ราคาฝัน # 33
ผู้บริหารหนุ่มยืนนิ่งไม่ไหวติงตอนที่อีกฝ่ายขยับกายเข้ามาสวมกอดไว้อย่างแนบแน่น ใบหน้าอ่อนใสซุกลงกับแผงอกจนเขารู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ารดผ่านเนื้อผ้ามาสู่ผิวหนัง
...ไม่รู้จะทำอย่างไร...
...โกรธก็ยังโกรธ แต่ใจมันมันดันโหยหาสัมผัส...
ธีรชาติหลับตาลงเพื่อซึมซับไออุ่นจากร่างกายของคนเมา กลิ่นจากเครื่องดื่มผู้ใหญ่ที่ลอยอบอวลอยู่รอบๆคอยย้ำเตือนว่าอ้อมกอดที่กำลังได้รับอยู่นั้นไม่ได้เกิดจากความประสงค์ของผู้ให้แต่อย่างใด
...’ปล.จินรักคุณค่ะ’... จู่ๆข้อความจากหญิงสาวคนที่จินดาต้องการให้เขาเชื่อว่าเป็นคนรักก็ผุดขึ้นมากลางใจ
ชายหนุ่มค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง ลมหายใจที่ถูกผ่อนผ่านปลายจมูกหอบเอาความอัดอั้นในอกออกมาสู่บรรยากาศภายนอก
ธีรชาติขยับมือแกะสองแขนของจินดาออกจากรอบลำตัวก่อนจะตัดสินใจจับจูงให้คนร่างเล็กเดินหายเข้าห้องไปด้วยกันในที่สุด
“พี่จะทำยังไงกับจินดีนะ..” ผู้บริหารคนดังรำพึงออกมาเสียงเบาหลังจากจับให้อีกฝ่ายทิ้งน้ำหนักลงไปบนโซฟากลางห้องได้สำเร็จ ดวงตาเรียวรีอันเป็นเอกลักษณ์ที่ใกล้จะปิดอยู่รอมร่อจ้องตอบกลับมาที่เขาเช่นกัน
ฝ่ามืออุ่นหนาข้างหนึ่งของธีรชาติถูกสถาปนิกผู้เมามายดึงเข้าไปทาบไว้แนบแก้มด้วยอิริยาบถแสนรักใคร่
...เกิดเป็นรอยยิ้มบางเบาขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา...
เจ้าของฝ่ามือค่อยๆหย่อนกายลงนั่งไปบนที่ว่างข้างๆตัวแขกคนสำคัญ ผู้บริหารหนุ่มปล่อยให้อีกฝ่ายทำทุกสิ่งกับร่างกายของเขาได้ตามใจชอบ
...หากนายจินดายามมีสติครบถ้วนสมบูรณ์สามารถแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาได้สักครึ่งหนึ่งของตอนนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองคงดูมีความหวังขึ้นอีกมาก...
แรงสั่นครืดๆที่เกิดขึ้นจากโทรศัพท์มือถือเครื่องเก่งในกระเป๋ากางเกงดึงความสนใจของนักธุรกิจคนดังไปได้ในตอนนั้นเอง
ธีรชาติหยิบเครื่องมือสื่อสารคู่ใจขึ้นมาดูว่าคนทางปลายสายนั้นเป็นใคร และทันทีที่ตัวอักษรซึ่งเขาเป็นคนบันทึกไว้กับมือว่า ‘TomtomStudio K.Kowit’ ปรากฏสู่สายตา ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะต้องเหลือบมองไปยังคนข้างกายโดยพลัน
ฝ่ามืออุ่นหนาถูกดึงออกจากการเกาะกุมก่อนที่ร่างกายสูงใหญ่จะลุกเดินหายเข้าครัวไปโดยทิ้งให้คนเมานั่งซึมอยู่กลางห้องเพียงลำพัง
.
.
ตอนนี้โกวิทกำลังหัวหมุน เพราะอยู่ดีๆไอ้น้องรักและเด็กในปกครองก็ดันหายหัวออกจากร้านไปพร้อมๆกันเสียนี่!
