถาปนิกหนุ่มกล่าวพลางยกมือขึ้นเกาท้ายทอยด้วยท่าทางที่ดูเก้กังพิกล “..แล้วที่สำคัญที่สุดก็มีพี่ด้วย ถ้าไม่มีพี่รับรองได้ว่าผมตายอยู่กลางทางแน่ๆ ขอบคุณนะครับ ขอบคุณจริงๆ..”
เมื่อสิ้นประโยคของคนพูด ฝ่ายคนฟังก็ต้องอมยิ้มเอาไว้เสียเต็มแก้ม “ยินดีที่สุด” ผู้บริหารหนุ่มว่าอย่างนั้น
ธีรชาติกวาดสายตามองไปทั่วใบหน้าเปื้อนยิ้มของจินดาด้วยความรู้สึกก้ำกึ่งที่เกิดขึ้นในใจ
จะว่ามีความสุขก็มีความสุขอยู่หรอกที่การนำเสนอผลงานในวันนี้ผ่านไปได้ด้วยดี ทุกสิ่งดูราบรื่นตามที่พ่อสถาปนิกคนเก่งวางแผนมาทุกอย่าง
...ดังนั้นหากถามว่าสบายใจแทนหรือไม่ เขาก็คงตอบว่าระดับหนึ่ง...
...แต่ที่มันไม่สุดก็คงเป็นเพราะความรู้สึกบางประการที่เกิดขึ้นระหว่างการนั่งฟังพรีเซ็นเทชั่นในห้องประชุมนี่แหละ...
ผลงานของจินดาในคราวนี้ดีจริงๆอย่างที่ได้เอ่ยปากชมออกไปเมื่อสักครู่ แต่แม้กระนั้นมันก็ยังมีบางอย่างที่ชวนให้รู้สึกตะขิดตะขวงใจ เป็นจุดบกพร่องที่เขาเองก็ไม่อาจระบุพิกัดได้ว่าอยู่ตรงไหน รู้สึกเพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับงานที่อาจารย์บุญฤทธิ์ได้พรีเซ็นต์ไปเมื่อวานแล้วมันยังด้อยกว่า
...เป็นเพราะเหตุนี้จึงอดหวั่นใจไม่ได้...
...แต่ไม่ว่าอย่างไร การพรีเซ็นต์รอบไฟนอลก็ถือเป็นสิ้นสุด...
...ต่อให้ชี้ประเด็นขึ้นมาก็ใช่ว่าจินดาจะแก้ไขอะไรได้อีก...
“หลังจากนี้จินมีธุระที่ไหนหรือเปล่า?” ผู้บริหารหนุ่มเอ่ยถามขึ้นมาเช่นนั้น รอยยิ้มใจดียังคงมีประดับใบหน้ามาตั้งแต่เมื่อครู่ ความกังวลถูกแอบซ่อนไว้กับตัวต่อไปดังเดิม
“โอ๊ย ไม่มีแล้ว โต้รุ่งมาตั้งสองคืนจะให้ไปทำอะไรที่ไหนอีกนอกจากกลับบ้านนอน?”
“งั้นคืนนี้ไปนอนห้องพี่นะ”
ร่างกายขนาดสันทัดสะดุ้งขึ้นน้อยๆ นัยน์ตาดำขลับออกอาการหลุกหลิกขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ “..ป..ไปทำไม? ก็บอกแล้วไงว่าผมไม่ได้นอนมาสองคืน ถึงบ้านเมื่อไหร่ผมตั้งใจว่าจะกระโดดขึ้นเตียงทันที สภาพสังขารตอนนี้ไม่เอื้ออำนวยให้ถ่างตานั่งคุยกับพี่หรอก”
“ห้องพี่ก็มีเตียง ไปกระโดดขึ้นเตียงพี่ไป นุ่มกว่าเตียงจินอีกนะ..ไม่ต้องคุยอะไรกันก็ได้”
จินดาเม้มกลีบปากเข้าหากันน้อยๆก่อนจะคลายออกในวินาทีต่อมาด้วยท่าทางเหมือนลังเลใจ สุ้มเสียงที่เปล่งออกมาหลังจากนั้นฟังดูเบาหวิวจนคนฟังต้องยื่นหูเข้าไปฟังให้ใกล้ขึ้น “..แล้วจะให้ผมไปนอนเบียดให้เตียงพี่แคบลงทำไม? พี่นอนคนเดียวก็สบายดีอยู่แล้ว..”
สีเลือดฝาดระเรื่อบนสองข้างแก้มของสถาปนิกหนุ่มบอกให้ธีรชาติรับรู้ได้อย่างง่ายดายว่าอีกฝ่ายนั้นตระหนักดีแล้วว่าหากนอนเตียงเดียวกันคราวนี้ท่านอนของพวกเขาจะออกมาในรูปไหน
ผู้บริหารคนดังส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ “ทำไม? กลัวโดนกอดหรือไง?”
