...ไม่น่าเชื่อว่าไอ้เด็กนี่มันจะกลัวได้ทุกอย่างที่ขวางหน้าจริงๆ...
โกวิทกระตุกหัวคิ้วเข้าหากันก่อนจะส่ายศีรษะไปมาเบาๆด้วยความระอาใจเมื่อได้เห็นสีหน้าพรั่นพรึงของเจ้าเด็กฝึกงานในปกครองยามเดินผ่านสุนัขเจ้าถิ่นฝูงใหญ่
“อย่าวิ่ง! เดินนิ่งๆ!” สถาปนิกหนุ่มขึ้นเสียงสั่งเฉียบขาด “พวกมันตามมึงมาเพราะเห็นมึงวิ่งนี่แหละ!..เวรกรรมของกูจริง..”
“..พ..พี่โก๋ดูเขี้ยวมันสิ..มันแยกเขี้ยวใส่ผมด้วย..”
“ก็นั่นแหละ! เพราะมึงวิ่งไง!”
...หมดกันวันเสาร์ที่แสนสบายของนายโกวิท...
ฝ่ามือหนาใหญ่ถูกยกขึ้นกุมแน่นอยู่ที่ข้างขมับ สองขาที่ควรจะได้ออกเดินอย่างกระฉับกระเฉงตามที่ใจหมายกลับต้องหยุดรอเพื่อนร่วมทางหน้าใหม่ที่มีจังหวะการเดินไม่สม่ำเสมออยู่เป็นระยะ
...เดี๋ยวเดิน เดี๋ยววิ่ง เดี๋ยวหยุด...
...เป็นอย่างนี้อยู่ตลอดทางตั้งแต่ลงจากรถมาแล้ว...
หากไม่ใช่เพราะว่าช่วงระหว่างสัปดาห์เขามีนัดประชุมสำคัญมันทุกวัน วันเสาร์อันแสนล้ำค่าก็คงถูกใช้ไปกับการนอนตีพุงอยู่บ้านไม่ใช่การขับรถเป็นร้อยกิโลฯเพื่อมาสำรวจไซต์อยู่ที่หัวหินกับไอ้เด็กขี้ตื่นเพียงสองต่อสองแบบนี้แน่
ต้องใช้เวลาอยู่หลายนานทีเดียวกว่าที่พวกเขาจะเดินพ้นสายตาของพวกเจ้าตูบคุมไซต์มาได้
“นี่ กูถามจริงนะไอ้แว่น..ทำไมคนอย่างมึงถึงเลือกเรียน’ถาปัตย์? ไม่คิดว่ามันสมบุกสมบันเกินไปเหรอ? หมาก็กลัว ฟ้าร้องก็กลัว ความสูงก็กลัว มึงกลัวแม่งทุกอย่าง..บุคลิกแบบนี้เวลาไปคุมงาน ผู้รับเหมาที่ไหนเขาจะเกรงใจมึงวะ?” หลังจากเข้ามาหลบกันอยู่ใต้ร่มเงาไม้ได้สมใจแล้วโกวิทก็เอ่ยปากถามขึ้นมาเช่นนั้นพลางยกแขนเสือขึ้นปาดเหงื่อเหนียวชื้นออกจากไรหน้าผาก
“..ก็..ผมเห็นกู๋ต้อมเป็นสถาปนิกมาตั้งแต่ผมเด็กๆ ดูแล้วน่าสนุกดีก็เลยมาเรียน..ไม่เคยนึกถึงว่าวันหนึ่งจะต้องไปคุมใคร..” เด็กหนุ่มตอบไม่เต็มเสียง ท่าทีกล้าๆกลัวๆที่มีต่อรุ่นพี่ตรงหน้ามาตั้งแต่วันแรกที่เจอกันยังคงไม่จางหายจากอากัปกิริยาไปไหน “..จริงๆผมก็ไม่ได้อยากกลัวอะไรเยอะแยะ แต่มันเป็นไปเอง ห้ามไม่ได้..อีกอย่าง อาจเป็นเพราะผมตัวแกร็นๆด้วยมั้งครับเลยทำให้ดูไม่ค่อยน่าเกรงใจเท่าไหร่ อันนี้แม่ก็เคยบอก..แม่อยากให้ผมตัวใหญ่กว่านี้อีกหน่อย เพราะถ้าตัวเล็กเกินแล้วจะดูขี้โรค”
“มันไม่ได้เกี่ยวกับรูปลักษณ์ภายนอกเลยเว้ย มึงดูไอ้จิน ตัวใหญ่กว่ามึงนิดเดียว แต่มันก็คุมงานได้ดี แถมบางทีโหดกว่ากูอีก แล้วไหนจะพวกสถาปนิกหรือวิศวกรที่เป็นผู้หญิง เขาคุมคนงานผู้ชายตัวโตๆกันได้ทั้งนั้น..ปัญหามันอยู่ที่อินเนอร์มึงนี่แหละ กูว่ามึงดูแหยเกินไป เจออะไรนิดหน่อยก็ตัวสั่นแล้ว...เนี่ยดูสิ ขนาดแค่คุยกับกูมึงยังทำหน้าเหมือนกูจะสั่งให้ไปตายเลย”
“..ข..ขอโทษครับ..”