เมื่อครู่เขาแวบไปทักทายคนรู้จักที่บังเอิญมาเจอกันที่นี่ได้เพียงไม่กี่นาที พอกลับมาที่โต๊ะก็พบว่าทั้งจินดาทั้งต้นตระการนั้นไม่ได้นั่งอยู่ในวงเสียแล้ว แถมพอถามไอ้พวกเพื่อนร่วมออฟฟิศที่กำลังเล่นเกมปาร์ตี้ไร้สาระกันอย่างออกรสออกชาติก็ไม่มีใครรู้และดูเป็นเดือดเป็นร้อนกับการหายไปของคนทั้งสองแม้สักราย
...ให้มันได้อย่างนี้สิวะ!...
...พึ่งพาไม่ได้แม่งสักคน!...
“อ๊ะ! รับแล้ว...สวัสดีครับคุณชาติ ขอโทษที่โทรฯมารบกวนเสียดึกดื่น” โกวิทกรอกถ้อยคำใส่หูโทรศัพท์ไปขณะที่สายตาก็คอยกวาดมองรอบบริเวณหน้าร้านอันคราคร่ำไปด้วยเหล่านักท่องราตรีจำนวนมาก “ไอ้จินมันได้ติดต่อคุณหรือเปล่า? อยู่ดีๆมันก็หายไปจากร้านเหล้า ไม่บอกใครเลยว่าจะไปไหน...อ้อ! อยู่กับคุณแล้วเหรอ? โอเคๆ ว่าแล้วล่ะว่ามันต้องไปหาคุณ..”
...เจอตัวแล้วหนึ่ง...
...คอยดูนะ หายเศร้าเมื่อไหร่พ่อจะจับมาดีดให้กะโหลกร้าว!...
“หือ?..ใครเมา? โอ๊ย! เมาบ้าอะไรล่ะ เมื่อกี้มันดื่มเบียร์ไปแค่ครึ่งแก้วเองคุณชาติ อย่างไอ้จินน่ะถ้าไม่เกินสามขวดขึ้นไปคอมันไม่ระคายหรอก..ทำไม? มันบอกคุณว่ามันเมาเหรอ?...
เฮ้ย! ไอ้แว่น!...ฉิบหายละ..ค..แค่นี้ก่อนนะคุณชาติ อ๋อ..เอ้อ ฝากดูแลมันด้วย..ผมต้องรีบวางสายแล้ว ขอโทษอีกครั้งที่โทรฯมารบกวน..แค่นี้ก่อนครับ”
...โทรศัพท์ถูกตัดสายทิ้งไปทันทีที่พยางค์สุดท้ายสิ้นสุดลง...
โกวิทส่ายศีรษะไปมาด้วยความระอาใจพลางวางสายตาจับจ้องไปยังเจ้าเด็กแว่นที่ตอนนี้กำลังยืนกุมหน้าผากตัวเองอยู่หน้าเสาไฟฟ้าต้นหนึ่งไม่ใกล้ไม่ไกลกัน
...จินดาน่ะไม่ได้เมาหรอก...
...ไอ้ตัวที่เมาจริงมันอยู่ตรงนี้ต่างหากเล่า!...
คอเสื้อนักศึกษาตัวที่ต้นตระการสวมใส่อยู่ถูกอุ้งมือหนาขยุ้มไว้อย่างกระชับที่สุดเท่าที่จะทำได้ โกวิทออกแรงดึงให้ร่างผอมบางนั่นเซห่างจากเสาไฟฟ้าด้วยความหงุดหงิดใจ
...เมื่อครู่ระหว่างคุยโทรศัพท์กับธีรชาติเขาหันมาเห็นเจ้าหนูนี่เดินตุปัดตุเป๋ไปชนสิ่งกีดขวางบนฟุตบาธพอดี...
...ดีนะที่ออกมาเจอทันก่อนที่มันจะทะเล่อทะล่าวิ่งลงถนนไปให้รถเหยียบเล่นเสียก่อน...
“ใครสั่งใครสอนให้แดกเหล้าหา!? กู๋มึงรู้กูจะโดนเล่นไปด้วยไม่รู้เหรอ!?” สถาปนิกรุ่นพี่สั่งสอนออกไปด้วยน้ำเสียงดุดัน เรียวคิ้วเหนือตาคู่คมขมวดเข้าหากันจนแทบผูกเป็นโบว์
“..ไม่ต้องมีใครสอนผมก็แดกเป๊น..”