“เฮ้ย! ถามตรงไปแล้วพี่!”
“อ้าว ก็จะให้พี่อ้อมค้อมไปทำไม? ตอนนี้จินรู้แล้วนี่ว่าพี่คิดยังไง”
“มันก็..อยู่ดีนั่นแหละ” จินดาขยับไม้ขยับมือเกาศีรษะอย่างแรงจนเส้นผมพันกันยุงเหยิงไม่เป็นทรง เดือดร้อนคนเป็นผู้ใหญ่กว่าต้องยื่นมือออกมาจัดระเบียบให้ “..ผม..ผมไม่ได้กลัว..ผมแค่เกรงใจ..ไม่อยากรบกวน..”
“ถ้าเห็นว่ารบกวนแล้วพี่จะชวนไหมล่ะ? มาเถอะ..นะ..จินไม่แวะมาห้องพี่นานแล้ว ก่อนหน้านี้เห็นจินง่วนอยู่กับโปรเจ็คต์ก็เลยไม่กล้าชวน นี่พี่นับวันรอให้ถึงวันไฟนอลเลยนะรู้หรือเปล่า? อยากอยู่ใกล้จินไวๆ”
จบประโยคของนักธุรกิจคนดัง คนถูกคะยั้นคะยอก็ยกสองมือขึ้นปิดหน้าทันที
ธีรชาติยืนอมยิ้มรอฟังคำตอบโดยที่มือก็ยังคงขยับจัดแต่งทรงผมให้จินดาอยู่ไม่เลิก แต่แล้วทุกท่าทีที่คนทั้งสองแสดงต่อกันก็มีอันต้องถูกระงับลงไปอย่างกะทันหันเมื่อเสียงเคาะประตูดังขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน
ธีรชาติและจินดาผละออกจากกันทันทีทันใดราวกับว่าต่างฝ่ายต่างโดนใครมากระชากตัว
...บานประตูเปิดออกในวินาทีถัดมา...
เจ้าสัวจรัสเบนสายตามองสีหน้าสีตาที่ดูประดักประเดิดพิลึกของสองหนุ่มสลับกันไปมาอยู่ชั่วขณะ
“พ่อมาขัดจังหวะอะไรหรือเปล่า?” บุรุษสูงวัยเอ่ยถามคนเป็นลูกชายขึ้นเช่นนั้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“อ๋อ ไม่เลยครับ” ธีรชาติรีบตอบออกไปเช่นนั้นโดยมีจินดาพยักหน้าหงึกหงักสนับสนุนอยู่ใกล้ๆ “ผมนึกว่าคุณพ่อออกไปทานข้าวกับคุณอาบุญฤทธิ์แล้วซะอีก”
“ก็กำลังจะไปนี่ล่ะ แต่เห็นแม่หนูเลขาฯของชาติบอกว่าเจ้าจินดาอยู่ในนี้ ก็เลยว่าจะเข้ามาชื่นชมสักหน่อย..อีกอย่าง มีธุระมาบอกด้วย” ดวงตาใต้กรอบมากริ้วรอยจับจ้องไปยังสถาปนิกหนุ่มที่ตอนนี้กำลังยืนคลี่ยิ้มไม่เป็นธรรมชาติอยู่ข้างตัวธีรชาติ “เป็นยังไงบ้างล่ะเรา? พรีเซ็นต์เสร็จแล้วโล่งไหม?”
“..ล..โล่งมากครับ..”
“เมื่อกี้ตอนอยู่ในห้องประชุมดูมาดดีมากนะ น้ำไหลไฟดับอย่างกับเป็นสตีฟ จอบส์”
“แหะๆ ขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”
“ใช่สิ ตัวผลงานก็ดีด้วย พัฒนาขึ้นเยอะ..ดูแล้วรู้เลยว่าตั้งใจมาก”
พอได้ยินแบบนี้เข้าไปพ่อคนทุ่มเทก็คลี่ยิ้มออกมาเสียกว้างจนแก้มแทบปริ สองมือยกประนมไหว้ก่อนที่หน้าผากมนจะถูกกดลงจรดปลายนิ้วด้วยท่าทางแสนนอบน้อม “ขอบคุณมากครับคุณลุง”
“ตั้งใจทำต่อไป งานอะไรก็เอาให้มันเต็มที่แบบนี้นะ เดี๋ยวอีกหน่อยก็ไปไกล..เออนี่ คุณบุญฤทธิ์แกก็มีเรื่องอยากคุยด้วยแน่ะ ออกไปหาหน่อยสิ ตอนนี้แกนั่งรออยู่ที่ห้องรับรอง”
“หือ? อาจารย์บุญฤทธิ์มีเรื่องอยากคุยกับผมเหรอครับ?” นักออกแบบรุ่นเล็กเอ่ยถามย้ำอย่างไม่เชื่อหู
“ใช่”
“..ร..เรื่องอะไรเหรอครับ?..”