“เฮ้ย! พูดให้มันเต็มเสียง!”
“ขอโทษครับ” “ดี! แต่ไม่ต้องขอโทษ มึงไม่ได้ทำอะไรผิด กูแค่วิจารณ์เฉยๆ” โกวิทโบกไม้โบกมือปัดไปมาตรงหน้าสองสามที ก่อนจะชี้ปลายคางพยักพเยิดไปทางทิศตะวันออก “เดี๋ยวเราไปดูฝั่งที่ติดกับหน้าหาดกันต่อ ดูจากโฉนดรู้สึกรอยต่อตรงนั้นมันจะมีปัญหาอยู่นิดหน่อย..ไป”
ว่าแล้วสถาปนิกหนุ่มรุ่นพี่ก็ออกเดินนำพ้นร่มไม้ไปอีกครั้ง ต้นตระการสาวเท้าตามไปเงียบๆพลางยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นป้องตาเมื่อแสงแดดแรงจ้าสาดส่องลงมาจนทัศนวิสัยแย่ลง
หลังจากเดินกันไปได้เพียงไม่กี่ก้าว จู่ๆคนที่นำอยู่ข้างหน้าก็หยุดฝีเท้าลงอีกครั้ง
โกวิทหันหลังกลับมามองหลานรักของเจ้านายที่เคารพด้วยท่าทางเหมือนกำลังพิจารณาถึงบางสิ่งอยู่ครู่สั้นๆ ก่อนที่ในไม่กี่วินาทีถัดมาหมวกแก็ปใบเก่งบนกบาลจะถูกถอดออก
ฝ่ามือหนาใหญ่ทั้งสองข้างจัดแจงสวมใส่เจ้าหมวกใบที่ว่าลงไปบนศีรษะของเด็กหนุ่มอย่างคล่องแคล่ว ไม่มีถ้อยคำอธิบายใดๆลอดผ่านปากของโกวิทออกมาแม้สักคำ
ต้นตระการยืนกะพริบตาปริบๆด้วยความงุนงง จนเมื่อตั้งสติได้จึงรีบยกสองมือขึ้นประนมไหว้คนตรงหน้าทันที
คนถูกขอบคุณไม่ได้กล่าวสิ่งใดหรือแม้กระทั่งรับไหว้ เขาเพียงแต่ยักคิ้วให้อีกฝ่ายน้อยๆก่อนหันหลังกลับแล้วเดินนำออกไปอีกครั้ง
.
.
...เจ้าเด็กนี่มันยังไงกันวะ?...
...รู้แบบนี้ไม่ปล่อยให้มันแยกไปคนเดียวเสียก็ดี...
สถาปนิกหนุ่มยกข้อมือขึ้นมองหน้าปัดนาฬิกาพลางเดาะลิ้นเป็นจังหวะถี่ๆด้วยความหงุดหงิดใจ
เรื่องของเรื่องคือหลังจากสำรวจไซต์กันจนพรุนแล้วก็ถึงเวลาที่พวกเขาต้องหาอะไรยัดใส่ท้องก่อนตีรถกลับเข้ากรุงเทพฯ โกวิทหมายมั่นปั้นมือมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่ามื้อเย็นวันนี้จะต้องมาซัดกุ้งหอยปูปลาสดๆจากทะเลอ่าวไทยให้ได้ เขาจึงมีเป้าหมายเป็นร้านดังประจำหัวหิน ซึ่งที่จริงต้นตระการก็ควรจะได้มานั่งกินด้วยกัน แต่เจ้าเด็กนั่นดันแพ้อาหารทะเล สุดท้ายเขาจึงต้องขับรถไปหย่อนมันไว้แถวย่านกลางเมืองเพื่อให้ไปหาอะไรกินเอง
...ทั้งที่ก่อนแยกกันพวกเขาจะได้นัดแนะเวลาไว้อย่างดิบดี แต่นี่เขาขับรถมาจอดเปิดไฟกะพริบรอที่จุดนัดพบอยู่นานเป็นชาติแล้วก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าเจ้าเด็กนั่นจะโผล่มาให้เห็นเลยสักที...