“เฮ้ย! นี่แน่ะ!” โกวิทสะบัดมือตีปากไอ้เด็กเมื่อวานซืนไปเสียหนึ่งที “ ‘แดก’ เหรอ? คำนั้นกูพูดได้คนเดียวโว๊ย มึงห้ามพูด...เด็กอะไรไม่น่ารักเลย..”
ดวงตาเป็นประกายใต้กรอบแว่นจับจ้องมาทางสถาปนิกหนุ่ม ก่อนที่กลีบปากบางจะเอื้อนเอ่ยบางประโยคที่แสนจะสะดุดหูคนฟังออกไป
“...ผมรู้น่า..ในออฟฟิศนี้ไม่มีใครน่ารักสู้พี่จินได้หรอก...”
.
.
ธีรชาติพาร่างสูงใหญ่ของตนกลับมายืนกอดอกจังก้าอยู่เบื้องหน้าเจ้า ‘คนเมา’ อีกครั้ง
‘เมาบ้าอะไรล่ะ เมื่อกี้มันดื่มเบียร์ไปแค่ครึ่งแก้วเองคุณชาติ’ คำบอกเล่าเมื่อสักครู่จากโกวิทยังคงดังก้องอยู่ในหัว
กรอบตารูปทรงเรียวรีของจินดายังคงหรี่ปรืออยู่เหมือนเก่า ซึ่งลักษณะท่าทางเช่นนั้นก็เรียกเสียงหัวเราะประชดประชันในลำคอจากคนมองไปได้เป็นอย่างดี
หลังจากยืนพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งธีรชาติก็ตัดสินใจหย่อนตัวลงนั่งข้างกายจินดาอีกครั้ง ชายหนุ่มจงใจไม่ออกอากัปกิริยาอะไรมากมายนัก เขาเพียงนั่งนิ่งเป็นตุ๊กตาให้อีกฝ่ายได้จับได้ต้องตามใจชอบเท่านั้น
...ก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าพ่อคนแกล้งเมาจะทำสิ่งใดกับร่างกายของเขาอีกบ้าง...
ชั่วขณะหนึ่งธีรชาติสังเกตเห็นวี่แววแห่งความลังเลสับสนจากนัยน์ตาของอีกฝ่าย หากแต่เพียงเสี้ยววินาทีถัดมาศีรษะทุยมนก็ขยับเข้ามาอิงแอบอยู่ที่สีข้างของเขาเสียแล้ว
จินดาซุกซ่อนความอ่อนไหวให้พ้นจากสายตาของธีรชาติอยู่อย่างนั้นนานหลายนาที
...นานเสียจนเขาแทบจะลืมไปแล้วว่ายังรู้สึกโกรธไม่หาย...
ในที่สุดหลังจากนั่งนิ่งฟังเสียงหัวใจของกันและกันมาได้ครู่ใหญ่จินดาก็ค่อยๆดึงศีรษะให้กลับมาตั้งตรงอีกครั้ง
สถาปนิกหนุ่มไม่อธิบายการกระทำของตัวเองแม้สักคำ เขายันกายลุกขึ้นจากโซฟาที่พึ่งพิงด้วยสีหน้าเศร้าหมองก่อนจะก้มลงไปหยิบเอากระเป๋าใบกว้างที่พกติดตัวมาด้วยขึ้นจากโต๊ะตัวเตี้ยตรงหน้า
กระเป๋าปริศนาใบที่ว่าถูกยื่นให้คนเป็นเจ้าของห้องในเวลาต่อมา
คิ้วหนาเข้มอันเป็นเอกลักษณ์ของธีรชาติขมวดเข้าหาน้อยๆในขณะที่ดวงตาคู่คมก็จับจ้องไปยังใบหน้าของแขกยามวิกาล “อะไร?” ผู้บริหารหนุ่มเอ่ยถามเสียงห้วน
จินดาเม้มริมฝีปากเขาหากัน เขาไม่ยอมตอบสิ่งใดเพียงแต่วางกระเป๋าในมือลงบนตักอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบาเท่านั้น
“หวังว่าพี่จะชอบครับ..” สุ้มเสียงที่เจ้าตัวจงใจควบคุมให้มันฟังดูขาดๆหายๆถูกส่งออกไปเป็นสิ่งสุดท้ายก่อนที่ร่างกายขนาดสันทัดนั่นจะหมุนกลับไปทางทิศประตูห้อง “..ขอโทษที่มารบกวน..”