“แล้วลุงจะไปรู้ไหมเล่า? ไปถามแกด้วยตัวเองสิไป”
.
.
จินดาเดินค้อมหลังเข้ามาหย่อนกายลงนั่งบนโซฟารับแขกตัวที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามของโต๊ะทรงเตี้ยตัวสวยด้วยท่าทางเจียมเนื้อเจียมตัว
“ได้นอนไหมเมื่อคืน?” นี่คือคำถามแรกที่สถาปนิกผู้โด่งดังส่งมาให้หลังจากเมื่อครู่ได้กล่าวทักทายกันไปราวๆสองถึงสามประโยคแล้ว
เกิดเป็นความงุนงงขึ้นในหัวของคนถูกถามทันที
“..เอ่อ..ผมไม่ได้นอนมาสองคืนแล้วครับ..”
ชายวัยกลางคนผงกหัวขึ้นลงพร้อมรอยยิ้มข้างมุมปาก “งานสายออกแบบเป็นอาชีพที่ทำแล้วเสียสุขภาพนะว่าไหม? เพื่อนรุ่นเดียวกับผมนี่ลาโลกไปหลายคนแล้ว อายุยังไม่ถึงหกสิบเลยนะคิดดูสิ กินนอนไม่เป็นเวลาแบบนี้ตายเร็วเป็นบ้า”
ได้ฟังดังนั้นจินดาก็ได้แต่คลี่ยิ้มเจื่อนพลางหยักหน้าเออออไปตามเรื่องตามราว
“งานคุณน่าสนใจนะ เมื่อกี้ผมฟังเพลินเลย”
“ขอบคุณมากครับอาจารย์”
“อืม..ตอนนี้คุณมีแฟลชไดรฟ์ติดตัวหรือเปล่า? ขอผมยืมหน่อยสิ”
“หา? เอ่อ..ม..มีครับ สักครู่นะฮะ” จนถึงตอนนี้จินดาก็ยังไม่เข้าใจในธุระของผู้อาวุโสตรงหน้า แต่แม้กระนั้นเขาก็ยอมทำตามคำขอโดยไม่คิดอิดออด
อุปกรณ์บรรจุความจำชิ้นน้อยถูกส่งไปให้บุญฤทธิ์อย่างว่าง่าย
ชายคนดังไม่พูดพร่ำทำเพลงมากนัก เขาเพียงเอ่ยคำขอบคุณสั้นๆก่อนหยิบเจ้าอุปกรณ์ชิ้นที่ว่ามาเสียบเข้ากับแล็ปท็อปเครื่องแพงบนหน้าตักแล้วปล่อยให้เจ้าหนุ่มหน้าอ่อนนั่งมึนอยู่ในความเงียบต่อไป
เพียงไม่นานแฟลชไดรฟ์อันเดิมก็ถูกส่งคืนเจ้าของ
“ถ้ายังมีแรงเหลือ กลับบ้านก็ไปเปิดดูไฟล์ที่ผมใส่ไว้ให้หน่อยนะ หรือถ้าไม่ไหวจะดูพรุ่งนี้ก็ได้ แต่ยังไงรีบเปิดดูนิดนึง”
“มันคือไฟล์อะไรเหรอครับ?”
“ไปเปิดดูเองเถอะ..เอ้อ เมื่อกี้ผมไปถามกำหนดการที่เหลือของโปรเจ็คต์นี้มา เห็นว่าอีกตั้งเป็นสัปดาห์กว่าเขาจะประชุมตัดสินใจกัน ยังมีเวลาเหลืออีกนิดนะ..”
“..ม..มีเวลาอีกนิดหรือครับ?..อาจารย์หมายถึง..?..”
“ไม่รู้ล่ะ คุณไปคิดดูเองแล้วกัน ผมไปก่อนดีกว่า หิวข้าวท้องกิ่วแล้ว”
เชื่อหรือไม่ว่าพอพูดจบแล้วคุณสถาปนิกผู้ยิ่งใหญ่ก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะหนีบคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คเดินหายออกจากห้องไปเลย ว่องไวเสียจนจินดาแทบจะยกมือไหว้ไม่ทันเชียว
...อะไรวะ?...
...ไม่เห็นได้ใจความอะไรสักอย่าง...
ก็เคยได้ยินคนต่างอาชีพพูดกันอยู่ล่ะว่าพวกที่จบสถาปัตย์น่ะพูดจาไม่รู้เรื่อง แต่เท่าที่คลุกคลีตีโมงอยู่ในวงการมาหลายปีก็ไม่เห็นจะเคยรู้สึกแบบนั้นกับใครที่ไหน เพิ่งจะมีอาจารย์บุญฤทธิ์คนแรกนี่แหละมั้งที่ทำให้เขางงงวยได้อย่างจริงจังขนาดนี้
...แม่งเข้าใจยากอะไรเบอร์นั้นวะเนี่ย?...
.
.