...แถมโทรฯหาก็ปิดเครื่อง...
...ฟ้ามืดแบบนี้ไม่รู้เดินผิดเดินถูกไปเจอหมาที่ไหนวิ่งไล่จนตกทะเลตายหรือเปล่า...
แล้วในจังหวะที่ชายหนุ่มกำลังจะลองต่อสายหาอีกสักทีอยู่นั้น เจ้าหนูนั่นก็เป็นฝ่ายโทรฯเข้ามาก่อนพอดี
โกวิทกดรับสายอย่างรวดเร็ว
“อยู่ไหนแล้วมึง? ติดต่อยากฉิบเป๋งเลย”
“ขอโทษครับ โทรศัพท์ผมเป็นอะไรก็ไม่รู้ ติดๆดับๆมาหลายทีแล้ว..พี่โก๋..ตอนนี้ผมหลงทาง ไอ้จุดที่เรานัดกันมันเรียกว่าอะไรแล้วนะ? ผมจะถามทางคนแถวนี้..” “โธ่เอ๊ย มึงนี่นะ..งั้นมึงถามเขาว่าถ้าจะมาตรงหน้า..”
ยังไม่ทันทีคำตอบของโกวิทจะถูกเปล่งออกไปจนครบความ จู่ๆเสียงของบุคคลที่สามจากทางปลายสายก็ดังแทรกเข้ามารบกวนประโยคของเขาเสียก่อน
“How much?” คำถามที่ถูกส่งออกมาเป็นภาษาอังกฤษส่งผลให้สถาปนิกหนุ่มหูผึ่งขึ้นมาทันที เรียวคิ้วหนาได้รูปขมวดเข้าหากันน้อยๆ
...เสียงผู้ชาย...
“ฮะ? ฮ..ฮาวมัช อะไรวะ?” แว่วเสียงต้นตระการพึมพำออกมาเช่นนั้น
“เฮ้ยมึง! นี่มึงหลงไปอยู่ตรงไหนวะเนี่ย? นั่นเขาถามมึงเหรอ?” โกวิทพยายามกรอกคำถามใส่โทรศัพท์ แต่ดูเหมือนว่าคู่สนทนาของเขาจะไม่ได้สนใจฟังเลยแม้แต่น้อย
“How much for one night? I mean your price..” ดวงตาที่ปกติมักดูดุดันอยู่เสมอเบิกกว้างขึ้นเมื่อได้ยินอย่างนั้น “ไอ้แว่น! ไม่ต้องไปคุยกับมัน! เดินหนีออกมาเลย!”
แม้จะเพิ่มระดับเสียงให้ดังมากเท่าไรแต่ต้นตระการก็ไม่ยอมตอบอะไรเขากลับมาสักคำ ดูเหมือนว่าตอนนี้เจ้าหนูนั่นจะกำลังเสวนากับไอ้ฝรั่งเจ้าของคำถามจัญไรอยู่เป็นแน่แท้
“..M..My price?..Oh no no! I’m not..” ...แล้วสายก็ตัดไปเพียงเท่านั้น...
“เชี่ย!” โกวิทเปล่งคำสบถออกมาลั่นรถก่อนจะพยายามต่อสายกลับไปหาอีกรอบ แต่คราวนี้สิ่งที่เขาได้ยินก็มีเพียงเสียงเครื่องจากตอบรับน่ารำคาญใจเท่านั้น “เวรกรรม!”