ไวเท่าความคิด ธีรชาติยื่นมือออกไปคว้าแขนเจ้าคนเข้าใจยากไว้ในทันที ร่างของจินดาถูกกระตุกให้ทิ้งน้ำหนักกลับลงมาบนโซฟาตัวเดิมอีกครั้ง
ผู้บริหารหนุ่มส่ายศีรษะไปมาน้อยๆพลางวางสายตาจับจ้องไปยังดวงหน้าของคนข้างกาย “เมาขนาดนี้กลับเองไม่ได้หรอกมั้ง...” เขาเปรยขึ้นมาเช่นนั้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
จินดาก้มหน้านิ่งด้วยไม่รู้ว่าควรตอบกลับไปเช่นไร
ความคิดบางประการที่ผุดขึ้นมาในห้วงความคิดเรียกให้รอยยิ้มถูกจุดขึ้นบนมุมปากข้างหนึ่งของธีรชาติ ของขวัญที่สถาปนิกหนุ่มนำมามอบให้ถึงที่เลื่อนหล่นลงไปที่พื้นและไม่มีวี่แววว่าจะได้รับความสนใจจากนักธุรกิจคนดังอีกเลย
ฝ่ามืออุ่นหนาขยับเข้าไปเชยปลายคางมนให้ใบหน้าละไมหันมาประจันกัน ซึ่งการกระทำเช่นนั้นก็เป็นผลให้ดวงตาที่อีกฝ่ายจงใจเสหลบลงมองพื้นต้องเบนกลับขึ้นมาสบกันอีกครั้ง
“..ก่อนจะปล่อยให้กลับ ขอพี่ฉวยโอกาสตอนจินเมาสักครั้งได้ไหม?..” คำถามชวนกระดากที่ฟังดูราวกับว่าธีรชาตินั้นต้องการกล่าวถามตัวเองถูกเปล่งออกมาเป็นเสียงลม แต่แม้จะเป็นดังนั้นคนฟังก็ยังสามารถได้ยินมันชัดเจนดี
ธีรชาติไม่สนใจอาการลอกแลกที่ถูกฉายผ่านดวงตาในกรอบเรียวรี เขาจงใจเคลื่อนใบหน้าเข้าไปหาจินดาอย่างรวดเร็วก่อนจะหยุดลงในระยะประชิดโดยไม่คิดเว้นจังหวะให้อีกฝ่ายได้ทันตั้งตัว แล้วภายในเวลาเพียงไม่ถึงเสี้ยวอึดใจหลังจากนั้นริมฝีปากคู่บางก็ถูกผู้บริหารหนุ่มครอบครองไว้อย่างสมใจ
...นับเป็นจูบแรกที่เกิดขึ้นในยามที่สติสัมปชัญญะของพวกเขาทั้งคู่อยู่ในสภาพครบถ้วนสมบูรณ์ดี แม้จะมีฝ่ายหนึ่งพยายามแสดงออกว่าตัวเองเมามายไม่รู้เรื่องก็ตาม...
ทั้งที่เป็นคนเริ่ม แต่พอได้สัมผัสเข้าไปจริงๆแล้วธีรชาติก็อดรู้สึกใจเต้นระรัวเป็นเด็กวัยรุ่นขึ้นมาไม่ได้
ผู้บริหารคนดังสอดเรียวลิ้นแทรกผ่านแนวฟันเป็นระเบียบของจินดาเข้าไปสำรวจภายในโพรงปากอย่างถือวิสาสะ สองหูแว่วเสียงร้องท้วงดังอื้ออ้าเบาๆจากคนถูกกระทำ
...รสชาติของสุราแทบไม่มีเหลือให้เขาได้ลองลิ้มตามที่โกวิทบอกไว้จริงๆ...
ธีรชาติขยับฝ่ามือลากไล่ไปตามแนวสันหลังแสนยวนใจดั่งที่ได้ลอบวางแผนไว้ในหัวมาตั้งแต่เมื่อครู่ แม้สัมผัสของเขาจะแผ่วเบาและเชื่องช้า ทว่ามันก็มีพลังมากพอที่จะทำให้ร่างกายของจินดาออกอาการสั่นสะท้านขึ้นมาได้
ในที่สุดหลังจากเวลาผ่านไปนานเกินหนึ่งช่วงลมผู้บริหารคนดังก็จำต้องถอนริมฝีปากออกเพื่อให้ตัวเขาเองและสถาปนิกหนุ่มได้กอบโกยอากาศเข้าปอดกันอีกครั้ง
ดวงตาคู่คมจับจ้องไปใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ยามนี้กำลังขึ้นสีแดงก่ำ
...จะแกล้ง...
...จะทำให้สารภาพออกมาให้ได้ว่าไม่ได้เมา...
...จะทำให้สารภาพออกมาให้ได้ว่าแท้จริงแล้วในใจรู้สึกอย่างไร...
...ขอเอาคืนสักหน่อยเถอะ...
ธีรชาติให้เวลาจินดาได้พักหายใจหายคอเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น ใบหน้าคมคายขยับเข้าไปใกล้เมื่อแรงหอบของอีกฝ่ายเริ่มทุเลาลง คราวนี้เป้าหมายของเขาไม่ใช่กลีบปากอีกแล้ว หากแต่เป็นซอกคอขาวเนียนที่โผล่พ้นปกเสื้อและปลายผมออกมาให้เห็นอยู่รำไรนั่นต่างหาก
ผู้บริหารหนุ่มรับรู้ได้ถึงแรงสะดุ้งจากร่างในอุ้งมือตอนที่ริมฝีปากเปียกชื้นของเขาประทับลงไปบนเนื้อหนังชวนสัมผัส รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาโดยที่จินดาไม่สามารถมองเห็นมันได้
ธีรชาติตั้งหน้าตั้งตาดูดเม้มด้วยจิตใจมัวเมา ความรู้สึกจริงที่เกิดขึ้นกับร่างกายผสมปนเปไปกับเจตนายั่วเย้าอันนับเป็นจุดเริ่มต้นของการกระทำ จนเมื่อกิจกรรมถูกลากยาวเกินกว่าที่นักธุรกิจหนุ่มมุ่งหมาย เขาจึงจำต้องผละตัวเองออกมาเพื่อสำรวจสีหน้าสีตาของอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ
...แทนที่จะโวยวายห้ามปรามตามที่คาดการณ์ไว้ จินดากลับนั่งนิ่งและส่งเพียงเสียงครางจากลำคอออกมาให้ได้ยินเท่านั้น...
ฝ่ามืออุ่นหนาออกอาการสั่นน้อยๆตอนที่วางทาบลงไปบริเวณหน้าท้องราบเรียบของพ่อสถาปนิกคนดี กล้ามเนื้อของคนถูกสัมผัสหดเกร็งในชั่วขณะแรก แต่แม้กระนั้นจินดาก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะขยับตัวหนีแต่อย่างใด
...บีบคลึงก็แล้ว ลูบไล้ก็แล้ว แต่ก็ไม่เห็นจะทักท้วงอะไรออกมาแม้สักคำ...
...หรือว่า...
ธีรชาติตัดสินใจประกบจูบลงไปบนริมฝีปากอีกครั้งด้วยสัมผัสที่ร้อนแรงกว่าเมื่อครู่อีกนิด และเมื่อเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าอีกฝ่ายเองก็มีปฏิกิริยาตอบรับด้วยการดุนดันเรียวลิ้นกลับมาเช่นกัน คราวนี้ผู้บริหารหนุ่มจึงไม่คิดอ้อยอิ่งประวิงเวลาอีกต่อไป
การจุมพิตสิ้นสุดลงตรงนั้น นักธุรกิจคนดังค่อยๆถอนริมฝีปากก่อนดึงใบหน้าออกห่างราวคืบเพื่อที่จะได้สบตากับอีกฝ่ายอย่างถนัดถนี่ ความขุ่นเคืองที่ติดค้างอยู่ในใจมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ถูกพัดหายไปกับกระแสอารมณ์เรียบร้อยแล้ว
“..ไปที่เตียงกับพี่นะ..”.