โดยไม่ต้องเสียเวลาคิดอีกต่อไป โกวิทรีบเอารถไปจอดไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสมก่อนจะบิดกุญแจดับเครื่องยนต์แล้วลงมาเดินเท้าตามหาเจ้าคนไม่ระวังตัวทันที
...แม้จะไม่ชุกชุมเท่าพัทยา แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอย่างไรก็ต้องมีแหล่งอโคจร...
.
.
...โอย...
...ฝรั่งพวกนี้มันเป็นอะไรกันไปหมดวะเนี่ย?...
หลังจากเดินหนีจากตาเฒ่ารายแรกมาได้ ต้นตระการก็ต้องมาเจอเหตุการณ์เดียวกันกับเมื่อสักครู่เป๊ะๆอีกรอบ
เด็กหนุ่มสั่นศีรษะปฏิเสธชาวต่างชาติร่างหนาที่เดินเข้ามาถามราคาด้วยท่าทางตื่นกลัว
...เกิดมาจากท้องแม่ไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อนเลย...
...น่าขนลุกเป็นบ้า...
“Hey! How much!?” เจ้าฝรั่งรายเดิมยังคงเดินตามมาถามซ้ำ ฝ่ามือเทอะทะของมันยื่นออกมาเกาะแกะอยู่ที่ลำตัวผอมบางของเด็กหนุ่มไว้อย่างเหนียวแน่น
“..Go away..” ต้นตระการเอ่ยปากไล่ น่าเสียดายที่น้ำเสียงไม่เด็ดขาดนัก อยากจะหันไปบอกเป็นประโยคยาวๆเหลือเกินว่าเขาไม่ได้ทำอาชีพอย่างว่า แต่มันติดอยู่ตรงที่ไม่รู้คำว่า ‘ขายตัว’ ในภาษาอังกฤษมันเรียกว่าอะไรนี่สิ “..I..I’m not for sale..” เมื่อไม่รู้จะพูดอย่างไรก็เอามันตรงตัวอย่างนี้แหละวะ
ฝรั่งรายนี้ดูจะตื๊อเก่งกว่าตาเฒ่ารายแรกมาก ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะกึ่มแอลกอฮอล์มาแน่ๆ กลิ่นเหล้าคละคลุ้งไปหมดทั้งที่ตอนนี้เพิ่งจะอยู่ในช่วงหัวค่ำเท่านั้นเอง
“เอามือออกไปเซ่..” เด็กหนุ่มกล่าวเสียงเบาในขณะที่สองมือก็พยายามแกะแขนของอีกฝ่ายออกจากตัวไปด้วย “..ทำยังไงดีวะเนี่ย?..”
แล้วในจังหวะที่ต้นตระการกำลังวุ่นวายอยู่กับการสลัดหนวดปลาหมึกออกอย่างยากลำบากอยู่นั้นเอง จู่ๆต้นแขนข้างหนึ่งของเขาก็ถูกฝ่ามืออุ่นหนาของใครบางคนเอื้อมเข้ามาจับหมับเอาไว้
“Sorry dude, this one is mine. Go find someone else.” “พี่โก๋!” เด็กหนุ่มร้องเรียกขึ้นเมื่อหันไปประจักษ์ว่าใครคือฮีโร่ของเขาในวันนี้ เมื่อสักครู่เกือบจะกัดฟันโวยวายเสียงดังขึ้นมาอยู่แล้วเชียว
...โชคดีจริงๆที่โกวิทเข้ามาเจอทัน...
“Your boyfriend?” ชาวต่างชาติขี้เมาหันมาตีหน้ามึนถามต้นตระการเช่นนั้น ซึ่งเด็กหนุ่มก็ออกอาการลังเลคิดไม่ทันว่าควรตอบอย่างไร
“Yes” คำถามถูกชิงตอบโดยคนเป็นรุ่นพี่ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ใบหน้าคมดุยามนี้ดูถมึงทึง โกวิทจงใจแสดงให้ไอ้นักท่องเที่ยวจอมหื่นเห็นอย่างชัดเจนว่าตอนนี้เขากำลังไม่พอใจและพร้อมมีเรื่องได้ทุกเมื่อ
ร่างของต้นตระการถูกโกวิทดึงให้เดินตามออกไปโดยทิ้งฝรั่งคนที่ว่าไว้ทางด้านหลังเพียงลำพัง จากที่จับต้นแขนอยู่เมื่อครู่คราวนี้สถาปนิกหนุ่มเลื่อนลงมากุมฝ่ามือเรียวบางไว้อย่างแนบแน่นแทน
“..อ..เอ่อ..” ต้นตระการเลื่อนสายตามองลงมายังฝ่ามือที่กำลังสอดประสานกันของพวกเขาสองคน ความอุ่นร้อนจากสัมผัสที่ไม่ควรได้รับทำให้เขาอดรู้สึกประดักประเดิดขึ้นมาไม่ได้ “..ปล่อยมือก็เดินได้มั้งครับพี่โก๋..”