.
...เป็นเวรเป็นกรรมของนายโกวิท...
สถาปนิกเจ้าของร่างกายสูงใหญ่ขยับฝีเท้าพาตัวเองและคนบนหลังเคลื่อนที่ไปตามฟุตบาธด้วยท่าทางทุลักทุเลพลางในใจก็นึกก่นด่าโชคชะตาไปด้วยว่าเหตุใดถึงใจร้ายบงการให้เขาต้องเป็นคนมาคอยเทคแคร์ไอ้เด็กโตช้ารายนี้ ทั้งที่ตัวเลือกในออฟฟิศก็มีอีกตั้งมากมาย
“เกาะดีๆได้ไหมวะ! แบกยากฉิบหาย!” ชายหนุ่มโวยวายออกมาเสียงเขียว ดวงตาคู่ที่ดูดุดันสอดส่ายมองหาวี่แววของรถแท็กซี่คันที่ไร้ผู้โดยสารจับจองด้วยความหวังริบหรี่ ไม่ว่าจะขยายรัศมีการมองไปไกลเท่าไหร่ก็ไม่ยักปรากฏวี่แววว่าจะมีผ่านมาให้เขาชื่นใจเลยสักคัน
เป็นเพราะเห็นว่าเจ้าเด็กฝึกงานที่ริอ่านดื่มน้ำเมาอย่างไม่รู้จักประมาณตนนั้นทรงตัวไม่ค่อยจะไหว โกวิทจึงจำต้องแบกมันขึ้นหลังออกมาเดินหารถกลับบ้านอยู่อย่างนี้แม้ว่าปากจะพร่ำต่อว่าต่อขานเป็นต่อยหอยไปตลอดทางก็ตาม
“พี่โก๋ขี้บ่น!”
...แล้วก็ดูเหมือนว่าฤทธิ์เดชของแอลกอฮอล์นั้นจะส่งผลให้คนที่ปกติมักแสดงอาการกลัวนั่นกลัวนี่อยู่เสมอกลายร่างมาเป็นไอ้ตัวปากเก่งไปได้เสียด้วย...
“ลองมาเป็นกูนี่มา! ถ้าต้องคอยดูแลเด็กอย่างมึงแล้วไม่บ่นออกมาบ้างก็ให้มันรู้ไป!”
“ดูแลที่ไหน? ไม่เห็นจะดูแลเลย เป็นคนลากผมออกมาแท้ๆ แต่ดันทิ้งให้ผมนั่งหง่าวอยู่ในร้านคนเดียว”
จบประโยคของคนเมา สถาปนิกรุ่นพี่ก็เงียบไปทันที
...เป็นจริงอย่างที่เจ้าหนูนี่ว่า...
วันนี้โกวิทเป็นคนบังคับต้นตระการให้ออกมาร่วมงานฉลองด้วยกันทั้งที่เด็กหนุ่มไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมโปรเจ็คต์ลาดพร้าวแต่อย่างใด เขาเพียงเห็นว่านี่เป็นโอกาสอันดีที่คนขี้อายอย่างมันจะได้ทำความรู้จักกับพนักงานคนอื่นๆในบริษัทให้มากขึ้นอีกนิด ซึ่งหากไม่ใช่เพราะต้องปลีกตัวออกไปคอยปลอบใจจินดา เขาก็คงอยู่รับหน้าที่ชงให้เด็กหนุ่มมีบทบาทในวงสังสรรค์มากกว่านี้แล้วล่ะ
...รู้สึกผิดนิดๆแฮะ...