“มึงเงียบไปเลยไอ้แว่น กูไม่ได้อยากจับนักหรอก..ไว้รอให้พ้นโซนนี้เมื่อไหร่กูปล่อยแน่” โกวิทกล่าวเสียงเขียวพลางส่ายตาก็สอดส่ายไปรอบทิศ ร้านรวงประเภทที่ไม่เหมาะกับเด็กเอาเสียเลยเรียงรายกันอยู่ริมสองฝั่งถนน
...ไม่รู้ว่าต้องป้ำเป๋อเบอร์ไหนถึงจะเดินหลงเข้ามาในเขตเริงรมย์แบบนี้ได้...
...คิดแล้วมันอยากด่าจริงๆ...
“..ป..ปล่อยตอนนี้เลยก็ได้ครับ เราห่างจากฝรั่งคนเมื่อกี้ออกมาเยอะแล้ว..” เด็กหนุ่มยังคงดื้อดึงท้วงต่อไม่เลิก
“กูไม่ได้กลัวไอ้บ้าคนเมื่อกี้ กูกลัวความกากของมึงนี่แหละ เดี๋ยวก็หลงไปเจอเกย์ที่ไหนมาสอยไปอีก เตะตาผู้ชายเหลือเกิ๊น...ให้พวกแม่งคิดว่ามึงกับกูเป็นผัวเมียกันนี่แหละดีแล้ว จะได้ไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่ง”
น่าตลกว่าทั้งที่กำลังโดนด่า แต่ต้นตระการกลับคลี่ยิ้มขำขันออกมาหลังจากได้ฟังประโยคเมื่อสักครู่ของคนที่เดินนำอยู่ทางด้านหน้า
เด็กหนุ่มยกมือข้างที่ว่างขึ้นเกาท้ายทอยทั้งที่จริงๆก็ไม่ได้รู้สึกคันระคายแต่อย่างใด ท่าทางแบบนี้ดูเหมือนจะมีไว้เพื่อแก้เก้อเสียมากกว่า
...สิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้นทำให้เขารู้สึกเขินขึ้นมาแปลกๆ...
‘พี่โก๋น่ากลัว’ แน่นอนความจริงข้อนี้ยังคงไม่หายไปจากใจ ต้นตระการยังกลัวสีหน้าดุดันและลักษณะการพูดกระโชกโฮกฮากของโกวิทอยู่เหมือนเก่า แต่นอกเหนือจากความน่ากลัวแล้ว ความน่าประทับใจของรุ่นพี่คนนี้ก็มีอยู่เยอะไม่แพ้กัน
...ความประทับใจที่เขามีให้โกวิทมันเกิดขึ้นมาตั้งแต่วันแรกที่เจอกันแล้ว...
...เปล่า...
...ไม่ใช่วันที่ทำโกโก้หกรดเสื้อหรอก...
...แต่เป็นวันที่โมเดลวิชาคอนสตรัคชันของเขาเกือบจะโดนลูกบอลลอยมาอัดแต่ได้คนๆนี้ช่วยไว้ได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปดนั่นต่างหาก...
เป็นเพราะคำเตือนเรื่องเสากับคานที่อยู่ผิดตำแหน่งในโมเดลจากโกวิท ทำให้วันนั้นเขากลับไปแก้งานทันก่อนจะถึงเวลาส่ง ผลที่ออกมาคืองานชิ้นที่ว่านั้นได้เกรดเอ
ตอนที่เห็นคะแนนเขาอยากจะกลับไปขอบคุณรุ่นพี่แปลกหน้าใจแทบขาด แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปหาตัวได้จากที่ไหน
...ตกใจแทบแย่ตอนมาเจอกันอีกครั้งในบริษัทของอาตัวเอง...