“กูขอโทษ” ชายหนุ่มกล่าวขึ้นมาเช่นนั้นด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลกว่าเมื่อสักครู่อยู่เล็กน้อย หากแต่เพียงประโยคถัดมาลักษณะการพูดของเขาก็กลับไปห้วนกระชากหูคนฟังเหมือนเดิมเสียแล้ว “ทีหลังก็หัดชวนคนอื่นคุยเองบ้างสิวะ ใจคอทั้งออฟฟิศจะคุยกับกูคนเดียวไปจนจบฝึกงานเลยหรือไง?ไม่มีใครเขาจ้องจะกัดหัวเหมือนที่มึงกลัวหนักหนาหรอก”
“..บ่นอีกแล้ว..
นี่แน่ะ!..”
“โอ๊ย! กูเจ็บนะโว๊ย!” โกวิทร้องขึ้นลั่นฟุตบาธทันทีที่เคราเส้นหนึ่งถูกเจ้าเด็กบ้าบนหลังดึงออกจากปลายคางไปโดยไม่มีการให้จังหวะก่อน แรงกระตุกทำเอาเขาแทบจะปล่อยให้มันหงายหลังลงไปกับพื้น “เดี๋ยวพ่อจับโยนลงถนนให้รถทับเลยดีไหม!? ไอ้เด็กนี่..ปีนเกลียวซะแล้ว..
โอ๊ย!”
...หลุดออกไปอีกเส้น...
ยามนี้สติสตังของต้นตระการไม่อยู่ในสภาพที่จะสามารถรับรู้ถึงความเกรี้ยวกราดของโกวิทได้ หนวดเคราหลายต่อหลายเส้นพากันหลุดร่วงออกจากหนังหน้าของสถาปนิกหนุ่มไปราวกับไม้ผลัดใบ
...คนถูกประทุษร้ายก็ร้องไปเถอะ...
...ไอ้คนทำมันเมา มันไม่คิดจะฟังอะไรหรอก...
แล้วในจังหวะที่โกวิทเกือบจะวางร่างกายผอมบางลงกับพื้นอยู่แล้วนั้น จู่ๆเด็กหนุ่มก็หยุดมือลงไปเหมือนว่าเบื่อจะแกล้งแล้ว ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้นคนเป็นรุ่นพี่ก็ทอดถอนหายใจออกมาเฮือกโตด้วยความเหนื่อยใจ
...อะไรของมัน...
...เมาแล้วเข้าใจยากฉิบเป๋ง!...
ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้เริ่มขยับฝีเท้าออกเดินอีกครั้ง อวัยวะทุกส่วนก็มีอันต้องหยุดเคลื่อนไหวไปอย่างกะทันหันเสียก่อนเมื่อเขารับรู้ได้ถึงสัมผัสแปลกปลอมที่เกิดขึ้นไม่ห่างจากแนวสันกรามข้างหนึ่ง
...ต้นตระการฝังใบหน้าลงกับแก้มครึ้มเคราของเขาและนิ่งค้างอยู่ในท่านั้นนานหลายวินาที...
“..ม..มึง..” โกวิทร้องเรียกออกมาด้วยน้ำเสียงขาดห้วง เครื่องหน้าแต่ละส่วนบิดเบี้ยวเหยเกเนื่องด้วยความตกใจ “..ป..เป็นบ้าอะไรอีก?..”
แม้ปากจะถามออกไปแบบนั้นแต่ชายหนุ่มกลับหยุดยืนนิ่งให้อีกฝ่ายได้ครอบครองแก้มของตนไว้โดยไม่คิดใส่ใจสายตาจากผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมารอบกายเลย
รอยยิ้มเล็กๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าดุดันโดยที่แม้แต่เจ้าตัวก็ไม่คาดคิดว่าตัวเองจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ ต้นตระการถอนใบหน้าออกไปแล้ว ศีรษะของเด็กหนุ่มวางซบกลับลงมาที่ไหล่กว้างอีกครั้ง
สถาปนิกร่างหนาเปล่งเสียงหัวเราะจากในลำคอออกมาเบาๆก่อนจะส่ายหัวไปมาโดยที่รอยยิ้มยังไม่เลือนหายไปจากสองข้างแก้มไปไหน
...ปีนเกลียว...
...สงสัยไอ้เด็กนี่มันคิดจะปีนเกลียวจริงๆ...
.
.