...ในชีวิตที่เต็มไปด้วยเรื่องโชคร้ายของเขา ที่จริงมันก็มีเรื่องโชคดีเกิดขึ้นอยู่บ้างเหมือนกันล่ะนะ...
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
“เข้าใจแล้ว!”
ธีรชาติที่กำลังเอนกายอ่านเอกสารสำคัญอยู่บนโซฟาสะดุ้งตัวขึ้นน้อยๆด้วยความตกใจเมื่อจู่พ่อสถาปนิกคนดีก็ตบเข่าฉาดจนเสียงดังลั่นไปทั่วห้อง
“..ม..มีอะไรเหรอจิน?..”
“ผมเข้าใจแล้วพี่ว่าทำไมผมถึงได้รู้สึกว่างานตัวเองมันยังไม่สมบูรณ์..ถ้าไม่ได้เอามาเทียบกับงานของอาจารย์ช็อตต่อช็อตแบบนี้กว่าจะนึกได้คงอีกนานแน่”
“จริงเหรอ? มันคืออะไร? ไหนขอพี่ดูด้วยสิ” ว่าแล้วผู้บริหารคนดังก็วางแฟ้มขนาดใหญ่โตในมือลงก่อนจะเลื่อนกายลงมานั่งอยู่ข้างจินดาบนพื้น
เรื่องราวที่พวกเขาได้คุยกันไปเมื่อช่วงสายของวันถูกฝังกลบไว้ในห้วงความรู้สึกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อต่างฝ่ายต่างกลับไปจดจ่ออยู่กับงานของตัวเองก็ไม่เหลือเวลาให้ใครได้ฟุ้งซ่านถึงเรื่องรักๆใคร่ๆอีก
...จะว่าไปบางทีพวกเขาคงบ้างานพอกันทั้งคู่...
“บริบทของเมืองไทย..ผมไม่ค่อยได้คิดถึงดีเทลพวกนี้เท่าไหร่เลย”
“หืม?..บริบทของเมืองไทยเหรอ? จริงด้วยสิ..งานจินขาดเรื่องนี้ไปจริงๆด้วย”
“ใช่ คือปกติผมคิดถึงบริบทนะ แต่เป็นในลักษณะภาพกว้างๆ..ไม่ได้ลงลึกถึงพวกองค์ประกอบจุกจิกเท่าไหร่ ยิ่งเป็นขั้นคอนเซ็ปต์แล้วด้วยผมยิ่งไม่ได้นึกถึง..พี่ลองดูสิ งานอาจารย์บุญฤทธิ์เห็นแล้วจินตนาการง่ายกว่าเยอะเลยว่าสภาพหลังสร้างจริงจะเป็นยังไง อาจารย์จัดการให้อาคารมันอยู่กับบริบทของเมืองไทยได้ดีมากเลยอะ..งานผมเลยดูเหมือนหลอกตาไปเลย”
ธีรชาติผงกศีรษะขึ้นลงไปมาเบาๆ สายตาคู่คมเพ่งพินิจอยู่ที่ภาพกราฟฟิกในจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ
...เป็นเรื่องนี้จริงๆด้วยที่ทำให้เขารู้สึกหวั่นใจในห้องประชุม...
ดีไซน์ของจินดาเป็นดีไซน์ที่น่าสนใจ หากอาคารหลังนี้ถูกนำไปสร้างอยู่ในถิ่นฐานที่ทั้งตัวเมืองและผู้คนมีระบบระเบียบดีเยี่ยมอย่างประเทศแถบสแกนดิเนเวียหรือญี่ปุ่น ภาพจริงที่ออกมาก็จะใกล้เคียงกับภาพจำลองที่สถาปนิกหนุ่มทำไว้มาก แต่ถ้าหากเอาสภาพแวดล้อมของเมืองไทยมาสวมไว้แล้วล่ะก็ สิ่งที่ได้จะต่างออกไปจนน่าตกใจ
...ถ้าไม่ได้นำเรื่องนี้มาคิดอย่างรอบคอบ ต่อให้ตัวอาคารถูกสร้างออกมาดีแค่ไหน สุดท้ายบริบทโดยรอบก็จะทำให้คุณภาพของดีไซน์ดร็อปลงไปมากมายทีเดียว...
TBC.
รายละเอียดรวมเล่มราคาฝัน ท่านใดสนใจลองเข้าไปดูกันนะคะ :http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57030.msg3540853#msg3540853
